xs
xsm
sm
md
lg

ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 2

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 2

ไม่นานต่อมา สมใจจูงมือนะดีกึ่งวิ่งกึ่งเดินมาหยุดที่บริเวณหน้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล ด้วยความกังวล

“แม่เราเขาจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้นะ”
“แม่จะตายมั้ยจ๊ะยาย” นะดีถามออกมาตามประสาซื่อ
“ตายได้ยังไง แม่เราน่ะเขากระดูกเหล็ก ต่อให้รถไฟชนก็ไม่เป็นไรหรอก ตายไม่ได้หรอกยายยังไม่อนุญาตเลย”
ประตูห้องฉุกเฉินเปิดออก บุรุษพยาบาลเข็นเตียงที่มีร่างไร้วิญญาณออกมา ร่างนั้นคลุมผ้าขาวดูจากสรีระก็รู้ได้ว่าเป็นผู้หญิง นะดีหลบหลังสมใจด้วยความตกใจกลัว บีบมือผู้เป็นยายแน่น สมใจเองก็ตกใจไม่คิดว่ามัศยาจะจากไปเร็วแบบนี้ หมอเดินตามออกมา สมใจรีบเข้าไปหา
“คนไข้เป็นอะไรตายคะคุณหมอ”
“อุบัติเหตุรถชนเสาไฟฟ้าน่ะครับ หมอช่วยสุดความสามารถแล้ว”
หมอบอกแล้วเดินออกไป
“โธ่หยี ทำไมอายุสั้นแบบนี้”
สมใจกับนะดีมองดูร่างที่คลุมผ้าขาวนอนอยู่บนเตียงรถเข็น นะดีเริ่มร้องไห้โยเย
“ไหนยายบอกว่าแม่จะไม่ตายไง ยายโกหก”
สมใจน้ำตาไหลเป็นทาง ค่อยๆ เดินเข้าไปที่เตียงเข็น เอื้อมมือไปช้าๆ เพื่อจะเปิดผ้าที่คลุมหน้าศพออก
“ทำอะไรน่ะแม่”
สมใจชะงักหันขวับมาทางต้นเสียง เห็นมัศยาในสภาพโพกหัวพันแขนเข้าเฝือกยืนอยู่ก็ดีใจ ปาดน้ำตาแทบไม่ทัน
“แม่หยี” นะดีโผเข้าไปกอดมัศยาแน่น
“มาทำดราม่าอะไรกันแถวนี้สองยายหลาน”
“แม่นึกว่าเป็นหยี เห็นคุณหมอบอกว่าตายเพราะอุบัติเหตุรถชนเสาไฟฟ้า”
“เสาไฟฟ้าในกรุงเทพมีเป็นหมื่นต้นได้มั้งคะแม่ วันๆ คงมีคนชนเสาไฟฟ้าเป็นร้อย ไหนแม่บอกว่าหยีกระดูกเหล็กรถไฟชนก็ไม่ตายไง ทำไมมาคิดว่าหยีตายเพราะรถชนเสาไฟฟ้าซะล่ะ”
มัศยาแหย่ สมใจแกล้งโกรธ
“นี่หยีมาตั้งนานแล้วทำไมไม่เข้ามาหาแม่ ปล่อยให้แม่ห่วงแทบตาย”
“ถ้าหยีเข้ามาหาแม่เร็วกว่านี้ก็ไม่ได้เห็นซีนเมื่อกี้น่ะสิจ๊ะ เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าคุณสมใจก็ดราม่าจัดกะเขาเหมือนกัน หยีไม่ตายง่ายๆ หรอกแม่ หยียังมีทั้งแม่ทั้งยัยตัวยุ่งนี่ต้องดูแล”
มัศยาเข้าไปกอดสมใจทุลักทุเล สมใจกอดตอบ
“โอ๊ย”
มัศยาร้องด้วยความเจ็บ สมใจยิ้มให้ลูกสาวเอ็นดูปนสงสาร ตำรวจหนึ่งนายเดินเข้ามาหา
“ผมขอสอบปากคำคนเจ็บหน่อยนะครับ”

มัศยานั่งให้ปากคำกับตำรวจที่มุมหนึ่งในโรงพยาบาล
“ผมสอบปากคำคนขับแท็กซี่ที่คุณนั่งมาแล้ว เขาบอกว่ามีรถมอเตอร์ไซค์ปาดหน้า คุณพอจะจำหน้าคนขี่มอเตอร์ไซค์ได้มั้ย”
“จำไม่ได้เลยค่ะ มันเร็วมาก ฉันนั่งด้านหลังกำลังก้มดูมือถือ พอเงยหน้าขึ้นมาก็ได้ยินเสียงรถแท็กซี่เบรกดังลั่นแล้วฉันมาฟื้นอีกทีก็ที่โรงพยาบาลนี่แหละค่ะ คนขับแท็กซี่เป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ แล้วคนขี่มอเตอร์ไซค์ด้วยเป็นอะไรหรือเปล่า”
“คุณน่ะหนักที่สุดแล้ว คนขับแท็กซี่แค่ถลอกนิดหน่อย ส่วนคนขี่มอเตอร์ไซค์ปาดหน้าแล้วก็หนีไปเลย”
ตำรวจมองหน้ามัศยา
“คุณมีคนที่เกลียดคุณพอที่จะทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ได้หรือเปล่า”
“คนที่เกลียดฉันเหรอ ถ้าจะมีตอนนี้ก็...”
ใบหน้ากวนๆ ของน่านฟ้าลอยขึ้นมาในความคิด
“แต่นายนั่นคงไม่ถึงขนาดให้ใครมาขี่รถปาดหน้าแบบนี้หรอกมั้ง ไม่น่าจะคิดได้”
มัศยาพึมพำกับตัวเอง
“ตกลงมีหรือไม่มีครับ”
“มีอะไรคะ”
“คนที่คิดจะทำร้ายคุณน่ะครับ”
“อ๋อ เท่าที่รู้ไม่มีนะคะ”
“ถ้ายังงั้นผมจะลงบันทึกเอาไว้ว่าเป็นอุบัติเหตุนะครับ”
นายตำรวจสรุปก่อนที่จะงงกันไปมากกว่านี้
“ค่ะ ขอบคุณมากนะคะคุณตำรวจ”
มัศยายกมือไหว้ นายตำรวจทำความเคารพตอบก่อนจะหันหลังเดินออกไป มัศยาถอนใจ ทำไมชีวิตถึงแย่ขนาดนี้

มัศยาเดินเข้าบ้านมา โดยที่สมใจอุ้มนะดีซึ่งกำลังหลับตามมาติดๆ
“หยีไปล้างเนื้อล้างตัวซะจะได้พักผ่อน ว่าแต่แขนเดี้ยงแบบนี้จะทำได้มั้ย ให้แม่เช็ดตัวให้มั้ย”
“ไม่เป็นไรค่ะแม่ หยียังเหลือแขนอีกข้างเช็ดตัวเองได้สบายมาก”
มัศยาชูแขนข้างที่ไม่หักให้ดู
“เช็ดตัวแล้วก็นอนซะเลย เดี๋ยวคืนนี้ให้นะดีนอนกับแม่จะได้ไม่กวนหยี พรุ่งนี้ก็โทรไปลางานสักสองสามวันคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง”
“งานที่หยีทำคงไม่เป็นไรหรอกค่ะแม่ แต่หยีกลัวว่าจะมีคนป่วนให้คนอื่นเขาเสียงานน่ะสิ”
“ใครกันจะทำตัวแย่ได้ขนาดนั้น”
“มีสิคะแม่ คำว่าแย่ยังดีเกินไปด้วยค่ะสำหรับคนๆ นี้”
มัศยาระอา

เวลาเดียวกันนั้น น่านฟ้าเดินออกมาจากห้องน้ำ จู่ๆ ก็เกิดจามขึ้นมา
“ฮาดชิ้ว... ใครนินทาเราวะ สงสัยจะเป็นยายเจ๊โหดแน่ๆ เลย พลังอำมหิตรุนแรงขนาดนี้เชียวเหรอเนี่ย”
น่านฟ้าบ่นแล้วเดินไปที่เตียง สุกัญญาเปิดประตูห้องเข้ามา
“ทำอะไรอยู่น่าน ไม่หลับไม่นอน เรามีงานที่ต้องรับผิดชอบนะ จะมานอนดึกตื่นสายเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว”
“แม่ดุยังกับผมเป็นเด็กๆ ยังงั้นแหละ อีกไม่กี่ปีผมจะสามสิบแล้วนะครับ”
“จะสามสิบจะสี่สิบก็ไม่สำคัญหรอก ถ้ายังไม่เลิกทำตัวเป็นเด็กแม่ก็จะดุไปจนไม่มีแรงนั่นแหละ โตได้แล้วนะลูก แม่รู้ว่าน่านเป็นคนมีความคิด จะทำอะไรก็คิดให้ดี อย่าให้อคติมาบังตานะลูก ยังไงเขาก็เป็นเมียพ่อ”
“สาธุ”
น่านฟ้าแกล้งยกมือขึ้นจบแหย่สุกัญญา
“เดี๋ยวถ้าแม่ผ่านมาอีกทีเห็นน่านยังไม่นอนคราวนี้แม่จะตีให้เหมือนเด็กๆ เลยคอยดู”
สุกัญญาส่ายหน้าน้อยๆ เดินออกไป

น่านฟ้ายิ้มขำแม่ก่อนเอื้อมมือไปปิดไฟนอน

ตอนเช้า ต๋องยืนอยู่ที่หน้าโต๊ะทำงานของวิภาท่าทางเกรงๆ

“มีอะไรก็ว่าไปสิ มายืนตัวลีบเป็นจิ้งจกถูกประตูหนีบอยู่ได้”
“คือผมจะมาเรียนคุณท่านว่าวันนี้ผมไม่ได้ไปรับท่านประธานมาบริษัทนะครับ พอดีเมื่อคืนเจ๊หยี เอ๊ย คุณมัศยาเกิดอุบัติเหตุน่ะครับ ผมเลยแวะไปเยี่ยมเมื่อเช้า”
“อะไรนะ ตายแล้ว”
วิภาอุทานด้วยความตกใจ
“ยังไม่ตายครับคุณท่าน แค่แขนหักหัวแตกเท่านั้นครับ”
“ฉันอุทาน แล้วนี่เขาอยู่โรงพยาบาลไหน”
“ไม่ทราบครับ ผมไม่ได้ไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล”
“อ้าว บาดเจ็บขนาดนั้นไม่ได้อยู่โรงพยาบาลเหรอ”
“ไม่เห็นอยู่นี่ครับ ผมไปเยี่ยมที่บ้าน”
วิภาฉุนจัด “ไอ้ต๋อง ถ้าแกยังทำเป็นซื่อกวนอารมณ์แบบนี้แกนั่นแหละจะตาย”
ต๋องยืนหน้าจ๋อยๆ
“แล้วนี่บ้านช่องมัศยาเขาอยู่แถวไหนฉันอยากไปเยี่ยมสักหน่อย”
“จะไปเยี่ยมใครครับพี่วิภา”
สุกิจเดินเข้ามาในห้อง
“มัศยา พนักงานการตลาดที่พี่เอามาเป็นผู้ช่วยตาน่านน่ะ เกิดอุบัติเหตุเมื่อคืน พี่เลยว่าจะไปเยี่ยมสักหน่อย พนักงานดีๆ บริษัทเราก็ต้องดูแล ว่าแต่เธอมีอะไรด่วนหรือเปล่า”
“ไม่ถึงกับด่วนหรอกครับ แต่ผมไม่เห็นไอ้ เอ่อ ท่านประธานเข้าบริษัทวันนี้ เลยสงสัยว่าถ้ามีเอกสารสำคัญใครจะเป็นคนเซ็นครับ”
“เฮ้อ ช่วงนี้พี่เซ็นเอง คงแค่วันสองวันเท่านั้นแหละ ยังไงนายน่านก็ต้องมาทำงาน เพราะนี่มันบริษัทของเขา ไปนายต๋องพาฉันไปเยี่ยมมัศยาหน่อย”
วิภาหยิบกระเป๋าถือแต่ยังไม่ทันได้ออกไปจากห้อง มัศยาก็เปิดประตูเข้ามาเสียก่อน
“สวัสดีค่ะคุณท่าน สวัสดีค่ะคุณสุกิจ”
มัศยาพยายามยกมือไหว้อย่างทุลักทุเล
“อ้าว มัศยา ฉันกำลังจะไปเยี่ยมเธออยู่พอดี แล้วนี่มาทำงานไหวแล้วเหรอ”
มัศยายิ้มแหยๆ

สุกิจกับภูริชนั่งคุยกันอยู่ในห้องทำงานของสุกิจ
“มัศยานี่อึดจริงๆ หัวแตกแขนหักขนาดนั้นยังห่วงมาทำงานอีก ถ้าเป็นคนอื่นคงถือโอกาสลาพักเป็นอาทิตย์”
“หรือว่าเราทำเบาไปครับ”
“หนักกว่านี้ก็คงต้องถึงตายแล้วล่ะ แต่ฉันไม่อยากให้ถึงขั้นนั้น ฉันอยากแค่ให้มัศยามาทำงานไม่ได้สักสองสามวัน แค่นั้นไอ้น่านฟ้าก็ปั่นป่วนแล้วเพราะไมมีพี่เลี้ยง ไม่นึกว่าผู้หญิงอย่างมัศยาจะทุ่มเทกับงานขนาดนี้ คนเก่งๆ ภักดีองค์กรแบบนี้ฉันอยากเก็บเอาไว้ เพราะเมื่อไหร่ที่ฉันได้เป็นประธานบริษัทมีโชค คนแบบนี้แหละที่จะทำประโยชน์ให้เราได้มาก”
“แล้วเราจะทำยังไงต่อครับ”
“เมื่ออยู่ฝ่ายตรงข้ามกันแล้วเป็นอันตรายกับเรา ก็ต้องหาทางเอามาอยู่ฝ่ายเดียวกับเราให้ได้”
“ยังไงครับ ขนาดวันก่อนคุณสุกิจเสนอตำแหน่งให้เขายังไม่เอาเลย”
“มันต้องมีทางสิวะ”
สุกิจบอกอย่างมั่นใจทั้งๆ ที่ยังนึกหาทางไม่เจอ

น่านฟ้าเดินลงมาจากข้างบนบ้าน เจอกับสุกัญญาซึ่งกลับเข้าบ้านมาพร้อมถุงของสด
“อรุณสวัสดิ์ครับแม่”
“อรุณอะไรกัน นี่มันจะเที่ยงอยู่แล้ว แม่นึกว่าน่านไปทำงานแล้ว ที่ไหนได้เพิ่งตื่นเหรอเนี่ย เหลวไหลจริงๆ เลยเราน่ะ”
“ก็วันนี้ไม่เห็นมีใครมารับ ทั้งเจ๊โหดทั้งนายต๋อง สงสัยแม่ใหญ่จะถอดใจไม่อยากให้ผมบริหารบริษัทมีโชคแล้ว ก็ดีผมจะได้ไม่เหนื่อย”
“น่านก็ทำตัวเป็นเด็กอนุบาลไปได้ ต้องมีพี่เลี้ยงมาแซะจากที่นอน ใครเขาจะขยันมารับเราได้ทุกวัน”
“ฉันทำได้ค่ะ เพื่อบริษัทมีโชค”
มัศยาโผล่เข้ามาพอดี
“เจ๊โหด”
น่านฟ้าอุทาน

น่านฟ้า มัศยา สุกัญญา และต๋องนั่งอยู่ในห้องรับแขก
“นี่เจ๊แอบไปถ่ายหนังบู๊ที่ไหนมาถึงได้เดี้ยงขนาดนี้”
น่านฟ้าอดแซวไม่ได้ทั้งๆ ที่แอบเป็นห่วงนิดๆ
“ฉันเกิดอุบัติเหตุ”
“นั่นไง เจ๊ก็อย่าโลดโผนให้มันมากนักสิ”
“เจ๊หยีเขาเกิดอุบัติเหตุตอนที่เลิกงานแล้วแยกกับท่านประธานนั่นแหละครับ แท็กซี่ที่เจ๊หยีนั่งกลับบ้านถูกมอเตอร์ไซค์ปาดหน้า แท็กซี่เขาหักหลบเลยไปชนเสาไฟฟ้า เจ๊หยีไม่ทันระวังตัวแรงกระแทกเลยทำให้แขนหัก หัวแตกเลยครับ”
ต๋องเล่าอย่างละเอียดยิบจนน่านฟ้าสงสัย
“แกนั่งไปกับเจ๊ด้วยเหรอ”
“เปล่าครับ เจ๊หยีเล่าให้ฟัง”
ต๋องหัวเราะแหะๆ
“แล้วทำไมน่านไม่ไปส่งคุณมัศยาเขาล่ะ ที่เขาต้องอยู่มืดค่ำก็เพราะสอนงานเราไม่ใช่เหรอ”
“ผมจะไปส่ง แต่เจ๊เขาไม่ยอมครับแม่ ขอร้องยังไงก็ไม่ยอม อีกนิดหนึ่งจะกราบอยู่แล้ว”
“ขอโทษนะคะคุณสุกัญญาที่ฉันต้องพูดตรงๆ ฉันไม่ไว้ใจคุณน่านฟ้าค่ะ เพราะเขาทำตัวเหลวไหล เกเร พูดจาเชื่อถือไม่ได้ค่ะ”
“โห เจ๊ เล่นมาฟ้องแม่ผมแบบนี้เลยเหรอ เจ๊พูดเกินไปหรือเปล่า”
“ถ้าจะเกินก็คงตรงเกินไป แต่ไม่เกินความจริงค่ะ”
มัศยาบอกเสียงเรียบๆ สุกัญญาแอบยิ้มพอใจ เห็นทางคนที่จะมาปราบน่านฟ้าได้แล้ว
“เอาล่ะๆ ตาน่าน เราน่ะผิดเต็มประตู แม่ขอสั่งให้เราดูแลรับส่งคุณมัศยาจนกว่าจะหายดี”
“อุ๊ย ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกค่ะ”
“ไม่ได้สิ ที่คุณมัศยาเป็นแบบนี้ความผิดส่วนหนึ่งมาจากตาน่านด้วย คนเราทำผิดแล้วก็ต้องรับผิดชอบ”
“ผมน่ะพร้อมรับผิดชอบเจ๊เขาอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าเจ๊เขาจะยอมหรือเปล่า”
น่านฟ้าพูดสองแง่สองง่าม มัศยาแอบถลึงตาใส่ ต๋องแอบยิ้ม มัศยาหนักใจแต่ไม่กล้าปฏิเสธความหวังดีของสุกัญญา
“งั้นเจอกันพรุ่งนี้เช้านะเจ๊ เดี๋ยวผมไปรับถึงเตียงเลย”
น่านฟ้าแหย่ มัศยามองตาเขียวปั้ดไม่อยากต่อล้อต่อเถียงต่อหน้าสุกัญญา
“ท่านประธาน กรุณาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปทำงานด้วยค่ะ มีงานต้องเรียนรู้อีกเยอะ”
“นี่มันจะเที่ยงแล้วนะเจ๊ ใครเขาไปทำงานเที่ยงกัน”
“เวลาครึ่งวันก็ทำงานได้เยอะค่ะถ้าตั้งใจ”
“โอเคๆ งั้นเดี๋ยวผมตามไป”
“ฉันกับต๋องจะรอตรงนี้ค่ะ เชิญค่ะ”
น่านฟ้ายอมแพ้ เดินหน้างอบ่นงึมงำๆ ขึ้นข้างบนไป สุกัญญายิ้มชอบใจที่มีคนกำราบน่านฟ้าอยู่

เมื่อมาถึงบริษัท น่านฟ้านั่งสบายๆ อยู่ที่โต๊ะทำงาน มัศยาหอบแฟ้มเอามาวางไว้ตรงหน้า
“อะไรอีกเนี่ยเจ๊”
“แฟ้มงานของบริษัทมีโชคค่ะ”
“ทำไมมันเยอะแบบนี้ล่ะ วันก่อนก็ดูไปแล้วตั้งสิบกว่าแฟ้ม”
“บริษัทมีโชคเปิดมาเกือบสี่สิบปี แฟ้มงานแค่นี้ยังน้อยไป ยังมีให้ท่านประธานดูอีกเยอะ รีบลงมือดูได้แล้ว”
“ทำไมที่นี่เชยจัง ไม่เอางานพวกนี้เข้าคอมพิวเตอร์ล่ะจะได้เรียกดูง่ายๆ ตอนไหนก็ได้”
“นั่นเป็นวิสัยทัศน์ที่ท่านประธานต้องเป็นคนจัดการค่ะ ฉันไม่มีอำนาจทำแบบนั้นได้”
“งั้นเจ๊สั่งไปเลยว่าให้เอาข้อมูลทั้งหมดลงไฟล์ในคอมเดี๋ยวผมเรียกดูจากไฟล์เอง”
“มันต้องใช้เวลานะคะ อย่างเร็วก็เป็นเดือน ตอนนี้ท่านประธานดูจากแฟ้มไปก่อนดีกว่าค่ะ”

มัศยาบอกเสียงเรียบๆ ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะ

น่านฟ้ามองแฟ้มเป็นตั้งแล้วก็ถอนใจ หยิบแฟ้มมาเปิดดูลวกๆ ก่อนหันไปมองมัศยา แล้วทำหน้าเหมือนนึกอะไรออก

“เฮ้ย วันนี้ยังไม่ได้กินอะไรเลยนี่หว่า เจ๊ เจ๊ เจ๊โหด เอางี้มะ”
น่านฟ้าเรียก มัศยาตั้งใจว่าจะไม่สนใจแต่ก็อดไม่ได้ มองน่านฟ้าดุๆ
“ผมหิว เราออกไปข้างนอกกันดีกว่า เจ๊ก็ยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลยใช่ปะ ไป เดี๋ยวผมเลี้ยงข้าวเจ๊เอง กาแฟด้วย ดูหนังด้วยก็ได้เอ้า”
“ฉันเคยเจอแต่พนักงานจ้องจะโดดงาน แต่นี่คุณเป็นเจ้าของบริษัทกลับมาชวนพนักงานโดดงานซะเอง ฉันพอจะเห็นอนาคตของบริษัทมีโชคลางๆ แล้วละ”
“เจริญรุ่งเรืองใช่ปะเจ๊”
“มืดมนนะซิ ถ้าคนที่เป็นหัวเรือยังทำทุกอย่างเป็นเรื่องเล่นๆ แบบนี้ มีโชคคงจะหมดโชคเร็วๆ นี้แน่ แต่อย่างว่ามันบริษัทของคุณนี่ ฉันทำได้อย่างมากก็แค่เป็นห่วงแล้วก็ทำหน้าที่ของฉันให้ดีที่สุด ส่วนคุณจะทำยังไงฉันคงห้ามไม่ได้”
มัศยาพูดปลงๆ
“แสดงว่าเจ๊ยอมออกไปข้างนอกกันแล้วใช่มะ เจ๊ก็หิวเหมือนกันอ่ะดิ”
น่านฟ้าถามดีใจเหมือนเด็กได้ของเล่น
“ฉันจะทำงาน เชิญคุณตามสบาย ยังไงฉันจะเรียนคุณท่านให้เอง”
พอได้ยินคำว่าคุณท่าน น่านฟ้าก็หมดหวังวูบ ทำหน้าเซ็งๆ
“เฮ้อ นี่มันโรงงานนรกชัดๆ คนหิวก็ไม่ให้ไปกิน”
น่านฟ้าบ่นแล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเกมเล่นเสียงดัง มัศยาลุกเดินมาดึงโทรศัพท์ไปจากมือน่านฟ้า
“เฮ้ย อะไรเจ๊”
“ฉันให้คุณดูงาน ไม่ใช่ให้เล่นเกม หรือจะให้ฉันเอาโทรศัพท์นี่ไปให้คุณท่าน”
“โห ไรอ่ะ ไหนเจ๊บอกเชิญตามสบายไง ยิ่งกว่าแม่อีกนะเนี่ย”
น่านฟ้าหยิบแฟ้มงานมาดูอย่างเซ็งๆ ค้อนมัศยาประหลับประเหลือก

ต๋องยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานของวิภา กำลังรายงานข่าว
“เป็นยังไงไอ้ เอ๊ย คุณน่านยอมมาทำงานหรือเปล่า”
“ตอนแรกก็โยกโย้ทำท่าจะไม่มาครับ จะขอตามมาเองทีหลังแต่เจ๊หยี เอ๊ย คุณมัศยาไม่ยอม บอกว่าจะรอ คุณน่านก็เลยต้องยอมมาด้วยกันครับ”
“ฉันคิดแล้วว่าเลือกคนไม่ผิดจริงๆ นายน่านมันต้องเจอคนแบบมัศยานี่แหละ”
วิภาบอกด้วยน้ำเสียงภูมิใจ
“แปลกนะครับ คุณน่านทำท่าเหมือนจะต่อต้านคุณมัศยาแต่เอาเข้าจริงๆ ก็ยอมทุกที”
“มันแพ้ทางกันไง แกไม่เคยได้ยินเหรอเหมือนที่เขาว่างูเหลือมแพ้เชือกกล้วยนะ”
“สุภาษิตรุ่นไหนครับคุณท่าน ทำไมมันดูเก่าๆ โบราณมาก”
ต๋องพูดไม่ทันคิด วิภาหันขวับมามองตาเขียว
“แต่ก็ยังทันสมัยใช้ได้อยู่นะครับ”
ต๋องรีบเอาใจ
“อย่าให้มันล้นมากนักนะเราน่ะ นี่นายน่านกับมัศยายังไม่ได้กินข้าวกลางวันกันใช่มั้ย”
“ครับ แต่ผมนะแว่บไปเรียบร้อยมาแล้วครับ”
“ไม่ต้องบอกฉันก็รู้ งั้นก็ไปสั่งอาหารกลางวันสองที่นะแล้วยกตามฉันไปที่ห้องทำงานนายน่าน”
“ครับคุณท่าน”
ต๋องรับคำแล้วเดินออกไป วิภายิ้มเจ้าเล่ห์

มัศยาง่วนอยู่กับการทำงาน ขณะที่น่านฟ้าก็ป่วนไปเรื่อย
“นี่เจ๊ ถามจริงๆ เถอะ เจ๊เก็บกดอะไรมาหรือเปล่าถึงได้มาลงที่งาน เจ๊จะทุ่มเทอะไรกันนักหนา บริษัทก็ไม่ใช่ของเจ๊สักหน่อย”
วิภาเปิดประตูเข้ามาพอดี
“ใช่ บริษัทไม่ใช่ของมัศยาแต่มันเป็นของแกไอ้น่าน”
“คุณท่าน”
มัศยาทำท่าจะลุกขึ้นแต่วิภาห้ามเอาไว้
“ตามสบายเถอะมัศยา ฉันไม่เรื่องมาก”
“ทีกับคนอื่นล่ะใจดี แต่กับผมละดุจัง”
“ก็แกมันน่าใจดีด้วยมั้ยล่ะไอ้น่าน สร้างแต่เรื่อง นี่ถ้าแกไม่เกเรจนมัศยาเขาต้องอยู่สอนงานจนมืดค่ำเขาก็คงไม่ต้องเกิดอุบัติเหตุแบบนี้”
“แม่ใหญ่ก็โยนบาปให้ผมคนเดียวเลย ถ้าแม่ใหญ่ไม่บังคับผมให้ทำงาน เจ๊โหดเขาก็ไม่ต้องมาสอนงานผม เขาก็ไม่ต้องอยู่จนมืดค่ำแล้วก็ไม่ต้องเกิดอุบัติเหตุ เห็นปะตรรกะผมฟังดูดีออก”
“ทำไมนะ คนที่หัวแตกแขนหักถึงไม่เป็นแกไอ้น่าน”
วิภาเหลืออด
“อ๊าว แม่ใหญ่ ไหงมาแช่งผมแบบนั้นล่ะครับ”
“ก็แกมันทำตัวไร้ค่า แขนขามีครบก็ไม่คิดจะใช้ประโยชน์ ดูมัศยาสิเขาเจ็บขนาดนี้ยังห่วงงานของบริษัท แกไม่รู้สึกละอายบ้างเลยเหรอ”
“อายมั้ยเหรอ ก็ไม่นะครับ เจ๊โหดเขาอยากรับปากแม่ใหญ่มาทำงานนี้เอง ส่วนผมก็ไม่ได้อยากเป็นสักหน่อยไอ้ท่านประธงท่านประธานอะไรนั่นน่ะ ฟังแล้วเหมือนดูซีรี่ส์เกาหลี สวัสดีค่ะท่านประธาน โอ้ปป่ะๆ ซารังเฮโย ฮึ่ย ปวดชิ้งฉ่อง ขออนุญาตไปปัสสาวะก่อนนะครับผม”
น่านฟ้าทำท่าขนลุกเดินออกไป

“ไอ้น่านฟ้า ไอ้เด็กเหลือขอ แกนี่มัน”

วิภาโกรธจนหน้าเขียวทำท่าเหมือนจะเป็นลม มัศยารีบเข้าไปประคอง

“ใจเย็นๆ ค่ะคุณท่าน นั่งลงก่อนนะคะ”
วิภายอมนั่งลงตามที่มัศยาบอก
“มัศยา เธอต้องช่วยฉันนะ ไม่มีใครรับมือกับไอ้เด็กดื้อคนนี้ได้แล้วนอกจากเธอ”
“ดิฉันรับปากค่ะคุณท่าน ดิฉันจะทำให้ดีที่สุด แต่จะได้ผลแค่ไหนดิฉันไม่รู้นะคะ”
มัศยาบอกไปตรงๆ วิภาพยักหน้ารับสีหน้าดีขึ้น ต๋องเปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมถาดอาหารกลางวัน
“เอามาวางไว้ที่โต๊ะนี่”
วิภาสั่ง ต๋องรีบยกอาหารไปวางไว้ตามคำสั่ง
“ยกเก้าอี้ตัวนั้นมาตรงนี้ด้วย”
ต๋องเดินไปยกเก้าอี้ใกล้ๆ มาวางตามที่วิภาชี้ น่านฟ้าเปิดประตูเข้ามาเห็นว่ามีอาหารสองชุด
“แม่ใหญ่จะทานข้าวกับเจ๊โหดเหรอครับ ดีเลยเดี๋ยวผมจะได้ออกไปทานข้างนอก”
“ฉันไม่กินกลางวัน ของแกกับมัศยานั่นแหละ”
“แต่แม่ใหญ่”
“ไม่ต้องหรอกค่ะคุณท่าน ดิฉันไปทานที่โรงอาหารได้ค่ะ”
“จะได้ยังไง เธอแขนหักแบบนี้มันจะไปสะดวกอะไร ทานที่นี่แหละ เดี๋ยวให้นายน่านเขาป้อน”
“หา อะไรนะครับแม่ใหญ่ จะให้ผมป้อนข้าวเจ๊โหดเหรอ”
“ดิฉันทานเองได้ค่ะคุณท่าน”
“ให้นายน่านป้อนแหละดีแล้ว เขาเป็นต้นเหตุทำให้เธอเป็นแบบนี้ เขาก็ต้องดูแลเธอ มาเร็วไอ้ นายน่าน”
วิภาสั่งเสียงเข้ม น่านฟ้าเดินหน้างอ เข้ามานั่งข้างๆ มัศยา หยิบช้อนขึ้นมาแล้วก็ถามวิภา
“แม่ใหญ่ไม่มีธุระเหรอครับ แม่ใหญ่ไปธุระก่อนก็ได้เดี๋ยวจะเสียงาน”
“แกไม่ต้องมาโยกโย้ ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น ฉันจะอยู่ดูแกป้อนข้าวมัศยาจนหมดนั่นแหละ เอ้า ป้อนสิ คนเขาหิวแย่แล้ว”
น่านฟ้าจำยอมป้อนข้าวมัศยา แต่ก็ยังออกฤทธิ์แกล้งป้อนผิดป้อนถูก ป้อนคำใหญ่บ้าง เล็กบ้าง แล้วก็ป้อนเร็วๆ จนมัศยาโวย
“นี่ ฉันไม่ใช่โถแบ่งข้าวนะจะได้ตักใส่ตักใส่”
“อ้าวเหรอเจ๊ นึกว่าใช่ซะอีก เจ๊นี่มีบุญนะ พวกสาวๆ ที่ผมคั่วยังไม่เคยทำให้แบบนี้เลยนะจะบอกให้”
“อย่าเอาฉันไปเปรียบกับพวกผู้หญิงของคุณ มันไม่เหมือนกัน”
มัศยาว่าเสียงเข้ม น่านฟ้าทำเป็นเอนตัวออกห่างนิดหนึ่งแล้วดูมัศยาอย่างพิจารณา
“ไม่เหมือนกันจริงๆ ด้วย สาวๆ พวกนั้นน่ะสวยเพรียวแล้วก็ยังเอ๊าะ หุ่นแต่ละนางเงี้ย เชี้ยะๆ ทั้งนั้น ส่วนเจ๊น่ะ ขี้เหร่ อ้วน แล้วก็ อายุไม่น้อยแล้วนะเราน่ะ”
มัศยาจ้องน่านฟ้าตาเขียวปั้ด แอบเตะขาเขาใต้โต๊ะจนน่านฟ้าร้องลั่น
”โอ๊ย”
วิภานั่งดูทั้งคู่ ยิ้มพอใจในผลงานของตัวเอง

ต๋องเอาเรื่องที่น่านฟ้าถูกบังคับให้ป้อนข้าวมัศยามาเล่าให้พนักงานสาวๆ ฟัง
“ถึงกับป้อนข้าวกันเลยเหรอพี่ต๋อง”
“ก็ใช่น่ะสิ เดี๋ยวคำเดี๋ยวคำ ป้อนกันไม่หยุดเลย”
“หนูละนึกไม่ออกเลยว่าเจ๊หยีถูกสุดหล่อแบบท่านประธานป้อนข้าวแล้วจะทำหน้ายังไง”
“ก็ทำหน้าแบบนี้ไง”
เสียงมัศยาดังขึ้นข้างหลัง ทุกคนหันไปเห็นมัศยายืนหน้าบึ้งอยู่
“อ๋อ ทำหน้าแบบนี้นี่เอง เย้ย เจ๊หยี”
“เป็นไง มีความสุขมากใช่มั้ยไอ้ต๋องที่เห็นความทุกข์ของฉัน”
“แหม ขำๆ น่าเจ๊ ว่าแต่ว่าคุณน่านป้อนข้าวอร่อยหรือเปล่าเจ๊”
ต๋องอดแหย่ไม่ได้
“อร่อยกะผีน่ะสิ เล่นตักใส่ตักใส่ ถ้าคุณท่านยังสั่งให้คุณน่านป้อนข้าวฉันแบบนี้ฉันคงได้สำลักข้าวตายสักวัน”
“สำลักข้าวหรือสำลักความสุขคะเจ๊”
พนักงานสาวคนหนึ่งแซวแล้วก็หัวเราะคิกคักกับเพื่อน มัศยาหันไปมองตาเขียว สองสาวเลยหยุด ทำหน้าจ๋อยๆ แล้วก็แอบหัวเราะกันอีก

มัศยากับต๋องเดินกลับมาถึงหน้าประตูห้องทำงานของน่านฟ้า น่านฟ้าเปิดประตูออกมาพอดี
มัศยาจ้องหน้าเป็นเชิงถาม
“ผมจะไปห้องน้ำ โอเคปะ”
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่”
มัศยาบอกเสียงเรียบๆ แล้วก็หันไปส่งสัญญาณกับต๋อง
“ผมก็อยากเข้าห้องน้ำพอดีเลยครับ งั้นผมไปพร้อมกับคุณน่านเลยแล้วกัน”
ต๋องรีบเดินตามน่านฟ้าไป มัศยามองตาม
“ฉันไม่พลาดเรื่องเดิมเป็นครั้งที่สองหรอกท่านประธาน”

ภายในห้องน้ำชาย น่านฟ้าเดินไปยืนที่โถฉี่ ต๋องเดินตามไปยืนโถติดกัน
“โถฉี่มีตั้งเยอะทำไมต้องมายืนตรงนี้วะ”
“เจ๊หยีบอกว่าให้ประกบคุณน่านอย่าให้คลาดสายตาครับ”
“แกไม่มาฉี่โถเดียวกับฉันซะเลยล่ะ”
“ได้เหรอครับ”
“ทะลึ่งแล้วไอ้ต๋อง ฉันให้สามพัน แกช่วยพาฉันหนีเจ๊โหดที ห้าพันเลยอ่ะ”
“ต่อให้หมื่นหนึ่งผมก็ทำไม่ได้ครับคุณน่าน”
“นี่แกกลัวเจ๊โหดขนาดนี้เลยเหรอ”
“ไอ้กลัวก็ส่วนหนึ่งครับ แต่ผมไม่รู้จะพาคุณน่านออกไปได้ยังไง ออฟฟิศเราอยู่ชั้นสิบจะให้ปีนหน้าต่างห้องน้ำก็คงจะไม่คุ้ม ส่วนด้านหน้า คุณน่านลองโผล่ไปดูเองแล้วกันครับ”
“ทำไมวะ”
น่านฟ้าเดินไปเปิดประตูแง้มดู เห็นมัศยายืนคุมเชิงอยู่ที่หน้าประตูท่าทางขึงขังราวกับยาม
“นี่เจ๊โหดเขาจริงจังขนาดนี้เลยเหรอ”
“เจ๊หยีเขาเป็นคนทำอะไรทำจริงครับ ไม่เคยเหลาะแหละเหลวไหลเล่นสนุก ไร้สาระไปวันๆ ผมไม่ได้หมายถึงคุณน่านนะครับ”
“เออ รู้แล้ว ไม่ต้องมาย้ำ แกคอยดูนะไอ้ต๋องยังไงวันนี้ฉันก็ต้องออกไปข้างนอกก่อนงานเลิกให้ได้”
น่านฟ้าบอกอย่างมุ่งมั่น

น่านฟ้านั่งทำหน้าเซ็งอยู่ที่โต๊ะทำงานในขณะที่มัศยาก็ยังคงหน้าดำคร่ำเคร่งกับงานตรงหน้าเหมือนเดิม
“นี่เจ๊โหด ออกไปข้างนอกกันเถอะ ผมเครียดจะแย่แล้ว นะนะนะ”
น่านฟ้าเปลี่ยนกลยุทธ์มาใช้การอ้อนขอความเห็นใจ
“คุณเครียดเรื่องอะไร ฉันยังไม่เห็นคุณทำอะไรเลยนอกจากพยายามหนีงาน”
“เรื่องนั้นยิ่งเครียดใหญ่เลย เจ๊ต้องให้เวลาผมปรับตัวหน่อยสิ ผมใช้ชีวิตของผมแบบชิลๆ มาตั้งนานจู่ๆ จะให้มานั่งเก้าอี้บริหารมันก็ต้องช็อคเป็นธรรมดา”
น่านฟ้าพูดน้ำเสียงจริงจังจนมัศยาเริ่มจะคล้อยตาม
“จะว่าไปก็จริงของคุณนะ ฉันเองทำการตลาดอยู่ๆ ก็ต้องมาเป็นที่ปรึกษาประธานบริษัทบอกตามตรงว่าช็อคเหมือนกัน”
มัศยาหลงกลบอกความรู้สึกของตัวเองออกไป น่านฟ้าได้ทียิ่งย้ำ
“เห็นมั้ย เจ๊ยังเป็นเลย นะเจ๊ ออกไปคลายเครียดกัน ผมรับปากว่าจะตั้งใจเรียนรู้งานจากเจ๊เลยอ่ะ”
“นี่คุณกำลังหลอกฉันใช่มั้ยเนี่ย ฉันไม่อยากจะเชื่อว่าคนอย่างคุณจะคิดได้”
มัศยากลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง
“เอ๊า เจ๊ คุยกันอยู่ดีๆ ไหงอารมณ์พลิกซะยังงั้นล่ะ ผมจะหลอกเจ๊ไปทำซากอะไร ถ้าผมจะเดินออกไปตอนนี้เจ๊จะทำอะไรผมได้ ต่อให้แม่ใหญ่ก็เถอะ ถ้าผมไม่แคร์ก็คือไม่แคร์ แต่ผมอยากทำอะไรที่มันถูกต้อง”
“ก็ได้ แต่ฉันมีข้อแม้สองข้อ”
“ว่ามาเลยเจ๊”
“ข้อหนึ่งฉันขอเป็นคนเลือกสถานที่จะไปเอง ข้อสองคุณต้องรับปากว่าจะทำตามคำพูดที่บอกว่าจะตั้งใจเรียนรู้งาน”
“เรื่องง่ายๆ ตกลงทั้งสองข้อเลย ไปกันเดี๋ยวนี้เลยเจ๊ ผมอยากไปให้พ้นๆ จากออฟฟิศนี่เต็มทนแล้ว ว่าแต่เจ๊จะพาผมไปคลายเครียดที่ไหน”
มัศยาไม่ยอมตอบ

อ่านต่อหน้า 2

ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 2 (ต่อ)

มัศยาพาน่านฟ้ามาที่สวนสัตว์เขาดิน

“เขาดินเนี่ยนะเจ๊”
“ก็เขาดินน่ะสิ หรือคุณน่านมีปัญหา จะได้กลับ”
“ดีกว่าที่ผมคิดไว้เยอะ ผมนึกว่าเจ๊จะพาเข้าวัดฟังธรรมซะอีก เจ๊รู้หรือเปล่าตอนเด็กๆ ผมชอบมาเขาดินที่สุดเลย จนวันหนึ่ง”
น่านฟ้านึกถึงเหตุการณ์เมื่อเมื่อครั้งเขาอายุ 6 ขวบ สุกัญญาและน่านฟ้ายืนรอโชคอยู่ที่หน้าเขาดิน น่านฟ้าตื่นเต้นที่จะได้เที่ยวพร้อมหน้าพ่อแม่ลูก
“พ่อจะมาจริงๆ ใช่มั้ยครับแม่”
“มาสิจ๊ะ พ่อบอกกับแม่เองว่าให้พาน่านมารอที่นี่”
“ดีใจจัง น่านไม่ได้เจอพ่อตั้งนานแล้ว”
น่านฟ้าบอกอย่างดีใจชะเง้อมองหาว่าพ่อจะมาทางไหน เวลาผ่านไปนาน สุกัญญานั่งรออยู่ที่ม้าหิน น่านฟ้าฟุบหลับอยู่ที่ตัก
“น่าน น่าน ตื่นได้แล้วลูก”
“พ่อมาแล้วเหรอครับแม่”
น่านฟ้าตื่นมางัวเงียแต่ก็ถามหาโชคทันที
“พ่อเขาคงติดธุระ มาไม่ได้น่ะลูก”
น่านฟ้าผิดหวังแต่ก็รีบกลบเกลื่อน
“งั้นเราเข้าไปกันสองคนก็ได้นะแม่นะ น่านอยากดูยีราฟ อยากขี่จักรยานน้ำ”
สุกัญญามองลูกชายด้วยความสงสารแล้วก็ดึงตัวเข้ามากอด
“ไปลูก เดี๋ยวเราดูสัตว์ให้หมดเขาดินเลยเนอะ”
“วันหลังเราค่อยชวนพ่อมาใหม่นะแม่นะ”
น่านฟ้าบอกอย่างมีความหวัง แล้วทั้งคู่ก็เดินเข้าเขาดินไป

น่านฟ้ากับมัศยาเดินเข้ามาในเขาดิน ที่เดียวกับในอดีต
“สรุปแล้วพ่อไม่เคยมาเที่ยวเขาดินกับผมและแม่ และวันนั้นก็เป็นวันสุดท้ายที่แม่พาผมมาเที่ยวเขาดินเพราะแม่ไม่เคยพูดถึงมันอีกเลย”
มัศยาหยุดเดินหันไปมองน่านฟ้าแววตาอาทร
“ถ้าคุณไม่สบายใจเรากลับกันก็ได้นะ หรือไม่ก็ไปที่อื่นก็ได้แล้วแต่คุณเลย”
“เขาดินนี่แหละดีแล้ว ผมเองก็อยากมาเหมือนกัน ไม่รู้จะเปลี่ยนไปยังไงบ้างแล้ว เดี๋ยวนะเมื่อกี้เจ๊บอกว่าไปที่อื่นก็ได้ตามใจผม พูดจริงหรือเปล่า”
น่านฟ้าถามน้ำเสียงแววตาเจ้าเล่ห์
“คุณนี่จริงๆ เลยนะคุณน่าน”
มัศยาส่ายหน้าแล้วเดินหนี
“รอด้วยสิเจ๊ จะรีบไปไหน ที่เจ๊พูดน่ะจริงเปล่า”
น่านฟ้ารีบเดินตาม

วิภาตรวจดูความเรียบร้อยของเสื้อผ้าหน้าผมอยู่ในห้องทำงาน ต๋องเคาะประตูแล้วเปิดเข้ามา
“คุณท่านมีอะไรใช้ต๋องเหรอครับ”
“มีสิ ฉันคงไม่เรียกแกมาคุยเล่นหรอกนะ นายน่านเป็นยังไงบ้างวันนี้ ฉันไม่เห็นมัศยามารายงาน ไม่อยากโทรตามที่โต๊ะเดี๋ยวเจ้าตัวแสบจะหาเรื่องมัศยาอีก”
“ท่านประธานออกไปข้างนอกตั้งแต่บ่ายๆ แล้วครับ”
“อ้าว ไปไหน แล้วทำไมมัศยาปล่อยให้ไป แกตามมัศยามาหาฉันด่วนเลย”
“คงจะไม่ได้หรอกครับคุณท่าน เพราะเจ๊หยี เอ๊ย คุณมัศยาออกไปกับท่านประธานด้วยครับ”
“เขาไปไหนกัน ทำไมมัศยาไม่บอกฉันก่อน แต่ช่างเถอะ ถ้านายน่านไปกับมัศยาก็แล้วไป”
วิภาท่าทีผ่อนคลายขึ้น
“ดูคุณท่านจะไว้ใจคุณมัศยามากกว่าท่านประธานอีกนะครับ”
“วันนี้น่ะใช่ ฉันหวังว่าคงจะไว้ใจท่านประธานของแกได้อยู่เหมือนกัน”

มัศยานั่งดูวิวในเขาดินอย่างผ่อนคลาย น่านฟ้าถือน้ำมาสองแก้ว เห็นมัศยากำลังเพลินก็ยืนดู ไม่เคยเห็นหญิงสาวในท่าทีสบายๆ แบบนี้ จนมัศยาหันมาเห็น น่านฟ้าถึงเดินเข้าไปยื่นแก้วน้ำให้
“เจ๊นี่ก็มีมุมชิลกับเขาเหมือนกันเนอะ นึกว่าจะทำเครียดถาวรมาซะอีก”
“ชีวิตฉันไม่ได้สบายเหมือนคุณนี่จะได้ชิลไปซะทุกเรื่อง”
“ใครบอกเจ๊ว่าผมสบาย คนเรามันก็มีเรื่องลำบากกันทั้งนั้นแต่มันอาจจะต่างกัน”
“แต่ฉันว่าคนอื่นเขาลำบากแบบไม่ตั้งใจ แต่คุณน่ะตั้งใจทำตัวเองให้ลำบาก”
“เถียงกับเจ๊ไม่เคยชนะสักที เออ เกือบลืมเล่าไป เมื่อกี้ผมไปซื้อน้ำ เดินผ่านบ่อจระเข้ เห็นลูกฝรั่งตกลงไปในบ่อด้วย”
“จริงเหรอ มีคนช่วยเขามั้ย”
“ไม่มีใครสนใจเลยเจ๊ เจ้าหน้าที่ก็ไม่สนใจ”
“ตายแล้ว ทำไมคนเดี๋ยวนี้ใจดำกันจัง แล้วคุณทำไมไม่หาทางช่วย”
“บ่อจระเข้นะเจ๊ไม่ใช่บ่อปลาคาร์ฟ อีกอย่างผมบอกว่าลูกฝรั่งไม่ใช่เด็กฝรั่งสักหน่อย ลูกฝรั่งแบบเนี้ย ผมทำตกไปเองแหละ ซื้อมาสองลูกกะจะเอามาฝากเจ๊สักหน่อย เจ๊เอาลูกนี้ไปก็ได้”
น่านฟ้าพูดหน้าตาย
“ขำเหรอ ถามจริงๆ เถอะชีวิตคุณนี่มันมีสาระบ้างมั้ย”
“แหม ผมก็ไม่อยากให้เจ๊เครียด เดี๋ยวหน้าจะแก่ไปกว่านี้ ไม่งั้นผมต้องเรียกอาซิ่ม”
มีเสียงผู้หญิงร้องดังลั่น
“ช่วยด้วยค่ะเด็กตกน้ำ ช่วยด้วย”
มัศยากับน่านฟ้ามองหน้ากัน

ที่ท่าน้ำเรือถีบ ผู้คนกำลังมุงดูเด็กผู้ชายอายุราว 6-7 ขวบ พยายามตะเกียกตะกายเอาตัวรอดในน้ำ
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยลูกฉันด้วย”
“ขอทางหน่อยครับ”
น่านฟ้าวิ่งมาถึงก็ร้องขอทาง คนที่ยืนอยู่แหวกทางให้ น่านฟ้าถอดรองเท้าออกแล้วก็กระโดดลงไปทันที มัศยาตามมาติดๆ ยืนลุ้นอยู่บนท่าน้ำ เด็กจมหายไปก่อนที่น่านฟ้าจะถึงตัว น่านฟ้าดำลงไปแล้วโผล่ขึ้นมาหายใจ ไม่เจอเด็ก เขาดำลงไปอีก จนครั้งที่สามก็ชูร่างเด็กขึ้นมา คนบนท่าน้ำร้องเฮลั่น
น่านฟ้าเอาร่างของเด็กชายวางที่พื้น เด็กหมดสติไปแล้ว เขาทั้งปั๊มหัวใจทั้งผายปอด จนในที่สุดเด็กก็สำลักน้ำออกมาแล้วก็ฟื้น
“ลูกแม่ ไม่เป็นไรแล้วนะ ขอบคุณมากค่ะคุณ”
แม่เด็กโผเข้ากอดลูกแล้วก็หันมาขอบคุณน่านฟ้า น่านฟ้ายิ้มให้แม่เด็ก แล้วเงยหน้ามองมัศยา เห็นมัศยามองหน้าเขาอยู่ด้วยแววตาชื่นชม น่านฟ้าก็เลยยักคิ้วให้เชิงอวดว่าเขาช่วยเด็กได้

ตอนเย็น น่านฟ้ากับมัศยาเดินคุยกันมาตามทางในเขาดิน
“ไม่เห็นมีใครคิดจะลงไปช่วยเด็กเลย แย่จริงๆ”
“เขาอาจจะมีเหตุผลของเขาน่ะเจ๊ เช่น ว่ายน้ำไม่เป็น กลัวน้ำ เป็นแผลในร่มผ้า หมอห้ามถูกน้ำ หรือว่า”
“พอเลย เหตุผลของคุณฟังดูน่าเกลียดขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ยังไงฉันก็ชื่นชมคุณนะที่ตัดสินใจโดดลงไปช่วยแบบไม่ต้องคิด แต่ฉันถามนิดหนึ่งทำไมคุณต้องถอดรองเท้าก่อน”
“เอ๊า เจ๊รู้ป่าวว่ารองเท้าคู่นี้น่ะกี่หมื่น ล้อเล่น ถ้าขืนลงไปทั้งรองเท้าผมคงไม่ได้ช่วยเด็กคนนั้น แต่จะจมไปเป็นเพื่อนเด็กแทน รองเท้าเวลาอุ้มน้ำมันหนักนะเจ๊”
ฝรั่งสาวๆ เซ็กซี่สองคนเดินสวนมา น่านฟ้ายิ้มให้ เธอทั้งสองยิ้มตอบ
“คุณนี่คิดดีๆ ก็เป็นนะ เสียแต่ว่าไม่ค่อยใช้ ถ้าเลิกทำตัวเหลวไหลได้ก็คงจะดี”
มัศยาเห็นว่าน่านฟ้าเงียบไปก็หันมอง เห็นเขาหยุดคุยกับเด็ก มัศยาส่ายหน้าระอาเหลือ

“อีตาบ้า ปล่อยให้เราพูดคนเดียว”

ตอนเย็น มัศยาพาน่านฟ้ามาที่บ้านของเธอ และนั่งคุยกับสมใจด้วย

“คุณท่านให้หยีคอยดูแลเรื่องงานให้คุณน่าน ไปๆ มาๆ กลายเป็นคุณน่านต้องมาดูแลหยีแทน เกรงใจจังค่ะ”
สมใจออกตัวท่าทางเกรงใจเจียมเนื้อเจียมตัว
“หยีเรียนคุณท่านแล้วแม่ว่าไม่เป็นไรหยีดูแลตัวเองได้แต่คุณท่านไม่ยอม”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ที่จริงผมเองก็มีส่วนทำให้เจ๊โหด เอ๊ย คุณหยีเป็นแบบนี้ผมก็ต้องรับผิดชอบครับ”
นะดี ถือแก้วน้ำเดินมาวางให้น่านฟ้า
“คุณอาทำแม่หยีแขนหักเหรอคะ”
“เปล่าครับ แต่เพราะคุณอา แม่หยีเลยต้องแขนหัก”
“อ๋อ คุณอาไม่ได้ทำเองแต่ให้คนอื่นทำ”
นะดีสรุป ทำเอาน่านฟ้าเหวอไป
“มานี่เลยเราน่ะ ไม่มีใครทำใครแขนหักหรอกจ้ะ รถแท็กซี่ที่แม่หยีนั่งชนเสาไฟฟ้าแขนแม่หยีก็เลยหัก”
มัศยาดึงตัวนะดีเข้ามากอดแล้วก็อธิบาย
“งั้นเสาไฟฟ้าก็เป็นคนทำแม่หยีแขนหัก คุณอาไม่ได้ทำ”
“พูดมากจังเลยเรา ไปช่วยยายยกกับข้าวดีกว่า เดี๋ยวเชิญคุณน่านทานข้าวเย็นด้วยกันนะคะ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะแม่ คุณน่านเขามีธุระต้องรีบไป”
“ใครบอกเจ๊ว่าผมมีธุระ ผมน่ะอยู่ได้จนถึงเช้าเลยแหละ อย่าบอกนะว่าเจ๊กลัวผมแย่งกินจนต้องหาทางกำจัดผม”
“คุยกับคุณแล้วปวดหัว คนอะไรพูดจาไม่รู้เรื่อง นะดียังรู้เรื่องกว่าคุณเยอะ”
มัศยาเดินเข้าครัวไป น่านฟ้ามองตามยิ้มๆ

ตอนค่ำ ทุกคนทานอาหารเสร็จ กับข้าวบนโต๊ะอาหารเกลี้ยงทุกจาน สมใจกับนะดีช่วยกันเก็บ
“ให้ผมช่วยนะครับคุณป้า”
น่านฟ้าขยับตัวแต่สมใจห้ามเอาไว้
“ไม่ต้องหรอกค่ะคุณน่าน อยู่คุยกับหยีดีกว่าค่ะ”
สมใจบอกแล้วก็ยกจานเข้าครัวไป
“นี่คุณน่านไปอดอยากที่ไหนมา ดูสิกับข้าวเกลี้ยงไม่มีเหลือเลย”
“ทำไม เจ๊จะเก็บไว้กินตอนดึกเหรอ ไม่ดีนะเจ๊เดี๋ยวอ้วน”
“ใครบอกว่าฉันจะเก็บไว้กินเอง ฉันจะเหลือไว้ให้หมาหรอกย่ะ”
“อ้าว อ้าว แบบนี้เจ๊ก็หาว่าผมแย่งหมากินน่ะสิ”
น่านฟ้าโวยวาย
“ก็แล้วแต่”
“ก็แล้วแต่ แหม เจ๊นี่อินเทรนด์เหมือนกันนะ”
“นี่ แล้วคุณไม่คิดจะกลับบ้านกลับช่องหรือไง มารบกวนคนอื่นอยู่ได้”
“แหม เจ๊ก็ คนอื่นที่ไหน เราคนกันเองแท้ๆ”
นะดีวิ่งเข้ามาเกาะขาน่านฟ้า
“คุณอาขา มาเล่นเกมเศรษฐีกับนะดีนะคะ”
นะดีอ้อน น่านฟ้ามองหน้ามัศยาแล้วยักคิ้วพร้อมกับยักไหล่ให้

นะดีกางเกมเศรษฐีกระดาษอยู่ น่านฟ้าเดินมานั่งข้างๆ แล้วส่งไอแพดให้
“เดี๋ยวนี้มันต้องใช้ไอแพดเล่นแล้วจ้ะ มีเพื่อนเล่นกับเราเยอะเลย”
“แต่นะดีเล่นไม่เป็นหรอกค่ะ นะดีเคยอยากได้ แต่แม่บอกว่ามันแพงแล้วก็ไม่จำเป็น”
“ก็เอาของอานี่ไง เดี๋ยวอาสอนให้ว่าเล่นยังไง”
นะดีมองหน้ามัศยาซึ่งเห็นสีหน้าอยากเล่นของลูกสาวแล้วก็สงสารเลยพยักหน้าอนุญาต นะดีรับมาเปิดเล่นอย่างมีความสุข

เวลาผ่านไป นะดียังคงเล่นเกมอยู่กับน่านฟ้าอย่างสนุกสนานโดยที่น่านฟ้าใช้มือถือของตัวเองเล่น มัศยาดูนาฬิกาก็เห็นว่าดึกแล้วเลยเดินมาหาทั้งคู่
“นี่คุณน่าน กลับบ้านได้แล้วจะได้พักผ่อน”
“เจ๊เป็นห่วงผมด้วยเหรอเนี่ย”
“ฉันหมายถึงตัวฉันกับลูกจะได้พักผ่อน ส่วนคุณจะไปทำอะไรก็เรื่องของคุณ”
“แหม โหดไม่เลิกเลยนะเจ๊น่ะ นะดีเอาไอแพดอาไว้นะ จะได้เล่นตอนว่างๆ”
“ไม่ได้ค่ะ คุณเอากลับไปด้วย นี่คุณอย่ามาสอนให้ลูกฉันฟุ้งเฟ้อนะ เอาไอแพดคืนคุณอาสิลูก”
นะดีส่งไอแพดคืนให้น่านฟ้า ทำหน้ามุ่ยๆ น่านฟ้าขยิบตาส่งซิกให้
“แม่ขาให้คุณอาไปส่งนะดีเข้านอนนะคะ”
นะดีอ้อน
“จะไปรบกวนคุณอาเขาทำไมล่ะลูก คุณอาเขาจะรีบกลับบ้าน”
“ผมไม่รีบสักหน่อย มาเดี๋ยวอาไปส่งให้ถึงที่นอนเลย ไหนห้องนอนนะดีอยู่ไหน”
“ทางนี้ค่ะคุณอา”
มัศยาเห็นนะดีท่าทางมีความสุขก็เลยไม่อยากขัด ปล่อยให้น่านฟ้าอุ้มลูกสาวขึ้นบนบ้านไป

หลังจากพานะดีเข้านอนแล้ว น่านฟ้าเดินมาหามัศยาที่ยืนรออยู่
“หลับไปแล้ว ผมเล่านิทานไม่ทันครึ่งเรื่องแกก็หลับปุ๋ยเลย”
น่านฟ้าบอกด้วยน้ำเสียงเอ็นดู
“ตอนเด็กๆ พ่อแกชอบเล่านิทานให้ฟังก่อนนอน แกเลยติด วันไหนไม่ได้ฟังนิทานแล้วจะงอแง”
“แล้วพ่อนะดีไปไหนซะล่ะเจ๊ ผมขอโทษนะถ้าละลาบละล้วง”
“พ่อนะดีเขาทำงานที่ต่างจังหวัด นานๆ จะกลับมาบ้านสักที ขอบคุณนะคะที่ช่วยเป็นเพื่อนเล่นให้นะดี ดูแกมีความสุขมาก ฉันไม่เคยเห็นแกยิ้มหรือหัวเราะเหมือนวันนี้มานานแล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอกเจ๊ ผมเป็นลูกคนเดียว เหงาจะตาย อยากมีน้องไว้เป็นเพื่อนทำอะไรบ้างก็ไม่มี จนตอนนี้หมดเวลาจะมีแล้ว ว่าแต่ว่าเจ๊เองก็หัดยิ้มหัดหัวเราะบ้างก็ดีนะ เจ๊ทำหน้าเหมือนอึไม่ออกตลอดเวลาแบบนี้ไม่เมื่อยหน้ามั่งเหรอ”
“ไม่ต้องมาวิจารณ์หน้าตาฉันเลยนะ ไป คุณกลับไปได้แล้ว”
“เจ๊ไม่เดินไปส่งผมที่รถเหรอ”
“รถก็จอดอยู่หน้าบ้านเนี่ย จะต้องไปส่งทำไม”
“ก็ไปส่งตามมารยาทเจ้าของบ้านที่ดีไง เผื่อจะมีกู๊ดบายคิสอะไรกะเขามั่ง”
น่านฟ้าแหย่ มัศยาส่ายหน้าระอาก่อนจะเดินนำออกไป

น่านฟ้าเดินนำหน้ามัศยามาที่รถ
“เจ๊ใจดำจัง ดึกๆ แบบนี้น่าจะให้ผมค้างที่นี่ นอนโซฟาข้างล่างก็ได้ พรุ่งนี้จะได้ไปทำงานพร้อมกัน”
“จะให้ฉันเรียกช่างมากั้นห้องให้เลยมั้ยล่ะ”
“พูดจริงหรือเปล่าเจ๊”
น่านฟ้าหยุดแล้วหันมาถาม ทำเอามัศยาที่เดินตามมาติดๆ เบรกไม่ทันชนน่านฟ้า แล้วตัวเองก็เซจะล้ม น่านฟ้ารีบคว้าตัวเอาไว้ ทั้งคู่แนบชิดกัน หน้าเกือบจะชนกัน มองตากันเคลิ้มๆ
“ปล่อยฉันนะ”
มัศยารู้สึกตัว รีบผลักน่านฟ้าออก
“ก็เจ๊จะล้มผมก็ต้องคว้าเอาไว้สิ เดี๋ยวพื้นร้าวเจ๊ต้องซ่อมถนนใช้เขานะ”
“นี่”
“จะว่าไปแล้ว เจ๊นี่ดูใกล้ๆ ก็ชวนเคลิ้มเหมือนกันนะ”
“กลับไปได้แล้ว”
“ไล่จังเลย ว่าแต่เจ๊จะกั้นห้องให้ผมจริงหรือเปล่า”
มัศยาไม่พูดอะไร จ้องตาเขียว น่านฟ้าเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งแล้วกดกระจกลง
“พรุ่งนี้เช้าเจอกันนะเจ๊ ผมจะมารับแต่เช้าเลย”
น่านฟ้าบอกแล้วก็ออกรถไป มัศยาถอนหายใจด้วยความเหนื่อย

มัศยาเข้ามาในห้อง เดินมาที่เตียงเห็นนะดีกำลังหลับอยู่ ในมือกอดไอแพดเอาไว้ มัศยาเอาไอแพดออกจากมือนะดี
“แปลกจัง ทำไมนะดีถึงชอบนายนั่นได้นะ”
มัศยามองหน้านะดีที่หลับตาพริ้มยิ้มน้อยๆ มีความสุข ก็ก้มลงจูบหน้าผากเด็กน้อย แล้วเดินออกจากห้องไป

น่านฟ้าขับรถมาตามถนน เปิดเพลงเสียงดังลั่น ผ่านมาตรงถนนสว่างๆ แห่งหนึ่ง เห็นนิรชาแสนสวยยืนเหมือนรอใครอยู่ แต่ว่าน่านฟ้าเลยมาแล้ว ชายหนุ่มเลยรีบกลับรถทันที
น่านฟ้าขับรถมาจอดที่ริมถนน แต่ว่างเปล่า ไม่มีนิรชายืนอยู่ รถของปารณแล่นออกไปไกลๆ น่านฟ้าเปิดประตูรถลงมายืนมองหานิรชา
“ใครคาบไปแล้ววะ น่าโมโหจริงๆ”
น่านฟ้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก แต่ว่าโทรไม่ติด
“มันจะปิดเครื่องทำไมวะ เฮ้อ ไปไหนดีเรา”

ปารณกับนิรชาอยู่ในรถ
“คุณยังไม่ได้บอกผมเลยว่าชื่ออะไร ผมปารณ”
“น้ำหวานค่ะ”
“โห หวานสมชื่อเลยนะครับ แล้วทำไมคุณมายืนอยู่คนเดียวตรงที่เปลี่ยวๆ แบบนั้นล่ะครับ”
“น้ำหวานนั่งแท็กซี่จะกลับห้องแต่เห็นท่าทางคนขับไม่น่าไว้ใจ เลยขอลงตรงนั้นค่ะ ตอนแรกเขาก็ทำเหมือนจะไม่ยอมจอด แต่น้ำหวานแกล้งบอกว่าแฟนเป็นตำรวจแล้วก็ส่งไลน์ไปบอกเลขทะเบียนรถแล้ว เขาคงกลัวเลยปล่อยให้ลง”
“คุณน้ำหวานนี่ฉลาดจังเลยนะครับ แล้วทำไมคุณน้ำหวานขึ้นรถมากับผมล่ะไม่กลัวเหรอ”
ปารณถามแบบแหย่ๆ
“กลัวค่ะ ก่อนหน้านี้ก็มีรถแวะมาชวนขึ้นสองสามคัน แต่ประเมินดูแล้วคุณปารณน่าจะคุ้มที่จะเสี่ยง แล้วปกติคุณปารณรับสาวๆ ขึ้นรถตอนดึกๆ แบบนี้บ่อยเหรอคะ”
“คุณน้ำหวานคนแรกเลยครับ เหตุผลเดียวกัน คุ้มที่จะเสี่ยง”
ทั้งคู่นิ่งเงียบไปนิดหน่อย ปารณปรายตามอง เห็นนิรชาซึ่งกำลังเหม่อมองไปข้างหน้า ใบหน้าสวยนั้นดูปนเศร้าๆ น่าค้นหา
“หิวจัง เพิ่งจะเลิกประชุมยังไม่ได้ทานอะไรเลย คุณน้ำหวานไปทานเป็นเพื่อนผมหน่อยนะครับ เดี๋ยวผมไปส่งถึงบ้านเลย”

นิรชาคิดๆ ก่อนจะตอบตกลง

ปารณกับนิรชานั่งอยู่ที่ในร้านอาหารหรู มีจานอาหารที่ทานแล้วอยู่ตรงหน้าสามสี่อย่าง

“คุณน้ำหวานทานน้อยจังเลย อาหารไม่ถูกปากเหรอครับ”
“เปล่าค่ะ อาหารอร่อย แต่น้ำหวานไม่ค่อยทานอะไรกลางคืนค่ะ”
“โทษทีครับ ผมก็ลืมไปว่าผู้หญิงต้องรักษาหุ่น ถึงว่าคุณน้ำหวานถึงได้สวยขนาดนี้ มื้อนี้ถือซะว่ามานั่งเป็นเพื่อนดูผมทานก็แล้วกัน เดี๋ยวมื้อหน้าผมขอแก้ตัวใหม่ คุณน้ำหวานชอบทานอาหารประเภทไหนครับ ไทย จีน ญี่ปุ่น อิตาเลี่ยน บอกมาเลยผมจัดให้ได้ทุกเมนู”
“เอาจริงๆนะคะ คุณปารณเห็นข้าวต้มข้างทางก่อนถึงร้านนี้มั้ยคะ นั่นละค่ะร้านประจำของน้ำหวาน กับข้าวอร่อยมาก”
“จริงหรือครับ ผมก็เคยทานบ่อยนะ ไม่นึกว่าคุณน้ำหวานจะเทสต์เดียวกัน เอาไว้วันหลังเรามาทานด้วยกันนะครับ”
นิรชาไม่ตอบว่าอะไรได้แค่ยิ้มน้อยๆ แล้วยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู
“สงสัยคุณน้ำหวานจะง่วงแล้ว กลับกันดีกว่าครับเดี๋ยวผมไปส่งที่บ้าน”
ปารณบอกแล้วยกมือเรียกพนักงานเสิร์ฟส่งสัญญาณบอกให้เช็คบิล
“สามพันเจ็ดร้อยครับ”
ปารณหยิบเงินส่งให้สี่พัน
“ไม่ต้องทอนนะ”
นิรชามองปารณ ใช้ความคิด

ปารณเปิดประตูด้านข้างคนขับให้ นิรชาก้าวเข้าไปนั่ง ปารณเดินอ้อมมาขึ้นรถด้านคนขับ ขับรถออกไป จนไปถึงอพาร์ตเม้นท์แห่งหนึ่ง นิรชาก้าวลงมาจากรถมายืนข้างๆ ปารณ
“ใครจะเรียกอพาร์ตเม้นท์ ห้องพัก หรืออะไร แต่มันคือบ้านของน้ำหวานค่ะ น้ำหวานคงมีปัญญาได้แค่นี้ ห้องเล็กๆ ที่เป็นบ้าน”
นิรชาด้วยความน้อยใจตัวเองนิดๆ
“รูปแบบอาคารมันไม่ใช่ตัวกำหนดว่ามันจะเป็นบ้านหรืออะไร ที่ไหนอยู่แล้วมีความสุขมันก็คือบ้านแหละครับ ผมง่วงจัง คุณน้ำหวานพอจะบริจาคกาแฟร้อนแก่ๆ สักแก้วได้มั้ยครับ”
“แถวนี้ไม่มีร้านกาแฟ คุณปารณคงต้องขึ้นไปทานที่ห้องน้ำหวานล่ะค่ะ”
นิรชาเปิดกระเป๋าถือออกดูแล้วก็บอกกับปารณ
“ตายจริง น้ำหวานลืมกุญแจห้องไว้ที่ทำงาน เดี๋ยวคุณปารณรอแป๊บนึงนะคะน้ำหวานจะไปยืมกุญแจสำรองที่เคาน์เตอร์”
นิรชาบอกแล้วก็เดินเข้าอพาร์ตเม้นท์ไป ปารณเห็นนิรชาพูดคุยอะไรกับพนักงาน ดูเหมือนส่งอะไรให้ ก่อนจะรับกุญแจมา แล้วนิรชาก็เดินกลับมาหาปารณ ชูกุญแจให้ดู
“ได้แล้วค่ะ น้ำหวานทำกุญแจหายบ่อย ผู้จัดการเขาเลยขอเก็บค่าประกันตั้งพันหนึ่ง”

นิรชาเดินนำปารณเข้าห้องไป ปารณเดินไปนั่งลงที่โซฟา
“เดี๋ยวน้ำหวานชงกาแฟให้นะคะ”
นิรชาบอกแล้วก็เดินไปทางที่จัดไว้เป็นมุมกาแฟ สักครู่ก็กลับมาพร้อมกับกาแฟหนึ่งแก้วเอามาส่งให้ปารณ
“กาแฟดำดีกว่านะคะจะได้หายง่วง”
“ขอบคุณครับ คุณน้ำหวานนี่ชงกาแฟดำยังอร่อยเลยนะครับ”
ปารณยอ เอาใจ แล้วก็ยกกาแฟขึ้นดื่มอีกจนเกือบหมดแก้ว นิรชามองยิ้มๆ ปารณรู้สึกง่วงๆ ยกมือขึ้นปิดปากหาวหวอด
“ถ้าคุณปารณง่วงก็พักสายตาก่อนได้นะคะ สักสิบนาที เดี๋ยวน้ำหวานช่วยปลุกให้”
นิรชาบอกแล้วก็เข้ามานั่งข้างๆ ผลักปารณให้เอนตัวลงนอนบนโซฟาแล้วค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อให้

ตอนเช้า น่านฟ้าหลับตาพริ้ม มัศยาเข้ามาเคาะกระจกรถ
“คุณ นี่คุณน่าน”
น่านฟ้าตกใจตื่นลืมตาขึ้น เขานอนหลับอยู่ในรถของตัวเองที่จอดอยู่หน้าบ้านมัศยา มัศยายืนอยู่ข้างๆ รถด้านคนขับ ถือถาดสำหรับใส่ของใส่บาตรอยู่ นะดียืนอยู่ข้างๆ ถือดอกกล้วยไม้กับดอกบัวที่มัดเป็นกำๆ อยู่สามมัด
“สวัสดีค่ะคุณอา”
“สวัสดีจ้ะ”
น่านฟ้าเปิดประตูออกมายืนข้างรถ
“คุณมาทำไมตั้งแต่เช้าแบบนี้ คุณใส่ชุดเดิมที่ใส่เมื่อวานนี่นา อย่าบอกนะว่าเที่ยวจนเช้ายังไม่ได้กลับบ้าน”
“ยังไม่ได้กลับบ้านน่ะใช่ แต่ไม่ได้เที่ยวจนเช้านะเจ๊ อย่ามองผมผิดสิ ผมมาจอดรถนอนที่หน้าบ้านเจ๊ตั้งแต่เมื่อคืนเพราะกลัวจะตื่นมารับเจ๊ไม่ทัน เดี๋ยวจะเสียคำพูด”
“คนอย่างคุณเนี่ยนะกลัวจะเสียคำพูด ฉันไม่อยากจะเชื่อ”
“อ้าว เจ๊นี่ รู้จักผมน้อยไปซะแล้ว เห็นผมเหลวไหลไม่ได้เรื่องแบบนี้ แต่ผมพูดคำไหนคำนั้นนะเจ๊”
มัศยาเบ้ปากไม่อยากจะเชื่อ
“แม่หยีคะ หลวงตามาแล้ว”

มัศยา น่านฟ้า และนะดี ใส่บาตรพระองค์สุดท้ายแล้วนั่งรับพร พระให้ศีลให้พรแล้วก็เดินออกไปทั้งสามรูป ทั้งสามคนจึงลุกขึ้นยืน
“คุณยายเคยบอกว่าถ้าใส่บาตรด้วยกันแล้วจะได้เจอกันอีกชาติหน้า แม่หยีกับนะดีจะได้เจอคุณอาชาติหน้าด้วยใช่มั้ยคะ”
นะดีถามซื่อๆ ตามประสาเด็กฉลาด
“แล้วนะดีอยากเจออาหรือเปล่าล่ะครับ”
“อยากเจอสิคะ คุณอาใจดีน่ารักที่สุดเลย”
“แล้วเจ๊ล่ะ อยากเจอผมหรือเปล่า อยากเจออยู่แล้ว ไม่งั้นไม่เตรียมข้าวไว้ให้ผมใส่บาตรด้วยหรอก”
“ฉันจะเตรียมไว้ให้คุณทำไม ข้าวชุดนั้นฉันเตรียมไว้ให้แม่หรอกย่ะ แต่แม่เขานอนดึก เช้ามาก็เลยมึนๆ หัวก็เลยไม่ได้ออกมาใส่บาตร คนบาปหนาอย่างคุณน่ะใส่บาตรพระทั้งอำเภอก็ไม่ช่วยอะไรได้หรอก”
“โห เจ๊ อย่ามาดูถูกผมนะ อย่างผมน่ะ ตายไปรับรองขึ้นสวรรค์ ขนาดยังไม่ตายผมยังขึ้นสวรรค์บ่อยๆ เลย”
น่านฟ้าแหย่สองแง่สองง่ามลืมไปว่านะดียืนอยู่ด้วย
“ยังไม่ตายก็ขึ้นสวรรค์ได้เหรอคะคุณอา”
นะดีถาม น่านฟ้าไม่รู้จะตอบอย่างไร มัศยาจึงต้องตอบแทน
“เวลาที่นะดีทำดีก็มีความสุขเหมือนขึ้นสวรรค์แล้วจ้ะ ตอนที่นะดีช่วยแม่ล้างจานนะดีมีความสุขมั้ย นั่นแหละค่ะก็เหมือนกับนะดีได้ขึ้นสวรรค์”
มัศยาอธิบายด้วยวิธีของเธอ เพราะไม่อยากให้นะดีค้างคาสงสัยอยากรู้
“เจ๊นี่สุดยอดเลย”
น่านฟ้ายกนิ้วโป้งชื่นชม มัศยาทำหน้าดุใส่
“แล้วคุณจะไปทำงานสภาพยับเยินแบบนี้น่ะเหรอ”
มัศยามองน่านฟ้าที่ยับทั้งเสื้อและกางเกง รวมถึงผมที่ยุ่งเหยิง

“ผมมีชุดสำรองในรถ แต่ว่าขออาบน้ำบ้านเจ๊หน่อยนะ”

น่านฟ้าอาบน้ำเรียบร้อยใส่กางเกง แต่ใส่เสื้อเชิ้ตยังไม่ติดกระดุมเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำ มัศยากำลังแต่งตัวให้นะดีอยู่หันมาเห็นก็ต่อว่า

“นี่คุณน่าน คุณจะแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนออกมาไม่ได้หรือไง ลุ่มล่ามจริงๆ เลย”
“แหม เจ๊ แค่ใส่กระดุมเสื้อไม่เรียบร้อยเอง หวั่นไหวเหรอเจ๊”
“นะดีไปดูคุณยายสิลูก คุณจะพูดอะไรฉันห้ามไม่ได้ แต่ฉันขอร้องอย่าพูดสองแง่สองง่ามต่อหน้านะดีได้มั้ย ฉันไม่อยากตอบคำถามที่ยังไม่สมควรต้องตอบ”
“โอเค ผมเล่นมากไปหน่อย ลืมคิดไป ขอโทษนะเจ๊ แล้วนะดีไปโรงเรียนยังไง ให้ผมไปส่งก่อนมั้ย”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ปกตินะดีจะให้ยายไปส่ง เพราะโรงเรียนอยู่ในหมู่บ้านนี่เอง”
“งั้นเราไปกันดีกว่าครับ เดี๋ยวจะสาย”
น่านฟ้าชวนน้ำเสียงจริงจัง มัศยามองไม่เชื่อหู
“อ้าว เจ๊ ยืนตะลึงในความหล่อของผมอยู่ได้ ไปสิครับผมไม่อยากไปทำงานสาย”
น่านฟ้าเข้ามาดึงแขนมัศยา มัศยามองมือน่านฟ้าที่จับแขนเธออยู่แล้วเงยหน้ามองเขาดุๆ น่านฟ้ายิ้มแหยๆ แล้วปล่อยมือ

ปารณนอนหลับอยู่บนเตียง ลืมตาตื่นขึ้นมา สลัดหัวด้วยความงุนงง
“ทำไมมันปวดหัวจังวะ ยังกับโดนมอมยา มอมยาเหรอ”
ปารณมองรอบๆ ก็เห็นว่าอยู่คนเดียว เขารีบลุกขึ้นไปดูกระเป๋าสตางค์ในกางเกงปรากฏว่าไม่มี ยกแขนข้างที่ใส่นาฬิการาคาแพงขึ้นดูก็ว่างเปล่า บนโต๊ะข้างเตียงมีกระเป๋าสตางค์วางอยู่ ปารณรีบเข้าไปดู
“ยังดีวะที่ไม่เอาเงินไป”
ปารณเปิดกระเป๋าดูไม่มีเงินเหลือเลย
“เงินสามหมื่นกับนาฬิกาเป็นแสนหมดเกลี้ยงเลยเรา”
ปารณนั่งกุมขมับที่เตียงแล้วสายตาก็เหลือบเห็นข้อความเขียนด้วยลิปสติกที่กระจกแต่งหน้า”
“ขอโทษนะคะคุณปารณ ฉันขอยืมเงินสดในกระเป๋าของคุณกับนาฬิกาไปก่อนนะคะ ถ้าฉันไม่มีโอกาสใช้คืนก็ถือว่าขอเลยนะคะ อ้อ จะรับใครขึ้นรถระวังด้วยนะคะ เป็นห่วง น้ำหวาน”
“ยัยตัวแสบเอ๊ย”
ปารณกัดฟันกรอด แค้นมาก

ปารณยืนอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์อพาร์ตเม้นท์
“ห้องนั้นเป็นห้องเช่ารายวันค่ะ ผู้หญิงคนเมื่อคืนมาเปิดตอนที่มากับคุณนั่นแหละค่ะ นี่ก็ออกไปก่อนคุณสักชั่วโมงเองค่ะ”
ปารณนึกโกรธตัวเองที่เสียรู้น้ำหวาน
“คุณมีหลักฐานของผู้หญิงคนนั้นอย่างสำเนาบัตรประชาชนหรือใบขับขี่มั้ยครับ”
“ไม่มีเลยค่ะ พอดีน้องเขาบอกว่าลืมเอากระเป๋าใส่บัตรมา หนูเห็นว่าเขาหน้าตาดีๆ คงไม่เป็นไร ตกลงมีอะไรคะ”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ขอบคุณนะครับ”
ปารณบอกทำท่าจะเดินออก
“เดี๋ยวค่ะคุณ”
พนักงานเรียก ปารณหยุดแล้วหันกลับมา พนักงานยื่นเงินให้พันหนึ่ง
“ค่ามัดจำพันหนึ่ง น้องเขาบอกให้เอาให้คุณค่ะ”
“ไม่เป็นไร คุณเก็บไว้เถอะครับ”
ปารณเดินออกไปอย่างเซ็งจัด

รถของน่านฟ้าแล่นเข้ามาจอดในลานจอดรถของบริษัทมีโชค มัศยานั่งข้างคนขับ หยิบไอแพดของน่านฟ้ามาส่งให้
“เมื่อวานคุณลืมเอาไว้”
“ผมไม่ได้ลืมนะเจ๊ ผมให้นะดีเอาไว้เล่นเกมเศรษฐี”
“ฉันบอกแล้วไงว่าอย่ามาสอนให้ลูกฉันเป็นคนฟุ่มเฟือย”
“ผมไม่ได้จะสอนให้นะดีฟุ่มเฟือยนะเจ๊ แต่ผมอยากส่งเสริมให้นะดีที่เป็นเด็กฉลาดได้มีโลกกว้างขึ้นต่างหาก”
“ถ้าคุณคิดแบบนั้นฉันก็ขอบคุณ แต่นะดียังไม่พร้อมที่จะออกไปเจอโลกกว้าง เอาไว้ถึงเวลาฉันจะพาแกไปเอง”
มัศยาวางไอแพดไว้ที่เบาะนั่งก่อนจะเปิดประตูรถออกไป น่านฟ้ารีบเปิดตาม
“เดี๋ยวสิเจ๊ แค่นี้ต้องโกรธกันด้วยเหรอ ไหนเจ๊บอกว่าวันนี้จะสอนงานผมไง”
น่านฟ้าโวยวาย มัศยาเดินไปไม่สนใจหันมอง

น่านฟ้าเดินนำหน้ามัศยา จะตรงเข้าไปในห้องทำงาน พนักงานพากันยกมือไหว้ ต๋องเห็นน่านฟ้ากับมัศยาก็รีบเดินเข้ามาหา
“สวัสดีครับท่านประธาน ไปรับเจ๊หยีมาเหรอครับ”
“เออ คำสั่งแม่ใหญ่ ไม่ทำเดี๋ยวตกงาน”
“อย่างคุณกลัวตกงานเป็นด้วยเหรอ”
“อ้าว กลัวซิเจ๊ ก็เหมือนพนักงานคนอื่นๆ นั่นแหละ หรือเจ๊ว่าไม่เหมือนตรงไหน”
“ตรงที่พนักงานคนอื่นๆ รวมทั้งฉัน เขาจริงจังกับการทำงาน เพราะเขาต้องการเงินไปเลี้ยงดูครอบครัว แต่คุณเห็นงานเป็นเรื่องเล่นใช้ชีวิตอยู่กับความไร้สาระ ชัดมั้ยคะ”
มัศยาจ้องหน้าถาม ก่อนจะออกเดินไป
“โหเจ๊ แรง แต่ดี ผมชอบแรงจัดชัดเจน" น่านฟ้าเดินตามมัศยาไป
“ยิ่งดูก็ยิ่งเหมาะกันมวยคู่นี้”

ต๋องพึมพำอย่างนึกสนุก

อ่านต่อหน้า 3

ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 2 (ต่อ)

น่านฟ้ากับมัศยาเดินมาถึงหน้าห้องทำงานของน่านฟ้า เจอกับภูริชซึ่งถือช่อดอกไม้รออยู่

“สวัสดีครับคุณมัศยา สวัสดีครับ ท่านประธาน”
“หอบดอกไม้จะไปขอความรักสาวไหนครับคุณภูริช อย่าบอกนะว่าเป็นเจ๊โหดนี่”
น่านฟ้าแหย่ ภูริชมองหน้ามัศยาแล้วยิ้มๆ

น่านฟ้า มัศยา และภูริช เข้ามาในห้องทำงานของน่านฟ้า น่านฟ้านั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ทำเป็นไม่สนใจภูริชกับมัศยาซึ่งยืนคุยอยู่ที่โต๊ะทำงานของมัศยา
“ผมไปหาคุณมัศยาที่ห้องทำงานใหม่สองรอบแล้วเห็นน้องหน้าห้องบอกว่าคุณมัศยามานั่งทำงานที่ห้องท่านประธาน”
“คุณภูริชมีธุระอะไรกับฉันคะ”
“อย่าเรียกว่าธุระเลยครับ ผมเอาดอกไม้สวยๆ มาเยี่ยมคุณมัศยาแทนคุณสุกิจ ท่านเห็นว่าคุณเกิดอุบัติเหตุเลยเป็นห่วงครับ นี่ครับ”
ภูริชยื่นดอกไม้ให้ มัศยารับมาถือแล้ววางไว้บนโต๊ะ
“ขอบคุณคุณภูริชมากค่ะ แล้วก็ฝากขอบคุณคุณสุกิจด้วยนะคะ ฝากเรียนว่าฉันไม่เป็นอะไรมากไม่กี่วันก็คงจะหาย คุณภูริชมีอะไรอีกมั้ยคะ ถ้าไม่มีฉันขอตัวทำงานก่อน”
มัศยาพูดตัดบท ภูริชยิ้มเจื่อนๆ แล้วก็ออกจากห้องไป
“เจ๊นี่เสน่ห์แรงเหมือนกันนะ ขนาดอาสุกิจยังหลงถึงกับส่งเบ๊เอาดอกไม้มาให้”
น่านฟ้าฟังมานานอดจะปากเสียไม่ได้ตามนิสัย
“คุณพูดอะไรของคุณ”
“อย่ามาทำเป็นไก๋ สงสัยจะไปหว่านเสน่ห์เอาไว้หลายแผนกนะเจ๊ ยังไงก็เลือกๆ หน่อย เจ๊เองก็มีซะมีแล้ว อาสุกิจเองก็มีเมียแล้ว มันบาปผิดศีลข้อห้านะเจ๊”
“ถ้าคุณจะพูดถึงเรื่องผิดเมียผิดผัวมันศีลข้อสามย่ะ ในหัวคุณนี่มีแต่เรื่องผิดศีลธรรมใต้สะดือเนอะ ถ้าวันหนึ่งคุณตื่นมาแล้วหัวเรี่ยติดพื้นก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไม เพราะในหัวมันมีแต่เรื่องต่ำๆ จนยกหัวไม่ขึ้น”
น่านฟ้าไม่ทันจะอ้าปากเถียงต๋องก็โผล่พรวดเข้ามาในห้อง
“ท่านประธานครับ คุณท่านเรียกพบครับผม”

น่านฟ้านั่งสบายๆ อยู่ที่หน้าโต๊ะทำงานของวิภา วิภามองด้วยความหมั่นไส้
“นี่แกไม่คิดจะกลัวฉันมั่งเลยเหรอไอ้น่าน”
“กลัวสิครับ ผมกลัวแม่ใหญ่มาตั้งแต่เด็ก โตแล้วก็ยังกลัว ก็แม่ใหญ่นะน่ากลัวยังกับ”
“ยังกับอะไร”
“ผมว่าแม่ใหญ่อย่ารู้ดีกว่า เนอะ เอาเป็นว่าตอนนี้ผมไม่ได้ทำอะไรผิดก็เลยไม่รู้จะกลัวไปทำไม”
วิภากัดฟันกรอด
“ไอ้น่าน แกนี่มัน ฉันก็ไม่ได้ว่าแกทำอะไรผิด ที่ฉันเรียกมานี่ก็จะชมว่าแกทำถูกต้องแล้วที่ไปรับไปส่งมัศยาเขา แล้วก็ที่ตั้งใจเรียนรู้งาน”
“เจ๊โหดมารายงานแม่ใหญ่แหงเลย ขี้ฟ้องแฮะ”
“ฉันสั่งให้เขารายงานความเคลื่อนไหวและพัฒนาการด้านนิสัยของแก เขาก็ต้องทำ แล้วอีกอย่างเขาพูดเรื่องดีๆ มันฟ้องตรงไหน แกก็ทำตัวดีๆ ตั้งใจเรียนงาน จะได้บริหารมีโชคเต็มตัวสักที”
“แม่ใหญ่ไม่สบายหรือเปล่าครับดูแปลกๆ”
“ทำไม ฉันหน้าซีดเหรอ สงสัยวันนี้แต่งหน้าเบาไป”
วิภารีบจับกระจกขึ้นมาส่องดู
“ไม่ซีดหรอกครับ อีกนิดหนึ่งก็งิ้วดีๆ นี่เอง แต่ผมสงสัยว่าวันนี้ทำไมแม่ใหญ่ไม่ด่าผม แถมยังพูดจาน่าขนลุก ถ้าไม่ป่วยก็ต้องผีเข้า ไม่สิผีออกแน่ๆ หรือว่าวัยทองกำเริบ คนแก่ก็แบบเนี้ย”
“แกอยากโดนด่ามากใช่มั้ยไอ้น่าน ฉันพูดดีๆ กับแก แกก็ไม่ชอบ มาหาว่าฉันเพี้ยน ถ้าแกอยากมากฉันจะจัดให้ ไอ้เด็กเวรตะไล ไอ้เหลือขอ ไอ้เด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน”
“ค่อยยังชั่วหน่อย แบบนี้ถึงจะใช่แม่ใหญ่”
น่านฟ้ายิ้มมีความสุขแล้วก็ลุกขึ้นเดินออกไป
“ไอ้น่าน ไอ้เด็กเวร”
วิภาด่าไล่หลัง น่านฟ้าออกไปได้สักพัก ต๋องก็หน้าตาตื่นเข้ามายืนตัวลีบแล้วโค้งแบบญี่ปุ่น
“ไห้ อะริกาโต อาโออิ มิยาบิ ซูชิ โออิชิ”
“แกเป็นบ้าอะไรของแกไอ้ต๋อง”
“ท่านประธานบอกว่าคุณท่านถูกผีคาบูกิที่หน้าขาวๆ ของญี่ปุ่นเข้า แต่ผมดูแล้วน่าจะเป็นผีงิ้วมากกว่านะครับ”
ต๋องพูดซื่อๆ เพราะเชื่อจริงๆ
“นี่แกกำลังด่าฉันนะไอ้ต๋อง เหมือนกันหมดทั้งนายทั้งลูกน้อง เดี๋ยวฉันก็ไล่ออกซะเลยนี่”
“คุณท่านอย่าไล่ผมออกนะครับ ผมเป็นห่วงคุณท่านจริงๆ”
“ขอบใจย่ะที่เป็นห่วง แต่ห่วงชีวิตตัวเองเถอะ ขืนเชื่อไอ้น่านแบบไม่คิดแบบนี้ ฉันจะให้แกไปเป็นนักวิจัย”
“คุณท่านเห็นความสามารถผมว่าทำวิจัยข้าวเกรียบรสใหม่ๆ ได้เหรอครับ”
“ใครบอกว่าฉันจะให้แกไปวิจัยข้าวเกรียบ”
“อ้าว แล้ววิจัยอะไรครับ”
“วิจัยฝุ่น ไปได้แล้ว”
วิภาไล่เสียงดุ ต๋องค่อยๆ ตัวลีบออกไป วิภาหันไปมองรูปโชค
“คุณเห็นมั้ยคุณโชค ว่าฉันเหนื่อยใจกับลูกชายคุณแค่ไหน แต่ไม่ต้องห่วงนะ ยังไงฉันก็ไม่ยอมแพ้ฉันจะทำตามที่รับปากกับคุณเอาไว้ให้ได้”
วิภาบอกกับภาพของโชคไม่รู้ว่าครั้งที่เท่าไหร่แล้ว

ปารณเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้วเข้ามาในห้องทำงานของตัวเองที่บริษัท นั่งลงที่เก้าอี้ทำงาน หยิบแฟ้มมาเปิดดูแล้วก็วางลงอย่างแรง
“ยัยตัวแสบ อย่าให้ฉันเจอเธอนะ ฉันจะเอาคืนให้สาสมเลย”

นิรชาถือถุงใส่อาหาร ทั้งอาหารสำเร็จรูปและอาหารแห้งรวมทั้งของใช้เข้ามาในชุมชนแออัด จิ๊กโก๋สองคนก็เป่าปากแซว
“คนสวยมาแล้วโว้ย”
“เฮ้ยของกูโว้ย อย่ายุ่ง”
นิรชาหันไปจ้องหน้าทันที
“ฉันไปเป็นของแกตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็วันนั้นไง ทำเป็นจำไม่ได้”
นิรชาเดินเข้าหา
“อย่ามาทะลึ่งกับฉันนะ แกก็อยู่ของแก ฉันก็อยู่ของฉัน ถ้าฉันยุ่งกับแกมั่งแล้วจะเสียใจ มีตำรวจจีบฉันหลายคนจะบอกให้รู้เอาไว้”
นิรชาทำใจดีสู้เสือ
“นี่ขู่พี่เหรอคนสวย”
“ฉันพูดว่าขู่สักคำเหรอ ฉันบอกให้รู้เอาไว้เฉยๆ”
“เฮ้ยอย่าไปยุ่งเลยว่ะ จริงไม่จริงไม่รู้เดี๋ยวจะเดือดร้อน”
จิ๊กโก๋เตือนเพื่อนเพราะเริ่มกลัว นิรชาหันหลังเดินออกมา ใจเต้นระทึก ทำเป็นเก่งไปอย่างนั้นเพื่อป้องกันตัวเอง

ไม่กล้าหันกลับไปมองกลัวจิ๊กโก๋สองคนจะรู้ว่าจริงๆ แล้วเธอกลัวจนสั่น

นิรชาเปิดประตูบ้านเข้ามา แม่นอนป่วยอยู่ ผงกหัวขึ้นดู

“กลับมาแล้วเหรอลูก”
“ค่ะแม่ เดี๋ยวแม่ทานข้าวก่อนนะจะได้ทานยา”
นิรชาบอกแล้วก็กุลีกุจอแกะข้าวต้มใส่ชามก่อนจะเอามาป้อนแม่
“ทานเยอะๆ นะคะแม่ จะได้แข็งแรงหายเร็วๆ”
“แม่คงไม่หายหรอกลูก อยู่ไปก็เป็นภาระนิเปล่าๆ”
“แม่ห้ามคิดแบบนั้นนะคะ ยังไงนิก็ต้องหาเงินมารักษาแม่ให้ได้ อีกนิดนะคะ”
นิรชาคะยั้นคะยอ
“ไม่ไหวแล้ว มันทั้งเจ็บทั้งปวดไปหมด”
นิรชาวางชามข้าวต้มลงแล้วหยิบยาขึ้นมาส่งให้แม่
“ทานยาค่ะแม่จะได้หาย”
“นิไปเอายามาจากไหนลูก มันเม็ดละตั้งเก้าพันเลยนะ”
“จะเม็ดละกี่พันกี่หมื่นนิก็จะหามาให้แม่ทานให้ได้ค่ะ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าแม่หรอก”
แม่รับยาไปกิน นิรชาเดินเอาชามข้าวต้มไปเก็บ แล้วก็แอบร้องไห้อยู่เงียบๆ คนเดียว

น่านฟ้ากับมัศยาเดินเข้ามาในห้องทำงานของน่านฟ้าแล้วก็แยกไปที่โต๊ะของตัวเอง
“นี่เจ๊ ถามจริงๆ เถอะ ห้องทำงานของเจ๊ก็มี ทำไมเจ๊ไม่ไปนั่นมั่ง มาเฝ้าผมทุกวันแบบนี้เจ๊คิดอะไรหรือเปล่า”
“คิด”
น่านฟ้าตาโต
“ฉันคิดว่าคุณทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต ถ้าฉันไม่คอยดูคุณแบบไม่ให้คลาดสายตาเดี๋ยวคุณก็จะก่อเรื่องอีก มันจะเดือดร้อนกันไปหมด”
“นี่ผมดูแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ไม่หรอก จริงๆ แล้วแย่กว่านี้แต่ฉันขี้เกียจพูด”
“ดูมีน้ำใจนะเจ๊ พูดแค่นี้ก็แทบจะทำให้ผมเป็นโรคซึมเศร้าแล้ว วันนี้ผมของดอ่านแฟ้มของบริษัทวันหนึ่งนะเจ๊”
“ได้ค่ะ”
มัศยาตอบแบบไม่ต้องคิด ทำเอาน่านฟ้าดีใจ
“เจ๊ใจดีจัง”
“เพราะวันนี้คุณน่านต้องไปประชุมกับมิสเตอร์เฉิน”
“ใครอ่ะ มิสเตอร์เฉิน”
“มิสเตอร์เฉิน ชาวฮ่องกง ท่านเป็นที่ปรึกษาอาวุโสทางการตลาดของท่านประธานโชค”
“ไม่ไปไม่ได้เหรอเจ๊ ให้อาสุกิจหรือนายภูริชไปก็ได้นี่ หรือไม่ก็เจ๊นั่นแหละไปเอง”
น่านฟ้าพยายามบ่ายเบี่ยง
“ฉันต้องไปอยู่แล้วในฐานะผู้ช่วยคุณ แต่คุณก็ต้องไปประชุมด้วยเพราะมิสเตอร์เฉินเขาอยากคุยกับผู้บริหารระดับสูงที่สามารถตัดสินใจได้เลย คุณเตรียมตัวเลยนะใกล้จะได้เวลานัดแล้ว เราต้องไปที่ออฟฟิศมิสเตอร์เฉินแถวสาทร ฉันขอเตรียมเอกสารแป๊บเดียว”
มัศยาบอกแล้วก็หันไปก้มหน้าง่วนอยู่กับเอกสาร เธอเอามือกุมแขนเพราะรู้สึกเจ็บ น่านฟ้าหันไปมอง
“เป็นไรเจ๊ เจ็บแขนเหรอ”
“นิดหน่อย”
“ไม่หน่อยล่ะมั้ง ถึงกับทำหน้าย่นซะขนาดนั้น เอ๊ะ หรือจริงๆ ก็ย่นอยู่แล้ว”
“หยุดพูดแล้วเตรียมตัวไปประชุมดีกว่า ฉันไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้”
น่านฟ้าครุ่นคิด

น่านฟ้าอยู่หน้าห้องทำงาน ทำอะไรที่ประตูสักอย่าง ต๋องเดินเข้ามาหา
“คุณน่านจะไปไหนครับ”
“ฉันต้องรายงานแกด้วยเหรอไอ้ต๋องว่าฉันจะไปไหน”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ว่าแต่คุณน่านจะไปไหน เดี๋ยวเผื่อคุณท่านถามหาผมจะได้เรียนถูก”
“ฉันจะไปประชุมกับมิสเตอร์เฉินที่สาทร”
“อ้าว แล้วเจ๊หยีล่ะครับ ไม่ไปด้วยเหรอ”
“ฉันให้เจ๊โหดเขาไปทำธุระให้ก่อน แล้วไปเจอกันที่โน่น แกมีอะไรจะสัมภาษณ์ฉันอีกมั้ย ฉันจะได้เปิดห้องให้แกเข้าไปนั่งสัมภาษณ์เลย ไม่ต้องประชงประชุมกันละ”
“แหะ แหะ ไม่มีแล้วครับ เชิญคุณน่านตามสบายเลยครับ”
น่านฟ้าเดินออกไป ต๋องมองตามสงสัย

น่านฟ้าเดินไปที่รถคันหรู โทรศัพท์นัดสาวไปด้วย
“น้องเนยเหรอคะ คิดถึงสิคะ ไม่คิดถึงจะโทรมาทำไม เจอกันที่เดิมนะ เดี๋ยวพี่น่านไปรับ”
น่านฟ้ากดวางสายยิ้มเจ้าเล่ห์ มองไปทางออฟฟิศ
“ขอโทษนะเจ๊ ความเป็นหนุ่มมันเรียกร้อง”

น่านฟ้าเปิดประตูรถเข้าไปนั่ง สตาร์ตเครื่องแล้วขับออกไป

วิภานั่งดูเอกสารอยู่ โทรศัพท์มือถือดังขึ้น เธอหยิบขึ้นมาดูแล้วกดรับ

“ฉันเอง มีอะไร หา อะไรนะ นายน่านไม่ไปประชุมกับมิสเตอร์เฉินเหรอ มัศยาก็ไม่ไปด้วย คุณวิชิตรับหน้าไปก่อนนะ อย่าให้เสียงาน เดี๋ยวทางนี้ฉันจัดการเอง”
วิภากดวางสาย โกรธจัด
“ไอ้น่าน ไอ้เด็กเวรตะไล”

วิภารีบเดินมาที่หน้าห้องทำงานน่านฟ้า ท่าทางเอาเรื่อง ต๋องเดินตามมาติดๆ พนักงานพากันหลบด้วยความกลัว
“คุณน่านบอกว่าจะไปประชุมกับมิสเตอร์เฉินที่สาทรน่ะครับ นัดเจอคุณมัศยาที่นั่น”
ต๋องรายงาน
“ประชุมกะผีน่ะสิ ถ้าไปประชุมแล้วคุณวิชิตเขาจะโทรมาตามเหรอ ฉันบอกแกหลายทีแล้วนะไอ้ต๋องว่าถ้าไม่เห็นกับตาอย่าไปเชื่อคำพูดไอ้น่านเด็ดขาด”
ต๋องรีบเดินมาเคาะประตูห้องทำงาน

ภายในห้อง มัศยาถูกมัดติดกับเก้าอี้ทำงาน มัดมือมัดเท้าแล้วก็มีผ้ามัดปิดปาก เก้าอี้วางนอนอยู่หลังโต๊ะทำงานของน่านฟ้า
วิภาโกรธจัดตบประตูเรียกน่านฟ้า
“ไอ้น่าน เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ”
“คุณน่านน่าจะยังไม่กลับมาหรอกครับคุณท่าน”
“แกไปเอากุญแจสำรองที่แม่บ้านมาให้ฉัน เดี๋ยวนี้”
“ครับคุณท่าน”
ต๋องรับคำแล้วก็รีบวิ่งหายไป สักครู่ก็กลับมา
“ได้กุญแจมาแล้วครับคุณท่าน”
“ได้มาแล้วก็เปิดสิ หรือจะให้ฉันเปิดเอง”
วิภาดุ ต๋องมือสั่นทำอะไรไม่ถูก รีบไขประตูห้องเปิดออก ในห้องว่างเปล่าไม่มีใครอยู่ มัศยาพยายามจะส่งเสียงขอความช่วยเหลือแต่ทำไม่ได้
“หรือว่าคุณน่านจะไปประชุมจริงๆ แต่รถติดเลยไปช้าครับคุณท่าน”
“แกคิดแบบนั้นเหรอ อาจจะจริง ถ้าเป็นแบบนั้นได้ก็ดี”
วิภาคล้อยตามสีหน้าผ่อนคลายขึ้นทำท่าจะหันหลังกลับ ต๋องดึงประตูจะปิด ก็มีเสียงดังตึงตังในห้อง วิภาหันมามองหน้าต๋อง
“เสียงอะไร เข้าไปดูสิ”
ต๋องเดินเข้ามาในห้อง กวาดสายตามองหา ได้ยินเสียงกุกกักหลังโต๊ะทำงานของน่านฟ้าก็หยิบอะไรสักอย่างที่เป็นอาวุธได้ค่อยๆ ย่องไปดู โผล่หน้าไปก็เห็นมัศยาโดนมัดติดเก้าอี้อยู่
“อ้าว เจ๊หยี มานอนเล่นอะไรตรงนี้”

มัศยากับต๋องนั่งหน้าจ๋อยๆ อยู่หน้าโต๊ะทำงานของวิภา
“ไหน ใครลองบอกฉันหน่อยสิว่าเกิดอะไรขึ้น”
“อย่างที่เรียนคุณท่านแหละค่ะว่าคุณน่านฉวยโอกาสตอนดิฉันเผลอแล้วจับดิฉันมัดกับเก้าอี้ มันเป็นความผิดของดิฉันเองที่ประมาทไปหน่อย”
“คุณน่านกล้าจังเลยนะที่ทำกับเจ๊แบบนี้ หาเรื่องตายชัดๆ”
“ไม่ต้องมาพูดดีเลยไอ้ต๋อง แกเองก็ผิดที่ปล่อยให้ไอ้น่านมันออกไปคนเดียว ฉันรู้ว่าไอ้น่านมันทั้งกะล่อนทั้งเหลวไหลรับมือยาก แต่ฉันไว้ใจเธอให้คอยดูแลเธอก็ควรทำให้ได้ แกก็เหมือนกันไอ้ต๋อง เสียแรงไว้ใจ งานนี้ดีที่คุณวิชิตช่วยจัดการให้ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะเสียหายยังไง เธอสองคนต้องรับผิดชอบ”
“ดิฉันยอมรับผิด แล้วแต่คุณท่านจะพิจารณาเลยค่ะ”
“ผมด้วยครับ”

วิภาตัดสินใจอะไรบางอย่าง

น่านฟ้าเปิดประตูเดินผิวปากเข้าห้องทำงานมา เห็นต๋องกับมัศยาหน้าตาเครียดๆ ต๋องช่วยเก็บของให้มัศยาอยู่

“ทำอะไรวะไอ้ต๋อง”
“ก็ช่วยเจ๊หยีเก็บของน่ะสิครับคุณน่าน”
“เก็บของ เก็บทำไม”
น่านฟ้าไม่กล้าคุยกับมัศยาโดยตรง เพราะรู้ว่าตัวเองทำแรงไป
“เก็บของกลับบ้านครับ”
“เฮ้ย ได้ไง จะโดดงานเหรอเจ๊ ไหนว่าเป็นพนักงานดีเด่น”
น่านฟ้าแหย่ๆ
“ฉันโดนไล่ออก สะใจคุณแล้วใช่มั้ย คุณอยากให้เป็นแบบนี้นี่จะได้ไม่มีคนมาคอยจ้ำจี้จ้ำไชคุณ”
มัศยาบอกเสียงเรียบๆ ไม่มองหน้าน่านฟ้าด้วยซ้ำ
“ใครกล้าไล่เจ๊ออก มันเป็นความผิดของผมต่างหาก”
“รู้ตัวด้วยเหรอ”
“คุณท่านครับ ที่ไล่เจ๊หยีออก ผมก็โดนด้วย ทำงานที่นี่มาตั้งแต่เรียนจบ ไม่รู้จะไปหางานที่ไหนเลย”
ต๋องบอกเศร้าๆ น่านฟ้าร้อนใจ
“เจ๊อย่าเพิ่งไปไหนนะ รออยู่นี่ก่อน แกด้วยไอ้ต๋อง เดี๋ยวฉันจะไปคุยกับแม่ใหญ่เอง”
น่านฟ้ารีบออกไป

วิภานั่งสบายๆ อยู่ที่โต๊ะทำงาน น่านฟ้าเปิดประตูพรวดพราดเข้ามา
“แกเคาะประตูไม่เป็นเหรอ”
“แม่ใหญ่ทำอย่างนี้ได้ยังไง”
“ฉันทำอะไร”
“ทำไมแม่ใหญ่ต้องไล่มัศยากับต๋องออกด้วย”
“ก็สองคนนั่นทำงานไม่ได้เรื่อง แค่คอยดูแลแกคนเดียวยังทำไม่ได้ จะเอาไว้ทำไม”
“แต่มันเป็นความผิดของผมนะครับแม่ใหญ่ สองคนนั่นไม่เกี่ยว”
“จะเกี่ยวไม่เกี่ยวฉันไม่รู้ แต่ฉันไล่ออกก็คือไล่ออก แกรู้มั้ยไอ้น่าน ว่าการที่แกไม่ไปประชุมกับมิสเตอร์เฉิน มันทำให้มีโชคเสียโอกาสแค่ไหน”
“แล้วถ้าเราไม่ได้เสียโอกาสอะไรไปล่ะครับแม่ใหญ่”
น่านฟ้าเอาเอกสารสัญญากับมิสเตอร์เฉินวางไว้ตรงหน้าวิภา วิภาหยิบมาดู
“นี่แกไปประชุมมาเหรอ”
น่านฟ้านึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ เมื่อเขาไปประชุมที่สาทร วิชิตยืนรออยู่
“คุณน่านฟ้ามาพอดีเลยครับ มิสเตอร์เฉินรออยู่แล้ว”
น่านฟ้าพยักหน้ารับแล้วก็เข้าห้องประชุมไป หลังจากประชุมเสร็จ น่านฟ้ากับมิสเตอร์เฉินเปิดห้องประชุมออกมา จับมือกัน แล้วมิสเตอร์เฉินก็เดินออกไป
“เรียบร้อยดีมั้ยครับคุณน่านฟ้า”
วิชิตรีบเข้ามาถาม
“มือชั้นนี้แล้ว คุณวิชิตอย่าเพิ่งบอกแม่ใหญ่นะ ผมอยากจะเซอร์ไพร้ส์นิดๆ หน่อยๆ”

น่านฟ้ายกเอกสารสัญญาในมือขึ้นดูพลางยิ้มทะเล้น

อ่านต่อหน้า 4

ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 2 (ต่อ)

วิภาเปิดเอกสารออกดู น่านฟ้ายืนยิ้ม

“นี่แกทำเอกสารปลอมมาหลอกฉันหรือเปล่าไอ้น่าน”
น่านฟ้าหุบยิ้มทันที
“โธ่ แม่ใหญ่คร้าบ ถึงผมจะดูเหลวไหลในสายตาของแม่ใหญ่ แต่ผมก็ไม่ใช่พวกหลอกลวงต้มตุ๋นนะครับ”
น่านฟ้าพูดน้ำเสียงน้อยใจๆ
“เอาล่ะๆ ฉันจะเชื่อแกก็แล้วกัน”
วิภาตัดบท
“เชื่ออย่างเดียวไม่ได้ครับ แม่ใหญ่ต้องยกเลิกคำสั่งไล่เจ๊โหดกับนายต๋องออกด้วย”
“ก็สองคนนั่นจัดการแกไม่ได้แล้วจะให้ฉันจ้างไว้ให้เปลืองเงินทำไม”
“ผมขอให้สองคนนั่นทำงานต่อ คอยคุมความประพฤติผมเหมือนเดิม ผมรับรองว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก”
“แล้วฉันจะเชื่อแกได้ยังไง”
วิภารู้สึกว่ากำลังเป็นต่อ
“โอเค ผมยอมรับก็ได้ว่าจริงๆ ผมตั้งใจจะโดดงาน แต่รู้ว่าเจ๊แกคงไม่ยอม ก็เลยจับมัดไว้ซะเลย แล้วกะว่าจะไปรับน้องเนยไปลั่ลล้าซะหน่อย แต่พอนึกถึงว่าเจ๊โหดแกอุตส่าห์มาทำงานอย่างขยันขันแข็งทั้งๆ ที่เจ็บแขนที่หักก็เลยนึกละอายใจ เอ๊ย สงสาร กลัวเจ๊แกโดนแม่ใหญ่ด่า ก็เลยกลับใจไปประชุมตามนัดถึงจะสายไปบ้าง ไรบ้าง ก็ยังดีกว่าไม่ไป จริงปะครับแม่ใหญ่ โห ไอ้น่านเอ๊ย ทำไมถึงได้โคตรหล่อ แสนดี มีคุณธรรมขนาดนี้นะ”
วิภาเบ้หน้าหมั่นไส้น่านฟ้า
“ฉันบอกเอาไว้ก่อนนะว่าถ้าสองคนนั่นเอาแกไม่อยู่อีก คราวหน้าไล่ออกแน่”

น่านฟ้ากลับมาที่หน้าห้องทำงาน เจอมัศยาเดินนำหน้าต๋อง ถือกล่องออกมาจากห้อง
“จะหอบของไปไหนไอ้ต๋อง”
“ไปส่งเจ๊หยีขึ้นแท็กซี่กลับบ้านครับ เดี๋ยวต๋องก็จะเก็บของเหมือนกัน”
ต๋องบอกเสียงเศร้าๆ
“ฉันบอกแกแล้วไงว่าให้รอในห้องไม่ต้องไปไหน เจ๊ด้วย แม่ใหญ่เปลี่ยนใจไม่ไล่ออกแล้ว”
“จริงเหรอครับคุณน่าน”
“จริงสิวะฉันจะหลอกแกทำไม”
“นั่นสิ จะหลอกทำไม”
มัศยาทวนคำแบบพ้อๆ ทำเอาน่านฟ้ารู้สึกผิด
“ผมขอโทษน่าเจ๊ ไอ้ต๋องเอาของเจ๊เข้าไปเก็บที่เดิม”
“ไม่ต้องหรอกต๋อง เอาไปไว้ที่ห้องทำงานฉัน ฉันจะกลับไปนั่งที่นั่น”
“ได้ไงเจ๊ ให้ผมนั่งทำงานคนเดียวเดี๋ยวผมหนีเที่ยวนะ”
“คุณจะหนีเที่ยวหรือหนีไปไหนก็ตามใจคุณเถอะ ฉันยอมแพ้แล้ว ไปต๋อง”
ต๋องมองหน้าทั้งสองคน ไม่กล้าทำตามที่มัศยาบอก มัศยาเลยดึงกล่องมาถือด้วยความลำบาก น่านฟ้าดึงกล่องมาจากมัศยาแล้วสั่งเสียงเข้ม
“ในฐานะที่ผมเป็นประธานบริษัท ผมขอสั่งให้คุณมัศยาเข้าไปนั่งทำงานที่เดิม ปฏิบัติ”
น่านฟ้าบอกแล้วก็เปิดประตูถือกล่องเดินเข้าห้อง มัศยาถอนหายใจแล้วเดินตามไป
วิภาค่อยโผล่หน้ามามอง พอเห็นน่านฟ้าและมัศยาเข้าห้องไปก็เดินออกมายิ้มอย่างพอใจ

ต๋องหันมาเห็นวิภาก็สะดุ้ง รีบเดินเลี่ยงออกไปทันที

ตอนเย็น น่านฟ้าเดินนำมัศยามาที่รถ แต่มัศยาเดินเลยไป

“จะไปไหนเจ๊รถผมจอดอยู่นี่”
“ฉันจะขึ้นแท็กซี่กลับบ้าน”
มัศยาหันมาบอกน้ำเสียงราบเรียบ
“เจ๊จะไปขึ้นแท็กซี่ทำไม ผมก็ไปส่งเจ๊เหมือนทุกวันอยู่แล้ว นี่เจ๊ยังไม่หายโกรธอีกเหรอ”
“ฉันมีสิทธิ์โกรธด้วยเหรอ”
“มีสิ เจ๊จะโกรธ จะโมโห จะวีน จะเหวี่ยงอะไรก็ได้ หรือถ้าจะรักผมเลยก็ได้นะ”
น่านฟ้ายังอดแหย่ไม่ได้ มัศยาหมดความอดทนหันหลังกลับทันที น่านฟ้าเข้าไปดึงแขนเอาไว้ แต่เผลอไปดึงแขนที่เจ็บ
“โอ้ย”
“อุต๊ะ ขอโทษ ขอโทษ”
น่านฟ้ารีบเปลี่ยนไปจับอีกแขน
“ปล่อยฉันนะคุณน่าน”
“ไม่ปล่อย ถ้าเจ๊ยังไม่ยอมไปขึ้นรถผมจะอุ้มเจ๊ไปเอง”
น่านฟ้าบอกแล้วทำท่าจะอุ้ม
“อย่าทำอะไรบ้าๆ นะ ฉันร้องให้คนช่วยจริงๆ ด้วย”
“ร้องไปเลยเจ๊คนจะได้มาดูเยอะๆ สนุกดี ตกลงจะเดินไปขึ้นรถเองหรือว่าจะให้ผมอุ้ม”
น่านฟ้าทำท่าจะอุ้มอีกรอบ มัศยารีบเดินไปเปิดประตูด้านหน้าข้างคนขับขึ้นไปนั่ง น่านฟ้ามองตามยิ้มๆ อย่างเป็นต่อ

รถของน่านฟ้าแล่นมาตามถนน
“ถามจริงๆ เถอะเจ๊ จะโกรธผมไปถึงไหนเนี่ย สงกรานต์ ลอยกระทง หรือคริสมาสต์”
มัศยานั่งหน้านิ่งไม่พูดไม่จาไม่มองหน้าเลย
“ดีกันนะเจ๊ ผมขอโทษ ผมแค่จะล้อเล่นเอง”
“ล้อเล่น คุณจับฉันมัดติดเก้าอี้นี่นะล้อเล่น วันหลังคุณไม่ล้อฉันเล่นด้วยการจับฉันโยนออกหน้าต่างเลยเหรอ”
“แหม เจ๊ ใครจะไปทำแบบนั้นได้ ถึงผมอยากจะทุ่มเจ๊ก็คงไม่มีแรงยกเจ๊หรอก ตัวใหญ่ซะขนาดนี้”
น่านฟ้าอดปากเสียไม่ได้ มัศยาหันมามองหน้าดุๆ น่านฟ้ายิ้มแหยๆ รู้ตัวว่าพลาดอีกแล้ว
“เวลาขับรถกรุณามองถนนด้วย”
มัศยาบอกเสียงดุ น่านฟ้ายิ้ม
“ต้องแบบนี้สิถึงจะใช่เจ๊โหด”

น่านฟ้าเดินตามมัศยาเข้ามาที่บ้าน นะดีนั่งทำการบ้านอยู่รีบเข้ามาหา
“สวัสดีค่ะคุณอา”
“สวัสดีครับนะดี สวัสดีครับคุณป้า”
น่านฟ้าสวัสดีสมใจแล้วก้มลงอุ้มนะดี
“เป็นเด็กดีหรือเปล่าครับวันนี้”
“ดีค่ะ”
“ดีมาก ออกไปเอาไอแพดมาเล่นเกมกันดีกว่า”
“ดีค่ะนะดีอยากเล่นเกม”
น่านฟ้าหันไปดูมัศยาก็เห็นว่าตีหน้ายักษ์ใส่อยู่
“ขอโทษทีอาเพิ่งนึกได้ว่าทิ้งไอแพดไว้ที่ที่ทำงาน”
“ไม่เป็นไรค่ะนะดีไม่เล่นเกมก็ได้ นะดีจะทำการบ้าน”
“เดี๋ยวคุณน่านก็อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันเลยนะคะ”
“ไม่ได้หรอกค่ะแม่ คุณน่านเขามีธุระสำคัญต้องทำ ใช่มั้ยคะคุณน่าน”
มัศยาถามเสียงดุแววตาบ่งบอกว่าพูดจริง
“เอ่อ ใช่ครับ ผมมีธุระสำคัญ เอาไว้วันหลังนะครับ สวัสดีครับคุณป้า สวัสดีค่ะนะดี ไปนะเจ๊ พรุ่งนี้ผมมารับเวลาเดิมนะ”
น่านฟ้าบอกแล้วก็เดินหงอยๆ ออกไป สมใจมองตามแล้วมองหน้ามัศยา

“หยีมีปัญหากับคุณน่านเหรอ”

สมใจกับมัศยาอยู่ในครัว มัศยาช่วยหยิบจับทำอาหาร

“หยีไม่มีปัญหาอะไรกับคุณน่าน แต่คุณน่านสิคะมีปัญหากับทุกคนแม้กระทั่งตัวเอง”
“ยังไงแม่ฟังแล้วงง”
“วันนี้คุณน่านไม่ยอมไปประชุมกับมิสเตอร์เฉิน แถมยังจับหยีมัดติดกับเก้าอี้อีก”
“ตายแล้ว ทำไมคุณน่านทำแบบนั้น”
“ก็นิสัยเด็กๆ ไงคะแม่ เห็นทุกอย่างเป็นเรื่องสนุกไปหมด บริษัทมีโชคก็เสียโอกาส พนักงานคนอื่นๆก็เสียโอกาส คุณน่านเองก็เสียโอกาสที่จะได้พิสูจน์ตัวเองให้คุณท่านเห็น หยีถึงบอกว่าคุณน่านมีปัญหากับทุกคนรวมทั้งตัวเองไงคะ”
“แล้วคุณท่านว่าไงบ้างล่ะเรื่องใหญ่แบบนี้น่ะ”
“ตอนแรกคุณท่านจะไล่หยีกับต๋องออกเพราะดูแลคุณน่านไม่ได้ แต่ที่สุดแล้วก็ไม่ได้ไล่ แต่ก็คาดโทษเอาไว้ว่าอย่าให้มีเหตุการณ์แบบนี้อีก”
“แล้วหยีจะทำยังไงต่อไป จะปราบคุณน่านอยู่เหรอ”
“ก็ยังไม่รู้เหมือนกันค่ะแม่ แต่เพื่อบริษัท หยีจะยอมแพ้ไม่ได้ หยีต้องปราบพยศท่านประธานน่านฟ้าให้ได้”
“มันต้องอย่างนี้ซิหยี จำไว้นะ เพื่อทดแทนพระคุณของท่านประธานโชค หยีต้องทำทุกอย่างเพื่อกอบกู้บริษัทมีโชคให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งให้ได้”
สมใจยิ้มพอใจ

ตอนเช้า มัศยาพิมพ์งานในคอมพิวเตอร์อยู่ในห้องทำงานของน่านฟ้า ในขณะที่น่านฟ้าอ่านแฟ้มงานชุดสุดท้าย
“เดี๋ยวพอผมอ่านแฟ้มนี่หมดแล้ว เจ๊สั่งให้ใครเอาไปลงคอมฯให้หมดเลยนะ จะได้เรียกดูง่ายๆ”
“คงต้องมีคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษร เดี๋ยวฉันจะพิมพ์ให้คุณลงชื่อก็แล้วกัน”
สุกิจกับภูริชเปิดประตูเข้ามา
“สวัสดีเด็กๆ”
สุกิจร้องทักอารมณ์ดี
“สวัสดีค่ะคุณสุกิจ คุณภูริช”
“มาเยี่ยมเจ๊โหดเองเลยเหรอครับอาสุกิจ”
“ก็ไม่เชิงหรอก ทั้งแวะมาเยี่ยมมัศยาแล้วก็จะถามน่านว่าเป็นไงบ้าง มีอะไรให้อาช่วยบ้างมั้ย บอกมาได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ”
สุกิจเสนอตัวยิ้มแย้มแจ่มใส เหมือนผู้ใหญ่ใจดี
“ดีเลยครับอา ผมอยากได้คนมาสรุปงานในแฟ้มพวกนี้อยู่พอดี ไม่รู้ว่าจะรบกวนอาสุกิจเกินไปหรือเปล่า”
น่านฟ้าได้ทีเลยแกล้งโยนงานให้ สุกิจชักสีหน้านิดหนึ่งก่อนจะยิ้มแย้มเหมือนเดิม
“ได้ๆ ไม่มีปัญหา เดี๋ยวอาให้ภูริชเขาทำให้ แล้ววันนี้อาจะสอนงานน่านเอง มัศยาจะได้พักบ้าง”
“ไม่ต้องหรอกค่ะคุณสุกิจดิฉันทำได้”
“เอาน่า คนเราทำงานด้วยกันมันก็ต้องช่วยเหลือกัน ภูริช เดี๋ยวเอาแฟ้มพวกนี้ไปอ่านแล้วสรุปมาให้คุณน่านนะ ไปน่านจะเที่ยงแล้ว เราออกไปหาอะไรกินกันดีกว่าจะได้คุยกันเรื่องงานด้วย”
สุกิจมัดมือชก มัศยาจำต้องยอม

น่านฟ้ากับสุกิจนั่งอยู่ในร้านอาหารหรู
“ตามสบายเลยนะน่าน ตั้งแต่น่านเข้ามาทำงานเรายังไม่ได้คุยกันสักที”
“ครับอา ผมเองก็ยุ่งๆ ทั้งเรื่องส่วนตัว เรื่องเรียนรู้งาน เลยไม่ได้ไปคุยกับอาเหมือนกัน”
น่านฟ้าพูดไปสายตาก็มองสาวสวยที่เดินผ่านโต๊ะ สุกิจเริ่มจับทางน่านฟ้าออก
“คนเรามันต้องรีแลกซ์กันบ้าง เห็นอาอายุเท่านี้ อายังเที่ยวผับอยู่เลยนะ สาวๆ สวยๆ เพียบ ทำให้เราสดชื่นอ่อนกว่าวัย”
“เหรอครับ อาไปเที่ยวแถวไหนครับ”
“อามีที่ประจำอยู่สองสามที่ ถ้าน่านสนใจเดี๋ยวอาพาไป”
“วันนี้เลยนะครับอา”
“ใจร้อนเหมือนกันนะเรา ได้ๆ คืนนี้เราไปแฮงเอ้าท์กัน”

สุกิจแอบยิ้มเจ้าเล่ห์สมใจ

มัศยาและต๋องนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานวิภา

“ขอบใจเธอสองคนมากนะที่ช่วยเล่นละครหลอกตาน่านจนยอมรับปากว่าจะตั้งใจทำงาน”
“ดิฉันเต็มใจช่วยทุกอย่างค่ะคุณท่าน”
“ผมก็เหมือนกันครับ แต่ตอนนั้นที่คุณท่านบอกจะไล่ออก ผมงี้ใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มเลยครับ”
ต๋องนึกถึงเรื่องในอดีต ที่เขาและมัศยานั่งหน้าจ๋อยอยู่ต่อหน้าวิภา ตอนที่น่านฟ้าหนีไป
“ความผิดครั้งนี้ฉันมีตัวเลือกให้พวกเธอสองข้อแล้วแต่ว่าจะเลือกข้อไหน”
“ตัวเลือกอะไรคะคุณท่าน”
“ข้อแรกฉันจะไล่เธอสองคนออก”
ต๋องหน้าเสีย
“ขอผ่านไปข้อสองเลยได้มั้ยครับคุณท่าน ฟังข้อแรกแล้วใจไม่ดี”
“ข้อสองคือเธอสองคนต้องช่วยฉันเล่นละครตบตานายน่าน ให้บอกนายน่านว่าฉันไล่เธอสองคนออก เพราะสิ่งที่เขาทำ ฉันรู้จักเด็กคนนี้ดี ตะแบงชอบเอาชนะ แต่จริงๆ แล้วเป็นคนจิตใจดีอ่อนโยนขี้สงสาร”
“ผมเลือกข้อสองครับคุณท่าน เจ๊เรียนคุณท่านไปสิว่าเลือกข้อสอง”
“ตกลงค่ะคุณท่าน
วิภายิ้มออก
“เธอสองคนไปได้แล้ว อย่าลืมทำตามแผนด้วย”
มัศยากับต๋องยกมือไหว้วิภา

ต๋องหลุดจากความคิด หันมาฟังวิภาพูดเช่นเดิม
“อย่าให้มันเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอีกก็แล้วกัน ฉันรู้ว่านายน่านรับมือยาก แต่ไม่เกินฝีมือของเธอหรอกมัศยา ฉันเชื่อมือเธอ”
“ดิฉันจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดค่ะ”
“แล้วนี่นายน่านไปไหน ป่านนี้ไม่ก่อเรื่องอีกแล้วเหรอ”
“คุณน่านเรียนงานกับคุณสุกิจอยู่ค่ะ”

น่านฟ้าคุยกับสุกิจ โดยมีภูริชนั่งอ่านแฟ้มและสรุปอยู่ใกล้ๆ
“สาวๆ เดี๋ยวนี้เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวต้องระวัง อาว่าน่านน่าจะรู้ดีกว่าอานะ”
“ไม่หรอกครับ ผมคงต้องเรียนรู้งานจากอาสุกิจอีกเยอะ”
“ได้ๆ อาน่ะไม่หวงวิชาอยู่แล้ว มีอะไรก็คุยกันได้”
“งั้นผมขอตัวกลับห้องทำงานก่อนนะครับ จะเลิกงานแล้วยังไม่ได้ทำอะไรเลย เดี๋ยวเจ๊โหดกับแม่ใหญ่จะแท็กทีมเล่นงานผมเอา”
“ตามสบายๆ เดี๋ยวหลังเลิกงานอาจะไปหาที่ห้องทำงานน่านเอง”
น่านฟ้าเดินออกไป ภูริชหันมาพูดกับสุกิจ
“ผมไม่ชอบหน้าไอ้นี่เลย ยิ่งตอนที่มันบอกว่าจะให้คุณสุกิจหาคนอ่านแฟ้มนี่ให้ มันเป็นเด็กมาใช้ผู้ใหญ่ได้ยังไง”
“แล้วแกคิดว่าฉันชอบมันเหรอ มันคือคนที่มาแย่งตำแหน่งประธานมีโชคไปจากฉัน แต่ตอนนี้เราต้องยอมมันไปก่อน ฉันจะทำให้มันดูเหลวแหลกหมดความน่าเชื่อถือให้ได้ แล้วตอนนั้นตำแหน่งประธานมีโชคก็ต้องกลับมาอยู่ในมือฉัน”
สุกิจบอกอย่างมั่นใจ

ตอนเย็น มัศยากับน่านฟ้าเตรียมตัวกลับบ้าน สุกิจเปิดประตูเข้ามา
“ไงน่านพร้อมหรือยัง”
“ผมต้องไปส่งเจ๊เขาก่อนนะครับอา”
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวให้ต๋องมันไปส่ง อาสั่งมันแล้ว ไปเร็ว เดี๋ยวจะเรียนรู้งานได้ไม่หมด”
สุกิจเร่ง น่านฟ้าหันไปมองมัศยาก็เห็นว่าทำท่าไม่สนใจ เลยรีบเดินออกไปกับสุกิจ พอน่านฟ้าเดินออกไปแล้วมัศยามองตามสงสัย ต๋องเข้ามาในห้อง
“เจ๊ คุณน่านเขาไปไหนกับคุณสุกิจน่ะ เห็นบอกให้ผมไปส่งเจ๊”
”ฉันก็สงสัยเหมือนกันว่าไปไหน ฉันไม่ไว้ใจเลยต๋อง แกพาฉันสะกดรอยตามไปดูหน่อยได้มั้ย”
“เอางั้นเลยเหรอเจ๊ เดี๋ยวคุณน่านจับได้จะโกรธเอานะ”
“แกกลัวคุณน่านโกรธหรือจะกลัวถูกคุณท่านไล่ออกล่ะ ถ้ามีเรื่องอีกคราวนี้ ทั้งแกทั้งฉันไม่รอดแน่W
“โอเคไปก็ไป”
มัศยากับต๋องเร่งเดินเพื่อตามสุกิจกับน่านฟ้าให้ทัน เสียงวิภาดังขึ้น
“จะรีบไปไหนกัน”
ต๋องอึกอักไม่กล้าบอก
“จะตามคุณสุกิจกับคุณน่านไปค่ะ”
“ฉันไปด้วย”

วิภาบอกทันที

จบตอนที่ 2
กำลังโหลดความคิดเห็น