เลือดมังกร : เสือ ตอนที่ 2
ผลมะพร้าวแห้งทั้งที่ร่วงลงมานานแล้ว และที่เพิ่งเก็บจากต้น ถูกภรพโยนมากองรวมกัน วันวิสามองฉงน
“นายจะทำอะไรเนี่ย”
“คิดตามให้ทันหน่อยสิเจ๊”
“ฉันจะไปรู้ทันความคิดนายได้ยังไง พ่อคนฉลาดปราดเปรื่อง” วันวิสาแดกดัน
“ไม่ต้องยอกันถึงขนาดนั้นก็ได้ แค่ใช้สามัญสำนึก ใครๆ เขาก็นึกออกแล้ว”
“นี่นายว่าฉันโง่เหรอ
“ผมไม่ได้พูดซักคำ เจ๊พูดของเจ๊เองนะ” ภรพหัวเราะร่า
วันวิสาคว้ามะพร้าวขึ้นมา เขวี้ยงใส่หลังภรพเต็มเปา
ภรพเจ็บหลังแอ่น ร้องโอดโวย
“สมน้ำหน้า ทีนี้ฉันรู้แล้วนายเก็บมะพร้าวมาทำอะไร เอามาให้ฉันไว้ใช้เขวี้ยงหัวนายไง ใช่ไหมล่ะ”
“ยัยบ๊องเอ๊ย เอามาทำแพต่างหากล่ะ เราจะได้ออกไปจากเกาะนี่ซะที”
ขาดคำวันวิสาหูตาบรรเจิดทันควัน “นายนี่เป็นคนดี ฉลาด แล้วก็มีน้ำใจที่สุดเลย...นี่นายคงเห็นใจฉันใช่ไหม”
“เปล่า ผมสงสารตัวเอง ที่ต้องมาติดแหง็กอยู่ที่นี่ กับผู้หญิงติงต๊องอย่างเจ๊มากกว่า”
“อีตาบ้า”
ภรพกระโจนหนี เพราะวันวิสาคว้าลูกมะพร้าวขึ้นมาจะทุ่มใส่อีก
ค่ำลงกองไฟสว่างพอที่จะทำให้บริเวณรอบๆ ไม่เหงาเกินไปนัก วันวิสายังนั่งกินอาหารค่ำ ทั้งมันเผา ปลาเผา และผลไม้ป่า อิ่มจัดจนเรอเสียงดังออกมา
ภรพ กำลังถักเถาวัลย์ทำตาข่ายถึงกับสะดุ้ง
“โอ้โฮ บอกยี่ห้อเลยนะเนี่ย ลูกกำพร้าเหรอเจ๊น่ะ”
“เกี่ยวอะไรด้วย”
“พ่อแม่เจ๊ไม่ทันได้สอนรึไงว่าเป็นลูกผู้หญิง เรอเสียงดังยังงี้หมดราคากันพอดี”
“ผู้หญิงเรอไม่ได้ แต่ผู้ชายเรอไดงั้นเหรอ นายนี่หัวโบราณชะมัดเลย”
“อยากเห็นหน้าผัวเจ๊จัง อย่างเจ๊นี่ได้ผู้ชายแบบไหนหว่า”
วันวิสาโกรธจนหลุด โพล่งพรวดออกมา “ฉันยังโสดย่ะ ยังไม่มี”
“อ้าว แล้วที่จะไปเกาะเจ็ดนี่ ไม่ได้ไปหาผัวหรอกเหรอ”
“ฉันไปธุระของฉันย่ะ”
“แค่นี้ต้องโกธรกันด้วย”
“นายพูดเหมือนพ่อแม่ฉันไม่มีผิด”
“คนเป็นพ่อแม่น่ะหวังดีต่อลูกทุกคนน่ะแหละเจ๊ ให้สวยยังไงเรอดังยังกะระเบิดลงยังงี้ แถมเงินให้ด้วยผมก็ไม่เอามาทำเมียหรอก”
“อย่างนายฉันก็ไม่เอามาทำ ผอสระอัว เหมือนกัน”
วันวิสางอน สะบัดแยกไปอีกมุม นั่งหันหลังให้ภรพ
“เอาเหอะเจ๊ ยังไงพรุ่งนี้เราก็จะได้ออกไปจากที่นี่กันแล้ว เจ๊ก็ไปตามทางของเจ๊ผมก็ไปตามทางของผม เราอาจจะไม่ได้เจอกันอีก แต่ผมบอกได้เลย เดินตามผู้ใหญ่หนะหมาไม่กัดหรอก”
วันวิสาเดินกลับมานั่งแปะลงจะช่วยถักตาข่าย
“ไหน...ทำยังไง นายสอนฉันสิ”
“ไม่เต็มใจจะทำก็อย่าทำดีกว่า”
“ฉันเต็มใจ ยังไงฉันก็อยากออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด แล้วนายก็นินทาฉันไม่ได้ด้วยว่ากินแรงนาย ทำอะไรไม่เป็นซักอย่าง”
ภรพยิ้มขำ สอนวันวิสาให้ถักตาข่าย
พอตกตอนกลางคืน ภรพนอนข้างกองไฟ ลืมตาขึ้นเพราะได้ยินเสียงดังมาจากในกระต๊อบ
“หนูทำได้...หนูทำได้...ไม่เชื่อป๊าก็คอยดูละกัน”
ภรพขยับเข้าไปดู วันวิสานอนละเมอเป็นเรื่องเป็นราว
“ป๊าใจดำ” วันวิสาร้องไห้ออกมา
“เจ๊...เจ๊...” ภรพเรียก
“ป๊าไม่เห็นหนูเป็นลูกใช่ไหม ป๊าคอยดูละกัน ป๊าคอยดู คนบ้าอะไรชื่อจู๋...น่าเกลียด น่าเกลียด”
วันวิสาหลับต่ออย่างเมามัน ภรพอึ้งยัยคนนี้?
เช้าวันนี้ อาเจิ้งเข้ามารายงานสุพรรษา ที่นั่งอยู่กับลูกสาวทั้งสองในห้องโถง
“ซ๊อ...ของไหว้พระจันทร์คืนนี้ได้มาครบแล้ว”
สุพรรษานั่งเศร้าเหมือนไม่ได้หลับนอนมาทั้งคืน
“ขอบใจอาเจิ้ง” พราวตายิ้มให้
“ขนมไหว้พระจันทร์ต้องเก็บเอาไว้ให้ภรพด้วยนะ ของโปรดเขา” สุพรรษาบอก
“ม๊า อย่าห่วงไปเลย คืนนี้เราจะช่วยกันขอพรให้เฮียปลอดภัย ยังไงเฮียก็ต้องได้กลับมา” ภรีมว่า
เวลาเดียวกัน เถ้าแก่ไพศาลอยู่ในห้องทำงาน ใช้โทรศัพท์ติดต่อทางไกล
“คนของเรามีเท่าไหร่ ลื้อระดมออกมาช่วยกันตามหาให้หมด อามงคลกับอาโชคจะตามลงไปช่วย” จากนั้นก็วางหู
โชคทวีเอ่ยขึ้น “ถ้าเจอแต่ซากเรือเป็นเสี่ยงๆ ยังงี้ผมกลัวว่า…”
ไพศาลสวนออกมา “ถึงจะได้แค่ศพ ลื้อก็ต้องพากลับมา”
อีกฟาก ภรพตรวจสภาพแพลูกมะพร้าว ที่ใช้เถาวัลย์สานเป็นตาข่ายใส่ลูกมะพร้าวแห้ง อีกครั้ง ส่วนวันวิสายังนั่งกินอาหารเช้า เป็นเมนูมันเผา กะ กล้วยป่าอันเลิศรส
“เราจะไปกันแล้วนะเจ๊”
“จะเร่งกันไปถึงไหนฉันยังไม่อิ่มเลย”
“งั้นกินเข้าไปให้พอ อมไว้ในปากตุนไว้ด้วยก็ดี เพราะไม่ รู้นะว่าออกไปจากที่นี่แล้วเราจะเจอกับอะไร เราอาจจะต้องลอยคอกลางทะเล กันอีกหลายวันก็ได้”
“ก็ยังดีกว่าต้องติดแหง็กอยู่กับนายที่นี่น่ะแหละ”
วันวิสายัดอาหารคำสุดท้ายเข้าปาก แล้วลุกขึ้น หันมามองภรพ
“มองอะไร หันไป”
ภรพหันหน้าไปทางอื่น
วันวิสาดึงไม้ธงหน้ากระต๊อบขึ้นมา แล้วปลดธงยกทรงของตนออกมาจากปลายไม้ หันขวับไปมองภรพแว่บหนึ่ง ภรพหันหน้าหนีทำเป็นไม่เห็น
วันวิสารวบยกทรง มุดเข้ากระต๊อบผลุบหายไป
ไม่นานต่อมา แพลูกมะพร้าวถูกลากลงน้ำ จนถึงน้ำระดับเอว วันวิสาตะกายขึ้นไปบนแพ ภรพส่งไม้พายที่ทำขึ้นอย่างดิบๆให้วันวิสา แล้วตัวเองกระโจนขึ้นแพ
“ท่าทางจะไปได้สวยเหมือนกันนะเจ๊”
ทั้งคู่พยายามใช้พาย พาแพฝ่าคลื่นออกไปสู่ทะเลเบื้องหน้า
ยิ่งออกมาห่างฝั่ง คลื่นยิ่งแรง วันวิสาโซเซหมดแรงพาย คลื่นซัดเข้าหน้าจนพายหลุดมือ ภรพคว้าพายไม่ทัน ต้องปล่อยให้น้ำซัดหายไป
ภรพตะโกนบอก “อดทนอีกนิด ออกไปอีกหน่อยคลื่นก็เบาลงแล้ว”
วันวิสาเกาะกอดแพแน่น คลื่นซัดโครมใหญ่จนแพแตกเพราะตาข่ายเถาวัลย์ขาด ลูกมะพร้าวหลุดลอยเกลื่อน
วันวิสาคว้าอะไรไม่ได้สักอย่าง ภรพคว้ามือไม่ทัน วันวิสาจมหายไปกับคลื่นที่โถมกระหน่ำ
“เจ๊...เจ๊”
ภรพกระโจนตามลงไปทันที
ภรพมุดน้ำลงมาควานหาวันวิสา กระแสน้ำข้างล่างก็รุนแรงไม่น้อย วันวิสาตะเกียกตะกายอย่างหมดแรง
ภรพแหวกว่ายเข้ามา คว้าได้ตัววันวิสา ดึงพากลับขึ้นสู่ผิวน้ำ
ภรพลากตัววันวิสาที่เหมือนหมดแรงหมดสติไปแล้ว ขึ้นมาบนชายหาด
“เจ๊...เจ๊...” วันวิสาดูเหมือนแน่นิ่ง “ต้องผายปอด ซะละมัง”
ภรพขยับจะอุดจมูกวันวิสาเพื่อเม้าท์ทูเม้าท์ แต่วันวิสาลุกพรวด เตะถีบภรพพัลวัน ชกเข้าเบ้าตาไปหนึ่งหมัด
“อีตาบ้า จะทำอะไรฉัน”
“อ้าว ก็เห็นแน่นิ่งไป นึกว่าน้ำท่วมปอดไปแล้ว” ภรพกุมเบ้าตา “ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ”
“ทำไมนายไม่ปล่อยให้ฉันจมน้ำตายไปซะเลย”
“ขนาดตัวเป็นๆ ติงต๊องอย่างเจ๊ ยังทำผมปวดหัวขนาดนี้ แล้วถ้ากลายเป็นผี มิปั่นป่วนผมหนักเหรอ”
“อีตาบ้า”
วันวิสาทุบตีภรพ แต่ภรพหลบได้ทุกหมัด จนวันวิสาหมดแรง แล้วน้ำตาไหลพราก
“ผมขอโทษนะเจ๊ ฝีมือทำแพนั่นมันห่วย แถมผมยังประมาทคลื่นลมเกินไป”
วันวิสาสะท้อนใจ “ฉันเป็นภาระให้นายขนาดนี้ นายจะเอาตัวรอดไปคนเดียวก็ทำได้ไม่มีใครเขาว่าอะไรนายหรอก”
“ไหงพูดยังงี้ล่ะ ในฐานะมนุษย์ร่วมโลกคนนึง ต่อให้เจ๊ติงต๊องน่ารำคาญกว่านี้ผมก็ทำยังงั้นไม่ได้แน่ ไหนๆ ฟ้าก็สั่งเราลงเรือลำเดียวกันมาตั้งแต่แรกแล้ว ฟ้าคงไม่ใจร้ายกักเราไว้บนเกาะนี่ จนตายหรอก ยังไงเราก็ต้องได้กลับบ้านด้วยกัน อย่างปลอดภัย”
วันวิสามองภรพอย่างเห็นน้ำใจผู้ชายปากมอมคนนี้มากขึ้น
ถัดจากนั้น วันวิสาเดินตามภรพมาห่างๆ กลางหาดทรายอันเวิ้งว้าง ภรพชะงักเพราะมองเห็นไกลๆ บนแนวคลื่นซัดชายหาด เป็นผ้าโสร่ง ผู้ชายที่คนใต้ใช้ มันถูกคลื่นซัดเข้ามาจมทรายอยู่ครึ่งหนึ่ง โผล่ขึ้นมาให้เห็นภรพรีบวิ่งเข้ามา วันวิสามองแปลกใจ รีบตามมาดู
ภรพดึงผ้าโสร่งขึ้นมาจากทราย ได้สองชิ้น ยังได้เสื้อคอกลม หรือเสื้อกุยเฮงของผู้ชายได้อีกตัวหนึ่ง
“เรามีเสื้อผ้าให้เปลี่ยนกันแล้วละ”
“มาได้ยังไงเนี่ย”
“น้ำมันคงซัดมาจากเรือลำนั้นแหละ เห็นไหมเจ๊ ฟ้าไม่ได้โหดกับเรานักหรอก”
วันวิสาคลี่ผ้าดู “โสร่งนี่ขาดนิดหน่อยแต่ยังใช้ได้”
เห็นภรพเดินลุยน้ำลงไป วันวิสาแปลกใจ “นายจะทำอะไร”
“วันก่อนผมก็ได้มีดจากแถวนี้ ทางน้ำทางลมมันคงพอดีกัน ผมแน่ใจว่าต้องมีของจากเรือจมน้ำอยู่แถวนี้อีก”
ภรพลุยน้ำแล้วกระโจนดำน้ำหายไป วันวิสามองลุ้น
ภรพดำน้ำลงมา ลืมตามองหาของ มือคลำไปตามพื้นทราย และพบบางสิ่ง
ด้านวันวิสายืนแช่น้ำถึงหัวเข่า ซักผ้าโสร่งที่เก็บได้ ภรพโผล่ขึ้นมาจากน้ำไกลๆ ร้องตะโกนเรียก
“เจ๊”
ภรพชูถังเหล็กมีหูหิ้วขึ้นอวดวันวิสา แล้วเหวี่ยงโยนเข้ามาให้ วันวิสาลุยน้ำเข้าไปเก็บถัง ภรพว่ายน้ำกลับออกไปในน้ำลึกอีกครั้ง
ภรพดำน้ำลงมา และเห็นบางสิ่งไกลๆ ภรพพาตัวเองมาถึงหีบไม้ใบหนึ่งที่จมแนบพื้นทรายอยู่
ฝ่ายวันวิสานั่งยองๆ คอยภรพอยู่บนชายหาด ข้างๆ ตัวคือถังเหล็กที่ใส่ผ้าที่เก็บมาได้ สักครู่หนึ่งภรพลุยน้ำแบกหีบไม้กลับขึ้นมา
“ทายซิผมได้อะไรมา”
“ใครจะไปรู้”
ภรพวางหีบไม้ลง พยายามหาทางเปิด
“เผื่อมันเป็นลังใส่ลูกระเบิด นายจะเปิดมันทำไม”
ภรพงัดเปิดหีบได้สำเร็จ เห็นสิ่งที่อยู่ภายใน เขายิ้ม ดีใจไม่น้อย
มันเป็นเครื่องเล่นแผ่นเสียงขนาดเล็กแบบไขลาน แถมมีแผ่นเสียงที่เหมือนเล่นค้างเอาไว้วางอยู่ด้วย
“สุดยอด”
“จมน้ำอยู่ตั้งนาน มันคงเจ๊งแล้วละ” วันวิสาว่า
ภรพปิดฝาหีบแล้วแบกอุ้มขึ้น
“นายจะแบกมันไปให้หนักทำไม ช่วยฉันหิ้วถังนี่ยังจะดีซะกว่า”
“ชีวิตมันจะมีรสชาติได้ยังไง ถ้าไม่ได้ลุ้นน่ะ เจ๊ ไป กลับบ้านเรา”
ภรพแบกหีบเดินนำออก วันวิสาหิ้วถังไหล่เอียงตามออก
ตกกลางคืน สองคนนุ่งโสร่งที่เก็บมาได้ โดยวันวิสาสวมเสื้อตัวใหม่แล้ว
พระจันทร์เต็มใจเต็มดวงให้เห็นกระจ่างบนท้องฟ้าเหนือน้ำทะเล งดงามสะท้อนเงาลงบนผืนน้ำจนเป็นสีเงินยวง
วันวิสานั่งมองพระจันทร์อย่างเคลิมเคลิ้มจนเพ้อ
“สวยจังเลย ทำไมถึงได้สวยยังงี้ นายดูสิ นายจู๋...นายจู๋”
ภรพก้มหน้าก้มตาทั้งเช็ดทั้งเป่าเครื่องเล่นจานเสียงให้แห้ง หาทางทำให้ลานใช้งานได้
“จะเพ้อไปถึงไหนเจ๊ มันก็พระจันทร์ดวงเดิมน่ะแหละ”
“แต่วันนี้มันไม่เหมือนทุกวัน นายดูสิ แหกตาดู ผู้ชายนี่ช่างไม่มีสายตาที่จะเสพความงดงามอะไรเลยซักอย่าง น่าเบื่อ”
“ผู้หญิงนี่ทำอะไรไม่เป็นหลายอย่าง ก็เพราะมัวแต่เสียเวลาชื่นชม กับเรื่องไร้สาระนี่เอง”
“แล้วไอ้ที่นายกำลังทำอยู่มันไม่ไร้สาระรึไง”
ภรพไม่สะทกสะท้าน
“ดีแต่ชวนทะเลาะ ฉันจะเลิกสนใจนายแล้ว”
วันวิสาหันกลับไปชื่นชมพระจันทร์ต่อ เอะใจ แล้วไล่นับนิ้ว จนค้นพบบางอย่าง
“ฉันรู้แล้ว นายจู๋ คืนนี้มันคืนไหว้พระจันทร์ไง...คืนไหว้พระจันทร์”
ภรพเงยหน้าขึ้นทันที นึกสะท้อนใจด้วยคืนไหว้พระจันทร์สำคัญต่อครอบครัวจีนทุกคน และยังไงก็ต้องพร้อมหน้าพร้อมตา
จันทร์เต็มดวงสาดแสงส่องสว่างไปทั่วชายหาด ภรพ กับ วันวิสา คุกเข่าไหว้พระจันทร์ด้วยกัน
“ข้าแต่แม่นางฉางเอ๋อ…”
ภรพขัดขึ้น “ใครฉางเอ๋อ เพื่อนบ้านเจ๊เหรอ”
วันวิสาเม้ง “นี่นาย ทำไมชอบขัดคอ คนกำลังจะอธิษฐาน เดี๋ยวก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์กันพอดี”
“ก็ไม่ รู้จักจริงๆ นี่นา”
วันวิสาแปลกใจ “อะไรนายไม่ รู้เหรอว่าแม่นางฉางเอ๋อเป็นใคร”
ภรพส่ายหน้า
“แม่นางฉางเอ๋อ คือเทพธิดาแห่งดวงจันทร์”
“ทำไม เพราะบ้านอยู่บนดวงจันทร์เหรอ”
“แต่ก่อนแม่นางฉางเอ๋อก็เป็นคนนี่แหละ แต่นางปกป้องความดียอม เสียสละตัวเองจนต้องหลุดลอยไปอยู่บนดวงจันทร์โน่น รอวันที่จะบำเพ็ญเพียรจนได้เป็นเซียน”
ภรพทำตาปริบๆ กับเรื่องที่ได้ยิน
“ฉันไม่ได้โม้นะ ม๊าฉันเล่าให้ฟังตั้งแต่ฉันเด็กๆ แล้ว”
“เอาๆ แม่นางฉางเอ๋อ ก็แม่นางฉางเอ๋อ”
“ข้าแต่แม่นางฉางเอ๋อ...ลูกขอให้พ่อแม่ญาติพี่น้องของลูกทุกคน มีความสุข”
“แค่นี้เหรอ...ไม่คิดจะขออะไรให้ตัวเองบ้างเลยรึไง”
“ขอให้ลูกได้กลับบ้านอย่างปลอดภัยด้วยเถิ้ด อ้าวแล้วนายล่ะอธิษฐานสิ”
“อธิษฐานแล้ว”
“ฉันไม่เห็นได้ยินเลย”
“ก็อธิษฐานในใจไง”
“เอาเปรียบกันนี่”
“ใครสั่งว่าอธิษฐานในใจไม่ได้”
“ฉันนี่แหละสั่ง”
“อยากรู้เรื่องส่วนตัวของคนอื่น เขาเรียกว่าอะไรรู้ไหม”
วันวิสาชักยัวะ ผลักภรพจนล้มเซ “นายว่าฉันเสือกเหรอ”
“พูดเองนะเจ๊”
ภรพทำท่ายั่วโทสะ จนวันวิสาไล่ทุบตี ภรพหลบหลีก และยิ่งยั่วให้วันวิสาไล่
ทั้งคู่วิ่งไล่กันบนชายหาด ใต้แสงจันทร์คืนวันเพ็ญ
อ่านต่อหน้า 2
เลือดมังกร : เสือ ตอนที่ 2 (ต่อ)
ถัดมาไม่นาน ข้างๆ กองไฟนั้น ภรพยังสาละวนอยู่กับเครื่องเล่นแผ่นเสียง เขาลองไขลานมันดู เครื่องเล่นแผ่นเสียงกลับมาทำงานได้ เสียงเพลงจากแผ่นโครกครากซู่ซ่าบ้างตามสภาพ
“มันต้องยังงี้สิ” ภรพภูมิใจในความสำเร็จ
วันวิสาโผล่หน้าออกมาจากกระต๊อบ ด้วยความอัศจรรย์ใจปนตื่นเต้น
“นายทำได้ยังไงน่ะ”
“เขาเรียกฝีมือ”
“ลูกฟลุคมากกว่า”
“แล้วชอบไหมล่ะ”
“ก็ดีกว่าต้องทนฟังเสียงนายอยู่คนเดียว”
“ผู้ชายต่างกับผู้หญิงก็ตรงนี้แหละ”
สองคนเปิดฉากโต้เถียงกันอีกรอบ
“ตรงไหนไม่ทราบ”
“ผู้ชายอดทนกว่าผู้หญิง”
“นายเข้าใจผิดแล้ว ผู้หญิงต่างหาก อดทนกว่าผู้ชาย”
“ผู้ชาย อดทนกว่า”
“ผู้หญิง อดทนกว่า”
“หยุด เอาไว้เถียงกันต่อพรุ่งนี้ดีกว่า ตอนนี้เจ๊หยุดเสียงแหลมๆ ของเจ๊ก่อนได้ไหม ผมจะฟังเพลง”
วันวิสาหมั่นเขี้ยวกับท่าทางยียวนของเขา ภรพหันมาพยักหน้าเรียกวันวิสา
“อะไร”
“เต้นรำเป็นไหมเจ๊ มาเต้นรำกัน”
“เต้นเป็น แต่ฉันไม่เต้นกับนายหรอก” วันวิสาเมินหน้าหนี
ภรพยิ้ม ลุกขึ้นมา เดินตรงเข้ามาหาวันวิสาแล้วโค้งตามธรรมเนียม
“ผู้ชายอุตส่าห์มาขอให้ได้รับเกียติแล้ว ผู้หญิงไม่ยอมลุกขึ้นมานี่ ถือว่าทำร้ายจิตใจกันอย่างแรงนะครับ คุณผู้หญิง”
ภรพส่งสายตาเว้าวอน ยื่นมือออกมา จนวันวิสาหมดทางปฏิเสธ ยื่นมือออกมาจับมือภรพ
ใต้แสงจันทร์เต็มดวง เครื่องแผ่นเสียงทำงานของมันตามสภาพ วันวิสาเต้นรำกับภรพบนพื้นทรายตามจังหวะนั้น
“ใครสอนเจ๊เต้นรำเนี่ย”
“นี่เป็นคำชมหรือคำตำหนิ”
“ชมชัดๆ เต้นรำเก่งยังงี้ เจ๊คงเต้นกับแฟนบ่อยๆ มั้ง”
“ก็ทำนองนั้น นายนี่ก็คงเต้นรำกับผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าละมัง”
“เจ๊คิดว่ายังไงก็ยังงั้นแหละ”
“หยุดพูดซะที ฉันจะฟังเพลง”
“เจ๊ก็หยุดตั้งคำถามซะทีสิ”
วันวิสาค้อนใส่ก่อนจะเมินหน้าหนีทำทีเป็นสนใจเสียงเพลง
ความเงียบจากภรพทำให้เธอค่อยๆ หันกลับมามอง วันวิสาถึงกับจังงัง เมื่อเจอสายตาภรพเต็มเปา มันฟ้องว่าเขามองเธอไม่ละสายตาไปที่อื่นเลย เสียงเพลงจากแผ่นที่ดังโครกคราก ค่อยๆ กลายเป็นเสียงแผ่นที่ชัดเคลียร์
ในระยะอันประชิดใกล้ ลมหายใจแทบปะทะกัน ทำให้อารมณ์กระเจิดกระเจิงไปถึงไหนต่อไหนไม่น้อย ท่าเคลื่อนไหวของการเต้นรำ ค่อย ๆ หยุดลงโดยไม่รู้ตัว ตาสบตาจนแทบจะให้อีกฝ่ายล่วงรู้สิ่งที่อยู่ในใจ
แต่จู่ๆ แผ่นเสียงก็จบเพลงลง ลานยังคงหมุน ความเงียบกลับเข้ามาครอบคลุม วันวิสาเป็นฝ่ายผละออกห่างก่อนเพราะได้สติ
“ฉันง่วงนอนแล้ว”
“นึกว่าจะอยู่ชมจันทร์ด้วยกันจนพระอาทิตย์ขึ้นซะอีก”
“อยากชมนายก็ชมไปคนเดียวละกัน”
วันวิสามุดกลับเข้าไปในกระต๊อบ ภรพมองตาม
วันวิสานอนไม่หลับ ไม่ได้ง่วงจริงอย่างที่พูด แต่กระสับกระส่ายไม่รู้ว่าอารมณ์อะไร รบกวนจิตใจของเธอ
ในแสงวอมแวมจากกองไฟ ภรพนอนเอกเขนกอยู่มุมหนึ่ง ข่มตาให้หลับไม่ลงเหมือนกัน ไม่รู้วุ่นวายใจเรื่องอะไร
พระจันทร์เต็มดวงค่อยๆ ถูกเมฆฝนเคลื่อนเข้าบดบัง จากนั้นฝนก็ตกเทลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ภรพลุกพรวดขึ้น
วันวิสาลุกพรวดขึ้นนั่งเพราะฝนตกเสียงดังซู่ซ่า มองไปที่ทางเข้ากระต๊อบก็ไม่เห็นภรพจะมุดเข้ามา
เลยเป็ยฝ่ายขยับออกไปดู
วันวิสาโผล่หน้าออกมานอกกระต๊อบ พบว่าฝนเทลงมาอย่างเอาเรื่อง วันวิสามองหาภรพ
“นาย...นายจู๋...อยู่ไหน”
ภรพซุกตัวหลบฝนอยู่ข้างกระต๊อบนั่นเอง “อยู่นี่”
“ฝนตกแล้วทำไมนายไม่เข้ามาหลบข้างใน”
“ไม่เป็นไรหรอก ตกแบบนี้แป๊บเดียวก็หยุดแล้ว”
“รู้ได้ยังไง”
“ก็รู้แล้วกันน่า”
“เข้ามาข้างในเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนายก็ไม่สบายไปหรอก”
“เรื่องเล็ก ฝนตกแค่นี้”
วันวิสาเสียงเขียว “ฉันบอกให้นายเข้ามา”
“มันแคบ...อึดอัด”
“ฉันไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นคนเห็นแก่ตัว บอกให้เข้ามาเดี๋ยวนี้”
กระต๊อบหลังน้อยตกอยู่ท่ามกลางสายฝน ส่วนภายในกระต๊อบ วันวิสา และ ภรพ แยกกันนอนคนละมุม หลังคารั่ว น้ำฝนเทลงมาตรงที่ภรพนอนอย่างไม่ปรานีปราศรัย
“โอ๊ย...อะไรกันวะเนี่ย”
ภรพลุกขึ้นนั่ง หลบไปมุมไหนก็ไม่พ้นน้ำฝนที่รั่วลงมา วันวิสาหัวเราะชอบใจ
“ขำอะไรยัยเจ๊”
“นายยอมรับรึยังล่ะว่ากระต๊อบฝีมือนายนี่มันสับปะรังเคจริงๆ”
“ได้ทีเอาใหญ่เชียว ทับถมกันเข้าไปนอนข้างในข้างนอกมันก็ไม่ได้ต่างกันเลย”
“นายก็มานอนตรงนี้สิ”
“ว่าไงนะ”
“ฉันแบ่งที่ให้นายได้”
“อ้าวแล้งไอ้เส้นแบ่งแยกดินแดนที่ขีดกันเอาไว้ล่ะ”
“ลืมมันไปซักวันนึงเถอะ ฉันไม่ใจดำขนาดจะปล่อยให้นายนอนตากฝนคนเดียวหรอก เข้ามาสิ ฉันไม่หลอกตีหัวนายหรอกน่า”
ภรพขยับไปฝั่งวันวิสา
“แต่มีข้อแม้นะ นายห้ามหันมาเด็ดขาด”
วันวิสานอนตะแคงหันหลังให้กัน “นายเบียดเข้ามาทำไม”
“ก็น้ำฝนมันหยด”
หลังเบียดหลัง ทั้งคู่นิ่งเงียบ วันวิสารักษาท่าที
“กรนเสียงดังรึเปล่าเจ๊”
วันวิสากระแทกศอกใส่ภรพ อีกฝ่ายร้อง “โอย...อูย”
วันวิสาอมยิ้มชอบใจ ภรพเองก็แอบพอใจ
แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องลอดเข้ามาในกระต๊อบ ภรพขยับตัวอย่างเมื่อยขบเพราะอยู่ในท่านอนตะแคงด้านเดียวมาทั้งคืน ภรพเผลอพลิกตัวนอนหงาย แล้วสะดุ้งรีบลิกกลับมานอนตะแคงเพราะกลัวฤทธิ์วันวิสาไม่น้อย
ภรพค่อยๆ หันไปมองด้านหลัง ก็พบว่าวันวิสาไม่ได้นอนอยู่ตรงนั้นแล้ว
เมื่อภรพออกมานอกกระต๊อบ ก็เห็นวันวิสานั่งหันหลังก้มหน้าก้มตาทำอะไรบางอย่างที่ซากกองไฟ
“ทำอะไรน่ะเจ๊”
“เห็นแล้วยังจะถามอีก ก็จุดไฟน่ะสิ ฝนตกเมื่อคืนไฟมอดไปหมดเลย”
วันวิสาพยายามปั่นไม่ให้เสียดสีกัน
ภรพรำคาญ “มานี่ ผมทำเอง”
“ไม่ต้องมายุ่งเลย ฉันทำได้”
“แน่ใจ๊”
“ยิ่งกว่าแน่ใจอีก”
“ชาตินี้จะติดไหมเนี่ย”
“นายนี่ชอบดูถูกความสามารถคนอื่น ทีนายทำได้ แล้วทำไมฉันจะทำไม่ได้ แทนที่จะมัวมายืนทำหน้าสมเพชคนอื่น ฉันว่านายไปหาฟืนแห้ง ๆ มารอไว้ดีกว่า”
ภรพยิ้มแล้วเดินออก
ภรพแปรงฟันท่าทางสบายใจ โดยหันหลังให้อยู่ วันวิสาปั่นไม้ยิก ตาคอยเหลือบหันไปมอง พอภรพทำชะเง้อมามองแล้วหันหน้าหนี
วันวิสายิ่งปั่นไม้เร็วขึ้น ภรพล้างหน้าล้างตา แล้วทำเป็นวิ่งออกกำลังกายวิดพื้น ซิต อัพ ไปมา วันวิสารู้ว่ากำลังถูกยั่วให้โกรธ ยิ่งต้องพิสูจน์ตัวเอง
ภรพวิ่งหายไปทางหนึ่ง
ต่อมาฟืนแห้งหอบหนึ่งถูกโยนลงพื้นข้างกองไฟ วันวิสายังปั่นไม้ยิกๆ เหนื่อยจนลิ้นห้อยแต่เก็บอาการ
“หัดยอมรับความจริงซะเถอะน่าเจ๊ ผมรู้ว่าเจ๊กำลังพยายามพิสูจน์อะไรบางอย่าง แต่ความจริงยังไงมันก็ต้องเป็นความจริง” ภรพว่า
“ความจริงของฉันก็คือ นายทำได้ฉันก็ต้องทำได้เหมือนกัน”
ภรพแกล้งทำท่าหาวนอน เสียงดัง แถมบิดขี้เกียจ “เฮ้อ ไปนอนต่ออีกรอบดีกว่า”
วันวิสายัวะ ปั่นไม้ยิกๆ ด้วยความโกรธ ฐานไม้ที่ปั่นเริ่มมีควันลอยออกมา....
วันวิสาทั้งตกใจ ทั้งดีใจ ร้องลั่น “ติดแล้ว... ติดแล้ว”
ภรพหันมาดู วันวิสาลนลานจนทำอะไรไม่ถูก
“ทำยังไงล่ะทีนี้ทำยังไง”
ภรพคว้าขุยมะพร้าวแห้งมาสุมฐานไม้ กอบฐานไม้ขึ้นมาเอามือป้องไว้
“เป่าสิ...เป่าเบาๆ”
วันวิสาเป่าลมเบาๆ ตาม ให้ไฟคุ ภรพก็ช่วยเป่าลม
จังหวะนี้หน้าเผชิญหน้า ใกล้ชิดกัน โดยทั้งคู่โฟกัสไปที่จุดกำเนิดของไฟ ควันโชยมากขึ้นจนไฟติด ภรพรีบกอบเอาไฟกองน้อยในมือไปวางที่กองฟืนที่สุมรอไว้แล้วไฟคุขึ้นมา
วันวิสาดีใจสุดๆ กระโดดโลดเต้นใหญ่ “ทำได้แล้ว ฉันทำได้แล้ว”
ถัดจากนั้น โสร่งที่เก็บมาได้ถูกวันวิสานำมาซักและกำลังเอาขึ้นตากแดด พลางจับผ้าตรงที่ขาด
“ขืนไม่เย็บมันคงขาดไปเรื่อยๆ นี่ถ้ามีเข็มกับด้ายก็ดีสิ”
“เย็บผ้าเป็นกะเขาด้วย”
“ฉันไม่ใช่คนจับจดนะยะ”
“ก็ไม่รู้ เห็นผู้หญิงสมัยนี้เอะอะอะไรก็คอยชี้นิ้วเอาอย่างเดียว”
“เมียนายน่ะสิ แต่ไม่ใช่ฉันย่ะ”
ภรพเดินหัวเราะออกไปทางชายป่า
“ดีแต่ยั่วโมโห อีตาบ้า”
วันวิสาค้อนลมแล้งไป
ขณะที่วันวิสาซ่อมหลังคากระต๊อบ เอาใบไม้มามุงปิดเพิ่มตรงที่คิดว่าน้ำฝนรั่ว ภรพกลับเข้ามาพร้อมใบสับปะรดกำมือหนึ่ง
“เจ๊” ภรพชูใบสับปะรดอวด “ได้แล้ว ด้ายเย็บผ้า”
วันวิสางง “อะไรของนาย”
ภรพไม่พูดพล่ามทำเพลง คว้าหินมาทุบใบสับปะรดจนแตก แล้วดึงเส้นใยเล็กๆ ออกมาอวด
วันวิสาทึ่ง “นายรู้ได้ยังไง”
“คนโบราณเขาก็ใช่ยังงี้เย็บผ้ากันทั้งนั้น เจ๊นี่ใช้แต่ของฝรั่งมันทำจนเคยตัวแล้วละมัง”
“แล้วเข็มล่ะ”
ภรพขยับไปข้างกองไฟ คลำหาก้างปลาบนพื้นจนได้มาชิ้นหนึ่งชูขึ้นอวด
“ก้างปลานี่ไง เจาะตูดก็กลายเป็นเข็มได้แล้ว”
ภรพไม่รีรอหันไปขลุกขลักหาทางทำเข็มให้ วันวิสามองแล้วอดทึ่งไม่ได้
วันวิสาใช้เข็มก้างปลาที่ร้อยด้วยใยสับปะรดเย็บช่องโสร่งที่ขาด เธอตั้งอกตั้งใจเย็บซ่อมโสร่งจนเสร็จ ยิ้มพอใจ
ภรพตะโกนมาหา “เจ๊...เจ๊จิ๋ม”
วันวิสามองไปเห็นภรพที่แช่น้ำอยู่ไกลๆ โบกมือเรียกหย็อยๆ เธอพาดผ้าไว้แล้ววิ่งลงไปหา
วันวิสาลุยน้ำลงมาในทะเล มองหาภรพแต่ก็ไม่เห็นหัวแล้ว
“นายจู๋...นายจู๋”
วันวิสาล้มหงายหลังไม่เป็นท่าเพราะถูกภรพแกล้งดึงขา
วันวิสาวี้ด ว้ายตามประสา ภรพโผล่พรวดขึ้นจากน้ำ
“อีตาบ้า”
วันวิสากำหมัดชก ภรพคว้าข้อมือได้
“หายใจลึกๆ แล้วกลั้นลมหายใจไว้”
“ทำไม”
“เอาเหอะน่า บอกให้ทำก็ทำเหอะ”
วันวิสาทำตามคำสั่ง ภรพดึงตัววันวิสาพาดำน้ำลงไปทันที
สวรรค์ใต้ท้องทะเล หมู่ปะการังสีสันตระการตา ปลาเล็กปลาน้อยสีสดๆ อยู่กันเป็นฝูง ภรพยังจับมือวันวิสาพาดำน้ำลงมาชมความสวยงามเบื้องล่าง วันวิสาตื่นตาตื่นใจไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อนในชีวิต
ทั้งคู่แหวกวายไปด้วยกันอย่างเพลิดเพลิน
ถัดจากนั้น เปลือกหอยที่มีรู ถูกร้อยใส่เชือกเถาวัลย์อย่างตั้งอกตั้งใจ วันวิสาประดิดประดอยร้อยสร้อยจนเสร็จจุ๋มจิ๋มน่ารักชูขึ้นดูอย่างพอใจ
เสียงภรพดังขึ้น “ขอได้ไหม”
วันวิสาสะดุ้งเพราะภรพเข้ามาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
“อยากได้ก็ไปทำเอาเองสิ”
“ก็อยากได้อันนั้นน่ะ”
“เอ๊ะนายนี่”
ภรพชูสร้อยเปลือกหอยในมือตัวเองเหมือนกัน
“ของนายก็มี แล้วอยากจะมาได้ของคนอื่นทำไม นิสัยไม่ดี”
“ก็เอามาแลกกันไง เอาไว้เป็นที่ระลึกอีกไม่นานเราก็จะออกไปจากที่นี่กันได้แล้ว เอาไว้...คิดถึงกันไง”
วันวิสาเสียงขุ่น “ใครเขาจะไปคิดถึงนาย”
“งั้นเอาไว้คิดถึงความทุกข์ความสุขที่เราเจอมาด้วยกันก็ได้ น่า...นะ”
วันวิสานิ่งไม่ถึงอึดใจ “ฉันมีข้อแลกเปลี่ยน”
“หัวการค้าจังเลยนะเจ๊”
“ถูกต้อง ฉันแลกสร้อยกับนายก็ได้ แต่นายต้องเลิกเรียกฉันว่าเจ๊อย่างเด็ดขาด”
“ก็ถ้าไม่ทำอะไรติงต๊อง ก็ไม่อยากเรียกนักหรอก”
วันวิสาจะปรี๊ดขึ้นมา
“ก็ได้ๆ ต่อไปนี้จะเลิกเรียกเจ๊แล้วครับ”
วันวิสายื่นสร้อยให้ภรพ เช่นเดียวกับที่ภรพยื่นสร้อยให้วันวิสา
“ผูกไม่ได้น่ะ ผูกให้ด้วยสิครับ”
“เรื่องมากจริงๆ เลยนายนี่”
ภรพยื่นข้อมือออกไปให้วันวิสาผูกสร้อยให้ ภรพผูกสร้อยตัวเองใส่ข้อมือวันวิสา มือต่อมือ แขนต่อแขน แต่ความหงุดหงิดไม่ปรากฏ
ภรพมองหน้าวันวิสาแต่ไม่เจอสายตาของเธอ ด้วยอีกฝ่ายก้มหน้า
เมื่อวันวิสาแอบเหลือบตาขึ้นมองภรพ ก็ไม่ทันได้เห็นสายตาของเขาเช่นกัน จนสุดท้าย สายตาสองคู่ปะทะกันจังๆ หัวใจสองดวงเต้นดังโครมคราม โลกเหมือนหยุดนิ่งไปชั่วขณะ
วันวิสาไม่มีวันยอมให้เขารู้สิ่งที่อยู่ในใจตนเด็ดขาด
“สร้อยอะไรก็ไม่รู้ น่าเกลี๊ยด น่าเกลียด ฝีมือนายนี่แย่จัง”
วันวิสาเฉไฉทำเป็นตำหนิสร้อยฝีมือภรพบนข้อมือตน แล้วเลี่ยงเดินออก
ภรพยิ้มกริ่มมองตามตาเชื่อม
ถัดจากคืนเพ็ญเต็มดวงคืนเดียว พระจันทร์แข่งแขกับดาวระยิบระยับบนท้องฟ้า แสงกระจ่างส่องลงมากระทบร่างภรพและวันวิสา ที่นั่งคุยกันอยู่ข้างกองไฟ
“ถ้าออกไปจากที่นี่ได้แล้ว อย่างแรกที่คุณจะทำคืออะไร”
“ฉันก็คงต้องกราบขอโทษป๊ากับม๊าฉันละมัง หลังจากนั้น ฉันก็คงหมดสิทธิ์ที่จะคิดทำอะไรอีกเลย นอกจากสิ่งที่ป๊ากับม๊าสั่งให้ทำเท่านั้น” วันวิสาทอดถอนใจ
ภรพปลอบ “ไม่เลวร้ายขนาดนั้นหรอกมั้ง”
“เกิดเป็นลูกผู้หญิงมันก็ยังงี้แหละ”
“แต่ยังไงคนเรามันก็ต้องมีความฝันด้วยกันทุกคน จะผู้หญิงหรือผู้ชาย และเราก็มีหน้าที่ ทำความฝันของเราให้เป็นความจริงด้วย”
“นายเป็นผู้ชายนายก็พูดได้สิ”
“ถึงว่า...คุณถึงได้เก็บกด” ภรพหัวเราะขัน
แต่วันวิสาไม่ขำด้วย “ฉันโตแล้ว แต่ป๊ากับม๊าก็เห็นฉันเป็นเด็กอมมืออยู่ตลอดเวลา ต้องทำยังงั้น ต้องทำยังงี้ หม้าทำไอ้โน่น หม้าทำไอ้นี่”
“แต่คุณอย่าลืมความจริงอย่างนึง ในโลกนี้ คนที่รักและหวังดีกับเราที่สุดน่ะ พ่อแม่ของเราเอง”
คำนี้ทำเอาวันวิสานิ่งเงียบไป
ภรพมองวันวิสาอย่างรู้สึกว่าตัวเองทำบรรยากาศตึงเครียดเกินไปแล้ว ชายหนุ่มขยับไปเปิดเครื่องเล่นแผ่นเสียง จะหมุนลาน เห็นวันวิสาขยับจะมุดเข้ากระต๊อบ
“อ้าว นั่งฟังเพลงด้วยกันก่อนสิคุณ”
“ฟังอยู่เพลงเดียวจนเบื่อแล้ว”
“ยังไงมันก็กลายเป็นเพลงของเราสองคนไปแล้วละ” เขาพูดทีเล่นทีจริง
วันวิสาชะงักไปนิดหนึ่งสะดุดหูกับคำว่า เพลงนี้
“ง่วงนอน”
วันวิสามุดเข้ากระต๊อบไป ภรพไขลาน เครื่องเล่นแผ่นเสียง
วันวิสาขยับลงนอน ตั้งใจฟังเพลงจากแผ่นเสียง
ฝ่ายภรพที่นอนฟังเพลงจากแผ่นเสียง จนเพลงหมดแผ่น ลานยังไม่หมด ก้านเข็มยังทำงาน มือภรพค่อยๆ ยกก้านเข็มขึ้น มองไปรอบตัวมีแต่ความเงียบ กับเสียงคลื่นเบาๆ ที่กระทบหาดเป็นจังหวะเนิบๆ
ภรพพลิกตัว เหมือนเกิดความว้าวุ่นขึ้นในใจหนักหน่วง ชายหนุ่มขยับลุกขึ้น เหมือนมีบางสิ่งในกระต๊อบเรียกร้องให้เข้าไปหา ชั่งใจตัวเองอยู่ไม่ถึงอึดใจก็หักห้ามจิต ลงนอนข่มใจอย่างยากเย็น
ไม่ต่างกันนัก วันวิสากระสับกระส่ายจนต้องผุดลุกขึ้นนั่ง เงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวข้างนอก หาเรื่อง ขยับออกมาหน้ากระต๊อบ
“นายหดจนสั้น...นาย ดึกๆ ฝนอาจจะตกนะ...นายจะเข้ามานอนข้างในกระต๊อบก็ได้นะ”
ทว่าภรพนอนนิ่งเหมือนหลับสนิทไปแล้ว วันวิสาขยับกลับเข้ากระต๊อบ
ภรพค่อยๆ ลืมตาขึ้น มองสร้อยเปลือกหอยบนข้อมือ แล้วอมยิ้มกับตัวเองหัวใจพองโต
แม้การทำตามสิ่งที่ฮอร์โมนเพศเรียกร้องอยู่ตอนนี้ไม่ยาก แต่ความรู้สึกอยากทะนุถนอมเธอไว้ เป็นฝ่ายชนะ!
เช่นเดียวกันวันวิสาที่นอนอมยิ้มมองสร้อยเปลือกหอยบนข้อมือด้วยความรู้สึกฉ่ำจิต นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอรู้สึกเช่นนี้ ต่อเพศตรงข้าม
หญิงสาวค่อยๆ หลับตาลง ทั้งอบอุ่นใจ และเชื่อมั่นในตัวเขา
อ่านต่อหน้า 3
เลือดมังกร : เสือ ตอนที่ 2 (ต่อ)
วันวิสาตื่นสาย แคะขี้ตามุดมุ้งออกมาจากกระต๊อบ แต่ไม่เห็นภรพ ข้างกองไฟมีอาหารวางเอาไว้ ทั้งมันเผา ปลา กุ้ง เฝา เรียบร้อย รวมทั้งมะพร้าว วันวิสาวักน้ำจืดในถังขึ้นล้างหน้า
ภรพเดินกลับมาจากแนวป่า พร้อมผลไม้ เป็นมะม่วงสุก
“หลับสบายละสิคุณ”
“นายจะว่าฉันนอนกินบ้านกินเมืองก็ว่ามาเหอะ”
ภรพโยนมะม่วงสุกให้วันวิสาลูกหนึ่ง “ผมจะไม่สบายมากกว่า ถ้าคุณกินไม่ได้นอนไม่หลับ”
แล้วมะม่วงถลกเปลือกกินอย่างเอร็ดอร่อย
“ฉันเกรงใจนาย ต้องลุกขึ้นมาหาของกินเผื่อฉัน ทั้งที่มันควรเป็นหน้าที่ของฉันด้วย พรุ่งนี้ถ้าฉันตื่นสายอีกปลุกฉันด้วยนะ”
“คงไม่มีพรุ่งนี้หรอก”
“นายพูดอะไรของนาย”
“วันนี้ยังไงเราก็ต้องออกไปจากเกาะนี่ให้ได้ กินเข้า กินให้อิ่มๆ จะได้มีแรง”
ภรพเดินไปที่กองไม้แห้ง ที่เก็บมาเพื่อต่อแพ
“ถ้าแพนี่เสร็จได้ก่อนเที่ยงก็จะดี เพราะตกบ่ายคลื่นลมมันจะแรง เราสู้มันไม่ไหวหรอก”
จู่ๆ วันวิสาเกิดนอยด์ขึ้นมา “นายอยากออกไปจากที่นี่เร็วๆ เพราะนายคงรำคาญฉันเต็มแก่แล้วละมัง”
ภรพอึ้ง นิ่งไปชั่วครู่ เก็บอารมณ์ส่วนตัวมิดชิด “ทุกคนมีภาระหน้าที่ต้องทำทั้งนั้น ผมอยากให้คุณได้กลับไปเจอหน้าพ่อแม่ ได้มีโอกาสแสดงความกตัญญูต่อท่าน ในฐานะลูกที่ดีต่างหาก”
ภรพเดินออกไปเลย ทิ้งให้วันวิสามองตามด้วยความใจหายลึกๆ
ภรพผูกแพไม้แห้งอย่างแน่นหนาด้วยเถาวัลย์ ใช้ประสบการณ์จากครั้งก่อนมาช่วย
“นายแน่ใจนะว่า มันจะไม่เหมือนคราวที่แล้ว” วันวิสาที่ยืนดูข้างๆ ถามขึ้น
“สยองรึไง น้ำทะเลที่นี่รสชาติดีออก ไม่ค่อยเค็มเท่าไหร่”
“นายก็กินไปคนเดียวละกัน”
“เอาเถอะน่า อดีตเป็นบทเรียนที่มีค่าต่อปัจจุบันเสมอ แพใหม่นี่พาคุณกลับบ้านได้แน่ รับรอง”
“ถ้าเรากลับขึ้นแผ่นดินใหญ่ได้ฉันจะเลี้ยงข้าวผัดปูนาย”
“ยินดีรับเลี้ยง แต่บอกไว้ก่อนเลยนะผมกินจุ”
“ฉันจะให้นายกินจนท้องแตกเชียวละ”
แพไม้ที่ผูกเสร็จแล้ว ถูกลากถูกดันมุ่งหน้าเอาไปลงน้ำ วันวิสาหมดแรง พักยืนหอบจนตัวโยน ภรพยังตั้งหน้าลากแพอยู่ วันวิสาเงยหน้าขึ้น จะเข้ามาดันแพต่อ แต่ต้องชะงักมองอย่าง เหมือนไม่แน่ใจว่าตัวเองตาฝาดไป
“นาย...ดูโน่น”
ภรพ มองตามมือวันวิสาที่ชี้ไป เห็นเรือประมงเล็กลำหนึ่งแล่นมุ่งหน้าตรงเข้ามาที่เกาะ
“ฉันไม่ได้ตาฝาดไปคนเดียวใช่ไหม นายเห็นอย่างเดียวกับฉันใช่ไหม”
ภรพยิ้มออก วันวิสาดีใจสุดๆ กระโดดโลดเต้นจนลืมตัว เข้ามาเกาะภรพแน่น
“เรารอดแล้ว เรารอดแล้ว”
วันวิสาวิ่งออกไปที่ชายน้ำ กระโดดเหย็งๆ โบกมือให้คนบนเรือเห็น
“ช่วยด้วยค่า ช่วยด้วย” เธอหันมาทางภรพ “นายช่วยกันโบกมือสิ เขาจะได้เห็นเรา”
ภรพโบกมือ
ภาพแทนสายตา เรือลำนั้นแล่นเข้าใกล้มาเรื่อยๆเห็นคนบนเรือลิบๆ 3-4 คน เดินมาที่หัวเรือ (แต่งชุดดำๆไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา)
ภรพเอามือป้องแดด เพ่งมองฝ่าแดดออกไปและเริ่มเฉลียวใจ
วันวิสายังร่าเริง กระโดดโลดเต้นโบกมือหยอยๆ
แดดสะท้อนโลหะบางอย่างที่อยู่ในมือคนในเรือ
“คุณ...คุณ...เจ๊”
วันวิสายังไม่ยอมหยุด ภรพเลยต้องออกวิ่งไปคว้าแขนเรียก “เจ๊”
“อะไรของนาย ช่วยกันโบกมือสิ เขาจะได้เห็นเรา...”
“ไม่ใช่แล้วเจ๊...วิ่ง”
วันวิสางงปนเม้ง “วิ่งไปไหน เรือเขามารับเราแล้ว”
“บอกให้วิ่งก็วิ่งสิ”
ภรพทั้งฉุดทั้งดึง แต่วันวิสาขืนตัวไว้ คนบนเรือกราดยิงมาชุดแรก กระสุนสาดลงพื้นตรงหน้าทั้งคู่ วันวิสาช็อก ตาค้าง
“วิ่ง”
ภรพตะโกนก้องฉุดวันวิสาให้ออกวิ่ง กระสุนชุดที่สองแหวกอากาศมา ไล่หลังสองคนมาติดๆ วันวิสากรี๊ด
ภรพฉุดพาวันวิสาวิ่งตับแล่บเข้ามาถึงแนวป่า
“พวกมันเป็นใคร” วันวิสาร้องถามด้วยความคาใจ
“ไม่รู้”
“แล้วทำไมมันต้องยิงเราด้วย”
ภรพบอก “ไม่รู้” อีก
“มันอาจจะนึกว่าเราเป็นผู้ร้าย” เธอตั้งสมมุติฐาน
“มันน่ะแหละผู้ ร้าย ไม่ใช่เรา”
“ถ้าเรายกมือขึ้นยังงี้” วันวิสายังมีหน้าสาธิต
“ก็เป็นเป้านิ่งให้มันยิงไส้แตกสิ”
ภรพจะฉุดให้วิ่งต่อ
วันวิสาลิ้นห้อยแล้ว “ฉันเหนื่อยแล้วละ วิ่งไม่ไหวแล้ว”
“ถ้าเจ๊หุบปาก เลิกถามอะไรตอนนี้ เจ๊จะวิ่งไปได้อีกไกลเลย”
“นายรับปากแล้วนะว่าจะเลิกเรียกฉันเจ๊”
เสียงปืนดังไล่หลังมาอีกชุด
คราวนี้วันวิสากรี๊ดๆๆ โกยแน่บวิ่งนำออกไปก่อนเลย
เรือแล่นพุ่งเข้ามาเกยขึ้นหาด เห็นเป็นนักฆ่า 4 คน กระโดดลงจากเรือทีละคน แต่ละคน มีอาวุธเต็มอัตรา
นักฆ่าคนที่ 5 ยังยืนสงบนิ่งอยู่ในเรือ ท่าทางของมันดูเยือกเย็นน่าเกรงขามยิ่งนัก คาดว่าคงเป็นหัวหน้าทีม
ฝ่ายภรพและวันวิสาซ่อนตัวกันอยู่มุมหนึ่ง ทั้งคู่ยังเหนื่อยหอบ
“คนเราทำอะไรมันต้องมีเหตุผลสิ นายว่าพวกมันต้องการอะไร”
“ไม่รู้” ภรพบอก มองประเมิน หาทางหนีทีไล่
“พวกโจรปล้นรึเปล่า โจรสลัดน่ะ”
ภรพชักเซ็ง “เจ๊เดินไปถามมันให้สิ้นเรื่องสิ้นราวเองเลยดีกว่ามั้ง”
“เรื่องอะไร”
“งั้นก็เลิกถามซะที”
“ถ้านายตอบฉันได้ ว่ามันเป็นใครกันแน่ ฉันจะได้ทำตัวถูก”
“มันเป็นใครไม่สำคัญเท่า มันต้องการชีวิตเราคนใดคนหนึ่งแน่ๆ”
ภรพบอกอย่างมั่นใจ
กระต๊อบหลังน้อย ถูกพังถล่มลงเป็นกองซากไม้ ฟืนที่ติดไฟถูกโยนลงใส่กองซากนั้น นักฆ่าทั้ง 4 แยกย้ายกันเข้าป่าเพื่อไล่ล่า ทิ้งภาพกระต๊อบติดไฟ ไหม้เป็นจุลไว้เบื้องหลัง
นักฆ่า 1 กระชับปืนในมือ ลุยป่าเข้ามา ภรพ วันวิสา ซ่อนอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ ภรพโยนท่อนไม้ล่อไปทางหนึ่ง นักฆ่า 1 สาดกระสุนไปที่ได้ยินเสียงไม้ทันที
ภรพฉวยโอกาส พรวดออกมา ฟาดนักฆ่า 1 ด้วยไม้เต็มแรง ปืนร่วงลงพื้น ภรพลุยอัดนักฆ่า 1 จนรวบตัวได้แล้วขู่ด้วยมีด
“เก็บปืน...เจ๊...เก็บปืน”
วันวิสาตื่นตะลึงมือไม้สั่น รีบเดินเงอะงะไปเก็บปืนตามคำสั่งภรพ แต่ไม่วายบ่น
“ทำไมมันหนักยังงี้ล่ะ”
“พวกลื้อเป็นใคร ต้องการอะไรบอกมาเดี๋ยวนี้”
นักฆ่า 1 รอจังหวะ ดิ้นหลุดจากภรพได้ สู้ด้วยมือเปล่ากับภรพที่มีมีด นักฆ่า 1 ต้องการชิงปืนกลับมาจากวันวิสา
วันวิสาตกใจ จับปืนก็ไม่เป็น มือสั่นจนปืนหลุดมือร่วงลงพื้น เมื่อเห็นนักฆ่า 2 ตามมาอีกคน
“มันมาอีกคนนึงแล้ว”
ภรพ เตะนักฆ่า 1 จนล้ม แล้วรีบฉุดวันวิสา โกยหนีต่อ นักฆ่า 2 ที่ตามมา สาดกระสุนไล่หลังเปรี้ยงๆๆ เป็นชุด
สองคนหายลับไปในป่าทึบ ได้ยินแต่เสียงร้องกรี๊ดๆ ของวันวิสาไปทั้งราวไพร
ภรพ และ วันวิสา วิ่งหนีกันมาถึงมุมหนึ่ง ภรพดึงยื้อวันวิสาไว้
“ทางนี้ไปไม่ได้”
“ทำไมจะไม่ได้”
“บอกว่าไม่ได้ ก็ไม่ได้ละกัน”
ภรพดึงวันวิสา หลบไปทางหนึ่ง นักฆ่า 2 ตามมา สอดตามองหา ภรพวิ่งออกมาจากที่ซ่อน กะล่อมันด้วยตัวเอง
นักฆ่า 2 สาดกระสุนเข้าใส่ทันที ภรพม้วนหน้าหลบวิถีกระสุน หายลับไปในป่ารก นักฆ่า 2 วิ่งไล่ตาม
ภรพล่อนักฆ่า 2 ให้ตามอยู่หลายรอบ นักฆ่า 2 ย่ามใจไล่ตามภรพ จนตกพรวดลงไปในหลุมดักสัตว์ ที่ภรพขุดเอาไว้
วันวิสารีบวิ่งเข้ามาหาภรพ “นายทำได้ยังไงน่ะ”
“ก็อยากกินหมูป่า แต่มันไม่เคยโง่มาตกหลุมนั่นซะทีไง”
“นายว่าเราจะรอดไหม”
“ไม่รอดแน่ถ้าคุณไม่ฟังคำสั่งผม วิ่งตามผมอย่างเดียว อย่าวิ่งไปทางอื่นเด็ดขาด”
วันวิสา พยักหน้าหงึกหงัก ภรพออกวิ่งนำไปก่อน วันวิสาออกวิ่งตาม แต่วันวิสาฝ่าฝืนคำสั่งโดยไม่รู้ตัวเหยียบไปบนพื้น กลไกดักสัตว์อีกอันทำงานทันที บ่วงเชือกรัดข้อเท้าและรวบดึงร่างวันวิสา ขึ้นห้อยต่องแต่งหัวทิ่มลงมา นางร้องกรี๊ด
ภรพสุดจะเซ็งแต่ต้องหลบวูบออกไป นักฆ่า 1 ถือปืนวิ่งตามมาทัน วันวิสาขนหัวลุก
“อย่าทำอะไรฉันเลยนะ ฉันไม่มีอะไรให้นายปล้นหรอก”
นักฆ่า 1 กวาดสายตามองหาภรพ อันเป็นเป้าหมายสำคัญ ภรพย่องมาจากด้านหลัง แล้วจู่โจมฟาดนักฆ่า 1 ด้วยไม้จนปืนหลุดจากมือ สองคนสู้กันมือเปล่า รอบวันวิสาที่ถูกห้อยหัวต่องแต่งอยู่
นักฆ่า 1 ชักมีดออกมา ภรพชักมีดออกมาเหมือนกัน สู้กันด้วยมีด ภรพเล็งหาจังหวะ ตัดเถาวัลย์ที่เกี่ยวห้อยร่างวันวิสาจนขาด ร่างวันวิสาหล่นตุ๊บ หัวกระแทกพื้น
“ปืน เก็บปืนมันขึ้นมา” ภรพร้องสั่ง
วันวิสา มึนงง คลานคลำไปตามพื้นหาปืน
“ไหนล่ะปืน”
ภรพ กะ นักฆ่า สู้กันมันหยด ภรพได้จังหวะเตะปืนไปให้วันวิสา ปืนลอยละลิ่ว และตกแหมะลงตรงหน้าเธอ
วันวิสา ลนลานเก็บปืนขึ้นมาจับผิดจับถูก
“ฉันเกลียดปืน ฉันเกลียดมีด”
วันวิสา ทำปืนลั่น และปืนหลุดมืออีก ลูกทุเรียนถูกลูกกระสุนตัดขั้วอย่างเหมาะเหม็ง ร่วงลงมา ทุเรียน ร่วงใส่หัวนักฆ่า 1 เต็มๆ ร่างร่วงผล็อย วันวิสาคลำหาปืนบนพื้น ที่ถูกใบไม้ปิดอยู่
ภรพรีบเข้ามาฉุดดึงวันวิสาไป โดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้หยิบปืน
ภรพฉุดดึงวันวิสาฝ่าป่ารกมา
“เราต้องมุ่งหน้าไปทางตะวันตก โอกาสรอดมีมากกว่า”
วันวิสารทรุดฮวบเพราะหนามตำกลางเท้า “โอ๊ย หนามตำฉัน”
ภรพยกขาวันวิสาขึ้นดู จนวันวิสาหงายหลังเงิบ ภรพดึงหนามออกจากตีนวันวิสา
“ปืนล่ะ ปืนอยู่ไหน”
วันวิสาบ่นอุบอิบ “มันหนัก”
ภรพเซ็งโคตรๆ “หนักแล้วไง”
“มันหลุดมือฉันไปแล้ว”
ภรพไม่มีเวลาเซ็งอีก ฉุดวันวิสาให้ออกวิ่งต่อ วันวิสากระเผลกเล็กน้อย
สองคนหนีมาถึงแอ่งน้ำตก ภรพหันหลังไปมองข้างหลัง ความคิดทำงานอย่างหนักและรวดเร็ว สุดท้ายภรพพาวันวิสาลุยน้ำมุ่งหน้าไปหาจุดที่น้ำตกลงมาทันที
ทั้งคู่ลุยฝ่าม่านน้ำตกเข้ามา วันวิสาทึ่ง
“นายนี่ฉลาดที่สุดเลย พวกมันคงคิดไม่ถึงหรอกว่าหลังน้ำตกจะมีที่ให้เราซ่อนตัวยั้งงี้”
“ไม่ใช่เรา คุณคนเดียวต่างหาก”
“ทำไม”
“ถ้าอยากจะรอด เราต้องแยกกัน ดูทิศตะวันตกเป็นใช่ไหม”
วันวิสาส่ายหน้า “นายเห็นฉันเป็นภาระของนายใช่ไหม”
“พระอาทิตย์ตกดินด้านไหนก็ไปตามนั้นแหละ”
วันวิสาหน้าจ๋อยสนิท “นายจะเอาตัวรอดคนเดียว”
“เพื่อความปลอดภัยของคุณเองต่างหาก” เขาบอกจริงจัง
“ลงเรือลำเดียวกันมาแล้วทำไมมาทิ้งกัน”
“ฟังให้ดีนะ ถ้ายังอยากเห็นหน้าพ่อแม่คุณอีกครั้ง ทำตามคำสั่งของผม”
วันวิสานิ่งเงียบ
“ดูให้แน่ใจว่าปลอดภัย แล้วค่อยออกไป เจอกันที่ชายหาดด้านตะวันตก”
ภรพสั่งแค่นั้นแล้วขยับออกมา แต่แล้วชะงัก หันกลับมาอีกที อย่างไม่คาดฝัน เขาดึงตัววันวิสา รั้งเข้ามาใกล้แล้วฝังจูบแนบแน่น เวลาผ่านไปเหมือนชั่วกัลป์
วันวิสาตาเหลือกค้างจนลืมหายใจ
ภรพถอนจูบออก อย่างน้อยถ้าจะต้องตาย เขาก็ได้ทำในสิ่งที่ปรารถนาก่อนตายแล้ว ภรพมุดม่านน้ำตกออกไปทันที
วันวิสายังช็อกตะลึงตะไลตาค้าง
แม่เจ้า สัมผัสอะไรทำไมหัวใจฉันเต้นจังหวะนี้ได้!
ทางด้าน นักฆ่า 3 นักฆ่า 4 กระชับอาวุธในมือน่าเกรงขาม ทั้งคู่สอดส่ายสายตาหาเป้าหมาย นักฆ่า 3 ส่งสัญญาณให้นักฆ่า 4 แยกออกไปอีกทาง
ลับตานักฆ่า 4 นักฆ่า 3 กำลังจะแยกไปอีกทาง ภรพโหนเถาวัลย์ลงมาจากต้นไม้ ท่าเดียวกับทาร์ซานเด๊ะ ถีบเข้ากลางหลังนักฆ่า 3 จนปืนหลุดมือ
คิวบู๊ระหว่างภรพกับนักฆ่า 3 ซึ่งชักมีดออกมาเหมือนกัน ทั้งคู่ต้องการปืนที่ตกอยู่ ชิงความได้เปรียบไปมา ในจังหวะตะลุมบอน ภรพถูกคมมีด แขนเสื้อตรงใกล้ไหล่ขาด
นักฆ่า 3 ซัดมีดที่ซ่อนไว้อีกใส่ภรพชุดใหญ่ ภรพตีลังกาหลบห่าคมมีด มีดปักใส่ต้นไม้เป็นชุด นักฆ่า 3 พุ่งเข้ามาคว้าปืนได้ แต่ก็เป็นจังหวะที่ภรพพุ่งเข้ามา เตะมือ กระสุนลั่น 1 นัด ดังสะท้านป่า
เสียงนั้นทำให้วันวิสาสะดุ้งเฮือก ว้าวุ่นใจ เกิดอะไรขึ้นบ้างไม่รู้ เธอตัดสินใจในทันที มุดม่านน้ำตกออกไป
ฉากบู๊ระหว่างภรพกับนักฆ่า 3 อีรุงตุงนัง ผลัดกันได้เปรียบ เสียเปรียบ ภรพอัดหมัดใส่ชุดใหญ่แต่นักฆ่า 3 ไม่สะทกสะท้าน นักฆ่า 3 เต็มไปด้วยลูกบ้าดีเดือด มันตบหัว ทุบอกตัวเอง ปลุกอารมณ์ฮึกเหิมบ้าคลั่ง
ภรพหลอกล่อพลิ้วไหว แล้วหักมุม อัดเข้ากลางกล่องดวงใจจังๆ นักฆ่า 3 สีเลือดฝาดบนหน้า เปลี่ยนเป็นสีเขียวได้ทันที แล้วทรุดฮวบลงยืนเข่า มือยังกุมเป้า
วันวิสามุดป่าเข้ามา หนามเอย กิ่งไม้เอยเกี่ยวพันเสื้อผ้าอีรุงตุงนัง แต่เธอดั้นด้นมุ่งหน้าไป วันวิสาลงคลานศอกเพื่อจะมุดผ่านพุ่มไม้หนา คลานพ้นพุ่มไม้แล้วต้องชะงัก เมื่อมีรองเท้าคอมแบทคู่น่าเกรงขาม จ่อเผชิญหน้า
วันวิสาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมอง ยิ้มเหยเก
“สวัสดี เราเคยรู้จักกันไหมเอ่ย”
เป็นนักฆ่า 4 มองมาอย่างเลือดเย็น ไม่เล่นด้วย
ด้านภรพเค้นคอ นักฆ่า 3 ถามเพราะต้องการรู้ความจริง
“ใครส่งพวกลื้อมา พูดออกมาเดี๋ยวนี้”
นักฆ่า 3 ยังปากแข็ง
เสียงนักฆ่า 4 ดังแทรกขึ้น “ปล่อยพวกกู”
ภรพหันมา พบว่านักฆ่า 4 ล็อกคอวันวิสาพาเข้ามา
“ไม่งั้นเมียมึง เป็นผีเฝ้าเกาะนี้แน่”
ภรพสุดเซ็งเมื่อหันมาเห็นวันวิสาที่อ้าปากโวยวาย
“จะบ้าเหรอ ฉันยังโสดย่ะ ยังไม่ได้มีผัวซะหน่อย”
“กูไม่เชื่อ หน้าตามึงสองคนเป็นผัวเมียกันชัดๆ นั่นแน่ะ กูดูสายตามึงมองกันกูก็รู้แล้ว” นักฆ่า 4 ทำตัวเป็นนักพยากรณ์
“รู้ดี บอกว่าไม่ได้เป็นก็ไม่ได้เป็นสิ” วันวิสาค้อนควัก
“มึงปล่อยพวกกูมา ไม่งั้นเมียมึงไส้แตกแน่”
“ยัยติงต๊องนั่นไม่ใช่เมียอั๊ว ใครหน้าไหนมันเอาไปทำเมียก็บ้าก็โง่แล้ว ทั้งพูดมากทั้งเสียงแหลมปวดหู กินก็จุ เรอก็ดัง ตดก็เหม็น ไม่มีไรดีซักอย่าง” ภรพใส่เป็นชุด
วันวิสาแค้นแทบกระอัก “อีตาบ้า ฉันจะตัดลิ้นนาย”
“แน่จริงก็เข้ามาเลยโว้ยยัยเจ๊”
วันวิสาเดือดถึงจุด เรี่ยวแรงไม่รู้มาจากไหน เลือดขึ้นหน้า ดิ้นจนหลุดจากนักฆ่า 4 แถมเอานิ้วจิ้มลูกตา
นักฆ่า 4 ดิ้นพราด ๆ
ภรพฉวยโอกาสถีบนักฆ่า 3 ทิ้ง ถลาไปหยิบปืนมา กระโจนเข้าฉุดวันวิสา แล้วถีบวันวิสาให้กลิ้งตกเนินเขาไป
นักฆ่า 3 คว้าปืนจากนักฆ่า 4 ยิงใส่ภรพ
ภรพม้วนตัวหลบวิถีกระสุน แล้วกลิ้งตัวลงเนินเขาตามวันวิสาไป
วันวิสากลิ้งหลุน ๆ เป็นลูกบอลลงมาตามเนินเขาแล้วหยุดแน่นิ่ง ภรพกลิ้งตามลงมาไม่สามารถเบรกได้ ทับวันวิสานุงนัง
“อีตาบ้า นายกล้าดียังไงมากล่าวหาว่าฉันตดเหม็น”
“แล้วคุณกล้าดียังไงขัดขืนคำสั่งผม บอกแล้วใช่ไหมว่าให้ซ่อนตัวอยู่ ในถ้ำน้ำตกนั้น”
“ก็ฉันได้ยินเสียงปืน”
“แล้วออกมาทำไมยัยบ๊อง”
“ก็ฉันเป็นห่วงนายนี่...นายบื้อ”
ทั้งคู่มองกันนิ่งอยู่ชั่วอึดใจ
“นึกว่าตามมาให้จูบซ้ำซะอีก” ภรพว่า
“ตามมาตบหน้านายละไม่ว่า”
วันวิสาแก้เก้อจะตบภรพ โดยภรพยื่นหน้าจะให้ตบจริง ๆ
“ถ้าตบแล้วหายโกรธก็ตบเลยถือว่าแทนคำขอโทษ”
เอาเข้าจริงๆ วันวิสาก็ตบไม่ลง “อีตาบ้า”
เสียงปืนดังขึ้นก่อน กระสุนอัดเข้าต้นไม้ใกล้ทั้งคู่ ภรพฉุดวันวิสา หนีต่อ
นักฆ่า 3 กลิ้งเป็นลูกบอล ตามลงมา ปะทะชนต้นไม้ จนมึนหลงทิศ กว่าจะออกไล่ล่าต่อได้
นักฆ่า 3 ตามมาอย่างเร่งรีบ พอเห็นวันวิสานั่งกุมเท้าร้องโอดโอยอยู่ นักฆ่า 3 ก้าวเข้ามาอย่างย่ามใจ
“สวยๆ ยังงี้ แสบใช่ย่อยนะมึง”
“อย่าทำอะไรฉันเลย ขาฉันเจ็บอยู่”
“ผัวมึงอยู่ไหน”
วันวิสาบุ้ยใบ้ “ข้างหลังพี่น่ะแหละ”
นักฆ่า 3 ไม่เชื่อ “ฮั่นแน่ เจ้าเล่ห์อีกต่างหาก พอกูหันไป มึงก็ตีกู กูรู้”
ภรพก้าวเข้ามาข้างหลังนักฆ่า 3 แล้วตอนนี้
“พี่นี่ฉลาดจังเลย แต่จริงๆ นะ ฉันไม่ได้โกหกพี่”
ภรพเงื้อไม้ วันวิสาหลับตาเอามือปิดตา นักฆ่า 3 งง
“ปิดตาทำไมวะ”
“เซ็นเซอร์ไง ภาพมันหวาดเสียวเกินไป” วันวิสายิงมุก
ภรพฟาดนักฆ่า 3 ด้วยไม้เข้าที่สำคัญกะทีเดียวอยู่ นักฆ่า 3 ร่วงผล็อย วันวิสาปิดตาอีกครั้ง
“เลิกหวาดเสียวได้แล้ว”
“หวาดเสียวกว่าเดิมอีก”
เหตุที่นางพูดอย่างนั้น โวยด้านหลังภรพตอนนี้ คือนักฆ่า 4 ถือปืนจ่อพร้อมจะยิงภรพระยะประชิด
“ดวงมึงไม่ได้ดีตลอดไปหรอก”
“คุยกันก่อนได้ไหม อย่างน้อยอั๊วก็ขอรู้ก่อนตายว่าใครเป็นคนส่งพวกลื้อมา”
ภรพใจดีสู้เสือค่อย ๆ หันไปเผชิญหน้านักฆ่า 4
ปืนในมือนักฆ่า 4 ขยับเป้าสูงขึ้น
“นายกูสั่งให้ปิดปากให้เงียบว่ะ”
นักฆ่า 4 จะลั่นไก ภรพหลับตาลง นิ้วลั่นไก แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกจากเสียงดังแชะ นักฆ่า 4 เสียฟอร์มอย่างไม่ให้อภัยตัวเอง
ภรพลืมตาขึ้น ยิ้มให้อย่างมีอัธยาศัย นักฆ่า 4 ยิ้มตอบ อย่างประจบประแจง ภรพเตะเข้าก้านคอนักฆ่า 4 จนล้มทั้งยืน วันวิสายังไม่หายแค้น หยิบไม้มาฟาดกระหน่ำนักฆ่า 4 อีกชุด
“พอแล้วคุณ”
“ขอตีมันให้หายแค้นหน่อย ตอนนายประจานว่าฉันเรอดัง ตดเหม็น ฉันเห็นมันแอบหัวเราะเยาะฉันด้วย”
ภรพต้องแย่งไม้มาจากวันวิสา แล้วพาหลบออกไป โดยยังไม่แน่ใจกับสถานการณ์
ที่ราบเชิงเขา ภรพพาวันวิสาวิ่งมาบริเวณนั้น เขายังกวาดตามองรอบๆ ไม่วางใจ
“คุณว่ามันมากันกี่คน”
“ฉันเห็นมันลงมาจากเรือสี่”
“ผมก็เห็นสี่แล้วเราก็จัดการมันได้สี่”
“งั้นก็แปลว่าเรารอดแล้วใช่ไหม”
“ยังหรอก จนกว่าเราจะออกไปจากที่นี่ได้”
ภรพจะพาวันวิสาเดินทางต่อ แต่แล้วต้องชะงัก เมื่อพบว่าบนโขดหินเนินเขา ปรากฏว่าร่างทะมึนของนักฆ่าคนที่ 5
“แน่ใจนะว่าคุณเห็นพวกมันแค่สี่”
“ตอนนี้ชักไม่แน่ใจแล้วละ ลองเจรจากับมันก่อนดีไหม มันอาจจะเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด” วันวิสาตะโกนไปว่า “สวัสดีค่า...”
สิ้นคำทักทาย นักฆ่า 5 ยกปืนยิงลูกระเบิดขึ้นด้วยมือข้างเดียว
“เขาพยายามจะยกมือทักทายเรามั้งนาย”
ภรพอยากตายอีกรอบ “ทักทายบ้านคุณสิ”
นักฆ่า 5 ลั่นไกยิงลูกระเบิด เห็นลูกระเบิดพุ่งแหวกอากาศมาอย่างสง่างาม ภรพฉุดวันวิสาโกยแน่บ
สองคนกระโจนพุ่งเข้าเบื้องหน้า ทิ้งให้ระเบิดแสดงอานุภาพอยู่เบื้องหลัง
อ่านต่อหน้า 4
เลือดมังกร : เสือ ตอนที่ 2 (ต่อ)
นักฆ่า 5 ไล่ตามสองคนมาอย่างเลือดเย็น มันยิงปืนลูกระเบิดใส่ไม่ยั้ง ภรพ และวันวิสา ต้องกระโจนหลบลูกระเบิด กลิ้งลงเนินกันระวิง
ทั้งคู่มอมแมม หน้าดำด้วยเขม่าระเบิด พุ่งเข้ามาหลบหลังต้นไม้ใหญ่
“มันจองเวรมาตั้งแต่ชาติไหนวะเนี่ย”
ภรพแค้นหนัก หันมามองวันวิสา ที่กัดฟันคัดเลือดที่เท้าที่โดนหนามตำ แถมยังถูกหินบาดตอนหลบลูกปืนอีก
“โดนอะไร”
“ไม่รู้ หินบาดมั้ง”
“ไหวไหม”
“ฉันไม่ยอมตายแบบศพไร้ญาติบนเกาะนี่หรอก”
ภรพรับรู้ถึงความเข้มแข็งในใจวันวิสา จู่ๆ มีดพุ่งเข้าปักดังฉึก ใส่ต้นไม้กึ่งกลางระหว่างภรพ และวันวิสา นักฆ่า 5 ย่างสามขุมเข้ามา
“คุณหนีไปก่อน ผมจะสกัดมันเอง”
วันวิสาอิดออดห่วงเขาน่ะแหละ
ภรพตวาด “ไปสิ”
วันวิสาลากขากะเผลกๆ ออกไป
ภรพดึงมีดออกมาจากต้นไม้ บัดนี้เขามีมีด 2 เล่ม ในมือ ภรพขว้างมีดเข้าใส่ นักฆ่า 5 แค่เอี้ยวตัวหลบ แถมมันยังคว้ามีดที่พุ่งเข้าหาได้กลางอากาศ อา…พิษสงของมันไม่ธรรมดา
ภรพคว้าได้ไม้ขนาดเหมาะมือ กระโจนเข้าฟาดเต็มแรง แต่นักฆ่า 5 ไม่สะเทือนสะทกสะท้าน แถมไม้หักคามือ ภรพโดนฟาดกลับด้วยแขนล้มหงายหลัง
นักฆ่า 5 ตามเข้าคว้าภรพ ยกขึ้นลอยกลางอากาศ ภรพจิ้มลูกตานักฆ่า 5 มันทุรนทุรายจนต้องปล่อยภรพลง ภรพรีบฉวยโอกาส โกยหนี
ภรพหนีตามมาทันวันวิสา
“ทำไมไม่ รีบไป”
“เผื่อฉันจะช่วยอะไรนายได้”
ภรพคิดปราดเดียว “ผมแน่ใจว่าเป้าหมายของมันคือเก็บผม ขืนคุณมาอยู่ ใกล้ๆ มันไม่เอาไว้แน่”
วันวิสาแย้ง “เป้าหมายของมันอาจจะเป็นฉันก็ได้ใครจะไปรู้”
“หนีไป รอดซักคนยังดีกว่าตายทั้งคู่”
“เราสองคนอาจจะเป็นเป้าหมายของมันทั้งคู่ก็ได้” นางแย้งอีก ก็ห่วงเขาอีกแหละ
“ไม่กลัวตายรึไง”
“กลัวสิ แต่หนีอย่างเดียวก็ไม่ใช่ทางรอดหรอกนะ”
นักฆ่า 5 เดินลิ่วๆ เข้ามาในป่า วันวิสากระโดดออกมาจากที่ซ่อน มองท้าทาย
“ไอ้บ้า ไอ้คนโหดเหี้ยม ไอ้…ไอ้คนไม่ใช่คน”
นักฆ่า 5 ชักปืนออกมายิงใส่ไม่พูดพล่ามทำเพลง
วันวิสากรี๊ดป่าแตก วิ่งกระเจิง กระโดดหลบ นักฆ่า 5 ตามวันวิสาไปอย่างใจเย็น วันวิสาล่อนักฆ่า 5 ให้ไปทางหนึ่ง
“แน่จริงก็ตามมาสิวะ...แอร๊ย”
นักฆ่า 5 ยิงใส่ วันวิสาท้าทายไปหลบไป ทั้งที่กลัวฉี่จะราด ใจแทบจะขาด
วันวิสาล่อนักฆ่า 5 มาด้านที่เป็นเหวลึก เพื่อกำจัดให้ตกเหว ภรพดักรออยู่จู่โจมใส่นักฆ่า 5 ที ฉากบู๊รอบนี้ภรพเหมือนได้เปรียบ แต่เล่นงานยังไงนักฆ่า 5 ก็ไม่สะทกสะท้าน มันอึดเกินคน ภรพถูกเหวี่ยงกระเด็น วันวิสาเอาหินเขวี้ยงเข้าใส่นักฆ่า 5 แต่มันก็ไม่สะทกสะเทือน แถมพุ่งเข้าหาวันวิสา
ภรพฉวยโอกาสพุ่งเข้าชน ปักมีดเข้ากลางตัวนักฆ่า 5 แล้วถีบมันสุดแรงเกิดจนหงายหลังตกเหวไป วันวิสาดีใจกระโดดโลดเต้นใหญ่ ภรพหมดแรงทรุดลงกองคาพื้น
“เรารอดแล้ว เรารอดแล้ว”
วันวิสาประคองภรพขึ้น
ที่ปากเหว มือนักฆ่า 5 ปีนกลับขึ้นมาอีก ดูมัน!
วันวิสาหันมาอีกที ช็อกอ้าปากค้างจนภรพต้องหันกลับไปดู นักฆ่า 5 ขึ้นมายืนปากเหวได้เต็มตีน มันดึงมีดที่ปักอยู่กลางตัวออกอย่างไม่รู้สึกระคายเคืองแม้แต่น้อย
วันวิสาตะลึงตะไล ตาค้าง ภรพต้องฉุดวันวิสาออกวิ่ง เสียงปืนดังขึ้น ภรพล้มคะมำ ลูกปืนเข้าไหล่ นักฆ่า 5 เล็งปืน ก้าวเดินเข้าหา
“ไหวไหม นายไหวไหม” วันวิสาใจหล่น
ภรพกัดฟัน สถานการณ์แย่เพราะมือเปล่าโดยแท้ เขาออกวิ่งไปกับวันวิสา
นักฆ่า 5 ย่างสามขุม ยิงใส่ทั้งคู่อย่างย่ามใจว่ากระสุนของมันไม่มีวันหมด
วันวิสาประคองหิ้วปีกภรพ พากันมาตามไหล่เขาอย่างทุลักทุเล ภรพเลือดไหลรุนแรงมาก
“อดทนหน่อยนะนาย”
ทั้งคู่ขยับมาจนสุดแผ่นดิน และพบว่าเบื้องหน้าคือหน้าผาชัน เบื้องล่างคือทะเล
“หนีไป”
“ไม่” เธอไม่ยอม
“คุณจะเอาชีวิตมาทิ้งกับผมทำไม”
“ฉันยังเชื่อว่าดวงเราไม่ได้หดสั้นจุ๊ดจู๋อย่างชื่อนายหรอก มาด้วยกันก็ต้องไปด้วยกันสิวะ”
วันวิสาชะโงกลงไปมองเบื้องล่างแล้วหน้าซีด
“โอ โน...ฉันเกลียดความสูง เราเลาะไปตามหน้าผานี่ก็ได้มั้ง”
วันวิสาจะดึงภรพให้ออกเดินต่อ แต่ภรพยื้อดึงเอาไว้ เพราะบัดนี้นักฆ่า 5 ย่างสามขุมตามมาแต่ไกล มือของมันกำลังบรรจุระเบิดเข้ากระบอกปืน
“เราไม่มีทางเลือกแล้ว”
นักฆ่า 5 เดินตรงเข้ามา พร้อมเล็งปืนยิงลูกระเบิด
“ฉันไม่โดดลงไปเด็ดขาด มันเสียว”
นักฆ่า 5 ลั่นไกปืน
ภรพหงุดหงิด “เสียวกับกินลูกระเบิด จะเอาอะไร”
ระเบิดพุ่งทะยานออกจากลำเพลิง ภรพคว้ามือวันวิสา จับไว้แน่นแล้วพาวิ่งไปที่หน้าผา ระเบิดเฉียดหัวทั้งคู่เส้นยาแดงผ่าแปด ร่างทั้งคู่ดิ่งลงจากหน้าผา
วันวิสาร้องกรี๊ด ร่างทั้งคู่กระแทกผิวน้ำและจมหายไปกับน้ำทะเล
แรงกระแทกอันรุนแรง ทำให้ร่างทั้งคู่ดิ่งลงในน้ำลึก วันวิสาจะพาตัวเองทะลึ่งขึ้นสู่ผิวน้ำ แต่ภรพฉุดดึงขาเอาไว้ วันวิสาว่ายวกกลับลงมาหา ภรพชี้มือส่งสัญญาณให้ไปทางหนึ่ง ตรงโขดหินใหญ่ใต้น้ำซึ่งเป็นหลืบเป็นซอก ภรพว่ายนำพาวันวิสาหลุดเข้าไป สองคนพบว่ามันเป็นถ้ำใต้น้ำ
ที่ยอดเขาบริเวณปากเหว นักฆ่า 5 ก้าวเข้ามาที่หยุดยืนบนขอบเหว กวาดสายตามองลงไปที่เวิ้งน้ำเบื้องล่าง ไม่มีวี่แววว่าเหยื่อรอดชีวิต คลื่นซัดตูมตามใส่โขดหินหน้าผา
ภรพ กับ วันวิสา ทะลึ่งพรวดขึ้นสู่ผิวน้ำ แทบจะขาดใจตาย เพราะหมดลมพอดี ทั้งคู่ตะเกียกตะกายเข้าฝั่งที่เป็นแค่หาดแคบๆ คลานขึ้นนอนแผ่หลาหมดเรี่ยวแรง
เวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง ทะเล คลื่นลมสงบเงียบเหมือนไม่มีพิษภัยอันตรายใดๆ แล้ว ในโพรงถ้ำ วันวิสาขยับตัวลุกขึ้น ขณะที่ภรพนอนกัดฟัน แผลที่ถูกยิงกลายเป็นความเจ็บปวดสาหัส
“แผลนายเป็นยังไงบ้าง”
วันวิสาขยับเข้ามาดูแผล แล้วต้องเบือนหน้าหนี
“ไกลหัวใจ เลือดหยุดไหลแล้วด้วย”
“เราคงไม่ต้องอยู่ ในนี้นานใช่ไหม”
“ก็จนกว่าจะแน่ใจว่าพวกมันไปกันแล้ว”
วันวิสามองรอบตัว “ถ้ำนี่มันแคบๆ ตันๆ แค่นี้เองนี่นาช่องข้างบนนั่นก็เล็กนิดเดียว มือยังรอดออกไปแทบไม่ได้”
“มันคงมีทางเข้าทางออกทางเดียว ทางที่เรามุดกันเข้ามานั่นแหละ”
“ขาเข้ามาก็แทบขาดใจแล้ว ยังต้องมุดกลับทางเดิมอีกเหรอ”
“ถึงเวลาน้ำลงคงง่ายกว่านี้”
อีกฟาก ที่บ้านรุ่งเรืองไพศาลศิริ ภาพเขียนพู่กันจีนรูปเสือ ฝีพู่กันเฉียบคมพร้อมอักษรภาพคำอวยพรประดับอยู่เหนือแท่นบูชาห้องไหว้เจ้า สุพรรษาคุกเข่าเบื้องหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนหิ้งบูชา สวดภาวนาวิงวอน เบื้องหลังคือพราวตา ภรีม ที่ตกอยู่ในความทุกข์กังวลไม่แพ้กัน
อาเจิ้ง พ่อบ้าน เข้ามาในห้อง เห็นบรรยากาศแล้วไม่กล้าส่งเสียงรบกวนใคร
ภรีมหันมาหา “มีอะไรอาเจิ้ง ใครติดต่อมารึเปล่า”
“เปล่า อั๊วแค่จะมาถามเรื่องอาหารเย็น”
พราวตาบอกว่า “มีอะไรให้ทำกินได้ ก็ทำไปตามนั้นแหละ ไม่มีใครมีแก่จิตแก่ใจจะไปตลาดหรอก”
ภรีมกำชับแค่ว่า “อุ่นซุบไก่ไว้ให้อาม๊าด้วยนะอย่าลืม”
อาเจิ้งบ่นด้วยความห่วงใย “เอาแต่คุกเข่าสวดมนต์ยังงี้มาสองวันแล้ว สุขภาพจะแย่เอานา”
“ต่อให้ต้องทำมากกว่านี้ ยากลำบากหรือทรมานยังไง แลกกับอาภรพปลอดภัยกลับมา ทุกคนก็ยินดีทำ อาเจิ้ง”
พราวตาบอก
ที่โพรงถ้ำวันวิสานั่งหลับตาพิงผนังถ้ำอยู่
“นี่ถ้าได้น้ำมะพร้าวซักลูก โลกจะน่าอยู่กว่านี้ขึ้นเยอะเลย”
วันวิสารู้สึกว่าภรพเงียบไปนาน จึงลืมตาขึ้นมอง พบว่าภรพกัดฟันสู้ความเจ็บปวด
“นายเจ็บแผลมากเหรอ จะให้ฉันช่วยยังไงดี”
“ไม่ต้อง”
“ตอนเด็กๆ ฉันทำมีดบาดนิ้วตัวเองป๊าบอกว่าจะตีซ้ำถ้าฉันแหกปากร้องบ้านจะแตกยังงี้ นายรู้ไหมฉันทำยังไง ม๊ามากระซิบบอกให้ร้องเพลงแทน ตอนนั้นฉันจำไม่ได้ว่าร้องเพลงอะไร แต่มันช่วยให้หายเจ็บได้จริงๆ นะนาย”
“ผมร้องเพลงไม่เป็น คุณร้องสิ”
“จะบ้าเหรอ นายเป็นเจ้าของแผล นายต้องร้องเองสิ”
ภรพขำมากกว่ารำคาญ
“ถ้าไม่ ร้องก็นึกถึงเพลงที่นายชอบฟังก็ได้มั้ง”
ภรพมองวันวิสาด้วยความรู้สึกดีเหลือเกิน นึกถึงเพลงจากแผ่นเสียงแผ่นนั้น
วันวิสายิ้มมอง “นายรู้สึกดีขึ้นแล้วใช่ไหม เห็นไหมบอกแล้วไม่เชื่อ”
วันวิสาหันมาเห็นสายตาวาววามของภรพที่มองมา วาบหวามในใจจนต้องเฉไฉหันไปมองที่อื่น
แต่จู่ๆ วันวิสาก็ออกอาการตกใจมาก “นาย” พลางชี้ไปที่ระดับน้ำที่เอ่อท่วมมาถึงขาภรพ
สองคนเห็นว่าน้ำขึ้นมามากโดยไม่รู้ตัว
“น้ำมันไม่ได้กำลังลงนี่นา มันกำลังขึ้นต่างหาก” วันวิสามองโดยรอบ
“ก็น่าจะเป็นยังงั้น”
“แล้วมันจะขึ้นมาเยอะขนาดไหน ถ้ามันขึ้นมาท่วมเต็มในนี้ แล้วเราจะอยู่กันยังไงต้องหาทางออกนะ มันต้องมีทางออกอยู่ตรงไหนซักแห่ง”
วันวิสาลนลาน ตะกุยตะกายจะรื้อก้อนหินรอบตัว
ภรพบอก “ไม่มีประโยชน์หรอก เก็บแรงเอาไว้ดีๆ เอาไว้ใช้เวลาจำเป็นเถอะ”
ในเวลาเดียวกัน เรือจากเกาะรังนกใหญ่โต้คลื่นล้อลมอยู่กลางทะเล ทั้งเถ้าแก่ไพศาล และ โชคทวี อยู่กันคนละมุมของกราบเรือ สองคนใช้กล้องส่องทางไกล ส่องหาร่องรอยภรพ มงคลเดินเข้ามาหาเถ้าแก่
“นายครับ ภาษิตบอกว่าอีกไม่เกินสองชั่วโมงอาจจะมีพายุในทะเลนะครับ”
สีหน้าไพศาลเต็มไปด้วยความกังวล โชคทวี ตามเข้ามาสมทบอีกคน พลางเอ่ยขึ้นว่า
“เราออกมาตามหากันแต่เช้าแล้ว แต่ไม่มีวี่แววเลย กลับเข้าฝั่งกันก่อนเถอะครับเจ๊ก พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที”
ไพศาลมองไป “เกาะที่เห็นไกลๆ เรียงกันอยู่ทางโน้น มันเกาะอะไรถามภาษิตมันซิ”
มงคลตะโกนเรียก “ภาษิต”
ภาษิต ลูกน้องอีกคนขยับออกมาจากเก๋งเรือ
“นายถามว่าเกาะโน่นเกาะอะไร”
“คนแถวนี้เรียกเกาะผีครับนาย” ภาษิตบอก
โชคทวีบ่น “ชื่อไม่เป็นมงคลเลย”
ไพศาลถาม “มีคนอยู่ไหม”
“เป็นเกาะร้างครับนาย ไม่ค่อยมีใครกล้าเฉียดเข้าไปใกล้”
โชคทวีบ่นอีก “ชื่อไม่เป็นมงคลยังงั้นใครเข้าไปก็บ้าแล้ว”
ไพศาลบอกเสียงเข้ม “แต่อั๊วจะไป”
คลื่นซัดเข้าโขดหิน ตรงริมหน้าผา ส่วนภายในโพรงถ้ำ น้ำขึ้นจนท่วมถึงอกทั้งคู่แล้ว สองคนพยายามทรงตัวให้ตัวเองโผล่พ้นน้ำให้มากที่สุด
“นาย มันคงไม่ขึ้นมากไปกว่านี้แล้วใช่ไหม”
ภรพใช้มือข้างที่แขนไม่เจ็บยันค้ำเพดานโพรงถ้ำไว้ ขยับตัวให้วันวิสามายืนแทนที่
“คุณมายืนตรงนี้”
“ทำไม”
“เพดานตรงนี้มันสูงกว่า”
“นายจะว่ายังไง เราก็ต้องจมน้ำตายอยู่ในนี้อยู่ดีใช่ไหม เพียงแต่ฉันจะได้ตายช้ากว่านายหน่อยนึงเท่านั้นเอง”
“เราต้องรอดยังไงก็ต้องรอด อย่ายอมแพ้ต่ออะไรง่ายๆ สิคุณ” ภรพปลอบทั้งเธอและเขา
วันวิสาน้ำตาไหลพรากๆ “ป๊ากับม๊าคงพากันสมน้ำหน้าฉันที่อวดดีอย่างนี้”
“ถ้าร้องเพลงไม่ออก ก็นึกถึงเพลงโปรดของคุณก็ได้”
วันวิสายิ่งร้องฟูมฟายใหญ่ สูดขี้มูกฟืดฟาด แลดูน่าขัน
ภรพฝืนพูดให้ขำ “เนี่ยเหรอเพลงโปรดคุณ”
วันวิสาค้อน “ฉันไม่ขำกับนายหรอกนะ”
“งั้นคิดถึงความฝันของคุณก็ได้ คุณเคยฝันจะทำอะไร แล้วตั้งใจจะทำให้ได้บ้างไหม”
วันวิสาพยักหน้าทั้งน้ำตา ฝืนยิ้มตอบเพราะภรพเจ็บเจียนตายยังยิ้มให้กำลังใจเธอเลย
ในเรือที่แล่นอยู่กลางทะเล เถ้าแก่ไพศาลเครียดหนักเอาการ มงคลใช้กล้องส่องทางไกลส่องไปที่เกาะ
“นายครับ มีเรือจอดอยู่ลำนึงครับ”
ไพศาลรับกล้องจากมงคลไปส่องดู โชคทวีส่องกล้องดูบ้าง
สายตาแต่ละคนมองผ่านเลนส์กล้องส่องทางไกล เห็นเรือของแก๊งนักฆ่าลอยลำใกล้ชายหาด
“คงเป็นเรือชาวประมงเตรียมไปหลบพายุ” มงคลว่า
ไพศาลสั่งการ “เข้าไปที่นั่น”
เถ้าแก่เซี้ย ลงจากเรือและลุยน้ำเข้าฝั่ง กับพรรคพวก โชคทวีคอยประกบ คอยดูแล และอำนวยความสะดวก คนงาน 2 คน สำรวจเรือที่จอดลอยลำอยู่ก่อนหน้า
ภาษิต กับ มงคล ลุยน้ำขึ้นฝั่งมาก่อนแล้ว มงคลหันมาตะโกนเรียก
“นายครับ นาย”
ไพศาล และ โชคทวีรีบตามขึ้นไป ทุกคนเห็นซากกระต๊อบถูกเผาไม่เหลือหลอ
“มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่” เถ้าแก่ตกใจระคนแปลกใจ
มงคลซึ่งผละไปดูบริเวณรอบๆ เห็นแพไม้แห้งลอยน้ำซัดอยู่บนชายหาด วิ่งเข้าไปดู หันมาตะโกนเรียกอีก
“นายครับ นาย”
ไพศาล และทุกคนรีบตามมา
“ฝีมือผูกเงื่อนแบบนี้ไม่มีใครหรอกครับ คุณภรพต้องอยู่บนเกาะนี้แน่ๆ ครับนาย” มงคลบอก
ไพศาลมีความหวังลุกโชนในใจ หันไปมองแนวป่า และเขาบนเกาะ
เหตุการณ์คับขัน ระดับน้ำในโพรงถ้ำขึ้นสูงจนถึงคอ คาง จนทั้งคู่ต้องแหงนหน้าเอาไว้เพื่อรับอากาศหายใจ วันวิสาได้อยู่ในจุดที่เพดานถ้ำสูงกว่า
“นาย นายกำลังคิดถึงอะไรอยู่”
“ข้าวผัดปู ราดน้ำปลาพริก ตอนเราเคี้ยวโดนพริก มันถึงใจอย่าบอกใคร คุณว่าไหม”
“กินข้าวผัดปู ซดแกงจืดสาหร่ายร้อนๆ ใครจะว่าตะกละฉันก็ไมสน ถ้าเรารอด เราจะกินข้าวผัดปูด้วยกันนะ”
“ผมจะไม่แย่งต้มจืดสาหร่ายของคุณหรอก ผมจะสั่งต้มยำทะเล”
“งั้นฉันจะแย่งกินต้มยำทะเลของนาย”
ในสถานการณ์เผชิญหน้าความตายเช่นนี้ ทั้งคู่ยังหัวเราะกันออกมาได้ เพื่อกลบเกลื่อนความจริงที่กำลังเผชิญ
เท้าวันวิสาเคลื่อนทำให้ตัวเธอวูบจมน้ำลงมานิดหนึ่ง ภรพพยุงวันวิสาขึ้นให้หน้าพ้นน้ำ
“ขอบใจนายนะ ได้รู้จักนายไม่กี่วัน แต่ฉันเหมือนรู้จักมานมนาน นายทำให้ฉันคิดอะไรได้หลายอย่าง ทำให้ฉันรู้จักตัวเองมากขึ้น ไม่เคยมีใครทำให้ฉันรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองเท่านาย”
“ผมมีค่าขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ใช่สิอย่างน้อยนายก็เป็นคนสอนให้ฉันจุดไฟเป็น โดยไม่ใช้ไม้ขีด”
ภรพผืนหัวเราะ
“นายทำให้ฉันรู้สึกว่า การมีชีวิตคู่ร่วมกับใครซักคน ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว”
“พูดให้ตรงๆ กว่านี้ได้ไหม”
วันวิสานิ่งอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง “ไม่ได้ ฉันว่าฉันพูดเยอะไปแล้ว ฉันควรประหยัดแรงเอาไว้อย่างที่นายว่าดีกว่า”
“งั้นให้ผมพูดบ้างนะ ผมไม่เคยรู้สึกต่อผู้หญิงคนไหนแบบที่รู้สึกต่อคุณเลย”
“รู้สึกว่าผู้หญิงอะไรติงต๊องน่าเกลียดได้ขนาดนี้ใช่ไหมล่ะ” วันวิสาผืนหัวเราะ
“เปล่าเลย ผมรู้สึกว่าผู้หญิงติงต๊องคนนี้ทำไมถึงได้น่ารักแล้วก็มีเสน่ห์ได้ขนาดนี้ต่างหาก”
ระดับน้ำขยับขึ้นเพิ่มมาอีก ภรพจมน้ำมิดปาก ปริ่มจมูก
ส่วนใต้น้ำ มือวันวิสาเอื้อมมากุมจับมือภรพไว้แน่น แชร์ความหวาดกลัว
“ผมยังเชื่อว่าคุณต้องรอดออกไปจากที่นี่ได้ รับปากผมอย่างนึงนะ ช่วยไปบอกป๊ากับม๊าผมด้วยว่า”
“ไม่ ฉันไม่รับปาก รับฝากอะไรคุณทั้งนั้น ถ้าจะรอด เราก็ต้องรอดด้วยกัน”
ใต้ผืนน้ำยามนี้ มือสองมือกุมรัดกันแน่น ราวกับประกาศต่อโลกและโชคชะตาว่าเป็นหรือตายเราสองจะไม่มีวันทิ้งกันกระนั้น
อ่านต่อตอนที่ 3