xs
xsm
sm
md
lg

รอยรักแรงแค้น ตอนที่ 6

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


รอยรักแรงแค้น ตอนที่ 6

คิมหันต์และมุกริน นั่งเคียงข้างกันอยู่ในเรือสปีดโบ๊ตลำนั้น ที่แล่นทะยานมาในท้องทะเลกว้าง สองคนทอดสายตาไปไกล คงจะกำลังคิดถึงเหตุการณ์คืนวานนี้

ส่วนพักตรานอนร้องไห้อยู่ในห้องนอนที่บ้านเพียงลำพัง หวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกลางดึกที่ผ่าน
ชายหาดริมทะเล
ดวงดาวยืนร่อนหินเล่นลงบนผืนน้ำ สายตาคล้ายกำลังนึกทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมาหมาดๆ
บนเรือสปีดโบ๊ตลำนั้น คิมหันต์หยิบโทรศัพท์มือถือของตนและมุกรินขึ้นมาปิดเครื่อง และโยนทิ้งลงไปในเรือ แล้วจึงโอบร่างของมุกรินกอดแนบตัวเขาไว้แน่น

ดวงดาวยืนซื้อเครื่องดื่มในแก้วทรงสวยอยู่ตรงร้านกาแฟตกแต่งน่ารักของโรงแรม ทีมงานฝ่ายศิลปกรรมสามคนเดินเข้ามาหาเธอ
“พี่มุกกลับมารึยังครับ” ทีมงาน 1 ถาม
“ไม่ทราบค่ะ ไม่เห็นเหมือนกัน”
“แกออกไปด้วยกันกับคุณคิมหันต์รึเปล่าครับ”
“เอ...ยังไงก็ไม่ทราบค่ะ”
“คุณโทร.ติดต่อพี่มุกได้มั้ยครับ”
“ไม่ทราบสิคะ ยังไม่ได้ลองโทร.ดูเลย”
ถามอะไรก็ไม่ได้คำตอบ จนทีมงานเริ่มรู้สึกระอา
“งั้นผมรอให้คุณทราบอะไรมากกว่านี้ แล้วจะมาถามใหม่นะครับ”
“ยินดีค่ะ”
ทีมงานขยับจะเดินออกไป แล้วทีมงาน 1 คนเดิม จึงหันมาพูดอีกครั้ง
“อ้อ ถ้าบังเอิญ พี่มุกกลับมาแล้วไม่เจอพวกเรา ฝากบอกด้วยว่า เราไปเดินเล่นแถว out let เดี๋ยวมาครับ”
“ได้ค่ะ”
ทีมงานพากันเดินออกไปเลย
ดวงดาวนั่งดื่มน้ำแก้วนั้น หน้าตานิ่งเฉย ไม่อินังขังขอบหรือเดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างใด

เกาะสวยแห่งนี้ทั้งเกาะ ขนาดไม่ใหญ่นัก สภาพโดยทั่วไปเต็มไปด้วยต้นไม้และชะง่อนหิน ส่วนที่เป็นหาดทรายสีขาว ไม่กว้าง ไม่ใหญ่ ไม่ยาว แต่สะอาดตา คิมหันต์ขับเรือลำนั้นแล่นเข้ามาจอดบริเวณเวิ้งน้ำหน้าหาด

มุกรินอยู่บนเรือ เอ่ยปากถามภายหลังจากที่คิมหันต์โยนสมอเรือลงน้ำ
“พามุกมาที่นี่ทำไม”
“ผมต้องการอยู่กับมุกตามลำพัง”
“ทำเหมือนเป็นเด็กแอบหนีเที่ยวตอนจีบกันใหม่ๆ งั้นแหละ”
“ก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่ เพราะผมกำลังจีบมุกอีกครั้ง”
“หลังจากประกาศถอนหมั้นมุก และเพิ่งจะหมั้นกับสาวคนใหม่หมาดๆ”
“ถ้ามุกยังไม่ก้าวพ้นเรื่องนี้ ผมคงต้องใช้เวลานานกว่าจะจีบติด เราอาจจะต้องค้างคืนที่นี่ซักสองสามคืน”
คิมหันต์คว้าถุงทะเลกันน้ำของเขา กระโดดลงไปในน้ำ เขาเอื้อมมืออุ้มมุกรินลงจากเรือ แล้วพาเดินลุยน้ำขึ้นเกาะ

สองคนเดินเข้ามากลางหาด คิมหันต์หยิบกล้องถ่ายรูปของเขาออกมาจากถุงทะเลใบนั้น ทั้งสองมองบรรยากาศรอบๆ ตัว
คิมหันต์เมื่อวานตอนเย็นๆ ผมยืนอยู่บนหาดหน้าโรงแรม มองมาที่ขอบฟ้าฝั่งนี้ ก่อนพระอาทิตย์ตก มันสวยมาก ยังกะภาพวาดเลย รู้มั้ย
“มุกก็มองอยู่เหมือนกัน”
“มันเหมาะจะเป็นเกาะสำหรับการฮันนีมูนจริงๆ”
“คิมก็บอกพักตราสิคะ”
คิมหันต์ หันไปจ้องหน้ามุกรินเต็มๆ ตา แล้วจึงเอ่ยปากอย่างชัดถ้อยชัดคำออกไปอีกว่า
“ผมกำลังยืนอยู่ต่อหน้าคุณ บนเกาะที่ไม่มีใครอื่น ทุกคำพูดของผมที่นี่ ผมตั้งใจพูดกับคุณ ด้วยความรู้สึกที่มีต่อคุณคนเดียว”
“แต่ก็เป็นการพูดลอยๆ ที่ไม่มีพยานยืนยัน”
“พยานของผมคือผืนฟ้าและท้องทะเล รวมทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์และผีปู่ผีย่าที่ปกปักษ์รักษาเกาะนี้”
มุกรินชะงัก นิ่วหน้า “ที่นี่มีผี”
คิมหันต์ตอบรับด้วยการพยักหน้าช้าๆ
“มันเป็นตำนานที่เล่าขานกันมาหลายชั่วอายุคน”
มุกรินเริ่มสนใจ
“เล่าว่า...”
“สาเหตุที่ไม่มีใครกล้าเหยียบขึ้นมาบนเกาะนี้ เพราะทุกคนกลัวคำสาป”
“ถามจริง”
“คนเฒ่าคนแก่ ฝั่งนู้น เขาเชื่อกันทุกคน”
คิมหันต์เดินพูดไปรอบๆ หาด
“พวกเขาเชื่อว่า ร้อยกว่าปีที่แล้ว มีคู่รักคู่หนึ่ง ล่องเรือหนีมาด้วยกัน จนมาพบเกาะนี้ พวกเขาตัดสินใจปักหลักใช้ชีวิตตามลำพังด้วยกันที่นี่ แต่แล้ววันนึงพ่อแม่ ญาติพี่น้องและคนรักเก่าของพวกเขาก็ตามมาจนถึงหน้าหาด ทั้งสองจึงตัดสินใจมัดตัวเองเข้าด้วยกัน และถ่วงด้วยหิน ก่อนกระโดดลงไปจบชีวิตใต้ท้องทะเล เพื่อพิสูจน์รักแท้”
คิมหันต์เหลือบมองดูมุกริน ก่อนพูดต่อ
“ทุกคนในที่นั้น ทั้งโกรธทั้งเสียใจ จึงทำพิธีสาปแช่งต่อเทพยดาฟ้าดินว่า หากมีหนุ่มสาวคู่ใดพากันมาเหยียบบนเกาะนี้ โดยไม่มีรักแท้ให้กัน ขอให้มันผู้นั้นจงพบกับความวิบัติ อัปมงคลจนถึงกับชีวิต บนเกาะนี้ทุกรายไป”
มุกรินนิ่ง อึ้ง ไปกับเรื่องราวที่เธอได้ฟัง แล้วจึงหันไปจ้องมองคิมหันต์
“แน่ใจนะ ว่าคิมไม่ได้แต่งเรื่องนี้ขึ้นมาเอง”
“คุณถามชาวบ้านแถวนี้ได้ ถ้ามีโอกาสกลับขึ้นฝั่ง”
มุกรินอึ้งอีก “หมายความว่าไง ถ้ามีโอกาสกลับขึ้นฝั่ง”
“ก็อาจจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับเรา ถ้าคุณไม่มีรักแท้ให้ผม”
“คิม...”
“ผมพูดจริงๆ”
“ถามใจคิมเองดีกว่า ว่ามีรักแท้ให้มุกแน่เหรอ”
“ผมถึงได้พามุกมา เพื่อพิสูจน์ให้เห็นไง”
“จะชวนมุกโดดน้ำตายที่นี่เหรอ”
“ผมจะชวนมุกแต่งงาน ที่นี่ต่างหาก”
เสียงฟ้าแผดเสียงคำรามคำรณดังลั่น พออนุมานได้ว่า แสดงความยินดีกับสองคนกระนั้น

ที่กรุงเทพฯ หมู่เมฆฝนสีดำเคลื่อนตัวปกคลุมผืนฟ้าเหนือบริษัท Fast Track ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องคำรามคำรณดังอีกเป็นระลอก มะปราง เลขาสาวโผล่หน้าเข้ามาในห้องทำงานปรารภ
“พี่รภคะ โทรศัพท์จากน้องทีมอาร์ต ที่ประจวบค่ะ”
ปรารภเงยหน้าจากงานบนโต๊ะ เขาเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู
“ฮัลโหล...ว่าไง...อะไรนะ”
ทีมงาน 1 ในทีมศิลปกรรม เดินพูดโทรศัพท์กลางตลาดสด ในอำเภอเมืองประจวบฯ
“พวกเราไม่มีอะไรทำน่ะพี่...พี่มุกก็ไม่อยู่ คุณคิมหันต์ก็หายไป...ก็เลยไม่รู้ว่าจะเอายังไงดี จะกลับเลย หรือต้องอยู่รอพี่มุกก่อน หรือยังไงดีครับพี่ สตางค์ก็ไม่ค่อยจะมี พี่ช่วยแก้ปัญหาหน่อยสิครับ”
“แล้วคุณพักตรา ซีอีโอของเราล่ะ”
“นั่นน่ะหายไปคนแรกเลยครับพี่ เอาไงดีครับ”
“เดี๋ยวพี่เช็คให้นะ แล้วจะโทร.กลับไปบอกอีกที”
ปรารภวางโทรศัพท์ ด้วยอารมณ์หงุดหงิด
“เวรเอ๊ย...”
เขากดอินเตอร์คอม ตะโกนเรียกเลขาของเขา
“มะปราง โทร.หาคุณพักตราให้ผมหน่อย”
เลขาโผล่หน้าเข้ามาในห้องอีกครั้ง “โทร.ไปที่ไหนคะ”
“ไม่รู้ เขาอยู่ที่ไหนก็โทร.ไปที่นั่นน่ะแหละ ให้ผมพูดกับเธอให้ได้ เดี๋ยวนี้”

พักตรานั่งเอนตัวริมสระว่ายน้ำในบ้าน สีหน้าของหล่อนยังมีร่องรอยของความหงุดหงิดปรากฏให้เห็น
ขณะสาวใช้คนเดิมเดินถือโทรศัพท์เข้ามาหาพักตรา
“คุณพักตราคะ มีโทรศัพท์จากบริษัท Fast Track ค่ะ คุณปรารภจะขอเรียนสายด้วย”
พักตราเอ่ยปากโดยไม่มองหน้า
“ฉันไม่อยากคุยด้วย”
“จะให้บอกอย่างนั้นเลยเหรอคะ”
“บอกว่าฉันไม่ว่างสิยะหล่อน”
“ค่ะ”
สาวใช้เดินกลับเข้าไปในบ้าน พร้อมกับก้มหน้าพูดโทรศัพท์เครื่องนั้น ส่วนพักตราหยิบโทรศัพท์มือถือของเธอขึ้นมา เธอกดหมายเลขโทรศัพท์ของคิมหันต์ เสียงในโทรศัพท์ดังออกมาว่า
“...หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้...”
เสียงนั้น มันเป็นการช่วยเพิ่มความหงุดหงิดให้กับพักตรามากขึ้นไปอีก

คิมหันต์และมุกรินเดินเล่นอยู่บนหาดสวยที่ไร้ผู้คน
“เรากำลังทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องรึเปล่า”
“อยู่ที่ว่า มองจากมุมไหน”
“แล้วเราควรจะมองจากมุมไหนล่ะ”
“มุมของเราไง...เราสองคน”
“คิมไม่สงสารพักตราบ้างเหรอ”
คิมหันต์นิ่งไป ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ถ้าเขารู้ว่าคิมอยู่กับมุกอย่างนี้ ถ้าเขารู้ว่าเรามีอะไรกันจริง เขาจะไม่ยิ่งแย่ไปกว่าที่เป็นอยู่นี้อีกเหรอ
“เพราะผมสงสารเขาไง ผมจึงต้องใช้เวลา”
มุกรินแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ในที่สุดคิมก็คือผู้ชายที่เอาเปรียบผู้หญิง คิมมีแต่ได้ แต่มุกกับพักตร์สิ เราสองคนมีแต่เสีย”
“เพราะผมเสียจนไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้วต่างหาก”
มุกรินมองหน้าคิมหันต์เต็มๆ ตา และเอ่ยปากอย่างจริงใจ
“มันไม่ง่ายกว่าเหรอ ถ้าคิมจะถอนหมั้นจากยายพักตร์”
คิมหันต์ครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนเอ่ยปากตอบ
“คุณคิดว่าง่ายเหรอ”
“คิมถอนหมั้นมุก ยังไม่ยากเลย”
“คุณมีพ่อเป็นนายพลรึเปล่าล่ะ”
มุกรินยิ้มเหมือนเยาะนิดๆ
“เมื่อก่อนคิมไม่กลัวเรื่องแบบนี้นี่นา”
“มันไม่เหมือนกัน ครั้งนี้มันมีเหตุที่ผมต้องกลัว”
“คิมมีอะไรกับพักตราแล้วใช่มั้ย”
คิมหันต์นิ่ง มุกรินคาดเดาได้เองในทันที ร่องรอยความผิดหวังปรากฏขึ้นในดวงตาของเธอ
“ได้เสียกันแล้วใช่มั้ย”
“ผมเมา”
“ข้ออ้างของผู้ชาย แบบที่มุกเกลียด”
“แล้วมุกพูดอย่างนี้กับพี่ชายมุกบ้างรึเปล่า”
คำพูดนี้ ทำให้มุกรินเป็นฝ่ายเงียบไปบ้าง
“อย่างน้อยผมก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ชายที่มีความรับผิดชอบ”
“คิมทำเพื่อแก้แค้นมุกมากกว่า คิมทำเพื่อให้มุกเจ็บปวด”
“ใช่ นั่นคืออารมณ์ของผม ก่อนที่ผมจะเมา”
มุกรินขยับตัวเดินหนีจากเขา คิมหันต์คว้ามือของเธอไว้
“แต่ตอนนี้ผมขาดคุณไม่ได้นะ มุก”
มุกรินไม่เอ่ยปากตอบแต่อย่างใด
“เราเลิกพูดถึงคนอื่นเถอะนะ เราพูดถึงอนาคตของเราดีกว่า”
“ถ้าคิมยังมีพักตราอยู่ มันจะมีอนาคตระหว่างเราด้วยเหรอคะ”
คิมหันต์ได้แต่จ้องมองตามุกริน เขาเองก็ตอบคำถามนี้ไม่ได้
“การไม่พูดถึงคนอื่นเลย แล้วคิดซะว่าโลกนี้มีเราเพียงสองคน มันหลอกตัวเองเกินไปค่ะ มันไม่เป็นจริงนะคะ คิม นอกจากเราจะอยู่บนเกาะร้างอย่างนี้ไปจนตาย”
“ผมก็อยากจะทำอย่างนั้นเหมือนกัน”
“เป็นไปไม่ได้หรอกคิม เราอยู่บนเกาะนี้ตลอดไปไม่ได้หรอก”
“แต่เรามีบ้านของเราได้นะ”
คิมหันต์ใช้สองมือประคองหน้าของมุกรินให้อยู่ชิดตัวเขาที่สุด เอ่ยปากอย่างมีความหวังมากยิ่งขึ้น
“กลับไปกรุงเทพฯ คราวนี้ ผมจะหาบ้านซักหลังนึงที่ไม่มีใครหาเจอ เราจะอยู่ด้วยกันที่นั่น มีชีวิตของเราที่นั่น โดยไม่มีเรื่องราวของคนอื่นเข้ามากวนใจเราเลย”
“นานแค่ไหนคะ...หนึ่งเดือน...สองเดือน...หนึ่งปี หรือ ตลอดไปคะ”
“จนกว่าผมจะเคลียร์เรื่องราวทุกอย่างได้”
มุกรินถอนหายใจออกมาเบาๆ
“คิมมีความหวังให้มุกมากกว่านี้ได้มั้ยคะ”
“มันจะไม่นานเกินรอหรอกมุก ผมสัญญา”
มุกรินจ้องไปที่ดวงตาของคิมหันต์ คล้ายจะค้นหาความจริง คิมหันต์เองก็ถ่ายทอดความจริงใจผ่านสายตาที่จ้องมองมุกรินเช่นกัน
“สัญญากับผมได้มั้ย ว่ามุกจะไม่มีใครอื่น”
มุกรินค่อยๆ ยิ้ม และพยักหน้าช้าๆ
“รอผมก่อนนะ มุกริน”
“ค่ะ”
คิมหันต์ดึงร่างของมุกรินเข้ามาสวมกอดไว้แน่น พลันสายฝนสาดใส่ร่างของคนทั้งสองซู่ใหญ่ คิมหันต์จูงมุกรินวิ่งไปทางชะง่อนหินผาเบื้องหน้า ท่ามกลางสายฝนที่โถมกระหน่ำทั่วทั้งเกาะ

คิมหันต์จูงมุกรินวิ่งเข้ามาซุกตัวใต้ชะง่อนหิน ทั้งคู่ตกอยู่ในสภาพเปียกชุ่มไปทั้งร่าง คิมหันต์ใช้มือของเขาปาดเม็ดฝนที่เกลื่อนทั่วหน้ามุกริน
ความรัก ความปรารถนา ถ่ายทอดผ่านสัมผัสที่ปลายนิ้ว และ สายตาของคนทั้งสอง
ในที่สุด คิมหันต์ก็ก้มลงไปจูบมุกรินอย่างนุ่มนวล
มุกรินตอบรับสัมผัสนั้นด้วยความนุ่มนวลไม่แพ้กัน
สองคนต่างถอดเสื้อของตนออก คิมหันต์ใช้เสื้อเชิ้ตของเขาปูรองแทนที่นอน
มือของมุกรินเคลื่อนไปตามเรือนร่างของคิมหันต์
คิมหันต์ค่อยๆ จูบไล่ไปตามแขนและมือของมุกรินอย่างทะนุถนอม
คิมหันต์ประคองร่างมุกรินเอนตัวลงนอนราบกับพื้น
เงาร่างของเขาและเธอนอนกอดกันอยู่ใต้ชะง่อนหิน ท่ามกลางสายฝนเม็ดหนาที่ถั่งโถมอย่างไม่หยุดยั้ง

ทางด้านพักตรายืนถือโทรศัพท์มือถือแนบหู เสียงในโทรศัพท์ดังออกมาว่า
“…กรุณาฝากข้อความ หลังได้ยินเสียงสัญญาณนี้...”
พักตราตะโกนใส่โทรศัพท์ด้วยอารมณ์หงุดหงิดอย่างแรง
“คิมหันต์ แกอยู่ที่ไหน ทำไมไม่รับโทรศัพท์ ถ้าไม่โทร.กลับมาหาฉันภายในห้านาที เกิดเรื่องแน่ ฉันจะให้พ่อฉันจัดการกับแก ไอ้คิม ไอ้ผู้ชายเฮงซวย”
พักตราโยนโทรศัพท์ลงบนเก้าอี้ใกล้ตัว เดินไปเดินมา หายใจแรงๆสักพัก จึงตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหมายเลขเดิมลงไปใหม่ คราวนี้เธอเปลี่ยนน้ำเสียงใหม่ ต่างจากเมื่อสักครู่
“คิม เมื่อกี้พักตร์ใช้อารมณ์เกินไป ขอโทษนะ คิมอย่าฟังข้อความเมื่อกี้นี้นะ ลบทิ้งไปเลย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นพักตร์ให้อภัยได้ คิมไม่ใช่ผู้ชายเฮงซวยหรอกพักตร์ไม่โกรธคิมค่ะ กลับมาหาพักตร์เถอะนะ คิม”
พักตรากดปุ่มวางสายโทรศัพท์ ทรุดตัวลงนั่งแล้วร้องไห้

บ่ายแล้ว คิมหันต์และและมุกรินนอนกอดกันนิ่งใต้ชะง่อนหินเดิม เม็ดฝนที่โปรยปรายลงมาเริ่มเบาบางลงแล้ว
“เวลาเราอยู่ด้วยกันแบบนี้ ฝนมักจะตกทุกทีเลยนะ”
“มันเป็นน้ำมนต์จากสวรรค์ ที่ให้พรเรา”
“เหรอ...”
“หรือไม่ สวรรค์ก็อยากให้เรามีอะไรกันกลางฝน”
“บ้า”
“จริง...เห็นมั้ยล่ะ บรรยากาศดีออกนะ มุก”
“ถ้างั้น วันไหนฝนไม่ตก เราห้ามยุ่งกันเด็ดขาดนะ”
“โห...รอกัน จนเฉาตายพอดี”
มุกริน ยิ้ม หัวเราะเบาๆ คิมหันต์พลิกตัวก้มหน้าเข้าไปหามุกริน
“ไม่เป็นไร ถึงวันนั้นผมจะปล้ำมุกเอง รับรอง มุกหนีผมไม่พ้นหรอก”
“เพราะมุกไม่เคยคิดหนีคิมจริงๆ เลยต่างหาก”
มุกรินขยับตัว ลุกออกไปยืนหน้าชะง่อนหินนี้ คิมหันต์ลุกตามไปติดๆ

มุกรินยืนพิงโขดหินนิ่ง มองทอดสายตาไปไกล คิมหันต์ก้าวเข้ามายืนข้างๆ
“คิมรู้อะไรมั้ย กว่าห้าปีที่เรารู้จักกันมา มุกเพิ่งจะรู้เมื่อไม่กี่เดือนมานี้เองว่าคิมน่ากลัวแค่ไหน เวลาโกรธ”
“ผมคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้”
“นั่นแหละ มุกถึงได้กลัว...”
“ตอนนี้ก็ยังกลัวอยู่เหรอ”
มุกรินมองหน้าคิมหันต์ และพยักหน้าช้าๆ
“บางทีคิมทำเหมือน...อยากจะฆ่ามุกให้ตาย”
คิมหันต์ถอนหายใจแรง ก่อนเอ่ยปากสารภาพ
“ผมยอมรับ ว่าเคยคิดอย่างนั้น”
“นั่นไง”
“ผมเคยฝันว่าผมบีบคอมุกตายคามือเลยนะ”
มุกรินจ้องหน้าคิมหันต์ ความหวั่นวิตกปรากฏขึ้นบนสีหน้าและแววตาของเธอ
“แต่ผมทำไม่ได้หรอก ผมทำแบบนั้นกับคนที่ผมรักไม่ได้หรอก”
คิมหันต์ค่อยๆ ประคองสองมือของมุกรินอย่างนุ่มนวล
“ตกลงว่าเราจะหาบ้านอยู่ด้วยกันนะ มุก รับปากกับผมสิ”
“มุกไม่มีทางเลือกอื่นเลยใช่มั้ย”
“นี่คือทางเลือกที่ดีที่สุดของเรา”
“คงเป็นกรรมของมุก ที่เกิดมารักคิมมากมายขนาดนี้”
“เป็นบุญต่างหาก ที่เรายังรักกันได้ แม้จะเกิดเรื่องร้ายแรงขนาดนี้”
ทั้งสองต่างยิ้มให้กันอย่างมีความหวัง ในที่สุดมุกรินก็เอ่ยปาก
“คิม...มุกขอโทษ”
“เรื่อง”
“เรื่องพี่ใหญ่”
แววตาของคิมหันต์แข็งกร้าวขึ้นมาทันที
“นั่นแหละกรรม เป็นกรรมที่พวกเราทุกคนต้องชดใช้ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับนายธาดา มุกอย่าขวางผมอีกนะ”
คิมหันต์ดึงร่างมุกรินมาโอบกอดอย่างอบอุ่น
“เราจะกลับกันตอนไหนคะ”
“รอให้ฝนหยุดสนิทก่อนดีกว่า”
“ถ้ามืดแล้วยังไม่หยุดล่ะ”
“ก็นอนที่นี่”
“คนอื่นได้ตามหากันวุ่น”
“ช่างเขาสิ...ก่อนออกจากเกาะนี้ มุกทำอะไรดีๆ กับผมซักอย่างได้มั้ย”
“อะไร”
คิมหันต์ไม่ตอบ เขายิ้มกว้าง

เกาะแสนสวยแห่งนี้ ยิ่งงดงามเมื่อยามตกอยู่ในแสงยามเย็น แหละที่จอแสดงภาพของกล้องถ่ายรูปเวลานี้
แลเห็นคิมหันต์และมุกรินยืนยิ้มข้างๆ กัน อยู่ในจอ ปุ่มสีแดงแสดงการบันทึกภาพในโหมดวิดีโอปรากฏขึ้นที่มุมกล้อง ทั้งสองยิ้มให้กับกล้อง ก่อนที่คิมหันต์จะเอ่ยปากพูดว่า
“พูดตามผมนะ มุก”
“พูดอะไร”
“ผมพูดอะไร คุณก็พูดอย่างนั้น”
ทั้งสองคนยืนเบื้องหน้ากล้องถ่ายรูป มีซุ้มกิ่งไม้โอบคลุมคนทั้งคู่ไว้ ก้อนหินถูกวางเรียงรายอย่างสวยงาม และกำหนดเป็นขอบเขตของพิธีกรรม โดยมีกล้องถ่ายรูปตั้งตระหง่าน เสมือนเป็นประธานผู้ทำพิธี องค์ประกอบภาพทั้งปวงบอกให้เรารู้ว่า มันคือพิธีแต่งงานของเขาและเธอ คิมหันต์กล่าวนำ ให้มุกรินกล่าวตาม
“ข้าพเจ้า นางสาวมุกริน คุรุรัตน์”
“ข้าพเจ้า นางสาวมุกริน คุรุรัตน์”
“ขอประกาศว่า”
“ขอประกาศว่า”
“จะรับนายคิมหันต์ สุริยะศักดิ์”
มุกรินเหลือบมองคิมหันต์ แล้วยิ้มกว้าง
“พูดตามผมสิ มุก”
“จะรับนายคิมหันต์ สุริยะศักดิ์”
“เป็นสามี”
มุกรินท้วง “เอาอย่างนี้เลยเหรอ”
“หรือคุณจะปฏิเสธ”
มุกรินมองคิมหันต์เต็มๆ ตา ก่อนเอ่ยปากว่า
“เป็นสามี”
“และปรารถนาที่จะใช้ชีวิตกับเขา อย่างมีความสุข ตราบจนสิ้นลมหายใจ”
“และปรารถนาที่จะใช้ชีวิตกับเขา อย่างมีความสุข ตราบจนสิ้นลมหายใจ”
คิมหันต์มองมุกรินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก
“ทีนี้ไม่ต้องพูดตาม แต่ตั้งใจฟังผมให้ดีนะ ข้าพเจ้า นายคิมหันต์ สุริยะศักดิ์ ขอประกาศว่า จะรับนางสาวมุกริน คุรุรัตน์ เป็นภรรยาสุดที่รัก จะรักเธอ และจะใช้ชีวิตกับเธออย่างมีความสุข ตราบจนสิ้นลมหายใจ”
มุกรินนึกหมั่นไส้ “เว่อร์ไปรึเปล่าคิม”
“ตรงไหนเวอร์”
“ทั้งหมดที่เราทำเนี่ย”
คิมหันต์ส่ายหน้าปฏิเสธ แถมเขายังตะโกนเสียงดังลั่นเกาะ
“มีผู้ใดในที่นี้จะคัดค้านการแต่งงานครั้งนี้มั้ย”
ทั้งสองยืนนิ่ง โดยปราศจากเสียงคัดค้านใดๆ นอกจากเสียงแสดงความยินดีของสายลมและเกลียวคลื่น
“ไม่มีใครคัดค้านค่ะ” มุกรินบอก
“เจ้าบ่าวสวมแหวนให้เจ้าสาวได้” คิมหันต์ว่า
“แหวน มีแหวนด้วยเหรอ” มุกรินตื่นเต้น
“ยื่นมือมาสิ”
มุกรินค่อยๆ ยื่นมือข้างซ้ายให้เขา คิมหันต์ประคองมือนั้นอย่างนุมนวล เขาหยิบของบางอย่างออกมาจากกระเป๋า มันคือเอ็นเบ็ดตกปลา ขนาดไม่ยาวนัก

ถัดมาคิมหันต์พันสายเอ็นเบ็ดอันนั้นรอบๆ นิ้วนางของมุกรินแล้วจึงผูกมัน ราวกับเป็นแหวนแต่งงานของเธอ ทั้งสองจ้องมองตากันด้วยความอิ่มเอม
“นี่คืองานแต่งงานที่มีความหมายสำหรับผมมาก”
“อย่างน้อยมุกก็ได้แต่งงานกับคิมก่อนพักตรา”
“มุกคือเจ้าสาวคนแรกและคนเดียวของผม”
“ขอบคุณค่ะ”
คิมหันต์เปล่งเสียงตะโกนลั่นเกาะ
“จูบเจ้าสาวได้”
คิมหันต์ก้มหน้าลงไปจูบมุกรินอย่างละมุนละไม จู่ๆ สายฝนเทกระหน่ำลงมาอีกครั้ง
“ฝนตกอีกแล้ว คิม”
“ผมบอกแล้วไง ว่าสวรรค์ชอบแบบนี้...”
คิมหันต์ยกร่างมุกรินขึ้นและหมุนเล่นไปกับสายฝนอย่างมีความสุข

รถตู้บริษัท Fast Track วิ่งไปบนถนนหลวง ในแสงโพล้เพล้
ปรารภนั่งพูดโทรศัพท์มือถืออยู่ในรถตู้บริษัทที่แล่นออกนอกเมือง หน้าตาของเขาเคร่งเครียดมากเอาการ
“ฮัลโหล คุณชุมสายครับ นี่ผมปรารภพูดนะ ไม่ทราบว่าคุณติดต่อคุณคิมหันต์ได้หรือเปล่า”
ที่สำนักงานกฎหมายบูรพา ชุมสายยืนพูดโทรศัพท์หน้าโต๊ะทำงานของเขา เอกสารสำนวนคดีต่างๆ วางอยู่รอบตัวมากมาย
“เขาไปถ่ายรูปให้บริษัทของคุณที่ประจวบนี่ ทำไมครับ มีเรื่องอะไรรึเปล่า”
“เขาหายตัวไป ไม่มีใครติดต่อได้ ผมก็เลยลองโทร.มาถามคุณ”
“เป็นปกติของไอ้หมอนี่ครับ เวลาทำงานมันจะไม่สนใจใครทั้งนั้น ผมว่าเขาคงกำลังเพลินกับงานของเขาอยู่ เดี๋ยวก็กลับมาเอง ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอกครับ”
“ห่วงสิครับ เพราะเขาหายไปพร้อมกับคุณมุกริน”
“คุณกำลังคิดว่า นายคิมหันต์ลักพาตัวมุกรินไปงั้นเหรอ”
“ไม่รู้ ผมรู้แต่ว่าผมเป็นห่วงคนของผม และในฐานะที่คุณเป็นเพื่อนคิมหันต์คุณก็ควรห่วงคนของคุณด้วยเหมือนกัน”
“ผมเป็นห่วงเพื่อนผมอยู่แล้ว คุณไม่ต้องเตือนหรอก ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์โทร.มาบอก แต่ขอโทษนะ ไม่ทราบว่ามุกรินเป็นคนของคุณตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”
“ใครเป็นลูกน้องผม ผมถือเป็นคนของผมทุกคน”
ปรารภกดปุ่มเลิกการสนทนาทันที พลางเงยหน้าถามโชเฟอร์
“ถึงไหนแล้วเนี่ย น้ายม”
“เพิ่งเลยมหาชัยมาหน่อยเดียวครับ”
ปรารภถอนใจ พอดูออกว่าหงุดหงิดนิดๆ

ค่ำแล้ว ขณะสาวรับใช้เดินตรงเข้าไปหาพักตราที่นั่งนิ่งอยู่กลางโถงบ้าน หน้าตาของเธอยังอุดมไปด้วยความทุกข์
“คุณพักตราคะ มีคนมาหาค่ะ”
“ใคร”
“เขาชื่อคุณธาดาค่ะ”
พักตราแหวใส่ “จะบ้าเหรอ มาหาฉันเรื่องอะไร ฉันไม่มีธุระปะปังอะไรกับเขาสักนิด”
“หนูไม่ทราบค่ะ”
“ไปบอกเขาว่าฉันไม่ให้พบ”
“ค่ะ”
สาวรับใช้เดินออกไป ตามคำสั่งผู้เป็นนาย

ธาดาซึ่งยืนประจันหน้าสาวใช้อยู่หน้าตึก บอกออกไปอย่างหงุดหงิด
“ทำไมให้พบไม่ได้ ขอคุยด้วยแป๊บเดียว ทำไมให้เข้าไปคุยไม่ได้”
“ไม่ทราบค่ะ”
“ไปบอกเขาใหม่นะ บอกเขาว่า เป็นเรื่องสำคัญเกี่ยวกับคู่หมั้นของเขา ดูซิว่าเขาจะยอมให้พบมั้ย”
พักตราก้าวออกมา
“มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับคิมหันต์เหรอ”
“ใช่”
“ว่ามา...พูดตรงนี้เลย ไม่ต้องเข้าไปในบ้านฉัน”
“ผมอยากรู้ว่าตอนนี้นายคิมหันต์อยู่ไหน และคุณติดต่อเขาได้มั้ย”
“ทำไมฉันต้องบอกคุณ คุณอาจจะคิดไม่ดีกับคู่หมั้นฉันก็ได้”
“ผมคิดไม่ดีแน่ๆ เพราะคู่หมั้นคุณหายไปกับน้องสาวผม คุณคิดว่าผมควรจะไปตามตัวเขาที่ไหน”

คำพูดนี้มีอำนาจพอจะทำให้พักตราชะงัก และอึ้งไปนาน

อ่านต่อหน้า 2




รอยรักแรงแค้น ตอนที่ 6 (ต่อ)

อีกฟากในเวลาเดียวกัน เกาะทั้งเกาะถูกปกคลุมด้วยห่าฝน ในเวลากลางคืน และมันยังคงตกหนักราวกับฟ้ารั่ว คิมหันต์และมุกริน นั่งซุกตัวใต้ชะง่อนหินเดิม ทั้งสองทอดสายตามองดูสายฝนที่โหมกระหน่ำ และคลื่นทะเลที่ถาโถมชายฝั่งอย่างรุนแรง

“เอาไงดีคะคิม”
“ถ้าให้ผมเลือก...ผมเลือกนอนที่นี่”
“คนฝั่งโน้นก็จะยิ่งโกลาหล วุ่นวายมากขึ้นไปอีกนะคิม”
“ก็ดี เรื่องวุ่นๆนี่จะได้จบเร็วขึ้น”
“มันจะยาวขึ้น และยืดเยื้อมากขึ้นน่ะสิ”
คิมหันต์ครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนเอ่ยปาก
“เราเสี่ยงกันมั้ยมุก”
“เสี่ยงยังไง”
“คุณไว้ใจผมมั้ยล่ะ”
มุกรินค่อยๆพยักหน้า
“ผมจะพาคุณกลับไปโรงแรมให้ได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
คิมหันต์จับมือมุกรินวิ่งฝ่าสายฝนตรงไปยังเรือที่จอดอยู่ริมหาด

เรือสปีดโบ้ตลำนั้นแล่นฝ่ามรสุมไป มันต้องปะทะกับคลื่นลูกใหญ่ ลมที่กรรโชกแรง และห่าฝนที่หนาตา คิมหันต์พยายามบังคับเรืออย่างสุดกำลัง ทว่าความแรงของคลื่นมรสุม ทำให้เรือเอียงไปเอียงมา
 
มุกรินเซไปตามจังหวะเอนเอียงของเรือ คิมหันต์พยายามจับมุกรินให้นิ่ง เกลียวคลื่นใหญ่สาดปะทะหัวเรือลำนี้ มุกรินตะโกนถามคิมหันต์ด้วยความวิตก
“คิม...เราจะไปถึงฝั่งได้เหรอ”
คิมหันต์ตะโกนตอบ
“ต้องได้สิ จับผมไว้แน่นๆ นะ”
คลื่นยักษ์โถมใส่เรือลำนี้จนเอียง มุกรินเสียหลัก ล้มกลิ้งไปกระแทกหัวเรือ คิมหันต์รีบพุ่งไปประคองมุกรินคลื่นลูกใหญ่โถมใส่เรือทั้งลำจนเอียงคว่ำ
อัพคิมหันต์และมุกริน ถูกมวลน้ำก้อนใหญ่พุ่งเข้าปะทะร่างของทั้งสอง จนล้มหายไปในหมู่เกลียวคลื่นนั้น

จู่ๆ พักตราก็ตะโกนร้องเสียงดังลั่นบ้าน
“อ๊าย...อ๊ากก”
อรรถตรงไปหาผู้เป็นลูกสาว
“พักตรา หยุดเดี๋ยวนี้”
พักตรายังคงกรีดร้อง พร้อมกับขว้างปาข้าวของ กระจายทั่วบ้าน อรรถรวบแขนทั้งสองข้างของพักตราให้หยุดนิ่งอยู่กับที่
“พ่อบอกให้หยุด ทำอย่างนี้ทำไม”
“หนูโกรธมัน เกลียดมัน”
“จะโกรธ จะเกลียดอะไรใคร ก็ต้องแก้ปัญหากับเขาด้วยเหตุผล เราไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ กรีดร้องทำลายข้าวของอย่างนี้แล้วมันได้อะไรขึ้นมา”
“งั้นหนูจะไปหามันเดี๋ยวนี้เลยค่ะ หนูจะไปลากตัวพวกมันมาตบให้ตายไปเลย”
พักตราสะบัดตัวจะเดินออกไป อรรถฉุดรั้งลูกสาวไว้
“พ่อไม่ให้ไป”
“ทำไมคะ คู่หมั้นหนูทั้งคนนะพ่อ”
“พ่อรู้ แต่พ่อบอกลูกแล้วไงว่าพ่อจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง”
“พ่อก็จัดการเดี๋ยวนี้เลยสิคะ รออะไรคะพ่อ”
“พ่อส่งคนของพ่อไปที่นั่นแล้ว พ่อจะตามไปดูพรุ่งนี้เช้า”
“ทำไมไม่ไปคืนนี้เลยล่ะคะพ่อ”
“คืนนี้มีพายุเข้า ไม่ได้ประโยชน์อะไรหรอกลูก”
อรรถดึงร่างลูกสาวเข้ามาโอบกอดไว้
“เชื่อพ่อนะ ปัญหาของหนูทั้งหมดจะต้องจบลง ภายในวันพรุ่งนี้ พ่อสัญญา”
อารมณ์ของพักตราค่อยๆ ผ่อนคลายลงไปบ้าง เล็กน้อย

เกลียวคลื่นใหญ่ในทะเลม้วนตัวกระแทกโขดหินมันยังคงเป็นเวลากลางคืน ท่ามกลางสายฝนที่เริ่มเบาบางลงบ้างแล้ว
ร่างคิมหันต์และมุกริน ทั้งสองเกาะอยู่บนชิ้นส่วนของเรือสปีดโบ๊ตที่แตกออก คิมหันต์พยายามประคองตัวเองและมุกรินให้ลอยเข้ามายังโขดหินชายฝั่งของเกาะร้าง สภาพของมุกรินคล้ายคนหมดสติ มีเลือดไหลบริเวณศีรษะ และท่อนแขนของเธอ
“มุก คุณต้องไม่เป็นอะไรนะ อดทนอีกนิดเดียว เราจะขึ้นไปพักบนโขดหินข้างหน้า อยู่กับผมนะมุก อยู่กับผมก่อนนะ”
คิมหันต์ใช้มือช่วยจ้วงน้ำ เพื่อพาตัวเองไปยังโขดหินเบื้องหน้า

ขณะเดียวกันปรารภเดินก้าวยาวๆ ตรงเข้าไปในล็อบบี้โรงแรม จนไปถึงบริเวณทีมงานฝ่ายศิลปกรรมที่นั่งแกร่วรออยู่แถวนั้น
ทีมงานทุกคนลุกขึ้น “พี่รภ”
“ยังไม่ได้ร่องรอยอะไรเลยเหรอ”
ทีมงาน 1 เป็นตัวแทนบอกว่า “ยัง รู้แต่ว่า เอาเรือของโรงแรมออกไปตั้งแต่สายๆ”
“ไปไหน”
“อันนี้ไม่รู้ครับ...แต่อาจจะไปเกาะ”
“เกาะอะไร...ไกลมั้ย”
“มีเกาะร้างอยู่ห่างจากฝั่งไปซักสองชั่วโมงกว่าๆ”
“บ้าแน่ๆ ออกไปทำไม ไกลอย่างนั้น”
“ผีดุอีกต่างหาก” ทีมงาน 1 ว่า
“ใครบอก”
“แถวนี้เขาบอกกันทั้งนั้น ไม่มีใครกล้าขึ้นไปเหยียบบนเกาะนี้ซักคน”
“เราหาเรือแถวนี้ตามไปดูได้มั้ย”
“ไม่มีทางครับ พายุอย่างนี้ ทั้งเรือเล็กเรือใหญ่ ไม่มีใครกล้าออกจากฝั่งหรอก”
“มุกเขาน่าจะสั่งอะไรใครไว้บ้างนะ”
“มีญาติพี่มุกคนนึงตามมาทีหลัง พี่จะลองถามเขาดูมั้ยล่ะ”
ปรารภฉงน “ญาติ”
“ชื่อดวงดาว ตอนนี้น่าจะอยู่ที่บังกะโลครับ”

ดวงดาวเอ่ยขึ้น น้ำเสียงขุ่นนิดๆ
“อย่ามาคาดคั้นกับฉันเลย ตัวฉันไม่ได้ติดกับเขาซะหน่อย จะได้รู้ตลอดเวลาว่าเขาทำอะไรอยู่ที่ไหน”
ปรารภยืนประจันหน้าดวงดาวอยู่กลางบังกะโลหลังนั้น
ทีมงานฝ่ายศิลปกรรมคนหนึ่ง ยืนถือร่มอยู่ห่างๆ
“ผมไม่ได้คาดคั้นอะไร แค่ขอให้เล่าเรื่องราวเท่าที่คุณรู้ เผื่อจะเป็นประโยชน์ในการตามหาพวกเขาได้”
“ทำไมต้องตามหา”
“ก็คนหายไป จะให้อยู่เฉยๆ ไม่ตามหาได้ยังไง”
“เขาไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ ไปได้ ก็กลับมาได้เอง”
“นี่มันคิดแบบชุ่ยๆ เหมือนคนไม่มีเยื่อใยกัน คุณเป็นญาติแบบไหนกันเนี่ย”
ปรารภโมโหขยับตัวจะเดินกลับออกไป ดวงดาวจึงเอ่ยปากขึ้นลอยๆ
“เท่าที่ฉันรู้ก็คือ สองคนนั่นรักกัน คนรักกันอยู่ด้วยกัน มันน่าเป็นห่วงตรงไหน”
“ห่วงว่าจะไม่ได้รักกันจริงน่ะสิครับ”
ดวงดาวนิ่งงันไป
“พวกที่ทำเหมือนรัก เพื่อแลกกับผลประโยชน์ อันนี้ยิ่งน่ากลัว ไม่รู้ว่าคุณธาดาจะรู้ทันคนพวกนี้มั้ย”
ปรารภเดินออกไปท่าทางฉุนเฉียวไม่น้อย

เมื่อปรารภพาตัวเองออกมาจากบังกะโลหลังนั้น ทีมงานส่งร่มให้ แต่เขาปฏิเสธ และหยิบโทรศัพท์มือถือ ขึ้นมากดหมายเลข
“ฮัลโหล คุณธาดา...ผมปรารภนะ”

ทางคิมหันต์ลากมุกรินขึ้นมายังชายหาดเล็กๆที่เต็มไปด้วยโขดหิน ฝนหยุดลงแล้ว ทว่ามุกรินยังคงไม่ได้สติ คิมหันต์พยายามกระตุ้นให้มุกรินรู้สึกตัว
“มุก...มุก”
มุกรินยังคงนอนนิ่งเฉย
คิมหันต์ใช้สองมือหิ้ว พร้อมกับเขย่าช่วงกลางลำตัวมุกริน สลับกับการผายปอดด้วยปาก สักพักมุกรินสำลักน้ำออกมา แล้วจึงเริ่มรู้สึกตัว
“มุก”
“คิม...มุกตายรึยัง”
“ยัง เรายังอยู่ด้วยกัน มุก ผมไม่ยอมให้คุณจากผมไปหรอก”
“แขนมุก แขนมุกชาไปหมดแล้ว”
“คุณมีแผลน่ะ อยู่เฉยๆก่อนนะ ผมจะค่อยๆ ทำแผลให้คุณเท่าที่พอจะทำได้”
คิมหันต์ฉีกเสื้อของตัวเองออก เขาบิดมันให้แห้งที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วค่อยๆ เช็ดเลือดที่ศีรษะและแขนของมุกริน
“เราอยู่ที่ไหนน่ะคิม”
“โขดหิน ด้านใดด้านหนึ่งของเกาะ”
“เป็นเพราะเราไม่ได้มีรักแท้ให้กันหรือเปล่า เราถึงได้ถูกคำสาป”
“ไม่จริง เพราะเรามีรักแท้ต่างหาก เราถึงรอดตาย”
มุกรินค่อยๆ ยิ้มออกมาได้ คิมหันต์ก้มลงไปพูดใกล้ๆ ใบหน้าของเธอ
“และเราจะอยู่คู่กันตลอดไป จนกว่าจะสิ้นลมหายใจพร้อมๆ กัน”
“ค่ะ”
คิมหันต์ยกมือซ้ายของมุกขึ้นมา แหวนเอ็นวงนั้นยังอยู่ที่นิ้วนางของเธอ
“แหวนแต่งงานของเรายังอยู่นี่ไง มุก”
คิมหันต์จูบที่นิ้วมือข้างนั้นอย่างนุ่มนวล
“ผมรักมุกนะ”
“มุกก็รักคิมค่ะ”
คิมหันต์กอดมุกรินแนบแน่น
เมื่อมองลงมาจากเบื้องบน จะแลเห็นบนโขดหินน้อยๆท่ามกลางเกลียวคลื่นที่ล้อมรอบมันไว้ โดยมีร่างของเขาและเธอ ประคองกอดกันด้วยความรัก

ฝนหยุดแล้ว ดวงดาวเปิดประตูห้องพักมุกรินในบังกะโลหลังนั้นออกมา เธอสะดุ้งเล็กน้อย
“อา”
ธาดายืนหน้าดุอยู่หน้าประตูนั้น
“หนีอามาอยู่ที่นี่เองเหรอ”
“ไม่ได้หนี...ก็บอกแล้วว่าหนูมาเล่นดนตรีกับเพื่อนๆ พี่ๆ”
“แต่ไม่ได้บอกอาว่ามาอยู่กับยายมุกที่นี่”
“ก็ไม่แปลก”
ดวงดาวเดินกลับเข้าไปนั่งกลางโถงบังกะโล ธาดาเดินตามไปตะโกนเสียงดังใส่
“แปลกซี่ เพราะอาถามถึงยายมุก แต่ดาวบอกไม่รู้ไม่เห็น นี่มันโกหกกันชัดๆ”
“เป็นการโกหกที่ไม่ได้ทำร้ายใคร” ดวงดาวย้อนแย้ง
“แล้วที่เป็นตัวการจัดแจงให้ยายมุกลงเรือไปกับไอ้คิมเนี่ย ไม่ได้ทำร้ายใครเหรอ”
“ใช่...เพราะมันเป็นความรัก”
“ถุ๊ย...คนอย่างไอ้เหี้ยคิมมันจะรักใครจริง โดยเฉพาะยายมุก”
“ถ้าไม่รักกันเขาจะไปด้วยกันเหรอ”
“ยายมุกโดนหลอกน่ะสิ ป่านนี้มันคงถ่ายคลิปยายมุกไม่รู้กี่คลิปไปแล้ว มันต้องแชร์ไปทั่วเหมือนตอนประกาศถอนหมั้นนั่นแหละ”
ดวงดาวหมั่นไส้นิดๆ เลยว่า “หนูว่าเขาเอาไว้หยามอาคนเดียวมากกว่า”
“แล้วฉันต้องอยู่เฉยๆ ยอมให้มันหยามเล่นไปวันๆ อย่างนี้เหรอ”
“ก็คุ้มนะอา ถ้าเทียบกับสิ่งที่อาทำกับเขา”
ธาดาชะงักนิดหนึ่ง จ้องหน้าดวงดาว
“รู้เหรอว่าอาทำอะไรกับเขา”
“รู้มากกว่าที่ใครๆ รู้ก็แล้วกัน”
ธาดาอึ้งไปอีก “ดาว”
“อย่าให้หนูพูดเลย”
ดวงดาวเดินเลี่ยงออกไป ธาดากระชากแขนดวงดาวไว้
“บอกมาเดี๋ยวนี้นะ บอกมาว่ารู้อะไรบ้าง”
“ปล่อยนะอา อย่าทำอย่างนี้กับหนู”
“ก็พูดออกมาสิ บอกมาให้หมด”
“ความลับของอา อาก็รู้อยู่แก่ใจ จะต้องให้บอกอีกเหรอ”
ธาดาคาดคั้น “บอกมา”
“ไม่”
“จะบอกหรือไม่บอก”
“ไม่มีทาง”
ธาดาบันดาลโทสะ เงื้อมือตบหน้าดวงดาวอย่างแรง ร่างดวงดาวเซไปตามแรงตบมหาศาลนั้น แล้วจึงหันขวับมาจ้องหน้าธาดา สายตากร้าว
“อาทำกับหนูอย่างนี้ แปลว่า เราอยู่ด้วยกันไม่ได้แล้ว”
ดวงดาวคว้ากระเป๋าเดินออกไปจากบังกะโลหลังนี้
“ดาว เดี๋ยวก่อน ดวงดาว”
ธาดาตะโกนเรียกตาม แต่ไม่เป็นผล เขาทรุดตัวลงนั่ง นิ่ง ซึม เสียใจพอประมาณ

อีกฟากหนึ่ง กองไฟขนาดย่อมๆ ลุกโชนอยู่ในซอกหิน ตรงกลางของกองไฟ เป็นแอ่ง หลุมเล็กๆ มีน้ำขังอยู่ในหลุมนั้น ถุงทะเลกันน้ำของคิมหันต์วางอยู่ใกล้ๆ
มุกรินนอนหลับนิ่ง ไม่ไกลจากกองไฟ ศีรษะของเธอหนุนอยู่บนตักของคิมหันต์ที่กำลังดูภาพในกล้องถ่ายรูปของเขา เป็นภาพพิธีแต่งงานของเขากับมุกเมื่อตอนบ่าย เขามองภาพนั้นอย่างมีความสุข
มุกริน ค่อยๆขยับ รู้สึกตัว และมีอาการไอเล็กน้อย
“คิม...หนาวจังเลย”
“มุกเป็นไข้น่ะ ผมเช็ดตัวให้นะ”
คิมหันต์ใช้เสื้อชุบน้ำร้อนในแอ่งข้างกองไฟ เขาค่อยๆ เช็ดหน้าและแขนของมุกรินอย่างทะนุถนอม
“อดทนอีกนิดนะมุก เดี๋ยวก็เช้าแล้ว”
“แล้วเราจะกลับเข้าฝั่งกันยังไง”
“น่าจะมีชาวประมงผ่านมาบ้าง เราคงขออาศัยไปกับเขาได้”
“ขอให้เราโชคดีอย่างนั้นเถอะ”
มุกรินค่อยๆ หลับตาลงด้วยความอ่อนล้า คิมหันต์มองคนรักด้วยความสงสารจับหัวใจ ในที่สุดเขาก็เอ่ยปากว่า
“มุก ผมขอโทษที่พามุกมาที่นี่”
“มุกมีความสุขที่ได้อยู่กับคิมที่นี่”
มุกรินยิ้มให้คิมหันต์อย่างจริงใจ
“กลับขึ้นฝั่งผมจะขอถอนหมั้นพักตรา”
“คิม...”
“ผมจะดูแลมุกตลอดไป ผมจะไม่ทิ้งคุณไปไหนอีกแล้วมุก ผมสัญญา”
คิมหันต์โน้มตัวลงไปกอดมุกรินไว้สองคนผ่องถ่ายความรักให้กันและกัน
ความรักของเขาและเธออบอวลไปทั่วโขดหิน ท่ามกลางผืนน้ำที่สงบนิ่ง และผืนฟ้าที่เริ่มสว่างสดใสขึ้นทีละนิดๆ

แสงแดดแผดจ้าสาดส่องลงสู่โขดหินนั้น มุกรินและคิมหันต์ยังคงหลับอยู่ที่บริเวณเดิม จนมีเสียงเครื่องยนต์ดังแว่วๆ เข้ามา มุกรินลืมตาขึ้นก่อน
“คิม...”
“หืม...”
คิมหันต์ส่งเสียงตอบโดยไม่ลืมตา มุกรินจึงสะกิดเรียกเขาอีกครั้ง
“คิม...”
“เช้าแล้วเหรอ”
“ได้ยินเสียงอะไรมั้ย”
คิมหันต์ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“เสียง”
ทั้งสองนิ่ง ตั้งใจฟังเสียงนั้นมากขึ้น สักครู่ จึงเอ่ยปากพร้อมกันอย่างตื่นเต้นดีใจ
“เสียงเรือ”

คิมหันต์วิ่งลุยลงไปในน้ำ ไกลออกไปกลางทะเล เราจะเห็นเรือชาวประมงแล่นช้าๆ ตรงมาทางเกาะนี้
คิมหันต์โบกมือ ตะโกนลั่น
“วู้ วู้...ช่วยด้วย ช่วยด้วยคร้าบ มีคนติดเกาะที่นี่...ช่วยเราด้วย วู้ วู้”
เรือลำนั้นแล่นมาจอดใกล้หาดตรงโขดหิน บนเรือมีชายสองคน ลักษณะเหมือนชาวประมง คิมหันต์ประคองมุกรินลุยน้ำตรงไปหาเรือลำนั้น
“เมื่อคืนเราโดนพายุพัด เรือล่มอยู่กลางทะเล”
ชาย 1 บอกว่า “รู้แล้ว พวกทหารเขาวิทยุบอกกันให้แซด มา ฉันจะพาไปส่งเอง แล้วผู้หญิงบาดเจ็บรึเปล่า”
“มีแผลนิดหน่อย และก็เป็นไข้ ครับ”
“ฉันมียา...ขึ้นมาเลย”
คิมหันต์ค่อยๆ ประคองมุกรินขึ้นไปบนเรือลำนั้น
“เรารอดแล้วนะมุก เราปลอดภัยแล้ว”
“ค่ะ”
มุกรินซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของคิมหันต์ บนเรือของชาวประมงลำนั้นที่แล่นออกไป มุ่งหน้าเข้าฝั่ง

เช้าวันเดียวกัน ธาดาเดินหน้าเครียดตรงเข้าไปที่เคาน์เตอร์ต้อนรับของโรงแรม พนักงานสาวคนเดิมยืนอยู่ที่นั่น
“ผมขอเรือตั้งแต่เมื่อคืน จนถึงเช้าแล้วคุณยังหาเรือให้ผมไม่ได้ซักลำเลยเหรอ”
“เรามีเรือลำเดียวที่น้องสาวคุณนั่งออกไป”
“ก็ทำไมไม่หาเช่าที่อื่นให้ล่ะ”
“เราติดต่อไปแล้วค่ะ คุณต้องใจเย็นๆ ซักนิดนะคะ”
“เย็นยังไงไหว น้องสาวผมหายไปทั้งคน”
“เรือของเราก็พังไปทั้งลำนะคะ”
ก่อนที่การสนทนาของคนทั้งสองจะรุนแรงมากขึ้น ปรารภก็ก้าวมาสมทบ
“คุณธาดา”
“คุณปรารภ”
“ทหารแจ้งว่ามีชาวประมงช่วยพวกเขาขึ้นเรือแล้ว ตอนนี้กำลังพากลับมาส่งที่ฝั่ง อยากรู้มั้ยว่าเขาเจอตัวที่ไหน”

ที่กรุงเทพฯ พักตราแผดเสียงแหบๆ ใส่โทรศัพท์เสียงดังลั่น
“ที่เกาะร้าง มันอยู่ที่เกาะร้างกันตามลำพังทั้งคืนเลยเหรอ พ่อ ไอ้เลว มันทำกับพักตร์อย่างนี้ได้ยังไง พักตร์ไม่ยอมจริงๆ ด้วย พาคิมกลับมาบ้านเดี๋ยวนี้เลยนะพ่อ เดี๋ยวนี้เลย พักตร์ไม่ต้องการให้คิมอยู่ใกล้นางนั่นอีกต่อไป...เอาตัวกลับมาเลยนะพ่อ”

ในรถตู้อรรถที่แล่นมาตามทาง ท่านนายพลนั่งพูดโทรศัพท์ในรถ ซึ่งกำลังมุ่งหน้าสู่จังหวัดประจวบ
“ก่อนพากลับบ้าน พ่อขอทำหน้าที่พ่อที่ดีของลูกก่อน พ่อจะทำเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น ลูกไม่ต้องห่วง”
อรรถกดปุ่มวางสายโทรศัพท์ หน้าตาของเขาดุดัน น่ากลัวกว่าทุกครั้งที่ใครเคยเห็น

เรือลำนี้กำลังมุ่งหน้ากลับสู่ฝั่ง คิมหันต์นั่งโอบประคองมุกรินด้วยความห่วงใย ศีรษะของเธอ เอียงพิงไปกับไหล่ของคิมหันต์ สีหน้าและแววตาอ่อนล้ายิ่งนัก
คิมหันต์ ทอดสายตามองไปไกล และรู้สึกได้ถึงเรื่องยุ่งยากที่กำลังจะเกิดขึ้น

เรือชาวประมงลำนี้แล่นเข้าไปจอดชิดติดชายหาดของโรงแรม ทั้งธาดา ปราราภ ทีมงานฝ่ายศิลป์ พนักงานโรงแรม เจ้าหน้าที่ทหารและหน่วยกู้ภัยยืนเรียงเป็นกลุ่ม รออยู่หน้าหาด
คิมหันต์ประคองมุกรินลงจากเรือ โดยมีนายทหารและเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยเข้าไปให้ความช่วยเหลือ
“คุณคิมหันต์ กับคุณมุกริน ใช่มั้ยครับ” ทหาร 1 ถาม
“ใช่ครับ”
“เดินไหวมั้ยครับ มีอาการอะไรรึเปล่า”
“ผมไม่มีปัญหา ถ้ามีหมอช่วยดูแลคุณมุกรินหน่อยก็ดีครับ”
ทหารพูดวิทยุขอหมอหนึ่งคน
เจ้าหน้าที่กู้ภัยหญิง เข้าไปประคองร่างมุกรินนอนลงบนเปล คิมหันต์ก้มหน้าลงไปพูดกับมุกริน
“ให้หมอดูแผลหน่อยนะ”
ธาดาเดินลุยน้ำตรงเข้าไปหาคิมหันต์ อย่างเอาเรื่อง
“ไอ้คิม”
คิมหันต์หันไปมองตามทิศทางของเสียง ธาดาเหวี่ยงหมัดเข้าเต็มหน้าคิมหันต์จนถึงกับเซ
“อย่ายุ่งกับน้องสาวกูอีก”
”น้องคุณไม่ใช่เด็กๆนะ ที่ต้องขออนุญาติจากพี่ชายก่อนจะคบกับใคร”
“กับคนอื่นไม่มีปัญหา แต่กับคนเลวๆอย่างแก ฉันไม่ยอม”
มุกรินชันตัวขึ้นนั่งบนเปล เธอตะโกนบอกธาดาเท่าที่เรี่ยวแรงพอมี
“พี่ใหญ่คะ มุกเต็มใจไปกับเขาเองค่ะ”
“งั้นมุกเปลี่ยนความคิดใหม่ได้แล้ว ไอ้นี่มันหลอกมุก มันไม่ได้จริงใจกับมุก”
“เรื่องนั้นมุกตัดสินใจเองได้”
ธาดาก้าวยาวๆตรงไปหาน้องสาว
“งั้นมุกดูนี่ ดูให้เต็มตา จะได้ตัดสินใจง่ายขึ้น ดูว่ามันทำอะไรกับมุกบ้าง”
ธาดายื่นโทรศัพท์มือถือของตนไปที่หน้าน้องสาว มุกรินจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์เครื่องนั้น เห็นเป็นภาพเธอเปลือยอกนอนกอดคิมหันต์อยู่
มุกรินนิ่ง มึน ชา คิมหันต์ มองมุกรินด้วยท่าทีไม่สบายใจนัก จู่ๆ มุกรินก้าวลงจากเปลเธอเดินเซซังตรงไปยืนเบื้องหน้าคิมหันต์
“มุก...ผมอยากอธิบาย”
มุกรินรวบเรี่ยวแรงเงื้อมือตบหน้าคิมหันต์เต็มแรง
“ถ้าคำสาปบนเกาะเป็นจริง คุณเตรียมตัวตายได้แล้ว”
“มุก...”
คิมหันต์ค่อยๆ เอื้อมมือแตะไหล่มุกริน เขาเลยถูกมุกรินตบหน้าคิมหันต์อีกครั้ง แรงไม่ต่างจากครั้งแรก
“และช่วยไปตายไกลๆ ฉันด้วย”
มุกรินเดินเซออกไป เจ้าหน้าที่เปลรีบตามเธอไปติดๆ
คิมหันต์ ได้แต่ยื่นนิ่งซึม
ชายฉกรรจ์สามคนเดินตรงเข้าไปยืนเบื้องหน้าเขา ชาย 1 ในนั้นเอ่ยขึ้น
“คุณคิมหันต์ สุริยะศักดิ์”
“ครับ”
“กรุณาตามเรามาทางนี้”
คิมหันต์มองหน้าชายฉกรรจ์อย่างระแวง
“พวกคุณเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรบังคับผม”
“ผมทำตามคำสั่งของท่านนายพลอรรถครับ”

คิมหันต์นิ่งไป ไม่มีท่าทีขัดขืนโต้ตอบแต่อย่างใด
 
อ่านต่อหน้า 3




รอยรักแรงแค้น ตอนที่ 6 (ต่อ)

ไม่นานต่อมา ที่โรงพยาบาลละแวกโรงแรม พยาบาลกำลังทำแผลให้มุกริน สีหน้าของเธอดูเย็นชา เหมือนไร้ชีวิตจิตใจ ปรารภเดินเข้ามาดูด้วยความเป็นห่วง

“มุก”
“พี่รภ”
“พี่ได้ข่าวจากทหารตั้งแต่เช้ามืด ว่าพบซากเรือแตก พี่ตกใจแทบแย่เลยรู้มั้ย”
“คงไม่เท่ากับที่มุกตกใจหรอกค่ะ”
พยาบาลทำแผลเสร็จแล้ว เดินเลี่ยงออกไป
“พี่ไม่น่าปล่อยให้มุกมางานนี้เลย” ปรารภโทษตัวเอง
“มันเป็นการตัดสินใจของมุกเองค่ะ”
“แต่ถ้าพี่สั่งห้ามอย่างเด็ดขาดตั้งแต่ตอนแรก มันก็จะไม่เกิดเรื่องแบบนี้”
“พี่ห้ามพวกเขาไม่ได้หรอกค่ะ ทั้งพักตรา ทั้งคิมหันต์”
“แล้วมุกจะยอมให้เขาทำอย่างนี้กับมุกไปเรื่อยๆ งั้นเหรอ”
“ทนไม่ไหวมุกก็ลาออก”
ปรารภถอนหายใจดังมาก
“แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ค่ะ มุกยังต้องการงาน ต้องการเงินเดือนเลี้ยงตัว และก็ยังไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้พวกเขาเห็น” เธอว่า
“อย่าลืมแล้วกัน ว่ามุกยังมีพี่รภอีกคนนึงที่พร้อมจะปกป้อง ดูแลมุกเสมอ”
มุกรินยิ้มรับความจริงใจของพ่อหม้ายลูกสองเมียสาม
“มุกจะกลับรถบริษัทกับพี่มั้ย”
ธาดาเดินเข้ามาพอดี เขาเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงอันเฉียบคม
“มุกจะกลับกับผม”
ปรารภพยักหน้ารับคำธาดา แล้วจึงหันไปหามุกริน
“งั้นพี่ไปก่อนนะ”
“ขอบคุณนะคะพี่รภ”
“แล้วเจอกันที่บริษัท” เขากำชับธาดา “ขับรถดีๆนะครับคุณธาดา”
“ผมขอลาป่วยแทนน้องสาวเลยแล้วกัน”
“ได้ครับ”
“น่าจะซักสองอาทิตย์” ธาดาบอก
“หายดีเมื่อไหร่ ค่อยมาทำงานแล้วกันนะ มุก”
“ค่ะ”
ปรารภเดิพ้นห้องออกไป ธาดากระเถิบเข้าไปใกล้ถามมุกรินเสียงขุ่น
“ไอ้คิมมันทำอะไรมุกบ้าง”
“ทำ เหมือนที่เคยทำ”
“ก็ทำอะไรล่ะ” ธาดาคาดคั้น
“มุกไม่อยากพูดถึงมันค่ะพี่ใหญ่”
“ตามใจ แต่อย่ายอมให้มันทำกับเราอย่างนี้อีกเป็นอันขาดนะ คนอย่างไอ้คิม ต้องไม่ตายดี คอยดูเหอะ”
มุกรินยังนิ่ง เก็บอารมณ์และความรู้สึกไว้ภายใน
“แค่กลับไปเจอยายพักตรากับพลโทอรรถ ก็รากเลือดแล้วละ พี่รับรอง”
มุกรินโพล่งขึ้น “เขาบอกว่า จะขอถอนหมั้นพักตรา”
ธาดาหัวเราะลั่น “มุกเชื่อมันเหรอ”
มุกรินส่ายหน้าช้าๆ

รถโฟร์วีลติดฟิล์มดำสนิท แล่นมาจอดหน้าโกดังร้างแห่งหนึ่งในประจวบฯ ชายฉกรรจ์ 1 ใน 3 ก้าวลงจากรถ เดินอ้อมมาเปิดประตูหลังให้คิมหันต์ที่นั่งอยู่ในนั้น
“ลงได้แล้วครับ” ชาย 1 บอก
คิมหันต์ค่อยๆ ก้าวลงจากรถอย่างระมัดระวัง
“เชิญข้างในครับ”
ชายฉกรรจ์ผายมือ นำไปยังประตูโกดัง
คิมหันต์เอ่ยขึ้นว่า “ไม่”
“คุณไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ”
คิมหันต์ฉวยจังหวะ เอาหัวโขกชายฉกรรจ์คนนั้น แล้ววิ่งหนี ชายฉกรรจ์อีกสองคนวิ่งไล่ตาม ไม่นานก็ตะครุบตัวได้โดยไม่ยาก
“อย่าหาเรื่องให้เจ็บตัวเลยครับ คุณคิมหันต์”
ชายฉกรรจ์ดันร่างคิมหันต์เข้าไปในโกดังจนได้

ประตูโกดังร้างถูกเปิดออก ชายฉกรรจ์ทั้งสาม เดินนำคิมหันต์เข้ามายืนกลางที่โล่งกว้าง คิมหันต์เหลียวมองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง
“พวกคุณจะทำอะไรผม”
“ยังไม่มีคำสั่งให้ทำอะไร แค่เชิญมาคุยเท่านั้น”
“ทำไมต้องมาคุยในที่แบบนี้”
นายพลโทอรรถเดินเข้ามา ส่งเสียงดังกังวานอันทรงอำนาจออกมาว่า
“เพราะฉันต้องการความเป็นส่วนตัว”
คิมหันต์อุทาน “ท่าน”
“เรียกฉันว่าพ่อก็ได้ จะได้ดูใกล้ชิดกันหน่อย ไอ้ลูกชาย”
อรรถพยักหน้าให้ ชายฉกรรจ์ทั้งสามเดินออกไป
“กินอะไรหน่อยมั้ย ท่าทางน่าจะหิว”
นายพลโทนอกราชการ หยิบถุงอาหารมาวางลงเบื้องหน้าคิมหันต์ แล้วจึงหย่อนตัวลงนั่ง ไม่ไกลกันนัก
“เธอเข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อมั้ย คงไม่ เพราะเธอยังไม่เคยมีลูก งั้นเธอลองนึกถึงความรักของพ่อเธอได้มั้ย”
“นึกไม่ออกครับ พ่อตายตั้งแต่ผมเล็กๆ” คิมหันต์เล่นลิ้น
“งั้นฉันเล่าให้ฟังก็แล้วกัน พ่อทุกคนต้องการเห็นลูกมีความสุข เมื่อไหร่ที่ลูกมีปัญหา เจ็บปวด ทุกข์ใจ พ่อจะเจ็บกว่า หลายเท่านัก ยิ่งพ่อที่มีลูกสาวคนเดียวยิ่งหนักเข้าไปใหญ่”
คิมหันต์นั่งฟังอรรถอบรมในกิริยาสงบนิ่ง พลโทอรรถขยับตัวลุกขึ้นเดิน
“ทีนี้ไอ้ปัญหา ความทุกข์ใจของผู้หญิง มันมีสาเหตุอยู่ไม่กี่เรื่องหรอก หลักๆ ก็มาจากผู้ชาย ในกรณียายพักตรา ผู้ชายคนนั้นก็คือเธอ เธอคือต้นตอปัญหาของลูกสาวฉัน รู้ใช่มั้ย ดังนั้น การแก้ปัญหาให้ลูกสาวฉัน ก็คือการแก้ที่ตัวเธอ”
“ผมตั้งใจจะคุยกับท่านเรื่องนี้”
อรรถทวนสรรพนามที่ต้องการให้เขาเรียก “พ่อ” แทนท่าน
“ผมตั้งใจจะคุยกับ คุณพ่อ เรื่องนี้เหมือนกัน”
“ดี ว่ามา แต่หวังว่าจะเป็นคำพูดที่รื่นหูฉันนะ เพราะถ้าฟังแล้วไม่สบายใจมันอาจจะต้องแปลงไฟล์กันนิดหน่อย”
คิมหันต์นิ่ง อึ้ง พูดไม่ออก
“เอ้า ว่ามาสิ เธอจะบอกอะไรฉัน”
คิมหันต์ตัดสินใจขยับปากพูด
“คือผมคิดว่า...ผมกับพักตร์ เราคงจะ...”
อรรถแปลงคำให้ “แต่งงานกันเร็วๆ นี้”
คิมหันต์เลยต้อง “เอ้อ...”
“ฉันไม่ได้ลากตัวเธอมาที่นี่ เพื่อฟังคำปฏิเสธนะ ไอ้ลูกชาย”
คิมหันต์ตกอยู่ในสถานการณ์พูดไม่ออกอีกครั้ง
”แต่ฉันก็ไม่ได้เร่งรัดอะไร นอกจากจะขอร้องว่า ในระหว่างรอความพร้อมของการแต่งงาน ฉันไม่ต้องการเห็นลูกสาวของฉันมีความทุกข์ เพราะมันจะทำให้พ่ออย่างฉันควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ และเมื่อฉันควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ฉันมักจะจัดการกับต้นเหตุแห่งทุกข์ด้วยวิธีการรุนแรง ที่สุด”
“แล้ว คุณพ่อ จะทราบได้อย่างไรว่าอะไรคือต้นเหตุแห่งทุกข์ที่แท้จริง”
“สุขทุกข์อยู่ที่ใจ ต้นเหตุแห่งทุกข์ พิจารณาได้จากใจ ใจของฉันเท่านั้น และที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีใครกล้าขัดใจฉัน”
คิมหันต์เอาแต่ก้มหน้านิ่ง อรรถเลยถามว่า
“เข้าใจมั้ย”
“ครับ”
“แต่ถ้าเธอทำให้ลูกสาวฉันมีความสุข เธอก็จะได้รับความสุขกลับไปไม่แพ้กัน เข้าใจชัดเจนทั้งหมดที่ฉันพูด ใช่มั้ย”
“ครับ”
“เธอกลับไปอาบน้ำอาบท่าที่โรงแรม นอนหลับให้เต็มอิ่ม แล้วค่อยขับรถกลับบ้านดีๆ พักตรารอเธออยู่ อย่าทำให้ฉันผิดหวังอีกนะ ไอ้ลูกชาย”
อรรถตบหน้าคิมหันต์คล้ายหยอก ทว่ามันแรงใช้ได้ทีเดียว

กว่าสองพี่น้องจะออกจากโรงพยาบาลได้ก็บ่ายแล้ว มุกรินนั่งพิงกระจกรถ เหม่อมองออกไปไกล
จากในรถที่ธาดาขับรถไป พร้อมกับพูดโทรศัพท์ง้อเมียคราวลูกไปด้วย
“ดาว ยังโกรธอาอยู่เหรอ อาขอโทษนะ หายโกรธแล้วโทรกลับอาด้วย หรือถ้าอยากให้อาไปรับกลับบ้านก็โทรบอกได้นะ ดาว”
ธาดากดปุ่มเลิกการสนทนา มุกรินเอ่ยปากพูดโดยที่ยังมองเหม่อไปนอกรถอยู่
“พี่ใหญ่ทำอะไรดวงดาว”
“พี่ดุเขา ที่ปล่อยให้มุกนั่งเรือไปกับไอ้คิม”
มุกรินไม่เชื่อ “แค่นั้น”
ธาดาสารภาพ “พี่ตบหน้าเขา”
“ผู้ชายเห็นแก่ตัวทุกคน คิดจะทำยังไงกับผู้หญิงก็ทำ”
“ไม่ทุกคนหรอกมุก”
ทั้งสองนิ่ง ให้ความเงียบทำหน้าที่ของมัน สองพี่น้องต่างทอดสายตาไปไกลครุ่นคิดเรื่องของตัวเอง สักพักมุกรินจึงเอ่ยขึ้นว่า
“ลบรูปนั้นทิ้งด้วยนะ พี่ใหญ่”

ดวงดาวอยู่หน้าไมค์บนเวทีดนตรีเล็กในร้านอาหารแถวหัวหิน เธอเล่นกีตาร์ และร้องเพลงกับรุ่นพี่นักดนตรีคนนั้น ตอนนี้เป็นเวลาที่ร้านยังไม่เปิดบริการ คิมหันต์เดินเข้ามาหน้าเวที เขาลากเก้าอี้มานั่งดูดวงดาวร้องจนจบเพลง นักดนตรีพูดใส่ไมโครโฟน
“ขอโทษนะครับ ยังไม่ถึงเวลาเปิดร้านนะครับ”
“ผมแค่นั่งดูพวกคุณซ้อม ยังไม่สั่งอาหาร” คิมหันต์ว่า
“งั้นก็นั่งตามสบายนะครับ เราซ้อมเสร็จพอดี”
ดวงดาวเดินลงจากเวทีตรงไปที่คิมหันต์
“อยากกินอะไร สั่งไว้ก่อนเลยดีมั้ยคะ”
“อะไรก็ได้ที่เมา”
“คราวก่อน ฉันต้องขับรถไปส่งคุณที่บ้านทีนึงแล้วนะ”
“ผมยังไม่ได้ขอบคุณ คุณเลย”
“แล้วคราวนี้ ฉันต้องไปส่งคุณที่บ้านอีกรึเปล่า”
“ไกลไป ผมขับเองดีกว่า”
“แต่คุณเลือกที่จะเมา”
“ผมก็กลับเช้าไง”
“มีที่นอนแล้วเหรอ”
“ผู้ชาย...หาที่นอน ไม่ยากหรอก”

ค่ำลงพักตรานั่งหน้านิ่ง เครียดอยู่ในมุมมืดกลางโถงบ้าน พลโทอรรถเดินเข้ามาในบ้านพร้อมเลขาหน้าสวย เมื่อไฟบ้านสว่างขึ้น อรรถจึงมองเห็นลูกสาว
“พักตร์ ทำไมมานั่งมืดๆอย่างนี้”
“คิมยังไม่กลับเลยพ่อ”
“ไม่เกินพรุ่งนี้เช้า”
พอได้ฟังพักตราก็ส่งเสียงดังสวนผู้เป็นพ่อขึ้นมาทันที
“ไหนพ่อบอกว่าจัดการเรียบร้อยแล้วไงล่ะ เรียบร้อยแล้วก็ต้องรีบกลับมาเลยสิ โทร.ไปก็ปิดเครื่อง”
“โทรศัพท์เขาตกน้ำทะเล จมหายไปแล้ว”
“ก็ยิ่งต้องรีบกลับมาบ้าน”
“พ่อให้เวลาเขาพักผ่อน ปรับสภาพจิตใจ”
“ทำไมต้องปรับสภาพจิตใจด้วย...ปับเปิปอะไร ไม่เห็นเข้าท่าเลย”
อรรถหันไปพยักหน้าให้เลขาเดินเลี่ยงเข้าบ้านไปก่อน แล้วขยับตัวลงนั่งข้างๆลูกสาว
“พักตร์ พ่อเป็นผู้ชาย พ่อรู้ดีว่าผู้ชายทุกคนมีศักดิ์ศรี มีความต้องการที่จะเป็นผู้นำ เราต้องไม่บีบเขาจนเกินไป ให้เวลาเขานิดนึง ให้เขาไม่รู้สึกว่าถูกบังคับ แล้วเขาจะกลับมาเป็นของเราตลอดไป เหมือนที่แม่ของลูกทำกับพ่อ”
“แต่พ่อก็ยังมีเด็กๆของพ่อ ไม่ซ้ำหน้า”
“ก็แม่ เขาชิงตายไปก่อนนี่นา”
อารมณ์ของพักตราเริ่มจะเย็นลงไปบ้าง
“แล้วคิมอยู่ไหน...แอบไปอยู่กับยายมุกอีกรึเปล่า”
“ไม่ใช่แน่นอน”
“พ่อรู้ได้ไง”
“เพราะถ้าเป็นพ่อ พ่อจะไม่ทำอย่างนั้น เอาละ วันนี้นอนพักทำตัวให้สวยสดใสไว้ดีกว่านะลูก พรุ่งนี้เจอหน้ากันจะได้มีแต่ความสดชื่น ไม่ขุ่นมัว เชื่อพ่อนะ”
อรรถจูงลูกสาวให้ลุกขึ้น ขยับตัวไปนอน
“พ่อคะ หนูจะไล่ยายมุกออกจากงาน”
อรรถทักท้วง “ไม่ดีแน่ๆ คนจะนินทาว่าเรารังแกเขา ไม่ควรทำหรอกลูก”
“แล้วทีมันรังแกหนูล่ะคะพ่อ มีใครนินทามันบ้างมั้ย”

มุกรินนอนนิ่งอยู่กลางโถงบ้าน ในใจของเธอ ครุ่นคิดหลายเรื่องราว จนธาดาเดินเข้ามานั่งข้างๆ ด้วยท่าทางหงุดหงิด มุกรินเอ่ยปากขึ้นมาลอยๆ
“ดวงดาวไม่กลับมาแล้วใช่มั้ย”
“ยังตามหาตัวไม่เจอ”
“เขาไม่ใช่คนที่พี่ใหญ่จะบังคับได้”
“พี่รู้ ถ้าพี่จะบังคับใครได้ซักคน พี่ขอบังคับมุกไม่ให้ยุ่งกับไอ้คิมดีกว่า”
“มุกบังคับตัวเองได้ พี่ใหญ่ไม่ต้องมาบังคับมุกหรอก”
มุกรินเหลือบมองที่มือซ้ายของเธอ แหวนเอ็นเบ็ดยังประดับอยู่ที่นิ้วนางข้างนั้น มุกรินค่อยๆ ดึงแหวนวงนั้นเลื่อนไปจนสุดปลายนิ้วแล้วหยุดนิ่ง มุกรินเปลี่ยนใจ ดันมันกลับเข้าไปในนิ้วดังเดิม

ค่ำคืนเดียวกันนี้ ตรงโต๊ะเล็กๆ ข้างเวทีเล่นดนตรี คิมหันต์และดวงดาวนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวนั้น ท่ามกลางบรรยากาศอันคึกคักของร้านอาหารกึ่งผับแถวหัวหิน คิมหันต์ดื่มเมรัยสักยี่ห้อ ไม่กี่แก้วก็มึนเมา ส่วนดวงดาวดื่มน้ำเปล่า แต่ก็ไม่ทำให้การสนทนาของเธอและเขาเสียอรรถรสแต่อย่างใด
“ทำไมคุณไม่รีบกลับกรุงเทพฯ”
“ไม่รู้จะรีบกลับทำไม”
“ก็รีบกลับไปหาคนที่คุณควรจะไปหาน่ะสิ”
“ปัญหาคือ ผมไม่รู้ว่าคนนั้นคือใคร”
“กะล่อนนี่หว่า”
“จริง” คิมหันต์กรอกเหล้าใส่ปากหมดแก้ว
“คุณส่งรูปอะไรไปให้อาธาดา”
“รูปน้องสาวเขา รูปที่ทำให้เขาเครียด แค้น เสียสติ”
“สมใจมั้ย”
คิมหันต์พยักหน้า “อืม”
“แล้วไม่คิดว่าเขาจะเอาให้มุกดูเหรอ”
“ไม่ทันคิด...แต่มุกเห็นแล้ว...เธอตบหน้าผมเลย”
“แสดงว่ารูปนั้นต้องอุจาดมากๆ”
คิมหันต์นั่งจ้องแก้วเหล้า ไม่ตอบอะไรออกมา
“คนรักกันเขาทำกันอย่างนี้เหรอ”
“คุณจะแยกคนที่คุณรักกับคนที่คุณเกลียดออกจากกันได้ยังไง ในเมื่อเขาเป็นพี่น้องที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน”
คิมหันต์จ้องเข้าไปในตาของดวงดาว
“คุณมีคำแนะนำดีๆให้ผมมั้ย”
“ตอนนี้ยังไม่มี”
“งั้นผมบอกให้ก็ได้ มันมีสองวิธีเท่านั้น อภัย หรือไม่ก็ เอาคืนให้สุดๆ ไปเลย”
“คุณเลือกวิธีหลัง”
คิมหันต์ยิ้มรับคำ แล้วจึงเอ่ยปากเสียงเยือกเย็น
“ผมจะทำลายทุกอย่างที่เป็นของรักของนายธาดา และคุณคือหนึ่งในนั้น”
ทั้งสองจ้องหน้ากันนิ่ง
“คุณจะทำลายฉันยังไง”
“ตอนนี้ยังไม่รู้ ต้องรอให้ผมเมาจนไม่ได้สติก่อน”
“จะสั่งเหล้าเพิ่มอีกมั้ยล่ะคะ”
คิมหันต์ยิ้ม แล้วกรอกเหล้าเข้าปาก โดยไม่ตอบ

ถัดมาไม่นาน ประตูห้องพักของโรงแรมเล็กๆ แห่งนี้เปิดออก ดวงดาวและนักดนตรีช่วยกันลาก คิมหันต์เข้าไปกองไว้บนเตียง
“ไอ้หมอนี่ มันเมาเละประจำ คราวหลังดาวอย่าให้มันกินเหล้าอีกเลยนะ หรือไม่ก็บอกให้มันไปกินร้านอื่น”
“คนมันกำลังมีปัญหาก็งี้แหละพี่”
“แต่มันก็ไม่ควรมาสร้างปัญหาเพิ่มให้เรานะ ตัวเบาซะเมื่อไหร่ล่ะ”
“คิดว่าเอาบุญแล้วกันน่า”
“แน่ใจนะว่าให้มันนอนห้องนี้”
“อืม...”
“มันไม่ทำอะไรดาวแน่นะ”
“ก็ดูมันสิ มันจะมีแรงมั้ยเนี่ย อย่างมากก็เมาอ้วก”
“พี่ก็ว่า แต่ถ้าเอ็งไม่ใช่ทอม พี่ไม่ปล่อยให้มันอยู่นี่หรอก ไปแล้ว ไปแรดหน่อย เจอกันตอนเช้า”
“ระวังเมียจับได้นะพี่”
นักดนตรีเดินออกไปจากห้อง
ดวงดาวค่อยๆ จับร่างของคิมหันต์จัดให้อยู่ในท่านอนสบายๆ คิมหันต์เอื้อมมือเปะปะมาคว้าร่างของดวงดาวดึงลงมานอนกอด หนุ่มหล่อคออ่อนเอ่ยปากออกมาเหมือนละเมอ เพ้อเทือกนั้น
“อย่าเพิ่งไปซี่ สั่งเหล้ามาอีกขวด กำลังมันเลย”
เมื่อสิ้นเสียง คิมหันต์ก็นิ่ง หลับ ดวงดาวปล่อยตัวเองให้อยู่ในอ้อมกอดของคิมหันต์ โดยไม่ขัดขืน บ่ายเบี่ยง เธอเหลือบมองดูหน้าชายคนที่กอดเธอ
สักพักดวงดาวก็ยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มคิมหันต์อย่างแนบแน่น คิมหันต์ยังคงนอนหลับตานิ่ง ลมหายใจราบเรียบสม่ำเสมอ

เมื่อมองจากมุมสูงลงมา ชวนให้คาดเดาไม่ยากว่าเรื่องราวระหว่างเธอกับเขาจะจบลงที่ตรงไหน?

อ่านต่อหน้า 4




รอยรักแรงแค้น ตอนที่ 6 (ต่อ)

พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าในตอนเช้าวันใหม่ได้สัก 3 ชั่วโมงแล้ว

ที่โต๊ะอาหารใหญ่กลางห้องทานอาหาร พลโทอรรถนั่งพูดโทรศัพท์ตรงตำแหน่งที่สง่าและมีอำนาจ
เลขาหน้าสวยวางกาแฟและหนังสือพิมพ์ให้อรรถ แล้วจึงนั่งที่เก้าอี้ตัวถัดมา
“เขากำลังกลับกรุงเทพฯ เหรอ เมื่อคืนเขานอนที่ไหน...เหรอ...ผู้หญิงที่ชื่อมุกรินล่ะ...ขอบใจนะ”
อรรถวางโทรศัพท์ลง หันไปพูดกับเลขา
“กินเลย ไม่ต้องรอผม”
เลขาทำตามคำสั่ง อรรถลุกขึ้นจากโต๊ะเดินไปกดโทรศัพท์ภายในบ้าน
“พักตร์ ตื่นรึยังลูก”
พักตรานอนพูดโทรศัพท์อยู่บนเตียงนอน
“คิมมาถึงแล้วเหรอพ่อ”
อรรถยืนพูดโทรศัพท์
“ยัง เขากำลังเดินทาง แต่ลูกสบายใจได้นะ เมื่อคืนเข้าไม่ได้อยู่กับยายมุกริน ลูกไม่ต้องคิดมากแล้วนะ”
“แล้วเขาอยู่ที่ไหน อยู่กับใครคะ”
“คนของพ่อบอกว่า เขาเมา นอนโรงแรมเล็กๆแถวหัวหิน”
“นอนกับใคร”
“นักดนตรี”
“ผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“เป็นทอม”
คำพูดนั้นกระแทกเข้าหน้าพักตรา จนหล่อนชันตัวลุกขึ้นนั่ง แววตากร้าว
“ชื่อดวงดาวรึเปล่า พ่อ”

คิมหันต์ขับรถมุ่งหน้ากลับกรุงเทพ โดยมีดวงดาวนั่งข้างๆ ทั้งคู่ดูท่าทางอารมณ์ดี
“ตกลงเมื่อคืนนี้ ผมเมารึเปล่า”
“จะเหลือเหรอ”
“แล้วผมทำอะไรคุณบ้าง”
“ไม่รู้ ฉันหลับ”
“ถ้าผมมีอะไรกับคุณ สมมุตินะ สมมุติว่าเรามีอะไรกัน แล้วเราจะยังไงกันต่อ”
“ฉันไม่เอามาเป็นข้ออ้าง ผูกมัดคุณหรอก อย่าห่วง”
“แล้วถ้าผมยังไม่ได้ทำอะไรคุณเลยล่ะ”
“เราก็นัดมาเมากันได้อีกสักครั้งสองครั้ง”
คิมหันต์หัวเราะเบาๆ
“ชอบผมใช่มั้ยเนี่ย”
“เร็วไป...เรื่องแบบนี้ต้องดูไปนานๆ”
“เรามีเวลาสามชั่วโมงก่อนถึงกรุงเทพฯ พอมั้ย”
“ช่วยขับช้าๆ หน่อยก็ดีค่ะ”

ธาดาเดินพูดโทรศัพท์มือถือออกมาจากห้องนอน
“ฮัลโหล”
ธาดามีสีหน้าเยาะหยัน ขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียงจากปลายสาย
“คุณจะโทร.มาตามหาคู่หมั้นกับผมเหรอครับ คุณพักตรา”
พักตรายืนพูดโทรศัพท์อยู่กลางโถงบ้าน หน้าตาและน้ำเสียงของเธอเกรี้ยวกราด ดุดัน
“เปล่า จะโทร.มาบอกให้รู้ว่าคู่หมั้นฉันอยู่ไหน”
“ผมไม่ได้อยากรู้”
“แกต้องรู้”
ธาดาเปิด speaker phone และวางโทรศัพท์ที่โต๊ะ เขาชงกาแฟกินไปด้วยพูดไปด้วย โดยไม่ให้ความสำคัญกับพักตรามากนัก
“อยากพูดก็พูดมาเลย ไม่เกี่ยวกับผมอยู่แล้ว”
“เกี่ยวสิ เกี่ยวกับแกและคนของแก”
“ใคร”
มุกรินเดินออกมาจากห้องนอนเธอ ทันได้ยินเสียงพักตราจากโทรศัพท์
“อีเมียเด็กของแกไง นังดวงดาว มันเอาคิมหันต์ไปนอนด้วยเมื่อคืนนี้ที่หัวหิน แกรู้บ้างมั้ย”
ธาดาหันไปตะโกนเสียงเครียดใส่โทรศัพท์
“เฮ้ย อย่ามาพูดมั่วๆ นะ”
“ฉันไม่มั่ว แต่แกน่ะโง่ ไอ้โง่เอ๊ย คิดจะมีเมียเด็ก ไม่รู้จักระวัง ปล่อยให้เด็กสวมเขาเข้าให้ยังไม่รู้ตัวอีก”
“หยุดพูดจาหยาบคายกับผมเดี๋ยวนี้”
“แกก็บอกเด็กของแกว่าเลิกยุ่งกับคิมหันต์ซะที หนอยทำท่าทางเป็นทอม ที่แท้ก็เที่ยวหลอกกินผู้ชายไม่เลือกหน้า”
“ไม่จริงเว้ย”
“ไม่เชื่อก็ถามจากมันเองแล้วกัน แล้วก็คอยจับตาดูด้วยว่าใครมาส่งเมียแกที่บ้าน”
ธาดาปลดปุ่ม speaker phone แล้วยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู พูดด้วยเสียงมุ่งร้าย
“คุณพักตรา ถ้าทั้งหมดที่พูดมาไม่เป็นความจริง ผมเล่นงานคุณแน่ๆ”
พักตราโต้ตอบด้วยน้ำเสียงอาฆาตแค้นไม่แพ้กัน
“ฉันต่างหากที่จะบุกไปเล่นงานเมียเด็กของแก รอรับมือให้ดีก็แล้วกัน”
ธาดาวางโทรศัพท์ลงหน้าตาเครียด มุกรินค่อยๆ เอ่ยปากกับพี่ชาย
“ถ้าพวกเขามา พี่ใหญ่ไม่ต้องเรียกมุกนะ”
มุกรินเดินกลับเข้าห้องนอนของเธอ

รถคิมหันต์แล่นมาจอดหน้าบ้านธาดา ทว่ายังไม่มีใครก้าวลงจากรถ จนคิมหันต์เป็นผู้เอ่ยปากก่อน
“มุกรินคงอยู่ในบ้าน”
“งั้นมั้ง”
“เพื่อไม่ให้มีปัญหา ผมส่งคุณแค่ตรงนี้ดีกว่า”
“ฉันนึกว่าคุณต้องการให้ที่นี่มีปัญหาซะอีก ที่จริง คุณทำร้ายจิตใจอาธาดาได้สบายๆ ด้วยการเดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับฉัน”
“ยังไม่ใช่เวลานี้”
“เพราะคุณยังต้องการใช้ประโยชน์จากฉัน”
“ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากรู้ทุกอย่างที่เป็นความลับของเขา”
“เสียใจค่ะ ไม่มีอะไรลึกลับมากกว่าที่คุณเห็นหรอก”
คิมหันต์ยักไหล่ แสดงการรับรู้
“นอกจาก ไอ้ขุม”
คิมหันต์ทวนชื่อ “ไอ้ขุม”
ดวงดาวครุ่นคิดนิ่งๆ สักครู่ แล้วจึงเอ่ยปาก
“ให้ฉันรู้อะไรมากกว่านี้ก่อน แล้วจะบอก”
“ขอบคุณ ขอบคุณสำหรับห้องนอนเมื่อคืน”
“ด้วยความเต็มใจ”
ดวงดาวเปิดประตู ค่อยๆ ก้าวลงจากรถ

ธาดาก้าวเข้ามาทางด้านหลัง ด้วยหน้าตาอันดุดัน ตะโกนเสียงดังลั่น
“ไอ้เหี้ยคิม มึงพาดวงดาวไปไหนมา”
คิมหันต์ก้าวลงจากรถ เอ่ยปากตอบอย่างใจเย็น
“ถามน้องเขาดีกว่ามั้ง ว่าใครพาใครไปแน่”
ธาดาเดินตรงไปกระชากแขนดวงดาว
“ดวงดาว มานี่”
ดวงดาวบอกธาดาเสียงเข้ม “ถ้าอาตบหน้าหนูอีกที หนูจะไม่กลับมาที่นี่อีกเลย”
“เมื่อคืน ดาวอยู่กับมันเหรอ”
“เขาไปกินเหล้าร้านที่หนูเล่นดนตรี แล้วเขาก็เมา”
“มันเมาแล้วมันทำอะไรดาวบ้าง”
คิมหันต์เอ่ยปากสวนออกมาก่อนที่ดวงดาวจะตอบ
“น้องเขาเปิดห้องในโรงแรมให้ฉันนอน ฉันก็เลยอาสามาส่งเธอที่บ้าน”
ธาดาจ้องหน้าดวงดาว คาดคั้นเอาความจริง
“แล้วดาวนอนกับมันรึเปล่า”
ดวงดาวตัดสินใจโกหก “หนูนอนห้องหนู”
“อย่าคิดมากน่า คิดมากก็เครียดมาก เดี๋ยวเส้นโลหิตแตกตายก่อนจะได้ขึ้นศาล”
“กูไม่ขึ้นศาลกับมึงอีกแล้ว”
“ยังไงมึงก็ต้องขึ้น ถ้าศาลอุทธรณ์รับพิจารณาคดีเมื่อไหร่ มึงก็ต้องขึ้นเมื่อนั้น”
ธาดาอึ้งไปนิดหนึ่ง ก่อนที่เขาเดินเข้าไปประชิดตัวคิมหันต์
“ขึ้นอีกกูก็ชนะ”
“ชนะเพราะน้องสาวให้การเท็จ มันน่าภูมิใจมากเลยนะ”
“ใช่ ภูมิใจที่เขาเลือกพี่ชาย ไม่เลือกคนชั่วๆ อย่างมึง”
“ถามเขาใหม่รึยัง”
“ถามกี่ครั้งคำตอบก็เหมือนเดิม”
“ลองมั้ยล่ะ”
คิมหันต์ผลักอกธาดา แล้วเดินตรงเข้าไปในบ้าน
“ไอ้คิม...อย่ายุ่งกับน้องสาวกู”
“มึงไม่กล้าถาม กูถามเอง”
มุกรินก้าวออกมาจากในบ้านพอดี
“ไม่จำเป็น คิม...คุณกลับไปซะเถอะ”
“ผมจะกลับไป เมื่อคุณเข้าใจผมก่อน”
“ไม่มีอะไรต้องอธิบายอีกแล้ว”
ดวงดาวเดินตามเข้ามาใกล้ๆ
“ฟังเขาซะหน่อยก็ดีนะมุก”
“ไม่“
ธาดาโมโห “ดาวอย่ายุ่ง”
คิมหันต์ดึงมือมุกรินขึ้นมากุมไว้
“มุก”
“อย่าแตะต้องน้องกู”
ธาดากระชากแขนคิมหันต์ออกมา พอดีมีรถเก๋งคันใหญ่วิ่งตรงมาจอดหน้าบ้าน พักตราก้าวลงจากรถคันนั้น
“อยู่กันพร้อมหน้าอย่างนี้ ฉันควรจะตบใครก่อนดี”
“ถ้าตบฉันก็มีสวน” ดวงดาวบอก
ธาดาตะเพิด “เชิญลากคนของคุณกลับไปตบกันที่บ้านเถอะ”
“หลังจากฉันตบอีนี่ก่อน”
ขาดคำพักตราถลันเข้าไปตบดวงดาว แต่ก็ถูกดวงดาวตบสวนกลับทันท่วงที
“แกเป็นใคร คิดจะมาแย่งคู่หมั้นของฉัน อีเด็กเมื่อวานซืน”
“คิดจะตบใครก็ตบได้ง่ายๆ เหรอ นึกว่าฉันกลัวเหรอ”
คิมหันต์และธาดาตรงเข้าไป ดึง และแยก ผู้หญิงทั้งสองคนออกจากกัน
“พอได้แล้วพักตร์”
“ปล่อยฉันนะคิม”
ธาดาสั่ง “ดาว เข้าบ้าน”
“ขอไล่อีนี่ออกไปก่อน” ดวงดาวว่า
“พักตร์ หยุดทำเรื่องบ้าๆ อย่างนี้ได้มั้ย” คิมหันต์ตะโกนลั่น
“พักตร์เหรอที่ทำบ้าๆ แล้วที่คิมทำกับนางนี่ล่ะ กับอีมุกนั่นอีก อย่างนั้นมันดีนักเหรอ”
มุกรินยืนดูอย่างสงบนิ่ง
“ออกมานี่เลยอีมุก ฉันต้องตบแกอีกคน”
พักตราพุ่งไปทางมุกริน คิมหันต์กระชากแขนรั้งตัวพักตราลากกลับมาที่รถของตน
“กลับบ้านได้แล้วพักตร์ พอแล้ว”
“ฝากไว้ก่อนเถอะพวกมึง”
มุกรินเดินกลับเข้าไปในบ้าน คิมหันต์ดันร่างพักตราเข้าไปในรถของเขา แล้วจึงหันไปสั่งคนขับรถพักตรา
“ไปได้แล้ว ฉันพาคุณพักตร์กลับเอง”
จากนั้นคิมหันต์หันไปพูดกับดวงดาว “ดาวฝากดูมุกด้วย”
ธาดาย่งโมโห “มึงไม่มีสิทธิ์มาฝากอะไรใครที่นี่ ออกไปจากบ้านกูเดี๋ยวนี้”

คิมหันต์ขับรถออกไป มุกรินอ่อนล้า รันทดหดหู่ ไปทั้งกายและใจ

คิมหันต์ขับรถมาสักระยะหนึ่ง โดยมีพักตรานั่งข้างๆ พักตราโวยวายด้วยความหงุดหงิด ต่อเนื่องมาจากฉากก่อนหน้านี้
“คิมใจร้าย ใจร้ายกับพักตร์มาก พักตร์อยากตบหน้าคิม”
“เอาเลย ถ้ามันจะทำให้คุณเย็นลงได้ ก็เอาเลย ดีกว่าไปตบหน้าคนอื่น”
พักตราเงื้อมือจะตบหน้าคิมหันต์ แต่ยั้งมือไว้และลดมือลงในที่สุด คร่ำครวญด้วยความน้อยใจ
“ทำไมคิมต้องทำกับพักตร์อย่างนี้ด้วย”
“ถ้าพักตร์มีสติ สงบนิ่ง ผมก็คงไม่ทำอย่างนี้หรอก”
“คิมจะบอกว่าที่นั่งเรือออกไปกับยายมุก เพราะพักตร์ไม่มีสติงั้นเหรอ”
“ใช่”
“พักตร์ไม่มีสติยังไง”
“คุณโวยวาย ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ แล้วก็ทิ้งงาน หนีกลับกรุงเทพฯ”
“ก็คิมตบหน้าพักตร์”
“เพราะคุณไม่ฟังผมไง”
“แค่พักตร์ไม่ฟังคิม ถึงขั้นต้องตบหน้ากันเลยเหรอ”
คิมหันต์นิ่ง อึ้งไป
“แล้วมันก็ไม่มีอะไรน่าฟัง นอกจากข้ออ้างที่คิมหนีไปนอนกับอีนั่น”
“ถ้าคุณไม่เชื่อใจผม ก็ไม่มีประโยชน์ที่เราจะหมั้นกัน”
“อ๋อ...พูดอย่างนี้เ แปลว่าคิมต้องการถอนหมั้นใช่มั้ย”
คิมหันต์นิ่งไม่ตอบ พักตราอึ้งน้ำตาไหลพราก เธอร้องโวยวายพร้อมกับเงื้อมือทุบรัวไปที่หน้าและตัวของคิมหันต์
“ใช่มั้ย...ใช่มั้ย ใช่มั้ย...พูดมาซี่ พูดมา แกจะถอนหมั้นฉันใช่มั้ย ไอ้คิม ไอ้เลว”
พักตราทุบจนมือชา แล้วจึงหยุด หายใจหอบเหนื่อย คิมหันต์ยังคงนั่งนิ่ง ไม่พูดจาใดๆ
“คิดว่าพ่อฉันจะยอมเหรอ”
“ผมพูดกับพ่อคุณแล้ว”
“พูดว่าไง”
“เรากลับไปคุยกันที่คอนโดดีกว่า”

ที่ห้องพักบนคอนโดมิเนียมหรู ริมน้ำ ยามเย็น คิมหันต์ และพักตราเดินเข้ามาในนั้น พักตราเดินไปนั่งร้องไห้อยู่ที่มุมห้อง คิมหันต์ทิ้งตัวลงนั่งอย่างเหนื่อยหน่าย เขาค่อยๆ เรียบเรียงคำพูดออกมา
“ผมอาจจะทำบางอย่างที่ไม่ถูกต้องนักกับคุณ ผมขอโทษ ก็แล้วกัน”
“พ่อสั่งให้ขอโทษพักตร์ใช่มั้ย”
“ผมขอโทษจากใจ”
“พักตร์ไม่ต้องการคำขอโทษ พักตร์ต้องการคำยืนยัน ว่าจะไม่ทำอย่างนี้อีกได้มั้ย”
คิมหันต์นิ่ง ไม่มีคำพูดใดๆออกจากปากเขา พักตราเริ่มร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
“พักตร์ทำอะไรผิดเหรอ แค่พักตร์รักคิม แต่ทำไมพักตร์ต้องได้รับสิ่งเหล่านี้เป็นการตอบแทน ทำไมพักตร์ไม่ได้รับความรักและการทะนุถนอมจากคิมบ้าง พักตร์ทำผิดอะไร”
คิมหันต์ถอนใจออกมาดัง
“เราไม่พูดเรื่องผิดถูกได้มั้ย”
“ถ้าเราไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก เราจะแก้ปัญหาได้ยังไง”
“ด้วยความเข้าใจไง คุณต้องเข้าใจว่าผมเพิ่งถอนหมั้นจากมุกริน”
“และก็เพิ่งหมั้นกับพักตร์”
“ใช่”
“แล้วไง”
“มันยังมีเรื่องบางอย่างที่ผมกับมุกยังเคลียร์กันไม่จบ”
“ยังไม่จบ คิมประกาศถอนหมั้น แฉไปทั่วเมืองขนาดนั้น มันต้องจบซะยิ่งกว่าจบอีก”
“ผมยังต้องเคลียร์เรื่องที่เขาให้การเท็จ”
“ก็ให้ทนายจัดการ ไม่เกี่ยวอะไรกับคิมเลย”
“คุณเถียงผมหัวชนฝาอย่างนี้ ก็ไม่ต้องคุยกันแล้ว” เขาถอนใจอีกเฮือก
“จะเลิกกันใช่มั้ย บอกมาตรงๆ เลยดีกว่า”
คิมหันต์จ้องหน้าพักตรานิ่ง พักตรามองหน้าเขา แล้วน้ำตาก็ทะลักออกมามากยิ่งขึ้น
“บอกมาเลย พักตร์เตรียมใจไว้แล้ว ป่วยการที่จะวิ่งไล่ตามผู้ชายที่เห็นเราเป็นแค่ทางผ่าน พักตร์ไม่รั้งคุณไว้อีกแล้ว พักตร์จะอธิบายกับพ่อเอง”
“ผมบอกว่าผมคุยกับพ่อคุณแล้วไง”
“พ่อบอกพักตร์แล้วละ พ่อบอกว่า เมื่ออะไรๆ เรียบร้อยแล้ว เราจะแต่งงานกัน แต่พักตร์ไม่อยากเชื่อ”
คิมหันต์เดินเข้าไปใกล้พักตรา เขาค่อยๆ จับมือเธออย่างนุ่มนวล
“ให้เวลาผมนิดนึงนะพักตร์”
“พักตร์จะได้อะไรจากการให้เวลาคิม”
“ทุกอย่างที่คุณต้องการ”
“แน่นะ”
คิมหันต์พยักหน้าช้าๆ
“พักตร์ขอคิมเพียงสองข้อ ข้อหนึ่งสัญญาว่า จะไม่พายายมุก ไปอยู่กันตามลำพังสองต่อสองอีกนะ”
“ข้อสองล่ะ”
“ข้อสอง พักตร์จะขอตอนก่อนนอน คืนนี้”
พักตรายิ้มหวานให้คิมหันต์

มุกรินนั่งนิ่งๆ อยู่บนเตียงในห้องนอน จนดวงดาวเดินเข้ามาในห้องหย่อนตัวลงนั่งริมเตียง
“เป็นไงบ้าง”
“เรื่องอะไร”
“ที่เกาะ สนุกมั้ย”
มุกรินนิ่งซักพัก จึงค่อยเอ่ยปาก ไม่ตอบแต่ถามขึ้น
“รู้มั้ยว่าเขาถ่ายรูปฉัน แล้วส่งไปให้พี่ใหญ่”
“เขาต้องการทำให้พี่ชายเธอทุกข์ทรมานใจ”
“ซึ่งก็รวมถึงฉันด้วย”
“ไม่หรอก”
“รู้ได้ไง”
“เธอต้องมั่นใจในความรักของเขา”
“ฉันไม่มั่นใจอะไรอีกแล้ว ใครจะรู้ เขาอาจจะส่งรูปนั้นไปที่อื่นอีกหลายที่ เหมือนที่เขาประจานฉันตอนถอนหมั้น”
“ถ้าเธอคิดอย่างนั้นฉันก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้”
ดวงดาวขยับตัวจะเดินออกจากห้อง
มุกรินเอ่ยปากถามขึ้นมาลอยๆ
“นอนกับเขารึเปล่า”
“คิมหันต์น่ะเหรอ”
มุกรินพยักหน้า
“เธอก็น่าจะรู้ว่าเวลาเขาเมา เขาทำอะไรได้บ้าง”
“แต่พี่ใหญ่ไม่ได้รู้อย่างฉัน และมันเป็นการทำร้ายจิตใจพี่ใหญ่อย่างมาก” มุกรินติงและเตือน
“แต่ถ้าเขาเชื่อใจฉัน เขาก็จะไม่ทุกข์อย่างนี้ เหมือนเธอนั่นแหละ”
มุกรินนิ่งไป ดวงดาวเดินเข้าไปพูดใกล้ๆมุกริน
“จะบอกให้นะ ฉันมีความสุขกับการไม่สร้างปัญหาให้ใคร และไม่ทำร้ายหัวใจใคร โดยเฉพาะกับคนที่ฉันถูกชะตาด้วย”
ดวงดาวเดินออกจากห้องไป มุกริน เธอยังสับสนกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น

ผู้ช่วยทนายสองคนนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ บนโต๊ะของเขามีกล้อง แฟลชไดร๊ฟ์ และเมมเมอรี่การ์ดมากมายวางเต็มโต๊ะ ผู้ช่วยทนายเห็นอะไรบางอย่างในจอคอมพ์ เขาแสดงความสนใจอย่างออกนอกหน้า
ผู้ช่วย 1 กดบนคีย์บอดเพื่อซูมเข้าไปดูภาพใกล้ๆ เขาหันไปสั่งผู้ช่วย 2 ที่นั่งข้างๆ
“มาร์กตรงนี้ไว้ก่อนนะ”
ผู้ช่วย 1 บอกแล้วลุกขึ้น เดินออกจากห้องนี้
ผู้ช่วยคนนั้นเดินไปยังห้องข้างๆ กัน เห็นชุมสายนั่งตรวจสำนวนอยู่ในห้องนี้ ผู้ช่วยรีบเอ่ยปากเสียงตื่นเต้น
“พี่ชุมสายครับ เชิญทางนี้หน่อยครับ ผมเจออะไรน่าสนใจคลิปแล้วครับ”

กลางดึกคืนเดียวกัน โทรศัพท์มือถือคิมหันต์ดังขึ้น คิมหันต์ยื่นมือมากดรับสาย เขานอนพูดโทรศัพท์อยู่บนเตียงในสภาพเปลือยอก เปิดปากแดกดันเพื่อนทนายทันที
“ไม่หลับไม่นอนบ้างหรือไงวะไอ้ชุม โทร.มาซะป่านนี้”
ชุมสายนั่งพูดโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานของเขา
“ก็รู้ว่าแกก็ยังไม่นอนน่ะสิ ถึงได้โทร.แต่ไม่รู้ว่าแกอยู่ที่ไหน”
“มีอะไรว่ามา”
“พูดได้ใช่มั้ย”
“เออ”
“งั้นเล่าเรื่องของแกที่เกาะให้ฟังก่อน”
“เรื่องมันยาว พรุ่งนี้จะไปเล่าให้ฟังถึงที่เลย”
พักตรานอนหลับอยู่บนนั้น โดยมีผ้าห่มปกคลุมกาย เธออยู่ในสภาพเปลือยเช่นกัน
“ดี แล้วพรุ่งนี้แกก็จะได้เห็นอะไรบางอย่างในกล้องของพวกทำหนังสั้น รับรองว่าเจ๋ง”
คิมหันต์กดปุ่มวางสายโทรศัพท์
พักตราพลิกตัวมาคว้าร่างของคิมหันต์ เธอเอ่ยปากด้วยเสียงงัวเงีย
“คิม...มานอนกอดพักตร์ก่อนสิคะ”
คิมหันต์เอนตัวลงนอนกอดพักตราโดยไม่อิดออด พักตราซุกหน้าลงไปบนอกแกร่งอันเปลือยเปล่ามีไรขนแสนเซ็กซี่ของคิมหันต์
“เราทำแบบเมื่อกี้กันอีกทีดีมั้ย คิม นะ”
เธอยิ้ม ทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่

ที่อาคารสำนักงานกฎหมายบูรพา เช้าวันนี้ หน้าจอคอมพิวเตอร์ ปรากฏเป็นภาพ Time Lapse ที่บันทึกด้วยกล้อง GoPro มันผูกติดไว้กับเสาไฟฟ้าไม่ไกลจากทางเข้าบ้านวิมลรัตน์นัก
ชุมสายและคิมหันต์นั่งข้างๆ กันหน้าจอ ชุมสายค่อยๆ อธิบายสิ่งที่เขาเพิ่งค้นพบ
“นี่คือภาพ Time Lapse ที่กลุ่มนักศึกษาตั้งกล้องถ่ายในคืนนั้น”
“แกเรียกฉันมาดูภาพเมฆฝนเหรอ”
“ใช่ ดูผ่านๆ มันก็คือภาพเมฆฝนธรรมดา แต่หลังจากที่ลูกน้องฉันนั่งตาเปียกตาแฉะเป็นอาทิตย์ ก็เลยได้เจอช็อตเด็ดเข้า”
คิมหันต์สนใจ “เด็ดยังไง...ไม่เห็นต่างจากช็อตอื่นเลย”
“เดี๋ยวดู มุมนี้คือทางเข้าบ้านเจ๊มล ใช่มั้ย”
หน้าจอคอมพิวเตอร์ มีลูกศรวิ่งชี้ไปยังจุดต่างๆ ตามตำแหน่งที่ชุมสายอธิบาย
“ใช่”
“เวลาประมาณ ตี 1 ฝนตกหนัก ไม่มีใครผ่านไปผ่านมาบริเวณนี้แม้แต่คนเดียว”
“อือ...”
ชุมสายทำภาพในจอให้กลายเป็นภาพสโลว์
“ทีนี้พอเราทำให้ภาพมันช้าลง เรากลับเห็นอะไรบางอย่าง”
“ไหน”
“ช้าลงอีกนิด คร็อปเข้าไปหน่อย เห็นอะไรมั้ย”
ภาพในจอคร็อปไปที่ทางเข้าบ้านวิมลรัตน์ เห็นมีมอเตอร์ไซค์วิ่งเลี้ยวเข้าไปทางนั้น
“มอเตอร์ไซค์”
“ใช่ มันวิ่งไปไหน”
คิมหันต์บอกอย่างมั่นใจ “บ้านพี่มล”
“ใช่ แล้วอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา รถนายธาดาจึงวิ่งออกไป โดยไม่มีมอเตอร์ไซค์ตามมาด้วย เป็นไงเด็ดมั้ย”
หน้าจอคอมพิวเตอร์ เห็นรถธาดาวิ่งออกมาจากทางนั้น
“แล้วมอเตอร์ไซค์หายไปไหน”
ชุมสายบอก “กล้องตัดซะก่อน”
“โธ่...”
“แต่มันมาโผล่ที่นี่ ที่กล้องวงจรปิดตรงนี้ นี่ไง คันเดียวกัน”
หน้าจอคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่ง เป็นภาพจากกล้องวงจรปิดตัวอื่น เห็นรถมอเตอร์ไซค์คันเดิมวิ่งผ่านถนนไปในเวลาใกล้รุ่ง
“มันออกมาทีหลัง ตอนเช้ามืด”
“ใช่ และนี่จะเป็นหลักฐานใหม่ที่ศาลอาจจะรับฟังก็ได้”
คิมหันต์ยิ้ม “ดี”
“ในเมื่อหลักฐานชัดเจนอย่างนี้ แกยังต้องการเล่นงานมันตามแผนเดิมอีกรึเปล่า”
“แน่นอน คนอย่างไอ้ธาดามันต้องโดนให้ครบทุกรูปแบบ”
ชุมสายถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนเอ่ยปากพูดเตือน ในฐานะเพื่อน
“แต่ฉันก็ยังยืนยันเหมือนเดิมนะ ไอ้คิม นึกถึงมุกรินให้มากๆ”
“ฉันรู้”
คิมหันต์ขยับตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้หน้าคอมพิวเตอร์
“เราควรจะสืบให้รู้ด้วยว่า ไอ้มอเตอร์ไซค์คันนั้น มันคือใคร”

ไอ้ขุมก้าวเข้ามายังหน้าบ้านเช่าธาดา มันเดินวนเวียนไปมาอยู่บริเวณหน้ารั้วบ้าน จนธาดาเดินเข้ามาหา หน้าตาธาดาดูไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
“ฉันบอกให้แกหายไปสุดขอบโลกไง แล้วเสือกโผล่มาที่นี่อีกทำไม”
“ก็มันไปยังไม่ทันถึงไหน เงินมันก็หมดก่อนนี่เฮีย”
“อะไรวะ เงินเป็นล้าน มึงใช้แป๊บเดียวหมดแล้วเหรอ” ธาดายัวะ
“ก็ทีเฮียล่ะ เงินเป็นสิบๆ ล้าน ยังหมดได้ในวันเดียวเลย”
ธาดาถอนใจด้วยความเหนื่อยหน่าย
“จะเอาอีกเท่าไหร่”
“ถ้าจะให้ไปไกลสุดขอบโลกจริง ก็ต้องซักห้า...”
ธาดาสวนออกมา “ห้าแสน”
“ห้าล้านสิเฮีย”
ธาดาคุมแค้น แล้วพ่นออกมาเป็นคำว่า “กูไม่มี”
“ถึงเฮียจะไม่มี...แต่เฮียก็มีแหล่งเงินพอจะให้หยิบฉวยได้นี่นา”
ธาดาจ้องหน้าไอ้ขุมนิ่ง
“หรือเฮียอยากให้ผมแฉ...ว่าไง”
“ออกไปรอฉันปากซอยใหญ่ ยืนหลบๆ อย่าให้ใครเห็นหน้ามึงมาก”
“โอเค เฮีย” ไอ้ขุมยิ้มบอก

ปรารภเดินตรงไปยังห้องทำงานของเขา เลขาหน้าห้องรายงานผู้เป็นเจ้านาย
“มีเอกสารรอเซ็นอยู่บนโต๊ะนะคะ”
“โอเค”
ปรารภเดินตรงเข้าไปในห้อง ขยับตัวลงนั่งหน้าโต๊ะทำงาน เอกสารหลายชิ้นวางรออยู่บนนั้น
เขาหยิบแฟ้มรายงานเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน สีหน้าไม่ค่อยดี เขากดอินเตอร์คอม พูดกับเลขาหน้าห้อง
“หนังสือเวียนบนโต๊ะผมมาจากไหนเนี่ย”
“หนังสืออะไรคะ”
“คำสั่งพักงานมุกริน”
“อ๋อ เป็นคำสั่งด่วนของซีอีโอค่ะ”

พักตราขยับตัวลงนั่งที่โต๊ะทำงานซีอีโอ
“ทำไม คุณปรารภมีปัญหาอะไรกับคำสั่งของฉันเหรอ”
ปรารภยืนอยู่เบื้องหน้าโต๊ะทำงานของพักตรา
“ผมต้องการทราบเหตุผล”
“ไร้ประสิทธิภาพในการทำงาน”
“ไร้ตรงไหน ไร้ยังไง คุณเอาอะไรมาวัด”
“เอาความจริงน่ะสิ มีอย่างที่ไหน ทิ้งงานหนีไปเที่ยวเกาะ ไม่ใส่ใจในหน้าที่ ไม่รับผิดชอบต่อแผนงาน อย่างนี้เรียกว่ามีประสิทธิภาพเหรอ”
“ถ้างั้นก็ต้องออกคำสั่งพักงานซีอีโอไปด้วย เพราะคุณเป็นคนริเริ่มโปรเจ็กท์นี้ ซึ่งเป็นโปรเจ็กท์ที่ไม่เข้าท่าที่สุด ผมไม่เห็นเลยว่าบริษัทจะได้ประโยชน์หรือมีกำไรจากโปรเจ็กท์นี้ยังไง นอกจากความสะใจส่วนตัวของคุณ และคนที่ทิ้งงานไปก่อนเป็นคนแรกก็คือคุณ ไม่ใช่มุก คุณทิ้งทุกอย่างไป จนลูกน้องผมเคว้งคว้างอยู่ที่นั่นตั้งสามวัน คุณนั่นแหละที่ควรจะถูกสั่งพักงาน”
พักตราย้อนเสียงแจ๋ว “ใครจะเป็นคนสั่งฉันล่ะ”
“พ่อคุณไงครับ ผมจะทำเรื่องแจ้งคุณพ่อคุณเอง”
“เชิญเลย ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าพ่อ จะคิดเหมือนคุณหรือเหมือนฉันกันแน่”
ปรารภยืนนิ่งอึดอัดอยู่พักหนึ่ง จึงเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงที่เย็นลง
“ผมไม่ฟ้องพ่อคุณก็ได้ แต่คุณต้องระงับคำสั่งนี้”
“เสียใจ ฉันออกเป็นคำสั่งไปทั่วบริษัทแล้ว”
“คุณก็ออกคำสั่งใหม่ เพื่อยกเลิกคำสั่งเก่าได้”
“คุณปรารภคะ การประเมินความสามารถพนักงาน เป็นหน้าที่โดยตรงของฉัน และฉัน ก็ไม่ได้ถามความเห็นคุณแม้แต่น้อย เพราะฉะนั้น จบนะคะ หรือจะให้ฉันประเมินความสามารถของคุณอีกคน ก็ว่ามา”
ปรารภอึ้ง เขาเดินก้าวยาวๆออกจากห้องนี้ โดยมีรอยยิ้มของพักตราส่งตามหลังเขา

ปรารภเดินเครียดออกมาจากห้องพักตรา พลางกดโทรศัพท์มือถือของเขา และยืนรอสัญญาณอยู่บริเวณทางเดินหน้าห้องนั้น
“ฮัลโหลมุก พี่รภนะ”
ที่ร้านอาหาร บุฟเฟต์ มุกรินพูดโทรศัพท์ไปพร้อมกับตักอาหารไปด้วย
“มีอะไรเหรอคะพี่รภ”
“เย็นนี้พี่แวะไปหามุกที่บ้านได้มั้ย เอ้อ...พี่ไม่อยากคุยทางโทรศัพท์น่ะ”
“มีเรื่องอะไรร้ายแรงเหรอคะ”
“เอาไว้พี่คุยให้ฟังตอนเย็นดีกว่า...หรือจะให้พี่ไปหาตอนนี้”
“ตอนเย็นก็ได้ค่ะ”
“โอเค แล้วเจอกันนะ...อ้อ มุกหายดีแล้วใช่มั้ย”
“ค่ะ”
มุกรินกดวางสาย หน้าตาเธอหมองลงไปนิดหนึ่ง

มุกรินขยับตัวลงนั่งที่โต๊ะ ดวงดาวนั่งกินอาหารอยู่ที่โต๊ะนี้ด้วย
“เปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ปุ๊บ มีสายเข้าปั๊บเลยนะ”
มุกรินนั่งหน้านิ่ง ไม่มีคำตอบอะไรออกจากปากเธอ
“รับสายแล้วหน้าเครียดอย่างนี้ อย่าบอกนะว่าคู่หมั้นเก่าโทร.มา”
มุกรินส่ายหน้า “เจ้านาย...พี่ปรารภ”
“กิ๊กใหม่นั่นเอง”
“เขาบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย ขอมาหาที่บ้านเย็นนี้”
“ลีลาหนุ่มใหญ่ไม่เลวนะเนี่ย จู่โจมทีเดียวถึงบ้านเลย”
“ฉันว่าที่บริษัทคงกำลังมีเรื่องยุ่งๆ เกิดขึ้น”
“จะกลับกันเลยมั้ยล่ะ”
“ดาวกินให้อิ่มก่อนก็ได้”
“ฉันไม่ได้หิวเลยนะเนี่ย แค่กินเป็นเพื่อนเธอไปงั้นๆ แหละ ที่จริงฉันนั่งรอของหวานอยู่”
“สั่งแล้วเหรอ”
ดวงดาวมองไปยังประตูทางเข้าร้าน ด้านหลังมุกริน
“อืม มาแล้ว

ที่แท้ดวงดาวเห็นคิมหันต์เดินเข้ามาในร้านนี้ เขากวาดตามองหา แล้วจึงตรงมาที่โต๊ะมุกริน
“นั่งคนเดียวแป๊ปนึงนะมุก เดี๋ยวมา”
ดวงดาวลุกขึ้นแล้วเดินออกไปทางหน้าร้าน
คิมหันต์ก้าวเข้ามายืนด้านหลังมุกริน เขาเอ่ยปากเสียงนุ่มหู
“ขออนุญาตินั่งด้วยได้มั้ยครับ”
มุกรินชะงักทันทีเมื่อได้ยินเสียงคุ้นหูนี้ เธอหันไปจ้องหน้าคิมหันต์
“อย่าเพิ่งดุ อย่าเพิ่งด่า อย่าเพิ่งเดินหนี ให้โอกาสผมอีกซักครั้งเถอะนะมุก”
มุกรินมองไปทางหน้าร้าน พบว่าแม่ดวงดาวตัวดี ยืนอยู่บริเวณเคาน์เตอร์หน้าร้าน แถมหันมายิ้ม ยักคิ้วให้อีก
“ฉันน่าจะรู้นะว่า ทำไมดวงดาวถึงชวนมากินข้าวที่นี่ให้ได้”
“เพราะเขารู้ว่าผมรู้สึกยังไงกับคุณ”
มุกรินหายใจลึกๆ เหนื่อยใจนัก ก่อนเอ่ยปากบอกกับคิมหันต์ไปว่า
“ฉันมีเวลาให้คุณไม่มากนะ ถ้าฉันลุกออกจากโต๊ะนี้เมื่อไหร่ แปลว่า คุณหมดเวลาเมื่อนั้น และนี่คือครั้งสุดท้ายที่ฉันจะยอมฟังคุณ”

น้ำเสียงของ มุกริน คุรุรัตน์ จริงจังมากกว่าครั้งไหนๆ

อ่านต่อตอนที่ 7



กำลังโหลดความคิดเห็น