พราว ตอนที่ 6
สมชายยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ ทำท่าเหมือนจะจูบพราว แต่กลับยื่นหน้าเฉียดข้างหูผ่านหน้าของเธอไปที่เคาน์เตอร์ข้างหลังโซฟา แล้วหยิบผ้ายืดพันข้อเคล็ดที่วางอยู่มา
“โทษทีนะ ผมไม่ชอบยึดติดกับความหลัง”
พูดพลางนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งลง วางยาลงที่พื้นตรงหน้าพราวที่นั่งอยู่ เธอสวนคืนอย่างเจ็บใจ
“เหมือนกันเลย ฉันก็ไม่ชอบนึกถึงความหลัง เพราะมันตอกย้ำว่าฉันทำพลาดไปแล้ว พลาดที่ไปอัมพวาแล้วเจอคุณ”
สมชายยิ้มขำ พลางคว้าข้อเท้าพราวข้างที่พลิกขึ้นยกแล้วบิดดึงเส้นกลับให้
“อ๊าย ฉันเจ็บนะ”
“ผมดึงเส้นให้กลับเข้าที่แล้ว”
จากนั้นก็ใช้ยาทาคลายเส้นให้ แล้วก็ใช้ผ้ายืดพันข้อให้อย่างชำนาญ
สุดเขตต์ยังคงค้างคาใจเรื่องของพราว เมื่อหวนนึกถึงตอนที่แฟรงค์หยิบโทรศัพท์รุ่นแพงของเธอขึ้นมา พลางเปรียบเทียบกับตอนที่เขาแห็นมีนใช้มือถือราคาถูกรับสายแฟรงค์ โดยเฉพาะแววตาของทั้งคู่ที่แตกต่างกัน คนหนึ่งแข็งกร้าว มั่นใจ ขณะที่อีกคนนุ่มนวลอ่อนโยน เขาเริ่มมั่นใจขึ้นมาว่าพราวกับมีน ต้องเป็นคนละคนกันแน่ๆ
“คนเราหน้าตาอาจจะเหมือนกันได้ แต่แววตาไม่มีทางจะเหมือนกันเด็ดขาด”
ทางด้านพราวก็อดไม่ได้ที่จะซึ้งใจกับทีท่าของสมชาย ที่แอบซ่อนความเป็นสุภาพบุรุษไว้ภายใต้ความห่าม และดูเหมือนเขาจะอ่านใจเธอออก
“ไม่ต้องซึ้งหรอกนะ ที่ผมทำไปเนี่ยะ เพื่อมนุษยธรรม”
“มนุษยธรรม ฉันอนาถามากเลยเหรอ”
พราวทำตาเขียวใส่ แต่สมชายทำเป็นไม่สน
“เรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณในวันนี้ ผมจะรายงานผู้กำกับสหวุฒิที่ทำคดีคุณให้”
“คุณกลับมาทำงานเป็นตำรวจอย่างเดิมแล้วเหรอ?”
สมชายย้อนกลับ “ทีคุณยังกลับมาเป็นดาราอย่างเดิมได้เลย อะไรๆมันก็กลับมาได้ทั้งนั้น ยกเว้นอยู่เรื่องนึงที่กลับมาไม่ได้ คือเรื่องของเรา”
พราวชะงักไป ก่อนจะยักไหล่ทำเป็นไม่แคร์
“เหรอ ฉันไม่เคยคิดว่ามีเรื่องของเราด้วยซ้ำไป”
คราวนี้เป็นสมชาย ที่เป็นฝ่ายชะงักไปบ้าง
“ไม่คิดก็ดี จะได้มีพื้นที่ในสมองไว้คิดเรื่องไร้สาระอย่างอื่น
จากนั้นก็ขอดูแผลที่ถูกช็อต พราวพลิกตัวให้ดูแผลที่เอวด้านหลัง เห็นแผลบวมแดงและเริ่มมีรอยไหม้
“เดี๋ยวผมจะทายาให้นะ ถ้ากลัวเนื้อหนังจะเสียโฉม กลับไปก็ไปหาหมอซะ”
“ฉันไม่สนใจเรื่องเสียโฉมหรอก แต่ที่ฉันอยากรู้คือ ฉันโดนอะไร?”
สมชายรู้ว่าเป็นเครื่องช็อตไฟฟ้า แต่ไม่อยากบอกให้ตกใจ จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง
“แล้วตอนนี้คุณรู้สึกเป็นยังไงบ้าง ?”
“รู้สึกมึนๆ ชาๆ งงๆ ไม่มีแรง ยังไงบอกไม่ถูก”
สมชายหยิบยาพารา 2 เม็ดจากขวดยื่นให้ จากนั้นก็ หยิบน้ำขวดเล็กมาวางบนโต๊ะให้ แล้วเดินผละไป
พราวนั่งมองตามอย่างเจ็บใจที่เขาทำเหมือนไม่เห็นเธออยู่ในสายตาเลย
สมชายผละออกมาด้านหน้าบ้าน ก่อนจะกดมือถือโทร. หาสหวุฒิ แล้วรีบเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง ก่อนจะรีบสรุป
“เรื่องไอ้เจ๋งผมจะแกะรอยตามจับตัวให้เร็วที่สุด ส่วนเรื่องคุณพราว วันนี้ผมมั่นใจว่ามีคนใช้เครื่องช็อตไฟฟ้าช็อตเค้าด้วย อาจเป็นคนเดียวกับที่แอบเอาน้ำกรดใส่ขวดน้ำให้เค้ากิน สารวัตรติดต่อขอคุยกับคุณพราวเอาเองนะครับ แค่นี้นะครับ”
สมชายกดวางสาย แต่กลับมีอีกสายที่ไม่คุ้นเบอร์โทร. สวนกลับมาทันที
“ฮัลโหล หวัดดีครับ ?”
“ขอสายคุณพราวครับ” ติณห์ที่ยืนอยู่กับพวกแฟรงค์ ตอบกลับมาทางปลายสาย
“นั่นใครพูด ?”
“ผมติณห์ครับ”
สมชายขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ
“คุณรู้เบอร์โทรผมได้ยังไง ผมไม่เคยให้เบอร์โทรกับใครพร่ำเพรื่อ คุณไปเอามาจากไหน ?”
ติณห์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“ขอโทษนะครับ ถ้าผมละลาบละล้วงเบอร์ส่วนตัวของคุณ แต่ผมจำเป็นต้องขอมาจากคุณแม่คุณจริงๆ เพราะผมเป็นห่วงความปลอดภัยของคุณพราว”
สมชายยิ่งไม่พอใจ “แปลว่าคุณไปข่มขู่เอาจากแม่ผมที่อัมพวา?”
“ผมไม่ได้ข่มขู่ครับ”
“ถ้าคุณไม่ข่มขู่ ให้ตาย แม่ผมไม่มีทางบอกเบอร์โทรของผมกับใครเด็ดขาด เพราะแม่เป็นห่วงความปลอดภัยของผมเหมือนกัน”
ติณห์อธิบายอย่างใจเย็น
“ผมยืนยันว่าผมไม่ได้ข่มขู่ ผมขอร้องคุณแม่คุณดีๆ ขอร้องอยู่นานมาก จนคุณพราวหายตัวไปหลายชั่วโมงแล้ว กว่าผมจะได้เบอร์ โทรมาหาคุณ คุณพราวอยู่ไหนครับ ขอผมคุยด้วยหน่อย”
สมชายพยายามข่มอารมณ์ไม่พอใจ “ไม่ต้องคุยหรอกครับ รีบมารับกลับไปเดี๋ยวนี้เลย”
สมชายเดินกลับเข้าประตูระเบียงมาในบ้านด้วยอารมณ์หงุดหงิด ก่อนจะพบว่าพราวหลับผล็อยคอตก
คาโซฟา ด้วยความอ่อนเพลีย
“นี่น่ะเหรอ ซูเปอร์สตาร์ นั่งคอหักเหมือนไก่เชงเม้ง ดูไม่ได้เลย”
เมื่อเห็นสภาพของพราว อารมณ์ของเขาก็เริ่มเย็นลง ก่อนจะเข้าไปช่วยประคองให้เธอนอนเหยียดยาวสบายๆที่โซฟา พร้อมทั้งหยิบหมอนอิงมาหนุนหัวให้ ขณะที่อดไม่ได้ที่จะนั่งมองหน้าเธออย่างไม่อาจละสายตาได้ แต่แล้วก็กลับดึงความรู้สึกกลับคืนมา
เขาไม่ได้รู้สึกว่าต่ำต้อยที่จะรักเธอ เพราะหยิ่งยโสในตัวเองเสมอ แต่คิดว่าเขากับเธอไม่มีทางจะมาบรรจบร่วมทางกันได้มากกว่า
ส้มจี๊ดกับจันทร์จรีนัดพบกันเพื่อรายการเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพราว จันทร์จรียืนยันว่าเธอได้ยินจากปากติณห์ว่าพราวหายตัวไป แต่ส้มจี๊ดกลับบอกว่าเธอเห็นมีใครคนหนึ่งคว้าตัวพราวพาวิ่งออกไป
“ไม่ใช่ดารา ไม่ใช่นักข่าว แต่งตัวก็ไม่เหมือนบอดี้การ์ดในงานเลย”
จันทร์จรีรีบย้อนถาม ”พี่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลยเหรอ ?”
“ไม่รู้ซิ แต่ถ้าเห็นหน้าอีกที พี่จำได้แน่”
พราวที่หลับอยู่ตื่นลืมตาขึ้นมองด้วยรอยยิ้ม มือทั้ง 2 จับแขนสมชายที่ปลุกเธอไว้แน่น แต่เมื่อมองชัดๆ กลับกลายเป็นติณห์ที่เป็นคนปลุกเธอ
“เป็นยังไงบ้างครับคุณพราว? ผมมารับคุณกลับบ้าน”
“แค่ขาพลิกนิดหน่อยค่ะ ไม่เป็นไรมาก”
พราวพูดพลางยันตัวจะลุกขึ้น แต่ติณห์ดึงตัวเธอมากอดไว้แนบอก แฟรงค์ยืนถือกระเป๋าหรูอยู่ด้านหลัง ยิ้มปลื้มปริ่มที่เห็นติณห์ห่วงใยพราว ขณะที่พราวเองก็ไม่เป็นอะไรมาก
สมชายเดินเข้าประตูระเบียงมาต้องชะงักเมื่อเห็นภาพติณห์กำลังกอดพราว รู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมา แต่เมื่อติณห์ตวัดสายตามองมา เขาก็รีบทำเป็นไม่แยแส เดินไปเปิดตู้เย็นหยิบนำอัดลมกระป๋องออกมาเปิดดื่ม
“เจอกันแล้ว ก็รีบพากลับไปพักผ่อนซิครับ ไปปลอบโยนกันต่อที่บ้าน ผมจะได้พักบ้าง”
พราวผละออกจากอกติณห์ หันมามองหน้าสมชายอย่างหมั่นไส้ พลางแกล้งพูดอ้อนติณห์
“พราวก็ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วค่ะคุณติณห์ มันอึดอัด เหม็นสาปยังไงก็ไม่รู้”
สมชายแอบเบ้ปาก ติณห์พยุงพราวลุกขึ้น เดินเขยกไป แต่ไม่วายหันมาร่ำลาตามมารยาท
“ผมกลับก่อนนะครับ ขอบคุณที่ช่วยดูแลคุณพราวแทนผม”
สมชายยักไหล่ “ผมก็แค่ทำตามหน้าที่ตำรวจน่ะครับ ไม่ได้รู้สึกว่าพิเศษอะไร”
พราวมองเขาอย่างเจ็บใจ
“รีบไปเถอะค่ะคุณติณห์ พราวไม่อยากอยู่ที่นี่ให้นานไปกว่านี้”
ติณห์รีบพยุงพาพราวออกจากบ้าน เหลือแฟรงค์ยืนมองสมชายอย่างงงๆ
“มีอะไรอีกเหรอครับคุณแฟรงค์ผู้จัดการดาราคนดัง?”
“เปล่า แค่สงสัยนิดส์นุง ว่าทำไมคุณถึงโผล่ไปที่ห้างช่วยพราวได้”
สมชายเดินมาทิ้งตัวลงนั่งเอกเขนกที่โซฟา แล้วตอบกลับไปแบบกวนๆ
“นั่นน่ะซินะ ทำไมต้องเป็นผมทุกทีสิน่า คงเป็นเรื่องเวรกรรมมั้งครับ”
สมชายแอบยืนแหวกผ้าม่านมองภาพพราวกับติณห์ เห็นเธอขึ้นไปนั่งบนรถแล้วหันมามองที่บ้าน เขาก็รีบปล่อยผ้าม่านหลบ
พราวนึกน้อยใจ ที่ไม่เห็นแม้แต่หน้าเขาโผล่ออกมามอง ก่อนจะหันหน้าเมินอย่างมีทิฐิ พลางหันมาเห็นติณห์มองอยู่ ก็ฝืนยิ้มหวานให้เพื่อกลบเกลื่อน
ติณห์ยิ้มตอบ เขารู้ว่าพราวกับสมชายแอบมีใจให้กัน แต่ไม่เข้าใจกัน แต่ก็เสแสร้งว่าไม่รู้เรื่อง เพราะตั้งใจว่าจะต้องแยกพราวให้ขาดจากสมชายให้ได้ เพื่อไม่ให้สมชายมาขัดขวางแผนการของเขา
“ตะกี้ผู้กำกับสหวุฒิโทรมาหาพี่ บอกว่าจะเข้ามาขอปากคำจากหนู เพราะอีตาสารวัตรสมชายแจ้งไปว่าหนูถูกช็อตด้วยเครื่องช็อตไฟฟ้า มันยังไงกันหนู?”
แฟรงค์ถามพราวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ต่อหน้าติณห์ และเอมี่
ติณห์แกล้งทำสีหน้าตะลึง ขณะที่พราวแปลกใจ
“เรื่องถูกช็อตน่ะใช่ แต่ด้วยอะไรพราวไม่รู้”
แฟรงค์ทำท่าเหมือนหัวใจจะวาย
“แม่เจ้า นี่เรื่องจริงเหรอเนี่ยะ พี่คิดว่าที่หนูร่วงลงไป หนูเป็นลมซะอีก”
ติณห์แกล้งทำทีเป็นห่วงใย
“แล้วทำไมคุณพราวไม่ร้องตะโกนให้ใครช่วยล่ะครับ เรื่องใหญ่ขนาดนี้”
“มันเกิดขึ้นเร็วมากค่ะ ตอนคนกำลังเบียดเข้ามา พอถูกช็อตพราวก็ชาไปหมดทั้งตัว หมดแรง พูดอะไรไม่ออก ดีที่มันช็อตพราวได้แป๊บเดียว”
ติณห์รีบทำเป็นถามต่ออย่างร้อนใจ “คุณพราวครับ แล้วคุณเห็นหน้าคนที่ทำรึเปล่า? หน้าตามันเป็นยังไง ผู้หญิงหรือผู้ชาย สูงต่ำ ดำขาว”
พราวส่ายหน้า “ไม่เห็นค่ะ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันช็อตพราวด้วยเครื่องช็อตไฟฟ้า แล้วทำไมตอนที่อยู่ที่บ้าน นายสมชายถึงไม่บอกพราว”
แฟรงค์ทำท่าเสียวไส้
“ตาสมชายคงกลัวว่าหนูจะตกใจมั้ง ถ้ารู้ว่าเป็นเครื่องช็อตไฟฟ้า”
“มีอะไรที่ต้องตกใจอีกเหรอพี่แฟรงค์ คราวก่อนน้ำกรด คราวนี้เครื่องช็อตไฟฟ้า คราวต่อไปจะเป็นอะไรอีกล่ะ อาจจะเป็นปืนก็ได้”
“ว้าย คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้งหนู”
ติณห์ยื่นมือไปจับมือพราวปลอบโยน “นั่นซิครับ คุณพราวทำใจให้สบายดีกว่า รอให้ตำรวจมาจัดการ”
พราวหน้าเครียด
“นี่พราวก็รอมานานแล้วนะคะ ตำรวจยังจับมือใครดมไม่ได้เลย คนที่ปองร้ายพราว ก็คงจะย่ามใจ ลงมืออีกแน่ ขอบคุณมากนะคะคุณติณห์ ที่เป็นห่วงพราว พราวขอไปพักก่อนนะคะ”
พราวลุกพรวดเดินกะเผลกไปอย่างเครียดๆ ติณห์รีบขอตัวลากลับ พร้อมกับซ่อนความดีใจเอาไว้ที่ทำให้พราวอยู่อย่างไม่มีความสุขได้
“พี่ขอโทษนะพราว พี่สัญญาแล้วว่าจะดูแลเทคแคร์หนูให้ดีกว่าเดิม แต่พี่ก็ทำพลาดอีกแล้ว ปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นอีกจนได้”
แฟรงค์กับเอมี่ตามเข้ามาขอโทษพราวถึงในห้องนอน
“พราวไม่ได้โทษพี่เลยนะ”
“แต่พี่โทษตัวเอง พี่น่าจะเขี้ยวกับทางห้างให้จัดหาทีมมาอารักขาหนู แล้วหนูแน่ใจเหรอพราว ว่าจะไม่ไปหาหมอ ให้ดูขากับแผลที่หลังหน่อย”
“เอาไว้พรุ่งนี้ก็แล้วกันนะพี่แฟรงค์ วันนี้พราวหมดพลังจะทำอะไรอีกแล้ว”
พราวกอดหมอนอย่างเบื่อๆ พลางเหลือบสายตาไปเห็นกล่องของขวัญของประเสริฐวางอยู่
“ในกล่องนั่นมีอะไรนะ? ไหนเอามาซิ”
เอมี่หยิบกล่องมาแล้วโยนให้ พราวรับมาแกะกล่องออกดู แล้วก็ทำจมูกฟุตฟิตเมื่อแกะกระดาษห่อของขวัญออกหมดแล้ว เหลือแต่กล่องด้านใน พอเปิดกล่องข้างในออกดู ก็แทบช็อก เมื่อเห็นขาไก่ทอดทาเล็บสีแดง ใส่แหวนพลอยไว้ที่นิ้ว
พราวร้องลั่น พร้อมกับรีบโยนกล่องทิ้ง แฟรงค์กับเอมี่พลอยตกใจ เมื่อเห็นขาไก่ใส่แหวนกลิ้งออกจากกล่อง
ประเสริฐกำลังเอารูปของพราวที่ถ่ายได้จากงานพรีเซ็นเตอร์ในห้างมาแปะติดเพิ่มบนฝาในห้องนอนหลายรูป ก่อนที่จะยิ้มกับรูปของพราวอย่างมีความสุข ราวกับตกอยู่ในความฝัน
“ป่านนี้พราวจะแกะของขวัญดูหรือยัง พราว คุณเห็นแหวนแล้วใช่ไหม คุณชอบแหวนของผมไหม แหวนของผมที่อยู่บนนิ้วเรียวๆ เหมือนขาไก่ของคุณ ผมจะแต่งงานกับคุณ พราว I love you forever”
ประเสริฐหลับตาพริ้ม ก่อนจะยื่นหน้าไปบรรจงจูบที่รูปพราวอย่างใหลหลง
สุดเขตต์นั่งเอนหลับขาเหยียดยาวไปที่เก้าอี้อีกตัวอยู่หน้าจอคอมฯ ที่เปิดภาพของพราวค้างไว้ พอรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นส้มจี๊ดนั่งอยู่บนโต๊ะ
“ฉันมีอะไรจะถาม”
“ทีหลังแกโทรมาก็ได้”
“ฉันอยากเห็นหน้าแก”
ส้มจี๊ดหลุกปาก แล้วก็รีบหลบตา แต่สุดเขตต์ไมทันเอะใจ
“แกได้ถ่ายรูปผู้ชายที่พาตัวยัยพราวออกไปตอนชุลมุนที่ห้างบ้างไหม?”
สุดเขตต์อึกอัก ไม่อยากให้ส้มจี๊ดรู้เรื่องสมชาย เพราะพราวจะเดือดร้อนแน่ จึงรีบปฏิเสธ
“ ก็คงเป็นบอดี้การ์ดที่ทางห้างเค้าจัดมาอารักขาคุณพราวนั่นแหละ ถามอะไร ไร้สาระ ทีหลังเชื่อฉัน โทร.มาก็แล้วกัน ฉันเสียดายค่าน้ำมันรถแก”
สุดเขตต์มองไปที่นาฬิกา เห็นเป็นเวลา 2 ทุ่ม ก็รีบคว้ากล้องกับกุญแจรถออกไป ส้มจี๊ดโวยวายึ้นมาทันที“อ้าว ไอ้นี่ แกจะไปไหน ไอ้สุดเขตต์ ฉันอุตส่าห์มาหานะ แกจะทิ้งฉันไว้อย่างงี้เหรอ”
ที่บรรยากาศตลาดนัดข้างสะพานพุทธ ที่เต็มไปด้วยแผงขายสินค้าราคาถูกและมือ 2 มีนกำลังเอาเสื้อใส่ถุง ก่อนจะหยิบเงินทอนให้ลูกค้า
“ขอบคุณมากค่ะพี่ แล้วแวะดูอีกนะ”
พอลูกค้าเดินออกไป มีนก็ถึงกับชะงัก เมื่อมองไปเห็นสุดเขตต์เดินถ่ายรูปบรรยากาศตลาดนัดยามค่ำคืนอยู่ไกลๆ
“คุณนักข่าวนี่ เกิดเค้าเห็นเราเข้า จำได้ขึ้นมา พี่แฟรงค์กับคุณพราวต้องเดือดร้อนแน่ๆ”
มีนห่วงคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ เธอยืนหันรีหันขวาง จะหลบไปไหนก็ไม่ได้ เลยรีบหันไปคว้าหมวก แว่นตาผ้าพันคอที่ขายอยู่ในร้านมาใส่เพื่อปลอมตัว จนเขาเดินมาหยุดที่หน้าแผงเสื้อ เธอรีบแกล้งทำเป็นยืนหันหลังจัดเสื้อผ้าที่แขวนขายอยู่
สุดเขตต์ยกกล้องมาด้านมีนจากด้านหลัง ก่อนจะเดินเลยเข้ามาหยิบเสื้อตัวหนึ่งมาดู
“ตัวเท่าไหร่ครับเนี่ยะ?”
“ตัวนั้นเหลือแต่ไซซ์เล็กแล้วค่ะ คุณใส่ไม่ได้หรอก”
พราวตอบอู้อี้อยู่ในผ้าพันคอ สุดเขตต์เหลียวมามองอย่างขำๆ
“ไม่ร้อนเหรอครับนั่น”
“ร้อนซิ เอ่อ แต่เป็นหวัดน่ะ ไม่สบาย เดี๋ยวติดคนอื่น”
พูดพลางทำทีเป็นไอโขลก แล้วก็ทำจมูกฟึดฟัด สุดเขตต์เลยไม่ใส่ใจ เดินออกจากร้านไป
มีนค่อยๆแอบหันไปดู พลางเป่าปากอย่างโล่งอก
สุดเขตต์เดินถือกล้องถ่ายโน่นถ่ายนี่ไปเรื่อย ผ่านวัยรุ่นขี้ยา 2 คนที่เดินสวนมา มันทั้งคู่หันมามองหน้ากันพลางเดินกลับตามหลังเขาไป
มีนมองเห็นท่าทางของวัยรุ่นขี้ยา ก็ตกใจ เป็นห่วงสุดเขตต์
สุดเขตต์เดินจนมาสุดทาง ห่างร้านขายของ มีแต่แม่น้ำกับตรอกซอกซอยชุมชนมืดๆ จากนั้นก็ยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปอยู่ที่ริมเจ้าพระยาที่ค่อนข้างมืดสลัว ในมุมต่างๆ อย่างที่เขาชอบ
2 วัยรุ่นขี้ยาเดินใกล้เขาเข้ามาทุกขณะ
จนกระทั่งสุดเขตต์ถ่ายภาพเสร็จ หันมาก็เจอขี้ยาทั้ง 2 ยืนอยู่ เขานึกรู้ทันทีว่าภัยมาถึงตัว จึงจะเดินเบี่ยงตัวหลบพวกมันไป แต่ขี้ยาคนหนึ่งกลับชักมีดออกมาขู่
“มึงหนี มึงตาย”
สุดเขตต์ชะงักมองมีดที่สะท้อนแสงแวววับอยู่ในความมืด ขี้ยาอีกคนรีบสั่ง
“เอากล้องกับเป๋าตังค์มึงมา แล้วกูจะปล่อยมึงไป”
สุดเขตต์ยืนนิ่ง พยายามคิดหาทางว่าจะทำไงดี เพราะเขามีแค่มือเปล่าๆ ก่อนจะทำทีเป็นยอม จะยื่นกล้องให้ อีกมือก็ทำเป็นจะล้วงกระเป๋ากางเกงจะหยิบกระเป๋าสตางค์ แล้วก็กลับกำหมัดมือข้างที่ล้วงกระเป๋าตวัดต่อยเข้าหน้ามันคนหนึ่งอย่างเร็ว จนมันเซล้มไป
อีกคนรีบจ้วงมีด จะแทงเข้ามาที่ท้อง สุดเขตต์ผงะตัวหลบคมมีดไปได้แค่คืบ มันปรี่เข้าแทงซ้ำ
ขณะที่พวกมันรุมทำร้ายเขา มีนก็วิ่งเงื้อไม้เข้ามาฟาดไปท้ายทอยของพวกมันคนหนึ่งอย่างแรง จนมันล้มกลิ้งลงไปไปกับพื้น
ส่วนอีกคนก็กำลังกดมีดจะแทงลงมา สุดเขตต์ดันมือมันไว้ มีนรีบเข้ามาพร้อมทั้งเงื้อไม้ฟาดไปที่หลังมันจนมันทรุดตามลงไปอีกคน
พราว ตอนที่ 6 (ต่อ)
มีนที่ยืนดูไม่ทันระวัง โดนไอ้คนแรก ที่ลุกขึ้นมาได้ กำหมัดฟาดไปที่หัวเต็มแรง จนหมวกที่ใส่หลุด
สุดเขตต์หันมาเห็นว่าคนที่เข้ามาช่วยเขากำลังแย่ ก็ปรี่กลับเข้ามาช่วย
“ส่งไม้มา”
สุดเขตต์ตะโกนไป มีนโยนไม้ให้อย่างฉับไว พร้อมกับก้มลงกัดแขนไอ้คนที่ล็อกคอเธอไว้ จนมันต้องรีบปล่อยแขนที่ล็อกคอเธออยู่
สุดเขตต์เงื้อไม้ฟาดเสยเข้าหน้ามัน แล้วก็ฟาดซ้ำไม่ยั้ง จนมันหันวิ่งหนีไป อีกคนเห็นท่าไม่ดี เลยรีบวิ่งตาม หายไปในความมืดอย่างรวดเร็วทั้งคู่
สุดเขตต์ปาดเลือดที่มุมปาก หันมาทางจะขอบคุณ แต่กลับเห็นเธอกำลังเดินลิ่วไป เขารีบวิ่งตามมาคว้าไหล่ด้านหลังไว้
“เดี๋ยวซิครับ อย่าเพิ่งไป”
มีนหยุดยืนอย่างตกใจ เพราะหมวกก็ร่วงไปแล้ว จึงรีบก้มหน้าหลบ
“คุณเป็นไรรึเปล่าครับ หรือว่าคุณบาดเจ็บตรงไหน ให้ผมดูหน่อยซีครับ”
สุดเขตต์ปรี่เข้ามาใกล้ มีนรีบเงยหน้าขึ้นพร้อมกับมือปิดแก้มข้างขวาไว้ เพื่อให้เขาเห็นแต่ด้านที่เป็นปานแดง
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ แค่โดนมันตบ”
สุดเขตต์ผงะไป เมื่อเห็นหน้ามีปานของเธอ มีนฉวยโอกาสที่เขามัวแต่ตะลึง รีบวิ่งหนีไปทันที เขาพยายามวิ่งตามหา แต่กลับไม่เจอ
มีนโผล่มาจากด้านหลังร้านๆ หนึ่ง แอบมองมาที่สุดเขตต์ รู้สึกดีที่ช่วยเขาให้ปลอดภัย ตอบแทนที่เขาเคยช่วยเหลือเธอในคราบพราวไว้ถึง 2 ครั้ ง2 ครา
มีนเดินกลับมาที่แผงขายเสื้อผ้าที่ทิ้งไป ก็เจอเอากับยายเจ๊เจ้าของร้านยืนเท้าเอว รอด่าอยู่หน้าร้าน มีนรีบขอโทษขอโพยเสียงสั่น เจ๊ไม่ฟังเสียง ออกปากไล่เธอออก
“ฉันไม่จ้างแกขายแล้ว เอาเงินที่ขายได้คืนนี้มาให้หมด”
มีนหน้าซีด รีบพูดอ้อนวอน
“เจ๊ ให้หนูทำงานต่อเถอะนะ หนูสัญญาหนูจะตั้งใจ หนูจะไม่ทิ้งร้าน”
“ไม่ต้องมาพูด หนวกหู บอกให้เอาเงินมา เอามาซิ”
มีนรีบถอดกระเป๋าเงินเล็กๆที่คล้องคอไว้ส่งให้ ยายเจ๊กระชากไปจากมือ
“แกอมเงินฉันไปบ้างรึปล่าวห่ะอีปาน?”
“เจ๊เช็คดูได้ หนูขายได้กี่ตัว หนูลงบัญชีไว้ในสมุดนั่นหมด ถ้าไม่เชื่อ เจ๊ก็นับเสื้อในแผงดูก็ได้”
ยายเจ๊มองมีนอย่างรังเกียจ
“แกไม่ต้องมาปากดีเลยอีปาน เอาเงินนี่ไป ฉันทำบุญทำทานให้แกแค่นี้ ไป๊”
พูดพลางโยนเงินให้ 100 บาท
“ขอบใจนะเจ๊ แต่หนูอยากได้เงินทำงาน ไม่ใช่เงินทำทาน”
พูดจบ มีนก็หันเดินผละมา สุดเขตต์เดินผ่านมา เห็นคนกำลังมุมดูอะไรอยู่ เลยเดินตรงเข้าไปดู แต่พอเดินแหวกไทยมุงเข้าไป มีนก็เดินหายไปแล้ว
พราวนั่งหน้าเครียด เพราะทั้งวันเจอแต่เรื่องหนักๆ ทั้งโดนช็อตไฟฟ้า ซ้ำยังมาเจอขาไก่ใส่แหวนอีก พอแฟรงค์กับเอมี่เปิดประตูห้องผัวะเข้ามา เธอจึงถึงกับสะดุ้งผวา
“ไม่ต้องตกใจจ้ะพราว พี่เอง ไม่มีอะไรแล้วจ้ะ พี่ให้นังต้อยติ่งเก็บขาไก่ใส่แหวนไว้ให้ตำรวจเค้าดูพรุ่งนี้แล้ว”
พราวยังผวาไม่หาย
“พราวไปทำอะไรให้ใครชีวิตของพราวถึงถูกคุกคามขนาดงี้ แปลว่านอกจากไอ้คนที่ใช้เครื่องช็อตไฟฟ้าช็อตพราวแล้ว ยังมีแฟนคลับโรคจิตตามพราวอีกเหรอ ? แล้วพราวจะอยู่ได้ยังไงพี่แฟรงค์ พราวจะทำงานได้ยังไง มันระแวงไปหมด พราวรับสภาพนี้ไม่ไหวหรอก พราวต้องเป็นบ้าแน่ๆ”
“อย่าบอกนะ ว่าเธอจะหนีอีก”
เอมี่รีบทัก แฟรงค์ตกใจแทบกรี๊ด
“ไม่เอานะพราว อย่าแก้ปัญหาด้วยการหนีอีก อยู่ห่างอกพี่ หนูอาจจะเจอเรื่องที่มันเลวร้ายมากกว่า พี่เป็นห่วงหนูนะ”
“พราวไม่หนีก็ได้ค่ะ แต่พี่แฟรงค์ต้องช่วยพราว”
พราวนิ่งคิดไปชั่วครู่ สีหน้าบ่งบอกว่าตัดสินใจดีแล้ว
“พราวต้องการสแตนด์อิน”
พออยู่ด้วยกันตามลำพัง เอมี่ก็บอกกับแฟรงค์อย่างไม่ค่อยมั่นใจ
“ฉันกลัวว่ามันจะไม่ง่ายอย่างที่ผ่านๆมาน่ะซิเจ๊ ก็คราวที่แล้ว พราวเป็นคนพูดกับมีนเองว่า พราวกลับมาแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้สแตนด์อินอีก แถมทำเหมือนเอาเงินฟาดหัว มีนคงไม่พอใจ ถึงไม่ยอมรับเงินสักสตางค์แดงเดียว”
“หล่อนมโนว่ามีนอาจจะไม่ยอมรับงานปลอมตัวเป็นพราวอีกงั้นเหรอยะ?” แฟรงค์ย้อนถาม
“ ฉันอาจจะคิดมากไปเองก็ได้เจ๊”
“ก็นั่นน่ะซิ แต่ถึงมีนจะไม่ยอม ฉันต้องมีวิธีจัดการได้ซิน่า”
แฟรงค์ยิ้มออกเมื่อนึกไปถึงของขวัญมากมายที่ได้มาจากแฟนคลับของพราว
“แฟรงค์คิดออกแล้ว”
มีนลืมตาตื่นขึ้นมา พลางค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียง ด้วยอาการเจ็บระบมตรงหัวด้านหลัง พาลทำให้มีอาการโรคประจำตัวกำเริบตาม เธอรีบหันไปคว้าเป้ หยิบขวดยาออกมาดู แต่กลับไม่เหลือยาสักเม็ด แถมเงินในประเป๋า ก็มีไม่ถึงร้อย
“ยาหมด เงินก็ไม่มี ถ้าอาการกำเริบขึ้นมา แย่แน่ๆ เลยมีน”
“พี่จะปิดแม่แก้วอีกนานแค่ไหนเนี่ยะ ?”
แมนตัดสินใจถามมีนตรงๆ เมื่อเห็นว่าพี่สาวยังคงปิดบังเรื่องอาการป่วยของเธอไม่ได้แม่แก้วรู้
“เงียบน่าแมน จะไม่ให้แม่แก้วรู้ไม่ได้เด็ดขาด พี่ไม่เป็นอะไรหรอก พี่ยังอยู่อีกนาน เชื่อพี่นะ ลืมไปซะว่าพี่เป็นอะไร มองดวงตาของน้องๆทุกคนซิ ทุกคนต้องมีเรา แล้วเราก็ต้องสู้ เข้าใจนะ”
มีนจับไหล่น้องชายด้วยสีหน้าเข้มแข็ง แมนที่ตาแดงๆ จะร้องไห้ เลยต้องจำใจต้องพยักหน้าแล้วลุกขึ้นจะเดินไป แต่พอมองไปทางหน้าบ้านก็ถึงกับชะงัก
“พี่มีน”
มีนเงยหน้ามองน้องชายอย่างแปลกใจ
แฟรงค์กับเอมี่เปิดประตูลงมาจากรถ พร้อมกับชูตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ลงมาด้วย เด็กๆ ที่กรูกันออกมาดู ต่างพากันตื่นเต้นดีใจ
มีน แมนกับแม่แก้วเดินตามออกมายืนดู
“ขอบพระคุณค่ะพี่แฟรงค์ที่เอาของมาแจกเด็กๆ”
แฟรงค์หันมามองหน้ามีน แล้วยิ้ม
“ไม่ใช่ของพี่หรอก แต่เป็นพราวน่ะจ้ะ เค้าให้พี่เอาของจากแฟนคลับพวกนี้ มาแจกเด็กๆ”
“ขอบคุณมากนะคะ ที่กรุณากับบ้านแสนรัก ขอบคุณแทนเด็กๆทุกคน”
แม่แก้วเอ่ยของคุณอย่างจริงใจ มีนจึงแนะนำแฟรงค์กับเอมี่ให้รู้จักแม่แก้ว
“แล้วนี่นึกยังไงคะ อยู่ๆถึงเอาของมาให้เด็กๆล่ะคะ”
แฟรงค์กับเอมี่หันมามองหน้ากัน
“คือว่าแฟรงค์มีปัญหาใหญ่หลวง อยากให้มีนช่วยน่ะฮะ”
สีหน้าแม่แก้วเจื่อนลงไปทันที
“ถ้าเป็นเรื่องที่จะให้มีนกลับไปปลอมตัวเป็นคุณพราวอีกล่ะก็ แม่ต้องเสียใจด้วยนะคะ เพราะมีนจะไม่ไปทำอะไรแบบนั้นอีกแล้ว”
แฟรงค์กับเอมี่หน้าเหี่ยว หันไปมองมีนอย่างมีหวัง
“ก็อย่างที่แม่แก้วบอก มีนจะไม่ทำอีกแล้ว”
แฟรงค์พยายามพูดอ้อน จนแม่แก้วเริ่มใจอ่อน ยอมให้ทั้งคู่เข้ามาคุยต่อในบ้าน
ติณห์เงยหน้าขึ้นจากโต๊ะทำงาน เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น
“เชิญครับ”
จันทร์จรีเปิดประตูเข้ามาด้วยรอยยิ้มตื่นเต้นดีใจ
“ขอบคุณมากค่ะคุณติณห์ ที่เลือกจันทร์จรีเป็นพรีเซ็นเตอร์”
“ทราบผลแล้วเหรอครับ ดีใจด้วยครับและยินดีที่ได้ร่วมงานกันครับคุณจรี”
จันทร์จรีก้าวเข้าไปจับมือติณห์แนบแน่น พร้อมกับส่งยิ้มหวานไปให้
“ยินดีเช่นเดียวกันค่ะ จรีสัญญาว่าคุณจะไม่ผิดหวังที่เลือกจรี”
ติณห์ยิ้มน้อยๆ เพราะเขาจงใจเลือกจันทร์จรี !!
จันทร์จรีเดินออกจากประตูออฟฟิศมา พลางยิ้มอย่างสะใจ เพราะหนทางที่จะได้ก้าวขึ้นมาเทียบชั้นกับพราวใกล้จะเป็นจริงแล้ว
แฟรงค์กับเอมี่ปิดห้องคุยเครียดกับมีน
“มีน อย่าโกรธพราวเลยนะ คราวก่อนที่พราวให้เงิน เค้าไม่ได้คิดดูถูกดูแคลนหนู เค้าตั้งใจให้จริงๆ ไม่ได้คิดอะไร แต่พราวเค้าเป็นคนตรงๆ เค้าพูดอ้อมค้อมไม่เป็น”
มีนพยนักหน้าอย่างเข้าใจ
“ที่มีนบอกว่าจะไม่ทำอีก ไม่ใช่เพราะมีนโกรธคุณพราวเรื่องให้เงิน คุณพราวตัวจริงอยู่ จะให้มีนไปปลอมเป็นคุณพราวอีกได้ยังไงกันคะ มีพราว 2 คนในเวลาเดียวกัน มันจะไม่เสี่ยงเกินไปเหรอคะพี่”
แฟรงค์รีบอธิบาย
“เสี่ยงแน่จ้ะ แต่ก็ต้องเสี่ยง เมื่อไหร่ที่หนูต้องเป็นพราวออกงานแทน พราวตัวจริงก็จะต้องซ่อนตัวอย่างมิดชิด เมื่อไหร่ที่พราวออกงาน หนูก็ต้องกลับมาเป็นมีนเหมือนเดิม”
“หมายความว่ามีนต้องออกงานสลับกับคุณพราวเหรอคะ?”
เอมี่รีบแย้งขึ้นมา
“เรียกว่าทำงานเป็นทีมดีกว่านะจ๊ะ แล้วหนนี้จะเป็นการจ้างงานแบบระยะยาว จนกว่า...“
เอมี่เกือบจะหลุดปาก แต่แฟรงค์จ้องหน้าปราม ก่อนจะรีบพูดต่อเอง
“ จนกว่าสภาพจิตใจพราวจะดีขึ้นน่ะจ้ะ แบบว่าตอนนี้พราวงานหนักมาก ก็เลยเครียด ไหนจะถ่ายละคร ไหนจะอีเว้นท์ โชว์ตัว ถ่ายแบบ ให้สัมภาษณ์ พราวทำคนเดียวไม่ไหวหรอก พราวก็เลยให้พี่มาขอร้องมีน ให้กลับไปช่วยกันอีกครั้งนึง นะจ๊ะมีน พี่รับรองว่าจะจ่ายค่าจ้างให้มีนอย่างคุ้มค่าเหนื่อยที่สุด ไม่น้อยกว่าที่พี่เคยๆ ให้หนูมา”
มีนคิดหนัก เงินหมื่นเงินแสน ทำงานให้ตายก็หาไม่ได้ ถ้ามีเงินทุกคนในบ้านแสนรักจะไม่อัตคัดอีกต่อไป
“มีนตัดสินใจแล้วค่ะพี่แฟรงค์”
สมชายเดินทำตัวเหมือนคนเดินห้างปรกติ แต่สายตาแอบสอดส่องระแวดระวัง
ที่สำคัญเจ๋งอาจจะโผล่ปะปนผู้คนมาเมื่อไหร่ก็ได้ เขาเดินกวาดตามองไปทั่ว จนเดินมาถึงร้านหนังสือ ที่มีคนมุงอยู่เต็มหน้าร้าน เพราะเป็นงานแจกลายเซ็นพ็อกเก็ตบุ๊คของแฟรงค์ “มิสแฟรงค์ ผู้จัดการปั้นดาว”
แฟรงค์กำลังนั่งเซ็นลายเซ็นในหนังสือให้เหล่าแฟนๆ โดยมีพราวมาให้กำลังใจช่วยโปรโมท นั่งส่งยิ้มให้อยู่ข้างๆ
สมชายที่พยายามทำเป็นไม่สนใจพราว แต่ในใจกลับคิดถึงพราวทุกครั้งที่ได้เห็นหน้า
เสียงมือถือดังขึ้น สมชายหลุดจากภวังค์ ล้วงขึ้นมาดูเบอร์ก่อนรับสาย
“ครับ ผมอยู่หน้าร้านแล้ว ทำไมผู้กำกับไม่ส่งคนอื่นมา ผมไม่ใช่บอดี้การ์ดของเค้านะครับ ผมกำลังตามไอ้เจ๋งอยู่ ขอให้มันโผล่มาที่นี่จริงๆเถอะ ผมรอมันอยู่”
พูดพลางกวาดสายตามองไปที่กลุ่มคนที่มุงอยู่หน้าร้าน แล้วก็สังเกตเห็นด้านหลังชายสวมหมวกคนหนึ่งกำลังยืนเกาะกระจกนอกร้านมองไปที่พราวในร้าน พร้อมกับใช้มือลูบไล้ไปที่กระจกใส ราวกับได้สัมผัสตัวเธอ
“แค่นี้ก่อนนะครับ ได้เรื่องยังไง ผมจะโทร. รายงาน”
สมชายรีบเก็บมือถือ พร้อมกับขมวดคิ้วมองไปที่ชายคนนั้นอย่างสงสัย
“มันทำบ้าอะไรของมันวะ?”
แฟรงค์กำลังนั่งเซ็นหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊คให้แฟนๆ โดยมีพราวนั่งอยู่ข้างๆ แฟนๆ รีบเข้าคิวมาให้แฟรงค์เซ็นและถ่ายรูปร่วมกับพราว
ขณะที่ทางหน้าร้าน สมชายค่อยๆ เดินมาที่ด้านหลังของประเสริฐที่กำลังทำมือลูบไล้กระจกตรงมุมที่เห็นพราวนั่ง แล้วก็นึกสงสัยว่า บางทีผู้ชายคนนี้อาจจะเป็นคนร้ายที่ใช้เครื่องช็อตไฟฟ้าช็อตพราวคราวก่อนก็ได้ คิดได้ดังนั้นก็ไม่รอช้า ที่จะเดินเข้าไปตบไหล่ ประเสริฐชะงักตกใจ
“อยู่นิ่งๆนะ ผมเป็นตำรวจ ตามมานี่ เดินเฉยๆ”
สมชายทำเนียนโอบไหล่พาประเสริฐเดินไปที่ซอกลับตาคนข้างร้าน แล้วดันให้ประเสริฐยืนหันหลัง ใช้มือเท้าผนัง จากนั้นก็ใช้มือตะปบตรวจค้นอาวุธ
“พกอาวุธหรือเครื่องช็อตไฟฟ้ามาบ้างรึเปล่า ?”
ประเสริฐส่ายหน้า “ไม่มี ผมจะพกทำไมเครื่องช็อตไฟฟ้า”
สมชายค้นตัวแล้วไม่พบอะไร
“หันหน้ามาครับ คุณเป็นแฟนคลับคุณพราวเหรอ ?”
“เปล่า ผมแค่ผ่านมาเจอ ก็เลยแวะดู มีอะไรเหรอครับ คุณมาค้นตัวผมทำไม ?”
“ผมกำลังตามหาคนร้ายน่ะครับ ต้องขอโทษด้วย ผมจำผิดคน”
จังหวะนั้นเอง สมชายหันไปเห็นแฟรงค์กับเอมี่กำลังพาพราวเดินออกมาจากร้านไปแล้ว จึงรีบผละจากประเสริฐ แล้วเดินตามไปทันที
ประเสริฐยืนมองตาม สีหน้าปรกติกลับมาดูเป็นคนโรคจิตอีกครั้ง
แฟรงค์กับเอมี่รีบพาพราวเดินหลบเหล่าแฟนคลับตรงมายังลิฟท์มุมปลอดคน สมชายที่ตามมา รีบมายืนดักหน้า
แฟรงค์กับเอมี่ตะลึงงัน ขณะที่มีน ในคราบของพราวมองไปที่สมชายด้วยสายตาว่างเปล่า
“สวัสดีครับทุกคน เห็นผม ทำไมต้องทำหน้าอย่างงั้นด้วยครับ?”
สมชายพูดพลางกดปิดประตูลิฟท์ให้ แฟรงค์กับเอมี่แอบจับมือกัน พลางคิดว่าจะทำยังไงดี เพราะมีนไม่รู้จักสมชาย และทั้งคู่ก็ยังไม่ได้บอกข้อมูลสมชายกับมีนเลย
ขณะที่สมชายมองไปที่มีน อย่างพยายามเก็บอาการคิดถึง ด้วยการปั้นท่าทางกวนๆใส่อีกเช่นเคย
“เป็นไงคุณ สบายดีหรือยัง?”
แม้จะไม่รู้จักสมชาย แต่มีนก็ฉลาดพอที่จะตามน้ำ
“สบายดีค่ะ”
สมชายมองเขม้นมองมีนอย่างแปลกใจในท่าทีที่แปลกไป
“พูดหวานซะด้วย วันนี้มาแปลกแหะ”
พลางมองไปที่เท้าพราว เห็นไม่พันข้อ แถมยังใส่ส้นสูง 3 นิ้ว ก็แปลกใจ
“ใส่ซะสูงปี๊ด ขาหายดีเหรอคุณ?”
มีนทำหน้างง “เปล่านี่คะ ขาฉันไม่ได้เป็นอะไร”
แฟรงค์กับเอมี่ถึงกับลมจะใส่อยู่ตรงนั้น
สมชายหันไปมองจ้องมีนอย่างแปลกใจ แต่เธอกลับมองตอบเขาด้วยแววตาใสๆ ทำให้เขายิ่งฉงนการพบกันครั้งแรกของสมชายกับมีน จะทำให้.ความลับจะแตกหรือไม่ ?
พราว ตอนที่ 6 (ต่อ)
สุดเขตต์ขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดซุ่มดูที่หน้าบ้านพราวแสง ด้วยความคาใจ และอยากพิสูจน์สมมติฐานของตัวเองที่รู้สึกว่าพราว 2 คนที่เขาเจอต่างวันและเวลากันหลายครั้ง ไม่ใช่คนๆ เดียวกัน
ขณะที่สมชายมองมีนในคราบพราว อย่างแปลกใจในท่าที พลางพยายามถามย้ำอีก
“แล้วแผลที่ถูกช็อตด้านหลังเป็นยังไงบ้าง ?”
มีนอึกอัก พร้อมทั้งปรายตาไปมองแฟรงค์ ที่รีบพูดตัดบท
“คุณหมอบอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร หนูไม่ต้องคิดมาก”
พูดพลางเอื้อมมือไปจับมือมีน พร้อมทั้งแอบใช้นิ้วแอบเขี่ยๆ ให้ตามน้ำ มีนเลยหันมายิ้มตอบสมชาย
“เดี๋ยวก็หายดีแล้วค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่เป็นห่วง”
สมชายยิ่งแปลกใจมากกับท่าทีอ่อนหวานที่พราวส่งมาให้เขา ครั้นจะถามเรื่องอื่นต่อเพื่อให้หาย
สงสัย แต่ลิฟท์ลงมาถึงชั้น 2 ของตึกจอดรถพอดี แฟรงค์กับเอมี่เลยรีบดันมีนออกไป
สมชายที่ยืนอยู่ใกล้ประตูตัดสินใจคว้าแขนมีนไว้ เธอชะงัก มองมือที่ของเขาจับต้นแขนเธออยู่ด้วยอาการแปลกใจ เพราะเธอไม่รู้จักว่าสมชายเป็นใคร เกี่ยวข้องอะไรกับพราวแค่ไหน ขณะที่แฟรงค์กับเอมี่ตกใจ
“คุณเป็นอะไรรึเปล่าพราว ?”
สมชายถามเข้มๆ นิ่งๆ แต่สายตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วงกับท่าทีที่ดูเหมือนคนหลงๆ ลืมๆ ของพราว
“ก็สบายดีนี่คะ”
“แน่ใจเหรอว่าคุณสบายดี ผมว่าไม่นะ”
แววตาสมชายดูกังวล มีนฝืนยิ้ม
“คุณจะมารู้ดีว่าตัวฉันได้ยังไงกันคะ”
“เพราะว่าผมรู้จักคุณดีไงพราว ปรกติคุณไม่เป็นยังงี้”
มีนอึ้งมองสมชาย แฟรงค์รีบขัดก่อนที่มีนจะถูกสมชายไล่จนมุม
“โอ๊ย พอเหอะ หยุดปะทะคารมกันสักวันได้ป่ะ วันนี้พราวรีบจริงๆ ไหว้ล่ะ ขอตัวพราวนะคะคุณสารวัตรสมชาย”
พูดจบก็รีบดึงพราวออกจากมา ขณะที่มีนตะลึงกับสิ่งที่ได้ยินว่าสมชายเป็นสารวัตร
สมชายยืนมองตาม เห็นอาการพราวแปลกไป ก็ยิ่งเป็นห่วง ทั้งๆที่พยายามห้ามตัวเองแล้ว
แฟรงค์กับเอมี่รีบเดินนำมีนในคราบพราวมาไปยังรถที่จอดอยู่ มีนยังติดใจเรื่องสมชายไม่หาย
“นายสมชายคนนั้นเป็นตำรวจเหรอคะพี่ ?”
“ไม่ใช่ตำรวจธรรมดาซะด้วย บ้า ดีเดือด ปากงี้ยังกับมีดหมอผ่าฝี”
“ท่าทางเค้าห่วงคุณพราวนะคะ” มีนพูดจากที่สังเกตเห็น
“อุ๊ย ห่วงอะไร ตามจิกๆๆอยู่นั่นแหละ ขืนหนูคุยกับฮีต่อมีหวังความแตกจนได้”
“แล้วนายสมชายกับคุณพราวเป็นอะไรกันคะ ?”
แฟรงค์จะตอบต่อ แต่สมชายก้าวยาวๆ จนตามมาทัน
“เดี๋ยวคุณ ผู้กำกับบอกผมเรื่องที่มีคนส่งขาไก่ใส่แหวนเป็นของขวัญมาให้คุณแล้ว มันก็ไม่แน่ว่าจะเป็นฝีมือคนๆ เดียวกับที่เคยปองร้ายคุณ”
มีนตกใจที่ได้ยินว่าพราวถูกปองร้าย
“ผมอยากให้คุณระมัดระวังตัวให้มากขึ้นกว่าเดิม ถ้าต้องการตำรวจคุ้มครองก็ลองปรึกษากับ
ผู้กำกับสหวุฒิดู”
แฟรงค์รีบขัดขึ้นมาทันที
“พราวมีแฟรงค์เป็นเทพธิดาคอยดูแลคุ้มครองอยู่แล้วนะฮ้า ไม่จำเป็นต้องมีใครมาตามคุม ตามมาคุ้มให้เป็นประเด็นขึ้นหน้าหนึ่งอีก”
จากนั้นก็รีบฉุดพามีนออกไป สมชายหันเดินกลับไปอีกทางอย่างขัดใจ พอเดินมาเปิดท้ายรถตัวเอง เห็นกระเป๋าเสื้อผ้าของพราวที่ใส่ท้ายรถมาจากอัมพวา ก็อดที่จะยิ้ม แล้วพูดประชดตัวเองไม่ได้
“ชาติที่แล้วต้องติดหนี้ยัยนี่ไว้แน่”
พูดพลางรีบเดินมาขึ้นรถ แล้วขับตามรถของแฟรงค์ไป
พราวใส่ชุดแบบมีฮู้ดอำพรางตัวเอง ที่ข้อเท้ายังมีผ้าพันข้อไว้ เดินออกมาจากบ้าน โดยมีต้อยติ่งเดินตามหิ้วกระเป๋ามาส่งที่รถ มาร์คเปิดประตูรถด้านหลังรออยู่
“อะไรเนี่ยะ ทำไมต้องให้พี่นั่งด้านหลัง อยากเป็นคนขับรถหรือไง”
“ดีออกครับ ได้เป็นคนขับรถของพี่พราว” มาร์คพูดยิ้มๆ นัยน์ตาเป็นประกาย
“ฉันประชด”
“แต่ผมเต็มใจขับรถให้พี่พราวนี่ครับ พี่ไม่ต้องคิดมากหรอก มาร์คยินดีบริการ”
พราวค้อนให้ 1 ที ก่อนจะรีบขึ้นรถ มาร์คขึ้นประจำที่คนขับ แล้วรีบเคลื่อนรถออกไป ผ่านรถมอเตอร์ไซด์ของสุดเขตต์ที่จอดอยู่ด้านนอก เขาทำเป็นนั่งยองๆ ก้มดูรถเหมือนรถเสีย แต่แอบเหลือบมองรถที่แล่นผ่านหลังไป เห็นพราวนั่งอยู่เบาะหลัง เขารีบขึ้นรถ ขี่ตามไปทันที
มีนที่นั่งอยู่ในรถของแฟรงค์ ยังคาใจกับเรื่องที่สมชายพูด
“ที่ตำรวจสมชายคนนั้นพูดถึงเรื่องปองร้าย มันเรื่องอะไรกันคะพี่แฟรงค์ ? มีใครปองร้ายคุณพราวงั้นเหรอคะ ? ”
แฟรงค์กับเอมี่อึ้งๆ หันมองหน้ากัน
“หนูอย่าไปฟังหมอนั่นเลย หนูมีหน้าที่อะไรก็ทำไปเถอะ ไม่ต้องไปฟัง”
“แต่หนูได้ยินแล้วนี่คะ ถ้าพี่ไม่บอกความจริง มันจะคาใจหนูอยู่อย่างนี้ แล้วจะให้หนูแสดงเป็นคุณพราวอย่างสบายใจได้ยังไงกันคะ บอกมีนเถอะค่ะพี่แฟรงค์ มีนรับได้ทุกเรื่อง”
แฟรงค์ถอนหายใจ อย่างจำยอม
“เอางี้ เดี๋ยวไปเจอพราว ก็ไปฟังจากปากพราวเอาเองก็แล้วกัน พราวคงรอจะพูดเรื่องนี้กับหนูอยู่แล้ว”
ขณะเดียวกัน รถของสมชายก็ขับตามมาห่างๆ
รถของมาร์คแล่นเข้ามาจอดหน้าคอนโดของพราว เขารีบลงจากรถมาเปิดประตูให้ พร้อมกับยื่นแขนให้พราวเกาะลงจากรถ
“เวลามีแฟน ดูแลเค้าแบบนี้ให้ตลอดนะ อย่าจัดให้แฟนเฉพาะช่วงโปรโมชั่น”
มาร์คยิ้มเขินๆ “ครับผม ถ้าแฟนผมเหมือนพี่พราวก็ดีซิ”
พราวตบแก้มมาร์คเบาๆ ด้วยความเอ็นดู แล้วพี่สาวเอ็นดูน้องชาย
“แต่ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดเลยนะเรื่องแฟน อยากทำงานในวงการนี้ก็รีบพัฒนาตัวเองเข้า ชักช้าคนอื่นเค้าเอาไปกินหมด ขอบใจมากนะที่มาส่งพี่”
สุดเขตต์ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดที่มุมหนึ่ง ก่อนจะถอดหมวกกันน็อกออกพร้อมกับจัดเสื้อผ้าเผ้าผมให้ดูดี แล้วรีบลงจากรถ
พราวเดินซ่อนใบหน้าตัวเองในฮู้ดและสวมแว่นดำ จังหวะเดียวกับที่แฟรงค์กับเอมี่พามีนเดินเข้ามา มีนส่งยิ้มแบบนอบน้อมมาให้ พราวยิ้มตอบกลับไป แต่แล้วเธอก็ตกตะลึง เมื่อมองไปด้านหลังเห็นสมชายเดินลากกระเป๋าตามมาจากทางที่แฟรงค์เพิ่งเดินเข้ามา
“นายสมชาย”
แฟรงค์ เอมี่ มีนหันไปมอง เห็นสมชายกำลังเดินมองหาอยู่ ก็พลอยต้องตกใจไปด้วย
พราวรีบพาแฟรงค์ เอมี่ มีน เข้ามาหลบเข้าห้องๆ หนึ่ง สมชายเดินลากกระเป๋าเข้ามาหยุดยืนกลอกตามองหา
พราวค่อยๆ ถอดแว่นออก แอบมองผ่านกระจกออกไป เห็นสมชายยืนจับกระเป๋าหันมองหาไปทั่วหัวใจเธอเต้นแรงทุกครั้งที่ได้เห็นหน้าเขา
“นั่น เค้ามีกระเป๋าอะไรมาด้วยคะ ?”
มีนหันมาถามพราว
“กระเป๋าเสื้อผ้าของฉันเอง เค้าคงอยากเอามาคืนให้พ้นๆ”
พราวพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่แอบเก็บความกล้ำกลืนไว้ เพราะยังไม่ลืมความหลังแสนหวานที่อัมพวา
มีนแอบคิด และลำดับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ในหัว ขณะที่แฟรงค์หน้าเครียด พยายามหาวิธีจัดการกับสมชาย จู่ๆ พราวก็โพล่งขึ้นมา
“โอเคค่ะ เดี๋ยวพราวจะจัดการเค้าให้ ก่อนมาที่คอนโด นายสมชายได้เจอมีนรึเปล่า?”
มีนพยักหน้าช้าๆ “เจอค่ะ เจอกันที่ห้าง เค้าคุยกับมีนด้วย เค้าคิดว่ามีนเป็นคุณพราวค่ะ”
“ถ้าอย่างงั้นก็จำเป็น...”
พราวพูดพร้อมกับถอนหายใจ ก่อนจะหันมามองหยุดนิ่งที่มีน ที่ทำหน้ากังวล เพราะไม่รู้ว่าพราวคิดอะไรอยู่
สมชายเดินลากกระเป๋า กำลังจะเข้ามาถามเจ้าหน้าที่คอนโด แต่จู่ๆ พราวที่เปลี่ยนมาใส่ชุดมีน ก็โผล่เข้ามายืนดึงกระเป๋าอยู่ข้างหลัง
“ฉันลืมไปแล้วนะเนี่ยะ ว่าทิ้งกระเป๋าเสื้อผ้าไว้ที่โฮมสเตย์ของคุณ”
“ผมก็ลืมไปแล้วเหมือนกัน ว่ายัดกระเป๋าใบนี้ทิ้งไว้ท้ายรถจวนเน่าแล้ว”
ทั้ง 2 ยืนเผชิญหน้า แกล้งทำปากร้ายใส่กัน ทั้งๆ ที่คิดถึงกันจะแย่
“แต่สุดท้าย คุณก็ไม่ลืมที่จะเอามาคืนฉัน ขอบใจมากนะ”
พราวยิ้มเชิดใส่ราวกับเป็นผู้ชนะ พร้อมกับคว้ามือจับกระเป๋า กระชากหลุดจากมือสมชายแล้วหันเดินลากกระเป๋าจากมา
“หึ มันต้องปากคออย่างนี้ซิ ถึงจะพราวตัวจริง”
อีกด้านหนึ่งมีนที่เปลี่ยนมาใส่ชุดของพราว รีบเดินมาอีกทางพร้อมกับแฟรงค์ และเอมี่ ที่เดินนำไปก่อน แต่แล้วมีนก็ต้องชะงักเมื่อหันมาเห็นสุดเขตต์ยืนอยู่หน้าลิฟท์ เขาเองก็ยืนทำหน้าไม่ถูกเพราะตั้งใจจะแอบตามมาสืบเงียบๆ
“คุณมาที่นี่ทำไมคะ?”
สุดเขตต์เห็นแววตาของมีน แล้วก็โกหกไม่ออก
“ผมยอมรับครับว่าผมแอบตามคุณมาจากบ้าน”
มีนที่กำลังสวมบทเป็นพราวตกใจ “ตามมาจากบ้านเหรอคะ”
“ตะกี้ผมเห็นคุณเดินขากระเผลกๆ ขาคุณเป็นอะไรครับ ?”
มีนไม่ตอบ แต่กลับย้อนถาม “คุณตามฉันเพราะต้องการข่าวเหรอคะ?”
“ไม่ใช่อย่างงั้นนะครับ ผมไม่ใช่พวกปาปารัซซี่แบบนั้น”
“งั้นคุณต้องการอะไรจากฉันคะ ?”
สุดเขตต์จำต้องสารภาพตรงๆ
“พูดไปคุณต้องว่าผมเพี้ยนแน่ๆ ผมเองก็ตลกตัวเองเหมือนกัน ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกว่าบางวันคุณก็เป็นคนนึง อีกวันคุณก็เป็นอีกคนนึงเหมือนคุณไม่ใช่คนๆ เดียวกันนะครับ”
มีนตัวเย็นเฉียบ แต่ก็รีบแก้สถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที
“ใช่ค่ะ คุณเพี้ยนไปแล้วคุณสุดเขตต์ ฉันอาจคิดผิดที่เคยคิดว่านักข่าวอย่างคุณหวังดีกับฉัน”
สุดเขตต์รีบปฏิเสธ “ผมไม่ใช่นักข่าว แล้วผมก็หวังดีกับคุณ”
“งั้นก็เลิกตามติดชีวิตพราวได้ไหมคะ บางทีความหวังดีของคุณ อาจจะทำให้ชีวิตฉันตกที่นั่งลำบากก็ได้”
มีนถอนใจ แล้วหันเดินไป สุดเขตต์ได้แต่ยืนลูบหัวมองมีน จะให้เขาเลิกตามได้ยังไง ในเมื่อเขาดันมีใจให้เธอไปแล้ว
พราวรีบลากกระเป๋าเดินแยกไปอีกฝั่งที่อยู่คนละด้านกับมีน
อารามรีบเดินและขายังไม่หายดี แล้วยังมาใส่ส้นสูง ทำให้เธอรู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อเท้าจนทนไม่ไหว เกือบจะทรุดลงไป แต่สมชายที่แอบเดินตามมา เข้ามาโอบเอวประคองไว้ได้ทันเวลา
“เนี่ยะเหรอที่บอกผมว่าขาคุณไม่เป็นอะไร”
พราวเดาว่ามีนคงตอบสมชายไปแบบนั้น จึงรีบแก้ตัว
“ที่ฉันพูดอย่างงั้น ฉันไม่อยากให้พี่แฟรงค์เป็นห่วงน่ะ”
“นี่คุณ ผมจบหลักสูตรจับโกหกโจรมานะ ท่าทางที่คุณบอกกับผมที่ห้างตะกี้ มันเหมือนคุณไม่รู้จริงๆว่าตัวเองกำลังขาเจ็บ”
พราวรีบทำเป็นโมโหกลบเกลื่อน
“อย่ามาพูดอย่างงี้นะ ฉันไม่ใช่นังโจรของคุณ ปล่อย”
พูดพร้อมกับสะบัดตัวออกจากมือสมชายที่พยุงอยู่ แล้วคว้ากระเป๋าจะก้าวหนีเดินอย่างเร็ว ทำให้ส้นสูงไถลจะพาล้มอีกครั้ง สมชายรีบคว้าแขนดึงตัวมากอดไว้ ทั้งสองเงยหน้าสบตากัน ต่างคนต่างรู้สึกเจ็บปวด
“สุดท้าย คุณก็กลับมาเป็นซุปตาร์สมบูรณ์แบบคนเดิม ยะโส เอาแต่ใจ ชีวิตที่อัมพวาเปลี่ยนแปลงอะไรคุณไม่ได้เลย”
พราวยิ้มเยาะ “เรียกว่าที่นั่นไม่มีอะไรดีพอที่จะเปลี่ยนฉันได้จะดีกว่า”
“ผมว่าบางทีไอ้สิ่งนั้น อาจจะไม่อยากดีพอสำหรับคุณก็ได้ ถ้าคุณคิดว่าตัวเองเลิศเลอ ต่างคนต่างอยู่ คุณก็อยู่ในที่ของคุณน่ะถูกแล้ว แต่ไอ้ส้นสูงบ้าๆนี่”
สมชายดันไหล่พราวให้ยืนดีๆ แล้วก้มลงดึงรองเท้าส้นสูงออกจากเท้าของพราว
“โอ๊ะ มาถอดรองเท้าฉันทำไมอีก”
“มันควรจะอยู่ห่างๆ ขาเดี้ยงๆ ของคุณไง ขาจะได้หายซะที ไม่รู้จะใส่ทำไม”
พูดจบก็ยัดรองเท้าส้นสูงใส่มือพราว แล้วมองเธออย่างเต็มตาอีกครั้ง ก่อนหันเดินไป
พราวยืนถือรองเท้ามองสมชาย น้ำตาเอ่อๆ เมื่อสัมผัสได้ว่าในท่าทีที่ไม่แยแสของเขา มักมีความหวังดีซ่อนอยู่เสมอ
สมชายเดินผละมาจากพราวอย่างเซ็งๆ จังหวะเดียวกับที่สุดเขตต์ก็เดินจ๋อยๆ ผละมาจากมีน ทั้งคู่ทรุดนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามกัน ต่างคนต่างจ่อมจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ครู่หนึ่งก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมๆ กัน แล้วต่างคนต่างก็แปลกใจ ที่มาเจอกันที่นี่
“บังเอิญไปไหมที่เรามาเจอกันที่นี่ ?” สมชายเริ่มต้นบทสนทนาขึ้นมาก่อน
“ถ้าตามคุณพราวมาเหมือนกันก็คงไม่บังเอิญหรอกครับ”
สมชายได้ยินสุดเขตต์พูดถึงพราว ก็หน้าตึง ด้วยอารมณ์หึง
“คุณตามมาจากไหน ผมไม่เห็นคุณที่ห้างเลย”
สุดเขตต์มองหน้าสมชายอย่างแปลกใจ “ห้าง? คุณตามคุณพราวมาจากห้าง ?”
“แล้วถ้าคุณไม่ตามมาจากห้าง คุณตามมาจากไหน”
“ผมตามคุณพราวมาจากบ้านพราวแสงครับ”
สมชายยิ้มๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเท้าเอว
“ผมว่าคุณตามผิดคนแล้วล่ะ ตอนที่ผมตามเค้ามา คุณซูเปอร์สตาร์พราวไปงานเปิดตัวพ็อกเก็ตบุ๊คผู้จัดการส่วนตัวเค้าที่ห้าง “
สุดเขตต์ลุกขึ้นยืน แล้วพูดสวนขึ้นมาบ้าง
“ผมว่าคุณนั่นแหละครับที่ตามผิดตัว ผมดักรอคุณพราวอยู่หน้าบ้าน เห็นเค้าให้คนขับรถมาส่งที่นี่ ตะกี้ผมยังคุยกับคุณพราวอยู่เลย”
“ผมก็เพิ่งคุยกับเค้ามาเหมือนกัน”
ทั้งคู่ยืนมองหน้ากันงงๆ ก่อนที่สมชายจะส่ายหน้า พลางเดินไป
“ระหว่างคุณกับผม ไม่ใครก็ใคร ต้องโกหก”
“ไม่ใช่ผมแน่ครับ”
สุดเขตต์ตะโกนตอบไป สมชายไม่ยอมแพ้ ตะโกนตอบกลับมา
“ไม่ใช่ผมเหมือนกัน”
พราว ตอนที่ 6 (ต่อ)
พราวเริ่มต้นเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ตั้งแต่โดนปองร้าย จนถึงตอนที่หลบไปพักใจที่โฮมเสตย์ให้มีนฟังอย่างละเอียด โดยมีแฟรงค์และเอมี่นั่งอยู่ด้วย
“นี่เป็นเรื่องทั้งหมดที่เธออยากรู้ ทั้งเรื่องที่ฉันถูกปองร้ายและเอ่อ....เรื่องนายสมชาย”
“แล้วใครกันคะที่ตามปองร้ายคุณพราว ?” มีนถามออกมาด้วยน้ำเสียงซื่อๆ และเป็นห่วง
“ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกัน แต่ถ้ามีนจะเปลี่ยนใจ ไม่อยากเสี่ยงทำงานเป็นสแตนด์อินให้ฉัน
ฉันก็ไม่ชอบไปฝืนใจใคร”
มีนเงียบอย่างใช้ความคิด พลางมองไปที่หน้าทุกคนที่มองมาที่เธอเป็นตาเดียว
“มีนจะช่วยค่ะ มีนคิดเสมอ ว่าตัวเองเกิดมาเพื่อช่วยเหลือคนอื่น คุณพราวไม่ต้องห่วงนะคะ ในเมื่อมีนรับปากว่าจะช่วยแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มีนก็ช่วยคุณพราวไปตลอดค่ะ มีนจะพยายามทำหน้าที่เป็นพราวให้ดีที่สุด มีนอาจจะทำได้ไม่ดีเท่าคุณ แต่มีนสัญญาค่ะ ว่าจะไม่ทำให้คุณผิดหวังเลย ที่ไว้ใจมีนให้ทำงานนี้”
มีนตอบอย่างจริงใจ พราวค่อยๆ ยิ้มตอบด้วยความดีใจ ก่อนจะเดินเข้ามาหามีน แม้จะรู้สึกซึ้งใจมาก แต่ก็ยังไม่สนิทใจพอที่จะแสดงออกมากมายนอกจากกล่าวคำว่า…
“ขอบใจมากนะมีน ขอบใจที่ไม่เปลี่ยนใจ งั้นต่อจากนี้ไป เธอกับฉันต้องทำงานเหมือนกับว่าเราเป็นคนๆเดียวกัน มีนต้องเรียนรู้ที่จะเป็นฉันให้เนียนที่สุด”
มีนอึกอัก “เอ่อ ถ่ายแบบเดินแบบก็พอไหวนะคะ แต่เล่นหนังเล่นละคร มีนไม่มั่นใจค่ะว่าจะทำได้”
“ต้องได้ซิ ฉันจะเป็นคนสอนมีนเอง”
จันทร์จรีสวยเฉี่ยวในเสื้อเกาะอกกำลังโพสท่าพร้อมกับถือแป้งทูเวย์ ให้ตากล้องกดชัตเตอร์รัว โดยมีพัดลมเป่าให้ผมสยายดูเซ็กซี่
ติณห์เดินเข้ามาหยุดมองเธอด้วยท่าทีนิ่งๆ ขรึมๆ แต่นัยน์ตาฉายแววพอใจ สวยแสบอย่างจันทร์จรีนี่แหละที่จะเล่นงานพราวให้หัวปั่นได้ โดยที่เขาต้องเริ่มต้นด้วยการปั่นหัวเธอให้หลงเขาจนโงหัวไม่ขึ้นเสียก่อน
มีนกำลังถือบทละครเรื่องอโยธยาอยู่ในมือ แล้วพยายามแสดงให้ใกล้เคียงกับพราวที่สุด แต่ด้วยความที่ไม่มีประสบการณ์ ทำให้การแสดงดูขาดๆ เกินๆ
แฟรงค์ถึงกับส่ายหัว
“บทบีบคั้นอารมณ์ขนาดนี้ ไม่เห็นน้ำตาเลยสักแหมะ”
มีนถอนใจ อย่างหนักใจ “มีนคงไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ มีนขอโทษนะคะคุณพราว มีนทำไม่ได้”
พราวยิ้มให้กำลังใจ “อย่ามาพูดว่าทำไม่ได้ ถ้ายังไม่ได้พยายามทำจนถึงที่สุด อย่าคิดซิว่าเธอกำลังแสดงอยู่ คิดว่าเธอกำลังเป็นตัวละครตัวนั้นจริงๆ ต้องมีอินเน่อร์ก่อน”
มีนทำหน้างงๆ
“ยังไงนะคะเป็นตัวละครตัวนั้นจริงๆ อินเน่อร์ยังไง?”
เมื่อจันทร์จรีถ่ายแบบเสร็จเรียบร้อย ก็เดินส่งยิ้มตรงดิ่งเข้าไปหาติณห์
พลันสายตาเหลือบไปเห็นสายไฟที่วางพาดอยู่เกลื่อนพื้นสตูอยู่ตรงหน้าที่เขายืนอยู่ แผนหนึ่งก็ผุดขึ้นในสมองทันที เธอทำเป็นสะดุดสายไฟ จนตัวคะมำไป ติณห์รีบคว้าตัวเธอไว้ จันทร์จรีได้โอกาสกอดเขาหมับ แล้วแอบยิ้มสมใจ
“เจ็บตรงไหนบ้างครับคุณจันทร์จรี ?”
จันทร์จรีแกล้งตีหน้าเศร้าบีบน้ำตาทันที
“มีมือคุณมาช่วยจรีไว้แบบนี้ จรีไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ ถ้าไม่ได้คุณให้งาน ป่านนี้จรีคงตกงานเคว้งคว้าง เพราะถูกพี่แฟรงค์เฉดหัวออกจากบ้านพราวแสง”
ติณห์ควักผ้าเช็ดหน้าออกมาส่งให้
“เช็ดน้ำตาซะนะครับ ตอนนี้คุณไม่ใช่เป็นแค่ดารา แต่ในฐานะพรีเซ็นเตอร์ของ N&T คุณคือซูเปอร์สตาร์ของเราครับ”
จันทร์จรีปรับสีหน้าเป็นยิ้มดีใจ
“ขอบพระคุณมากนะคะคุณติณห์ คุณมีพระคุณกับจรีมาก จรีเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ขอบคุณที่สุดของหัวใจค่ะ”
พูดพลางก็โผกอดติณห์ราวกับซาบซึ้งเสียเต็มประสา ไม่แคร์สายตาทีมงานที่ต่างพากันหันมามอง
ติณห์ก็ทำเป็นตบไหล่ปลอบจันทร์จรีเบาๆ ราวกับเป็นพ่อพระ ทั้งๆที่กำลังเลี้ยงจันทร์จรีไว้ใช้
ต่างคนต่างยิ้มกับแผนการของตัวเอง โดยมีเป้าหมายเดียวกัน คือกำจัดพราว !!
พราวเดินเครียด เพราะพยายามจะหาวิธีสอนมีนให้เข้าใจเรื่องการแสดง พลันก็เหลือบไปเห็นคอของมีนสวมสร้อยอยู่
“มีนสวมสร้อยอะไรอยู่ ?”
มีนดึงสร้อยพระออกมาจากคอ
“สร้อยพระ?”
“ค่ะ มีนแขวนพระองค์นี้มาตั้งแต่เด็ก”
“แล้วมีนได้พระองค์นี้มายังไง ?”
มีนถึงกับอึ้งไปกับคำถามของพราว
“แม่ค่ะ แม่เป็นคนให้พระองค์นี้กับมีน”
จากนั้นเธอก็นึกย้อนไปวันนั้น...
ขณะที่มีนยังเป็นเด็กหญิงเดินจูงมือแม่มาแถวตลาด อีกมือหนึ่งของแม่อุ้มแมนวัย 2 ขวบ ที่กำลังดูดขวดนมอยู่เดินมาด้วย
สภาพแม่ของมีนนั้นดูยากจน แววตาสับสน เหมือนว่ากำลังคิดและตัดสินใจอะไรบางอย่าง แล้วแม่ก็หยุดยืนที่หน้าร้านค้าร้านหนึ่ง
“นั่งรอแม่อยู่ตรงนี้นะมีน แม่จะไปซื้อของ ดูน้องด้วยล่ะ อย่าให้วิ่งซนไปไหน เข้าใจไหม ?”
มีนพยักหน้า “จ้ะแม่ มีนจะดูน้องเอง”
แม่พยายามอดกลั้นน้ำตา พลางลูบแก้มมีน แล้วถอดสร้อยสแตนเลสถูกๆ ที่มีพระองค์หนึ่งออกจากคอตัวเองมาสวมที่คอมีน
“พระคุ้มครองนะลูกมีน มันเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายของแม่ เก็บไว้กับตัวนะมีน เก็บไว้ให้ดี แม่ไปนะ”
แม่ก้มลงจูบกระหม่อมลูกทั้งสอง พร้อมทั้งแอบปาดน้ำตาแล้วรีบหันหลังจะเดินไป มีนคว้ามือแม่ดึงไว้
“แม่รีบกลับมานะ มีนจะเลี้ยงน้องรอแม่อยู่ตรงนี้”
แม่ที่ยืนหันหลังให้มีน พยักหน้าน้อยๆ พร้อมกับที่น้ำตาค่อยๆ ไหลเอ่อ พลางแกะมือลูกสาวตัวน้อยที่จับมือตัวเองอยู่แล้วรีบเดินไป
มีนเล่ามาถึงตรงนี้ก็น้ำตาคลอหน่วย พราว แฟรงค์ และเอมี่ ก็พลอยสะเทือนใจไปด้วย
“นั่นเป็นภาพสุดท้ายที่มีนได้เห็นแม่ มีนกับน้อง นั่งรอแม่อยู่ตรงนั้น รอแล้วรออีก รอจนเช้า แต่แม่ก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย แม่ทิ้งเราไว้ แม่ทิ้งมีนกับน้อง ท้องมีนร้อง นมน้องก็หมด มีผู้ชายเข้ามาจะเอาตัวเราไป”
มีนร้องไห้ แววตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ต่อจากนั้น
มีนจูงน้องชายวิ่งหนีชายขอทาน ท่าทางเมากาว ที่เดินตามมาข้างหลัง
“เฮ้ยหยุด จะไปไหน มานี่ ฉันจะพาไปเที่ยว หาขนมอร่อยๆให้กิน กูบอกให้หยุด”
เด็กชายแมนร้องไห้จ้า เผลอทำขวดนมเปล่าที่ถืออยู่ร่วง ก่อนที่จะสะบัดมือหลุดจากมือมีน แล้วหันไปเก็บ ชายขอทานเลยเข้ามาถึงตัว รีบคว้าแขนหนูน้อยไว้
“เอาน้องหนูคืนมา อย่าเอาน้องหนูไป”
มีนโวยวายลั่นด้วยความตระหนก ตอนนั้นเองที่แม่แก้วโผล่เข้ามาใช้ตะกร้าจ่ายตลาดฟาดไปที่หลังชายขอทานไม่ยั้ง
“ปล่อยนะ ปล่อยเด็กเดี๋ยวนี้นะ ฉันบอกให้ปล่อย ช่วยด้วยๆ ตำรวจโจรขโมยเด็ก”
ขอทานตกใจปล่อยแมนแล้วรีบวิ่งหนีไป แม่แก้วอุ้มแมนไว้กับอก แล้วนั่งลงกอดมีนไว้อีกมือหนึ่ง
“ไม่ต้องกลัวนะลูก มันไปแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว แล้วนี่พ่อแม่หนูไปไหนจ๊ะ ทำไมมาอยู่นี่กัน 2 คน”
มีนน้ำตาพราก “ไม่รู้แม่ไปไหน แม่ไปแล้ว แม่ไปแล้ว”
“โถลูก โอ๋ๆ ขวัญเอ้ย มาอยู่กับเนื้อกับตัวนะลูก”
แม่แก้วกอดปลอบมีนกับแมนไว้ พลางมองเด็กน้อยทั้งคู่ด้วยสีหน้าเวทนา
มีนเล่าพลางกำสร้อยไว้แน่น
“แม่ทิ้งเราไป แต่ฟ้าก็ประทานแม่พระอย่างแม่แก้วมาให้เรา”
พราวอดถามด้วยความสงสารไม่ได้ “แล้วมีนได้ข่าวคราวแม่บ้างไหม ?”
“แม่หายสาบสูญไปเลย แต่มีนไม่โกรธแม่หรอก แม่ลำบาก แม่รู้ตัวว่าเลี้ยงพวกเราไม่ไหว การที่แม่ทิ้งเราไว้ เพราะคิดว่าเป็นวิธีสุดท้ายที่อาจจะช่วยให้เรามีอนาคตได้ถ้ามีใครเก็บเราไปเลี้ยง แม่คงไม่มีทางเลือกอะไรเลย แม่ถึงคิดได้แค่นั้น”
มีนร้องไห้สะอื้น
“มีนถึงใส่สร้อยเส้นนี้ติดตัว ไว้ เผื่อสักวันนึง อาจจะได้เจอแม่อีกใช่ไหม ?”
“ใช่ค่ะ ถ้ามีนมีบุญได้เจอแม่อีกครั้ง แม่เห็นสร้อยเส้นนี้ แม่ต้องจำมีนได้ มีนอยากให้แม่รู้ว่ามีนไม่เคยโกรธแม่ แม่ทำให้มีนได้เจอกับแม่แก้ว ทำให้ชีวิตมีนมีประโยชน์ ได้ช่วยเหลือเด็กกำพร้า สิ่งที่แม่ทำมีค่าสำหรับมีนมาก”
มีนเล่าพร้อมสะอื้นไห้ จนพราวต้องโผเข้ามากอดปลอบไว้
“ขอบใจมากนะมีน ที่เล่าชีวิตเธอให้ฉันฟัง มันทั้งเศร้าและประทับใจ และนี่แหละคือการเล่าแบบ
มีอินเน่อร์”
มีนเงยหน้ามองพราวอย่างงงๆ
“มันก็เหมือนกับการแสดงนั่นแหละ มีนต้องเห็นภาพในหัวซะก่อน ต้องอินกับมันแล้วค่อยๆ ถ่ายทอดภาพออกมาด้วยการแสดง ทีนี้เข้าใจหรือยังจ๊ะ?”
มีนปาดน้ำตา เหมือนเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
“พอเข้าใจแล้วค่ะ”
แฟรงค์กับเอมี่ลุกขึ้นปรบมือทั้งๆ ที่น้ำหูน้ำตายังเล็ดอยู่ พลันเสียงมือถือของพราวก็ดังขึ้น แฟรงค์หยิบขึ้นมาดู เห็นเป็นติณห์โทร. มา เลยรีบยื่นให้พราว
“ดาร์ลิ่งค์โทร.มาแน่ะหนู”
พราวยื่นมือไปรับมือถือจากแฟรงค์ ก่อนจะกรอกเสียงใสๆ ไปตามสาย “วันนี้งานไม่ยุ่งเหรอคะ?”
“ยุ่งซิครับ”
“แล้วโทร.มาได้เหรอคะ?”
“ก็โทร.มาหาอยู่นี่ไงครับ คิดถึงคุณนะครับ”
คำพูดหวานๆ ของติณห์ทำให้พราวอดยิ้มเขินๆ ไม่ได้
“แล้วทำไมไม่บอกคิดถึงผมมั่งล่ะครับ คุณขี้โกง”
พราวหัวเราะเบาๆ “จะบอกว่ากำลังยุ่ง จนลืมคิดถึงน่ะค่ะ”
“ตรงไปนะครับ ใจร้าย คืนนี้ทานมื้อค่ำกันนะครับ ผมจะจองโต๊ะไว้”
จันทร์จรีที่แอบยืนฟังอยู่ที่ผนังด้านหนึ่ง ยิ้มร้าย คิดจะตามไปเล่นงานพราว
ติณห์นั่งรออยู่ที่ร้านอาหารหรู ครู่หนึ่งพนักงานเดินนำพราว พร้อมด้วยแฟรงค์และเอมี่ เข้ามาที่โต๊ะ
“สวัสดีครับ นี่ตามมาคุมถึงที่เลยเหรอครับ”
แฟรงค์หัวเราะเก้อๆ “แค่ขับรถมาส่งพราวให้ก็เท่านั้นเอง เดี๋ยวฝากไปส่งพราวด้วยนะคะคุณติณห์”
แฟรงค์กับเอมี่หันจะเดินไป แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นจันทร์จรีที่แกล้งทำทีเป็นเดินผ่านมา
“ต๊าย โลกมันเบี้ยวนะเนี่ยะ บังเอิญ มาเจอกันที่นี่ได้”
ติณห์แกล้งทำเป็นอึ้งมองจันทร์จรีอย่างแปลกใจ ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าเธอจะต้องตามมาแน่ๆ
“สวัสดีค่ะพี่แฟรงค์ เอมี่ หวัดดีค่ะพี่พราว”
แฟรงค์กับเอมี่รับไหว้ตามารยาท ขณะที่พราวส่งยิ้มทักทายอย่างไม่เคยใส่ใจจันทร์จรีอยู่แล้ว
“แหม คุณติณห์อ่ะ ไม่เห็นบอกจรีเลยว่านัดทานข้าวกับพวกพี่พราวเอาไว้”
แฟรงค์มองหน้าติณห์กับจันทร์จรีสลับกันไปมา
“เดี๋ยวๆ หนูพูดเหมือนอยู่บ้านเดียวกับคุณติณห์งั้นแหละ”
จันทร์จรีทำเป็นตกใจ “โอ้วมายก็อด นี่พี่แฟรงค์ยังไม่รู้เรื่องอีกเหรอคะ? เรื่องที่คุณติณห์เลือกจรีมาเป็นพรีเซ็นเตอร์แป้งทูเวย์ตัวใหม่ให้กับบริษัทไงล่ะคะ”
แฟรงค์กับเอมี่ตกใจ อย่างคาดไม่ถึง แต่พราวกลับไม่แสดงความคิดเห็นอะไร เพียงแต่หันไปมองหน้าติณห์ ที่ทำสีหน้าลำบากใจ
“ตกใจมากเหรอคะ คิดว่าพอเฉดหัวจรีออกจากคอกได้แล้ว จรีจะตกงานงั้นซิ เสียใจนะคะ ที่จรียังมีที่ยืนให้ทำมาหากินเองได้โดยไม่ต้องง้อผู้จัดการชนชั้นสูงอย่างพี่ ไปก่อนนะคะ พรุ่งนี้เจอกันที่บริษัทนะคะคุณติณห์
กู๊ดบาย”
จันทร์จรีทำโบกมือลาทุกคน แฟรงค์ก็รีบคว้ามือเอมี่แล้วเดินตามไป ติณห์รีบหันกลับมาพราว พลางทำหน้าเหมือนรู้ตัวว่าทำผิด
“ถ้าคุณพราวไม่สบายใจเรื่องคุณจรี ผมเปลี่ยนตัวได้นะครับ”
“นี่ หยุดนะนังเด็กเลี้ยงแกะ”
แฟรงค์ตะโกนตามหลัง จันทร์จรีหยุดเดิน แล้วหันไปจิกหน้าร้ายใส่
“ว่าใคร ?”
“ก็ว่าหล่อนนั่นแหละ เชอะ บังเอิญมาเจอกันงั้นเหรอ อ้าปากฉันก็เหม็นกลิ่นปากหล่อนแล้ว หล่อนจงใจตามคุณติณห์มาคุยโม้ โอ้อวดใส่พราว”
จันทร์จรีเชิดใส่
“ฉันคุยโม้โอ้อวดตรงไหน ที่คุณติณห์เลือกฉันเป็นพรีเซ็นเตอร์น่ะของจริงย่ะ คอยดูวันเปิดตัวก็แล้วกัน ว่าจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน”
แฟรงค์จ้องหน้าจันทร์จรีด้วยแววตาเย้ยหยัน
“อยากแข่งกับพราวงั้นเหรอ อยากชนะพราวมากใช่ไหมถึงได้เข้าหาคุณติณห์”
“ฉลาดจริงๆเลยเจ๊ สมควรแล้วที่เป็นผู้จัดการเขี้ยวลากดินแห่งวงการ
“อย่ามาปากดีกับฉันนะ”
แฟรงค์ชี้หน้าจันทร์จรีอย่างเดือดดาล จนเอมี่ต้องดึงแขนรั้งไว้
“เจ๊นั่นแหละอย่ามาปากดี ฉันไม่ใช่เด็กของเจ๊แล้ว พวกเจ๊ทำอะไรไว้ กับอีจรีบ้าง จำเอาไว้ให้ดี อีจรีจะเอาคืนให้หมด อีจรีจะเขี่ยนังพราวร่วงจากบัลลังก์ซูเปอร์สตาร์เบอร์1 แล้วขึ้นไปนั่งแทน จำใส่กะลาหัวเอาไว้”
ขาดคำจันทร์จรีก็สะบัดหน้าเดินผละไป แฟรงค์จะตามไปตบ แต่เอมี่รีบดึงไว้
“อีพริตตี้ขายรถ อีเนรคุณ พราวอุตส่าห์พาแกมาให้ฉันปั้น ไม่รู้จักสำนึก ฉันไม่น่าเอาแกมาเข้าวงการเลย ปล่อยเอมี่ ฉันจะตามไปตบล้างน้ำ”
อีกด้านหนึ่งติณห์ก็กำลังอธิบายเหตุผลที่รับจันทร์จรีมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้พราวฟัง
“ผมเสียใจครับคุณพราว ที่เอาเรื่องคุณจรีมาทำให้คุณไม่สบายใจ”
พราวยิ้มให้ติณห์แบบไม่ติดใจเอาความ
“ที่จริงพราวก็ไม่มีอะไรกับเค้านะคะ แต่เค้านั่นแหละค่ะ ที่มีอะไรกับพราว”
“มีปัญหาอะไรกันมาก่อนงั้นเหรอครับ ?”
“ก็ไม่เห็นมีอะไร วงการมายาน่ะมันแปลกค่ะ คนไม่เคยมีเรื่องมีราวอะไรกัน อยู่ๆ ก็ไม่ชอบขี้หน้ากันขึ้นมาเฉยๆ พอสื่อจับประเด็นได้ ตีข่าว เล่นข่าว เรื่องก็เลยไปกันใหญ่ กลายเป็นศัตรูกันซะงั้น”
ติณห์แกล้งพูดเพื่อให้พราวตายใจ
“แล้วคุณจะให้ผมทำยังไงกับเรื่องคุณจรี เพื่อคุณ ผมยินดีนะครับ”
“ไม่ต้องทำอะไรหรอกค่ะ ถ้าต่างคนต่างอยู่ ก็ไม่มีปัญหา”
จังหวะนั้นเสียงมือถือของพราวก็ดังขึ้น แต่หน้าจอกลับไม่โชว์เบอร์ พราวลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจกดรับ
“ฮัลโหล ฮัลโหล ใครโทรมาคะ”
แล้วพราวต้องช็อก เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆมาตามสาย
“ระวังตัวให้ดีอีพราว มึงระวังตัวไว้ มึงจะต้องชดใช้ในสิ่งที่มึงทำ”
พราวมือเย็นเฉียบ ด้วยอาการอกสั่นขวัญแขวน
“นั่นใครพูด ใคร? แกต้องการอะไรจากฉัน”
ติณห์แกล้งทำทีเป็นถามอย่างห่วงใย “มีอะไรครับคุณพราว ใครโทรมา?”
พราวส่ายหน้า “ไม่รู้ค่ะ มันโทรมาขู่ฉัน แกเป็นใคร แกทำอย่างงี้ทำไม ฉันไปทำอะไรให้แก”
พลันสายตาพราวก็เหลือบมองออกไปที่กระจกนอกร้าน เห็นชายคนหนึ่งสวมแจ๊กเก็ตดำแบบมีฮู้ดปิดลงมาครึ่งหน้า กำลังพูดโทรศัพท์พลางหันมองเข้ามาที่เธอ
“มันอยู่นั่น คนที่โทรศัพท์มาขู่ฉัน มันอยู่นั่น”
พราวชี้ไป ติณห์รีบลุกจากโต๊ะไปทันที พราวรีบลุกตามไป แต่พอถึงหน้าร้านกลับไม่เจอใคร
“เมื่อกี้มันยืนอยู่ตรงนี้ มันใส่แจ๊คเก็ตสวมฮู้ดปิดหน้าปิดตา”
“ไม่เห็นมีใครเลยนี่ครับคุณพราว”
แฟรงค์ ที่เดินย้อนกลับเข้ามาพร้อมกับเอมี่รีบถามอย่างเป็นห่วง
“มีอะไรกันเหรอพราว?”
“พี่แฟรงค์ มีคนโทรมาขู่พราว มันยืนอยู่ตรงนี้ มันขู่พราว”
แฟรงค์มองกราดไปทั่วบริเวณ
“ไหน มันอยู่ไหน พี่จะฟาดกระบาลมันด้วยกระเป๋าหนังจระเข้น้ำเค็มให้สมองไหลเลย”
ติณห์เข้าไปโอบพราว พร้อมกับพูดปลอบใจ
“ใจเย็นๆนะครับคุณพราว ใจเย็นๆนะครับ คงมีใครเล่นพิเรนทร์โทร. มาแกล้งคุณ กลับบ้านไปพักผ่อนดีกว่านะครับ”
พราวยังไม่หายตระหนก
“มันไม่ได้แกล้ง มันโทรมาขู่พราว ว่าต้องชดใช้ในสิ่งที่พราวทำ ฉันไปทำอะไรให้ใคร”
เมื่อทั้งหมดกลับมาที่บ้าน พราวที่ยังอยู่ในอาการอกสั่นขวัญแขวน ก็หันมาบอกกับแฟรงค์ ที่เตือนเธอว่าให้รีบพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้มีถ่ายละคร
“พราวยังไม่พร้อม ช่วยพราวหน่อยนะคะพี่แฟรงค์”
พูดจบพราวก็ผละขึ้นชั้นบนไปทันที แฟรงค์หันมามองเอมี่ พลางถอนใจ
“เอาจริงเหรอ?”
แฟรงค์กับเอมี่ นั่งอยู่ในรถตู้ กำลังซักซ้อม ทำความเข้าใจกับมีน ที่จะต้องมาถ่ายละครในบทบาทของพราวเป็นครั้งแรก
“ไม่ต้องห่วงนะ วันนี้เค้าจะถ่ายซ่อมซีนที่ถ่ายค้างไว้ ไม่มีอะไรมาก ไม่มีอะไรน่ากลัว”
แฟรงค์พยายามพูดในแง่ดี แต่เอมี่ยังอดกังวลไม่ได้
“จะน่ากลัวก็ยัยจรี แม่นี่มันแหกคอกจากพี่แฟรงค์ไปแล้ว มันต้องสำแดงอิทธิฤทธิ์ในฐานะ
พรีเซ็นเตอร์แป้งตบแล้วเด้งแน่ หนูต้องรับมือกับมันให้ได้”
มีนสูดลมหายใจเข้าปอด อย่างพร้อมสู้ตาย
สมชายดักซุ่มดูไอ้เจ๋งอยู่ในรถตรงที่เดิมที่เคย แต่กลับไม่เจอ จนเขาชักถอดใจ กำลังจะขับรถออกไป
แต่สายตำรวจเดินมาเคาะประตูเสียก่อน
“ผมรู้แล้วครับว่ามันกบดานอยู่ที่ไหน”
พูดพลางส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้ แล้วก็เดินผละไป สมชายรีบรับมาเปิดดู เป็นแผนที่อู่แต่งรถแห่งหนึ่ง เลือดในกายของเขาก็เดือดพล่านทันที
“มึงรอกูอยู่ที่นั่นนะไอ้เจ๋ง กูจะไปหามึง”
สมชายแอบปีนเข้ามาทางด้านหลังของอู่ พร้อมทั้งชักปืนคู่ชีพออกมา ค่อยๆ เดินย่องๆ พลางกวาดตามองหา ผ่านซากรถต่างๆที่จอดทิ้งไว้ แต่ภายในเงียบมาก มีเพียงขวดกระป๋องกล่องอาหารที่ถูกทิ้งไว้ เป็นหลักฐานที่บ่งบอกว่ามันยังอยู่ที่นี่แน่
เขาเดินสอดส่ายสายตามองหาไปทั่วบริเวณ จนเผลอเดินไปเหยิบหนังสือที่วางอยู่ที่พื้น เมื่อหยิบขึ้นมาดู ก็พบว่าเป็นนิตยสาร HOT SHOT ที่มีข่าวรูปหลุดไอจีที่พราวกับเขาพายเรือเล่นอยู่ที่อัมพวา แล้วก็อีกหลายเล่ม ที่ล้วนแล้วแต่มีภาพมีหน้าปกเป็นรูปพราว แล้วก็เรื่องของพราวอยู่ในเล่ม
“ไอ้เลว แกจะทำอะไรของแกวะ”
พราวพรางตัวขับออกมาจากประตูรั้ว ผ่านรถเก่าๆ คันหนึ่งที่จอดซุ่มอยู่ห่างๆ รถคันนั้นค่อยๆ ลดกระจกลง
“เสร็จกูล่ะอีพราว”
ไอ้เจ๋งถุยไม้จิ้มฟันที่คาบอยู่ พลางยิ้มเหี้ยม ก่อนจะรีบขับรถตามไป
จบตอนที่ 6