เปิดใจทีมงาน! ภาพยนต์
"THE GIVER (เดอะ กิฟเวอร์) พลังพลิกโลก"
THE GIVER ภาพยนตร์ที่นำเสนอเรื่องราวของ โจนาส (เบรนตัน ทเวทส์) เด็กหนุ่มผู้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่ดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบ และเต็มไปด้วยความมีระเบียบและความสุขแม้จะไร้ซึ่งสีสัน แต่เมื่อเขาเริ่มใช้เวลาอยู่กับ ผู้ให้ (เจฟฟ์ บริดเจส) ผู้เก็บรักษาความทรงจำทั้งมวลของชุมชนแห่งนี้ โจนาสก็กลับเริ่มค้นพบความจริงที่สุดแสนจะอันตรายและมืดหม่นในอดีตที่ลึกลับของเมืองแห่งนี้ ด้วยพลังจากสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ ซึ่งเขาก็ตระหนักว่าความเสี่ยงนั้นมากกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้เสียอีก เพราะมันเป็นเรื่องความเป็นความตายสำหรับตัวเขาเองและคนที่เขารักมากที่สุด แม้จะมีโอกาสน้อยเพียงไหนแต่โจนาสก็รู้ว่าเขาจะทำทุกวิถีทางถึงต้องหลบหนีออกจากโลกใบนี้ให้ได้เพื่อปกป้องทุกคนเขาก็จะทำมัน ซึ่งมันเป็นความท้าทายที่ไม่เคยมีใครทำสำเร็จมาก่อน
ภาพยนตร์ THE GIVER สร้างจากนิยายสำหรับเยาวชนชื่อเดียวกันโดยโลอิส โลว์รี ซึ่งได้รับรางวัลนิวเบรี มีดัลปี 1994 และขายได้กว่า 10 ล้านก็อปปี้ทั่วโลก นำแสดงโดย เมอริล สตรีพ , เจฟฟ์ บริดเจส , เบรนตัน ทเวทส์ , เคที โฮล์มส์ , เทย์เลอร์ สวิฟท์ , อเล็กซานเดอร์ สการ์สการ์ด ฯลฯ จากผลงานการกำกับของ ฟิลลิป นอยซ์
เกี่ยวกับงานสร้าง
การพัฒนาเรื่อง
The Giver นิยายไซไฟโดย โลอิส โลว์รี ทำยอดขายได้กว่าสิบล้านเล่มทั่วโลกและเป็นหนังสือ ebook ที่ขายดีที่สุดเล่มหนึ่งของสำนักพิมพ์ฮาร์เปอร์ คอลลินส์ ปัจจุบันนี้ นิยาย ‘เยาวชน’ กลายเป็นหนังสือที่นักเรียนมัธยมทั่วอเมริกาต้องอ่าน และมีฐานแฟนรุ่นเยาว์จำนวนมาก
ภาพยนตร์เรื่อง THE GIVER เป็นเหมือนการทำความฝันที่ยาวนานยี่สิบปีให้กลายเป็นจริงสำหรับนักแสดง เจฟฟ์ บริดเจส ผู้ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างของเรื่องด้วย “…ลูกสาวผมได้อ่านหนังสือเรื่องนี้ และก่อนหน้าที่ผมจะรู้ว่าพวกเธอได้อ่านหนังสือเรื่องนี้ ผมก็มองหาหนังที่ผมจะสามารถกำกับ ลอยด์ บริดเจส พ่อของผมได้ แล้วผมก็อยากจะสร้างหนังที่ลูกๆ ผมในตอนนั้นสามารถดูได้ ผมพลิกดูแคตตาล็อกหนังสือสำหรับเด็กและผมก็เจอหน้าปกหนังสือวิเศษสุด ที่มีชายชราอยู่บนหน้าปกแล้วก็คิดว่า ใช่เลย พ่อฉันสามารถรับบทชายคนนั้นได้…”
บริดเจส กล่าวว่า “…ผมคิดว่าจะได้อ่านหนังสือสำหรับเด็ก แต่มันเวิร์คมากสำหรับผู้ใหญ่ และมันต้องเป็นโปรเจ็กต์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับพ่อของผม…” บริดเจส ทำถึงขนาดที่ใช้กล้องวิดีโอของตัวเองถ่ายทำภาพยนตร์ทั้งเรื่อง ที่เขาได้กำกับพ่อของเขาในบทผู้ให้ และหลานชายของเขาในบท โจนาส เขาใช้เวลาหลายปีในการพยายามพัฒนาโปรเจ็กต์นี้ ที่ผ่านการแปลงโฉมหลายครั้งกับผู้กำกับและมือเขียนบทมากหน้าหลายตากว่าสิบห้าปีที่แล้ว บริษัทที่ผู้อำนวยการสร้าง นิกกี้ ซิลเวอร์ กำลังทำงานอยู่ เป็นเจ้าของสิทธิหนังสือเรื่องนี้ ซิลเวอร์ยยอมรับว่าโชคดีที่เธอสามารถครอบครองสิทธินี้ด้วย ตอนนั้น บริดเจสและซิลเวอร์ก็เริ่มพัฒนาและหล่อเลี้ยงโปรเจ็กต์นี้ด้วยกัน รวมถึงพยายามประคับประคองให้มันอยู่รอดด้วย
ซิลเวอร์ อธิบายว่า “…เจฟฟ์มีส่วนเกี่ยวข้องมาจนถึงตอนที่ฉันเจอโปรเจ็กต์นี้แล้วฉันก็โทรหาเขาถามว่าเขายังอยากจะสร้างมันรึเปล่า ซึ่งฉันก็ได้รับคำตอบว่า อยากและหลังจากนั้น ก็คือการเดินทางที่ยาวนานสำหรับฉัน, เจฟฟ์และนีลค่ะ มันยากเป็นพิเศษเพราะทุกคนรักและเคารพนิยายเรื่องนี้ แต่มันก็เป็นทั้งดราม่า และเป็นเรื่องสำหรับเด็กด้วย ซึ่งคำพวกนั้นทำให้หลายคนกลัว แต่ไวน์สตีน คัมปะนีก้าวเข้ามาแล้วเต็มใจที่จะเผชิญความท้าทายนี้กับเราค่ะ…”
กว่าจะมาเป็นบทภาพยนตร์ THE GIVER
ไมเคิล มิทคิน มือเขียนบทเรื่อง THE GIVER ซึ่งเป็นผลงานภาพยนตร์เรื่องที่สองของเขา “…ในตอนที่ ไวน์สตีน ถามว่าผมเคยได้ยินเกี่ยวกับหนังสือเรื่องนี้มั้ย ผมก็บอกพวกเขาว่ามันเป็นหนังสือเล่มโปรดของผมตอนที่ผมโตขึ้น ผมตื่นเต้นและประหม่าอย่างเหลือเชื่อที่มีโอกาสได้เป็นส่วนหนึ่งของโปรเจ็กซ์นี้ การดัดแปลงและแก้ไขมัน ผมรู้สึกเศร้านิดๆ เวลาที่องค์ประกอบเล็กๆ น้อยๆ ต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วยเหตุผลหลายประการ และผมก็เป็นคนที่เปลี่ยนแปลงมัน แต่นั่นเป็นหนึ่งในส่วนที่ยากที่สุดในตอนที่คุณดัดแปลงนิยายให้เป็นบทหนังน่ะครับ… ”
โลว์รี กล่าวว่า “…ฉันได้อ่านบทหนังเล่มแล้วเล่มเล่าจากฝีมือมือเขียนบทหลายๆ คนที่พยายามจะดัดแปลงหนังสือเรื่องนี้ให้กลายเป็นหนัง และมันก็เป็นเรื่องยากด้วยหลายๆ เหตุผล ซึ่งเหตุผลหลักคือหนังสือและหนังเป็นสื่อที่แตกต่างกันมากๆ หนังสือเล่มนี้ไม่ค่อยมีแอ็คชั่นเท่าไหร่ เรื่องราวนี้เกิดขึ้นภายในความคิดของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง การนำเสนอเรื่องนั้นบนหน้าจอก็เลยเป็นเรื่องลำบากมากๆ สิ่งที่พวกเขาต้องการคือบทหนังที่จะซื่อตรงต่อธีมของหนังสือ แต่ก็เพิ่มองค์ประกอบแอ็คชั่นเข้าไป ฉันชื่นชมไมเคิลที่ยอมรับงานนี้ ที่คงจะต้องเป็นความท้าทายอย่างยิ่งยวดสำหรับเขา และทำมันได้ดีเท่ากับที่เขาเคยทำมา…”
เจฟฟ์ บริดเจส กล่าวว่า “…ในช่วง20ปีของการสร้างเรื่องราวนี้ให้กลายเป็นหนัง ผมอยากจะซื่อตรงต่อหนังสือเรื่องนี้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว คุณก็ต้องปล่อยวาง สิ่งที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับธุรกิจหนังก็คือคุณจะได้ทำงานกับคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ ในการใช้ประโยชน์จากเรื่องนั้น คุณจะต้องปล่อยวางจากบางอย่างที่คุณยึดติดกับมัน เราโชคดีที่ได้ไมเคิลมาเขียนบทหนังให้กับเรา เขาคิดไอเดียเยี่ยมๆ ได้มากมาย และเขาก็เปิดกว้างต่อไอเดียของคนอื่นๆ คุณนำเสนอความคิดของคุณออกไป แล้วเขาก็จะคิดมุมมองที่ต่างออกไปเพียงนิดเดียว ที่ทำให้มันดีกว่าความคิดของคุณน่ะครับ…”
ทีมงานเปิดใจถึงผู้กำกับฟิลลิป นอยซ์
ซิลเวอร์ กล่าวว่า “…เรารู้สึกโชคดีมากที่ได้ฟิลลิปมาร่วมงานด้วย สโคปผลงานของเขาเข้ากันได้ดีกับหนังเรื่องนี้ เขานำเสนอหนังแอ็กชันฟอร์มยักษ์อย่าง SALT และ PATRIOT GAMES แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็มีสัมผัสความเป็นมนุษย์ ที่เห็นได้ในหนังฟอร์มเล็กกว่าของเขาอย่าง THE QUIET AMERICAN และ RABBIT PROOF FENCE หนังพวกนั้นมีทั้งหัวใจและเอกลักษณ์ มันเป็นสิ่งที่เรามองหาเพื่อทำให้ THE GIVER เป็นหนังที่พิเศษสุดอย่างแท้จริง ฉันคิดว่าฟิลลิปนำเซนส์ด้านวิชวลที่น่าทึ่งมาใช้กับภูมิประเทศแบบนั้นรวมถึงความอ่อนไหวที่ลึกซึ้งด้วย เขาแสดงให้เห็นถึงการตระหนักรู้ถึงสภาวะความเป็นมนุษย์ที่คล้ายคลึงกันใน RABBIT PROOF FENCE ที่เขาพาเด็กสามคนข้ามทะเลทรายในออสเตรเลีย และต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด…”
ผู้ควบคุมงานสร้าง ราล์ฟ วินเทอร์ กล่าวว่า “…ฟิลลิปมีผลงานที่ยอดเยี่ยม ตั้งแต่ DEAD CALM มาแล้วครับ เขามีสายตาเฉียบคมในเรื่องรายละเอียดว่าเรื่องราวจะถูกบอกเล่าอย่างไร จะออกแบบโลกใบนั้นอย่างไร และเขาก็เคยผ่านงานแบบนี้มาแล้วกับนักแสดงและหนังจำนวนมาก ผมรู้สึกโชคดีมากที่ได้ร่วมงานกับเขาในหนังเรื่องนี้…”
มือลำดับภาพแบร์รี บราวน์ กล่าวว่า “…ฟิลลิปมีผลงานที่วิเศษสุดมากๆ แต่ผมคิดว่าเขาไม่เคยทำอะไรที่เหมือนกับหนังเรื่องนี้หรอก ผมไม่รู้ว่าพวกเราคนไหนจะเคยผ่านอะไรแบบนี้มาก่อนรึเปล่าด้วย ซึ่งก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ผมอยากจะทำงานนี้ เพราะมันแปลกประหลาดเหลือเกินครับ…”
การคัดเลือกนักแสดง THE GIVER
ซิลเวอร์ กล่าวว่า “…นอกจากเนื้อเรื่องที่น่าตื่นเต้นแล้ว การที่ลูกๆ ของเจฟฟ์และเมอริลได้อ่านหนังสือเรืองนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับทีมของเรา การได้นักแสดงที่ฝีมือเยี่ยมที่สุดสองคนในรุ่นของเรา ที่ไม่เคยแสดงร่วมกันมาก่อน มาประชันฝีมือกันด้วยหลักปรัชญาสองแนวทาง เป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นอย่างเหลือเชื่อค่ะ นอกเหนือจากนักแสดงมากประสบการณ์อย่างอเล็กซานเดอร์ สการ์สการ์ดและเคที โฮล์มส์แล้ว เรายังมีทีมนักแสดงดาวรุ่งที่เหลือเชื่อด้วย แม้ว่าเขาจะอายุมากกว่าแต่เบรนตัน ทเวทส์ก็มีคุณลักษณะทุกอย่างเหมือนโจนาสในหนังสือเรื่องนี้ ที่มีอายุน้อยกว่าเลยค่ะ ทุกคนจะตกหลุมรักโอเดยา รัชในบทฟิโอนา ความไร้เดียงสาและอ่อนเยาว์ของเธอเพอร์เฟ็กต์สำหรับตัวละครตัวนี้ และเธอก็สวยจนหลายคนจะต้องตกตะลึง ฉันเชื่อว่าคาเมรอน โมนาแกน ที่รับบทแอชเชอร์ หนึ่งในสามนักแสดงเด็กคนสำคัญของเรา เป็นคนที่น่าจับตามองค่ะ…”
บริดเจส กล่าวว่า “…ผมอึดอัดกับการเลือกคนอายุยี่สิบสี่ปีมารับบทโจนาสที่อายุสิบสองปีในหนังสือ แต่พอผมได้พบกับเบรนตัน เราก็เข้ากันได้ดีในทันที และเขาก็แสดงบทโจนาสได้อย่างวิเศษสุด มันทำให้ผมรู้ว่าตัวเองคิดผิดครับ! เขามีจิตวิญญาณอย่างที่โลอิสเน้นย้ำว่าสิ่งสำคัญไม่ใช่การซื่อตรงต่อข้อเท็จจริงทั้งหมดในหนังสือเรื่องนี้ แต่เป็นการนำเสนอจิตวิญญาณของหนังสือเรื่องนี้…”
ซิลเวอร์ ตื่นเต้นกับการเลือก เทย์เลอร์ สวิฟท์ เขาเล่าว่า “…เราเขียนบทโรสแมรีให้เป็นนักเปียโน ก่อนที่เราจะหวังให้เทย์เลอร์มาร่วมงานกับเราเสียอีก หนึ่งในผู้บริหารของไวน์สตีน เห็นเทย์เลอร์ในการแสดงไลฟ์ และบอกว่าเธอวิเศษมาก ตัวละครของเธอเป็นตัวละครที่ใส่ลงไปในหนังได้ลำบากเพราะในหนังสือ เธอไม่ได้อยู่ในชุมชนอีกแล้ว เพราะเธอทนฝึกฝนการเป็นผู้รับความทรงจำได้เพียงห้าสัปดาห์เท่านั้นเอง ระหว่างการถ่ายทำ เทย์เลอร์ได้แสดงบทโรสแมรีอย่างมีชีวิตชีวา และเธอก็เพิ่มแง่มุมทางดนตรีของตัวเองเข้าไป มันเป็นเรื่องน่าทึ่งเสมอสำหรับฉันที่เราเขียนตัวละครตัวนี้ขึ้นมาให้เป็นเหมือนเทย์เลอร์ ก่อนที่เราจะนึกถึงการเลือกเทย์เลอร์มารับบทนี้อีกค่ะ…”
เปิดใจนักแสดง THE GIVER
บริดเจน รับบทสำคัญอย่าง ผู้ให้ ผู้ดูเหมือนจะสูงอายุ แต่จริงๆ แล้ว ไม่ใช่เลย แต่เขารู้สึกอ่อนล้าเพราะเขาแบกรับภาระหนักของการเก็บรักษาความทรงจำทั้งมวลของมนุษยชาติเอาไว้ แม้ว่าเขาจะใช้ความเฉลียวฉลาดของเขาในการช่วยคณะผู้อาวุโสตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ แต่เขาก็ถูกห้ามไม่ให้แบ่งปันความรู้ของเขาหรือใช้มันสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นในชุมชน เขาพูดถึงตัวละครของเขาว่า
“…แม้ว่าผู้อาวุโสจะไม่ต้องการความทรงจำและประวัติศาสตร์ แต่พวกเขาก็เข้าใจดีถึงคุณค่าของความทรงจำและไม่อยากจะทำผิดซ้ำๆ ดังนั้น ความทรงจำทั้งหมดก็เลยถูกลดลงให้อยู่กับคนๆ เดียวที่รักษามันไว้ ซึ่งนั่นก็คือผู้ให้ครับ…”
ด้านเบรนตัน เล่าว่า “…ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องราวการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่คลาสสิกมากๆ และมันก็นำเสนออารมณ์ที่เราทุกคนต่างก็เคยเจอ นั่นคือความรัก ความเจ็บปวด การหักหลัง ความกระหายในชีวิตและการผจญภัย ตอนเป็นเด็ก ผมอยากจะเดินทางและได้พบเจอสิ่งต่างๆ ผมคิดว่าโจนาสทำแบบนั้นในช่วงท้ายของการเดินทางในตอนที่เขาสามารถหนีได้ในที่สุดครับ สองสัปดาห์แรกของการถ่ายทำเป็นอะไรที่น่าทึ่งมาก เราอยู่กันในห้องของผู้ให้เป็นหลัก เพื่อถ่ายทำการส่งต่อความทรงจำ มันเป็นฉากที่น่าตื่นตาตื่นใจ เต็มไปด้วยหนังสือเหมือนกับห้องสมุดเลย ในสิ่งแวดล้อมสสร้างสรรค์แบบนั้นเองที่ตัวละครของผมได้ค้นพบสีแดงเป็นครั้งแรก จากโทรศัพท์ยุค 60s ที่งดงามน่ะครับ” เขายังกล่าวเสริมด้วยว่า เขาได้เรียนรู้อย่างมากจากการร่วมงานกับบริดเจส “เจฟฟ์เต็มใจที่จะอิมโพรไวส์และทำเรื่องพิลึกเล็กๆ น้อยๆ ก่อนหน้าการถ่ายทำเพื่อช่วยผมและมันก็สอนให้ผมทำแบบเดียวกันให้กับเขาน่ะครับ…”
เทย์เลอร์ เล่าถึงความสนใจที่เธอมีต่อโปรเจ็กต์นี้ว่า “…ฉันจำได้ว่าหนังสือเรื่องนี้กระทบใจฉันมากๆ ในตอนที่ฉันอ่านมันสมัยเรียน พอฉันอ่านบทหนังเรื่องนี้ ฉันก็นึกภาพตัวละครที่รับบทโดยนักแสดงที่เหลือเชื่อพวกนี้ ทั้งเจฟฟ์ บริดเจสและเมอริล สตรีพ ผู้เซ็นสัญญาร่วมงานนี้แล้ว ฉันตื่นเต้นและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับบทโรสแมรีค่ะ ฉันคิดว่าเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ฉันถูกทาบทามสำหรับบทนี้เพราะผู้บริหารเคยเห็นฉันร้องเพลงที่สะเทือนอารมณ์ระหว่างนั่งอยู่ที่เปียโน อย่างที่เราเห็นโรสแมรีทำในหนังเรื่องนี้ แม้ว่าเราจะเห็นเธอเพียงไม่กี่ครั้ง แต่โรสแมรีจะถูกพูดถึงตลอดทั้งเรื่อง เธอเป็นตัวละครที่น่าสนใจมากสำหรับฉันเพราะเธอทำให้ฉันนึกถึงศิลปินสมัยใหม่ หลายครั้ง คุณจะเจอคนที่เปราะบางเหลือเกิน ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จในการสร้างงานศิลปะน่ะค่ะ แต่มันก็อาจเป็นหายนะของพวกเขาได้ด้วยเช่นกัน เหมือนในกรณีของโรสแมรี เธอรับรู้มากเกินไป และไม่สามารถรับมือกับมันได้ ฉันคิดว่าเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นในสังคมยุคปัจจุบันของเราตลอดเวลาเลยค่ะ การแสดงเป็นเรื่องใหม่สำหรับฉัน ดังนั้นในการเข้ามาในสถานการณ์นี้ ฉันก็พูดกับทุกคนว่า ‘ฉันชื่นชอบการวิพากษ์วิจารณ์แบบสร้างสรรค์ อะไรก็ตามที่คุณอยากจะบอกฉัน อะไรก็ตามที่คุณอยากให้ฉันแก้ไข...ฉันอยากจะเรียนรู้ค่ะ การทำงานกับฟิลลิปเป็นฝันที่เป็นจริงเพราะเขาจะชักนำคุณสู่ห้วงความคิดของตัวละคร แต่เขาก็จะยอมให้คุณอาศัยแรงบันดาลใจของตัวเองด้วย ส่วนการร่วมงานกับเจฟฟ์ บริดเจสในหนังฟอร์มยักษ์เรื่องแรกของฉันเป็นอะไรที่เจ๋งสุดๆ และเป็นเหมือนฝันเลย เขาเป็นคนที่เอาใจใส่ ใจดีและเป็นมิตรมากๆ ค่ะ…”
สการ์สการ์ด รับบท พ่อของโจนาสและลิลลี่ หน้าที่ของเขาในชุมชนคือการเป็นผู้หล่อเลี้ยง ที่คอยดูแลความต้องการทางร่างกายและจิตใจของเด็กเกิดใหม่ทุกคนในช่วงสองสามเดือนแรกของชีวิต และยังเป็นผู้รับผิดชอบการปลดปล่อยหรือการสังหารทารกที่ถูกตัดสินว่าไร้ประโยชน์
“…บทหนังเรื่อง THE GIVER ให้ความรู้สึกเหมือนมุมมองที่น่าสนใจต่อโลกใบนั้น” เขากล่าว “เมื่อมองแวบแรก เหมือนสังคมนี้จะสมบูรณ์แบบ ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความทุกข์ทรมาน ไม่มีการคิดวิพากษ์วิจารณ์ เรา อย่างน้อยที่สุดก็ในสังคมของเรา รู้ว่าจะถามคำถามอะไร แต่ พ่อไม่รู้จักคอนเซ็ปต์ของความรัก หรือความตาย ดังนั้น ชีวิตของเขาก็เลยตื้นเขินครับ ตอนผมยังเล็ก พ่อแม่สอนผมให้ตั้งคำถามกับทุกสิ่งและกับผู้มีอำนาจทั้งหมด พ่อผมพูดเสมอว่า พ่อเป็นคน พ่อก็ทำเรื่องผิดพลาด’ มันก็เลยเป็นเรื่องที่ท้าทายและน่าสนใจมากๆ สำหรับผมในฐานะนักแสดงที่จะไปถึงระดับนั้น คนที่ไม่ได้ไร้เดียงสา แต่กลับไม่รู้สิ่งที่ควรจะรู้น่ะครับ…”
เคที โฮล์มส์ รับบท แม่ของโจนาสและลิลลี่ เธอทำงานในกรมยุติธรรมและบังคับให้ทุกคนปฏิบัติตามกฎของชุมชนอย่างเคร่งครัด “…เราให้ความสำคัญไปที่การตีความธรรมชาติสองแบบของตัวละครของฉัน ความเข้มแข็งที่จำเป็นต่อเธอในการทำงานนี้ และความเปราะบางของเธอในการเป็นแม่ของโจนาส ที่มีประสบการณ์ในแบบที่เธอไม่อาจเข้าใจหรือควบคุมได้ เธอเฝ้ามองลูกของเธอไปไกลจากเธอและเติบโตขึ้น ท้ายที่สุดแล้ว เธอก็ต้องปล่อยเขาไป ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่ค่ะ…”
เกี่ยวกับสถานที่ถ่ายทำ
การถ่ายทำภาพยนตร์ THE GIVER เกิดขึ้นตามโลเกชั่นทั้งในและรอบๆ เคปทาวน์ ประเทศเซาธ์แอฟริกา ผู้ออกแบบงานสร้าง เอ็ด เวอร์โรซ์ ผู้ซึ่งความสำเร็จในอาชีพของเขาในการออกแบบสถานที่ไกลโพ้น ที่ไม่ได้อยู่ในโลกใบนี้ รวมถึงวิชวล เอฟเฟ็กต์ในภาพยนตร์แฟนตาซีอย่าง CONTACT, MISSION TO MARS และ JURASSIC PARK 3
“…ในหนังสือเรื่องนี้ มีการบ่งบอกถึงข้าวของหลายอย่างเป็นนัยๆ ซึ่งเป็นเรื่องวิเศษสุดเพราะคุณสามารถปลดปล่อยจินตนาการตัวเองให้โลดแล่นได้ แต่มันก็เป็นความท้าทายในการทำงานวรรณกรรมด้วย ในการสร้างโลกใบนี้ขึ้นมา เราต้องทำให้มันเกิดความรู้สึกคล้ายคลึงกันขึ้นมา” เวอร์โรซ์เล่าว่าเขามองภาพยนตร์เรื่อง GATTACA เป็นตัวอย่าง “มันเป็นหนังที่มีสไตล์เฉียบคมมากๆ ที่มีลุคที่เฉพาะเจาะจง ด้วยการสร้างหนังขึ้นมารอบๆ โครงสร้างสถาปัตยกรรมร่วมสมัย เราต้องสร้าง ‘ตึกโลก’ ขึ้นมาเพื่อสร้างโลกคู่ขนานใบนี้ขึ้นมาครับ ในการนำเสนอโลกที่เป็นหนึ่งเดียว ที่ซึ่งทุกอย่างเหมือนกัน เราใช้วัตถุดิบจากพลาสติกและเหล็ก เพื่อสร้างโลกที่ดูสะอาด เรียบร้อยและเหมือนกันไปหมดครับ…”
ฉากใหญ่ๆ ถูกใช้เพื่อถ่ายทอดองค์ประกอบของเรื่องราว เช่นการเฉลิมฉลองของชุมชนในโอเดียนที่กว้างใหญ่ ทีมผู้สร้างได้สำรวจโลเกชันต่างๆ ทั่วทั้งเซาธ์แอฟริกา ที่ซึ่งพวกเขาพบสนามกีฬาที่สามารถจุคนได้ 100,000 คน อย่างไรก็ดี เนื่องด้วยข้อจำกัดด้านโลจิสิก เทคนิคและงบประมาณ ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เลยถ่ายทำในเคป ทาวน์ ที่ซึ่งมีการสร้างสเตจและโครงสร้างที่มีเอกลักษณ์ ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับพวกเขาระหว่างการสำรวจ เช่นประตูโค้งของสนามกีฬา ด้วยวิชวล เอฟเฟ็กต์
วินเทอร์ กล่าวจากมุมมองของผู้ควบคุมงานสร้างว่า “…หนึ่งในความท้าทายชิ้นใหญ่ที่สุดในการสร้างหนังเรื่องนี้คือการหาทุกอย่างที่เราต้องการเพื่อสร้างโลกของหนังเรื่องนี้และแบบดีไซน์ที่เฉพาะเจาะจงภายใต้งบประมาณที่ไม่สูงนัก เราต้องคิดหาคำตอบว่าเราจะขยายเรื่องราวของโจนาสออกไปมากแค่ไหน เขาจะไปไหนและเขาจะไปถึงที่นั่นได้อย่างไร เราเพิ่มหลายสิ่งเข้าไประหว่างทางด้วยเหมือนหุ่นดรอนหรือการใช้เทคโนโลยีต่างๆ ครับ…”
ประวัตินักแสดง
เมอริล สตรีพ รับบท หัวหน้าผู้อาวุโส
เธอเริ่มต้นอาชีพนักแสดงบนเวทีละครนิวยอร์ก ที่ซึ่งเธอได้สร้างเอกลักษณ์ในฐานะนักแสดงอย่างรวดเร็ว ภายเวลาสามปีหลังจากที่เธอสำเร็จการศึกษา เธอก็ได้เปิดตัวบนเวทีบรอดเวย์ ได้รับรางวัลเอ็มมี (สำหรับ Holocaust) และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ (สำหรับ The Deerhunter) ในปี 2013 เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดครั้งที่ 18 ซึ่งเป็นสถิติที่ไม่มีใครทาบได้ จากกาแสดงในบทไวโอเล็ต เวสตันในภาพยนตร์เรื่อง August: Osage Country การแสดงของเธอยังทำให้เธอได้รับรางวัลลูกโลกทองคำและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแซ็ก อวอร์ด หลังจากนี้ เธอจะได้แสดงในภาพยนตร์โดยทอมมี ลี โจนส์เรื่อง The Homesman, ภาพยนตร์โดยไวน์สตีน คัมปะนีเรื่อง The Giver, ภาพยนตร์ดิสนีย์เรื่อง Into the Woods และ The Suffragette ประกบแคร์รีย์ มัลลิแกนและเฮเลนา บอนแฮม คาร์เตอร์ หลังจากนี้ เธอจะเริ่มต้นถ่ายทำภาพยนตร์โดยเดียโบล โคดี้เรื่อง Ricki and the Flash
เจฟฟ์ บริดเจส รับบท ผู้ให้ / ผู้อำนวยการสร้าง
การแสดงของ เจฟฟ์ บริดเจส หนึ่งในนักแสดงที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในฮอลลีวู้ด และได้รับการเสนอชื่อชิงหกรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ใน “Crazy Heart” ในบทแบ๊ด เบลค ทำให้นักแสดงคนดังผู้นี้ได้รับรางวัลออสการ์ครั้งแรกสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม นอกจากนั้น การแสดงครั้งนั้นยังทำให้เขาได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ รางวัลแซ็ก อวอร์ดและรางวัลไอเอฟพี/สปิริต อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม
เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ในปี 1971 ในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมในภาพยนตร์โดย ปีเตอร์ บ็อกดาโนวิชเรื่อง “The Last Picture Show” สามปีให้หลัง เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมครั้งที่สองจากการแสดงในภาพยนตร์โดยไมเคิล ซิมิโนเรื่อง “Thunderbolt and Lightfoot” พอถึงปี 1984 เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก “Starman” นอกจากนั้น การแสดงครั้งนั้นยังทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำอีกด้วย ในปี 2001 เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ครั้งที่สี่จากการแสดงของเขาใน “The Contender” ทริลเลอร์การเมืองโดยร็อด ลูรีย์ จากนั้น เขาได้ร่วมงานกับพี่น้องโคเอนอีกครั้งในภาพยนตร์เวสเทิร์นชื่อดังเรื่อง “True Grit” ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ครั้งที่หก ในเดือนเดียวกัน เขาได้แสดงในภาพยนตร์แอ็กชันผจญภัย 3D ที่หลายคนรอคอย “TRON: Legacy” เขาได้กลับมารับบทเควิน ฟลินน์ และเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เขาได้แสดงในแอ็กชันผจญภัยเหนือธรรมชาติเรื่อง “R.I.P.D” ประกบไรอัน เรย์โนลด์ส, เควิน เบคอนและแมรี-หลุยส์ ปาร์คเกอร์ สำหรับผู้กำกับโรเบิร์ต ชเวงค์เก้
ภาพยนตร์โดยมาร์ติน เบลเรื่อง “American Heart” (ประกบเอ็ดเวิร์ด เฟอร์ลอง ภายใต้การอำนวยการสร้างของแอสอิส โปรดักชันส์ บริษัทของบริดเจส) ภาพยนตร์เรื่องนั้นทำให้บริดเจสได้รับรางวัลไอเอฟพี/สปิริต อวอร์ดในปี 1993 สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม และในปี 2004 เขาได้แสดงประกบคิม บาซิงเจอร์ในภาพยนตร์ดังเรื่อง “The Door in the Floor” สำหรับผู้กำกับท็อดด์ วิลเลียมส์ และโฟกัส ฟีเจอร์ส ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลไอเอฟพี/สปิริต อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม
หนึ่งในสิ่งที่เจฟฟ์รักจริงๆ คือการถ่ายภาพ ระหว่างที่อยู่ในกองถ่าย เจฟฟ์ได้ถ่ายภาพเบื้องหลังของนักแสดง ทีมงานและโลเกชั่น ภาพถ่ายของเจฟฟ์ได้ลงนิตยสารหลายเล่ม หนังสือของเขา ที่ได้รับการยกย่องจากบรรดานักสะสม ไม่เคยถูกคิดว่าจะนำมาขาย แต่ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2003 สำนักพิมพ์พาวเวอร์เฮาส์ บุ๊คส์ได้ตีพิมพ์ Pictures: Photographs by Jeff Bridges หนังสือปกแข็งที่รวมภาพถ่ายที่เขาถ่ายในโลเกชันถ่ายทำต่างๆ ในช่วงเวลาหลายปี ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ชื่นชม รายได้จากหนังสือเล่มนี้ถูกบริจาคให้กับกองทุนภาพยนตร์และโทรทัศน์ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ที่ให้การดูแลและการสนับสนุนคนทำงานในแวดวงภาพยนตร์
เบรนตัน ทเวทส์ รับบท โจนาส
การก้าวขึ้นสู่ความโด่งดังของทเวทส์เริ่มต้นขึ้นในตอนที่เขาได้แสดงภาพยนตร์ปี 2012 ทางไลฟ์ไทม์ แชนแนลเรื่อง Blue Lagoon: The Awakening การแสดงที่โดดเด่นของเขาทำให้เขาได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมและทำให้เขาสามารถคว้าบทเจ้าชายใน Maleficent ที่หลายคนหมายปองมาได้ ภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชันจากวอลท์ ดิสนีย์ที่เป็นการรีเมก Sleeping Beauty ซึ่งเขาได้แสดงประกบแองเจลินา โจลีและแอลล์ แฟนนิง
เมื่อเร็วๆ นี้ เพิ่งมีการประกาศว่าเขาจะรับบทนำในภาพยนตร์เรื่อง Gods of Egypt ที่เขาจะนำแสดงประกบเจอราร์ด บัตเลอร์, นิโคลัจ คอสเตอร์-วัลเดาจาก Game of Thrones และเจฟฟรีย์ รัช
หลังจากนี้ เขาจะได้ร่วมแสดงในทริลเลอร์อาชญากรรม Son of a Gun ในบทลูกศิษย์ของยวน แม็คเกรเกอร์ ตามด้วยภาพยนตร์ไซไฟเรื่อง The Signal ประกบลอว์เรนซ์ ฟิชเบิร์น นอกจากนี้ เขายังเพิ่งปิดกล้องภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดีที่กำกับโดยเฮเลน ฮันท์อีกด้วย
ความสามารถหลากหลาย พรสวรรค์และเสน่ห์เหลือล้นทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในนักแสดงหนุ่มที่เป็นที่จับตามองและได้รับเลือกสูงสุดในฮอลลีวูด เขาเริ่มต้นอาชีพนักแสดงในซีรีส์ออสเตรเลียเรื่อง Home and Away, SLiDE และ Sea Patrol เขาสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีควีนส์แลนด์ เขาเปิดตัวในโลกภาพยนตร์ในภาพยนตร์อินดีเรื่อง Charge Over You ปัจจุบัน เขาใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิส
อเล็กซานเดอร์ สการ์สการ์ด รับบท พ่อของโจนาส
เขาเริ่มต้นอาชีพนักแสดงตั้งแต่อายุแปดขวบและทำงานในจอแก้วและจอเงินของสวีเดนอย่างสม่ำเสมอ สการ์สการ์ดได้ศึกษาการละครที่มหาวิทยาลัยลีดส์ เมโทรโพลิแทนในอังกฤษ และที่แมรีเมาท์ แมนฮัตตัน คอลเลจในนิวยอร์ก เขากลับไปสวีเดนและได้แสดงในละครหลายเรื่องที่ทำให้เขาเป็นดาราดังในประเทศบ้านเกิดของเขา การไปเยือนลอสแองเจลิสทำให้เขาได้รับบทในคอเมดีฮิตเรื่อง Zoolander (2001) ที่เขาได้แสดงประกบเบน สติลเลอร์และวิล เฟอร์เรล
เขาแจ้งเกิดในอเมริกาได้ด้วยมินิซีรีส์ HBO เรื่อง Generation Kill (2008) การแสดงในบทนาวาเอกแบรด “ไอซ์แมน” โคลเบิร์ทได้สร้างความประหลาดใจให้กับทั้งนักวิจารณ์และผู้ชม หลังจากภาพยนตร์เรื่องนั้น สการ์สการ์ดก็ได้รับเลือกให้รับบท อีริค นอร์ธแมน แวมไพร์ไวกิ้ง อายุพันปี ในซีรีส์ฮิตทางเอชบีโอเรื่อง True Blood (2008) ในทันที โดยในซีรีส์นี้ เขาได้แสดงประกบแอนนา พาควินและสตีเฟน โมเยอร์ ซีรีส์นี้ประสบความสำเร็จด้วยบทคุณภาพ การแสดงยอดเยี่ยมและความหลงใหลแวมไพร์ของผู้ชม ปัจจุบัน True Blood จะเริ่มต้นซีซันที่เจ็ดในปี 2014
เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งแสดงในภาพยนตร์โดยฟ็อกซ์ เสิร์ชไลท์เรื่อง The East (2012) ที่กำกับโดยซัล แบทแมนกลิจและนำแสดงโดยบริท มาร์ลิงและเอลเลน เพจ, What Maisie Knew (2012) ที่กำกับโดยเดวิด ซีเกลและสก็อต แม็คกีฮีและนำแสดงโดยจูลีแอนน์ มัวร์และสตีฟ คูแกน, Disconnect (2012) ที่กำกับโดยเฮนรี อเล็กซ์ รูบินและแสดงประกบพอลลา แพตตัน, เจสัน เบทแมนและอังเดร ไรซ์โบโรห์ และ Hidden (2013) ที่เขาร่วมแสดงกับไรซ์โบโรห์ สำหรับวอร์เนอร์ บรอส. ภายใต้การกำกับของแมทท์ และรอส ดัฟเฟอร์
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ภาพยนตร์ยูนิเวอร์แซลเรื่อง Battleship , ภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลโดยลาร์ส วอน เทรียร์เรื่อง Melancholia ที่นำแสดงโดยเคิร์สเตน ดันส์และรีเมกโดยร็อด ลูรีย์เรื่อง Straw Dogs
เคที โฮล์มส์ รับบท แม่ของโจนาส
เคที โฮล์มส์ นักแสดงหญิงผู้ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมจากบทบาทหลากหลายบนเวทีละครและจอเงิน ได้แสดงในภาพยนตร์ที่โด่งดังหลายเรื่อง ตั้งแต่ภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์แอ็กชันเรื่อง Batman Begins ที่กำกับโดยคริสโตเฟอร์ โนแลน ไปจนถึงภาพยนตร์อาร์ตเฮาส์อย่าง The Ice Strom โดยอังลีและ Pieces of April โดยปีเตอร์ เฮดเจส
เมื่อเร็วๆ นี้ เธอได้แสดงในคอเมดีตลกร้ายเรื่อง Miss Meadows ที่กำกับโดยคาเรน ลีห์ ฮ็อปกินส์ และเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ไทรเบกา หลังจากนี้ เธอจะได้แสดงในดรามายูโทเปียเรื่อง The Giver ประกบเมอริล สตรีพ และเจฟฟ์ บริดเจส ที่จะเข้าฉายในเดือนสิงหาคม ปี 2014 นอกจากนี้ เธอยังเป็นพรีเซนเตอร์และเจ้าของร่วมของแบรนด์อัลเทมา แฮร์ แคร์อีกด้วย
ในปี 2012 เธอได้แสดงในละครบรอดเวย์เรื่อง Dead Accounts ประกบโนเบิร์ต ลีโอ บัทซ์ ก่อนหน้านี้ เธอได้เปิดตัวบนเวทีบรอดเวย์ในละครปี 2008 โดยอาร์เธอร์ มิลเลอร์เรื่อง All My Sons ซึ่งโฮล์มส์ได้แสดงประกบจอห์น ลิธโกว์, แพทริค วิลสันและไดแอน เวสต์ การแสดงในบทแอนของเธอได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมอย่างล้นหลามและทำให้เธอโด่งดังในฐานะนักแสดงหญิงผู้ประสบความสำเร็จทั้งบนเวทีละครและจอเงิน
อาชีพนักแสดงจอเงินของเธอเริ่มต้นในปี 1996 เมื่อเธอได้รับบท ‘ลิบเบ็ทส์ เคซีย์’ ประกบโทบี้ แม็กไกวร์และซิเกอร์นีย์ วีฟเวอร์ในดรามารางวัลโดยอังลีเรื่อง The Ice Storm นับตั้งแต่นั้นมา เธอก็ได้ร่วมงานกับนักแสดงและผู้กำกับที่โด่งดังที่สุดในฮอลลีวูดหลายคน ผลงานของเธอรวมถึงภาพยนตร์โดยเคอร์ติส แฮนสันเรื่อง Wonder Boys, ภาพยนตร์โดยเจสัน ไรท์แมนเรื่อง Thank You for Smoking, ภาพยนตร์โดยแซม ไรมีเรื่อง The Gift, ภาพยนตร์โดยสตีเฟน กาแกนเรื่อง Abandon, ภาพยนตร์โดยดั๊ก ลีแมนเรื่อง Go, ภาพยนตร์โดยโจเอล ชูมัคเกอร์เรื่อง Phone Booth, ภาพยนตร์โดยคีธ กอร์ดอนเรื่อง The Singing Detective, ภาพยนตร์โดยฟอเรสต์ วิทเทคเกอร์เรื่อง First Daughter, ภาพยนตร์โดยเควิน วิลเลียมสันเรื่อง Teaching Mrs. Tingle David Nutter’s Disturbing Behavior, ภาพยนตร์โดยดิโต้ มอนทีลเรื่อง The Son of No One ประกบอัล ปาชิโนและจูเลียต บินอช, ทริลเลอร์ที่อำนวยการสร้างโดยกุยเลอร์โม เดล โทโรเรื่อง Don’t Be Afraid of The Dark, ภาพยนตร์โดยชารี สปริงเกอร์ เบอร์แมน และโรเบิร์ต ปุลชินีเรื่อง The Extra Man ประกบจอห์น ซี. ไรลีย์, คอเมดีโดยเควิน ไคลน์, พอล ดาโนและโซนีเรื่อง Jack and Jill ประกบอดัม แซนด์เลอร์ นอกจากนั้น โฮล์มส์ยังได้ควบคุมงานสร้างและนำแสดงในภาพยนตร์โดยมือเขียนบท/ผู้กำกับ กอลท์ นีเดอร์ฮอฟเฟอร์เรื่อง The Romantics โรแมนติกดรามารวมดาราที่เธอแสดงประกบแอนนา พาควิน, จอช ดูฮาเมล, มาลิน เอเคอร์แมน, แคนดิซ เบอร์เกนและเอไลจาห์ วู้ด
เทย์เลอร์ สวิฟท์ รับบท โรสแมรี
เจ้าของเจ็ดรางวัลแกรมมี และเป็นผู้ชนะรางวัลที่ทรงเกียรติที่สุดในประวัติศาสตร์โลกดนตรี ซึ่งก็คือรางวัลแกรมมี อวอร์ดสาขาอัลบัมแห่งปี เธอเป็นศิลปินหญิงคนเดียวในประวัติศาสตร์ดนตรี (และเป็นศิลปินคนที่สี่) ที่มียอดขายอัลบัมพุ่งถึงระดับหนึ่งล้านก็อปปี้ภายในสัปดาห์แรกเป็นจำนวนสองอัลบัม (RED ในปี 2012 และ Speak Now ในปี 2010) อัลบัม RED ทำให้เทย์เลอร์กลายเป็นศิลปินคนแรกนับตั้งแต่เดอะ บีเทิลส์ (และศิลปินหญิงคนเดียวในประวัติศาสตร์) ที่มีอัลบัมสามชุดติดอันดับหนึ่งเป็นเวลาหกสัปดาห์หรือมากกว่าติดต่อกัน RED ติดอันดับหนึ่งในชาร์ตบิลบอร์ด 200 อัลบัมนานเจ็ดสัปดาห์ และมียอดขายสูงสุดเป็นอันดับสองสำหรับศิลปินหญิง ซิงเกิล “We Are Never Ever Getting Back Together” จากอัลบัม RED ของเธอ สร้างสถิติในฐานะเพลงที่ทำยอดขายทางดิจิตอลได้สูงสุดสำหรับศิลปินหญิง และทำยอดขายได้มากที่สุดในรอบสัปดาห์เป็นอันดับสอง สำหรับ RED เทย์เลอร์ได้สร้างสถิติใหม่สำหรับ iTunes ด้วยยอดขายสัปดาห์แรกสูงสุด และอัลบัมนี้ก็ติดอันดับหนึ่งในชาร์ต iTunes และชาร์ตเพลงใน 50 ประเทศ รวมถึงอังกฤษ แคนาดา บราซิล ญี่ปุ่น เม็กซิโก มาเลเซีย ไอร์แลนด์ อาร์เจนตินา นิวซีแลนด์ ไอร์แลนด์และออสเตรเลีย
เทย์เลอร์ได้พากย์เสียง ออเดรย์ในภาพยนตร์ฮิตปี 2012 เรื่อง Dr.Seuss’ The Lorax และได้แต่งเพลงเอนด์เครดิต “Sweeter Than Fiction” สำหรับภาพยนตร์เรื่อง One Chance ภาพยนตร์ชีวประวัติของพอล พอตส์ ผู้ชนะรายการ Britain’s Got Talent นอกจากนี้ เธอยังได้แต่งเพลงสองเพลงให้กับซาวน์แทร็คภาพยนตร์เรื่อง The Hunger Games และได้รับรางวัลแกรมมี อวอร์ดสาขาเพลงยอดเยี่ยมที่แต่งสำหรับสื่อวิชวล รวมถึงได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขาเพลงดั้งเดิมยอดเยี่ยมอีกด้วย เธอเป็นพิธีกรรายการ Saturday Night Live ได้แสดงในภาพยนตร์โดยแกร์รี มาร์แชลเรื่อง Valentine’s Day และรับบทดารารับเชิญในซีรีส์รางวัลเอ็มมีเรื่อง CSI
ประวัติทีมผู้สร้างภาพยนตร์
ฟิลลิป นอยซ์ (ผู้กำกับ)
ฟิลลิป นอยซ์ ได้รู้จักกับภาพยนตร์ใต้ดินที่ผลิตด้วยทุนสร้างต่ำและภาพยนตร์เมนสตรีมอเมริกัน เขาอายุได้ 18 ปีตอนที่เขาได้สร้างภาพยนตร์เรื่องแรก BETTER TO REIGN IN HELL ภาพยนตร์ 15 นาที ที่ใช้แผนการหาทุนแปลกใหม่ ด้วยการขายบทในภาพยนตร์ให้กับเพื่อนๆ ของเขา
ภาพยนตร์อาชีพเรื่องแรกของนอยซ์คือด็อคคิวดรามา 50 นาที เรื่อง GOD KNOWS BUT IT WORKS ในปี 1975 ซึ่งช่วยกรุยทางให้กับภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา ภาพยนตร์โร้ดมูฟวี BACKROADS (1977) ซึ่งนำแสดงโดยนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิชาวอะบอริจิน แกรี โฟลีย์และนักแสดงคนดังชาวออสเตรเลีย บิล ฮันเตอร์ ผู้ได้แสดงในภาพยนตร์อีกสองเรื่องของนอยซ์
ในปี 1978 เขาได้กำกับและร่วมเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง NEWSFRONT ซึ่งได้รับรางวัลภาพยนตร์ออสเตรเลีย สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยมและบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม และประสบความสำเร็จด้านรายได้ในออสเตรเลีย นอกเหนือจากจะเป็นภาพยนตร์เปิดงานเทศกาลภาพยนตร์ลอนดอนแล้ว NEWSFRONT ยังเป็นภาพยนตร์ออสเตรเลียเรื่องแรกที่ได้เข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์นิวยอร์กอีกด้วย
ในปี 1982 HEATWAVE ที่ร่วมเขียนบบทและกำกับโดยนอยซ์และนำแสดงโดยจูดี้ เดวิส ได้รับเลือกให้เข้าฉายในโปรแกรมไดเร็คเตอร์ส ฟอร์ทไนท์ จากงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์
ความสำเร็จของภาพยนตร์ที่อำนวยการสร้างในออสเตรเลียเรื่อง DEAD CALM (1989) ที่นำแสดงโดยนิโคล คิดแมน, แซม นีลล์และบิลลี เซน ได้พานอยซ์มาสู่ฮอลลีวูด ที่ซึ่งเขากำกับภาพยนตร์หกเรื่องในช่วงอีกสิบปีหลังจากนั้น ซึ่งรวมถึง PATRIOT GAMES (1992) และ CLEAR AND PRESENT DANGER (1994) ที่นำแสดงโดยแฮร์ริสัน ฟอร์ดและ THE BONE COLLECTOR (1999) ที่นำแสดงโดยนักแสดงรางวัลออสการ์ เดนเซล วอชิงตันและแองเจลินา โจลี
โลอิส โลว์รี (สร้างจากหนังสือโดย) โลอิส โลว์รี เป็นที่รู้จักดีที่สุดจากนิยายสำหรับเยาวชนเรื่อง The Giver ของเธอและ Number The Stars นิยายสำหรับเด็กเกี่ยวกับเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ โลอิสได้รับรางวัลนิวเบรี มีดัลสำหรับหนังสือทั้งสองเล่มนี้ อย่างไรก็ดี สิ่งที่คนไม่รู้ก็คือโลว์รีได้เขียนหนังสือสำหรับเด็กและวัยรุ่นมากกว่าสามสิบเล่ม ซึ่งรวมถึงหนังสือชุดอีกหลายชุดอีกด้วย
A Summer To Die หนังสือเล่มแรกของโลว์รี ซึ่งตีพิมพ์โดยฮัฟตัน มิฟฟลินในปี 1977 ได้รับรางวัลหนังสือเด็กยอดเยี่ยมจากสมาพันธ์การอ่านนานาชาติ นับตั้งแต่นั้นมา โลว์รีก็ได้เขียนหนังสือมากกว่า 30 เล่มให้กับเยาวชน ตั้งแต่ 2 ขวบจนถึงวัยรุ่น และเธอก็ได้รับรางวัลมากมาย เธอได้รับรางวัลจอห์น นิวเบรี มีดัล สำหรับหนังสือสองเล่มของเธอคือ Number The Stars และ The Giver รางวัลอื่นๆ ของเธอได้แก่บอสตัน โกลบ-ฮอร์น บุ๊ค อวอร์ด และรางวัลโดโรธี แคนฟิลด์ ฟิชเชอร์ อวอร์ด หนังสือบางเล่มของโลว์รี อย่าง Anatasia Krupnik และ Sam Krupnik นำเสนอมุมมองน่าขบขันที่มีต่อชีวิตประจำวันและมีเป้าหมายสำหรับผู้อ่านเกรด 4-6 (8-12 ปี) หนังสือที่จริงจังที่สุดและได้รับการยกย่องสูงสุดจำนวนมากของโลว์รีถูกมองว่าเป็นหนังสือสำหรับเยาวชน โดยมันถูกเขียนขึ้นสำหรับเด็กเกรด 7 ขึ้นไป (12 ปีขึ้นไป) หนังสือเหล่านั้นรวมถึง A Summer To Die และไตรภาคแฟนตาซี The Giver หนังสือเล่มใหม่ของเธอ Gossamer ซึ่งเป็นหนังสือแฟนตาซี เป็นเรื่องราวสำหรับเด็กเกรด 5 ขึ้นไป (10 ปีขึ้นไป)