xs
xsm
sm
md
lg

เปิดใจ "วุฒิ-นันทวุฒิ" แอ็กชั่นสตาร์ดาวรุ่ง ศิษย์เอกคนสุดท้ายของ "พันนา ฤทธิไกร"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เปิดใจ "วุฒิ-นันทวุฒิ" แอ็กชั่นสตาร์ดาวรุ่ง
ศิษย์เอกคนสุดท้ายของ "พันนา ฤทธิไกร"

บทบาท-คาแร็กเตอร์
"รับบทเป็น “ธาร” ก็เป็นวัยรุ่นใช้ชีวิตตามปกติธรรมดาครับ มีพี่ชายที่ชื่อ นที (เดี่ยว ชูพงษ์) ธารเห็นพี่ชายแล้วรู้สึกว่าเท่ อยากจะกล้าอยากจะเก่งแบบพี่ชาย แล้วนทีกับธารก็สูญเสียพ่อกับแม่ไปตั้งแต่เด็ก อาศัยอยู่ในอู่ซ่อมรถกับอา ก็ใช้ชีวิตเป็นเด็กอู่ คอยช่วยอาซ่อมรถ แล้วอยู่วันหนึ่งพี่นทีก็หายไป โผล่มาอีกทีก็พาผุ้หญิงคนหนึ่งมามา เหมือนหนีอะไรมาสักอย่างหนึ่ง เหมือนกับโดนไล่ล่าจากที่อื่นมา แล้วคนที่ตามล่าก็ตามมาเหมือนกัน ธารก็เลยต้องพี่ชายหนีแล้วก็แก้แค้นคนที่ฆ่าพ่อแม่ด้วย"

จากผลงานหนังเรื่องแรก “5 หัวใจฮีโร่” เป็นไงมาไงถึงได้รับโอกาสมาเล่นในเรื่องนี้
"เรื่องนี้ก็ถือว่าทิ้งช่วงจาก Power Kids (5 หัวใจฮีโร่) พอสมควรครับ อาพันนาก็เล่าให้ฟังว่าจะทำเรื่องนี้นะ อยากให้เรามาเล่น ต้องมาประกบกับพี่เดี่ยวนะ อาพันนาก็เล่าถึงคอนเซ็ปต์ต่างๆ ฉากแอ็กชั่นที่เราต้องเจอ บอกให้เราเตรียมตัวให้พร้อม แล้วก็เพิ่มความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อ"

หลังจาก “5 หัวใจฮีโร่” เราหายไปทำอะไรมาบ้าง
"หลังจาก “5 หัวใจฮีโร่” ไปก็มีซ้อมบ้าง เรียนบ้าง แล้วก็ใช้ชีวิตประจำวันเหมือนคนธรรมดาครับ ตามประสาวัยรุ่น แต่พอรู้ว่าจะได้เล่นหนังเรื่องนี้ ก็ต้องมีเตรียมตัวมากขึ้น ต้องมีการซ้อมเป็นหลายชั่วโมงต่อวัน ก็มีทั้งแยกซ้อม มีเวิร์กช็อปการแสดงบ้าง เหมือนเป็นการซ้อมไปในตัว"

ผู้กำกับ "พันนา ฤทธิไกร" ได้ให้เราเตรียมตัวเพิ่มเติมในส่วนไหนบ้าง
"พอรู้ว่าต้องเล่นเรื่องนี้ ก็ต้องซ้อมหนักขึ้น ให้กล้ามเนื้อแข็งแกร่ง ถือว่าต้องซ้อมหนักกว่าตอนเล่นเรื่องที่แล้วมาก เพราะตอนนั้นยังเด็ก แต่เรื่องนี้เราโตขึ้นก็ต้องมีการฝึกเพิ่มการคล่องตัว เพิ่มความแข็งแรง ทั้งฟิตกล้ามเนื้อให้มันเข้าที่ คือร่างกายต้องพร้อมก่อน ถ้าร่างกายไม่พร้อมเวลาถ่ายมันก็จะเหนื่อย คือร่างกายต้องมาก่อน และที่อาพันนาเน้นเราอยู่เสมอคือเรื่องของอารมณ์ในการเล่นแอ็กชั่น เราเล่นแอ็กชั่นไม่ได้เล่นแค่เตะต่อย คือเราต้องใช้อารมณ์ข้างในออกมา เหมือนเราเล่นเป็นตัวละครอะไรเราก็เราก็ต้องสื่ออารมณ์ข้างในออกมาให้ดีที่สุด แล้วก็ใช้อารมณ์จากตรงนั้นจริงๆ ออกมาเป็นการต่อสู้ครับ"

ในเรื่องนี้ต้องออกลีลาแอ็กชั่นต่างจากเรื่องที่แล้วยังไง
"ในเรื่องของแอ็กชั่นก็ต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลยครับ เพราะเรื่องที่แล้วจะเป็นมวยไทย แต่เรื่องนี้จะเป็นศิลปะการต่อสู้ที่ไม่ได้ออกมาตามตำรา แต่จะออกมาตามองค์ประกอบโดยรอบ และสัญชาตญาณที่อยู่ในตัวเรา เรื่องนี้ก็จะเน้นเรื่องความคล่องตัว ผสมผสานกับฟรีรันนิ่ง (Free Running), มาเชียลอาร์ต (Martial Art) มาผสมผสานกันครับ ที่สำคัญคือดิบมากครับฉากต่อสู้ในเรื่องนี้"

เรื่องราวของ “เร็วทะลุเร็ว”
"เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องราวของชีวิตมือปืนที่ชื่อว่า นที (เดี่ยว ชูพงษ์) เขาต้องค้นหาความจริงว่าใครเป็นคนที่ฆ่าพ่อแม่เขา ก็เลยต้องเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงเพื่อจะรู้ว่าใครเป็นคนที่ฆ่าพ่อแม่ แล้ววันหนึ่งนทีไปเจอกับผู้หญิงคนหนึ่งก็คือพลอย (เมย์ นิศาชล) ซึ่งได้รับคำสั่งให้ไปปกป้องพลอย แต่เหมือนโดนหักหลัง ก็เลยโดนตามล่า เค้าก็เลยพาพลอยมาเจอ ธาร พวกตามล่าก็ตามมาด้วย ทีนี้ก็เลยพากันช่วยพากันหนี แล้วก็ล้างแค้นด้วย แล้วก็ช่วยกันสืบว่าใครฆ่าพ่อให้แม่ด้วย"

ในส่วนของบทบาทที่ได้รับในเรื่องนี้ลุคจะออกมาแบบไหน
"ในเรื่องนี้ก็จะโตกว่าเรื่องที่แล้วครับ ตามอายุเลย เรื่องนั้นก็ฟีลเด็กๆ แต่ว่าเรื่องนี้โตวัยรุ่นก็จะมีความคิดเป็นของตัวเอง มีความรัก มีอารมณ์ของความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น มีความสับสนทางด้านอารมณ์ อารมณ์จะคนละเรื่องกับ “5 หัวใจฮีโร่” เลย ตัวธารกับตัวผมก็มีความใกล้เคียงกันมาก การพูดการจานี่คือตัวเราเลย ถือว่าใกล้เคียงกับชีวิตเรามาก"

ความรู้สึกต่อชื่อ “พันนา ฤทธิไกร”
"ถ้าพูดถึงชื่อนี้ ผมก็นับถือเขาเป็นครูบาอาจารย์คนหนึ่ง ผมก็ดูหนังเก่าๆ ที่อาเล่นมาพอสมควร ทั้งในสมัยที่อาเล่นเองด้วย แล้วก็ที่อากำกับด้วย ดูแล้วรู้สึกตกใจกับฉากแอ็กชั่นเสี่ยงๆ ก็ถือว่าน่ากลัวครับ ในหนังสมัยก่อนยังไม่มีเซฟตี้ขนาดนี้เลย เราก็มองมาที่ตัวเราว่าเราก็ต้องเล่นให้ได้ เพราะแต่ก่อนอาลำบากยังเล่นได้เลย ก็เหมือนเป็นแรงฮึดว่าแต่ก่อนเขายังทำได้ เราก็ต้องทำให้ได้ เรามีทุกอย่างพร้อม ทั้งเซฟทั้งอะไร ผมก็เลยต้องกล้าเล่นมากขึ้น"

ได้มาเล่นหนังของปรมาจารย์คิวบู๊อันดับหนึ่งของเมืองไทย “พันนา ฤทธิไกร” รู้สึกกดดันบ้างมั้ย
"กดดันไม่มีเลยคับ มันเป็นความรู้สึกที่เราอยากจะทำมากกว่า รู้สึกอยากจะลองว่าเราจะทำได้หรือเปล่า ก็รู้สึกตื่นเต้นมากคับที่จะได้ทำในสิ่งที่เราไม่เคยทำ ก็สำหรับการได้มาร่วมงานกับอาพันนา เป็นนักแสดงภายใต้การกำกับของอาพันนา ก็รู้สึกดีใจมากซึ่ง เวลาเขาทำอะไรเค้าตั้งใจมาก จะใส่พลังให้กับการทำงาน แล้วก็นิ่งมาก บางทีเราไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่เขาพูดสื่อสารออกมาได้เข้าใจได้ง่าย คำพูดเขาทำให้เรามีพลัง ทำให้เรากล้าเล่น และตั้งใจที่จะทำมันออกมาจริงๆ บางทีฉากไหนที่เราเล่นไม่ถึง เขาก็จะบอกถึงอารมณ์ของตัวละคร เวลาเขาพูดเหมือนเขาเป็นตัวเราจริงๆ ทำให้เราอินกับคำพูดไปด้วย ทำให้เราเดินกลับไปเล่นได้"

แล้วกับการต้องมาดวลฝีมือกับนักบู๊รุ่นพี่ “เดี่ยว ชูพงษ์” รู้สึกอย่างไรบ้าง
"ตอนที่รู้อาพันนาบอกว่าจะได้มาเล่นหนังเรื่องนี้ ก็รู้สึกดีใจที่รับโอกาสอีกครั้ง เหมือนเรารอเวลาที่จะพิสูจน์ตัวเองมานาน มันเก็บกดครับอยากออกไปโชว์ฝีมือ แถมยังต้องดวลกับพี่เดี่ยวด้วย ก็รู้สึกดีใจครับ ไม่ได้เป็นกังวลอะไร เพราะก็คุ้นเคยกับพี่เดี่ยว รู้จักกันมาหลายปี ได้มาเล่นเดียวกันสักที เราก็ได้โอกาสเรียนรู้วิชาจากพี่เค้าด้วย

การร่วมงานกันก็รู้สึกสบายใจที่ได้เล่นกับพี่เดี่ยว มีอะไรก็คุยได้ทุกเรื่อง สนุกสนานดี ก็มีแหย่มีแกล้งกันบ้าง เราพูดจากันในหนังเหมือนที่พูดกันข้างนอกเลย คือเป็นพี่น้องกัน พี่เดี่ยวก็ให้คำแนะนำเยอะ เพราะตอนซ้อมพี่เดี่ยว ก็ฝึกให้ สำหรับพี่เดี่ยวตอนซ้อมบางทีเค้าก็จะให้คำแนะนำเรา แล้วก็ซ้อมให้เราด้วย ถามว่าหนักใจมั้ยถ้าต้องดวลแอ็กชั่นกันก็ไม่หนักใจครับ แต่หนักใจเวลาทำเค้า กลัวเค้าเจ็บ กลัวเค้าเป็นอะไร"

การร่วมงานกับนางเอกป้ายแดง “เมย์-นิศาชล”
"เมย์ก็เป็นคนสนุกสนาน ก็คุยกันในกองบ่อยคับ เมย์เป็นคนที่ตั้งใจเล่นมาก แล้วก็ทำออกมาได้ดี ก็มีการส่งอารมณ์บ้าง บางทีฉากโหดๆ เขาก็มีเจ็บตัว แต่ก็ทุ่มเทมาก ส่งเสียงไหวๆ ตลอด ไม่มียอมแพ้ ถือเป็นผู้หญิงที่ใจสู้คนหนึ่งครับ"

Master of Action “อาจารย์ซีฟู”
"แกเป็นคนที่แข็งแรงมาก ถ้าพูดถึงคนที่เล่นแอ็กชั่น อายุขนาดนี้ถือว่าเก่งมาก อายุตั้ง 78 ปีแล้ว ก็มีให้คำปรึกษาวุฒิบ้าง เวลาออกอาวุธท่าทางแกก็จะปรับให้มันสวยงามขึ้น และแข็งแรงขึ้น หลายคนได้เห็นอ.ซีฟูในหนัง รับรองว่าต้องทึ่งกับลีลาแอ็กชั่นของแก"

รู้สึกอย่างไรกับการถูกเทียบชั้นกับซูเปอร์สตาร์แอ็กชั่นอย่าง "จา พนม" หรือ "เดี่ยว-ชูพงษ์"
"ถามว่ากดดันมั้ย ผมไม่กดดัน เลยครับ เพราะผมไม่เคยเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร เราได้ทำสิ่งที่เรารัก เราแค่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เหมือนก้าวแรกที่เราก้าวเข้ามา คนอื่นเค้าจะมองยังไงผมว่าเป็นมุมของคนอื่นมากกว่า ผมเต็มที่กับงานของผม ก็พอแล้ว เป้าหมายเราไม่ได้วางไว้สูงมาก คือเราอยากทำตรงนี้ให้มันดีมากกว่า เดี๋ยวอนาคตจะเป็นไงก็ช่างมัน"

ทีมงานแอ็กชั่นระดับอินเตอร์ที่มารวมตัวกันเนรมิตความมันระห่ำในหนังเรื่องนี้
"กับพี่ๆ ทุกคน ก็มีความคุ้นเคยกันมาก่อนอยู่แล้ว อย่างพี่ทัช (ผู้ออกแบบคิวบู๊) ก็ทำกันมาตั้งแต่หนังเรื่องแรกของผม ก็สนิทกัน ส่วนทีมงานอื่นก็รู้จักกันมานานแล้ว ก็คุยกันง่ายในคิวต่างๆ อย่างที่พูดถึงเรื่องนี้ฉากเสี่ยงตายมีเยอะสตั๊นท์แต่ละคน เล่นนี่ใช้ใจกันล้วนๆ คือเวลาผมเล่นผมต้องขอโทษกันจริงๆ เพราะเราโดนกันจริงๆ ผมก็จะบอกว่าพี่ผมขอทีเดียวละกัน พยายามจะไม่เจ็บเยอะ ถ้าไม่มีพวกเขาก็ไม่มีฉากสวยๆ ในหนังแน่นอน"

ฉากเปิดเรื่องที่ผู้กำกับพันนาดีไซน์ลีลาแอ็กชั่นเข้ากับกีฬาฟุตบอล
"ฉากฟุตบอลแอ็กชั่น คือส่วนตัวเราชอบเล่นฟุตบอลอยู่แล้ว ก็รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เล่นและสนุกไปกับมัน มันต้องมีการพลาดต้องมีการพลั้ง ต้องมีการเจ็บกันมาก เล่นกับพี่เดี่ยวก็มีผิดคิวกันเล็กน้อย ในวันแรกที่ถ่ายกับฝุ่น ส่วนน้ำก็ถือว่ายาก เพราะเวลาน้ำเจอเสื้อผ้ามันก็หนัก ทำให้ความคล่องตัวของเราลดลง การเล่นกับลูกบอลความยากมันก็มี แล้วก็รู้สึกสนุกมาก อย่างไฟ ก็เอาถ่านเผาไฟแล้วก็เอามาโปรยให้เราเล่น ก็ทั้งร้อน ก็พองกันไป ถือว่าสนุกแล้วก็เหนื่อยมาก ถือเป็นฉากแรกที่เปิดตัวเรื่องราวในหนังด้วย คือทีมงานดีไซน์ออกมาได้สวยงามมาก ต้องไปดูกันในหนัง"

ฉากที่เราต้องต่อสู้บนรถไฟที่ถือว่าเป็นฉากที่เสี่ยงและอันตรายมาก
"ก็ถ่ายกันห้าวันเต็มๆ ถือว่าร้อนมาก เพราะช่วงนั้นถ่ายกันหน้าร้อน ทีมงานตัวไหม้กันเป็นแถว ฉากนี้ก็เจ็บตัวกันพอสมควรเพราะทุ่มเทกันมาก มีบางช็อตที่เราต้องถีบพี่ๆ สตั๊นท์ตกลงมา ก็นับถือใจพวกพี่ๆ สตั๊นท์ที่ยอมร่วงลงมาจากรถไฟกันจริงๆ ความยากอยู่ที่คือพื้นที่มันแคบ แล้วพื้นที่มันจำกัดแล้วก็สูงด้วย ก็จะเกิดความระแวงในตัวของมันเอง มันทำให้ความกล้ามันหายไป ไม่เหมือนเล่นบนพื้นปกติ การดีไซน์ท่าก็ต้องอยู่ในพื้นที่ที่จำกัด แต่ว่าออกแบบมาแล้วก็สวยงาม ลองไปดูกันครับ"

ฉากที่ต้องสู้กับคู่ต่อสู้แล้วตกลงมาจากตึกสี่ชั้น
"ฉากนี้เป็นฉากที่ต้องสู้กันทะลุตึกลงมาสี่ชั้น ความยากก็พอสมควร เพราตึกค่อนข้างสูง ก็มีเสียวๆบ้าง แต่ก่อนหน้านั้นได้ซ้อมกันแล้ว ช่วงเช้าพี่ทัช(ออกแบบคิวบู๊)ก็ให้ซ้อมกัน ให้อยู่ระดับความสูงจริงๆ แล้วปล่อยลงมา ปล่อยขึ้นปล่อยลงให้เราคุ้นความรู้สึก แล้วค่อยเอาจริง แต่ว่าพอมาเล่นจริงก็จะยากไปอีกแบบ เพราะเราต้องกะระยะที่เราจะกระทืบคู่ต่อสู้ลงมา พอถึงพื้นก็ต้องยืดขาออก เพราะถ้าเราค้างขาไว้ พี่ที่สู้กับเราก็จะอันตรายมาก จังหวะที่เท้าลงก็เลยพลิก สรุปก็เอ็นข้อเท้าฉีกเลย"

ความมันระห่ำใน “เร็วทะลุเร็ว”
"วุฒิว่ามันมีความมันของการไล่ล่าเยอะพอสมควร แล้วคิวเสี่ยงต่างๆ ก็จะเยอะมาก ฉากเสี่ยงๆ ก็จะเล่นเองหมด จะมีฉากบนรถไฟ แล้วก็ฉากระเบิดตึก ฉากตกตึก ฉากรถชน คือมันเยอะไปหมด ถือว่ามีความใหม่แตกต่างจากหนังเรื่องอื่นๆ พอสมควร เร็วทะลุเร็วเป็นหนังแอ็กชั่นที่ หนักแล้วก็ดิบ แล้วก็เต็มไปด้วยฉากเสี่ยงตาย แล้วก็ถือว่าเป็นคิวที่ยังไม่เคยเห็นที่ไหนมาก้อน เพราะว่าตรงนี้มันเป็นเสน่ห์ของหนัง ก็ฝากหนังเรื่อง “เร็วทะลุเร็ว” ด้วยนะครับ ทีมงานของพวกเราตั้งใจทำกันจริงๆ 13 พฤศจิกานี้ได้ดูแน่นอนครับ"

ตัวอย่างภาพยนต์










กำลังโหลดความคิดเห็น