"เอ ศุภชัย" ผู้จัดป้ายแดง ปั้นเด็กใหม่ลง "ลิขิตริษยา"
ไม่คิดดึงเด็กเก่ามาเล่นละครตัวเอง ปั้นใหม่ดีกว่า
จากนักปั้นมือทอง, ผู้จัดการดารา จนมาถึง ผู้จัดละคร “เอ ศุภชัย ศรีวิจิตร” ทำละครมาแล้ว 2 เรื่อง เรื่องแรก “อรุณสวัสดิ์” กับ MONO 29 เรื่องที่สอง “เพลิงดาว” กับ PPTV มาถึงวันนี้เรื่องที่สาม “เพลิงริษยา” กับ ช่อง 7 อยู่ในขั้นตอนฟิตติ้ง พร้อมถ่ายทำคิวแรกวันที่ 10 มิถุนายน
ปั้นนักแสดงดังๆ ไว้มาก เมื่อมีโอกาสทำกับช่อง 7 น่าจะดึงดาราที่เคยปั้นมาแสดงในละครตัวเองได้ ?
“ไม่มีแน่นอนครับผม ไม่มี พี่เอมีแต่จะปั้นคนใหม่ๆ ขึ้นมาให้มีชื่อเสียงที่นี่ ไม่เอาบุคลากรที่พี่เอเอาเข้าสังกัดไปแล้วมาใช้งาน พี่เออยากปลูกต้นไม้ตั้งแต่เป็นเม็ดมากกว่า เรื่องนี้ พี่เอาพระเอกใหม่มาจากประเทศแคนาดา เรียนที่แคนาดาตั้งแต่เด็ก ไปเจอตอนไปเชียงใหม่ พระเอกในเรื่องนี้จะเป็นอารมณ์นักเรียนนอก ก็ดึงเขามา แล้วเขาสอบติดธรรมศาสตร์ เลยเอามาเล่นละครเรื่องนี้”
เป็นผู้จัดแล้ว รู้สึกอย่างไร
“จากที่เรานั่งมองเด็กของเราไปเล่นละคร เรานั่งมองเขาเป็นผู้จัดละคร เวลาทำให้เราได้ฝึกฝีมือมาจากหลายที่ ดูป๋อเล่นให้ช่อง 7 ดูอั้มเล่นให้ช่อง 7 ตอนนี้เราลงมือทำเองแล้ว ปรุงอาหารเอง ยิ่งเรื่องแรกเป็นพีเรียดด้วยยิ่งตื่นเต้นไปใหญ่ ต้องขอบคุณช่อง 7 สี ที่ให้โอกาสพี่เอ ศุภชัยเป็นผู้จัดละครร่วมกับมีเดียสตูดิโอ
จากฐานะนักปั้นนักแสดง จากผู้จัดการดารามาเป็นผู้จัดละคร รับผิดชอบองค์กรที่มันใหญ่ขึ้น จากหนึ่งต่อหนึ่ง ผู้จัดการดารากับหนึ่งชีวิตที่เป็นนักแสดง วันนี้มันไม่ใช่ ต้องรับผิดชอบหลายๆ ชีวิต ทำยังไงให้งานลุล่วงออกไปได้ด้วยดี
จากที่เลือกนักแสดงมาเป็นดาราป้อนให้กับองค์กรต่างๆ ตอนนี้เราเอาวิธีเลือกดารามาต้อนลงในละครของเรา คือ เราอ่านบทแล้วมันเหมาะกับคนไหนยังไง แต่สุดท้ายก็อยู่ที่ผู้ใหญ่เป็นคนอนุมัติว่า ผู้ใหญ่จะให้ใครมา แต่เราก็นำเสนอก่อน”
เป็นผู้จัดเรื่องที่สามแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง
“ยากมาก เรื่องที่ผ่านมา เรทติ้งช่องเขาก็แฮปปี้ ยากตรงที่การตอบรับของประชาชน แล้วเราใช้เงินคนอื่นในการทำงาน พี่เอไม่อยากให้เขาขาดทุน ทำยังไงให้ประชาชนดูละครแล้วก็ชอบ ถ้าดาราที่เราปั้นขึ้นมา ประชาชนรับ มันคือความสำเร็จของอาชีพนักปั้น ส่วนการเป็นผู้จัดก็เหมือนการทำอาหาร
เมื่อก่อนทำแค่ผลไม้อย่างเดียว แต่ตอนนี้ต้องมีส่วนผสม มีจุดไฟ ทุกอย่างเป็นองค์กรใหญ่ ก็ยากขึ้นไป ทั้งเสื้อผ้า หน้า ผม บทละคร อย่างเสื้อผ้าก็คุยกันตลอดว่าอยากได้ประมาณนี้ ยุคนั้นจะเป็นยังไง มาดูกันแล้วให้เขาสเก็ตช์ ไปซื้อเสื้อผ้าที่สำเพ็ง แล้วก็หาจากหลายๆ ที่เอามาประยุกต์กัน ต้องดูหมดเลย”
ร่วมงานกับช่อง 7 ได้อย่างไร
“ผู้ใหญ่ในช่อง 7 โทรมาบอกว่า ถึงเวลาแล้วที่จะทำเรื่องนี้ได้ เขาให้การบ้านมาแล้วไปฝึก ไปทำ เริ่มจากผู้ใหญ่ให้โอกาสแล้วเราก็อยากได้รับโอกาสนี้อยู่แล้ว เป็นโอกาสที่เราใฝ่ฝัน เราเป็นแค่เด็กนักเรียนวันหนึ่งเราก็อยากเป็นครู การเป็นผู้จัดละครได้ช่วยคนในกองถ่ายเป็นร้อยชีวิตเลยนะคะ ให้มีอาชีพ ให้มีงานทำ”
นักแสดงเรื่องนี้มีใครบ้าง
“สองรุ่น รุ่นโต แล้วก็รุ่นเด็ก จะมีเด็กใหม่พี่เอ 4 คน เด็กที่เพิ่งมาจากแคนาดา แล้วก็น้องผู้หญิงที่ไม่เคยเล่นอะไรมาก่อนเลย 1 คน อีกสองคนก็เคยเล่นมาบ้างแล้ว เรื่องเอาเด็กตัวเองมาเล่นก็กดดันพอสมควร ก่อนอื่นพี่เอต้องบอกก่อนว่า เด็กพี่เอช่องเป็นคนเลือกเองว่าจะให้มาเล่นละครเรื่องนี้
คาแรคเตอร์พระเอกจะเป็นนักเรียนนอก ก็เลยต้องเลือกน้องคนนี้ที่เราเอามาเล่น เป็นนักเรียนนอกจริงๆ พี่เอเป็นคนไฮเปอร์ ละครของพี่เอจะสนุกตลอด จะไม่มีบทพรรณนา ไม่มีบทยืด ต้องเคี่ยวตั้งแต่ต้นเรื่อง แล้วก็เคี่ยวทั้งตอนด้วย เหตุการณ์เป็นแบบนี้น่าจะมันกว่า มันจะต้องเป็นแบบนี้ๆ
เป็นเรื่องแรกที่พี่เอได้ทำให้กับช่อง 7 รู้สึกขอบคุณช่อง 7 มาก การทำงานครั้งนี้ เริ่มจากมีเดียสตูดิโอจับมือกันทำงาน มาเป็นผู้จัดในบ้านหลังเดิมที่เคยอยู่ตั้งแต่วันแรก ก็ตื่นเต้น นะครับ ไม่รู้ว่าเราจะทำได้ดีขนาดไหน”
เรื่องราวเกี่ยวกับอะไร
“ลิขิตริษยา เป็นละครพีเรียดย้อนยุคไปรัชกาลที่ 6-7-8 มีนักแสดงรุ่นโต แล้วก็รุ่นลูก ช่องให้พี่เอทำละครในยุคที่เสื้อผ้าทุกอย่างต้องจัดเต็ม ต้องใส่หมวก ใส่รองเท้า ใส่ถุงน่อง ทุกคนเดินออกจากบ้านต้องมีแพทเทิร์นของตัวเอง ต้องแต่งตัว เป็นยุคที่ให้คนไทยแต่งตัวสู่ยุคสากล ก็เลยสนุกกับการทำงาน พี่เอสัญญาว่าจะให้เกียรติกับอาชีพผู้จัดละครอย่างเต็มที่ “เสียเงินไม่ว่า เสียหน้าไม่ได้” ครับผม
ส่วนบทละครเรื่องนี้ คนเขียนบทพล็อตขึ้นมาเอง พี่เอมีโอกาสเข้าไปเสนอไอเดียบ้าง แล้วก็มานั่งสเก็ตช์ยุคพ.ศ. มานั่งเลือกประเด็นในหนังสือ วันนี้เป็นการฟิตติ้ง ที่เห็นอาจจะไม่ใช่ชุดไฟนอล สุดท้าย ต้องให้ผู้ใหญ่ทางช่องได้ดูอีกครั้งหนึ่งว่า เขาจะเลือกชุดไหน ต้องไปดูวันบวงสรวงอีกทีหนึ่ง วันนั้นทุกอย่างจะคอมพลีทหมดแล้ว ชุดที่ใส่วันนั้นก็เป็นชุดที่ใช้ในการแสดง คาดว่าน่าจะได้ดูปีนี้ โลเกชั่นหลักอยู่ต่างจังหวัดหมดเลย”
การเป็นนักปั้นมีดาราของตัวเอง เป็นข้อได้เปรียบกว่าผู้จัดคนอื่นไหม
“ไม่ใช่ข้อได้เปรียบ แต่เป็นโอกาส ทำให้พี่เอสามารถปรุงแต่งนักแสดง ซึ่งบางครั้งพี่เอจะไปใช้ให้คนอื่นปรุงแต่งอย่างที่พี่เอต้องการมันก็ไม่ได้ มันเสียมารยาทในการที่ทำงานข้ามไลน์ของตัวเอง แต่วันนี้ เรามาเป็นคนทำเอง เราจะทำอะไรก็ได้ เพราะเงินของเรา
ทุกอาชีพมีขั้นตอนของมัน ต้องขอบคุณอาชีพนักปั้นที่ทำให้พี่เอก้าวขึ้นมาเป็นผู้จัดอีกอาชีพหนึ่ง แต่ไมได้ทิ้งอาชีพนักปั้นนะครับ พี่เอว่า สามารถเกื้อหนุนกันได้ อะไรที่เกื้อหนุนกันได้ก็ควรเก็บไว้นะครับ”
สุดท้ายอยากฝากอะไร
“อยากฝากละครพีเรียดเรื่องแรกที่ทำให้กับช่อง 7 “ลิขิตริษยา” ถ้าใครเคยกินอาหารใต้ รสชาติจัดจ้าน เผ็ด เหงื่อออกท่วมตัว มาดูได้เลยครับในละคร ดุเด็ดเผ็ดมันตลอด แล้วเตรียมไว้เลยนะครับหนามทุเรียน ตัวเอกของเรื่องคือจั้กจั่น เรื่องนี้ร้ายสุดๆ ร้ายจริงๆ ร้ายไม่บันยะบันยัง คนดู ดูแล้วต้องอื้อหือ...เรามีผู้กำกับพี่ผิน ร่วมงานมาตั้งแต่เรื่อง “ใต้ฟ้าตะวันเดียว” ที่ทำกับช่อง 9 ไปถ่ายที่เกาหลี อยู่เกาหลี 2 เดือน มาเป็นผู้กำกับ ก็ต้องขอบคุณพี่ผินด้วยนะครับ”
เป็นละครที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่ง สำหรับผู้ที่ชอบละครพีเรียดย้อนยุค จะได้ชมในปีนี้แน่นอน