ปริศนา ตอนที่ 4
คืนเดียวกันนั้น ปริศนากำลังยืนแปรงผม ผินหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ส่วนอนงค์นั่งอยู่บนเตียงของตน
"ปริศนาขยันแปรงผมเสียจริง"
"มันเคยชิน ตอนอยู่ที่โรงเรียน มาร์แมร์ให้แปรงผม ทุกวัน วันละ 100 ครั้ง"
"ปริศนา ไม่โกรธประวิชแล้วใช่ไหม"
"โกรธประวิช เรื่องอะไร"
ปริศนาจำไม่ได้ซะแล้ว
"ไม่โกรธก็ดีแล้ว วันนี้ คุณประวิช ทำดีแก้ตัวทุกอย่าง"
"ประวิชนี่นับว่าเป็นเพื่อนที่ดีได้คนหนึ่งทีเดียว ยังเห็นใจคนอื่น ไม่เหมือนท่านชาย ใจจืดใจดำเหลือเกิน ไม่รู้ว่าเป็นหมอได้อย่างไร ขับรถทับหมาเราตาย ไม่ดูดำดูดี ไม่ขอโทษสักคำ ขับรถหนีไปเลย"
"อย่างนั้นเชียวหรือ ท่านชาย ดูเป็นสุภาพบุรุษออก ท่านจะทำถึงเพียงนั้นได้ยังไง"
"ไม่รู้ ... แรกๆ ปริศนา ก็เห็นว่าท่านเป็นสุภาพบุรุษ ยังอยากจะยุให้สิรีแต่งงานกับท่าน ไม่อยากให้มองนายเสมอ นั่นเลย"
"ตายแล้ว ปริศนา พูดอะไรอย่างนั้น อย่าให้แม่ได้ยินเชียวนะ เป็นถูกหยิกเนื้อเขียว"
"เรื่องอะไร ทำไมพูดไม่ได้ เรื่องท่านชายน่ะหรือ"
"อย่าไปคิดเกี่ยวข้องกับท่านเลย ท่านโปรดรตีอยู่แล้ว"
ปริศนาทำหน้าย่นอย่างรังเกียจ
"ยี้...ยายนั่นน่ะหรือ อนงค์ยังน่ารักกว่าเลย ปริศนาว่า ท่านโปรดอนงค์มากกว่าอีก"
"เลอะเทอะใหญ่แล้ว"
"แต่อนงค์ไม่สมกับท่านหรอก สิรีจะเหมาะกว่า ประวิชน่ะ น่าจะได้แต่งงานกับอนงค์จะเหมาะกันมาก"
อนงค์อายจนหน้าแดง
"เหลวไหล แล้วตัวเองล่ะ จะแต่งกับใคร"
"พวกครูก็เป็นโอลด์เมดไงอนงค์ ที่โรงเรียนครูผู้หญิงไม่ได้แต่งงานเลยซักคนเดียว"
ปริศนาเดินมานอนที่เตียง
"จะนอนแล้วไม่ปิดไฟหรือ"
"ไม่ ให้อนงค์ปิด"
แล้วปริศนาก็พลิกตัวหันหน้าไปอีกทางหนึ่งเงียบไป อนงค์มองค้อนอย่างหมั่นไส้แกมเอ็นดู ต้องลุกขึ้นมาปิดไฟเอง
ปริศนา และ สิรี เดินออกมาจากบ้านเพื่อจะไปทำงาน อนงค์ตามมาดูว่าใครมารอสิรีที่หน้าบ้านสุทธากุล ตั้งแต่เช้าขนาดนี้
"คุณเสมอ" สิรีบอก
อนงค์และปริศนาหยุดยืนดู
"วันนี้มาแต่เช้าเชียว สิรีกำลังจะไปทำงานพอดีค่ะ"
"ทราบว่าสิรีต้องไปทำงาน ผมจะมารับคุณสิรีไปส่งอย่างไรเล่า"
ปริศนา และอนงค์หันมามองหน้ากัน
สิรีทำเอียงอาย
"ปริศนา ไปส่งสิรี ทุกวันอยู่แล้วค่ะ"
เสมอเหมือนเพิ่งเห็นปริศนา กับอนงค์ที่ยืนอยู่ด้านหลัง
"จากนี้ไป เห็นจะไม่ต้องรบกวนคุณปริศนาแล้ว ผมจะมารับมาส่งสิรี ทุกวันเลยทีเดียว"
ปริศนา และอนงค์มองหน้ากัน แปลกใจยิ่งกว่าเดิม
"ตายจริง จะรบกวนคุณเสมอมากไปแล้วกระมังคะ"
"ผมเต็มใจครับ อยากให้คุณสิรี สะดวกสบาย ปริศนา ก็จะได้ไปทำงานเลย ให้ผมได้พาคุณไปทำงานเถอะนะครับ"
เสมอมาดึงถุงผ้าในมือของสิรีออกไป และเดินไปไว้ที่รถของตน ปริศนาเดินเข้าไปใกล้สิรี
"สิรี จะไปกับคุณเสมอก็ไปเถอะ ปริศนาจะได้ไปโรงเรียนเลย"
สมรชะโงกหน้ามาจากด้านใน ขณะที่สิรีเดินตามเสมอไป และปริศนาแยกไปต่างหาก
อนงค์เดินกลับเข้าบ้านเจอสมร
"นั่นพ่อเสมอ ทำไมมาแต่เช้าทีเดียว" สมรถาม
"มารับสิรีไปทำงานค่ะ"
สมรแปลกใจ แต่ไม่แสดงอาการมากนัก
ท่านชายเดินออกมาที่รถเพื่อจะไปทำงาน โดยมีประวิชซึ่งจะไปทำงานด้วย ทั้งคู่เดินออกมาพร้อมๆกัน นายสนถือถาดใส่โทรเลขมายืนดักอยู่
"อะไรหรือสน"
"โทรเลข กระหม่อม บุรุษไปรษณีย์เพิ่งมาส่งสักครู่นี้เอง เห็นว่ามาจากต่างประเทศ"
ท่านชายส่งกระเป๋าหมอให้สน แล้วหยิบโทรเลขจากถาดมาฉีกดู ประวิชเลยพลอยหยุดยืนรอฟังข่าวไปด้วย
"ครอบครัวแมนสฟีลด์ คงมาถึงสัปดาห์หน้า เตรียมที่พักให้เขาพักที่นี่กัน แล้วก็คงต้องวางแผนการท่องเที่ยว"
"ฝ่าบาทจะเสด็จด้วยหรือไม่กระหม่อม"
"ถ้าจะเที่ยวในกรุงเทพฯ ก็คงจะต้องพาไป หากเขาจะเดินทางไปต่างจังหวัดก็คงจะแนะนำที่พัก ที่เที่ยวให้"
"น่าจะต้องชวนพวกสาวๆไปเป็นเพื่อนด้วย ไปกันเป็นกรุ๊ป ปริศนานี่ภาษาก็ดีเยี่ยม คุยสนุกรับรอง"
ประวิชเริ่มวาดฝัน ท่านชายเหลือบพระเนตรมอง แล้วทำหน้าเฉยต่อให้
"อนงค์ สิรี รตี ก็น่าจะชวนด้วย"
"จะเป็นกระบวนใหญ่เพียงนั้นเลยหรือ ฝ่าบาท"
"ไปด้วยกันหลายคน จะครึกครื้นดี ผู้หญิงทุกคนน่ารัก และเป็นสังคมที่ดี ประวิชช่วยเชิญฝั่งบ้านคุณนายสมรที ฉันจะโทรศัพท์บอกรตีเอง"
"ก็ลองไม่บอกซิ ฝ่าบาท เจ้าหล่อนได้ฉีกกระหม่อมเป็นชิ้นๆแน่"
ท่านชายยิ้มเดินออกไป
วันเดียวกัน ภายในร้านตัดเสื้อนงลักษณ์ สิรีกำลังวาดแบบแพทเทิร์นบนผ้าอยู่ รตีเดินเข้ามา พร้อมห่อผ้าห่อใหญ่อีกเช่นเคย
นงลักษณ์กำลังห่อเสื้อส่งให้ลูกค้า แล้วรับเงินมาใส่ในลิ้นชัก
รตีไม่รอให้ทุกอย่างเสร็จ พูดขึ้นทันที
"นงลักษณ์ มีผ้ามาให้ตัดด่วนอีกแล้วจ้ะ สัปดาห์หน้าทั้งหมดนี่ทันไหม"
"มีอะไรบ้างคะ คุณรตี"
รตีแกะห่อผ้าออกมา มีแบบเสื้อกลัดติดมาด้วยทุกชิ้น
"มีค๊อกเทลเดรส 2 ตัว กางเกงขาสั้น 1 ตัว เสื้อ 3 กับ อีฟนิ่งกาวน์ 2 ชุด"
"ตายจริง ด่วนอีกแล้วนะคะ"
"งานจำเป็นต้องใช้จ้ะ เพิ่งรู้ ก็รีบไปสำเพ็ง ไปซื้อผ้าเลยนะ วาดแบบติดมาให้ทุกชิ้นแล้ว จะได้ทำงานได้เร็วขึ้น"
"จะทยอยตัดได้ไหมคะ"
"จะยังไงก็ได้จ้ะ นงลักษณ์ ขอแต่ว่า วันอังคารหน้าให้เสร็จหมดทุกชุด จะได้มาลองในคราวเดียว วันพฤหัสหน้าก็ต้องใช้แล้ว นงลักษณ์เธอจะหาลูกค้าที่ไหนดี อย่างชั้นไม่ได้อีกแล้วนะ ผ้าก็หามาเสร็จสรรพครบถ้วน มีแบบมาให้พร้อมไม่ต้องคิด ขอเพียงแต่ตัดเย็บให้เสร็จทันเวลาแค่นั้น"
แล้วรตีก็หันมามองจิกสิรี ฝ่ายสิรีทำไม่รู้ไม่ชี้ทำงานต่อไป รตี ก็สะบัดหน้าเชิดคอ ลุกเฉียดสิรีไป
"งานคุณรตี เร่งทุกครั้งเลย"
สิรีกวาดตาดูแบบเสื้อของรตี
"จะไปงานไหนอีกล่ะ ดูชุดสปอร์ต เหมือนจะเดินทาง" สิรีบอก
นงลักษณ์ ก้มลงมองแบบเสื้อ ที่ตนเองก็ยังไม่ได้ดูเห็นชัดเหมือนสิรี
ทุกคนรวมตัวกันอยู่ในห้องโถงบ้านสุทธากุล ตรงหน้าแต่ละคนมีแก้วน้ำและขนมวางอยู่ ทั้งหมดเพิ่งรับประทานอาหารเย็นเสร็จ และมานั่งคุยกัน โดยปริศนาเพิ่งฟังคำชวนไปเที่ยวของประวิชจบลง
"อะไรนะ ชวนให้เราไปเที่ยว กับแขกของท่านชายอย่างนั้นหรือ"
สิรี กลับจากทำงาน เดินถือ ห่อผ้าเข้ามาพอดี
"อะไรกันหรือปริศนา เสียงดัง"
"คุณสิรี กลับมาพอดีทีเดียว ผมมาขออนุญาตคุณนาย ให้พวกคุณได้ไปเที่ยว กับครอบครัวแมนสฟีลด์ ที่เดินทางมาจากอังกฤษ ครอบครัวนี้สนิทสนมกับท่านชายมาก เคยได้ดูแลท่านตอนที่ท่านประทับที่โน่น เห็นว่ามีแคสเซิลด้วย"
"มีปราสาท แล้วมาทำอะไรที่เมืองไทยคะ" สมรถาม
"เรื่องแคสเซิล บอกความหรูหราของเขาเท่านั้นขอรับ เขาเพิ่งแต่งงานพาเมียเดินทางฮันนีมูนรอบโลก น้องเมียก็ตามมาด้วย เพราะจะได้เปิดหูเปิดตา คนต่างชาติมักคิดว่า บ้านเมืองเราล้าหลัง ท่านชายเลยอยากสร้างความประทับใจให้เห็นความคล่องแคล่ว เข้าสังคมของคนไทย ว่ารู้เท่าทันตะวันตกทุกอย่าง"
"ท่านชายชวนคุณรตีด้วยใช่ไหมคะ" สิรีถาม
"ครับ แน่นอนอยู่แล้ว"
ในเวลาต่อมา สามพี่น้องอยู่ในห้องนอนสิรี ปริศนายืน ส่วนอนงค์นั่งดู สิรีแกะห่อผ้าของรตีออกมา
"ยายรตีเตรียมตัวตัดเสื้อผ้าสำหรับงานนี้แน่ๆ"
"ยายรตีนี่ไปไหน ก็จะต้องเด่นที่สุดอยู่แล้ว"
"เพราะคุณประวิชมาขอ แม่ก็เลยจะให้เราไป" อนงค์บอก
"จะไปได้ยังไง ทำงานกันทุกคน อนงค์แน่ะ ว่างที่สุด" สิรีว่า
"ภาษาฉันไม่ดีเท่าปริศนา ไปคุยน่าจะไม่สนุก"
"และ...ยายรตีคงจะข่มอนงค์ให้สนุกสนานไป" ปริศนาบอก
"ไปคนเดียว ฉันไม่ไปหรอก แม่ยังบอกให้ไปด้วยกัน ทั้งหมดนี่"
"ยายรตีไปด้วย ฉันก็ไม่เห็นจะอยากไป แต่ถ้าอนงค์กับสิรีไปด้วยก็น่าไปนะ ไปให้ยายรตีรู้ว่าจะข่มเราไม่ได้"
สิรีหันขวับมาหาปริศนา
"ปริศนา คิดอย่างนั้นจริงๆใช่ไหม พี่ก็ว่าเราควรจะไป ปริศนากับ
อนงค์หาเสื้อของพี่นะ ว่าตัวไหนใช้ได้ แบบสปอร์ตหน่อย เราต้องหากางเกงขาสั้นเพิ่มคนละตัว หรือขาสั้นของปริศนาที่มาจากเมืองนอกพอใช้ได้อยู่ เอามาแบ่งให้อนงค์ยืมบ้างก็ได้"
อนงค์ส่ายหน้า
"ไม่ไหวหรอก ขาสั้น"
"งั้นหาผ้ามา เดี๋ยวพี่จะตัดเป็นชุดกระโปรงให้ แล้วหาชุดกลางคืนให้อีกคนละตัว"
"สิรี จะเอาเรี่ยวแรงไปตัดชุดมาจากไหน เสื้อยายรตี ก็ยังต้องเอากลับมาเย็บต่อที่บ้าน" อนงค์ว่า
"เรี่ยวแรงที่จะยอมแพ้ไม่ได้น่ะสิ อนงค์ แกะห่อออกมาช่วยเนาให้พี่หน่อย เดี๋ยวไปอาบน้ำก่อนร้อนเต็มที"
สิรี เอาผ้าเช็ดตัวและผ้านุ่งจากราวก่อนเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
"ช่างจัดการอย่างสิรี ไม่เหมาะกับท่านชายหรือ อนงค์" ปริศนาถาม
อนงค์ค้อนปริศนา ทำนองกว่าสู่รู้วุ่นวาย
ไฟในห้องโถงเปิดสว่าง รวมทั้งมีการเอาโคมไฟมาเพิ่มเพื่อความสว่างในการตัดเย็บเสื้อผ้า สาวๆ ทั้งหมด แต่งชุดนอน ปริศนานั่งอ่านหนังสืออยู่ อนงค์นั่งกับพื้น เนาเสื้อ สิรีนั่งอยู่ที่จักรเย็บผ้า
สมรเดินไปมาดูแลลูกๆทำงาน บางครั้งก็นั่งลงคุยกับลูกๆ
"แม่ว่ามีโอกาส ลูกควรไปเข้าสังคมบ้าง"
"คนเขาจะไม่เอาเราไปว่าหรอกหรือคะแม่ ว่าเราเข้าไปไล่จับผู้ชาย" ปริศนาว่า
"เรื่องความรัก ความชอบพอ มันเกิดกับใครเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ ลูกแม่เป็นสาว และสวยกันทุกคน เรื่องจะมีความรักไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เราต้องเลือกคนดีที่สุดสำหรับเรา"
"หรืออาจจะเลือกมากเกินไปจนในที่สุดแล้ว ต้องอยู่เป็นโสดไปจนตายก็ได้นะคะแม่" สิรีบอก
"ปริศนาไม่เดือดร้อนนะ ถ้าไม่รัก ไม่พอใจ ไม่รู้จะทนอยู่กับใครไปทำไม อยู่คนเดียวดีกว่า"
"ถ้าเราพึ่งตัวเองได้ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องหาคนเลี้ยงเรา ยายก็เลี้ยงแม่มาคนเดียว แม่เอง ก็เลี้ยงลูกมาคนเดียวเหมือนกัน เพราะฉะนั้นแม่จะสนับสนุนลูกแม่ให้อยู่กับคนที่เรารัก และเป็นคนที่รักเรา ความรักที่แท้จริง มันจะผูกชีวิต ผูกวิญญาณของเราไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะยังมีชีวิตอยู่หรือจากกันไปแล้ว หากพบคนอย่างนั้น ลูกรู้ไว้เถิด แม่จะสนับสนุนเต็มที่"
ปริศนาตื้นตัน
"ใช่ค่ะ ถ้าปริศนาได้เจอคนที่ปริศนารักจริงๆ ปริศนาก็อาจจะทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไปเพื่อเขาได้"
"ปริศนามีอะไรให้ทิ้งนักหนาเหรอ" สิรีถาม
"ไม่รู้หรอก แต่ยกตัวอย่างให้ฟัง"
"อ่านนิยายมาเกินไปล่ะสิ"
"ก็อ่านเยอะ คุณอาให้ปริศนาซื้อหนังสือได้ทุกอย่างที่อยากจะซื้อ เลือกได้ตามใจเลย ตั้งแต่ปริศนาอายุ 16"
"แล้วปริศนาต้องเชื่อตามหนังสือทุกอย่างเชียวหรือ" อนงค์ถาม
"เชื่อหมดไม่ได้หรอก มันหลายทางเลือก แต่การอ่านหนังสือ ทำให้รู้ว่าถ้าเลือกอย่างนี้ ก็จะมีผลเป็นยังไง เพราะฉะนั้นเราต้องคิดให้ดี ก่อนที่จะเลือก"
สาวสวยผู้มีชาติกำเนิดคลุมเคลือบอกพี่สาว
อ่านต่อหน้า 2
ปริศนา ตอนที่ 4 (ต่อ)
เช้าวันรุ่งขึ้น สิรีเดินลงมาจากบ้าน พร้อมกับถือห่อผ้าจากร้านเมื่อคืนลงมาด้วย เสมอรีบเข้ามาช่วยถือ
"ของนี่จะเอาไปที่ทำงาน ด้วยใช่ไหมคุณสิรี"
"ค่ะ"
"ไม่ทราบมาก่อนว่างานตัดเย็บเสื้อผ้านี่ มีงานเอากลับมาทำที่บ้านด้วย"
"พอดีงานเร่งค่ะ ก็เลยต้องเอามาทำต่อ"
เสมอรีบเปิดประตูรถให้สิรี
"งานหนัก จริงนะครับ นี่ถ้าไม่ใช่ร้านคุณนงลักษณ์เพื่อนคุณสิรีแล้ว ผมคงจะยุให้คุณลาออกเสีย"
สิรีขึ้นนั่งบนรถ แล้วถอนใจ
ปริศนาเดินออกมาขึ้นรถไปตามลำพัง เธอมองตามสิรี ไปไม่วางตา หนักใจนิดๆ เพราะคิดว่าเสมอไม่สมกับสิรี
รถของรตีจอดอยู่หน้าร้านนงลักษณ์อยู่แล้ว รถของเสมอเข้ามาจอดต่อท้าย ก่อนที่สิรีจะลงจากรถ รตีก็ออกจากร้านผ่านไปขึ้นรถและขับรถออกไปอย่างเร็ว
เสมอออกมาเปิดประตูรถให้สิรี สิรีลงจากรถมามองตาม เสมอหยิบห่อผ้าจากที่นั่งด้านหลังมาส่งให้สิรีถือ
"นั่นรตีนี่ มาทำไมแต่เช้า"
"มาตามชุด ที่สั่งตัดไว้กระมัง" เสมอบอก
สิรียิ้มเยาะๆ แล้วรู้สึกตัว แกล้งยิ้มซื่อ
"ขอบคุณ คุณเสมอมากนะคะ"
"ผมจะมารับกลับนะครับ ห้าโมงเย็นตรง"
สิรีช้อนตามองเสมออย่างขอบคุณ แล้วผละเดินเข้าร้านไป เสมอขับรถออกไป
สิรีเดินถือห่อผ้าของรตีเข้ามาในร้าน
"ยายรตีเขามาตามเสื้อหรือ นงลักษณ์"
"เสร็จไหม"
"เสร็จ นึกว่าเขาจะมาลอง คืนนี้น่าจะ อีก 3 ตัว แล้วมีเวลาทำ อิฟนิ่งกาวน์อีก 2 วัน ทันพอดี"
นงลักษณ์รับเสื้อรตีไปคลี่ดู แล้วก็ทำท่าอึกอักไม่กล้าพูด
"จะรีดแขวนเลยไหม นงลักษณ์"
"รอเด็กมาทำก็ได้ สิรีมาทางนี้ก่อนเถอะ"
"อะไร"
"รตี เอาผ้ามาเพิ่มอีก 6 ตัว อีฟนิ่งกาวน์อีก 2 เสื้ออีก 3 ชุดนอนอีก 1"
"หา....อะไรนะ"
"เขาเพิ่งเอาผ้ามาให้เพิ่มเมื่อก่อนเธอมา"
"แล้วจะเอาเมื่อไหร่"
"เห็นว่าจะเดินทาง จะรับพร้อมกับชุดแรก"
สิรีเสียงสูงปรี๊ด
"หา ....อะไรนะ นงลักษณ์ แล้วนี่เธอไปรับปากกับเขาแล้วหรือ ทำไมไม่ปฏิเสธไป แค่ 7 ตัวแรกนี่ก็ไม่ต้องทำงานของคนอื่นแล้ว นี่เอามาอีก 6 ตัว รวมเป็น 13 ตัว จะเอามือที่ไหนมาสนเข็ม เอาเท้าที่ไหนมาถีบจักรได้ทัน"
นงลักษณ์หน้าเสีย
"แต่คุณรตีเค้าก็เป็นลูกค้าประจำของเรา แล้วยังคุ้นเคยกันอีกด้วย"
"แต่... ยายรตีนี่เค้าก็ไปเรียนตัดเย็บเสื้อผ้ามาเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าจะตัดไม่เป็นเลย งานมาก เราทำไม่ทัน ถ้าเขาอยากใส่เสื้อสวยๆ ก็ไปตัดเอาเองสิ ทำไมเธอไม่ปฏิเสธเขาไป"
"โธ่ สิรี จะให้เราปฏิเสธเขายังไง เราช่วยกันทำนะ ขอให้อนงค์ช่วยด้วย เดี๋ยวจะหา ญาติมาช่วยอีก 2 คน"
สิรีแทบอยากจะกรีดร้อง
"โอ้ย.... นี่ถ้าไม่ใช่ร้านของเธอนะ นงลักษณ์ ชั้นเป็นลาออก ไม่ทำแล้ว ไม่รู้ว่าจะยอมให้เขาโขกสับไปทำไม"
"เราเพิ่มเงินพิเศษให้อีกก็ได้นะ"
"รู้แล้วจ้ะ ว่าแม่คนนั้นน่ะเงินหนา ก็เพราะยังงี้ใช่ไหม ที่เค้าเที่ยวเอาเงินฟาดหัว ใครต่อใครเสมอ"
"สิรี"
สิรีสะบัดแขนจากนงลักษณ์ เปิดประตูออกไปนอกร้าน นงลักษณ์รีบตามออกไป
"สิรี.... เสียใจจริงๆ ที่ทำให้เธอไม่สบายใจ ขอโทษนะ เพียงแค่ชั้นตั้งใจที่จะทำงานให้ดีที่สุดเท่านั้น"
สิรีสะบัดหน้าไป นงลักษณ์คอตกเดินเข้าร้านไป
สิรีกลั้นน้ำตา และไม่สามารถที่จะกรีดร้องออกมาได้อย่างที่รู้สึก
ภายในห้องโถงบ้านสุทธากุล เวลากลางคืน สิรีเย็บจักรไป น้ำตาไหลไป ปริศนา ช่วยกันสอยเสื้อผ้า แต่ที่ปริศนาทำอยู่ เป็นเสื้อของพวกตนเอง ไม่ใช่ของรตี
สมรเดินนำจำเนียร พร้อมถ้วยกาแฟ ใส่น้ำขิงมา
"น้ำขิงอุ่นๆ ดื่มกันหน่อยเถอะลูก"
จำเนียรเอาน้ำขิงไปเสิร์ฟสาวๆ สมรยืนดูสิรี
"สิรี ถ้าทำไม่ไหว ก็หยุดเถอะลูก... ดึกดื่นป่านนี้ แล้วยังไม่หลับไม่นอน"
"หยุดไม่ได้ค่ะ แม่ นงลักษณ์รับปากเค้าไปแล้วก็ต้องทำ"
"ทำไมต้องเร่งกันมากมายขนาดนี้"
ปริศนาบอก
"ทั้งหมดนี่ ของยายรตีค่ะแม่ นี่ถ้าเป็นร้านของสิรีเอง สิรีไม่ยักต้องทำเลย เสียที่เป็นร้านของพี่นงลักษณ์ เขารับปากลูกค้าไปแล้ว ก็ต้อง keep her words มันพูดว่าอะไรนะ"
"รักษาคำพูด" สมรว่า
"คนทำการค้า สมัยนี้ เค้าต้องทำอย่างนี้กันค่ะแม่"
"อนงค์ล่ะ ไม่มาช่วยเย็บหรือ"
อนงค์ เดินออกมาจากด้านใน เปลี่ยนชุดเป็นกระโปรงตัว
"เป็นอย่างไรบ้าง ชุดกระโปรงตัวใหม่ของฉัน"
อนงค์ถามแล้วเดินเข้าไปใกล้สิรี
"สวยจ้ะ อนงค์ ใส่แล้วดูพอดีกับตัวเลย"
สมรแปลกใจ "ชุดของใคร"
"ของอนงค์ไงค่ะ แม่ ถ้ายายรตีจะตัดชุดใหม่ บ้านเราก็ต้องตัดชุดใหม่ด้วย ยอมแพ้ไม่ได้เป็นอันขาด" ปริศนาบอก
"ประเดี๋ยวลูกจะขอผ้า ที่แม่ซื้อไว้ มาตัดเสื้อเชิ้ตด้วยค่ะ ลูกว่าเราไม่ควรจะยอมแพ้เขาเหมือนกัน"
สมรจับหน้าอกด้วยความตกใจ "ไม่ยอมแพ้ คุณรตีน่ะรึ"
ลูกสาวทั้ง 3 โพล่งประสานเสียงพร้อมกันว่า
"ไม่ยอมแพ้ ยายรตี ค่ะแม่"
สวนสวยบ้านราชพรรลภเป็นสวนร่มครึ้ม มีไม้ดอกไม้ใบปลูกประดับอย่างงดงาม จัดเป็นสถานที่โรแมนติก เหมาะสำหรับการขอความรัก แต่เวลานี้รตีกลับนั่งหน้าเชิด ดูอึดอัดไม่มีความสุขเอาเลย
สันต์เองก็ประหม่าเคอะเขิน และงุ่มง่ามขัดกับบรรยากาศรอบตัว บนโต๊ะเหล็กดัดที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าของทั้งสองมีชุดน้ำชาและขนมที่ดูหรูหราสวยหวานวางอยู่เล็กน้อย
สันต์ยกถ้วยชาขึ้นซด หมายจะดับความประหม่า แต่ก็ทำออกมาดูเสียมารยาทเพราะเขาไม่ได้จิบแบบผู้ดีอังกฤษ อย่างที่ควรจะทำ รตีเห็นก็แตะกาน้ำชาแล้วถามตามมารยาท
“น้ำชาอีกถ้วยไหมคะ คุณสันต์”
สันต์มองรตีแล้วกลืนน้ำลาย เขากระแอมออกมาเพื่อกลบความประหม่าของตน
“ไม่ครับ ขอบคุณ คุณรตีครับ ผมมีเรื่องสำคัญ จะพูดกับคุณ”
รตีนึกระแวง และพยายามทำให้เป็นเรื่องปกติ
“งั้นหรือคะ ชั้นกลับคิดว่าคุณมาเยี่ยมตามประสาคนรู้จักกัน ชวนคุยซะยืดยาว”
“ไม่เป็นไรมิได้ ผมมานี่ ตั้งใจจะ อ้า…ง่า”
รตีขยับจะลุกขึ้นพร้อมกับพูด
“เดี๋ยวเรียกคนใช้ให้เอาชนมมาเสิร์ฟเพิ่มนะคะ”
สันต์ลุกพรวดขึ้นแล้วคุกเข่าลงหน้ารตี “รตี แต่งงานกับผมนะครับ”
รตีรู้สึกเหมือนหายใจขัด เธอไม่นึกว่าสันต์จะบุ่มบ่ามขนาดนี้ แต่ก็ยังนิ่งอยู่
สันต์ลุกขึ้นยืนแล้วคว้ามือรตีมา
“ผมรักคุณมานาน รักตั้งแต่อยู่ที่ฟิลลิปปินส์ด้วยกันแล้ว เมื่อเราเดินทางกลับมาด้วยกัน ผม ผมก็คิดจะบอกคุณเสมอ แต่ไม่มีโอกาส แต่งงานกับผมนะครับคุณรตี”
รตีดึงมือกลับแล้วถอยกรูด นาทีนี้รตีจะให้ใครอื่นมาขวางเธอกับท่านชายพจน์แห่งวังศิลาขาวได้อย่างไร สันต์ก็เพียงแค่ของว่างแก้ขัด ที่เธอจำเป็นต้องตัดให้ขาด
“อะไรกันคะ คุณสันต์ ฉันไม่เคยคิด เรื่องแต่งงานแต่งการ ก็อายุฉันเพียงเท่านี้ จะเร่งรีบแต่งงาน ไปทำไมกันคะ”
“คุณรตีเกิดปีเดียวกับผมแท้ๆ อายุ 24 กว่าแล้ว แต่เอาเถอะ หากผมรอ อีกปี สองปี คุณจะแต่งงานกับผมใช่ไหมครับ สัญญานะครับ”
รตีแทบร้องกรี๊ดออกมา เธอทำหน้ายิ้มรับต่อไปไม่ไหวแล้ว
“คุณสันต์คะ เวลาเป็นปีๆ นานมาก อย่าต้องมาเสียเวลารอเลยค่ะ ขอโทษนะคะ คุณสันต์ ดิฉันมีธุระยุ่งเย็นวันนี้ วันนี้คุณกลับไปเสียก่อนเถอะค่ะ ลาก่อน”
รตีพูดจบก็เดินหนีออกไปทันที สันต์ได้แต่มองตามด้วยใบหน้าซีดเผือด
รตีเดินกระแทกเท้าเข้ามาในห้องนอน เธอหยิบหนังสือที่อ่านค้างวางคว่ำไว้บนเก้าอี้นอนเล่นตัวยาวขึ้นมา แต่แล้วก็รู้สึกว่าทนอ่านไม่ได้จึงขว้างหนังสือลงไปกับพื้น หนังสือเล่มนั้นเฉียดเท้า คุณหญิงชื่นที่เดินเข้ามาหาพอดี คุณหญิงเก็บหนังสือขึ้น ขณะที่รตีตั้งท่าตะบึงตะบอน
“คุยอะไรกับนายสันต์หรือลูก” คุณหญิงมารดาถาม
“ไม่ได้คุยอะไรเลยค่ะ คุณแม่ เบื่อ…เบื่อมาก”
“อ้าว ก็เขาเป็นเพื่อนเรามาตั้งแต่ฟิลลิปปินส์ไม่ใช่เหรอ”
“ก็เป็นสิคะ แต่ทะลึ่งมาขอแต่งงาน เสียอารมณ์จริงๆ อาทิตย์หน้า รตีต้อง ไปช่วยท่านชายต้อนรับแขกเมือง เพื่อนท่านชายคนนี้ เป็นเจ้าของ Castle ในอังกฤษเชียวนะคะ เที่ยวนี้เค้าพา
น้องเมียมาเที่ยวด้วย แต่รตี ไม่มองใครหรอกค่ะแม่ ท่านชายพจน์น่ะ เป็นสุภาพบุรุษทุกกระเบียดนิ้ว จะให้รตีมีตาไปมองใครอื่นได้คะ”
คุณหญิงราชพรรลภมองธิดาอย่างชื่นชม “ใช่แล้วรตีลูกแม่ ไม่มีใคร สมกับท่านชายพจน์มากกว่าลูก”
“ค่ะ รตีก็ว่าอย่างนั้น แต่ท่านชายพจน์ คงจะไม่โปรดการคลุมถุงชน แม่คะ ผู้ชายหลายคน มาขอแต่งงานกับรตี แต่รตีจะไม่ตกลงกับใครเลย รตีจะตอบรับเฉพาะเมื่อ ท่านชายทรงคุกเข่า พร้อมกุหลาบดอกสวยในพระหัตถ์ และขอรตีแต่งงาน”
คุณหญิงชื่นมองรตีอย่างชื่นชมสุดชีวิต “เสน่ห์ของลูก จะทำให้ท่านชายขอลูกแต่งงานในที่สุด แม่เชื่อเช่นนั้น และแม่คิดว่าตาสันต์คนนี้ ไม่ควรจะมาที่บ้านเราอีก จะมาทึกทักให้ลูกแม่เสียหาย”
“ค่ะ ต่อไปนี้ รตีจะไม่อยู่บ้าน ถ้านายคนนี้มาหา และเมื่อเจอกันในสังคมข้างนอก รตีก็จะไม่ให้ใครมาพูดได้เลยว่า มีความสนิทสนมกับนายสันต์”
“ดีมาก ลูกแม่” คุณหญิงกล่าวชม
ผินคลานเข้ามาจากหน้าประตู
“คุณรตีคะ ท่านชายพจน์ เสด็จ”
“ตายจริง พูดถึง คิดถึง ก็เด็จมาพอดี”
คุณหญิงชื่นเช็คความเรียบร้อยของรตี “รตี ไปเติมหน้าเสียหน่อย ผิน เชิญเสด็จท่านชายไปที่ห้องรอง แล้วน้ำท่าจัดมาถวายอย่าให้บกพร่อง แม่จะลงไปรับเสด็จท่านชายก่อนนะ”
คุณหญิงเดินนำผินออกไป รตีเดินเข้าไปด้านใน มาส่องกระจกดูความเรียบร้อยของตัวเอง เธอปัดผมให้อยู่ทรง ผัดแป้ง เติมลิปสติก แล้วฉีดน้ำหอม ขยับเสื้อผ้า พร้อมทั้งหัดยิ้ม ทำหน้าตาซื่อใสหน้ากระจก เพราะประเดี๋ยวรตีจะต้องทำหน้าแบบนี้ใส่ท่านชาย
ท่านชายพจน์เดินเข้ามาจากทางด้านล่าง มาหยุดยืนก่อน จากนั้นรตีก็ค่อยๆ กรีดกรายมาจากด้านในแล้วทำท่าใสซื่อยิ้มให้อย่างที่ซ้อมเมื่อสักครู่นี้
“ท่านชายเด็จมาถึงนี่ เชิญประทับก่อนเพคะ” รตีว่า
“ฉันแวะมา ว่าจะชวนรตี ไปนั่งรถเที่ยว” ท่านชายพจน์บอก
“จะไปเที่ยวถึงไหนเพคะ รตีจะได้แต่งตัวให้ถูก”
ท่านชายมองดูรตีอย่างสำรวจ “อย่างนี้ก็คงจะได้กระมัง ไปนอกเมือง ไปกลับเพียงชั่วโมงเดียวเท่านั้น”
“เพคะ”
รตียิ้มท่าเดิมให้อีกครั้ง ท่านชายพจน์พยักหน้า แล้วเดินนำเธอออกไป
“ดีใจจริง ที่ทรงระลึกถึงหม่อมฉันอยู่ตลอดเวลา” รตีบอก
“กลับมาจากเมืองนอกแล้วยังไม่ได้ทำงานอะไร เกรงว่า จะเหงา เลยอยากให้เปิดหูเปิดตาบ้าง” ท่านชายพจน์บอก
หม่อมเจ้าพจน์ ปรีชา เดินนำมาที่รถ รตีพยายามจะเกาะแขนอีกฝ่ายอย่างสนิทสนม
“นั่งรถเที่ยว ฆ่าเวลา นี่ก็น่าสนุกนะเพคะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับคนที่เราคุ้นเคยและคุยกัน ถูกคอ” รตีบอก
ท่านชายพยักหน้า แล้วเปิดประตูหลังเพื่อให้รตีขึ้นรถ รตีแปลกใจเพราะคิดว่าตนเองจะได้นั่งคู่กับท่านชายที่ตอนหน้าของรถ แต่กลายเป็นว่าเจ้านโปเลียนโผล่หน้าออกมาจากที่นั่งตอนหลัง รตีร้องอี๋ แล้วถอยหลังออกมา ท่านชายพจน์มองแล้วก็คิดว่ารตีไม่ชอบนโปเลียน
“หญิงคะ เอาเจ้านโปเลียนถอยไปหน่อย คุณรตีนั่งไม่ได้ค่ะ” ท่านชายพจน์สั่งท่านหญิงรัตนาวดีที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างอีกด้านหนึ่ง ถัดมาเป็น วิมล และนโปเลียน
“วิมล จับมันไว้หน่อย” รัตนาวดีออกคำสั่ง “นโปเลียน นั่ง คอย”
นโปเลียนนั่งลงอย่างว่าง่าย
“พอทราบว่าจะมานั่งรถเล่น น้องหญิงก็ขอตามมาด้วย เห็นว่ามากันหลายคนสนุกดี” พจน์บอก
รตียิ้มเอาใจท่านชายแล้วก็หันกลับไปค้อนขวับกับลมแล้งทางอื่นก่อนที่จะนั่งลงอย่างไม่ค่อยพอใจนัก และทำท่าไม่ชอบนโปเลียน ท่านชายพจน์เปิดประตูด้านหน้าไปนั่งข้างคนขับ
“เดี๋ยวก็ได้เที่ยวแล้ว พี่ชาย จะให้นโปเลียนได้ลงวิ่งไหมเพคะ” รัตนาวดีถาม
“ต้องดูสถานที่ที่เราไปก่อนค่ะ ถ้าเหมาะสม ก็จะให้ลง” พจน์ตอบ
“เพคะ”
ท่านชายก้าวขึ้นรถด้านหน้าคู่คนขับ แล้วรถก็แล่นออกไป รตีนั่งคอแข็ง
คุณหญิงชื่นออกมายืนดูด้วยอาการสนใจ
อ่านต่อหน้า 3
ปริศนา ตอนที่ 4 (ต่อ)
รถของท่านชายพจน์วิ่งไปจนออกนอกเมือง ถึงท้องทุ่งริมทางอันสวยสดงดงาม ท่านชายส่งสัญญาณให้คนขับจอดรถ แล้วรถก็จอดอยู่ริมทุ่งหญ้านอกเมืองแห่งนั้น
ท่านชายพจน์มาเปิดรถให้รตี นโปเลียนเดินตามลงมา คนขับไปเปิดรถให้ท่านหญิงรัตน์ และวิมล นโปเลียนยืนรออยู่ข้างท่านชาย
“ได้วิ่งเล่นกันแล้ว นโปเลียน มานี่มา” รัตนาวดีเรียก
นโปเลียนเข้าไปหานายสาววัยดรุณ
เวลาผ่านไปอีกสักระยะ นโปเลียนวิ่งตามมาคาบลูกบอลที่ท่านหญิงรัตนาวดีและวิมลโยนมา แล้วนโปเลียนก็คาบลูกบอลกลับไปให้รัตนาวดีและวิมล ทั้งสองดีใจ
“เก่งมาก นโปเลียน”
“ท่านหญิงเพคะ เด็จไปทางโน้นกันเถอะ” วิมลบอก
“เอานโปเลียนไปด้วยนะ” รัตนาวดีว่า
วิมลพยักหน้า ขณะรัตนาวดีจะเดินออกไปพร้อมนโปเลียนและวิมล ท่านชายพจน์ถือสายจูงสุนัขเดินมาเรียก
“น้องหญิงจะพา นโปเลียนไปไหนคะ”
“ว่าจะพาเดินไปทางโน้นเพคะ” รัตนาวดีตอบ
ท่านชายพจน์ยื่นสายจูงให้น้องสาว
“เดินไปอาจไปเจอชาวบ้าน เขาอาจตกใจ ที่เห็นนโปเลียน”
วิมลบอกทันที “แต่นโปเลียนไม่ทำอะไรใครเพคะ”
“นโปเลียนไม่ทำ แต่ถ้าคนตกใจ ไม่ดี”
ท่านชายใส่สายจูงให้นโปเลียนแล้วส่งสายให้ท่านหญิงรัตน์
“มันจะได้เดินอยู่ใกล้ๆน้องหญิงตลอดทาง”
“เพคะ”
ท่านชายพจน์ยืนดูจนรัตนาวดีกับวิมลเดินห่างออกไป รตีมองตามด้วยหน้าตาไม่เป็นสุข และไม่กล้าเดินลงมาบนพื้นเพราะกลัวรองเท้าเปื้อน
รตีจึงร้องเรียกขึ้นมา “ท่านชายเพคะ ท่านชาย”
ท่านขายเดินไปหา “มีอะไรหรือรตี”
หน้าตาของรตีไม่ได้มีความสุขเอาเลย “ถ้าอากาศเย็นกว่านี้ น่าจะดีนะเพคะ”
“ร้อนหรือ ไปเดินทางโน้นไหม มีร่มไม้ ไปถึงตรงนั้น แล้วนั่งพักดื่มน้ำกัน”
รตีพยายามทำตัวให้เข้ากันได้กับทุกกิจกรรมของท่านชาย
“เพคะ เคยเสด็จมาตรงนี้ไหมเพคะ” รตีถาม
“เคยผ่านมาบ้าง เห็นมีทุ่งมีสนาม เลยลองมาดู น้องหญิงน่าจะได้เห็นว่าชาวบ้าน คนอื่นเขาอยู่กันอย่างไรบ้าง”
รตีแอบทำหน้าย่น เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องไม่น่าสนใจสักนิด แต่แล้วพอหันมาก็ทำเสียงให้เห็นว่าเธอปลื้มท่านชายจริงๆ
“ก็ดีนะเพคะ ทรงมีวิธีอบรม ท่านหญิง ได้ดีเยี่ยมจริงๆ”
“การเรียนรู้ โดยการให้ใครมาบอก คงไม่เข้าใจได้เท่ากับ ได้พบเห็นด้วยตาตนเอง”
“แล้วไม่ส่งไปเรียนเมืองนอกเมืองนาบ้างรึเพคะ”
ท่านชายพจน์รู้สึกสบายใจขึ้นที่รตีสนใจการดูแลน้องสาวของตน
“น้องหญิงอ้อนวอนเสมอ ว่าอยากไป แต่รตีก็คงเข้าใจ ว่าการไปเรียนต่างประเทศ ถึงจะมีคนรู้จักอยู่ด้วยก็ไม่เหมือนอยู่บ้านเมืองเราเอง ไม่ใช่เพียงแค่ระบบการเรียน แต่การดำรงชีวิตก็ไม่เหมือนกัน”
“ท่านหญิงเก่งออกเพคะ”
รตีพูดพร้อมกับมองไปข้างหน้า
รตีเห็นรัตนาวดีสั่งนโปเลียนให้เดินตามและสั่งวิมลให้เก็บดอกไม้ข้างทาง
“ฉันอยากให้มั่นใจว่าหญิงรัตน์เมื่อไปเมืองนอกจะสามารถเก็บเกี่ยวความรู้ที่บ้านเมืองเรายังไม่มี กลับมาช่วยพัฒนาบ้านเมืองเราได้ในที่สุด ไม่อยากจะให้กลับกลายเป็นว่า ผลักไสน้อง
ออกไปต่างประเทศ แล้วให้ถูกชาติอื่นครอบงำ หรือกลายเป็นฝรั่งไปเสียเอง” ท่านชายพจน์บอก
คนขับเลื่อนรถมาใกล้ต้นไม้
ท่านชายพจน์ให้เปิดท้ายรถ แล้วรินน้ำดื่มจากตะกร้าที่คุณสร้อยเตรียมมาให้รตี
ท่านหญิงรัตนาวดีเดินมาโดยมีนโปเลียนเดินเคียงข้าง ท่านหญิงเดินนำวิมลมาตามทางที่อุดมไปด้วยต้นไม้สวยงาม ร่มรื่น และเป็นภาพชีวิตชาวบ้านที่อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ ข้างทางยังมียกยอ วางอวน ในบึงบัว ต้นมะม่วงยืนต้นตระหง่าน และสวนมะลิ
รัตนาวดีเดินมาถึงจุดหนึ่งก็หันไปเพื่อจะออกคำสั่งแก่วิมลที่เดินตามมา ส่วนตาก็มองไปเห็นพี่ชายที่หยุดยืนแล้วรถก็เลื่อนมาตรงจุดที่ตรงกับเส้นทางเดินของรัตนาวดีพอดี
รัตนาวดีเห็นท่านชายพจน์ส่งแก้วน้ำให้รตี โดยรตีรับแก้วน้ำมาพร้อมกุมมือท่านชายเอาไว้ รัตนาวดีหยุดกึก แล้วหน้าก็เปลี่ยนสีไปทันที
“กลับ” รัตนาวดีสั่ง
วิมลซึ่งไม่เห็นภาพดังกลายให้รู้สึกงง “เพคะ”
“ชั้นบอกว่ากลับยังไงล่ะ”
ระหว่างที่พูด ตาของรัตนาวดีก็ยังจ้องเขม็งไปที่พี่ชายกับรตี วิมลเห็นจึงเหลียวมองตามสายตานั้น และได้เห็นท่านชายพจน์กับรตีหัวร่อต่อกระซิกกัน ดูเป็นคู่รักแสนหวาน วิมลเข้าใจในทันที รัตนาวดีตัดสินใจปล่อยเชือกจูงนโปเลียนทันที
รัตนาวดีสั่งนโปเลียน “ไปหาพี่ชาย”
รัตนาวดีออกคำสั่งพร้อมกับชี้ไปยังจุดที่พจน์ยืนอยู่ นโปเลียนวิ่งออกไป รัตนาวดีกับวิมล ทำหน้าสะใจก่อนจะออกเดินตามหลังนโปเลียนไป
ทางฝ่ายรตีพูดกับท่านชายพจน์ขึ้นว่า
“ท่านชายวางไว้ว่า อีก 2 ปีถึงจะส่งท่านหญิงไปเรียนนอก ระหว่างนี้รตีจะอาสา มาอบรมชีวิตเมืองนอกให้ท่านหญิงเพคะ”
ในระหว่างที่คุยกันด้วยท่าทีสนิทสนม เธอก็ใช้หูตาหยอดใส่หม่อมเจ้าพจน์ ปรีชา พร้อมกับพาตัวใกล้ชิดท่านชายให้มากขึ้น
ทันใดนั้นนโปเลียนก็วิ่งเข้ามาแทรกตรงกลางระหว่างสองคน โดยนั่งเบียดจนทำให้รตีต้องห่างออกมาอย่างแสนรู้
“นโปเลียน” ท่านชายพจน์ปรามอย่างรู้ทัน
“อุ๊ย...หมาบ้า” รตีหลุดปาก
ท่านชายพจน์เงยหน้ามองไปทางท่านหญิงน้องสาว
“น่ากลัวน้องหญิงจะเหนื่อยแล้ว ปล่อยนโปเลียนให้วิ่งกลับมาอย่างนี้”
ท่านชายพจน์ยกมือให้นโปเลียนนั่งคอยแล้วหันกลับไปรินน้ำใส่แก้วแล้วหันกลับมาส่งให้ รัตนาวดี และวิมลที่เดินกลับเข้ามาถึงบริเวณนั้นพอดี
“ดื่มน้ำกัน แล้ว ให้น้ำ นโปเลียนหน่อย เหงื่อแห้งแล้ว ขึ้นรถกลับกัน”
รตีแอบค้อนแล้วมองวิมลกับรัตนาวดีอย่างไม่พอใจมาก
ขณะที่คุณหญิงชื่นนั่งปั้นขนมอยู่ มีปั้นน้ำชาอยู่ข้างๆ รตีเดินกระแทกเท้ามาจากภายนอกด้วยสีหน้าบูดบึ้งอย่างคนอารมณ์เสีย โดยไม่หยุดทักทายมารดาเลย คุณหญิงเงยหน้าจะทักแต่เห็นรตีเดินผ่านเลยไปแล้ว จึงรู้สึกผิดปกติมาก เพราะเห็นว่ารตีไปกับท่านชายแต่ทำไมอารมณ์เสียขนาดนี้ จึงวางมือแล้วพูดกับผินที่อยู่แถวนั้น
“ผิน เก็บขนมไปก่อนไป แล้วไปบอกเขาจัดโต๊ะอาหารเย็นเลยนะ”
ผินเข้ามาเก็บของ คุณหญิงเดินตามรตีออกไป
รตีมานั่งหน้างออยู่ที่เก้าอี้ ขณะคุณหญิงชื่นเดินเข้ามาถาม
“รตี เป็นยังไงบ้างลูก ไปนั่งรถเที่ยวกับท่านชาย”
“นั่งคู่ไปกับหมาเนี่ยนะคะ” รตีประชด สีหน้าหงุดหงิด
คุณหญิงชื่นตกใจ
“อะไรนะลูก ทำไมพูดยังงั้น”
“ท่านเอาคนขับรถมาด้วย ท่านหญิงรัตน์ ก็ตามมาด้วย เอานั่งวิมล กับหมามาด้วย แล้วให้ลูกนั่งกับหมาด้วย”
รตีกำมือกระทืบเท้าด้วยความหงุดหงิดและโกรธแค้น
“โอย เมื่อไหร่ท่านชายจะส่งหญิงรัตน์ ไปไกลๆซักทีนะ”
คุณหญิงมองธิดาคนสวยด้วยความเห็นใจ
“ต้องอดทนไว้รตี เรื่องท่านหญิงรัตน์ น้องของท่านมีคนเดียว ท่านรักของท่าน รตี ก็ต้องรักด้วย”
“รตี ก็รักท่านหญิงรัตน์ค่ะแม่ แต่ ไม่ไหวแล้วจริงๆ ไปไหน ต้องเอานังวิมลนั่นไปด้วย แล้วยังหมาอีก เด็กผู้หญิงอะไร ทั้งซนทั้งวายร้าย เหมือนเด็กผู้ชาย”
“ท่านพี่คงตามพระทัยจนเคยตัว แม่ว่า นังวิมลนั่นแหละ ตัวดียุยงส่งเสริมท่านหญิงดีนัก”
“โอย รตีอยากไปเที่ยวแต่กับท่านชาย แต่ทำไมต้องพาน้อง พาเพื่อนน้อง พาหมามาด้วย แล้วอาทิตย์หน้าที่จะต้องไปต้อนรับเพื่อนต่างชาติ ก็จะต้องยกโขยง บ้านนังสิรี นังปริศนามาด้วย
โอ๊ย โอ๊ย รตีจะอกแตกตายอยู่แล้ว”
“เบาๆสิ ลูก” คุณหญิงชื่นปราม “อย่าเอ็ดอึงไป ท่านชายยังไม่ได้ประกาศเป็นคู่หมั้นคู่หมายกันกับเรา ก็ต้องถือว่าไปตามสังคม เราจะได้ไม่เสียหาย รตีต้องไปทุกกลุ่มทุกสังคมที่ท่านชายไป และแสดงให้ท่านเห็นว่า รตีอยู่ได้”
“แต่รตีเบื่อ เบื่อมากค่ะแม่ แทบจะทนไม่ไหวทีเดียว”
“อย่างไรเสีย ท่านชายจะต้องมีสังคม ท่านไม่ใช่ผู้ชายชนิดที่จะรักหัวปักหัวปำ และทิ้งทุกอย่างเพื่อคนรัก จึงทำให้ท่านมีหลักฐานมั่นคง ซึ่งจะเป็นหลักที่ดีให้คู่ชีวิตได้ รตีต้องใจเย็นๆนะ
ลูก อดทนไว้ จนถึงวันที่ท่านขอลูกแต่งงานนั่นแหละ”
รตีเริ่มได้คิด
“ถ้าอย่างนั้น รตีจะไม่มีวันยอม ให้ใครแม้แต่จะคิด แย่งท่านชายไปจากรตี”
คุณหญิงชื่นมองรตีด้วยความภาคภูมิและชื่นชม
ทางด้านสิรีกำลังเย็บเสื้อของรตีตัวหนึ่งอยู่ที่จักร อนงค์ใส่เสื้อที่ตัดใหม่โดยสวมคู่กับผ้านุ่งอยู่บ้านมาให้สิรีดู สิรีจับที่เสื้อตรงไหล่ให้เข้าไปเล็กน้อยแล้วเอาเข็มหมุดกลัดไว้
สิรีพูดไปไอไป “ไปเปลี่ยนมาไป เดี๋ยวพี่เย็บเข้าให้ แล้วอนงค์จะได้สอย ปริศนาล่ะ รื้อเสื้อออกมาดูทั้งหมดหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้ว แต่เสื้อเต้นรำ มีแค่ตัวเดียว” ปริศนาบอก
“พรุ่งนี้ยังว่างอีกวัน ให้อนงค์ไปซื้อผ้ามา แล้วพี่ตัดให้”
“สิรี ท่าทางลูกเหมือนจะไม่สบายนะ แล้วเสื้อตัวนั้นเย็บเสร็จแล้วเหรอ” สมรถาม
“เสร็จค่ะแม่ ยังไงเสีย คืนนี้ก็ต้องเสร็จ เสื้อตัวนี้”
สิรีมองเสื้อของรตีอย่างเย็นชา
“ชุดของอนงค์ และชุดของปริศนาก็ต้องเสร็จ”
“จะลำบากลำบนไปทำไมสิรี หน้าตาลูกก็ไม่ค่อยดี ประเดี๋ยวจะจับไข้เอา” สมรเป็นห่วง
สิรีมองสมรอย่างมุ่งมั่น
“แม่คะ ถ้ายายรตี ใส่เสื้อตัวนี้ อนงค์ก็จะต้องใส่เสื้อตัวนั้น และถ้าเขาจะใส่ชุดกลางคืนตัวนี้”สิรีไปหยิบเสื้อที่เสร็จแล้ววางบนกระดาษห่อยกชูให้แม่ดู “ปริศนาก็จะต้องใส่เสื้อกลางคืน
ตัวนี้ เรายอมให้เขาข่มไม่ได้ เขากะที่จะเด่นด้วยการข่มเราอยู่แล้ว ก็ต้องให้รู้กัน ว่าจะมาข่มกันง่ายๆแบบนี้ไม่ได้”
อนงค์กับปริศนามองดูความตั้งใจของสิรีแล้วกลืนน้ำลาย
“แม่เข้าใจความตั้งใจดีของลูก สิรี แต่ ถ้าลูกป่วยไปมันจะไม่คุ้ม” สมรว่า
“เรื่องนั้นเอาไว้ค่อยคิดกัน งานเยอะแยะ ต้องทำให้เสร็จค่ะ”
สิรีหันกลับมาเย็บเสื้อต่ออย่างมุ่งมั่น สมรได้แต่ถอนใจ ปริศนารีบดึงกระโปรงไปสอยชายด้วยความขะมักเขม้น
รุ่งเช้าปริศนาแต่งตัวจะไปทำงานเดินลงมาหน้าบ้าน ในขณะที่สมรกำลังง่วนทำอะไรอยู่ซักอย่าง
ปริศนาเห็นก็เอ่ยทัก “อ้าว สิรียังไม่ออกไปอีกหรือคะ วันนี้คุณเสมอไม่ได้มาหรือ”
“เมื่อคืนสิรีนอนดึก เลยบอกคุณเสมอว่าไม่ต้องมารับแล้ว เกรงจะมาคอยกัน ว่าจะไปพร้อมปริศนานะ แต่ทำไมถึงยังไม่ลงมา”
สมรที่กำลังจะขึ้นบันไดไปดูชั้นบน ปริศนายกมือห้าม
“ไม่เป็นไรค่ะแม่ ปริศนาไปตามให้เอง”
ปริศนาวิ่งขึ้นบันไดกลับไปอีกครั้งทันที
ปริศนาเดินมาถึงหน้าห้องของสิรีก็เคาะประตูให้เสียง
“เฮ้ สิรี ตื่นหรือยัง”
เรียกเสร็จเธอก็ผลักประตูเข้าไป ปริศนามองไปยังเตียงก็เห็นสิรีนอนซมและเริ่มไอเพราะขยับตัวจะลุก
“สิรี เป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า”
สมรเดินมาจากข้างนอกคล้ายว่ารอฟังอยู่แล้ว เธอเดินเข้ามาจับตัวสิรีด้วยความเป็นห่วง
“เหมือนตัวจะร้อนรุมๆนะ ให้แม่ วัดไข้ดูก่อนนะ”
สิรีพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “ปวดหัว”
“แม่ว่า พรุ่งนี้ลูกไปวังท่านชายไม่ได้แล้วล่ะ ไม่สบายขนาดนี้”
สิรีน้ำตาตกทันที
ปริศนาเห็นก็ถาม “ร้องไห้ทำไม สิรี แม่คะ สิรีอุตส่าห์ตัดเสื้อ จะไม่ให้ไปได้ยังไง”
“เป็นไข้ ไปเที่ยวไม่สนุกหรอก ปริศนากับอนงค์ไปก็แล้วกัน”
“พักให้หายก่อน วันนี้ คงไปทำงานไม่ได้ ปริศนาเอาเสื้อไปส่งที่ร้านนงลักษณ์แทนสิรีหน่อยเถอะนะลูก ทำเสร็จหมดแล้วใช่ไหมลูก” สมรถาม
สิรียังร้องไห้อยู่ พลางพยักหน้า จากนั้นสมรจึงเดินออกไปข้างนอก
“ปริศนาสอนเช้าด้วยซี นี่สายแล้ว เอาอย่างนี้นะ ปริศนาจะแวะไปสอนก่อน สอนเสร็จแล้วจะรีบเอาไปให้เลยนะ ห่อที่วางไว้ที่โต๊ะข้างล่างใช่ไหมจ๊ะสิรี” ปริศนาถาม
สิรีพยักหน้า ปริศนาผลุบออกไปทันที
สมรกลับมาพร้อมด้วยกล่องใส่ปรอทและทำท่าจะให้สิรีอมวัดไข้
ปริศนาหอบห่อเสื้อผ้าห่อโตของรตีมาเพื่อจะนำขึ้นรถ ช่วงเข้ามาช่วยถือและช่วยเอาของขึ้นรถแล้วไปที่ประตูบ้าน เพื่อเปิดประตูให้ ปริศนาค่อนข้างรีบเพราะสายแล้ว เธอสตาร์ตรถแล้วออกรถไป
นอกจากห่อเสื้อรตีที่ปริศนาเอามาจากบ้านสุทธากุลแล้ว ยังมีเสื้อรตี 3 ตัวที่เย็บเสร็จแล้วอยู่ที่ร้าน เวลานี้นงลักษณ์กำลังง่วนอยู่กับการวาดแพทเทิร์นลงบนผืนผ้า เพราะมีลูกค้าค่อนข้างมาก ผ้าหลายผืนจึงวางอยู่บนโต๊ะวาดแบบ รตีมองผ่านประตูร้านเข้ามา ก่อนจะผลักประตูแล้วก้าวเข้ามาอย่างเร็ว รตีมองซ้ายมองขวาเหมือนจะหาว่าใครอยู่ในร้านบ้าง แล้วก็มาหยุดที่นงลักษณ์ตามเดิม
“ฉันมาเอาเสื้อ” รตีว่า
นงลักษณ์ตกใจจึงหันมา
“อ้อ คุณรตี ตายจริง ไม่รู้เลย มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
“ฉันมารับเสื้อค่ะ” รตีย้ำ
นงลักษณ์ยิ้ม “วันนี้ อีก 7 ตัวนะคะ เตรียมไว้ทางโน้นแล้วค่ะ คุณรตีเชิญลองก่อน”
นงลักษณ์ผายมือไปทางตู้เสื้อผ้าที่แขวนผ้าที่ตัดเสร็จแล้ว แต่แล้วเธอก็นึกขึ้นมาได้
“มีอะไรหรือคะ” รตีถาม
“ลอง 3 ตัวก่อนนะคะ อีก 4 ตัว สิรี เอากลับไปสอยที่บ้าน”
รตีสวนออกมา “ขอโทรศัพท์”
นงลักษณ์นึกได้อีกจึงพูด “โอ้ บ้านสิรี ไม่มีโทรศัพท์”
รตีจ้องมองอย่างคาดหวัง
“แล้วยังไงคะ ที่สัญญาว่าจะได้เสื้อวันนี้น่ะ ชั้นจะได้เสื้อไหม อย่าให้เหลวนะคะ เป็นเสียชื่อร้านนงลักษณ์หมด”
นงลักษณ์รู้สึกลนลาน “เออ โทรศัพท์ ไปถามปริศนาที่โรงเรียนให้ค่ะ คุณรตี ลองเสื้อไปพลางก่อนค่ะ”
นงลักษณ์พยักหน้าให้ผู้ช่วยพารตีไปลองเสื้อ ส่วนตัวเองรี่ไปยกเปิดสมุดจดเบอร์โทรศัพท์ที่โต๊ะวางโทรศัพท์ทันที
เวลานั้นครูถวิลเดินมาตามทางเดินบริเวณหน้าห้องเรียนพิเศษ 1 โรงเรียนสิกขาลัยอย่างเร่งรีบ เสียงระฆังหมดเวลาเรียนดังขึ้น
เสียงปริศนาพูดดังขึ้น “and that’s all for today. Don’t forget to hand in your
homework tomorrow morning”
เสียงนักเรียนบอกทำความเคารพ
ถวิลมายืนหอบอยู่หน้าประตู เมื่อนักเรียนหลายคนเดินออกมาจากห้องเพื่อไปเข้าห้องน้ำ
ปริศนากำลังเดินจากหน้าห้องจะไปที่โต๊ะครูด้านหลังพร้อมด้วยหนังสือที่ใช้สอนในมือ
ถวิลเรียก “ครูปริศนาคะ”
“อ้อ ครู ถวิล มีอะไรหรือคะ”
“คุณนงลักษณ์ โทรศัพท์มาถามเรื่อง คุณสิรีน่ะค่ะ ว่าวันนี้ ทำไมยังไม่ไปที่ร้าน เหมือนลูกค้ามารอรับเสื้ออยู่ เด็กที่รับโทรศัพท์ไม่รู้เรื่อง พี่เลยไปพูดให้แทน เหมือนปริศนาว่าประเดี๋ยวต้องเอาเสื้อไปส่งแทนสิรีใช่ไหม พี่เลยบอกนงลักษณ์ไปแล้ว”
ปริศนาหน้าเครียดขึ้นมาทันที “คนเขามาเอาเสื้อแล้วงั้นหรือ”
“จ้ะ ปริศนาจะไปส่งของร้านนงลักษณ์ก่อนก็ได้ ช่วงนี้ พี่ว่าง จะดูห้องให้”
“ขอบคุณค่ะพี่ ถวิล แต่นักเรียนน่าจะดูแลกันเองได้”
ปริศนาเงยหน้ามองไปข้างหน้า
“ท่านหญิงเพคะ”
รัตนาวดีที่กำลังยืนคุยกับเพื่อนหันมามองก่อนจะเดินเข้ามาหาปริศนา
“คะ ครู”
“ครูจะออกไปธุระ ข้างนอก สักแป๊บนึง ท่านหญิงดูเพื่อนๆ ให้เรียบร้อยด้วยนะคะ ช่วงบ่ายครูจะกลับมา หากมีอะไรด่วน ท่านหญิง ไปหาครูถวิล ที่ห้องพักครูนะคะ”
“ค่ะ ครูปริศนา”
ถวิลมองอย่างทึ่ง ที่รัตนาวดีเชื่อฟังปริศนาอย่างว่าง่ายขนาดนี้
“ถ้างั้น พี่ ไปที่ห้องพักครูนะคะ” ถวิลบอก
ถวิลเดินกลับออกไป
ปริศนานึกแค้นรตีอยู่ในใจ แต่ก็รู้ว่าเป็นหน้าที่จึงทำอย่างอื่นไม่ได้ ได้แต่เดินตามออกไป
ปริศนาขับรถคันเก่ามาจอดที่หน้าร้าน แล้วก้มลงไปทางเบาะหลัง เธอหยิบห่อกระดาษ เสื้อผ้า 3 ตัวของรตีลงมาจากรถแล้วเดินเข้าไปในร้าน
ปริศนาเดินเข้ามาในร้านเห็นนงลักษณ์กำลังห่อผ้า 3 ตัวอยู่ ส่วนรตีลองเสื้อเสร็จแล้วก็หันขวับมาทันทีที่ปริศนาเดินเข้ามาในร้าน
“อ้อ เพิ่งมาถึง จวนจะกลับแล้วเนี่ย”
ปริศนาวางของลงบนโต๊ะพลางยกมือไหว้นงลักษณ์ แต่ทำเป็นเฉยๆกับรตี
“วันนี้สิรีป่วยค่ะ พี่นงลักษณ์ สิริเลยขอให้ปริศนาเอาเสื้อที่ ไปเย็บที่บ้านมาส่งให้แทน” ปริศนาบอก
“พี่ก็เป็นห่วงอยู่ ความจริงถ้า สิรีป่วย โทรศัพท์มาแจ้งพี่ก็ได้ จะได้ส่งคนไปรับ เย็บเสร็จเรียบร้อยแล้วใช่ไหมคะ” นงลักษณ์ถาม
นงลักษณ์แกะห่อออกดู ปริศนาไม่ตอบ สักพักนงลักษณ์ก็หันไปหารตี
“ลองเสื้อหน่อยนะคะ”
รตีสะบัดหน้าหนี “เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก น่าเบื่อจริงๆ”
“เราเร่งเสื้อให้เร็วที่สุดค่ะ ลัดคิวใครต่อใครหลายคนเลย คุณรตีลองแล้ว จะได้มั่นใจว่าเวลาที่สวมใส่จริงๆ จะงดงาม เหมือนที่หวังนะคะ ไม่ต้องเสียเวลากลับมาแก้อีก” นงลักษณ์บอก
“นั่นน่ะสิ มาส่งเอา นาทีสุดท้าย รับไปแล้ว ไม่งามเหมือนเคยล่ะ เสียชื่อคุณนงลักษณ์หมด แทนที่จะเอามาส่งตามเวลา ต้องให้ลูกค้ามาคอยเป็นชั่วโมง”
“เราประณีต กับงานทุกชิ้นทุกตัวของเราค่ะ คุณรตี ไม่ต้องห่วงสิรีทำส่วนของเขา สุดฝีมือเหมือนเคยทุกครั้ง ไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลยนะคะ เพื่อให้ทันเวลาที่รับปากคุณรตีไว้”
“นึกว่าทำไม่เสร็จ แล้วหลบหน้า” รตีเปรยออกมา
รตีเดินตามนงลักษณ์ไปทางห้องลอง แต่ไม่ลืมชายตาหมิ่นหยามมายังปริศนาในขณะที่เดินไป ปริศนาทำหน้าเฉยในตอนแรก เหมือนไม่รู้ไม่ชี้ แต่พอรตีเดินไปไกลแล้วปริศนาก็ค่อยๆ ปล่อยความหมั่นใส้และไม่ชอบออกมาชัดๆ
รตีเดินหงุดหงิดเข้ามาจากด้านนอก ผินยกห่อเสื้อกองโตของรตีเข้ามาแล้วเดินเลยไปข้างบน คุณหญิงชื่นที่นั่งทำปั้นสิบอยู่มองตามพลางถาม
“ไปซื้ออะไรมาอีก รตี”
“ไปร้านนงลักษณ์น่ะสิคะ รอตั้งนาน ยายช่างเสื้อ ออเซาะทำป่วย ไม่ยอมส่งเสื้อมาให้ต้องให้โทรศัพท์ ไปตามจนยายน้องสาวต้องเอามาให้” รตีบอก
“ใคร พวกสุทธากุลเหรอ”
“ค่ะ แม่ พวกนั้นแหละค่ะ คงคิดว่า ท่านชายเชิญมันด้วย จะเผยอหน้ามาแข่งกับรตี ไม่มีวัน”
“คงหาสวยๆ มาสู้เราไม่ได้” คุณหญิงเอาใจธิดา
“อิจฉาว่าท่านชายไม่มองพวกมันน่ะสิ จะหาของมาเทียบกับรตีได้ยังไง จริงไหมคะแม่ วันนี้ ยายครูนั่นก็ แต่งตัว” รตีทำหน้าดูถูก “เป็นยายเชย ล้าสมัยจริงๆ เห็นชัดเจนว่าไม่มีปัญญาจะมาเทียบกับเราได้”
“คนเราเดี๋ยวนี้มันก็ร้ายนะ พวกตีนถีบปากกัด ฉวยโอกาสนัก ต้องระวังที่จะไปคบหากับมัน”
“ไม่ใช่เพราะร้านนงลักษณ์ รตีก็ไม่ยักจะให้มันแตะต้องเสื้อผ้าของรตีหรอกค่ะแม่ แต่ก็ดี จะได้รู้ว่ารตีระดับไหน อย่าได้เผยอขึ้นมาแข่ง วังศิลาขาวเหมาะสมแต่กับสุภาพสตรีผู้มีเกียรติ
เท่านั้น”
“จริงที่สุด เลยจ้ะ รตีของแม่” คุณหญิงภูมิใจ
รตียิ้ม เชิดหน้า แล้วเดินขึ้นไปชั้นบน
อ่านต่อหน้า 4
ปริศนา ตอนที่ 4 (ต่อ)
นาฬิกาในวังศิลาขาวบอกเวลาประมาณ ทุ่ม 45 นาที วังศิลาขาวในเวลานี้ถูกตกแต่งประดับประดาด้วยแสงไฟวิบวับงดงามเหมือนกำลังมีงาน คืนนี้ทั่วทั้งวังอันโอฬารจึงดูงดงามกว่าปกติ
หม่อมเจ้าพจน์ ปรีชา ออกมายืนที่หน้าตึกคอยต้อนรับแขก โดยมีสนยืนอยู่ข้างๆ สักครู่รถของประวิชแล่นเข้ามาตามทาง โดยมีอนงค์และปริศนานั่งมาด้วย ประวิชขับรถมาจอดเทียบที่หน้าตึกตำหนักใหญ่
ท่านชายพจน์ลงไปเปิดประตูรถให้ผู้ที่นั่งคู่มากับประวิชซึ่งก็คือปริศนาที่อยู่ในชุดขาวซึ่งเอามาจากเมืองนอก อนงค์แต่งชุดของสิรี ที่แก้จนเหมาะกับตัว พจน์มีท่าทีชื่นชมผู้หญิงทั้งสองคน ปริศนาก้าวลงมาแล้วถอนสายบัว ส่วนอนงค์ยกมือไหว้อย่างงดงาม
“เชิญสุภาพสตรี ด้านในเลย” ท่านชายทักทาย
“เพื่อนท่านชายมาถึงหรือยังเพคะ” ปริศนาเอ่ยถาม
“ยังจ้ะ นัดว่าจะมาสองทุ่มตรง”
ท่านชายพจน์ควงแขนปริศนาแล้วพาอนงค์เดินเข้าไปในตึก
อนงค์นั่งอยู่ที่เก้าอี้ ส่วนปริศนายืนดูของประดับตกแต่ง โดยมีท่านชายพจน์ยืนคุยเป็นเพื่อน
“เพื่อนท่านชายไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วหรือคะ” ปริศนาเอ่ยถาม
“เขาว่าอยู่โอเรียนเต็ลจะสะดวกกว่า เราไม่ต้องกังวลรับรองเขาทั้งวันทั้งคืน เพียงอนุเคราะห์โปรแกรมเที่ยว เท่าที่เขาต้องการเท่านั้น เมื่อบ่ายส่งเข้าโรงแรมแล้วก็เลยให้รถรอที่นั่น เพื่อพาเขามาตอนสองทุ่ม เลี้ยงต้อนรับ”
“เพื่อนท่านชายชื่ออะไรเพคะ” ปริศนาถาม
“มิสเตอร์แมนสฟีลด์ เค้ามีบ้านที่สก๊อตแลนด์ ฉันไปที่นั่นประจำ ตอนที่เรียนอยู่
พอดีเพิ่งแต่งงาน เลยพาภรรยาเที่ยวรอบโลก แล้วก็พาน้องชายภรรยา ชื่อเจมส์ แอชลี่ มาด้วย”
ปริศนาพยักหน้าอย่างเข้าใจ ประวิชควงแขนรตีเดินเข้ามา รตีที่แต่งชุดสวยเดินมาถึงก็เดินเข้ามาเกาะแขนท่านชายพจน์โดยเดินผ่านปริศนามา กลุ่มของแมนสฟีลด์เดินตามมาพร้อมกัน ท่านชายพจน์แนะนำให้รู้จักปริศนากับอนงค์ ทุกคนมองกันอย่างชื่นชม ปริศนายื่นมือให้ทุกคน รตีต้องยื่นมือให้จับตาม แต่อนงค์กลับยกมือไหว้
โต๊ะอาหารที่ตกแต่งอย่างหรูหรา มีเชิงเทียนจากเมืองนอกจัดวางโต๊ะอย่างเต็มที่ ท่านชายพจน์ควงแขนมิสซิสแมนสฟีลด์เข้ามา รตีเดินคู่มากับมิสเตอร์แมนสฟีลด์ โดยมีแอชลี่เดินตามปริศนาไม่ยอมห่าง ส่วนอนงค์เดินมากับประวิชอย่างถ่อมตน รตีนั่งระหว่างท่านชายพจน์กับมิสเตอร์แมนสฟีลด์ โดยที่อีกข้างหนึ่งของท่านชายคือมิสซิสแมนสฟีลด์ ปริศนานั่งอยู่ระหว่างประวิชกับแอชลี่ อนงค์นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งของประวิช ซึ่งเท่ากับว่าปริศนานั่งอยู่ตรงข้ามท่านชายพจน์ทำให้ท่านชายมองเห็นปริศนาได้อย่างชัดเจน
“So you were studying in the United States and that’s why your English
is so fluent....with a tinge of American accent - คุณก็เลยได้ไปศึกษาที่สหรัฐอเมริกา มิน่าภาษาอังกฤษของคุณ แคล่วคล่องมาก และ...มีสำเนียง อเมริกัน” แอชลี่ชม
มิสเตอร์แมนสฟีสด์พูดบ้าง “And Retreat studied in the Philippines. The Thais really give an importance on education - ส่วนคุณรตีก็ได้ไปศึกษาถึงฟิลลิปปินส์ คนไทยให้ความสำคัญต่อการศึกษามากจริง”
รตีตอบรับ “Yes ! I really wanted to further my education and not because I wanted to fine a sponsor. That would be to embarrassing - ค่ะ ฉันตั้งใจไปเรียนต่อจริงๆ ไม่ใช่เพราะหาคนอุปถัมภ์ แบบนั้นน่าเศร้าเกินไป”
“Let’s not talk about these topics. Let’s eat and talk about all the nice places in Thailand that we can visit, shall we - เราอย่าคุยกันเรื่องนี้เลย รับประทานอาหารอร่อยๆ แล้วหารือเรื่องการเดินทางไปชมความสวยความงามของเมืองไทยจะดีกว่า”
ประวิชหันไปเพื่อจะพูดกับปริศนา แต่พบว่าปริศนายังคุยอยู่กับแอชลี่อย่างถูกคอ ประวิชเริ่มหน้าเสีย
“เราจะไปเที่ยวทั้งกลุ่มอย่างนี้ ทั้งโปรแกรมเลยใช่ไหมค่ะ” อนงค์ถามขึ้น
ประวิชเริ่มรู้สึกว่าจะไม่สนุก เพราะดูเหมือนแอชลี่จะผูกขาดปริศนาไปเสียหมดแล้ว จึงไม่ตอบ อนงค์เลยคิดเองว่าประวิชไม่พอใจตน
ทางฝ่ายสิรีนั่งรับประทานข้าวต้มอยู่กับสมร สักพักเธอก็ผลักชามข้าวต้มออกจากตัว จำเนียรรอรับใช้อยู่แถวนั้น
“กินอีกหน่อยสิลูก กินไปนิดเดียวเอง” สมรคะยั้นคะยอ
“ไม่ไหวแล้วค่ะ หัวหนักไปหมด สิรีอยากนอนค่ะ”
“เดินให้เหงื่อออกหน่อย ดื่มน้ำเยอะๆ ประเดี๋ยวเช็ดตัวก่อนนอน จะได้ ฟื้นไข้เร็วๆ นะลูก”
เสียงแตรรถดังแต่ไกล
“ใครมา ไม่น่าใช่รถประวิชแน่ งานยังคงไม่เลิก” สมรส่งเสียงไปหลังบ้าน “ช่วงไปดูซิว่าใครมา”
พูดจบสมรก็เดินไปที่ห้องโถงแล้วมองออกไปทางหน้าบ้าน
ช่วงเปิดประตูรั้วให้รถของเสมอเคลื่อนเข้ามา สมรเดินมาที่หน้าบ้านแล้วเขม้นมองรถที่เลื่อนเข้ามาจอด
“อ้าว คุณเสมอหรือนั่น วันนี้มาเสียมืด” สมรทักน้ำเสียงประหลาดใจ
เสมอลงจากรถแล้วเดินเข้ามาไหว้สมร
“ได้ข่าวว่า คุณสิรีป่วยหรือครับ” เสมอทัก
“ค่ะ ได้ข่าวจากใครหรือคะ”
“วันนี้พบคุณนงลักษณ์ที่ร้านอาหาร คุณนงลักษณ์ว่าสิรีป่วย ไม่ได้ไปทำงาน 2-3 วันแล้ว งานรุมแกแทบแย่ไปอีกคน”
“เชิญบนบ้านก่อนค่ะ รับประทานข้าวต้มไหมคะ แม่สิรี เพิ่งจะลงมากินข้าว”
“กระผมอิ่มเรียบร้อยมาแล้วครับ” เสมอบอก
เสมอเดินตามสมรขึ้นไปบนบ้าน
สิรีเดินมาจากทางห้องกินข้าวแล้วมาหยุดยืนดู เธอเห็นเสมอเดินเข้ามา โดยมีสมรเดินตามมา
“สิรี เป็นอย่างไรบ้าง ดูคุณ ซูบซีดมากเลย” เสมอทัก
“ค่อยยังชั่วแล้วค่ะ” สิรีตอบ
“นงลักษณ์ว่าสิรี หักโหมทำงาน พักผ่อนน้อย”
“งานก็เป็นอย่างนี้แหละ คุณเสมอ เวลา หน้างานชุกเสมอ”
“ผมจะหมั่นมาเยี่ยมสิรีนะ อยากให้คุณหายเร็วๆ งานตัดเย็บนี่มันหนักมากจริงๆ”
“ตัดเย็บเสื้อแพทเทิร์นดีๆ หาคนทำได้น้อย ยิ่งเสื้อผู้หญิง ยิ่งยาก ต้องคำนวน หักลบให้เหมาะกับรูปร่าง กระทั่งคนไปเรียนตัดเสื้อจากเมืองนอกอย่างรตี ยังต้องมาจ้างเรา ที่เรียนจากครูในเมืองไทยเลยค่ะ” สิรีบอก
จำเนียรเอาน้ำมาเสิร์ฟให้
สมรพูดต่อ “สมัยก่อน เราใช้ผ้าพัน ตัดเสื้อก็หลวมๆทำกันมาแต่โบราณ เราทำโครงเสื้อไม่เก่งเหมือนฝรั่ง แต่ตอนนี้เหมือนเราจะไล่ทันเขาแล้วนะ เสื้อสวยๆ เข้ารูป ก็ตัดได้เหมือนเขา ทำให้เป็นอาชีพที่มีรายได้ดีของเราเลย”
“ลูกภูมิใจนะคะ ที่ได้มีอาชีพ ที่ได้ทำงาน ที่น้อยคนนักจะทำได้ ภูมิใจที่คนไทยได้แต่งตัวสวยไม่แพ้ชาติไหนในโลก ฝีมือที่ลูกตัดเสื้อให้ปริศนา ไม่ได้แพ้ เสื้อที่ปริศนาเอามาจากอเมริกาเลย ทั้งแบบ ทั้งการเข้ากับรูปร่าง ถึงจะหนักหนายังไง ลูกก็จะทำงานนี้ต่อไปค่ะเสมอ คุณสิรี นี่ มีจิตใจเข้มแข็ง ยอดเยี่ยม ใจคุณ แกร่งไม่แพ้ชายทีเดียวในเรื่องของการทำงาน ผมภูมิใจในตัวคุณมากจริงๆ”
เสมอพูดพร้อมกับมองดูสิรีอย่างเทิดทูนบูชา สิรีภูมิใจและรู้สึกว่าเสมอนี่แหละจะเป็นคนที่เคียงคู่เธอตลอดไปได้เพราะเข้าใจงานที่เธอทำ
สมรก็รู้สึกดีใจที่เสมอเห็นดีเห็นงามไปกับสิรีได้
บริเวณริมน้ำในวังศิลาขาวถูกจัดเป็นสถานที่เต้นรำกลางแจ้ง มีโต๊ะเล็กๆ สำหรับนั่งพักผ่อนวางอยู่ มีบาร์เสิร์ฟน้ำ และมีโต๊ะวางวิทยุ ที่จะเปิดเพลง พวกผู้ชายนั่งคุยกันอยู่ที่โต๊ะที่มีแก้วลิเคอร์และไปป์พร้อมชุดสูบวางบนโต๊ะเล็กข้างๆ
ประวิชขลุกอยู่ที่วิทยุกำลังจูนคลื่น สักพักเพลงเต้นรำก็ดังขึ้น พวกผู้หญิงที่ขึ้นไปบนตึกเพื่อเติมหน้า และดูแลความเรียบร้อย
“Those thais Who are commoners, they do not segregate between men and women. During meal time They eat together on the on floor in a circle.
Even in hard labour,they also do not Seperate men and women. The women can also do the digging, the planting of trees and the wood cutting. However,exemption is made in the household of the nobility where women may not join in at the dining table and eat separately afterwards. These often have many wines which I myself find it disagreeable - คนไทยแท้ๆ ที่เป็นชาวบ้าน ไม่เคยแบ่งแยกเพศหญิงชายนะ เรากินข้าวด้วยกัน นั่งล้อมวง แม้แต่งานหนัก ก็ไม่มีการแบ่งเพศ ผู้หญิง ขุดดิน ปลูกต้นไม้ ตัดฟืนได้เหมือนกัน ยกเว้น บ้านที่มียศศักดิ์ อาจจะไม่ให้ผู้หญิงร่วมโต๊ะ ให้กินทีหลัง พวกที่มีภรรยาหลายคน ซึ่งผมไม่เห็นด้วยแบบนั้นอยู่แล้ว
” หม่อมเจ้าพจน์ ปรีชา ปรารภ
“I think Thai society is going through change right now. I have seen pictures of Thais sitting down on the floor eating, With a bowl of water on the side to wash their hands and I find it heart-warming. Perhaps this is because you Don’t wear shoes in your house, although it may not be as hygienic as the Western way of dining - ผมว่าสังคมไทย กำลังเปลี่ยนแปลง ผมเห็นรูปที่คนไทย นั่งกับพื้นกินข้าว และมีน้ำล้างมืออยู่ข้างๆ ก็อบอุ่นดี เพราะคุณไม่ได้ใส่รองเท้าขึ้นบ้านกัน แต่อาจจะ ไม่มีสุขอนามัยเท่า การจัดโต๊ะแบบตะวันตก” แอชลี่ว่า
มิสเตอร์แมนสฟีลด์พูดบ้าง “I find it most agreeable to let the ladies have the time to get themselves ready after dinner before coming back to dance with us. Here they come - ผมชอบที่สุด ที่เราให้คุณผู้หญิง ได้มีเวลาส่วนตัว หลังอาหาร และกลับมาพร้อมที่จะเต้นรำกับเรา นั่นพวกเธอมากันแล้ว”
สาวๆ ทุกคนเดินเข้ามา ประวิชยิ้มจะเดินไปหาปริศนาแต่แอชลี่ที่อยู่ใกล้ทางเดินกว่าลุกขึ้นไปต้อนรับแล้วชวนปริศนาให้เต้นรำทันที ปริศนาแปลกใจนิดหน่อยแต่ก็เริ่มเต้นรำ ประวิชหน้าเสียและยืนมอง ดูออกว่าเคือง
มิสเตอร์แมนสฟีลด์พูดกับพจน์ “It seems that Jim really admires Prisana,don’t you think? - ดูเหมือนจิม จะชื่นชม คุณปริศนามากนะ”
ท่านชายพจน์เองก็มองตามแอชลี่กับปริศนาด้วยเช่นกัน เขารู้สึกเหมือนกันว่าปริศนามีความเด่น น่าประทับใจมากกว่าหญิงคนอื่นในค่ำคืนวันนี้
มิสซิสแมนสฟีลด์เอ่ยชมว่า
“Your Highness, you palace is so romantic! And the Chaopraya river is Vast and beautiful - ท่านชายคะ วังของท่านแสนโรแมนติก และ สายน้ำเจ้าพระยา ยิ่งใหญ่จริงๆ งดงามมาก”
“Allow me the honour of dancing with you, Madam - ให้เกียรติเต้นรำกับผม ในบรรยากาศงดงามนี้สักเพลงครับ มาดาม” ท่านชายพจน์พูดเยื้อนยิ้ม
มิสซิสแมนสฟีลด์ตอบรับ “My pleasure - ยินดีอย่างยิ่งค่ะ”
มิสเตอร์แมนสฟีลด์จึงต้องเดินเข้าไปขอรตีเต้นรำ อนงค์เห็นทุกคนเริ่มเต้นรำ ประวิชก็ยืนจ้องปริศนาพร้อมทั้งจับแก้วบีบด้วยอาการลืมตัว อนงค์เดินหงอยๆ ออกไปทางริมน้ำ
อยงค์มายืนอยู่ริมน้ำ ทอดสายตามองไกลออกไปจากบริเวณเต้นรำซึ่งเป็นเขื่อนริมน้ำ เกาะกับราวระเบียง เธอมองออกไปในท้องน้ำ มองความมืด มองแสงดาวและแสงเดือนที่อยู่เบื้องหน้า
เสียงประวิชถามขึ้น “อนงค์ ไม่เต้นรำหรือ”
อนงค์ตกใจ “คุณประวิช คิดว่าคุณ เต้นรำอยู่เสียอีก”
“จะให้เต้นกับใคร จะคุยกับปริศนา ยังไม่ได้พูดกันเลย นายแอชลี่ผูกขาดไปหมดเสียทุกอย่าง”
“ถือว่าช่วยต้อนรับแขกเมืองได้อย่างดี คุยกันถูกคอ ปริศนาอายุน้อย แต่คุยกับทุกคน ได้ทุกเรื่อง”
ประวิชพ่นลมอย่างไม่พอใจนัก
“ปริศนา แสนดี แสนเก่ง อนงค์ เราขึ้นไปบนตึกกันก่อนเถอะ”
“ไม่รอให้เลิกเต้นรำกันหรอกหรือคะ”
“ประเดี๋ยว รายการเพลงก็จบแล้ว พวกเขาก็ต้องขึ้นไปข้างบนกันอยู่ดี” ประวิชว่า
ประวิชเดินนำขึ้นตึกไป อนงค์รีบเดินตามอย่างต้องการเอาใจประวิช
คู่เต้นรำทั้งสามคู่ยังคงเต้นรำอย่างสนุกสนาน แต่พจน์เปลี่ยนมาเต้นกับรตี และแมนสฟีลด์ทั้งสองมาเต้นคู่กันเอง
ประวิชกับอนงค์เดินกลับเข้ามาในห้อง
“อนงค์จะดื่มอะไรไหม” ประวิชถาม
อนงค์ส่ายหน้า “ไม่ค่ะ”
“ฟังเพลงไหม” ประวิชถามต่อ
“คุณประวิช จะดีดเปียโนหรือคะ”
“ผมไม่เก่งเท่าไหร่ ได้ฝึกนิดหน่อยตอนไปเรียนที่โน่น เพราะท่านชายจ้างคนมาสอน แต่รตี สิ เขาเก่ง คุณพ่อ จ้างครูมาสอนตั้งแต่ยังเด็ก ที่ไปเรียนฟิลิปปินส์ พ่อก็กำชับให้ ฝึกเปียโนเพิ่มเติมมาด้วย เรียกว่ารตี ออกงานไหน ไม่มีอาย”
“ค่ะ คุณรตี ทั้งสวย ทั้งเก่ง ไหน คุณลองดีดเปียโนสิคะ ฉันอยากฟัง”
ประวิชเดินมานั่งดีดเปียโน เขาเล่นไม่เก่งเท่าไหร่ แต่อนงค์ก็ดูปลื้มเขามาก
ทุกคนกำลังเต้นรำกันอยู่ พอจบเพลงเสียงวิทยุก็บอกเวลาและแจ้งว่าจะเข้าสู่รายการข่าว
สนเดินเข้าไปปิดวิทยุให้
“น่าเสียดายจริง รายการเพลงจบแล้ว” รตีว่า
ทันใดนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงเปียโนลอยมาจากบนตำหนัก
“นั่นใครดีดเปียโน เหมือนจะไม่ได้หัดมาอย่างดี” รตีทัก
“คงจะเป็นประวิช อนงค์ ไม่น่าจะดีดเปียโนได้ และถ้าเป็นน้องหญิงจะดีดเก่งกว่านี้แต่ก็น่าจะอยู่แต่ชั้นบนไม่ลงมา รตี เธอขึ้นไปโชว์หน่อยไหม”
ท่านชายพจน์ยื่นแขนให้รตีควง สนเอาน้ำมาเสิร์ฟ ท่านชายและคนอื่นๆ ดื่มน้ำกัน
“The music program me on the radio has ended. Shall we go and listen to the piano upstairs - เพลงจากวิทยุ จบรายการแล้ว เราขึ้นไปฟังเปียโน กันดีกว่า” ท่านชายเอ่ยขึ้น
“ให้หม่อมฉันดีดเปียโน ท่านชายต้องทรงร้องเพลงด้วยนะเพคะ” รตีว่า
“ได้จ้ะ”
ท่านชายพจน์ควงรตีเดินขึ้นตึกไป
รตีมีท่าทางปลื้มเปรมเป็นอันมาก ปริศนามองท่านชายพจน์กับรตีอย่างขัดใจ
“What did the Ratree say,Prissie? - คุณรตีว่าอย่างไรหรือ พริสซี่” แอชลี่ถาม
“She said the price would sing and she would play the piano - ท่านว่าจะให้คุณรตีดีดเปียโน แล้วท่านจะร้องเพลงค่ะ” ปริศนาตอบ
“Really? Then we must go now - งั้นหรือ เราต้องรีบไปกันแล้ว”
แอชลี่ ปริศนา และครอบครัวแมนสฟีลด์รีบตามท่านชายพจน์ไปทันที
หม่อมเจ้าพจน์ ปรีชา ควงรตีเดินเข้ามาในห้อง ในขณะที่แอชลี่กับปริศนาเดินตามมา คู่แมนสฟีลด์เดินตามเข้ามาหลังสุด ประวิชเห็นคนเข้ามาก็หยุดเล่นเปียโน
“อ้าว หยุดเล่น เสียทำไม ประวิช” ท่านชายพจน์ทัก
“รตีมาแล้ว กระหม่อมออกอาย ให้คนเก่ง ดีดเพลงไพเราะให้ฟังดีกว่าพระเจ้าค่ะ”
ประวิชบอกแล้วลุกขึ้น ท่านชายพจน์พารตีมานั่งที่เปียโนแทน รตีไล่สเกลแล้วส่งสายตาเชิญให้ท่านชายร้องเพลง แล้วเธอก็เริ่มบรรเลงเพลงพร้อมให้สัญญาณเริ่มร้อง
ท่านชายเริ่มร้องเพลง คนอื่นๆ เข้ามารุมล้อมเปียโน อนงค์กับประวิชถอยห่างออกไป ปริศนามองดูตั้งแต่ท่านชายพจน์พารตีมานั่งที่เปียโนด้วยลีลามากมายจนน่าหมั่นไส้ ปริศนาจึงยืนอยู่อย่างสังเกต
แอชลีและแมนสฟีลด์ไปร่วมร้องด้วย ปริศนามองท่านชายพจน์ที่เริ่มร้องอย่างตั้งอกตั้งใจ เธอมองเห็นกระดาษ สมุดวาดเขียนวางอยู่ไม่ไกลจึงหยิบมา แล้วเปิดกระเป๋าก่อนจะใช้ดินสอเขียนคิ้วสเก็ตช์รูปท่านชายเป็นตัวการ์ตูน
เวลาผ่านไปอย่างดื่มด่ำจนเพลงจบ คนทั้งห้องปรบมือกันกราว
มิสซิสแมนสฟีลด์เอ่ยออกมาว่า “I really want to listen to Thai music. Khun Ratree, can you play traditional Thai music? - อยากฟังเพลงไทย เหลือเกิน คุณรตี ดีดเพลงไทยเดิมได้ไหมคะ”
“Ratree, could you please play an old number for us? - รตี ขอเพลงไทยเดิมสักเพลง” ท่านชายพจน์บอก
รตีคิดเล็กน้อย ก่อนจะบรรเลงเพลงเขมรไทรโยค ลีลาของรตีเหมือนศิลปินเปียโนเอกของโลก ปริศนามองอย่างขำๆ แล้วเธอก็เริ่มสเก็ตช์ภาพรตี บรรดาชาวต่างชาติทั้งหลายทำท่าชื่นชมกับรตี ปริศนาวาดรูปรตีอยู่ แอชลี่ถอยมาดูแล้วหัวเราะกับปริศนาอย่างสนิทสนม แต่เป็นหัวเราะอย่างเกรงใจรตีจึงเสียงไม่ดัง ประวิชที่ยืนห่างออกไปทำหน้าซีเรียสและซีดขาวมาก
ท้องฟ้ามืดมากแล้ว สมรและสิรีเข้านอนไปแล้ว ช่วงเปิดประตูรั้วออกให้ประวิชเลื่อนรถเข้ามาจอดเทียบหน้าบ้าน ปริศนาไม่รอให้ใครเปิดประตูให้ เธอรีบลงจากรถ ประวิชก็รีบตามลงมา
“ปริศนา ขอคุยด้วยหน่อย” ประวิชเอ่ยขึ้น
อนงค์ต้องเปิดประตูลงจากรถเอง
“คุยอะไรประวิช ดึกแล้ว ปริศนาง่วง พรุ่งนี้ต้องไปสอนแต่เช้าอีก”
พูดจบปริศนาก็เดินเลี่ยงเข้าบ้านไป ประวิชโกรธมากกัดกรามแน่น อนงค์เห็นก็เข้าไปปลอบ
“ประวิชคะ ไว้มีอะไรค่อยพูดกันวันหลังได้นะค่ะ”
ประวิชเมินอนงค์ เขากลับมาขึ้นรถแล้วถอยออกไปอย่างรวดเร็ว อนงค์ได้แต่มองตาม หยดน้ำตาร่วงรินเป็นสาย
อีกฟาก หม่อมเจ้าพจน์ ปรีชา ดูผ่อนคลายมากขึ้น เดินกลับมาจากด้านนอก หลังจากส่งแขกเรียบร้อยแล้ว สนเข้ามาปิดฝาเปียโนและคนใช้เอาผ้าเช็ดเปียโน ท่านชายเห็นกระดาษวางทับอยู่ข้างเปียโนจึงหยิบมาดู เห็นเป็นภาพการ์ตูน
ราชนิกุลรูปงามหวนนึกถึงตอนที่เห็นปริศนากำลังก้มหน้าเขียนรูปอยู่เมื่อชั่วโมงก่อน
ท่านชายพจน์เพ่งดูรูป อีกที จนมองออกว่าเป็นรูปตัวเองแล้วก็รูปรตี ก่อนจะหัวเราะเสียงดัง จนคนรับใช้ ต่างพากันหันมามอง
ท่านชายถือรูปนั้นเดินออกไปจากห้อง เหมือนต้องการจะเก็บรักษารูปนั้นไว้
อ่านต่อตอนที่ 5