ปริศนา ตอนที่ 5
ตกตอนกลางคืนอีกวันหนึ่ง บ้านสุทธากุลยามค่ำค่อนข้างเงียบเป็นปกติ แต่ไฟห้องโถงยังเปิดสว่าง สักครู่อนงค์เดินลงมาจากชั้นบน ตรงมาหาสิรีที่กำลังเย็บจักรอยู่
“สิรี ยังไม่นอนอีกหรือ”
“เสียงจักร กวนอนงค์ หรือ”
“ไม่กวนจ้ะ ปริศนา ก็กำลังตรวจการบ้านนักเรียน ถามเมื่อกี้ว่าได้ยินไหม ก็บอกว่า ไม่ได้กวนอะไร แต่ที่ลงมาดู เพราะเห็นว่าสิรียังไม่หายดี ควรจะพักเวลาป่วย”
“ไม่มีไข้แล้ว ก็ว่าพรุ่งนี้จะไปทำงาน”
“ถ้าดีขึ้นแล้ว สิรีจะไปกับท่านชายด้วยกันไหม เพราะอีกสองสามวันจะมีไปเที่ยวเรือด้วย น่าสนุกออก”
“ถ้าขนาดไปนั่งเรือ น่ากลัวจะไข้กลับ มันหมดสนุกแน่ล่ะ อนงค์”
ปริศนาเดินลงบันไดมาในจังหวะนี้
“อ้าว...มาคุยกันตรงนี้เสียแล้ว”
“ปริศนา เล่าเรื่องงานเมื่อคืนให้ฟังหน่อยสิ” สิรีบอก พลางเลิกถีบจักร
“ปริศนาจำไม่ได้ว่า เล่าถึงไหนแล้ว”
“ถึงตอนดินเนอร์ไง”
“อือ หลังจบดินเนอร์ ก็ขึ้นไปแต่งตัวชั้นบนกัน ปริศนาก็ไปได้คุยกับแหม่ม เค้าบอกว่าผัวเขาเป็น สก๊อต เพิ่งแต่งงานได้ 3 เดือน แต่รักกันมาตั้ง 5 ปีแล้วนะ นานมากตั้งแต่จิมยังเด็กอยู่เลย”
สิรีฉงน “จิมไหน อีกล่ะ”
“เจมส์ แอชลี่ น้องชายของแหม่ม เค้าบอกให้ปริศนาเรียกเขาสั้นๆ ว่าจิม แล้วขอเรียกปริศนาว่า พริสซี่ ปริศนาตกลง ก็จับมือเขย่ากันใหญ่
อนงค์นึกได้ ตอนออกรับลม แล้วเห็นปริศนา จับมือแอชลี่เขย่าอย่างจริงใจและท่าทีสนิทสนม ประวิชเองก็เห็นภาพนั้นเช่นกัน เขาบีบแก้วที่ถือแน่น
นึกแล้วอนงค์พยักหน้า “อ้อ ตอนนั้นเอง ที่ไปยืนคุยกันริมน้ำใช่ไหม พี่ยังแปลกใจ คุณประวิชเดินไปกับพี่เห็นเข้าพอดี เลยเลี้ยวกลับเลย”
สิรีถามตรงๆ “ทำไมล่ะ หึงเหรอ”
ปริศนางง “อะไรหึง ไม่เข้าใจ”
“ก็ประวิชไม่พอใจไง ที่ปริศนาสนิทสนมกับแอชลี่ เขารักปริศนา”
คำพูดสิรีจี้ใจจังๆ อนงค์เจ็บจี๊ด
“ประวิชน่ะ Sulky เป็นที่สุด เมื่อคืนนี้ ปริศนาพูดด้วยก็ไม่พูดทำตาขวางอย่างเดียว กริยาชั่วจัง คนอะไร”
อนงค์มองปริศนา คิดว่าปริศนาพูดแรงไป
“แล้วปริศนาน่ะ กิริยาดีนักหรือ นี่พี่สิรี รตีมาดีดเปียโน”
สิรีทึ่ง “ยายรตี ดีดเปียโนเหรอ โก้จริง”
“ดีดเปียโนแสดงเต็มที่ ปริศนาน่ะสิไปเอากระดาษมาวาดการ์ตูน ล้อเขา” อนงค์ว่า
“ตายจริง ปริศนา ไปทำซนอย่างนั้นทำไม เหลวไหลจัง”
“สิรีไม่เห็นท่าเขา มันน่าหัวเราะจะตาย ปริศนายังสู้กลั้นไม่หัวเราะ ใครดูรูปก็เห็นด้วยกับปริศนาทั้งนั้น”
“แหม พูดเสียอยากเห็นรูป” สิรียิ้มขัน
“เอาวางไว้แถวนั้นเสียแล้ว น่าเก็บมาให้สิรีดูจัง”
“ยังต้องไปเที่ยวกับเขาอีกหลายครั้ง ปริศนาต้องระวังกิริยาหน่อยเดี๋ยวใครเขาว่า ว่าเรามีกริยาไม่ดี” สิรีติงเตือน
ปริศนากลอกตาเซ็ง “โธ่ สิรี ไว้ใจเถอะ คุณอาอบรมปริศนามาอย่างดีล้อเล่นกันนิดๆหน่อยๆ ไม่ทำกริยาไม่ดีแน่นอน”
คืนเดียวกัน ท่านชายพจน์ ปรีชา เพิ่งลงจากรถ มหาดเล็กที่ขับรถ ถือถุงกอลฟ์ สองถุงตามลงมา
ประวิชเดินเข้ามาหาจากด้านใน ชายหนุ่มยังแต่งตัวชุดเทนนิสอยู่
“ประวิช เพิ่งกลับมาเหมือนกันหรือ”
“กระหม่อมไปส่ง มิสเตอร์แมนสฟีลด์ และไปส่งปริศนา เพิ่งถึงก่อนหน้าฝ่าบาทนิดเดียว ท่านชายส่งแหม่มที่โรงแรมแล้วใช่ไหม”
“อือม์ แล้วเป็นอย่างไรบ้าง เทนนิสวันนี้”
มหาดเล็กเอาถุงกอลฟ์ให้สนเอาเข้าบ้านไป จากนั้นเลื่อนรถไปเก็บ
“ปริศนาเล่นเก่งมาก ตีคู่กับแอชลีย์ ชนะ คู่ของผม ทุกเซ็ต”
“ดูท่า จะติดใจเมืองไทยกันเสียแล้ว”
“เห็น แอชลี่ย์ว่ากำลังวางแผนจะอยู่ต่ออีก 2 สัปดาห์ ไม่รู้ว่าพี่สาวจะว่าอย่างไร”
“หากมีโปรแกรม สนุกๆ เขาก็คง ไม่ว่ากระไร ชอบบ้านเมืองเราอยู่เหมือนกัน เพราะไม่เหงา แต่เราก็ต้องต้อนรับเขาให้ดีตลอด” ท่านชายว่า
“คงจะติดใจ ปริศนา ทำตัวสนิทสนม เหลือเกิน”
ริ้วรอยประชดในน้ำเสียง ทำให้ท่านชายพจน์หันมามองประวิช
“สรุปประวิชว่าปริศนาเป็นต้นเหตุหรือ”
“ท่านชายรับสั่งเหมือนที่ปริศนาพูด เค้าบอกว่ากระหม่อมขอให้เขาไปต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง เลยทำให้ปริศนาไปสนิทสนมกับแอชลี่ก็ไม่แปลกที่ใครๆ ก็คลั่งปริศนาทั้งนั้น เขาทั้งน่ารัก ทั้งเก่งสารพัด เข้าใกล้แล้วสุขใจเป็นที่สุด”
“ก็นั่นนะซิ ประวิชเอง ก็ยังคลั่งปริศนาเลย ก็เห็นใจแอชลี่เขาบ้าง”
“ท่านชาย” ประวิชน้อยใจ เข้าไปใหญ่ทำไมท่านชายไม่เข้าข้างตนเลย
“ท้ายที่สุด ปริศนา คงจะเลือกเอง ว่าจะฝากหัวใจไว้ที่ใคร ถูกไหม”
ประวิชหน้าม่อย เห็นจริงตามนั้น
วันถัดมา ปริศนาถือจานกล้วยปิ้งใส่ถาดเดินเข้ามาที่เรือนเล็กของคุณยาย พอก้าวขึ้นเรือน แม่เตียงคนดูแลคุณยาย ก็โผล่หน้าออกมา แล้วโผล่หน้ากลับเข้าไปใหม่ รายงานข่าว
“คุณปริศนา! คุณยายขา คุณปริศนามาค่ะ”
“เอะอะไปได้ แม่เตียง”
“คุณยายบ่นถึงคุณปริศนา ว่าหายหน้าไปหลายวัน”
“ทำงาน แล้วพอไม่ทำงาน ก็ไปเที่ยวไง”
ปริศนาเดินเข้าเรือนคุณยายไป
เรือนของคุณยายเป็นเรือนชั้นเดียวเล็กๆ ลักษณะคล้ายเรือนพักตากอากาศมากกว่า ด้านหลังออกไปเป็นระเบียงทอดยาวไปสู่ครัวซึ่งมีไว้ทำขนม หรืออาหารที่ยายอยากจะทำ เพราะอาหารหลักทุกมื้อส่งมาจากครัวบ้านใหญ่
มีห้องโถงตรงกลาง ในนั้นมีตั่ง เชี่ยนหมาก และชั้นวางของจุกจิกอยู่ใกล้กัน อีกทั้งมีทั้งมีดปอกผลไม้ และจานกระเบื้องที่จะหยิบจับใส่อะไรง่ายๆ แก้วน้ำ โถน้ำที่เตรียมไว้ อีกส่วนหนึ่งเป็น บริเวณที่นอน มีเตียงนอน มีมุ้ง ที่ปลดออกเพื่อไว้พักผ่อนนอนกลางวัน มีตู้เสื้อผ้าเล็กๆอยู่ปลายเตียง และตู้เก็บของโบราณ รวมทั้งกำปั่นไม้ และเหล็กวางซ้อนกัน อีกสองสามใบ
ทั้งหมดนี้เพื่อบ่งบอกความเป็นอิสระของหญิงชราบนเรือนของตัวเอง โดยไม่ต้องถูกรบกวนการใช้ชีวิต กับลูกและหลานซึ่งยังคงต้องทำงาน และต้องมีกิจกรรมสังคมอยู่
คุณยายนั่งบนตั่งพับผ้าเช็ดหน้าอยู่ขณะปริศนาเข้ามา
“ปริศนา เอาอะไรมาน่ะ”
“กล้วยย่างค่ะ แม่ซื้อมา แบ่งให้คุณยาย คุณยายจะกินเลยไหมคะ”
ยายมอง กล้วย แล้วเอามือแตะที่กล้วยวัดอุณหภูมิอย่างเชี่ยวชาญ
“ยังอุ่นๆอยู่ ปริศนาหยิบจานกับ ส้อมเล็กให้ยายที”
พลางคุณยายชี้ไปที่ชั้นวางของจุกจิกใกล้นั้น ปริศนาหยิบส้อมจากกล่องสังกะสี มีผ้าปูรองแล้วหยิบจานกระเบื้องใบเล็กออกมาวางให้ยาย
“ใส่มาลูกเดียวพอ เตียงเอาไปกินลูกนึงนะ อีกลูกนึง เอาไว้เผื่อหิวกลางคืน ใส่ตู้ไว้”
ปริศนาใช้มือและ ส้อม จิ้มกล้วยแยกเป็นชิ้นให้ยาย แล้วจึงส่งจานกล้วยที่เหลือให้เตียงยกไปหลังบ้าน ซึ่งยายเตียงเอาน้ำชาใส่ถ้วยมาให้คุณยาย
“ปริศนาไปเที่ยวที่ไหนลูก”
“ไปพาเพื่อนท่านชายพจน์ เที่ยวค่ะ เค้ามาจากสก๊อตแลนด์”
ยายมองฉงน “เพื่อนท่าน ทำไมปริศนาต้องไปล่ะลูก”
“ปริศนาไป อนงค์ก็ไปด้วยค่ะ เค้าหาคนพูดภาษาได้เพื่อชวนคุย ครอบครัวเขามากัน3 คน มีเพื่อนท่านชาย เมียเขา แล้วก็น้องเมีย แล้วก็มียายรตี อีกคน”
“ใครกันยายรตี”
“พี่สาวประวิช คนละแม่ไงคะ”
ยายพยักหน้า “อ้อ ลูกสาวพระยาราชพรรลภ ปริศนาสนุกมั้ยไปเที่ยว”
“อือ…ปริศนา ต้องทำตัวให้สนุกค่ะ ประวิชเขากำชับไว้”
ยายยิ้มมองไปที่ขวดโหลแก้วฝาปิดสนิท ที่ใส่ผ้าเช็ดหน้าที่พับเป็นตัวสัตว์เล็กๆ ไว้ 6-7 ตัว
“ปริศนา อยากได้ตุ๊กตาไหม นั่นแน่ะ ยายลองพับไว้ กันลืม หยิบไปสิ”
ปริศนาขยับไปเปิดดู สีหน้าทึ่ง
“โอว คุณยายทำเองหรือคะ ทำจากอะไรคะ”
“ผ้าเช็ดหน้า มาพับเอา”
“ผ้าเช็ดหน้า เป็นผืนอย่างนี้หรือคะ แล้วพับมาเป็นตัวอย่างนี้”
ปริศนายกตุ๊กตาผ้าเช็ดหน้าพับ มองรอบๆ
“วิเศษมาก ทำยังไงคะ ปริศนาอยากเรียน ประเดี๋ยวปริศนามาใหม่นะคะคุณยาย”
“เอ้า จะไปไหนล่ะลูก”
“ปริศนาจะไปขอผ้าเช็ดหน้าของอนงค์ อนงค์มีผ้าเช็ดหน้างามๆ หลายผืน จะขอมาเรียนพับตุ๊กตากับคุณยายค่ะ”
ผู้เป็นยายมองหลานสาวคนเล็กที่ลุกเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
ส่วนที่ห้องอาหารบ้านราชพรรลภเย็นนั้น ท่านพระยาราชพรรลภนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร มื้อนี้จัดอย่างธรรมเนียมฝรั่ง คุณหญิงชื่นนั่งใกล้ๆ กัน มีอีกที่ที่จัดไว้ แต่ไม่มีคนนั่ง
“รตีล่ะ ให้ใครไปตามที นานๆจะได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันที”
“รตีออกไปตอนสายนี่เองค่ะคุณพี่ ว่าจะไปหาของเตรียมไปเที่ยวเรือกับท่านชายพจน์ พรุ่งนี้”
มีเสียงรถแล่นเข้ามาจอด “แน่ะ ท่าจะมาแล้ว” คุณหญิงชื่นหันไปสั่งเด็กรับใช้ที่นั่งกับพื้นอยู่ห่างๆ “ไปดูซิ ไปเรียนคุณรตีว่าคุณพ่อคุณแม่รอรับประทานข้าวอยู่ให้เข้ามาที่นี่เลย”
เด็กรีบคลานออกไป
พระยาราชซักถามต่อ “กับท่านชายพจน์ น่ะรึ คงจะไปหลายวันล่ะซิ”
“ค่ะ เห็นว่า เพื่อนท่านชายจะอยู่ต่ออีกสัปดาห์หนึ่ง ด้วยค่ะ”
พระยาราชปลื้มใจ “ท่านชายพจน์ ดีเหลือเกิน ที่ไม่ลืม ชวนรตีไปออกงานด้วยเสมอๆ ประวิช ก็พูดเสมอว่าท่านชายโปรดรตี”
คุณหญิงชื่นพูดอย่างรู้ดี “ท่านชายพจน์ เป็นนักเรียนนอกท่านคงจะโปรดผู้หญิงเก่ง สมัยใหม่ มากกว่าพวกแม่บ้านแม่เรือน”
“ดีที่ท่านชายทรงเลือกผู้หญิงได้ด้วยตัวเอง เพราะทั้งเด็จพ่อและหม่อมแม่สิ้นหมดแล้ว หาไม่แล้วรตีคงต้องไปหัดงานฝีมือ หัดมรรยาทอย่างไทยๆ บ้างไม่มากก็น้อยล่ะ”
รตีเดินเข้ามาพร้อมหมวกปีกกว้างใบโตที่จะใช้บนเรือท่านชายพจน์
“คุณพ่อ คุณแม่ รอรตีอยู่หรือคะ”
“ตอนแรก แม่เขาว่าวันนี้ลูกไม่ไปไหน เลยจะกินข้าวพร้อมกัน ดีที่รตีกลับมาทันกินข้าวพร้อมกับพ่อกับแม่ วันนี้ตั้งเครื่องฝรั่งกันเลย”
“หรือว่ารตีเบื่อเครื่องฝรั่งแล้ว ไปกับท่านชายพจน์ มีแต่เครื่องฝรั่งล่ะสิ” คุณหญิงเย้าหยอก
“ไม่หรอกค่ะ มีทั้งเครื่องฝรั่งและกับข้าวไทยค่ะ พวกฝรั่งเองก็สนใจอาหารไทยอยู่เหมือนกันค่ะ”
“นั่นรตีไปหาหมวกมาจากไหนลูก” ท่านพระยาถาม
“หมวกสวยๆ บ้านเมืองเราไม่ค่อยจะมีนะคะ ต้องไปเขียนแบบให้ร้านทำหมวกเย็บให้ เบื่อที่สุด จะไปพรุ่งนี้แล้ว วันนี้เพิ่งจะได้หมวก เดี๋ยวรตีก็ต้องไปลองสวมหน้ากระจก ไม่ได้นะคะ ทรงผม ทาหน้า ต้องให้รับกันหมด”
คุณหญิงปลื้มมองรตีอย่างชื่นชม “เพราะรตีพิถีพิถัน แต่งตัวอย่างนี้เอง ถึงได้สวยสง่า เด่นกว่าใครในทุกๆ ที่”
“แต่รตี ปกติ ก็สวยกว่าใครๆ อยู่แล้วนี่ลูก”
พระยาราชนั้นเป็นคนปากหวานอยู่แล้ว ท่านพลอยยิ้มชื่นชมธิดาคนสวย ด้วยสีหน้าเบิกบาน
ตอนสายวันนี้ ทุกคนอันประกอบด้วย ท่านชายพจน์ ปรีชา รตี ประวิช อนงค์ สามี ภรรยา แมนสฟีลด์ แอชลี่ และปริศนา อยู่บนเรือเล็กของท่านชาย ที่คนขับเรือบังคับแล่นมากลางแม่น้ำเจ้าพระยาสักระยะแล้ว
จังหวะหนึ่งหมวกใบสวยของรตี ต้องลมแรงจนรตีต้องจับให้แน่น แล้วออกมาโต้ลม คนบนเรือชี้ชวนชื่นชมสภาพชีวิตความเป็นอยู่ริมน้ำกันอย่างตื่นตาตื่นใจ
เรือล่องไปตามแม่น้ำเรื่อยๆ จนถึงส่วนที่เป็นหาดทราย ริมน้ำ ท่านชายพจน์หันไปบอกทุกคนเป็นเชิงให้เตรียมตัวลง
แอชลี่ กับ ปริศนา เหลียวมองอย่างตื่นเต้น และพยักหน้าตอบรับกันเป็นระยะๆ
เรือเข้าจอดที่หาดทรายโดยเกยตรงน้ำตื้น ยังเข้าไม่ถึงฝั่ง ต้องเดินย่ำน้ำไป
ท่านชายพจน์ หันมาบอกทุกคน
“This is as far as the boat could come in. - เรือเข้าใกล้ได้ที่สุดเท่านี้
ปริศนาบอกกับแอชลี่ว่า “We may have to get a little wet. - เราอาจจะต้องเปียกกันนิดหน่อย
“No problem. - ได้เลย”
แอชลี่ซึ่งคล้องกล้องถ่ายรูปไว้ที่คอ พับขากางเกง ถอดรองเท้ากระโดดลงไปก่อน แล้วถึงยื่นมือออกมารับปริศนาให้ลงจากเรือไปด้วยกัน
ทั้งสองเดินห่างออกไป ต่างคนต่างช่วยกันจับมือไม่ให้ทรายดูดหัวเราะให้กันอย่างสนุกสนาน ประวิชหันมามองอนงค์ ที่ยืนดูทุกคน ห่างจากเรือไป
“อนงค์จะลุยน้ำ ไปเที่ยวข้างบน อย่างพวกนั้นกันไหม”
อนงค์ มองดูน้ำ แล้วถอยออกมาจากกราบเรือ
“ไม่เป็นไรค่ะ อยู่ที่เรือนี่ดีกว่า”
ประวิชหันไปหารตีที่ยืนอยู่ข้างท่านชาย
“รตีล่ะ จะลงไปไหม”
รตีรีบหันไปมองท่านชาย
“จะเด็จ ไปด้วยไหมเพคะ”
“เธออยากไปรึ”
"ถ้าท่านชายเด็จ รตีก็ไปด้วยเพคะ"
"มาสิ"
ท่านชายพับขากางเกง ถอดรองเท้าแล้วก้าวนำลงไปก่อน ท่านชายยกมือขึ้นเพื่อจับมือรตีประคองลงไป รตีถอดรองเท้าส่งให้ประวิช
"ประวิชจ๊ะ ฝากหน่อยนะจ๊ะ"
รตีหันมาหาท่านชาย ทำทีระทวย ยื่นมือให้จับ แล้วก็รีๆ รอๆ อยู่สักพัก ก่อนที่จะทิ้งตัวลงไปจากเรือ แต่เป็นจังหวะที่เข้าไปกอดท่านชายไว้พอดี
"อุ๊ย"
"ระวังหน่อย ประเดี๋ยวจะล้มไป"
"ตายจริง ยกเท้าแทบไม่ขึ้น"
"ค่อยๆ เดินไป อย่ายืนเฉย โคลนมันจะดูด"
ท่านชายพจน์ประคองรตีให้เดินไป
รตีทำเป็นเดินไม่ไหว ให้ท่านชายพจน์ประคองไปตลอด แต่ราชนิกุลหนุ่มก็พยายามรักษาระยะห่างไว้สมเป็นสุภาพบุรุษ
ตรงดอนบริเวณสันทราย ห่างจากเรือออกไปพอประมาณ พอท่านชายเห็นรตีพอเดินได้แล้วก็เดินห่างออกไป รตีหยุดกึกทันทีไม่ก้าวเดินต่อ
"ท่านชาย...ท่านชายเพคะ"
ท่านชายหันกลับไปมองรตี
"ก้าวมาสิ อย่ายืนเฉย"
"ไม่ไหว เดินไม่ได้เลยเพคะ...ช่วยด้วยเพคะ"
รตีโบกมือเรียกให้ท่านชายพจน์เข้าไปหา ทำท่าจะเดินไม่ไหวจริงๆ ท่านชายถอนหายใจ เดินเข้าไปหารตี จับมือรตีประคองไว้ แต่รตียืนไม่ยอมก้าวขา
"มันเดินไม่ได้ จริงๆ เพคะ"
รตียึดท่านชายไว้ เหมือนดึงให้ยืนอยู่ด้วยกัน ท่านชายเห็นท่าไม่ดี ก็ตวัดแขนอุ้มรตีขึ้นมา เธอลอบยิ้มกับอกท่านชายอย่างสมหวัง เหมือนภาพเจ้าบ่าวอุ้มเจ้าสาวเข้าหอ ถ้าไม่นับโคลนที่เปื้อนอยู่
ท่านชายก้าวต่อไปข้างหน้า โดยมีรตีอยู่ในอ้อมแขน
มิสเตอร์แมนสฟีลด์ เห็นท่านชายอุ้มรตี เลยจูงมือเมียมาที่กราบเรือ ทั้งคู่ถอดรองเท้า มิสเตอร์แมนสฟีลด์ลงไปก่อน และรับภรรยา อุ้ม เดิน เข้าฝั่งไป
ประวิช และอนงค์ มองดูสองคนเดินไปอย่างเข้าใจว่า กลายเป็นเรื่องสนุกไปแล้ว
ในเวลาต่อมา ปริศนา กับ แอชลี่ขึ้นบกแล้ว ปริศนากำลังถือกล้องของแอชลี่ ถ่ายภาพชีวิต และธรรมชาติแถวนั้นอยู่
แอชลี่ชี้ให้ปริศนาดู ท่านชายอุ้มรตีกำลังจะถึงพื้นดินแห้ง
" Look over there, Prissie! - ดูนั่นสิ พริสซี่"
ปริศนาหันมาเห็น ท่านชายพจน์อุ้มรตีที่ระทดระทวยขึ้นมาจากน้ำ
ปริศนาหัวเราะ แล้วรีบยกกล้อง กดถ่ายรูปไว้ทันที แล้วเริ่มร้องเพลง Merry Widow
"Now or never and forever I love you. Let me hold you till be told you I love you"
แอชลี่ร้องตามด้วยเสียงอันดัง แล้วสองคนเดินขึ้นมาดูวิถีชีวิตบนฝั่ง
ประวิชชะโงกดูท่านชายและรตีที่เดินตรงไปขึ้นฝั่ง แล้วหันมาทางอนงค์ เขาถามตามมรรยาท
"อนงค์จะขึ้นฝั่งไปเหมือนพวกนั้นไหม ถ้าไม่อยากเปียก ผมอุ้มไปให้ก็ได้"
อนงค์หน้าแดง อายโดยไม่จำเป็น
"ไม่เป็นไรค่ะ ฉันอยากอยู่ในเรือมากกว่า ประวิช อยากขึ้นฝั่ง ก็ไปได้นะคะ ไม่ต้องห่วงฉัน"
"ผมก็ไม่ได้สนุกกับการเล่นย่ำโคลน ปริศนาน่ะ ชอบเล่นเป็นเด็กๆเสมอ ตาแอชลี่ก็พอกัน แล้วดูท่านชายสิ เกิดมาผมไม่เคยเห็นท่านเล่นแบบนี้เลย พวกแมนสฟีลด์เลยพลอยเล่นตาม"
"แน่ใจนะคะ ว่าคุณไม่อยากขึ้นฝั่ง"
"โธ่ ถ้าผมอยากจะขึ้นไป ผมก็ไปเสียนานแล้ว คุณนั่งเล่น หรือนอนหลับในเรือเอาแรง น่าจะดีกว่า"
ประวิชเดินไปนั่งหลับตาหันหลังให้ภาพบนฝั่ง อนงค์มองตามอย่างไม่เข้าใจ
อ่านต่อหน้า 2
ปริศนา ตอนที่ 5 (ต่อ)
เวลานั้น ปริศนาและแอชลี่พากันเดินชมวิถีชีวิตชาวบ้านอย่างเพลิดเพลิน
สองคนเห็นคนเลี้ยงควาย เลี้ยงเป็ด ไก่ กลางท้องทุ่ง พอมองไปอีกทาง เห็นชายชาวบ้านร่างกำยำปั้นหมออย่างชำนาญ ส่วนชายสูงวัยกำลังจักสานอย่างแคล่วคล่อง แอชลี่มองอย่างสนใจ ปริศนาคอยอธิบายให้ฟัง โดยถามกับชาวบ้านแล้วหันมาแปลให้แอชลี่ฟัง คนอื่นๆ เดินตามมา คู่สามีภรรยา แมนสฟีลด์ พลอยฟังอย่างสนใจไปด้วย
รตียังเกาะตามท่านชายแจ รู้สึกไม่พอใจกับตัวที่เปื้อนโคลน และเสื้อผ้าที่เปรอะน้ำ จนไม่ได้สนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ท่านชายพจน์ออกจะรำคาญ แต่ไม่แสดงออก เห็นได้อย่างชัดเจนว่ารตี คิดถึงแต่ตนเอง
ทอดสายตามองไกลยังเห็นเรือจอดอยู่ แม้เวลาจะผ่านไป 2 ชั่วโมงแล้วก็ตาม ประวิชเดินไปมางุ่นง่านอยู่บนเรือ รอคอยด้วยท่าทางหงุดหงิด อนงค์มองตามเงียบๆ ซึ่งตอนแรกประวิชไม่ได้สังเกต แต่พอรู้สึกตัวว่าอนงค์มองอยู่ ก็เดินมาทรุดตัวลงข้างๆ เธอ บ่นบ้าระบาย
"นี่ คุณอนงค์ น้องคุณไม่ชอบผมหรอกหรือ ผมรึชอบเขาจะตาย นี่เขาทำเหมือนไม่มีผมอยู่ในโลก"
"คุณก็ไม่ได้ไปคุยกับเขาเหมือนกัน"
"ก็นายนั่นผูกขาดตัวปริศนา ไปคุยไปเที่ยวเสียคนเดียว ผมจะเข้าไป เขาจะหาว่าเสือกประไรเล่า"
"คุณประวิช เข้าใจปริศนาผิดไปแล้ว"
"ผิดว่ากระไร"
"คุณอย่าลืม ปริศนาไม่เคยพูดกับใครก่อนเลย ใครพูดกับแกก่อน แกถึงจะพูดด้วย เมื่อแรกคุณไปเล่นกับแก แกก็เล่นด้วย แต่เดี๋ยวนี้นายฝรั่งเล่นกับแก แกก็ชอบเล่นด้วย นี่คุณคอยหนีแล้วทำหน้าไม่พอใจใส่ แกก็เฉยนิสิคะ พูดเล่นกับนายแอชลี่ น่าสบายใจกว่ามาก"
ประวิชน้อยใจจนพาลไปแล้ว "อ้อ ชอบใครๆ ที่เข้ามาประจบ"
"ไม่ใช่เช่นนั้น ปริศนาไม่ชอบง้อใครก่อน เขาอวดดี"
"อ้อ งั้นหรือ ใครๆก็ต้องไปง้อเขาก่อนใช่ไหม แล้วอีกอย่างใครไปยุ่งกับเขา แล้วเขาต้องยุ่งด้วยไปทุกคนอย่างนั้นหรือ"
"ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย ประวิชดูปริศนาสิ ตั้งแต่มา เขาได้พูดกับท่านชายไหม ก็ไม่ได้พูด แต่เขาไม่ได้เกลียดท่านชาย เพราะยอมมาเที่ยวด้วย แต่ท่านไม่ได้มายุ่งกับแก แกก็ไม่ยุ่งด้วยก็เท่านั้น เหมือนกันกับคุณนั่นแหละค่ะ"
ประวิชคิดได้จับมืออนงค์มากุมอย่างขอบใจ
"จริง อนงค์ ขอบใจมาก"
อนงค์เขินอาย ทอดสายตามองออกไปนอกเรือ เห็นกลุ่มนักท่องเที่ยวกำลังเดินกลับมาที่เรือ
อนงค์ชะโงกดู เห็นปริศนาและ แอชลี่เดินมาถึงเรือก่อน มิสเตอร์แมนสฟีลด์อุ้มมิสซิสแมนสฟีลด์ ตามมาด้วยท่านชายพจน์อุ้มรตี เมื่อมาถึงเรือ แอชลี่ก็ช่วยจับตัวปริศนาให้ขึ้นเรือ อนงค์ช่วยดึงแขนปริศนา แอชลี่วักน้ำล้างขาให้ปริศนา ประวิชเดินเตร่เข้ามาหา
" So did you have fun? - เป็นไง สนุกไหม"
" Yes, of course. I took a lot of pictures of those villagers. - สนุกสิ ได้เห็นชาวบ้าน ถ่ายรูปมาเยอะเลย"
แอชลี่ ล้างขา แล้วก้าวขึ้นเรือมา หันกลับไปดูสองคู่ที่เดินลุยน้ำมา
"What a shame! I ran out of films. - เสียดาย ฟิลม์หมดเสียแล้ว" แอชลี่บอก
ปริศนาหันมาทำท่าเสียดายกับแอชลี่ ประวิช เดินไปยกตะกร้า ปิกนิกออกมา อนงค์ช่วยปูผ้าให้ทุกคนและส่งผ้าขนหนูที่เตรียมมาให้เช็ดมือ
กลุ่มท่านชาย ล้างเท้าเสร็จก็ขึ้นมาบนเรือ หม่อมเจ้าพจน์ ปรีชา เอ่ยขึ้นว่า
" Tomorrow we are going to Bang pa in. Who would like to come? - พรุ่งนี้เราจะไปบางปะอินกัน ใครจะไปบ้าง”
" What a dissappointment! I’m working tomorrow. - เสียใจจริง พรุ่งนี้ปริศนาทำงาน"
"I think I will rest. It’s been very tiring day. - รตี ก็ว่าจะพัก วันนี้เหนื่อยมาก"
ปริศนายิ้มขำรตี ท่านชายมองมาพอดี ทั้งสองสบตากัน
ประวิชบอกต่อว่า
"Anong will probably not come because Prissana will not come. - อนงค์ ก็คงไม่มา เพราะปริศนาไม่มา”
อนงค์พยักหน้ารับ
" What a shame. Can I call you tomorrow? - เสียดายจริง พรุ่งนี้ผม โทรศัพท์ไปหานะ" แอชลี่หันมาหาปริศนา
" I don’t think so. We don’t have a telephone at our house. - ไม่ได้หรอกค่ะ บ้านปริศนาไม่มีโทรศัพท์"
รตีแอบทำท่าเหมือนเคยได้ยิน แล้วก็ลอบยิ้มหยันอย่างเวทนา ที่บ้านปริศนาไม่มีโทรศัพท์ ดูเชย หลังเขา แล้วยังมีหน้ามาบอกคนอื่นอีก
มื้อเช้าบนโต๊ะอาหารบ้านราชพรรลภ ของรตีเป็นน้ำส้มคั้นไข่ลวก ส่วนของพระยาราชพรรลภ และคุณหญิงชื่น เป็นข้าวต้ม
รตียิ้มหยัน “น่าขันเสียจริงคนบ้านโน้น ไม่มีโทรศัพท์ แล้วยังจะมีหน้ามาบอกใครต่อใครเสียกลางวง หน้าไม่อาย”
คุณหญิงชื่นผสมโรง “บ้านนั้น เลี้ยงลูกให้โตยังยาก ถึงได้ฝาก คุณวิรัชเอาไปเลี้ยงยังไงล่ะ”
พระยาราชพยักหน้ารับรู้ “เลยเป็นโชคดีของเด็กไปเลย ได้ไปเติบโตเมืองนอกเมืองนา”
“บางที เรื่องกำพืด ก็สำคัญนะคะคุณพ่อ เอาไปชุบเลี้ยงอย่างไร ก็ไม่ทำให้ดีขึ้นได้ เพราะสันดานเดิม มันดิบ” รตีว่า
“อย่างนั้นเชียวหรือ” คุณหญิงแสร้งทำเป็นประหลาดใจ
“ทำตัวเหมือนม้าดีดกะโหลก ไม่มีกริยาเลยทีเดียวเอะอะมะเทิ่งก็เท่านั้น”
“มิน่าเล่า เขาถึงได้ส่งกลับมา อยู่ที่โน่น คงออกแขกเหรื่อไม่ได้เลย ทำให้คุณวิรัชอับอายเป็นแน่”
พระยาราช ทักท้วง “เป็นถึงเพียงนั้น แล้วท่านชายพจน์ ให้ไปช่วยรับแขกบ้านแขกเมืองได้อย่างไรกัน”
“ท่านก็เห็นว่าได้ภาษายังไงเล่าคะคุณพ่อ”
รตีกระฟัดกระเฟียด หงุดหงิดเรื่องปริศนาไม่หาย
อยู่มาอีกวันหนึ่ง ณ โถงโปโลคลับแห่งนี้ ทุกคนแต่งชุดขี่ม้าเรียบร้อยแล้ว กลุ่มพวกฝรั่งคุยกันอยู่ห่างออกไป ประวิชเดินเข้ามาหาท่านชายพจน์ ที่มีรตีตามเกาะอยู่
"เสร็จจากขี่ม้าแล้ว เรากลับไปกินกลางวันกันที่วังศิลาขาวใช่หรือไม่พระเจ้าค่ะ"
"คงอย่างนั้น"
"กระหม่อมว่าจะส่งรถไปรับปริศนา"
ท่านชายพจน์เลิกคิ้วฉงน เหมือนประวิชวุ่นวายกับปริศนามาก
"จะส่งรถไปรับตอนไหน ถ้ากลับไปถึงหิวข้าวกัน ต้องรอรถไปรับปริศนาอีกหรือ"
รตีเริ่มวางแผนในใจ เพราะคิดว่าปริศนาจะต้องเสียหน้าเรื่องม้า
"นั่นสิประวิช ตอนนี้รถอยู่ว่างๆ เราจะต้องไปขี่ม้ากันอีกเป็นชั่วโมง ก็ให้รับปริศนามาที่นี่ก่อน แล้วค่อยกลับไปด้วยกัน" รตีว่า
"ก็ดี ปริศนาจะได้มาดูขี่ม้า บอกให้เขาเตรียมชุดอาบน้ำมาด้วย เผื่อจะได้ลงตำหนักน้ำ"
ประวิชก้มหน้ารับคำ
"พระเจ้าค่ะ"
แล้วหมุนตัวกลับออกไปเพื่อไปสั่งรถ
ปริศนากำลังหัดพับผ้าเช็ดหน้าเป็นรูปตัวสัตว์กับยาย อยู่ในห้องโถงบ้านยาย มีขวดโหลแก้ว สำหรับอบผ้า วางไว้ใกล้ๆ กัน และมีผ้าเช็ดหน้าในกล่อง ไม้ ประมาณ 5-6 ผืน
ขณะยายกำลังสอนพับอีกแบบ ช่วงเดินเข้ามาพร้อมกระดาษโน้ตแผ่นหนึ่ง
"อ้าว ลุงช่วง มาทำไม"
"คุณนายให้เอาหนังสือมาส่งขอรับ คนขับรถท่านชายพจน์ รออยู่ที่บ้านโน้น"
ปริศนารับมาอ่าน ช่วงเดินกลับออกไปก่อน
"มีอะไรหรือปริศนา" ยายถาม
"ประวิชน่ะค่ะ เขียนมา ว่าอยากให้ปริศนา ไปเที่ยวกับเขา"
"อ้าว ไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันอยู่หรือ"
"วันนี้ว่าจะไม่ไปค่ะคุณยาย เขาไปสโมสรกันไปขี่ม้า ปริศนาไม่มีชุดขี่ม้า ไม่ได้เอามาจากเมืองนอกค่ะ แต่เค้าก็ว่าจะให้ไปสมทบกันที่สโมสรก่อนไปวังศิลาขาว เขาชวนไปเล่นน้ำกันที่โน่น"
"ปริศนาอยากไปไหม"
"นัดกันไว้แล้วค่ะ แต่จะให้ไปก่อน สงสัยต้องติดกางเกงขี่ม้าที่สิรีตัดไว้วันก่อนไปด้วย ปริศนาไปก่อนนะคะคุณยาย"
ปริศนาขยับลุกขึ้น แล้วเอาของที่หัดเรียนเก็บใส่ตู้อย่างเรียบร้อย
ตรงที่นั่งดูการขี่ม้า ในสโมสร ครอบครัวแมนสฟีลด์เดินกลับเข้ามาตรงที่นั่งแล้ว เพิ่งขี่ม้าเสร็จ และตรงมาดื่มน้ำที่พนักงานเอามาเสิร์ฟ
ปริศนาเดินเข้ามาพร้อมกระเป๋า แอชลี่เห็นปริศนาก็ตรงเข้าจับมือแล้ว ทักทายอย่างสนิทสนม รตี ประวิช และท่านชายพจน์เลยขี่ม้า เข้ามาใกล้
"ปริศนา มาแล้วหรือ ขี่ม้าไหม" ประวิชแกล้งชวน
ปริศนาส่ายหน้า "ไม่เอาหรอก"
รตีย่างม้ามาเบื้องหน้า
"ขี่ม้าไม่เป็นรึ ปริศนา"
ปริศนาทำเป็นไม่ได้ยิน และไม่ตอบ
"ปริศนาจะขี่ม้าไหม จะได้ขอยืม ม้าให้"
รตีหัวเราะ ชี้ให้ดูม้าตัวหนึ่งที่กำลังถูกจูงให้เดินอยู่
"ขอยืมใครก็ได้ แต่อย่าขอยืมนางแมวป่านั่นล่ะเพคะ"
รตีปรายตามองปริศนาอย่างหมิ่นๆ
"ม้าของหลวงวรนาถ ไม่มีใครขี่ได้นอกจากเจ้าของ พยศเหลือเกิน" ประวิชบอก
ปริศนามองตรงไปข้างหน้า ทำหน้าเฉยๆ
"น่าขี่นะ"
"จะให้ขอหลวงวรนาถให้ เอาไหม" ท่านชายว่า
"ขี่ม้าเป็นรึ" รตีถามย้ำ
"ถึงขี่เป็น ก็ไม่น่าจะขี่ได้ ม้าตัวนี้มันพยศมาก" ท่านชายบอก
"อยากจะดูไหม? เพคะ"
ปริศนา สุทธากุล หันมามองสบตา หม่อมเจ้าพจน์ ปรีชาอย่างท้าทาย
"ปริศนา อย่าน่า เหลวไหล มากินน้ำกันดีกว่า" ประวิชว่า
รตียังคงมองปริศนาอย่างท้าทาย ทว่าท่านชายกลับมองปริศนาเหมือนดูเด็กดื้อคนหนึ่งเท่านั้น ปริศนาจึงฮึดขึ้นมา
"ท่านชาย ไปขอยืมม้าเขามาสิคะ ปริศนาจะขี่ให้ดูเดี๋ยวนี้ล่ะ"
ปริศนาสะพายกระเป๋าขึ้น เหมือนเดินออกไปเปลี่ยนกางเกง
เด็กจูงม้ารูปร่างสง่างามของหลวงวรนาถเข้ามาในสนามขี่ม้าในสโมสร ปริศนาในชุดขี่ม้าเดินตรงเข้าไปหาม้า
"จะขี่จริงๆหรือ" ท่านชายถามย้ำ
ปริศนาบอกกับเด็ก "จับม้าไว้"
รตี ซึ่งนั่งอยู่ในที่คนดู มองมาอย่างเยาะๆ ประวิชมองตามมาอย่างเป็นห่วง แอชลี่ และ แมนสฟีลด์เดินเข้ามาดูด้วยและพูดคุยกับประวิช อย่างห่วงปริศนา
เมื่อคนจูงม้าปล่อยมือ ปริศนาขี่ม้าวิ่งห้อไปข้างหน้า ไกลออกไป ม้าสะบัด และพยศมาก แต่ปริศนาก็เกาะไว้ได้ไม่ตกลงมา
ประวิช เอามือกุมหัวด้วยความเป็นห่วง กลัวว่า ปริศนาจะตกม้าลงมา
แอชลี่ และแมนสฟีลด์ มองด้วยความเป็นห่วงด้วยเช่นกัน แต่คิดว่า ปริศนาน่าจะเก่ง มิเช่นนั้นท่านชายคงไม่ปล่อยให้ขึ้นม้าไป
หม่อมเจ้าพจน์ ปรีชายังยืนอยู่ที่เดิมมองตามไปอย่างเป็นห่วง จนปริศนาเริ่มจะบังคับม้าได้ และให้มันเดินสามขา กลับเข้ามายังที่คนจูงรออยู่
ประวิชจะวิ่งเข้าไปรับปริศนา แอชลี่ตรงเข้าไปยืนข้างท่านชายแล้ว ประวิชได้แต่ยืนหน้าบึ้งอยู่ห่างๆ
แอชลี่ และท่านชายช่วยกันประคองปริศนาลงจากหลังม้า รตีมองอย่างไม่พอใจเพราะกลายเป็นว่า ปริศนาเด่น เป็นที่เอาใจใส่ของผู้ชายทั้งสองคน
ภายในห้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายชั้น 2 ของวังศิลาขาว รตีเปลี่ยนเป็นชุดว่ายน้ำเรียบร้อยแล้ว ใส่เสื้อคลุมหลวมๆ
ขณะที่ปริศนาเพิ่งเดินออกจากห้องเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว และใส่เสื้อคลุมมาเช่นกัน
รตีมีหมวกอาบน้ำ ขณะที่ปริศนาไม่มี
รตีเหมือนนั่งคอยอยู่และยืนขึ้นในลักษณะที่คล้ายกับว่าจะเดินออกไปด้วยกัน
"ปริศนาขี่ม้าเก่งมากนะ เมื่อกี้ที่สโมสร ชั้นจะเป็นลมให้ได้ กลัวเธอจะตกม้า"
"ถ้าคิดว่าจะตก ก็คงไม่ขึ้นไปขี่หรอกค่ะ"
"อ้าวไหน ตอนท่านชายถาม เธอว่าเธอขี่ม้าไม่เป็นไม่ใช่เหรอ"
"ไม่เคยพูดอย่างนั้นเลย พูดแต่ว่า ไม่ขี่ มันต่างกันนะ"
ว่าแล้วปริศนาก็เดินมาทางหน้าห้อง
เสียงเคาะประตูดังขึ้น แล้วท่านหญิงรัตนาวดี กับวิมลก็โผล่หน้าเข้ามาในห้อง
"ครูคะ หมวกอาบน้ำของหญิง ครูลองสวมดูสิคะ พอดีไหม"
"ครูจะลงแม่น้ำเหมือนกับพวกผู้ชายหรือคะ" วิมลถาม
"ค่ะ ครูยังไม่เคยว่ายน้ำ ในแม่น้ำที่เมืองไทยมาก่อนเลย"
"สนุกค่ะ หญิงชวนเพื่อนๆมาว่ายน้ำกัน ทุกช่วงปิดเทอม ปิดเทอมนี้ ครูมากับหญิงด้วยนะคะ" ท่านหญิงว่า
"มากันทั้งวันเลยค่ะ ทำอะไรกินกัน แล้วก็ว่ายน้ำ" วิมลบอก
"อือม์ ที่นี่ แทบจะเป็นสโมสร ไปแล้ว"
"พี่ชายใจดีค่ะครู ชอบเห็นคนมีความสุข" ท่านหญิงว่า
ปริศนาแอบทำหน้าว่า “อ๋อเหรอ”
ท่านหญิงรัตนาวดี พูดต่อ
"ชอบอาสาพาคนเที่ยว หญิงอยากไปเที่ยวทะเลด้วย แต่กฎเหล็กของท่านพี่คือ ไม่ให้หญิงออกสังคม ต้องรอให้อายุ 18 ก่อน อีกตั้งนาน"
"อีกไม่นานเลยเพคะ ท่านหญิง สนุกกับเพื่อนๆไปก่อน เพื่อนๆ ก็จะได้อาศัยท่านหญิง ท่านหญิงไปสังคมแล้ว เพื่อนๆจะมีใครนำเที่ยวเล่าคะ"
"จริงค่ะครู" วิมลขานรับ
"ลงไปริมน้ำก่อนนะคะ"
ท่านหญิงรัตนาวดีกับวิมลกลับออกไป รตีทำหน้าไม่ปลื้ม ปริศนาออกจากห้องเลี้ยวไปอีกทางหนึ่ง
แอชลี่สวมกางเกงสำหรับว่ายน้ำยืนอยู่ริมน้ำ มองออกไปทางแม่น้ำ พลางเอ่ยขึ้น
"Beautiful warm weather. Great expanse of the river How graceful. - อากาศอบอุ่น ผืนน้ำกว้างใหญ่ สง่างามเหลือเกิน”
แอชลี่หันมาทางปริศนาแล้วถาม
"Are you ready? - เธอพร้อมหรือยัง"
ปริศนาพยักหน้า แล้วกระโดดตูมลงไปในน้ำไป แอชลี่ กระโดดตาม ผัวเมียแมนสฟีลด์ยังรีๆ รอๆ อยู่ ประวิชมองภาพปริศนากับแอชลี่อย่างไม่มีความสุข
ท่านชายพจน์หันมาหารตี
"รตี ลงน้ำกัน"
รตีรตีไม่อยากเปียก กลัวไม่สวย แต่ตอบไปว่า
"ยังเพคะ ยังเหนื่อยไม่หายเลย"
ท่านชายพจน์ ก็ลงน้ำไป
ท่านหญิงรัตนาวดี และวิมล ยืนแอบๆอยู่ที่ระเบียง วังศิลาขาวมองออกมาทางแม่น้ำ
"ชั้นว่า ครูปริศนาของเรา นี่สวยจริงๆ"
"เพคะ แกช่างแต่งแก่ไปอย่างนั้น แต่งชุดว่ายน้ำ แล้วเหมาะกว่ารตีเสียอีก" วิมลว่า
"ว่ายน้ำก็คล่อง ทำอะไรดีไปหมดทุกอย่าง ที่เมืองนอกเขาคงสอนให้ผู้หญิงทำได้ทุกอย่าง"
"ถ้าท่านหญิง ไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่เล็กๆ จะเก่งเหมือนครูปริศนาไหมเพคะ"
รัตนาวดีทำเสียงสะบัดงอนๆ
"ไม่รู้สิ ไม่ได้ไป ท่านพี่เอง เก่งไหมล่ะ ทำได้ทุกอย่าง เป็นหมอผ่าตัดก็ได้ แต่ไม่ยอมให้น้องไป ฮึ"
วิมล มองท่านหญิงเกรงๆ ไม่กล้าพูดกลัวเชียร์ให้พี่น้องทะเลาะกัน
"ใครว่าไม่ยอมเพคะ อีกแป๊บเดียว เรียนจบชั้น 2 ที่สิกขาลัยแล้ว ท่านพี่ก็คงจะโปรดให้เสด็จไปเรียนต่อประเทศนอก ท่านหญิงอยากไปเรียนที่ไหน อยากเรียนอะไรเพคะ"
ท่านหญิงรัตนาวดีอึ้งไปเล็กน้อย เพราะรู้แต่ว่าอยากไป แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเรียนอะไร ไปที่ไหน
"อือม์ มีเวลาอีกตั้งปีกว่าๆ เดี๋ยวจะหาว่าจะไปเรียนอะไร ที่ไหน ต้องถามพวกครูๆ และค้นหาหนังสืออ่านเอา"
ท่านหญิงมองออกไปข้างหน้า เห็นกลุ่มท่านชายและปริศนา เล่นสาดน้ำกันเสียงดังเอะอะ
อ่านต่อหน้า 3
ปริศนา ตอนที่ 5 (ต่อ)
เย็นวันนี้ อนงค์นั่งสอยเสื้ออยู่บนเตียงในห้องนอนของเธอกับปริศนา มีอุปกรณ์ตัดเย็บวางข้างๆ ตัว ปริศนาเดินมาจากด้านนอก แต่งชุดกลับจากทำงาน
"อ้าว อนงค์ ทำอะไรอยู่"
"เสื้อนอนในเรือไง แม่ให้ผ้าตัดเสื้อมา นอนในเรือ เราต้องมีเสื้อนอนหรูๆ ไปนุ่งกางเกงเจ๊กได้ยังไง อายเขาตาย"
"แล้วเสื้อคลุมล่ะ"
"นี่ไง บางหน่อย พี่ไม่รู้ว่าในเรือจะร้อน หรือเย็นแค่ไหน เตรียมไปเผื่อไม่ให้น่าเกลียด"
"พรุ่งนี้แล้วสิ ที่จะได้ไปเที่ยวทะเล อนงค์เตรียมของพร้อมแล้วใช่ไหม"
"ฮื่อ แล้วปริศนาล่ะ"
ปริศนา แกะห่อรูปที่ถือมาวางไว้ที่หน้ากระจกแล้วบอก
"เดี๋ยวจะจัดกระเป๋า"
"นั่นอะไร"
"รูปถ่ายไง ปริศนาถ่ายเอง"
อนงค์เข้ามาดู
"นี่รูปท่านชายอุ้มยายรตี วันที่ไปนั่งเรือนี่ เอามาตั้งไว้ตรงนี้ทำไม"
"เอาไว้ดูไงอนงค์ ขำดี"
"ไม่เห็นเป็นสาระอะไรเลย"
"ใครว่าไม่มีสาระ นี่คือรูปพระเอกอุ้มนางเอก อนงค์ที่ประวิชเค้าว่า อะไรนะ อนิรุทธ์อุ้มนางอุษา"
แล้วปริศนาหัวเราะจนถอยไปนั่งที่เตียง
"ท่านชายพจน์ พักตร์บึ้งเชียว"
อนงค์ เดินไปที่ประตูห้องเปิดออกแล้วร้องเรียกเสียงดัง
"สิรี มาดูอะไรนี่เร็ว"
สิรีเพิ่งกลับจากทำงานเดินเข้ามา พร้อมเสื้อกลางคืนตัวสวย
"ไหน อะไร นี่นะ เสื้อกินข้าวเย็น ของพี่ให้ปริศนายืม"
อนงค์ชี้ให้สิรีดูรูป แล้วอวดสรรพคุณ
"ปริศนา ถ่ายรูปท่านชายอุ้มรตีวันที่ไปเรือไง"
สิรีมาดูแล้วระเบิดเสียงหัวเราะเหมือนกัน ทั้ง 3 คนเลยหัวเราะเสียงดังด้วยกันตรงนั้น
เรือลำนี้ของท่านชายพจน์ เป็นเรือขนาดใหญ่ใช้เดินทะเลได้ ภายในเรือ ท่านชายกับรตี และสามีภรรยาแมนสฟีลด์เล่นบริดจ์ ประวิช ปริศนา และอนงค์ มานั่งตกปลาอยู่ท้ายเรือ ประวิชพยายามสอนอนงค์ให้ใช้เบ็ด แต่อนงค์หย่อนเบ็ดแล้วก็เอาขึ้น
"ทิ้งไว้สิคุณ"
"เรามีอาหารเย็นแล้วไม่ใช่หรือประวิช ฉันสงสารปลา"
"มันเป็นกีฬา ถ้าคุณไม่กิน ก็ปล่อยมันไปสิ"
อนงค์ทำหน้าสยดสยอง
"อือ อยู่ดีๆ ทำให้ปลามันเจ็บทำไมล่ะคุณ"
"มันไม่เจ็บหรอก เดี๋ยวมันก็หายเจ็บ"
"อนงค์เค้าใจดี ไม่ชอบทำบาป อย่าไปชวนเขาทำบาปเลยไม่ขึ้น" ปริศนาเย้า
"แล้วปริศนาล่ะ"
"ปริศนาก็ไม่เห็นด้วย ทำให้คนอื่นเจ็บ ทำให้คนอื่นตาย แล้วสนุกตรงไหน ไม่สนุกเลย"
"งั้นไปเล่นปิงปองกัน หรือจะไปดูเขาเล่นบริดจ์"
"ปริศนาอยากดูทะเล อยากดูท้องฟ้า อยากดูน้ำ สวยจัง ต้นไม้เมืองไทยนี่เขียวตลอด ไม่มีตายมีแต่ความสดชื่น ไม่เหมือนเมืองนอกนะ หน้าหนาวหิมะตกทีไร ต้นไม้เหลือแต่กิ่ง It looks ghostly."
อนงค์หันมาถามประวิช "เราจะไปจอดเรือที่เกาะสีชังใช่ไหมคะ จะขึ้นบกหรือเปล่า"
"แล้วแต่ท่านชายนั่นแหละคุณอนงค์"
"โชคดีจริง ที่แม่น้ำเจ้าพระยา กว้างและลึก กระทั่งเรือสินค้า เข้าจอดใกล้พระนคร"
"เรือรบก็เข้าไปได้เหมือนกัน คนเฒ่าคนแก่ ยังเล่าเรื่อง ร.ศ.112 กันเสมอ" ประวิชว่า
เรือแล่นไป ท้องฟ้าเปลี่ยนสีเป็นใกล้ค่ำ
ประตูห้องพักของพวกผู้หญิงเปิดออก รตีเดินออกมาด้วยชุดกลางคืนที่สวยงาม หัวจรดเท้าเข้ากัน เหมือนตั้งใจแต่งมาอย่างดี รตีหยุดโพสนิดหนึ่ง พอดีกับท่านชายยืนอยู่แถวนั้น ก็หันมามองตามเสียงประตู
"รตี วันนี้สวยจริง เสื้อผ้าหน้าผม สมตัวไปหมด"
"อุ๊ย ท่านชายก็ เห็นหม่อมฉันมาเป็นนาน เพิ่งจะเห็นแต่งตัวรับกันวันนี้เองหรือเพคะ"
"ทุกทีก็งาม แต่วันนี้งามยิ่งกว่าวันอื่นๆ ขึ้นไปบนดาดฟ้ากันเถอะ"
ท่านชายพจน์ยื่นแขนให้ควง สองคนควงกันขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ
ปริศนาเดินตามหลังรตีมา ได้ยินและยืนอยู่หลังประตูนั้น ปริศนาใส่เสื้อดำ กระโปรงเขียว แล้วเลยหันกลับเข้าในในห้องอีกครั้ง
อนงค์กำลังเติมแป้งสุดท้าย ปริศนามายืนหน้ากระจก รื้อผมใหม่
"อนงค์มีริบบิ้นไหม"
"จะทำอะไร"
"ทำมวย"
อนงค์แปลกใจมาก
"ทำมวย ทำไปทำไม"
"เถอะน่า จะทำก็แล้วกัน"
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ปริศนาเดินมาเปิดประตู
มิสซิสแมนฟิลด์เปิดประตูเข้ามา
" Shall we go ladies! - ไปกับหรือยังสาวๆ”
ปริศนาเดินกลับไปรื้อกระเป๋า ถามพี่สาวว่า
"อนงค์ สรุปมีริบบิ้นไหม"
"What are you looking for Miss Prissie? - ต้องการอะไรหรือมิสพริสซี่”
"I want to borrow Anong’s hair ribbon. - ขอยืมริบบิ้นผูกผมของอนงค์ค่ะ”
"I think I might have one in my room. - ดูเหมือนฉันมีอยู่เส้นหนึ่ง เดี๋ยวไปเอามาให้”
มิสซิสแมนสฟีลด์เดินกลับออกไป
บนดาดฟ้าเรือยามนั้น อาทิตย์ใกล้ตกดิน ทิวทัศน์รอบๆ ดูสวยงาม บางคนเลือกดื่มเครื่องดื่มก่อนอาหาร
หม่อมเจ้าพจน์ ปรีชา พูดคุยอยู่กับรตีอย่างสนิทสนม ในบรรยากาศที่สุดแสนจะโรแมนติก หัวร่อต่อกระซิกกันสองคน
ท่านชายยกข้อพระกรดูนาฬิกา แล้วกล่าวขอตัว ก่อนผละลงไปด้านล่างที่ห้องอาหาร
ท่านชายพจน์เดินเข้ามาอย่างเอาการเอางาน เพื่อดูความเรียบร้อยของห้องอาหาร แล้วท่านก็มาหยุดอยู่หน้าห้อง เพราะเห็นหญิงสาวคนหนึ่งจากด้านหลัง กำลังยืนเลือกดอกไม้จากแจกันที่ประดับโต๊ะอาหาร
ท่านชายมองดูหญิงคนนั้นสีหน้าฉงน นึกไม่ออกว่าเป็นใคร เลยกระแอมออกไป
เธอยังคงเลือกดอกไม้ต่อไป ท่าทางกำลังคิดว่าจะหยิบดอกไม้ออกมาอย่างไรไม่ให้แจกันแหว่ง
ท่านชายกระแอมอีกที ผู้หญิงคนนั้นสะดุ้งหันมาเผยให้เห็นว่าคือปริศนา พอเห็นเป็นท่านชายก็ทำหน้าเก้อๆ
"ปริศนาต้องการดอกไม้สำหรับติดเสื้อเพคะ ไม่รู้จะเอาที่ไหน เลยว่าจะขโมยจากที่โต๊ะนี่ ท่านชายคงไม่ว่านะเพคะ"
กริยาของปริศนาอ่อนโยนจนท่านชายต้องยิ้มอย่างเอ็นดูออกมา เพราะเหมือนเด็กที่ทำผิดแล้วถูกจับได้
"ไม่เป็นไร" ท่านชายมองดอกไม้ในมือปริศนา "นั่นพอแล้วหรือ เอานี่อีกสิ"
ท่านชายเลือกดอกสวยๆ และเด็ดให้ปริศนาอย่างไม่ต้องเกรงใจใคร
"พอแล้วเพคะ พระทัยดีต่อหม่อมฉันมาก จะไม่ลืมพระคุณเลยทีเดียวเพคะ"
ปริศนาช้อนตามองท่านชาย ทำท่าเลียนแบบรตีเมื่อสักครู่ ท่านชายนึกฉุน ถอยออกไป
เป็นจังหวะเดียวกับคนอื่นๆลงมาจากดาดฟ้าเรือ
รตีเดินตามหลังประวิชเข้ามา แต่พอเห็นว่าท่านชายอยู่กับปริศนา ก็แทรกตัวเข้ามาเกาะแขนท่านชายไว้ทันที
"Prissie, here you are! Today you don’t look your usual self. You kind of dress differently. - พริสซี่ มาอยู่ตรงนี้เอง วันนี้ดูไม่เหมือนพริซซี่เลย แต่งตัวแปลกมาก” แอชลี่ว่า
"อยากให้แปลกไปบ้างค่ะ - Yes, I want to look different today!"
ปริศนาชูดอกไม้ให้ดู
"Fresh flowers for my dress too. - ดอกไม้สดติดเสื้อด้วย"
แอชลี่ยื่นมือไปขอดอกไม้
" Here, let me help you. - มาผมช่วยติดเสื้อให้"
แอชลี่ช่วยติดดอกไม้ที่เสื้อของปริศนาที่เตรียมเข็มกลัดมาเรียบร้อยแล้ว
ที่โต๊ะอาหาร ประวิชมองมาทางแอชลี่และปริศนาอย่างไม่พอใจ หน้าตาบูดบึ้ง อนงค์ที่เดินตามประวิชมาหันมาถาม
"จะให้ฉันนั่งตรงไหนคะ"
ประวิชพอรู้สึกตัว แต่จิตใจยังอยู่กับปริศนา ก้มดูเก้าอี้เลื่อนให้อนงค์นั่ง แล้วตัวเองก็นั่งลงข้างอนงค์
"ปริศนา แปลกไปนะ"
"แกว่าแกเบื่อ อยากแต่งตัวให้เปลี่ยนไป"
"ดูรู้มาก ไม่น่าเอ็นดูเหมือนปริศนาคนเดิม"
ปริศนาหัวเราะกับแอชลี่เดินเข้ามา
ท่านชายพจน์ผายมือไปที่เก้าอี้ให้แอชลี่ และปริศนานั่ง ส่วนตัวท่านมองปริศนา อย่างทึ่งปนขัน คิดว่าปริศนา มีความเป็นปริศนาในตัวเองไม่น้อย
ทุกคนลงนั่งที่โต๊ะ พนักงานเสิร์ฟ เข้ามาเสิร์ฟอาหาร
เรือของท่านชายลอยลำอยู่กลางทะเลที่สงบสวยยามค่ำคืนพระจันทร์ทรงกลด มีเสียงเพลงจากแมนโดลินของแอชลี่ คลอ
เวลาผ่านไป หลังการรับประทานอาหารเสร็จ ท่านชายนำดื่มอวยพร ทุกคนชูแก้วกระทบกัน หัวเราะกันอย่างมีความสุข มีแต่ประวิชเท่านั้นที่ยังหน้าบูดอยู่
ถัดมา แอชลี่เดินถือแมนโดลิน เล่นเพลงขึ้นมาจากด้านล่าง เขาเดินมานั่ง แล้วร้องเพลงคนอื่นๆตามขึ้นมาอย่างคึกคัก
แมนสฟีลด์ เริ่มเต้นรำ ประวิชชวนอนงค์เต้นรำ ปริศนามานั่งร้องเพลงข้างๆ แอชลี่ ท่านชายก็มาร้องด้วย รตีพยายามมาดึงท่านชายออกไปเต้นรำ แต่ท่านชายชี้ให้รตีนั่งลง รตีนั่งลงอย่างไม่พอใจนัก
ท่านชายพจน์เดินไปทางพระจันทร์ที่สวยเด่นอยู่บนฟากฟ้า และมองออกไปไกล ใน บรรยากาศที่โรแมนติก ความฝันและเสียงเพลง ท่ามกลางพระจันทร์ทรงกลด
แอชลี่ มองปริศนาอย่างชื่นชม เขาพูด แต่ลดเสียงลง
"Even thought I will depart soon,my heart will still remain here. - ถึงผมจะจากไป แต่หัวใจคงยังอยู่ที่นี่”
ปริศนามองแอชลี่ งงๆ
"I shall write you, Prissie. Can we continue to be friends? - แล้วผมจะเขียนจดหมายถึงคุณนะ พริสซี่ เราจะยังเป็นเพื่อนกันต่อไปนะ”
"Yes, of course. - ได้ค่ะ"
แอชลี่ยิ้มมีความสุข
คืนเดียวกัน เสียงเคาะประตูดังขึ้นที่หน้าห้องนอนของสิรี
"เข้ามาจ๊ะ"
จำเนียรเปิดประตูเข้ามา พร้อมชามใส่น้ำขิง
"คุณสมร ให้เอาน้ำขิงมาให้คุณสิรีค่ะ"
"จ๊ะ ขอบใจจ๊ะ นี่จำเนียร ว่าป่านนี้ อนงค์กับปริศนา จะหลับหรือยัง อยู่บนเรือสำราญกลางทะเล"
"คุณสิรีเสียใจมากไหมค่ะ ที่ไม่ได้เข้ากลุ่มไปกับเขาด้วย" จำเนียรถาม
"ไม่เสียใจหรอกจำเนียร แต่เสียดายโอกาสที่จะได้พบเห็น ชีวิตที่สะดวกสบาย ปริศนาโชคดีเหลือเกินที่ได้พบได้เห็น อะไรมากมาย ทั้งที่เมืองนอกและที่เมืองไทย"
"คุณสิรี ก็มีอะไรที่คุณปริศนาไม่มีเหมือนกันนะคะ เช่นฝีมือการเย็บเสื้อที่ดีไงค่ะ"
"อืม นั่นนะสิ ขอบใจนะจำเนียร"
สิรี นั่งลงมองออกไปตรงๆ
"ความจริง แม่ก็เตือนฉันแล้ว ว่าอย่าหักโหมทำงาน ไม่ได้หลับไม่ได้นอน อยากรู้จังเลยนะว่า ปริศนากับอนงค์จะทำอะไรกันอยู่"
สิรีมองพยายามนึกภาพ
มิสซีสแมนสฟีลด์ กับปริศนาในชุดนอนอยู่บนดาดฟ้าเรือ พระจันทร์คล้อยไปมากแล้ว ราวกับจะบ่งบอกว่าเวลาผ่านไปสักระยะแล้ว มิสซีสแมนสฟีลด์เอ่ยขึ้นว่า
"I am so sleepy I can’t even enjoy the beauty of the full moon in the middle of the ocean any longer. Thank you for keeping me company. We shall leave tomorrow but please do not let our friendship end here. If further opportunity arises. I would like to invite you to visit us in Scotland. You must come and stay with us and I will show you around the country. Goodnight, darling. - โอว ชั้นง่วงจนไม่สามารถจะดื่มด่ำความงามของพระจันทร์ กลางทะเลสวยได้อีกแล้ว ขอบคุณนะ ที่มาเป็นเพื่อนคุย พรุ่งนี้ ที่ฉันจะเดินทางกลับแล้ว อย่าให้ความเป็นเพื่อนของเราหมดไปนะ หากมีโอกาส ฉันขอเชิญเธอไว้เลย ไปเยี่ยมฉันที่สก๊อตแลนด์บ้าง พักที่บ้านของเรา แล้วฉันจะพาเธอเที่ยวเอง ราตรีสวัสดิ์”
"Thank you so much, Mrs.Mansfield. Goodnight. - ขอบคุณที่สุดค่ะ คุณแมนสฟีลด์ ราตรีสวัสดิ์”
ครอบครัวแมนสฟีลด์เดินกลับไป ด้านล่างแล้ว
ปริศนามองออกไปรอบๆ สูดลมหายใจเต็มปอด เริ่มฮัมเพลง และเต้นรำ กางแขนออกหมุนไปรอบๆ คล้ายอยู่คนเดียวท่ามกลางจักรวาล และอยากสัมผัสบรรยากาศนั้นให้เต็มอิ่มก่อน ปริศนาหมุนตัวแล้วเซเสียหลัก ถลาไป บังเอิญกับที่ท่านชายพจน์เดินขึ้นมาบนดาดฟ้าพอดี
เลยกลายเป็นปริศนาลอยเข้าไปสู่อ้อมอกของท่านชายโดยไม่รู้ตัว
"อุ้ย"
หม่อมเจ้าพจน์ ปรีชา มองหน้า พอเห็นเป็นปริศนาก็แปลกใจนิดๆ แต่ยังประคองเธอไว้ในอ้อมแขนนิ่งนาน
อ่านต่อตอนต่อไป
ท่านชายพจน์ปรีชาโอบยึดตัวปริศนาไว้ เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมอง และเห็นว่าผู้ที่โอบเธอเป็นใคร ก็ถึงกับตกใจ
“ท่านชาย”
ท่านชายเองเมื่อเห็นเป็นปริศนาก็แปลกใจเช่นกัน
“ปริศนา มาทำอะไรบนนี้”
ทั้งคู่ผละตัวออกจากกัน พร้อมๆ กับที่ปริศนาเอื้อนเอ่ยออกมาเบาๆ
“ขึ้นมาคุยกับเอลซ่าค่ะ กำลังจะกลับไปที่ห้อง”
ท่านชายมองปริศนานิ่งนิดหนึ่ง “อยู่ก่อนไม่ได้หรือ”
“ไม่ได้ค่ะ อากาศข้างบนนี่ ชักจะเย็นไปแล้ว”
เจ้าของวังศิลาขาวได้ยินดังนั้น จึงสละเสื้อคลุมออกส่งให้เธอ
“อยู่เป็นเพื่อนกันก่อนเถอะ อากาศบนนี้ กำลังสบาย”
ปริศนารับเสื้อคลุมมาสวม ท่านชายถามต่อ
“ทำไมป่านนี้เธอกับเอลซ่ายังไม่นอน”
“มัวคุยกันค่ะ หลายเรื่องจนเพลิน เขาเลยชวนขึ้นมาคุยบนนี้ ไม่ต้องกระซิบคุยกัน เขากลับลงไปแล้วปริศนาก็กำลังจะตามลงไป ท่านชายทำไมยังไม่ทมเพคะ?”
ท่านชายยิ้มให้อย่างเอ็นดู ก่อนจะเดินห่างออกไป “ยังไม่ง่วง”
เมื่อปริศนาก็มองตามไป อีกฝ่ายก็หันกลับมามองพอดี
“ถามจริงๆ เถอะ วันนี้ทำไมแต่งตัว ทำผมแปลก ไม่เหมือนปริศนาที่เคยเห็นเลย”
ปริศนาหัวเราะเบาๆ “ถ้าไม่ทำอะไรแปลกๆ จะชื่อปริศนาได้หรือเพคะ”
“ คิดอยากให้แปลกอย่างเดียวหรือ ไม่เห็นสมตัวเลย”
“เพราะว่ารู้ว่าไม่สมตัวเพคะ ถึงได้ทำ”
ฝ่ายที่นิ่งฟังถึงกับแปลกใจ “อะไรนะ”
ปริศนาพูดอย่างมั่นใจ “ปริศนารู้เพคะ ว่ามันไม่สมตัว มันน่าเกลียด ปริศนาถึงได้ทำ”
“ทำไมหรือ?”
“คนทั่วไปอยากสวยใช่ไหมเพคะ ปริศนาไม่อยากเหมือนคนอื่นไงเพคะ อยากแปลกไป จึงต้องทำ
น่าเกลียด”
เมื่อได้ฟังความคิดของปริศนา ท่านชายผู้สูงศักดิ์ถึงกับตกตะลึง
“ปริศนา เธอนี่เป็นคนแปลกจริงๆ รู้ตัวไหม”
“รู้เพคะ ท่านชายเอง ก็แปลกน้อยอยู่เมื่อไหร่”
“แปลกยังไง?” ท่านชายย้อนถาม น้ำเสียงแลดูสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น
ปริศนายิ้มเจ้าเล่ห์
“อะฮ้า บอกเสียก็จืดหมดน่ะสิเพคะ อือ...ยกตัวอย่างเพคะ ท่านชายเองก็ดูเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ แต่พอโดนปริศนาล้อถูกใจดำเข้าก็โกรธ แบบนี่ไม่แปลกหรือเพคะ”
พูดจบปริศนาก็เดินไปทางบันไดลง แล้วหันมาทำเสียงแหลมล้อเลียนรตี
“กู๊ดไนท์เพคะ ท่าน กู๊ดไนท์”
แล้วร่างสูงระหงก็สาวเท้าเดินลงบันไดหายไป ท่านชายนึกถึงเสื้อคลุมได้ จะตามไป แล้วก็ลังเลใจ
หยุดนิ่งคอยอยู่ที่เดิม
ปริศนาเปิดประตูห้องเข้ามาอย่างเบามือ เพราะเดาว่าอนงค์หลับแล้ว ครั้นกำลังจะเอากายลงนอน ก็นึกได้ว่าใส่เสื้อคลุมท่านชายอยู่ เธอลุกขึ้นมาถอดพาดแขนแล้วจะเดินกลับออกไปทางด้านท่านชายพจน์ปรีชา ก็ยืนชะเง้อคอย เหมือนรอว่าปริศนาจะขึ้นมาไหม
ฟากปริศนาที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องด้านในห้อง โดยมีเสื้อคลุมพาดแขนอยู่ มือแตะอยู่ที่ประตู กำลังจะผลักออกไป แต่แล้วก็กลับเปลี่ยนใจ ขึ้นนอนเตียง แล้วเอาเสื้อคลุมนั้นคลุมตัว นอนหลับตา
เรือใหญ่แล่นไปในทะเลกว้างสุดลูกหูลูกตา ครู่ใหญ่จึงมาจอดทอดสมออยู่บริเวณหน้าเกาะสีชัง
ปริศนารู้สึกตัวตื่นขึ้นเมื่อฟ้าสาง แววตาเหมือนกังวลอะไรบางอย่าง ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง แล้วมองดูอนงค์ที่ยังหลับสนิทอยู่ เธอค่อยๆ ลุกอย่างระมัดระวัง ไม่ให้มีเสียง
ปริศนาเดินตามทางเดินมา หลังจากที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าใสสดงดงาม เสื้อคลุมของท่านชายพจน์ปรีชาอยู่ในวงแขน เธอเหลียวมองซ้ายขวาอย่างระแวดระวัง ไม่อยากให้มีใครเห็น จนกระทั่งมายืนอยู่หน้าห้อง
สักครู่เดียวเจ้าของห้องก็เปิดประตูห้องออกมา
“อ้าว ปริศนา เป็นยังไงบ้าง เมื่อคืนหลับสบายดีไหม”
“เพคะ สบายมาก นอนหลับเรื่อย เพิ่งตื่นเมื่อสักครู่นี้เอง นี่ฉลององค์ท่านชาย เมื่อคืนนี้ปริศนาลืมคืน เลยใช้แทนผ้าห่ม อุ่นดีนะเพคะ”
ปริศนาส่งเสื้อคลุมคืนให้ ท่านชายรับกลับไป พร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นมา
“อย่างนั้นหรือ งั้นก็ดีไป ปริศนาเห็นเกาะสีชังแล้วหรือยัง”
“ยังเลยเพคะ”
“งั้น ขึ้นไปดูบนดาดฟ้ากัน”
ท่านชายผายมือให้ปริศนาเดินไปก่อน ส่วนตัวเองเปิดประตูเอาเสื้อคลุมเข้าไปไว้ในห้อง
อ่านต่อหน้า 4
ปริศนา ตอนที่ 5 (ต่อ)
ปริศนามองภาพเกาะสีชังเบื้องหน้าอย่างตื่นตาตื่นใจ ครู่หนึ่งท่านชายพจน์ปรีชา ก็มายืนอยู่ด้านหลัง มองภาพเบื้องหน้าในมุมเดียวกัน
“แหม สวยจริง นี่เราจะลงกันไปไหมเพคะ”
“ไม่ลงหรอก ไม่มีอะไรดู ถึงจะสวยก็จริง”
ปริศนาทำหน้าผิดหวัง “โธ่ แล้วกัน”
“เสียใจ หนนี้ตามใจเธอไม่ได้จริงๆ พวกเพื่อนฉันต้องจับรถไฟไปลำปางให้ทันค่ำวันนี้ เพื่อนเขาที่พม่ารอเก้อมากว่า 2 อาทิตย์แล้ว”
ปริศนารู้สึกไม่ได้ดั่งใจ ครั้นเห็นประวิชขึ้นมาดาดฟ้าเรือ ก็รีบฟ้อง
“ประวิช ทำยังไงดี ท่านชายไม่ให้เราขึ้นบกที่นี่”
“ก็จะขึ้นไปทำไม เดี๋ยวพวกนั้นก็จับรถไฟเย็นนี้ไม่ทันเท่านั้น อย่าลืมว่าพวกเขาควรจะไปถึงพม่า ตั้ง
2 อาทิตย์มาแล้ว”
ปริศนาฟังประวิชพูดไปก็นึกขำ หันมามองหน้าท่านชายสลับกัน ท่านชายสบสายตากลับเป็นเชิงว่า เห็นไหม ใครๆ เขาก็รู้กัน แต่ประวิชไม่ได้เข้าใจท่าทีของทั้งคู่ จึงมองปริศนาอย่างจะถามว่ามีอะไรหรือ
ปริศนาหัวเราะเบาๆ “ประวิชพูดซ้ำกับท่านชาย เหมือนวิทยุกระจายเสียงซ้ำ พูดเหมือนกันทุกอย่าง
ไม่มีผิดเลย”
ท่านชายพูดต่อ “ก็มันเป็นเหตุผล ที่จะต้องเข้าใจได้ว่าทำไมเราไม่ขึ้นบกที่นี่ ปริศนารู้ไหม เลยเกาะสีชังนี่ไป พรุ่งนี้เช้าก็ถึงจันทรบูรณ์ อยากไปหาสมศักดิ์ กับพี่สาวของปริศนาก็ได้”
ปริศนาตาวาว “จริงหรือเพคะ คิดถึงอุบลอยู่เหมือนกัน หลานก็ไม่เจอกันหลายเดือนแล้ว ป่านนี้ลืมปริศนาไปแล้วเป็นแน่”
ประวิชหันมาย้อนถาม “ปริศนา จะไปเมืองจันท์รึ”
“ไปได้จริงๆ ก็ดีซิเพคะ. ไปแล้ว พรุ่งนี้หนีโรงเรียน หายเงียบไปเลย”
พูดจบก็เดินไปนั่งอย่างอ่อนใจ เพราะดูเหมือนว่ายังอยากจะไปเที่ยวต่อแต่มีข้อจำกัดทำให้ไปไม่ได้อยู่นั่นเอง
ท่านชายเดินตามมาอย่างอยากจะคุยต่อ ส่วนประวิช ยังคงยืนอยู่ที่เดิม มองภาพเกาะสีชังเบื้องหน้า
“พูดถึงโรงเรียน เธอสอนน้องสาวของฉันด้วยไม่ใช่หรือ” ท่านชายถามเรียบๆ
“เพคะ เป็นครูประจำชั้นท่านหญิงรัตน์ฯ แล้วสอนภาษาอังกฤษด้วย”
“ภาษาอังกฤษ อ่อนมากไหม”
“ไม่อ่อนนักหรอกเพคะ ปริศนาพูดท่านเข้าใจหมด แต่ท่านไม่ยอมตอบ ท่านฉลาดดีเพคะ อายุก็น้อยกว่าคนอื่น แต่ขี้เกียจจัง การบ้านไม่ค่อยทำ บอกว่าไม่มีเวลา ให้แต่งเรียงความ ก็มาใช้ให้เจ้าพี่แต่ง เจ้าพี่ก็แต่งประทาน
ยังกับเราเป็นครูจะไม่รู้ แล้วจะไม่ให้เสียเด็กได้ยังไง”
ท่านชายโดนปริศนาแอบเหน็บก็ถึงกับอึ้งไป
“ไม่อยากทำให้หรอก แต่อดใจอ่อนกับน้องไม่ได้สักที”
“เรื่องเรียงความน่ะ นานๆ ครั้ง แต่เรื่องที่ไม่มีเวลานี่ ประวิชบอกว่าเล่นเรือเรื่อยเทียว แล้วทอดเนตรหนังแทบทุกโปรแกรม วิมลด้วย แต่ก่อนอยู่โรงเรียนดี๊ดี ขยันทำงาน เดี๋ยวนี้เหลวจัง”
“จะแก้กันยังไงดีล่ะ” เจ้าของวังศิลาขาวย้อนถาม
“แก้ได้เพคะ แต่กลัวท่านชายจะไม่ทำตามเท่านั้น ชั้นท่านหญิงรัตน์น่ะ เป็นนักเรียนประจำทุกคน นอกจากท่านหญิงรัตน์กับวิมล”
“เธอจะให้ฉันส่งน้องหญิงไปไว้โรงเรียนเลยงั้นหรือ” ท่านชายถามย้ำอย่างจะให้แน่ใจ
“ถ้าได้จะดีกับท่านหญิงมาก ลองสิเพคะ เปิดเทอมนี้ลองดูสักเทอมนึงก่อน แล้วปีหน้าค่อยคิดกันอีกที
ก็ได้”
“แกจะยอมมั้ย ก็ยังไม่รู้”
“ไม่ยอม ก็ต้องทำให้ยอมสิเพคะ รับรองว่าท่านหญิงจะดีขึ้นมากใน 2 เดือน ท่านเรียนหนังสือเก่ง ฉลาดออกจะตายไป”
ท่านชายพจน์ปรีชานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง มองหน้าปริศนาอย่างชั่งใจ แล้วก็ตัดสินใจว่าจะลองเชื่อดูสักครั้ง ปริศนามองตอบมาอย่างมั่นใจเช่นกัน ทั้งคู่จับมือตกลงตามข้อเสนอ ประวิชหันมามองอย่างสนใจ ก่อนจะเดินเข้ามาหาทั้งคู่
“เกิดอะไรขึ้น”
ปริศนาหันมาตอบ “ไม่มีอะไร แค่เราสัญญาร่วมมือกันทำภารกิจสำคัญด้วยกันแค่นั้น”
ประวิชหันมองท่านชายเป็นเป็นเชิงตั้งคำถาม ปริศนาชิงพูดต่อ
“อ้อ ท่านชายเพคะ ยังมีอีกอย่างนึง ท่านหญิงน่ะไม่ควรให้เลิกหัดเปียโน มี gift และเล่นก็เก่ง แต่ไม่ยอมเรียนเลย ควรเรียนอาทิตย์ละ 2 ครั้ง และหัดเองอีก 2 ครั้ง เป็นอาทิตย์ละ 4 ครั้ง จะจัดการได้ไหมเพคะ”
“ได้สิจ๊ะ ไม่นึกว่าครูปริศนา จะเอาใจใส่ลูกศิษย์ถึงเพียงนี้”
ปริศนายิ้มกว้าง “ถ้าเราเป็นครู เราก็อยากให้ศิษย์ของเราได้ดี งานของเราแท้ๆ ที่จะสร้างคน
เราต้องเห็นเขา รู้จักเขา และทำให้เขาประสบความสำเร็จ ดีที่สุดที่เป็นตัวเขา”
“ฉันจะจัดการตามที่เธอว่า ถ้าน้องฉันดีขึ้น ฉันจะไม่ลืมบุญคุณของเธอเลย”
ท่านชายพูดอย่างจริงใจ ปริศนาส่งยิ้มให้ ประวิชแอบโล่งใจเมื่อรู้ว่าทั้งคู่คุยกันเรื่องท่านหญิงรัตนาวดี
ทันใดนั้นก็มีเสียงคนเดินขึ้นบันไดมา
“รตี มาแล้วกระมัง”
ประวิชเดา ท่านชายค่อยๆ ถอยจากปริศนา รตีโผล่ขึ้นมา ก็ถาเข้าไปเกาะแขนท่านชายทันควัน
“กู๊ดมอร์นิ่งเพคะท่าน บรรทมตื่นนานแล้วหรือ?”
ปริศนาหันไปยิ้มยักคิ้วกับประวิช เชิงขำเสียงของรตี
“ไปกินข้าวเช้ากันดีกว่า รตี”
ท่านชายพูดเสร็จก็ส่งแขนให้ รตีรีบเกาะแจ และเดินผ่านหน้าปริศนากับประวิชที่จะลงข้างล่างไปก่อน
ปริศนาได้แต่กลอกตาอย่างระอา แต่พอเห็นประวิชมองอยู่ ก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
เรือลำใหญ่จอดกลางแม่น้ำหน้าโอเรียนเต็ลโดยไม่ได้เทียบท่า หากจะมีเรือเล็กเข้ามารับอีกทีหนึ่งพนักงานเรือยืนอยู่หน้าประตูที่จะช่วยขนกระเป๋าให้มิซซิสแมนสฟีลด์
“Elsa, I have a small present for you.(เอลซ่า ฉันมีของที่ระลึกเล็กน้อยจะให้เธอ)”
ปริศนาพูดพลางยื่นส่งผ้าเช็ดหน้าพับเป็นรูปดอกไม้ ให้มิซซิสแมนสฟีลด์
“I did it myself. (ฉันทำเองกับมือเลยนะ)”
มิซซิสแมนสฟีลด์คลี่ผ้าเช็ดหน้าออกดู ด้วยสีหน้าชื่นชม
“Oh! It’s so beautiful. is this the whole hankerchife? Its so cute Prissie!
You are so talented. I will keep it last this forever (มันสวยมากเลย นี่เป็นผ้าเช็ดหน้าทั้งผืนเลยใช่ไหม น่ารักจริงๆ ปริศนา คุณเก่งมาก ฉันจะเก็บมันไว้อย่างนี้ตลอดไปเลย)”
.พูดจบก็โผมาสวมกอดและหอมแก้มปริศนา
กลุ่มพวกผู้ชายและรตียืนอยู่พร้อมกันแล้ว พนักงานยกกระเป๋าอีกคนหนึ่งกำลังยกกระเป๋าไปส่งลงเรือเล็ก
ปริศนา มิซซิสแมนสฟีลด์ เดินเข้ามาด้วยกัน พนักงานยกกระเป๋าไปต่อทางจะลงเรือเล็ก
มิซซิสแมนส์ฟีลด์ยิ้มให้ท่านชายพจน์ปรีชา
“Your Highness, I really do have to thank you most kindly for this special trip in Thailand.
(ท่านชาย ฉันต้องขอบคุณท่านจริงๆ สำหรับ การท่องเที่ยวเดินทางที่แสนวิเศษ ในประเทศไทยนี้)”
ท่านชายยิ้มตอบอย่างสุภาพ
“Hope this memorable trip will bring all of you back to Thailand again soon. (หวังว่าความประทับใจนี้จะทำให้ท่านกลับมาเยี่ยมเราอีก ยังมีอีกหลายสถานที่ ที่งดงามที่อยากจะพาท่านไปชม แต่ทำไม่ได้ ในเวลาเพียงเท่านี้)”
“Certainly! isnt that James? (แน่นอนค่ะ จริงไหมคุณ จริงไหม เจมส์)”
มิสเตอร์แมนสฟีสด์รับคำ “Absolutely!(จริง)”
ปริศนาพูดต่อขึ้นมาบ้าง “Before we part, I would like to give a small present to
Jim and Mr.Mansfield. (ก่อนจะลาจากกัน ปริศนาขอให้ของที่ระลึก กับจิม และคุณแมนสฟีลด์นะคะ)
พูดเสร็จก็ส่งผ้าเช็ดหน้าพับรูปตัวสัตว์ให้กับทั้งคู่
แอชลี่ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นจุ๊บเบาๆ ก่อนจะใส่ในกระเป๋าเสื้อ
“Goodbye. I shall cherish this fond memory with me forever. (ลาก่อน ผมจะเก็บความทรงจำนี้ไว้ตลอดไป)”
มิสเตอร์แมนสฟีลด์ยิ้มลาทุกคน
“Please dont forget. Let me have the oppotunity to host all of you at my home some time in the future. (อย่าลืมนะ ขอให้ผมมีโอกาสได้ต้อนรับพวกท่านทุกคนบ้าง ที่บ้านของผม)
.ระหว่างที่ปริศนาส่งของให้แอชลี่นั้น ประวิชแอบมองอย่างไม่สบอารมณ์ ขณะที่ท่านชายพจน์ปรีชาดูตุ๊กตาผ้าในมือปริศนาอย่างสนใจ ระคนแปลกใจ ด้วยไม่นึกว่าสาวสมัยอย่างเธอจะทำเป็น รตีมองค้อนอย่างหมั่นไส้ตามเคย ส่วนอนงค์มองน้องสาวตัวเองอย่างชื่นชม
ชาวต่างชาติทั้งหมดเดินตามคนขนกระเป๋าไป บรรดาคนไทยขยับตาม ทุกคนต่างโบกไม้โบกมือให้กัน
ท่านหญิงรัตนาวดีที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะอาจารย์สงวน ลุกพรวดขึ้นยืน หันมามองท่านชายผู้พี่อย่างเจ็บปวดที่สุด
“ไม่นะเพคะ หญิงไม่เป็นนักเรียนประจำ”
“วิมลก็เคยอยู่ประจำ เพื่อนน้องหญิงคนอื่นก็อยู่ประจำกัน”
ผู้พี่พยายามยกเหตุผลมาโน้มน้าว อาจารย์สงวนช่วยพูดด้วย
“ทุกคนอยู่ประจำหมดเพคะ ยกเว้นท่านหญิงเพียงองค์เดียว”
“แต่หญิงไม่อยู่ หญิงจะอยู่ทีศิลาขาวกับท่านพี่”
ครูถวิลค่อยเยี่ยมหน้าเข้ามามองไกลๆ เพื่อลอบมองท่านชายพจน์ปรีชาอย่างปลาบปลื้ม
“ฝึกไว้เถอะ รัตนาวดี วันหนึ่งน้องไปเมืองนอก น้องก็ต้องอยู่หอพักนักเรียนกับเพื่อนๆ เหมือนกัน ไม่มีใครไปรับไปส่งเหมือนอย่างนี้หรอก”
ท่านหญิงผู้น้องยืนกรานไม่ยอมท่าเดียว
“ไม่ค่ะ หญิงไม่อยู่ ยังไงก็ไม่อยู่ ไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาสักอย่าง”
“ของน้องหญิง พี่จะให้ป้าสร้อยจัดให้ แล้วจะให้รถมาส่ง ให้น้องหญิงได้เตรียมตัว รู้ว่าห้องพักอยู่
ทางไหนก่อน”
อาจารย์สงวนรีบเสนอ “ท่านไม่เคยอยู่รวมกับคนอื่น จะพักที่ห้องพักครูก่อนไหมคะ ห้องแหม่มฮอล์ล ก็ยังว่างอยู่”
“ไม่พักที่ไหนทั้งนั้น หญิงจะกลับวังศิลาขาว”
หม่อมเจ้าหญิงพูดพลางร้องไห้พลาง ท่านชายผู้พี่รีบดึงตัวออกมาห่าง
“น้องหญิง หยุดร้องไห้เดี๋ยวนี้เลย อย่าทำตัวเป็นเด็กเล็ก ที่นี่ครูของน้องหญิงทั้งนั้น ข้างนอกก็ล้วนแล้วแต่เพื่อนๆ ของน้องทั้งนั้น ร้องไห้เพราะไม่อยากอยู่ประจำ น่าอายเสียจริง”
ด้วยความที่เกรงกลัวเจ้าพี่มาก ท่านหญิงรัตนาวดีจึงพยายามกลั้นสะอื้น แต่ยังร้องไห้อยู่ เพราะเจ็บใจที่ถูกหลอกมาแล้วรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้ง
ครูถวิลและครูสุมน หันมามองหน้ากัน แล้วพยักหน้าให้กันเอย่างรู้นัยว่าในที่สุดท่านหญิงรัตนาวดีก็ต้องจำยอมพี่ชาย
“มาค่ะ มาหาท่านอาจารย์”
ท่านชายเดินนำน้องสาวกลับมาที่โต๊ะอาจารย์สงวนอีกครั้ง
ปริศนาเดินนำสิรีมาขึ้นรถ ฝ่ายหลังถือห่อผ้าที่นำกลับมาเย็บที่บ้านติดมือมาด้วย ช่วงรีบวิ่งไปเปิดประตูบ้านให้
“นี่ปริศนาแอบไปเรียนพับผ้าเช็ดหน้ากับคุณยายมาตั้งแต่เมื่อไหร่” สิรีถามอย่างแปลกใจ
“ก่อนไปเรือน่ะสิรี เรียนได้แค่ 3-4 แบบเอง”
“เรียนตัดเสื้อกับพี่บ้างสิ จะได้ช่วยกันทำงาน”
ปริศนาส่ายหน้าช้าๆ “ปริศนาเคยทำแล้ว ตัดเสื้อ แต่ไม่ได้ดี ใจร้อนเกินไป แต่ไม่แน่นะ วันนึง
ปริศนาอาจจะอยากเรียนตัดเสื้อกับสิรี แล้วปริศนาจะมาขอเรียน ไม่ต้องห่วง”
พูดจบก็รีบก้าวขึ้นรถ สิรีกำลังจะมาขึ้นรถเหมือนกัน พอดีเสมอ ขับรถเข้ามาในบ้าน
ปริศนาหันมายิ้มล้อๆ “นายเสมอมาแน่ะ น่ากลัวจะมารับสิรี”
สิรียังรีๆ รอๆ อยู่ เสมอรีบจอดรถและวิ่งเข้ามาหา
“คุณสิรี ผมตั้งใจจะมารับคุณไปส่งที่ทำงาน ขอโทษที่หายไปเสียหลายวัน ผมกลับไปธุระที่บ้านต่างจังหวัดมา มีของฝากมาให้คุณด้วย”
สิรีมองไปที่น้องสาว “ปริศนาไปก่อนเถอะ จะไม่ทันโรงเรียนเข้า พี่จะไปกับคุณเสมอเอง”
“ตอนเย็นปริศนา ไปรับสิรีเหมือนเดิมนะ”
แต่เสมอชิงตอบกลับมาก่อน “คุณปริศนา ไม่ต้องเป็นห่วงครับ กระผมจะไปรับคุณสิรีเอง”
“โอเค. ขอบคุณมาก คุณเสมอ”
ปริศนาออกรถไป พร้อมๆ กับที่เสมอพาสิรีเดินไปที่รถ
ครูถวิลเยี่ยมหน้าออกมามองไปทางที่จะขึ้นห้องห้องพิเศษ ก่อนจะหันไปเรียกครูสุมน
“ครูสุมน นั่นครูปริศนามาแล้ว”
พูดจบก็เดินอย่างรวดเร็วตามปริศนาไป
“ครูปริศนา ครูปริศนาคะ”
ปริศนาหยุดเดิน พลางหันกลับมาหา “ครูถวิล มีอะไรหรือคะ”
“ครูปริศนา รู้มั้ยว่าท่านหญิงรัตนาวดี มาเป็นนักเรียนประจำแล้ว”
ปริศนารับรู้อย่างทึ่งๆ ด้วยไม่คิดว่าเรื่องที่คุยกับท่านชายจะเป็นผลเร็วขนาดนี้
“หรือคะ มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
“เมื่อวานค่ะ ท่านพี่เสด็จมาส่งเอง ท่านกรรแสงใหญ่ทีเดียว จนกลางคืน อาจารย์สงวน ต้องไปตามลงมาให้เสวยอาหารเย็น แต่วันนี้เมื่อเช้าเห็นลงมากับเพื่อนๆ แต่ไม่ยิ้มเลย”
“งั้นหรือคะ ปริศนาสอนห้อง 5 ตอนเช้า แล้วจะเข้าไปสอนห้องพิเศษ 1 ชั่วโมงต่อไปค่ะ”
ครูถวิลรีบบอก “คงต้องช่วยกันดูนะคะ ไม่รู้ว่าจะออกฤทธิ์อะไรอีกหรือเปล่า ท่านพี่ก็ใจเด็ด
จริง พามาส่งตอนบ่าย ค่ำๆ ก็มีรถมาส่งของให้อีก”
ปริศนายิ้ม ก่อนจะสาวเท้าเดินไปขึ้นห้องเรียน
นักเรียนห้องพิเศษ 1 ลุกจากที่นั่งกำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่ แต่คราวนี้แปลกที่ไม่พูดคุยหัวเราะส่งเสียงดัง แต่เป็นการพูดคุยกระซิบกระซาบ
นักเรียนกลุ่มใหญ่มาห้อมล้อมวิมลอยู่ พอปริศนาเดินเข้ามาที่ห้อง ทุกคนก็แยกย้ายกันเข้านั่งประจำที่ ปริศนาเดินเข้าไปที่โต๊ะครูหน้าห้อง หลังจากนักเรียนทำความเคารพเรียบร้อยแล้ว เธอก็กวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะหยุดที่โต๊ะของท่านหญิงรัตนาวดีที่ว่างเปล่าอยู่
“นั่นท่านหญิงรัตน์เสด็จไปไหน”
นักเรียนต่างก็มองเมินบ้าง ก้มหน้าบ้าง ไม่มีใครกล้าสบตา ปริศนาเบนสายตามาจับจ้องที่วิมลที่นั่งก้มหน้าอยู่
“วิมล ท่านหญิงรัตน์อยู่ไหน”
วิมลค่อยๆเงยหน้าขึ้นอย่างขลาดๆ “อยู่ อยู่ ในห้องนอนค่ะ วันนี้ท่านไม่ค่อยทรงสบาย”
“อ้อ ยังงั้นหรือ แล้วนี่ขออนุญาตอาจารย์ใหญ่แล้วหรือที่จะไม่เรียนหนังสือวันนี้”
วิมลหลบตา ก่อนจะตอบเสียงเบาอย่างไม่มั่นใจ
“ยัง ยังไงก็ ก็ ไม่ทราบสิคะ”
ปริศนานิ่งคิด และตระหนักรู้ว่าน่าจะมีอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล
“นักเรียนหยิบหนังสือไวยากรณ์อังกฤษออกมา อ่านหน้า 150 อ่านจนจบบท เดี๋ยวฉันจะกลับมาถาม”
สั่งจบ ปริศนาก็รีบเดินออกจากห้องไป วิมลชะเง้อมองตาม แต่ไม่กล้าทำอะไรมากกว่านี้
อ่านต่อตอนที่ 6