ล่าดับตะวัน ตอนที่ 18
เหตุการณ์ภายในอาคาร หลังจากที่แก๊งเกาหลีเช็คยาเรียบร้อย คิมจองวาน หันไปหาลูกน้อง หนึ่งในนั้นเดินถือกระเป๋าออกมา กระเป๋าถูกเปิดออก ภายในอัดแน่นไปด้วยแบงค์ดอลลาร์ ตะวันกับลูกน้องนายพลยี่เส่งยิ้มพอใจ
มือขวาของมิสเตอร์คิมกระซิบบอกบางอย่าง มิสเตอร์คิมคุยกับล่าม และล่ามพยักหน้ารับ
“คุณคิมจองซู อยากจะขอตรวจสอบอะไรบางอย่าง”
ตะวันคิดนิดหนึ่งก่อนพยักหน้ารับ
หนึ่งในแก๊งเกาหลี หยิบเครื่องมือเช็คสัญญาณสื่อสารขึ้นมาไล่ทาบเครื่องมือนั้นใส่แต่ละคน ในบริเวณนั้น
“มันจะทำอะไรครับ” ตองเส่งแปลกใจ
“เขาคงอยาก เพลย์เซฟ เช็คสัญญาณสื่อสารอย่างพวก วิทยุสอดแนม หรือ กล้องดิจิตอลต่างๆ”
ภูผาเริ่มเป็นกังวล กับกล้องเข็มที่ตัวเองซ่อนไว้
ลูกน้องคิมจองวานเดินไล่เช็คแต่ละคน ใกล้เข้ามาๆ
ส่วนด้านนอกอาคารบริเวณชายคาทางเชื่อมนอกและใน อัคคเดช ชบา นำกำลังหน่วยจู่โจมพิเศษ เคลื่อนเข้าไปสู่ภายในอาคาร ไล่จัดการลูกน้องตะวันที่อยู่ด้านนอกทุกจุดเบ็ดเสร็จพร้อมๆ กัน
ลูกน้องคิมจองวานเดินเข้าใกล้ภูผา หลายคนในนั้นจับตามองกันและกัน จนถึงภูผา คนถือเครื่องจับจ้องไปที่ปุ่มไฟ ปุ่มไฟขยับเปลี่ยนสี แต่ยังไม่ทันที่ลูกน้องมิสเตอร์คิมจะเหลือบมอง เสียงปืนก็ดังขึ้นจากด้านนอกอาคาร
ที่แท้เป็น ลูกน้องตะวันเปิดฉากยิงถล่มกับทีมอัคคเดช ภูผาโล่งใจ
ทั้งเกาหลีและลูกน้องยี่เส่งเริ่มโวยวาย ชี้หน้าอีกฝ่าย ชักปืนเตรียมมีเรื่อง ตะวันรีบปราม
“ทุกท่านใจเย็นไว้ก่อน”
ตะวันหันไปบอกลูกน้อง
“พวกแกออกไปดู”
ปราการ หมอก ภูผา ปิง และ ปานวาด รีบเดินเร็วออกไปโดยไว เหลือลูกน้องบางส่วนไว้คุ้มกันตะวัน
ปิงไล่จัดการหน่วยจู่โจมอย่างมันมือ ภูผาเห็นเข้ามาขัดขวางก่อนที่ปิงจะฆ่าตำรวจมากไปกว่านี้ ภูผาตัดสินใจจ่อปืนไปที่ปิง เล่นเอาปิงง’
“มาเล่นอะไรตอนนี้พี่”
ปิงพยายามจะปัดปืน แต่ก็รับรู้ได้ว่ามันไม่ใช่การล้อเล่นแน่นอนแล้ว ภูผาอึดอัดใจที่จะพูด แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเด็ดขาด
“ไอ้ปิง หนีไปซะ แล้วอย่ากลับไปหาไอ้ตะวันอีก”
ปิงแปลกใจ “พี่พูดอะไรของพี่เนี่ย ทำไมเรียกนายอย่างนั้นล่ะ”
“จะไม่มีนายตะวันอีกต่อไป เส้นทางชั่วของมัน จบลงแล้ว”
“นี่พี่...” ปิงรู้ทันที
“ฉันนับหนึ่งถึงสาม ถ้าแกยังไม่ไปฉันจะยิงแก”
“พี่…”
“ไป 1...2....”
ปิงตัดสินใจจากไปพร้อมกับความสับสน ภูผากังวล พยายามมองหาปานวาด
บริเวณทางเชื่อมอาคาร หมอกวิ่งมากับปานวาด เจอพวกอัคคเดช ชบา สองฝ่ายยิงใส่กัน อัคเดชส่งสัญญาณให้ มนตรีกับยักษ์ไปอีกทาง มนตรีกับยักษ์แยกไป
“ผมว่าเรารีบหาทางออกไปจากที่นี่ก่อนดีกว่า”
“ไม่ได้ แล้วนายละ”
หมอกเข้าใจความภักดีของปานวาด ยักษ์กับมนตรีเข้ามาจู่โจม หมอกรีบไล่ปานวาดไป
“ผมจัดการทางนี้เอง”
“ระวังตัวด้วย”
ปานวาดวิ่งจากไป อัคคเดช ชบาเห็นรีบตามไป อัคคเดชมองปานวาด เริ่มคุ้น
“นั่นมันมือสไนเปอร์”
ชบาเตือนความจำให้อีกแรง “คนที่จัดการผู้กองสันต์”
ปราการจัดการพวกหน่วยจู่โจมอย่างเลือดเย็นอยู่อีกด้านหนึ่ง จนสังเกตเห็นว่าอัคคเดชกับชบา ตามเล่นงานปานวาด จึงรับบิดหักคอหน่วยจู่โจมอีกรายก่อนจะรีบแล่นตามไป
ปานวาดยิงปืนตอบโต้กับอัคคเดชและชบา โดยมีสมุนของตะวันและลูกน้องยี่เส่งเข้ามาร่วมวงไพบูลย์ด้วย ชบาอ้อมไปอีกด้านหวังจู่โจมปานวาด
ชบาจัดการลูกสมุนตะวันได้ แต่กลับเจอปราการจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว
จังหวะที่อัคคเดชเปลี่ยนแมกาซีนปืน เขาถูกนักรบเดนตายลูกน้องยี่เส่งจู่โจมด้วยมือเปล่า อัคคเดชตั้งรับแทบไม่ทัน แต่สุดท้ายก็อาศัยความเก๋าเอาชนะไปได้
หลังหมอกจัดการหน่วยจู่โจม 3 คน รวมทั้ง ยักษ์และมนตรี จนหมอบ ลูกน้องคิมจองวาน โผล่เข้ามาสมทบพอดี และชักปืนจะยิงใส่พวกตำรวจ หมอกขัดขวางเพราะไม่ต้องการให้มีใครตายอีก ลูกน้องมิสเตอร์คิม ไม่เก็ตมองหมอกงงๆ ก่อนจะรุมเล่นงานใช้ทั้งปืนและดาบสู้กับหมอก มันส์โคตรๆ
ด้านภูผาร้อนใจเหลือที่ พยายามตามหาปานวาด แต่กลับเจอหน่วยจู่โจมพิเศษ ภูผาพยายามอธิบาย
“เฮ้ยๆๆ พวกเดียวกัน”
“ใครจะเชื่อวะ” จู่โจม ไม่เชื่อ
ภูผาจำใจสู้กับพวกหน่วยจู่โจมและตัดสินใจทำให้สลบ แล้วตัดสินใจเดินกลับไปยังจุดที่พวกตะวันอยู่
“งั้นต้องรีบจัดการไอ้ตะวัน เพื่อทุกอย่างจะได้จบ”
ภูผาโผล่เข้ามาสมทบในห้องที่ตะวันอยู่ แต่ต้องแปลกใจ ที่เห็นตะวันกับหมู่โจรคนอื่นๆ ยืนออเป็นวง ไม่นานต่อมาภูผาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าทั้งหมดกำลังมองชบาที่ปราการจับมาได้ คุกเข่าอยู่ที่พื้น ตะวันเหลือบมองรับรู้ว่าภูผากลับมา
ชบามองภูผาด้วยความคับแค้นใจตะวันหันกลับไปมองชบาแล้วบอกกับลูกน้อง
“ฆ่ามันซะ”
ภูผาอึ้ง พยายามหาทางแก้ไขสถานการณ์เลวร้ายนี้ ปราการเล็งใส่ชบาเตรียมเหนี่ยวไก ชบาตัวสั่นกลัวจับใจน้ำตาไหล ยอมรับชะตากรรม เสียงภูผาดังก้องขึ้น
“เดี๋ยว ถ้าแกฆ่าเธอ ไอ้ตะวันตายแน่”
ทุกคนตะลึงหันไปมองพากันแปลกใจ เพราะภาพที่เห็นคือภูผาจ่อปืนไปที่ตะวัน ทั้งหมดกวาดปืนใส่ภูผาแทบจะพร้อมกัน ภูผากัดฟันกรอดพร้อมยอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อช่วยชบา ชบามองภูผาด้วยความประหลาดใจ ตะวันถอดแว่นออก ระเบิดหัวเราะออกมาอย่างเคียดแค้นประสมสาสมใจอยู่ในที
“ฮ่าๆๆ ในที่สุดมึงก็เปิดเผยตัว ไอ้ไส้ศึก”
“กูก็รอวันนี้มานานแล้ว วันที่กูจะกำจัดคนชั่วอย่างมึงได้สักที ไอ้ตะวัน”
ปราการมองอย่างเคียดแค้นชิงชัง ชบาพยายามทำความเข้าใจ สมุนคนอื่นๆ เตรียมลั่นไกใส่ภูผาทุกวินาที
“หึ ทำไมพูดจาอย่างไม่ให้ความเคารพกันขนาดนั้นละ ภูผา ถ้ามึงยิงกู ไม่ใช่มึงคนเดียวที่จะร่างพรุน นังตำรวจนี่ก็ต้องตายพร้อมไปกับมึงด้วย วางปืนซะเถอะ”
ภูผาคิดหนัก ก่อนจะบอกไปว่า “ปล่อยตำรวจไป แล้วฉันจะวางปืน”
ชบาสับสน แต่แทบจะไม่ละสายตาไปจากภูผาสักเสี้ยวสายตา ภูผายิ้มมุมปากกวนๆ ใส่ น้ำตาชบาอยู่ดีๆ ก็เริ่มคลอ
ตะวันยิ้มใจเย็น ก่อนพยักหน้าให้ลูกน้องที่อยู่ใกล้
“ปล่อยมัน”
ชบาจำใจเดินจากไป ก่อนจะหันกลับมามองภูผาอย่างห่วงใย ภูผาพยักหน้าให้หนี ชบารับรู้แล้วรีบวิ่งออกไปจากตรงนั้นโดยไว ในขณะที่ภูผามองลุ้นตามชบาที่วิ่งหนีไปนั้น ตะวันสบช่องเตะฟาดหางจระเข้ใส่มือภูผาจนปืนกระเด็นหลุดมือไป ภูผาไม่ทันตั้งตัว และไม่คิดว่าตะวันจะเก็บงำฝีมือไว้
ตะวันยิ้มโหด ตะโกนเสียงหนักแน่น
“ฆ่ามัน”
ปราการยิ้มชั่วพอๆ กับเจ้านาย เล็งปืนไปที่ภูผา ภูผาหลับตายอมรับชะตากรรม ทันใดนั้น มีเสียงแกร๊งๆๆ ดังเลียดพื้นมา ภูผาลืมตาดูพร้อมๆ กับสายตาคนอื่น ทุกคนเห็นเป็นระเบิดลูกเกลี้ยง ทั้งหมดตกใจ รีบกระโจนออกจากบริเวณนั้นโดยเร็ว แต่ระเบิดแผดเสียงดังสั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณ สมุนตะวันหลายคนร่างฉีกกระเด็น เลือดสาดกระเซ็นน่าสยดสยอง
ควันยังไม่จาง เสียงอัคคเดชตะโกนบอกลูกทีมโดยมีชบาอยู่ข้างๆ
“บุกเข้าไป”
ทั้งสองฝ่ายยิงกันชุลมุนวุ่นวายท่ามกลางเปลวควันจากระเบิด
จนตะวันเห็นท่าไม่ดีบอกปราการที่อยู่ข้างๆ
“แผนสองปราการ”
“ครับนาย”
ตะวันเดินเร็วรี่ออกมา เห็นคิมจองวานกำลังจะขึ้นรถ ตะวันชักปืนยิงใส่ มิสเตอร์คิมลงไปแดดิ้นกับพื้น แล้วเดินขึ้นรถคิมจองวานขับฝ่าออกไป อัคคเดชเห็นรีบวิ่งตาม
ภูผาอยู่ในท่าเตรียมพร้อม มองไปยังมุมหนึ่งที่ควันเริ่มจางลง เห็นเป็นปราการยืนจ้องอยู่ ก็ต้องตกใจ
“กูอยากฆ่ามึงมานานแล้วไอ้ภูผา”
ไม่ทันขาดคำปราการกระโจนเข่าเข้าที่กลางอกภูผาจนร่างกระเด็น ภูผาพยายามตั้งสติ หลบหมัดต่อเนื่องของปราการได้อย่างฉิวเฉียด
“หยุดนะ”
เสียงชบาดังขึ้นพร้อมกับยิงปืนสกัดใส่ปราการ จนต้องจำเป็นต้องล่าถอยไปอย่างเจ็บใจ ชบาวิ่งเข้ามามองหาภูผาแต่ก็ไม่เจอแล้ว
ตะวันหนีไปโดยมีอัคคเดชไล่ตามมา แต่แล้วอัคคเดชต้องชะงัก เพราะปานวาดเล็งปืนใส่อัคคเดชรู้ตัวหันมาช้าๆ จำได้
“แกตายแน่วันนี้ อัคคเดช”
ภูผาตามมาทัน จับแขนปานวาดรวบไว้ทางด้านหลัง บอกกับอัคคเดชว่า
“รีบตามมันไปเถอะครับ ผู้กำกับ ทางนี้ผมจัดการเอง”
“ฝากทางนี้ด้วยนะ ภูผา”
ปานวาดแปลกใจ อัคคเดชแล่นจากไป
“วาด รีบหนีไปซะ”
ปานวาดนิ่ง ก่อนจะค่อยๆ หันมาสบตาภูผา
“นายเป็นสายตำรวจเหรอ ภูผา”
“ผมพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้คุณปลอดภัย”
ปานวาดตวาด “ไม่ได้ยินที่ฉันถามเหรอ”
“เดี๋ยวผมจะอธิบายทุกอย่างให้คุณฟัง แต่ผมขอให้คุณรีบหนีไปจากที่นี่ก่อน”
มีเสียงชบาแทรกขึ้น หนักแน่นและจริงจังมาก
“ไม่มีใครหนีไปไหนได้ทั้งนั้น”
ปานวาดชักปืนใส่ชบา ภูผาสบถในใจเวรเอ๊ย ก่อนตัดสินใจเดินแทรกเข้าไปตรงกลางวิถีกระสุน แล้วเอาอกตัวเองแนบกับปลายกระบอกปืนของชบา ทำเอาผู้หมวดสาวต้องประหลาดใจอีกคำรบ
“นี่นาย”
“วาด รีบไปจากที่นี่”
ปานวาดหันไปดูด้านหลัง เห็นพวกยักษ์กับมนตรีและตำรวจคนอื่นๆ วิ่งตามมา ภูผาล็อคปืนของชบาไว้ เร่งปานวาด
“เร็วสิ”
ปานวาดเป็นห่วงไม่คลาย “แต่นาย”
“ผมเป็นสายตำรวจ ผมหลอกพวกคุณมาโดยตลอด ทีนี้ไปได้รึยัง”
ชบาหูผึ่งอึ้งได้อีก แต่นางยังไม่ปักใจเชื่อ ปานวาดตัดสินใจวิ่งจากไป ชบามองจ้องหน้าภูผาอย่างตื่นตะลึง
จังหวะนี้สายตาภูผาเหลือบขึ้นไปยังมุมสูง เห็นหมอกยืนถือปืนมองมา แล้วค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากมุมตึกไป
ฝ่ายตะวันขึ้นรถมาเฟียเกาหลีขับรถออกไปราวกับจะบิน อัคคเดชขึ้นรถลูกน้องยี่เส่งขับตามไป
อ่านต่อหน้า 2
ล่าดับตะวัน ตอนที่ 18 (ต่อ)
ทั้งสองขับไล่ล่ากันมาตามถนนย่านชุมชน มียิงใส่กันเป็นระยะก่อนที่ตะวันจะขับหนีต่อไป
ตะวันขับหนี เลี้ยวเข้ามานอาคารที่จอดรถ มันเป็นอาคารที่สามารถขับรถขึ้นถึงบนชั้นดาดฟ้าได้โดยมีอัคคเดชไล่ตามมาติดๆ ตะวันหันมองกระจกหลังแล้ว ออกอาการแค้นใจ
“กัดไม่ปล่อยเลยนะมึงไอ้เดช”
ขาคคำตะวันเร่งเครื่องหนีไป ด้วยเครื่องที่แรงกว่าจึงฉีกหลบหนีไปได้ แต่ไม่ไกลกันมากนัก แค่ลับตาเห็นลิบๆ
อัคคเดชเร่งตามขึ้นมาชะลอความเร็วลงเมื่อมองไม่เห็นรถตะวัน แล้วกวาดมองหา อยู่ๆ รถตะวันขึ้นโผล่มาด้านหลังพร้อมกับยกปืนไล่ยิง
อัคคเดชรีบวนรถหนี แล้วไล่ยิงกันในลานจอดอย่างเมามันส์
สองคนผู้มีอดีตเป็นเพื่อนรักกัน ค่อยๆ จอดรถลงมาเล็งปืนใส่กัน ก่อนจะลั่นกระสุนใส่ แล้วพบว่ากระสุนหมดกันทั้งคู่ ทั้งสองจึงหันมาประจันหน้ากันอ่างเคียดแค้น ก่อนตรงเข้าขย้ำห้ำหั่น วางมวยกัน โดยไม่ต้องพูดพล่ามทำเพลงอีก สู้กันดุเดือด ด้วยฝีมืออันสูสี
จังหวะหนึ่งอัคคเดชพยายามงัดใช้ท่าเก่าไม้ตาย สมัยที่เคยเอาชนะอัคคเดชได้ตอนเป็นนักเรียนนายร้อย ตะวันจับทางได้เลยจะจับล็อค แต่อัคคเดชหาวิธีแก้มาแล้วไม่เสียท่าให้ ตะวันแปลกใจ พูดจาเยาะหยาม
“พัฒนาขึ้นนี่หว่า”
อัคคเดชสวนกลับ “คนมันเคยมีบทเรียนโว้ย เจ็บแล้วต้องจำ”
ก่อนเสียงหนึ่งจะเรียกให้ทั้งสองหันไปมองอย่างสนใจ เห็นว่าเป็น เฮลิคอปเตอร์ ที่บินมารับตะวัน บินลอยขึ้นมา
ปราการที่มาพร้อมกับ ฮ. โหนตัวออกมาเล็งปืนยิงใส่อัคคเดช จนต้องรีบหลบเข้าที่กำบัง
ฮ. บินต่ำลงมารับตะวัน ปราการคอยยิงคุ้มกันให้ ชนิดที่อัคคเดชโงหันไม่ขึ้น ฮ. ลงจอดในที่สุด
ตะวันขึ้น ฮ. แล้วหันมาตะโกนเยาะเย้ยอัคคเดช
“มึงไม่มีวันจับกูได้หรอกไอ้เดช มันฝีมือคนละชั้นกันโว้ย”
ตะวันหันไปออกคำสั่งนักบินให้เอาเครื่องขึ้น และบินหนีไปได้ในที่สุด
อัคคเดชออกจากที่กำบังมองตามอย่างเสียดาย
สองคนต่างฝ่ายต่างจดสายตามองกันอย่างอาฆาตจนลับตากันไป
กลับจากการไล่ล่าตะวัน อัคคเดชเดินเข้ายังสถานที่ส่งยา เห็นกลุ่มค้ายาทั้งแก๊งเกาหลีและลูกน้องนายพลยี่เส่งถูกควบคุมตัวขึ้นรถ ชบา ยักษ์ และมนตรี หันมาเห็นจึงรีบเดินเข้าไปหา อัคคเดชเดินแหวกกลุ่มลูกน้อง ตรงไปที่รถตำรวจคันหนึ่ง ภายในรถคันดังกล่าวภูผาถูกควบคุมตัวพร้อมใส่กุญแจมืออยู่ พวกชบางง
อัคคเดชเดินเข้าไปพาภูผาลงมาจากรถ บอกตำรวจอีกนายให้ไขกุญแจออกให้ภูผา ก่อนจะหันไปหาลูกน้องทั้งสามคน ผายมือแนะนำอย่างเป็นทางการ
“นี่คือ ภูผา สายสืบของเราที่แฝงตัวอยู่กับพวกกิเลนขาว - แก๊งอัคคี”
อัคคเดชหันไปหาภูผา
“ผมจะรีบทำเรื่องคืนสถานภาพให้คุณ”
“แล้วไอ้ตะวันล่ะครับ”
อัคคเดชส่ายหน้า ทุกคนพากันเจ็บใจ
“ถึงจะจับมันไม่ได้ เราก็กระชากหน้ากากมันสำเร็จ เดี๋ยวผมขอตัวไปหาผู้การก่อน”
ยักษ์กับมนตรีเดินเข้ามาหาภูผา
“ยินดีที่ได้รู้จักกันอีกครั้งนะครับ ในฐานะตำรวจ”
มนตรียิ้มแฉ่งเดินจากไปพร้อมยักษ์ คงเหลือเพียงชบายืนมองภูผาอยู่ตามลำพัง ภูผาเดินเข้าไปหาชบา ลมวูบใหญ่พัดผ่านคนสองคน
“เป็นไง ผิดหวังมากเหรอ”
“นับว่าเซ้นส์ฉันยังดีอยู่”
“เซ้นส์?”
“ความรู้สึกที่บอกให้รู้ว่านายไม่ใช่พวกคนเลวไง”
ภูผาก้มหน้ายิ้มรับเอาคำชม เท่ๆ
“ฉันจะไม่รายงานเรื่องที่คุณปล่อยแม่โจรสาวนั้นไป ถือว่าตอบแทนที่นายช่วยชีวิตฉันไว้ตอนนั้น ไม่มีหนี้ติดค้างกัน”
ชบายื่นมือออกไปจับมือภูผา
“ขอบคุณมาก หมวดชบา”
สองคนมองหน้าสบตากันนิ่งๆ
แลเห็นความสัมพันธ์ที่พัฒนาไปอีกขั้นของทั้งคู่
ที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา กฤษชัย อัคคเดช อ้อย ชบา มนตรี นักข่าว
มีรายงานข่าวด่วนการจับกุมตะวันที่จุดนัดส่งยาทางจอทีวีทุกช่องอย่างครึกโครม
ผู้ประกาศข่าวช่อง 8 รายงาน ผ่านจอทีวีความว่า
“เมื่อเวลาบ่ายสองโมงที่ผ่านมา ได้มีการบุกเข้าจับกุมการลักลอบค้ายาเสพติดที่มีมูลค่าสูงสุดในรอบปี สามล้านเหรียญสหรัฐ และอาจสูงถึงสิบล้าน หากสามารถนำออกไปจำหน่ายนอกประเทศได้ ซึ่งผู้ค้ารายนี้คือ นักธุรกิจชื่อดัง นายตะวัน สุริยะฉาย”
มีรูปตะวันขึ้นมาประกอบข่าว
“ซึ่งในรายงานตำรวจระบุว่า เป็นหัวหน้าแก๊งอัคคีคนใหม่ต่อจากแป๊ะกง รวมทั้งเป็นผู้บงการฆ่าหัวหน้าแก๊งคนเก่า” ภาพบนจอเป็นรูปแป๊ะกง “สำหรับความคืบหน้าจะได้นำมาเสนอในลำดับต่อไป”
กฤษชัยนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล มองอย่างตกตะลึงกับข่าวด่วนที่เพิ่งดูจบไป ก่อนที่เสียงเอะอะจะดังขึ้นหน้าห้อง อัคคเดชพร้อมลูกทีม ชบา ยักษ์ และ มนตรี เปิดประตูเข้ามา กฤษชัยมองด้วยความตกใจ ถามเสียงขุ่น
“นี่มันอะไร”
แทนคำตอบอัคคเดชยื่นหมายจับให้กฤษชัย
“นี่คือหมายจับ ผมขอจับกุมคุณในฐานะมีส่วนเกี่ยวข้องในการค้ายา และจ้างวานฆ่า รวมถึงฆาตกรรม กับนายตะวัน สุริยะฉาย คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่พูด เพราะทุกคำพูดจะใช้เป็นพยานปรักปรำคุณในชั้นศาล”
กฤษชัยอึ้งไปถนัดตา ก่อนจะถูกมนตรีเข้าจับกุมเพื่อใส่กุญแจมือ
“เฮ้ย ทำอย่างงี้ได้ยังไงวะ กูเป็นรัฐมนตรีนะโว้ย ไว้หน้ากันบ้าง”
อัคคเดชมองหน้าจ้องตาตอบ ย้อนเสียงเข้ม “คุณมีหน้าอะไรให้ต้องไว้”
กฤษชัยอึ้งไปนิด ก่อนเถียง แถแบบข้างๆ คูๆ ไปว่า
“ยังไง ก็มีตำแหน่งเป็นถึงรัฐมนตรีนะโว้ย”
อัคคเดชยิ้มเยาะ “เพราะคุณ เคยเป็น รัฐมนตรีไง เราถึงต้องปฏิบัติให้เท่าเทียมกับผู้ต้องหาคนอื่นๆ เพื่อให้ประชาชนเห็นว่า ทุกคนอยู่ภายใต้กฏหมายเหมือนกัน ไม่มีใครใหญ่เหนือกฎหมายไปได้”
กฤษชัยมองหน้าอัคคเดชอย่างไม่พอใจ
“เอาตัวไป”
“ครับผม”
พร้อมกับว่ามนตรีและยักษ์ออกแรงกระตุกร่างกฤษชัยให้เดินตาม
อ่านต่อหน้า 3
ล่าดับตะวัน ตอนที่ 18 (ต่อ)
ในเวลาไล่เลี่ยกันนี้ รถตำรวจแล่นเป็นขบวนเข้ามาจอดที่หน้าคฤหาสน์บ้านนายตะวัน นายตำรวจหัวหน้าและลูกทีม ลงจากรถแสดงหมายค้นกับคนดูแลบ้าน แล้วหันไปสั่งกระจายกำลังเข้าตรวจค้น
ตอนค่ำวันนั้น รถหน่วยพยัคม์เมฆ กับตำรวจในเครื่องแบบแล่นเข้ามาจอดที่หน้าคลับของภัสสร ซึ่งตะวันยึดมาเป็นของตัวเอง
อัคคเดชลงจากรถ แสดงหมายค้นแล้วกระจายกำลังเข้าตรวจค้น ภูผา ชบา ยักษ์ มนตรี แต่ละคนในหน่วยนำทีมกระจายกำลังกันออกไป แต่ไม่ได้อะไร
ทีมที่แยกกันออกไปค้นหา ทยอยกันกลับมาอย่างผิดหวัง อัคเดชหันมองหน้าลูกทีมที่กลับมาหลังการค้นหา แต่ละคนส่ายหน้าอย่างผิดหวัง อัคคเดชออกอาการผิดหวังอยู่ในที
“มันหายหัวไปไหนของมัน สันดานอย่างไอ้ตะวัน ก็ต้องหลบเลียแผลก่อน”
อัคคเดชรู้นิสัยตะวันดีกว่าใคร ภูผาพยักหน้าเห็นด้วย
“วันนี้เหนื่อยกันมามากแล้ว ไป บ้านใครบ้านมัน แถมพรุ่งนี้อีกวัน แล้วค่อยกลับมาเจอกันวันมะรืน”
เสียงเฮดีใจดังลั่นจากพวกลูกทีม
เวลาเดียวกัน หลินนั่งรออยู่ในบ้านสวนอย่างลุ้นระทึก คอยจับเสียงฟังความเคลื่อนไหวจากถนนหน้าบ้าน ก่อนจะรู้สึกได้ถึงการมาของใครบางคน เป็นหมอกที่เพิ่งกลับมาถึง
หลินจำเสียงฝีเท้าได้ ร้องออกไปอย่างดีใจ “คุณหมอก”
“ผมเอง”
หลินยิ้มยิ้มกว้างดีใจเหลือล้น หมอกเดินเข้าไปหา หลินโผเข้ากอดด้วยความดีใจ หมอกกอดตอบดีใจที่ตัดสินใจเลือกทางนี้
“ผมทำตามสัญญาที่ให้กับคุณไว้แล้วนะ”
“ขอบคุณคะ”
ทั้งสองประคองกอดกันด้วยความรักที่มีต่อกัน
ฝ่ายอัคคเดชกลับเข้าบ้าน และกำลังยืนมองรูปพิมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ผมทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับคุณแล้วนะ ว่าจะจับคนที่มันทำให้คุณต้องตายมาลงโทษ แต่เสียดายที่มันหนีไปได้ แต่ไม่ต้องห่วง ผมจะจับมันมาลงโทษตามกฎหมายให้ได้ ผมสัญญา”
พร้อมกับว่า เขามองจ้องรูปคนรักด้วยความคิดถึง และดูเหมือนรูปพิมจะยิ้มตอบมาให้
ด้านปราการ เพิ่งกลับมาจากข้างนอก เดินหายเข้าไปในอาคารแห่งหนึ่งในโลเกชั่นที่ค่อนข้างเปลี่ยว มันเป็นโรงแรมกลางใจเมือง ที่พวกนักเที่ยวแบกเบ้ชอบเข้าพัก และไม่มีใครรู้ว่าที่นี่มันเป็นกิจการของตะวันนั่นเอง
ประมุขตกบัลลังก์เลือกใช้ที่นี่เป็นที่ซ่อนกบดานตัวและสมุน
ตะวันที่นั่งเหมออยู่ในห้องพัก มองทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง แววตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้นสุดจะประมาณ ก่อนจะตวัดปืนที่กุมอยู่ในมือขึ้นเล็งใส่ เมื่อมีคนเปิดประตูเข้ามาในห้อง
ปราการที่เปิดเข้ามาถึงกับสะดุ้ง ตกใจเล็กน้อย
“ผมเองครับนาย”
ตะวันรีบถามขึ้นอย่างร้อนใจ “ได้ความอะไรบ้าง”
“หมอก ปานวาด ปิง กับคนของนายพลยี่เส่งบางส่วนหนีรอดไปได้ครับนาย พวกเกาหลีกับที่เหลือถูกจับหมด นายถูกออกหมายจับ และตั้งค่าหัว”
“เท่าไรวะ”
ปราการกลัวๆ กล้าๆ ที่จะบอก “ล้านนึงครับ”
“ล้านเดียว แบบนี้มันดูถูกกันนี่หว่า” ตะวันไม่พอใจมาก
ปราการหน้าเจื่อน กลัวโดนหางเลขไปด้วย
“แล้วกฤษชัยล่ะ”
“โดยรวบตัวไปแล้วครับ”
ตะวันถอนใจเฮือกใหญ่ แล้วนิ่งไปอย่างใช้ความคิด ปราการมองดูท่าทีตะวัน ก่อนตัดสินใจถามขึ้น
“แล้วนายจะเอายังไงต่อไปครับ”
ยังไม่ทันที่ตะวันจะตอบ เสียงโทรศัพท์ผ่านดาวเทียมก็ดังขึ้น ตะวันมองอย่างชั่งใจก่อนกดรับสาย
นายพลยี่เส่งพูดโทรศัพท์จากในค่ายละแวกตะเข็บชายแดน สองคนคุยสายกัน
“ในที่สุดก็ยอมรับสายเสียทีนะคุณตะวัน”
“ขอโทษด้วยครับ พอดีผมกำลังยุ่งๆ”
“ผมรู้ว่าตอนนี้คุณมีเรื่องให้ต้องปวดหัว แต่ ผมว่า คุณคงไม่อยากปวดหัวเพิ่มขึ้นแน่”
“ผมรู้ครับ เรื่องเงินค่ายา ผมจะให้คนที่สวิตจัดการให้ท่าน แต่ขอเวลาผมเคลียร์เรื่องทางนี้ก่อนครับ”
“ถ้าคุณรับปากแบบนี้ก็ไม่มีปัญหา ว่าแต่ต้องการความช่วยเหลืออะไรก็บอก แต่ต้องมีค่าน้ำร้อนน้ำชานิดหน่อยนะ เพราะลูกน้องผมก็ต้องกินต้องใช้ คุณเข้าใจนะ”
“ผมทราบครับ แต่ตอนนี้ยังได้อยู่ ขอบคุณท่านมากครับ”
“งั้นก็รบกวนแค่นี้แหละ แล้วจะรอฟังข่าวดี”
“ครับ”
ตะวันกดวางสายนึกสะท้อนใจ ท่าทางคิดหนัก สีหน้าสับสน จับต้นชนปลายไม่ถูก ปราการมองตะวันอย่างเห็นใจ
ชบาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เดินเช็ดผมออกมานั่งที่โต๊ะเครื่องแป้ง มองสบตาเงาตัวเองในกระจกพร้อมรอยยิ้มดีใจเมื่อความคิดบางอย่างผุดขึ้นในหัว
ชบามองภูผาด้วยความคับแค้นใจตะวันหันกลับไปมองชบาแล้วบอกกับลูกน้อง
“ฆ่ามันซะ”
ภูผาอึ้ง พยายามหาทางแก้ไขสถานการณ์เลวร้ายนี้ ปราการเล็งใส่ชบาเตรียมเหนี่ยวไก ชบาตัวสั่นกลัวจับใจน้ำตาไหล ยอมรับชะตากรรม เสียงภูผาดังก้องขึ้น
“เดี๋ยว ถ้าแกฆ่าเธอ ไอ้ตะวันตายแน่”
ทุกคนตะลึงหันไปมองพากันแปลกใจ เพราะภาพที่เห็นคือภูผาจ่อปืนไปที่ตะวัน ทั้งหมดกวาดปืนใส่ภูผาแทบจะพร้อมกัน ภูผากัดฟันกรอดพร้อมยอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อช่วยชบา ชบามองภูผาด้วยความประหลาดใจ ตะวันถอดแว่นออก ระเบิดหัวเราะออกมาอย่างเคียดแค้นประสมสาสมใจอยู่ในที
“ฮ่าๆๆ ในที่สุดมึงก็เปิดเผยตัว ไอ้ไส้ศึก”
“กูก็รอวันนี้มานานแล้ว วันที่กูจะกำจัดคนชั่วอย่างมึงได้สักที ไอ้ตะวัน”
ปราการมองอย่างเคียดแค้นชิงชัง ชบาพยายามทำความเข้าใจ สมุนคนอื่นๆ เตรียมลั่นไกใส่ภูผาทุกวินาที
“หึ ทำไมพูดจาอย่างไม่ให้ความเคารพกันขนาดนั้นละ ภูผา ถ้ามึงยิงกู ไม่ใช่มึงคนเดียวที่จะร่างพรุน นังตำรวจนี่ก็ต้องตายพร้อมไปกับมึงด้วย วางปืนซะเถอะ”
ภูผาคิดหนัก ก่อนจะบอกไปว่า “ปล่อยตำรวจไป แล้วฉันจะวางปืน”
ชบาสับสน แต่แทบจะไม่ละสายตาไปจากภูผาสักเสี้ยวสายตา ภูผายิ้มมุมปากกวนๆ ใส่ น้ำตาชบาอยู่ดีๆ ก็เริ่มคลอ
ตะวันยิ้มใจเย็น ก่อนพยักหน้าให้ลูกน้องที่อยู่ใกล้
“ปล่อยมัน”
ชบาจำใจเดินจากไป ก่อนจะหันกลับมามองภูผาอย่างห่วงใย ภูผาพยักหน้าให้หนี ชบารับรู้แล้วรีบวิ่งออกไปจากตรงนั้นโดยไว ในขณะที่ภูผามองลุ้นตามชบาที่วิ่งหนีไปนั้น
ชบาทิ้งตัวลงนอนตาแป๋วมองเพดาน นึกทบทวนถึงความสัมพันธ์กับภูผาที่ผ่านมา
ตั้งแต่เริ่มจากเจอกันครั้งแรก แล้วเข้าใจผิดว่าเป็นโจรวิ่งราว มาเจอกันอีกครั้งที่ร้านปลา ได้ขอโทษขอโพยที่เข้าใจผิด นางต้องมาสลดหดหู่ผิดหวังโคตรเมื่อรู้ว่าเขาเป็นโจร แต่มาเริ่มสงสัยว่าตะวันเป็นสาย จนในวันที่แม่เสียภูผากอดซบร้องไห้กับอกเธอ ภาพโดนภูผาจูบดูจะตราตรึงสุดๆ จนชบารู้สึกเขินเมื่อนึกถึง นางออกอาการขนลุกเกรียว
“จะบ้าไปกันใหญ่แล้วเรา พรุ่งนี้จะไปถามให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย”
รุ่งเช้าวันใหม่ ภูผานอนเปลือยหลับอยู่บนเตียง ถึงกับสะดุ้งยกปืนที่อยู่ข้างตัวขึ้นเล็งใส่เมื่อรู้สึกได้ถึงการก้มลงมาของใครคนหนึ่งที่ตรงหน้า ภูผารวบตัวผู้มาเยือนทุ่มลงบนเตียง พอเห็นว่าเป็นชบาก็ตกใจ สบตาซึ้ง ก่อนจะปล่อยตัว ถามขึ้นอย่างเป็นห่วง
“เป็นอะไรรึเปล่า”
ชบาหันมาตาเขียวใส่
“ถามได้ ลองโดนปืนโขกหัวดูบ้างซิ”
พร้อมกับว่านางเอามือยีหัวอย่างหัวเสีย ภูผาหน้าเจื่อนไปถนัดตา
“ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจ”
“นี่ขนาดไม่ตั้งใจนะ ยังเจ็บขนาดนี้”
ภูผาเข้าไปดู
“ไหนดูซิ”
“โนรึเปล่า”
“ไม่”
ชบาชักสีหน้าอารมณ์บ่จอย แต่รู้สึกดีที่ภูผาเป็นห่วง
“แล้วมาทำอะไรห้องผมแต่เช้าเนี่ย”
ชบายิ้มเขินเมื่อถูกถาม ภูผาดักคออีกว่า
“อย่าบอกนะว่ามาเยี่ยมน้องปลาอีก”
ชบายิ้มเขิน “เปล่า มาขอบคุณนายที่ช่วยชีวิตฉันไว้เมื่อวาน”
ภูผายิ้มกว้างอารมณ์ดี
“ไปอาบน้ำซะ เดี๋ยวจะได้กินข้าว”
พร้อมกับว่าชบาเดินไปที่โต๊ะอาหารราวกับเป็นห้องตัวเองก็ไม่ปาน ภูผาเปิดผ้าห่มสำรวจน้องชาย ยิ้มอารมณ์ดี
ภูผาอาบน้ำเสร็จเดินออกมาแล้วชะงักด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นอาหารชุดใหญ่ตั้งรออยู่บนโต๊ะ
“โอ้โห อะไรเนี่ย ใครไปสั่งโต๊ะจีนมา”
ชบานั่งรอท่าอยู่มองค้อนวงใหญ่ที่ถูกแซว
“นั่งซิ”
ภูผาทำตามอย่างว่าง่าย
“ทำเองหรือซื้อมาเนี่ย”
“ถามได้ ก็ซื้อน่ะซิ” ชบาประชดอยู่ในที
ภูผามองขำๆ ก่อนตักชิม
“ก็ยังดีที่รู้จักซื้อของอร่อย”
ชบายิ้มรับเอาคำก่อนชวนคุย
“ได้คืนสถานะแล้วจะทำอะไรต่อ”
ภูผาอึ้งไปนิดเมื่อถูกถาม
“ยังไม่รู้ ยังไม่ได้คิด แต่อย่างแรกที่จะทำคือ บอกให้ที่บ้านรู้ว่าไม่ใช่อย่างที่พวกเค้าคิด”
ชบาเห็นงามด้วย “ถูกต้องนะครับ”
ภูผายิ้มอารมณ์ดี
“แล้วจากนั้น”
ภูผาทำเป็นอึ้งคิด
“นึกออกแล้ว ถ้าผมได้คืนยศ ก็คงเป็นสารวัตร อย่างแรกที่จะทำคือ ลงโทษ พวกนอกแถวที่ชอบทำอะไรนอกเหนือคำสั่ง”
พร้อมกับว่า ภูผายังทำหน้าตาประกอบบอกให้รู้ว่า คนที่พูดถึงคือ ชบา นั่นเอง ชบากลืนน้ำลายฝืดคอ ก่อนบอกประชดขึ้นว่า
“แล้วแต่ท่านแล้วกันนะคะ ถ้าอยากใช้อำนาจหน้าที่แก้แค้นส่วนตัวก็เชิญ”
“โอเค งั้นตกลงตามนี้”
ชบาโมโหขึ้นมาติดหมัด หยิบขนมจีบปาใส่ ภูผารับเอาไว้ ได้ทัน
“แบบนี้ ต้องเพิ่มอีกกระทงแล้วมั้ง ทำร้ายผู้บังคับบัญชา”
ภูผายัดขนมจีบเข้าปากเคี้ยวหยับๆ
“ก็ได้ แต่ช่วยบอกล่วงหน้าหน่อยนะ จะได้ให้ลูกปืนแทนขนมจีบ จะได้เอาไว้เป็นหลักฐาน”
“โหด”
“เพิ่งรู้รึไง”
ภูผารีบก้มหน้างุด แกล้งทำเป็นกลัวไม่กล้าสบตา
ความเงียบทำหน้าที่ไปครู่หนึ่ง จนชบาถามขึ้นอย่างเป็นจริงเป็นจังว่า
“แล้วไม่กลัวพวกนายตะวันกลับมาเล่นงานเหรอ”
“ไม่กลัว ถ้าคิดจะเป็นตำรวจแล้วกลัวคนร้ายกลับมาแก้แค้น ก็อย่าเป็นดีกว่า”
ชบายิ้มยินดีเมื่อได้ยินคำนี้
ภูผายิ้มตอบ ทั้งที่ลึกๆ ออกอาการกังวลใจเมื่อนึกถึงบางอย่างขึ้นมาในหัว
เบอร์ในจอโทรศัพท์ที่ขึ้นโชว์อยู่เป็นเบอร์ของปานวาด ภูผากำลังมองอยู่อย่างชั่งใจ ก่อนจะหันไปมองชบาที่ล้างชามอยู่ในครัว
ภูผาตัดสินใจโทร.หาในที่สุด หากแต่เสียงปลายสายดังแต่ไม่มีคนรับ ภูผาจึงกดวางสายอย่างผิดหวัง แล้วเปลี่ยนเป็นพิมพ์ข้อความส่งไปแทนว่า
“รักษาตัวด้วย เป็นห่วง ภูผา”
ปานวาดอยู่ที่ร้านอาหารมุมหนึ่งในกรุงเทพ มองจ้องข้อความจากภูผาด้วยสีหน้าหนักใจเมื่อได้อ่าน
ภูผาวางโทรศัพท์ลง เมื่อเห็นชบาเดินเข้ามาหา
“ไปยัง”
“ไปไหน”
“ไปเถอะน๊า แล้วรู้เอง”
ชบาหยิบกระเป๋าลากภูผาให้เดินตามออกมา
ไม่นานต่อมาทั้งสองยืนอยู่หน้าช่องขายตั๋วสวนสนุก ไดโนเสาร์ แพลเนต ย่านสุขุมวิท ภูผาอึ้งมองอย่างไม่แน่ใจ ในขณะที่ชบา ตาเป็นมันอยากเข้าเต็มแก่
“เอาจริงอ้ะ”
“มาซะขนาดนี้แล้ว ไม่เอาจริงได้ยังไง”
พร้อมกับว่าชบาหันไปรับตั๋ว ลากภูผาเข้าด้านในไป
ชบากับภูผา ตะลึงตะไลไปกับความอลังการด้านใน ทั้งสองคนเที่ยวชมในส่วนต่างๆ ของสวนสนุกไม่ต่างจากตอนที่ภูผาพาปานวาดไปเที่ยวชมปลา แต่คราวนี้เป็นชบานำ และทำให้ภูผามีความสุข
ชบาเก๊กท่าตลกๆ ถ่ายรูป กับไดโนเสาร์ กะ โชว์ของในเฟสบุ๊ก และ ไอจีของนาง ทั้งสองคนถ่ายรูปร่วมกัน แล้วมาเล่นเกมใน PARK ยิงปืนดวลฝีมือกัน แต่ชบาแพ้ นางงอนใส่ จนภูผาต้องง้อ ดูน่ารักมุ้งมิ้ง เหมาะสมกันราวกับเป็นคู่รัก ภูผาเอาใจเดินไปซื้อไอติมมาให้ เห็นไอติมเลอะติดปากภูผา ชบาเช็ดให้ สองคนสบตากันลึกซึ้ง
ปานวาดเดินอยู่ทอดน่องปล่อยความคิดมาตามฟุตบาท ท่ามกลางหมู่คนในย่านชุมชน สีหน้าท่าทางของเธอสับสน ไม่มีที่ไป จนเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นหมอกโทร.มา โดยยังเบอร์เดิมในชื่อเมฆ
ไม่นานต่อมาหมอกกับหลินออกมารอรับอยู่หน้าบ้านสวน เมื่อรถแท็กซี่แล่นเข้ามาส่งปานวาด ปานวาดลงจากแท็กซี่มองสบตาหมอก
หมอกเอาน้ำมาให้หลินที่นั่งคุยกัน โดยมีหลินนั่งฟังอยู่ด้วย
“ถ้าไม่มีที่ไป ก็อยู่กับพวกเราก่อนก็ได้”
“ขอบคุณค่ะ แต่จะเป็นการรบกวนพวกคุณรึเปล่า”
“ไม่เป็นไรค่ะ ดีซะอีก หลินจะได้มีเพื่อนคุย”
ปานวาดยิ้มรับ รู้ว่าหลินมีน้ำใจ
“ก็ได้ค่ะ” ปานวาดมองหน้าหมอก “วาดมีเรื่องจะบอก”
หมอกมองสบตาตอบ ปานวาดถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนบอกขึ้นว่า
“ภูผาเป็นสายตำรวจจริงๆ”
“ผมรู้แล้ว”
หลินออกอาการหนักใจเมื่อได้ยิน
ปานวาดก็หนักใจไม่ต่างกันหลังตัดสินใจบอกไป
อ่านต่อหน้า 4
ล่าดับตะวัน ตอนที่ 18 (ต่อ)
อีกฟากหนึ่ง ชบานั่งพักเหนื่อยอยู่กับภูผาในร้านอาหารของสวนสนุก ทุบขาตัวเองอยู่อย่างเมื่อยล้า เพราะเดินเที่ยวมาทั้งวัน
“หมดแรงแล้วซิท่า”
ชบาหันมามองสบตา “ใครบอก ต่ออีกสักรอบยังไหว”
“ราคาคุยซะมากกว่า”
ชบางอน ถูกหาว่าโม้ มองค้อน ไม่ได้โกรธจริงๆ ทุบขาตัวเองต่อ ภูผายิ้มขำก่อนบอกขึ้นว่า
“ถอดรองเท้าออกซิ”
“ถอดทำไม”
“ถอดเถอะน่า”
ชบามองภูผา ทำตามอย่างงงๆ ภูผาลงไปคุกเช่าตรงหน้า แล้วจับเท้าชบาขึ้นมานวดให้ ชบาตะลึงมองอย่างตกใจ
“ทำอะไร”
“เฉยไว้ แล้วดีเอง”
ชบาปล่อยให้ภูผานวดให้ แล้วเริ่มรู้สึกดีขึ้นมา มองภูผาที่นวดเท้าให้อย่างสุขใจ ก่อนถามขึ้นว่า
“นายดีกับทุกคนแบบนี้เหรอ”
“เปล่า ผมดีกับคนที่ดีกับผมเท่านั้น”
ชบาแกล้งเนียนถามต่อ “งั้นนายก็ต้องเอาใจผู้หญิงเก่งแน่”
ภูผาอึ้งนิดๆ “ไม่รู้สิ”
“แล้วแฟนนายเค้าว่ายังไง”
“ผมยังไม่มีแฟน”
“โม้”
ภูผาแกล้งพูดใส่ชบา “ผมนะอยากเป็นแฟนเค้า แต่เค้าไม่รู้ว่าเค้าอยากเป็นแฟนผมรึเปล่า”
ชบาอมยิ้มได้ใจ “ระวังนะ ใจดีแบบนี้ อาจทำให้คนอื่นเค้าเข้าใจผิดได้”
“เรื่องแค่เนี่ยนะ ไม่ใช่แฟนทำแทนก็ได้”
ชบายิ้มพอใจ
ภูผาแหย่ทีเล่นทีจริง “อย่าบอกนะว่า คุณคิด”
ชบาอึ้งหน้าเจื่อน ตกใจในคำถาม ภูผาเองก็อึ้งไปอีก เมื่อรู้สึกได้ว่าชบาคิดจริง ชบาเลยเขินเข้าไปใหญ่ รีบชักเท้าคืน โดยไม่ทันระวังสะบัดโดนหน้าเขา ภูผายกมือจับที่โดนเต๊ะ
“ขอโทษ”
ภูผามองค้อนไม่พอใจ “ขอโทษแล้วมันหายเจ็บมั้ยล่ะ”
ชบามองค้อนหมั่นไส้ แล้วจึงยื่นหน้าเข้าไปจูบหน้าภูผาที่มือจับอยู่
“พอใจยัง”
ภูผายิ้มเขินอย่างยินดี
ค่ำคืนนี้ ดวงจันทร์เหนือบ้านสวนลอยหายเข้ากลีบเมฆสีหม่น เหมือนใจของหมอกยามนี้ที่กำลังจ้องดูดวงจันทร์ด้วยอาการคิดหนัก
หมอกมองตกใจเห็นเมฆบาดเจ็บ ก่อนรีบตรงเข้าไปหา
“ใครทำแก”
เมฆสำลักเลือดตอบไม่ได้ หมอกคอยเช็ดเลือดให้เมฆจับมือหมอกไว้แล้วกลั้นใจพูดสั่งเสีย
“มี...ของ...อยู่ในแจกันที่ร้านดอกไม้” ขาดคำก็สิ้นใจ
หมอกตะโกนสุดเสียง “เมฆ”
หมอกนิ่งมอง กองฟืนที่เขากองขึ้นเพื่อเผาร่างเมฆ แววตาของเขายังคงแข็งกร้าว แต่แฝงความเศร้าไว้ลึกๆ ในนั้นบอกกับร่างไร้วิญญาณของเมฆ
“หลับให้สบายเมฆ”
หมอกจุดไฟแช็คแล้วโยนใส่กองฟืนที่ราดน้ำมันไว้แล้ว เปลวไฟลุกติดโหมไหม้ขึ้นทันควัน ลุกลามกลายเป็นกองเพลิงกองใหญ่เผาร่างเมฆหมอดไหม้ในพริบตา
“แกไม่ต้องเป็นห่วง ใครที่มันทำกับแก จะต้องตามไปหาแกในไม่ช้า ฉันสัญญา”
หมอกยืนนิ่งมองร่างไร้วิญญาณของเมฆไหม้ไฟ
นึกถึงตอนนี้ดวงตาของหมอก คล้ายเกิดความสับสน
ยิ่งเมื่อนึกไปถึงตอนหลินดึงมือตัวเองออก แล้วโอบประคองหน้าหมอกมาพิงที่ไหล่ตัวเองแล้วบอกปลอบขึ้นว่า
“ถ้าการแก้แค้นมันทำให้คุณเจ็บปวดขนาดนี้ละก็ เลิกมันซะเถอะคะ เพื่อคุณจะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์กับมัน แล้วเราไปอยู่ในโลกของเราสองคนดีกว่ามั้ยคะ”
หมอกหนักใจถึงขีดสุด จนเสียงไม้เท้าเคาะพื้นดังขึ้น เรียกให้เขาตื่นจากภวังค์ หมอกหันมองไป เห็นหลินเดินมาหาจึงเข้าไปประคอง
“ทำอะไรอยู่คะ”
หมอกอึ้งไปนิดๆ “กำลังคิดเรื่องบางอย่างอยู่”
“เรื่องคนที่ชื่อภูผาใช่มั้ยคะ”
หมอกยิ้มรับหน้าเจื่อนๆ “ใช่”
“แล้วคิดตกรึยังคะ”
หมอกแปลกใจ “คุณรู้ได้ยังไงว่า ผมยังคิดไม่ตก”
“ก็เสียงหายใจคุณดังเสียขนาดนั้น” หลินพูดขำๆ
หมอกพลอยหัวเราะขำออกมาด้วย
“นี่ผมหายใจดังขนาดนั้นเลยเหรอ” หลินอมยิ้มไม่ตอบ “แล้วคุณคิดว่ายังไง”
หลินอึ้งไป นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “จับคนผิดต้องีหลักฐานนะคะ”
“แต่เค้าก็มีความเป็นไปได้มากที่สุดแล้วที่จะเป็นคนยิงเมฆ”
“พูดแบบนี้แสดงว่าไม่เคยดู โคนัน”
“คุณรู้จักด้วยเหรอ”
“หลินแค่ตาบอดกนะคะ ไม่ได้หูหนวก ถึงจะไม่เห็นก็ยังฟังเสียงได้”
หมอกหัวเราะขำ
“คนร้ายโดยมากจะเป็นคนที่เราคาดไม่ถึงเสมอ”
“ก็เป็นไปได้”
“ถ้าคิดว่ายังไม่แน่ใจ ก็อย่างเพิ่งลงมือทำอะไร รอให้ได้หลักฐานแน่นอนก่อน จะได้ไม่ลงมือผิดตัวไงคะ”
หมอกยิ้มเห็นด้วย
“ผมเชื่อคุณ”
พร้อมกับว่าเขาสวมกอดคนรักเอาไว้กระชับวงกอดแนบแน่น
ปานวาดที่แอบฟังอยู่โล่งใจ
ปานาดล้มตัวลงนอนมองเพดานด้วยอาการใช้ความคิดหนัก นึกถึงแต่ภูผา
ตะวันหนีไปโดยมีอัคคเดชไล่ตามมา แต่แล้วอัคคเดชต้องชะงัก เพราะปานวาดเล็งปืนใส่อัคคเดชรู้ตัวหันมาช้าๆ จำได้
“แกตายแน่วันนี้ อัคคเดช”
ภูผาตามมาทัน จับแขนปานวาดรวบไว้ทางด้านหลัง บอกกับอัคคเดชว่า
“รีบตามมันไปเถอะครับ ผู้กำกับ ทางนี้ผมจัดการเอง”
“ฝากทางนี้ด้วยนะ ภูผา”
ปานวาดแปลกใจ อัคคเดชแล่นจากไป
“วาด รีบหนีไปซะ”
ปานวาดนิ่ง ก่อนจะค่อยๆ หันมาสบตาภูผา
“นายเป็นสายตำรวจเหรอ ภูผา”
“ผมพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้คุณปลอดภัย”
ปานวาดตวาด “ไม่ได้ยินที่ฉันถามเหรอ”
“เดี๋ยวผมจะอธิบายทุกอย่างให้คุณฟัง แต่ผมขอให้คุณรีบหนีไปจากที่นี่ก่อน”
มีเสียงชบาแทรกขึ้น หนักแน่นและจริงจังมาก
“ไม่มีใครหนีไปไหนได้ทั้งนั้น”
ปานวาดชักปืนใส่ชบา ภูผาสบถในใจเวรเอ๊ย ก่อนตัดสินใจเดินแทรกเข้าไปตรงกลางวิถีกระสุน แล้วเอาอกตัวเองแนบกับปลายกระบอกปืนของชบา ทำเอาผู้หมวดสาวต้องประหลาดใจอีกคำรบ
“นี่นาย”
“วาด รีบไปจากที่นี่”
ปานวาดหันไปดูด้านหลัง เห็นพวกยักษ์กับมนตรีและตำรวจคนอื่นๆ วิ่งตามมา ภูผาล็อคปืนของชบาไว้ เร่งปานวาด
“เร็วสิ”
ปานวาดเป็นห่วงไม่คลาย “แต่นาย”
“ผมเป็นสายตำรวจ ผมหลอกพวกคุณมาโดยตลอด ทีนี้ไปได้รึยัง”
ปานวาดยิ่งหนักใจตัดสินใจไม่ถูก หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เปิดเบอร์ภูผาขึ้นมาทำท่าจะโทร.ออก
อีกฟากหนึ่งเบอร์ในจอโทรศัพท์เป็นเบอร์ของปานวาด ภูผานั่งอยู่ตรงระเบียง กำลังมองอย่างชั่งใจว่าจะโทร.ดีไม่โทร.ดี ทั้งสองทำท่าจะกดโทร.ออก สุดท้ายเปลี่ยนใจ ปิดเครื่องไปทั้งคู่
สองคนเลยได้แต่นอนคิดถึงอีกฝ่ายอยู่ในใจ
ก่อนเสียงโทรศัพท์ของภูผาจะดังขึ้น ภูผารีบหยิบมาดู แต่เบอร์ที่โชว์เป็นชบา ภูผากดรับสาย
ชบาอยู่ที่ห้อง นางอยู่ในชุดนอนขณะกำลังพูดสายโทรศัพท์กับภูผา
“นอนรึยัง”
“กำลังจะนอน ทำไม”
“ไม่มีอะไร แค่จะโทร.มาถามว่า พรุ่งนี้จะไปหน่วยพร้อมกันรึเปล่า”
“เอาดิ เดี๋ยวผมไปรับ”
“โอเค งั้นแค่นี้นะ ราตรีสวัสดิ์”
ภูผาเซ็งไรวะ “แค่เนี้ย”
“แล้วจะให้ทำอะไร”
“ก็ทำแบบที่คนอื่นเค้าทำกันไง”
“คนอื่นใช่มั้ย งั้นวางสาย”
“เดี๋ยว คนกันเองก็ได้”
ชบายิ้มแก้มแทบแตก “ค่อยรื่นหูหน่อย”
ชบาจูบโทรศัพท์ฟอดใหญ่ ภูผายิ้มรับจูบนั้น
“พอใจยัง”
“ยัง”
“อะไรอีกล่ะ”
“ก็ต่อไง”
“ได้คืบจะเอาศอก เดี๋ยวแม่ก็แถมเข่าให้ด้วยหรอก เอามั้ย”
ภูผาสยอง “เก็บไว้วันหลังก็ได้”
“งั้นแค่นี้นะ”
ภูผาวางสายยิ้มกับตัวเอง ก่อนที่หน้าเปื้อนยิ้มจะเจื่อนลงไป ถอนใจเฮือกใหญ่ คิดหนักเรื่องนางโจรยอดดวงใจเหมือนเดิม
วันใหม่ วันนี้ ยักษ์กับมนตรีนั่งมองหน้ากันอยู่ในหน่วย
“แกว่ามั้ยว่า มันเหมือนขาดอะไรไป”
ยักษ์พยักหน้าเห็นด้วย สีหน้าเซ็งๆ
“เหงาหูชะมัด ไม่มีเสียงหมวดอ้อยมาค่อย แว้ดๆ ใส่”
“ก็ไปเยี่ยมซิ เผื่อหมวดจะซึ้งในน้ำใจ ที่ยังเป็นห่วงเป็นใยในยามยาก”
“ธุระไม่ใช่ อย่าไปดีดว่า เกิด พวก ปปป. เข้าใจผิดว่ามีเอี่ยวด้วยขึ้นมา จะต้องไปนั่งกินกาแฟโดยใช่เหตุ”
ยักษ์หัวเราะขำท่าทางของมนตรี ก่อนที่ทั้งสองจ่าจะหันไปทางประตูมองอย่างแปลกประหลาดใจ เมื่อเห็นชบาเดินมากับภูผาอย่างสนิทสนม
ยักษ์กับมนตรีหันมามองหน้ากัน แปลกใจสุดๆ
“อะไรกันนี่หมวด สนิทกันเร็วไปรึเปล่าครับ” มนตรีแซว
ชบามองอย่างไม่พอใจอยู่ในที
“แล้วเกี่ยวอะไรด้วย”
“เกี่ยวซิครับ ในฐานะ เจ้ากรมข่าวกรองประจำหน่วย ก็ต้องรู้ความเคลื่อนไหว และความเป็นไปของทุกคนในหน่วย”
“แถวเรียก ส ใส่เกือก” ชบาด่า
“ชะอุ้ยแรง”
คนอื่นหัวเราะขำ
ชบาบอกกับภูผาว่า “ท่านคะ พฤติกรรมแบบนี้ เข้าค่ายไม่ให้เกียรติผู้บังคับบัญชารึเปล่าคะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว” ภูผารับมุก
“งั้นลงโทษยังไงดีคะ”
มนตรีไม่เชื่อ “อย่ามาอำกันดีกว่า หมวด อ่อนๆ แบบนายคนนี้ อย่างมากก็จ่าเท่ากันกับผม”
ภูผายิ้มขำก่อนบอกขึ้นว่า
“ตอนผมเริ่มเป็นสาย ผมเป็นนักเรียนนายร้อยปีสี่ ผมเป็นสายมาสิบปี ถ้าทำงานธรรมดา ก็น่าจะเป็นผู้กอง แล้วยิ่งปิดคดีใหญ่อย่างนายตะวันได้ อย่างน้อยก็น่ามีมีมงกุฎครอบดาว”
มนตรีได้ฟังถึงกับกลืนน้ำลายฝืดคอ ก่อนยกมือทำความเคาระพ
“ขอโทษครับท่าน”
“ไม่เป็นไร”
มนตรียิ้มหน้าเจื่อน จ๋อยสนิท
“ขอบคุณครับที่ไม่ถือสา คนปากไม่ดีอย่างผม”
ภูผายิ้มให้ หากแต่ชบากลับสวนขึ้นทันควันว่า
“เดี๋ยวจ่า”
มนตรีชะงัก
“อะไรเหรอครับ”
“สารวัตรท่านไม่เอาผิดจ่า แต่ฉันไม่”
มนตรีสะดุ้ง “ชะอุ้ย”
“รอบเสาธงสิบรอบ ปฏิบัติ”
มนตรีจ๋อยหนัก “เอาจริงเหรอ”
“คิดว่าฉันเป็นเพื่อนเล่นรึไง”
อัคคเดชเดินเข้ามาพอดี ทั้งหมดหันไปทำความเคารพ
อัคคเดชยิ้มทักภูผา “มาแล้วเหรอ นึกว่าจะพักอีกสักสองสามวัน”
“พอดีไม่มีอะไรทำ ก็เลยมารายงานตัวครับ”
ทั้งสามคนเข้ามาคุยกันต่อในห้องผู้กำกับ อัคคเดชเอ่ยขึ้นว่า
“ทำเรื่องขอเบิกแฟ้มไปแล้ว แต่ทำเรื่องได้อาทติย์หน้า”
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องรีบก็ได้”
อัคคเดชงั้นก็เป็นอาทิตย์หน้าแล้วกัน
“ครับ”
ชบาไม่สบายใจเรื่องหมวดอ้อย “แล้วพี่อ้อยล่ะคะจะเป็นยังไงต่อไป”
“ถูกให้ออกจากราชการ เพราะปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แล้วตั้งคณะกรรมการสอบ หากมความผิดจริงต้องโดนดำเนินคดีให้ถึงที่สุด”
ชบาถอนใจเฮือกใหญ่ด้วยความสงสาร
“น่าสงสารพี่อ้อยนะคะ”
“เค้าเลือกทางนี้เอง เราช่วยอะไรเค้าไม่ได้หรอก” อัคคเดชว่า
“แล้วตอนนี้หมวดอ้อยอยู่ไหนครับ” ภูผาถาม
“กำลังทำเรื่องขอประกันตัวอยู่”
“ให้ประกันตัวไปแบบนี้จะดีเหรอครับ”
อัคคเดชแปลกใจ “ทำไม”
“ก็นายตะวันยังไม่ถูกจับ แล้วนิสัยอย่างนายตะวันคงไม่ปล่อยหนวดอ้อยไว้แน่แบบนี้”
อัคคเดชอึ้งไป
“แต่ตอนนี้นายตะวันยังหนีการจับกุมอยู่นะ”
“แต่นายตะวันมันพวกพันธุ์หมาบ้า กัดไม่เลือกหน้า โดยเฉพาะอย่างยื่งยามที่มันจนตรอกแบบนี้”
อัคคเดชคิดหนัก ไม่ต่างจากชบากับภูผา
อ่านต่อตอนที่ 19