xs
xsm
sm
md
lg

เงา ตอนที่ 3

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เงา ตอนที่ 3

เหตุการณ์อันเลวร้ายทั้งหมด เริ่มต้นขึ้นในราวปี พ.ศ. 2500 ณ บ้านที่ย่าอุ่นครอบครองมาจนทุกวันนี้ ตอนนั้น อุ่นยังสาวแต่งกายปอนๆ กำลังลุกลี้ลุกลนดูกระจก ผัดแป้งให้หน้าตาดูเรียบร้อย พลางชะเง้อเรียก เด็กชายใหญ่ วัยราว 12 ปี 
เด็กชายใหญ่ ผู้ซึ่งภายภาคหน้าเขาก็คือ บิดาของอิศรา มองไปรอบด้านอย่างตื่นเต้น
“พ่อใหญ่ จะเดินซนไปไหน มานี่”
ใหญ่วิ่งกลับมาหา
สักครู่หนึ่ง นางหยกเดินมาแต่ไกล มองอุ่นด้วยสายตาสงสัยว่าเป็นใคร
“คุณคะ คุณหญิงให้เชิญค่ะ”
“จ้ะ”
หยกหันตัวจะเดินนำไป
“เดี๋ยว เธอช่วยฉันยกกระเป๋าไปด้วยสิ”
หยกมองอย่างไม่พอใจนัก แล้วทำเป็นไม่ได้ยิน สะบัดตัวเดินนำไป
อุ่นฉุนกึกคว้ากระเป๋ามาถือเอง หันมาลงกับเด็กชาย หยิกหูใหญ่หมับระบายอารมณ์
“ยืนเฉยทำไมล่ะ ช่วยหิ้วสิ เบื่อจริงๆ ที่ต้องมาหอบแกตุเลงๆไปไหนต่อไหนด้วย เป็นภาระจริงๆเลย”
อุ่นเดินนำเด็กชายใหญ่ที่เดินก้มหน้างุด หิ้วของตามไปต้อยๆ

ฝ่ายคุณอิ่มพี่สาวของอุ่นชะเง้อชะแง้ มองไปทางประตูอย่างตื่นเต้นปนกังวล
หยกเข้าเร็วเข้ามา ตามมาด้วย อุ่น และเด็กชายใหญ่ สองพี่น้องชะงัก มองกัน แล้วก็ร้องไห้โฮออกมา อุ่นทิ้งกระเป๋าวิ่งถลาเข้าหาพี่สาว
“น้องอุ่น”
“คุณพี่อิ่ม”
สองสาวปราดเข้าหากัน ร้องไห้สะอึกสะอื้น หยกลงนั่งกับพื้น แอบมองจับสังเกตอย่างสนอกสนใจ เด็กชายใหญ่ ยืนเก้ๆ กังๆ
“น้องอุ่น พี่คิดว่าชาตินี่ พี่จะไม่ได้พบหน้าน้องอีกแล้ว อุ่นน้องพี่”
“คุณพี่ขา”
สองพี่น้องกอดกันสะอึกสะอื้น
หยกมองด้วยสายตาสงสัย “น้องสาวคุณหญิงจริงๆ น่ะเหรอ ทำไมป้อนปอนหยั่งนี้”

ไม่นานต่อมา สำรับอาหารถูกวางกับพื้นตรงหน้าเด็กชายใหญ่ โดยนางหยกและหญิงรับใช้อีกคน อิ่มลูบหัวใหญ่อย่างเมตตา ขณะเอ่ยถามน้องสาว
“น้องอยู่กันมายังไง สองคนแม่ลูก”
“ใหญ่ ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของอุ่นหรอกค่ะคุณพี่ ลูกติดของไอ้...เอ้อ...นายยอดน่ะค่ะ พอมันเมาตกน้ำตาย อุ่นก็เลี้ยงมา รักเหมือนลูก” อุ่นว่า
อิ่มสงสาร “โถ...น้องพี่ อุ่นรู้ไหม เจ้าคุณพ่อ เที่ยวส่งคนออกตามหาอุ่นไม่เคยหยุดท่านไม่เคยหมดหวังที่จะหาน้องพบ...จน...ท่านจากไป”
“อุ่นมันช่างเลว อกตัญญูเหลือเกิน ไม่รู้มารตัวไหนมาบดบังตาให้อุ่นเสียท่านายยอด จนต้องหนีตามมันไป แต่คุณพี่ขา อุ่นน่ะ ได้รับกรรมสมแล้วกับที่ทำให้เจ้าคุณพ่อเสียใจ พอมันเมามา ก็หาเรื่องทะเลาะตบตีอุ่นไม่เว้นแต่ละวัน”
อิ่มสงสาร “โถ น้องพี่”
“น้องสมน้ำหน้าตัวเองที่ใฝ่ต่ำ ทำให้ทุกคนผิดหวัง แต่น้องดีใจเหลือเกินนะคะ ที่ตามพี่อิ่มพบ น้องขออยู่สักสองสามวัน ได้คุยได้กอดคุณพี่ให้หายคิดถึง แล้วน้องก็จะไปตามทางของน้องกับตาใหญ่”
อิ่มรวบมืออุ่นไว้
“ไม่ น้องจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ต่อแต่นี้ไป เราจะไม่พรากจากกันอีกแล้ว”
อิ่มยังรวบตัวอุ่นมากอดด้วยความรักและเมตตา โดยไม่ทันเห็นรอยยิ้มของอุ่นที่ยิ้มอย่างสาสมใจและมีเลศนัยบางประการ แต่หยกเหลือบมองมา และได้เห็นอุ่นแสดงสีหน้า รอยยิ้มนั้นพอดี
นับจากวินาทีนั้นหยกก็เริ่มไม่วางใจในตัวน้องสาวผู้เป็นนาย
ถึงตรงนี้ ผีนางหยกเข้ามาที่ข้างเตียง ใกล้หน้าย่าอุ่น
“คิด...ระลึกให้หมด ถึงความเลวชั่วช้าของเอ็ง ความโหดเหี้ยมที่เอ็งคิดว่าได้ถ่วงทิ้งไปพร้อมกับร่างของข้า....ขุดมันขึ้นมาให้เห็นถึงสันดานชั่วของเอ็งซะให้ชัดๆ อีอุ่น”
ย่าอุ่นตาเหลือกลาน หวนนึกถึงความชั่วของตนอีกครา

ในตอนนั้น ไม้ตะพดถูกวางข้างเก้าอี้ ท่านเจ้าคุณนั่งสง่าอยู่ มีสาวใช้เมียเล็กเมียน้อย อีก 3 คนนั่งรายล้อมที่พื้น อิ่มนั่งข้างสามี อุ่นที่บัดนี้แต่งกายสวยงามผิดตา นั่งข้างพี่สาว
อุ่นเอ่ยขึ้น “อิ่มขอความเมตตา ขอฝากชีวิตน้องสาวไว้กับท่านเจ้าคุณอีกคนนะเจ้าคะ”
“น้องของคุณหญิงก็เหมือนน้องของพี่ พี่ยินดี ขอให้อยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวเดียวกันนี่แหละ” ท่านเจ้าคุณยิ้ม
อุ่นลงนั่งพื้นกราบเท้า ท่านเจ้าคุณรีบช้อนมือรับ อุ่นเงยหน้าช้อนตามองทำตาหวานใส่ ท่านเจ้าคุณชะงัก พยายามเก็บกิริยา
หยกเห็นมองจ้องตาโต หมั่นไส้ขึ้นมาทันควัน หันไปมองสบตากับสาวอื่นๆ ซึ่งแต่ละนางล้วนหน้าตึง ไม่ถูกชะตาอุ่นทั้งแถบ

คืนนั้นใหญ่นอนหลับกับพื้น มีเบาะปูรองนอน ส่วนอุ่นนอนไม่หลับ ด้วยอากาศร้อน หล่อนลุกขึ้นมาพัดวีตัวเองมองไปรอบห้องอย่างหงุดหงิด
“ทำเป็นต้อนรับ จะดูแลน้องให้ดี ให้มุดหัวอยู่ในรูหนูอย่างเนี้ยนะ ร้อนจะตับแตก”
อุ่นหงุดหงิดลุกเดินออกไป

ขณะที่อุ่นเดินพัดวีตัวเองออกมานั้น มองไปทางหนึ่งแล้วชะงัก ฉากหลบ ชะเง้อมอง เห็นท่านเจ้าคุณเดินมาเรื่อยๆ ตรงไปยังเรือนคนใช้ มี หยก และสาวใช้คนอื่นยืนรออยู่
พอท่านเจ้าคุณไปถึง ก็หยุดมองสาวๆ ก่อนจะยิ้มตรงไปหาหยก หยกทรุดตัวก้มไหว้
ท่านเจ้าคุณเดินเข้าห้องหยกไป หยกยิ้มกับสาวใช้คนอื่นๆ เดินตามเข้าห้อง ปิดประตูลง อีกสองสาว มีสีหน้าผิดหวัง เดินกลับเข้าห้องตัวเองไป
อุ่นเขม้นมอง นิ่งคิดจนเข้าใจเรื่องราว หล่อนยิ้มมีเลศนัยออกมา

ค่ำคืนหนึ่ง ท่านเจ้าคุณเดินมา ตั้งใจจะไปทางเรือนคนใช้ แล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นอุ่นในชุดนอนเสื้อคอกระเช้า ใบหน้าสวยงามเดินออกมาจากมุมหนึ่ง ยิ้มชมดชม้อยให้ ท่านเจ้าคุณยิ้มตอบ
ขณะเดียวกัน นางหยกยืนตบยุงรอท่านเจ้าคุณอยู่หน้าห้อง
อุ่นพาท่านเจ้าคุณเข้าห้องปิดประตูลงยิ้มสมใจ สักครู่หนึ่งประตูห้องเปิดออก เห็นใหญ่กอดหมอน ถูกอุ่นผลักออกมา ท่าทางงัวเงีย อุ่นปิดประตูลง
เด็กชายใหญ่เกาหัวเอาหมอนไปวางลงพื้นหน้าห้อง นอนขดตัวที่หน้าห้องนั่นเอง

คุณอิ่มรู้เรื่องในคืนนั้นแล้ว เวลานี้อุ่นก้มลงกราบตักพี่สาวที่มีสีหน้าเคร่งขรึม อึดอัดใจอยู่
“คุณพี่เจ้าขา อย่าโกรธน้องเลยนะเจ้าคะ” อุ่นแสร้งร้องไห้เสียใจหนัก “น้องผิดไปแล้ว”
“คุณอิ่ม” ท่านเจ้าคุณอยู่ในห้องด้วย สีหน้าอึกอักเล็กน้อย “ฉันเองที่ผิด...ฉันขอล่ะ”
อิ่มมองท่านเจ้าคุณ และ น้องสาว ครู่หนึ่ง ถอนหายใจเบาๆ ออกมา พลางรูดแหวนทองจากนิ้ว ดึงมือของอุ่นมาสวมแหวนให้ อุ่นพิศวง อิ่มยิ้มบางๆ ให้ สีหน้าปล่อยปลง
“พี่ให้...ถือว่า...” อิ่มเหลือบมองสามีค้อนนิดๆ “รับขวัญน้องให้มาช่วยกันดูแลรับใช้ท่านเจ้าคุณ”
อุ่นจอมมายาแสร้งยิ้มเศร้า ทำน้ำตาคลอก้มกราบตักอิ่มที่ก้มโอบน้องด้วยความเมตตา

ส่วนอุ่นลอบยิ้มสาสมใจ แววตาหมายมาด

อุ่นถูกยกเป็นเมียน้อยอีกคนของท่านเจ้าคุณ เวลานี้อุ่นอยู่ในชุดสวย เหมือนจะออกไปเที่ยวนอกบ้าน เดินเฉิดฉายมามุมหนึ่ง

หยกเดินสวนมากับสาวใช้อีกสองคน ทั้งหมดชะงักมองกันอย่างไม่ชอบขี้หน้าอยู่ครู่หนึ่ง หยกและสาวอื่นจะเลี่ยงไป
“เดี๋ยว” อุ่นเรียกไว้
หยกชะงัก อุ่นวางอำนาจใส่
“พวกหล่อนเดินผ่านเจ้านาย ทำไมคอแข็งนัก จะก้มจะหมอบหน่อยรึก็ไม่มี”
“บ้านนี้ มีนายสองคน คือ ท่านเจ้าคุณ กับคุณหญิงเท่านั้น”
“ฉันก็น้องพี่อิ่ม แล้วก็ยังเป็นเมียของท่านเจ้าคุณพี่”
“เฮอะ เมีย” หยกปรายตายิ้มเย้ย “ที่จริง ถ้าจะนับเรียงความเป็นเมีย อีหยกนี่ เป็นเมียท่านก่อนด้วยซ้ำ คุณมาทีหลัง น่าจะเป็นฝ่ายก้มไหว้อีหยกล่ะไม่ว่า”
“อีหยก อีชาติไพร่ ขอตบปากอีขี้ข้าสักทีเถอะวะ”
อุ่นเงื้อมือ หยกคว้าไว้ได้ทันด้วยมือหนึ่ง พออุ่นเหวี่ยงอีกมือหยกก็คว้าได้อีก ซ้ำยังจับมือบิดจนอุ่นเจ็บ สาวอีกสองคนหัวเราะกิ๊กกั๊ก
“โอ๊ย นังหยก ปล่อยชั้นนะ โอ๊ย”
“คนอย่างนังหยก ไม่ยอมให้ใครข่มเหงง่ายๆ หรอกนะ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน จำไว้ หล่อนกับฉัน ก็เป็นแค่เมียบำเรอของท่านเจ้าคุณเหมือนกัน ก็เท่านั้น”
สองคนจ้องตากันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
เวลาผ่านไป เห็นท่านเจ้าคุณกำลังแสดงความรักและดีใจกับคุณอิ่มที่กำลังท้องโต อุ่นเดินมาแอบยืนมองด้วยสีหน้าอิจฉาริษยาเต็มที่
นึกถึงคำพูดของหยก “มึงกะกู เป็นเมียบำเรอของท่านเจ้าคุณเหมือนกัน ก็เท่านั้น”
อุ่นขุ่นเคือง มองความสุขของพี่สาวอย่างอิจฉาริษยามาดร้ายล้ำลึก
คุณอิ่มคลอดตามกำหนด ท่านเจ้าคุณกำลังก้มดูทารกในเปล อิ่มนอนเพลียอยู่บนเตียง หยก และ คนรับใช้อีกคนกำลังดูแลอิ่มอยู่ ทุกคนล้วนมีสีหน้าตื่นเต้นดีใจกับคุณหนูคนแรก
“ตาเล็กลูกพ่อ” ท่านเจ้าคุณเดินยิ้มหน้าบานมาหาอิ่ม “คุณหญิง ขอบคุณมากนะ” พลางจับมือมาจูบอย่างสุดแสนรักสีหน้ายังคงตื่นเต้นระคนปลาบปลื้มไม่หาย
อิ่มยิ้ม ท่าทางอ่อนเพลียเห็นได้ชัด
ท่านเจ้าคุณเอ่ยขึ้น “ทุกคนฟังนะ ทุกคนต้องช่วยกันปรนนิบัติดูแล คุณหญิงกับลูกชายฉันให้ดีที่สุด เข้าใจไหม”
หยก และ คนรับใช้สูงวัย 1 ยิ้มแย้ม น้อมรับ
“เจ้าค่ะ”
อุ่นกำลังจะเข้ามา ลอบแสดงสีหน้าริษยาเล็กน้อย หยกที่กำลังยิ้มอยู่หันมาเห็นพอดี อุ่นรีบปรับสีหน้า ยิ้มแย้มเดินเข้ามาก้าวผ่านหน้าหยก จงใจให้รู้ว่าเหนือกว่า และลงนั่งบนเตียงข้างพี่สาว กอดพลางเช็ดน้ำตาพลางอย่างปลาปลื้ม
“คุณพี่ของน้อง น้องดีใจเหลือเกินที่ทั้งหลานทั้งคุณพี่ปลอดภัย” อุ่นหันมาฉอเลาะกับท่านเจ้าคุณ “น้องจะคอยดูแล คุณพี่กับหลาน ให้ดีที่สุดอย่างถวายชีวิตเทียวค่ะ คุณพี่”
“ฝากด้วยนะแม่อุ่น”
อุ่นก้มลงกอดพี่สาวใบหน้ายิ้มแย้ม ท่านเจ้าคุณพอใจ แต่หยกมองอย่างสงสัยคาใจ

อยู่มาวันหนึ่ง อุ่นยืนลับๆ ล่อๆ อยู่ในสวน ท่าทีอย่างกระวนกระวายเหมือนรอคอยใครอยู่ จนกระทั่ง เห็นเด็กชายใหญ่วิ่งมา
“พ่อใหญ่ๆ ทางนี้”
ใหญ่วิ่งมา หอบเหนื่อยยกมือปาดเหงื่อ
“ได้มาหรือเปล่า ส่งมาสิ ยืนเป็นเบื้ออยู่ได้”
ใหญ่ล้างหยิบห่อยาที่เป็นกระดาษห่อสีน้ำตาลมาส่งให้ อุ่นกระชากไปจากมือ
“ดี” อุ่นยิ้มลูบหัวใหญ่ “นี่ แล้วแกก็แล้วไม่ต้องไปโพนทะนา บอกใครๆ ล่ะ ว่าแม่จะฆ่า..หนูสกปรกๆ ในห้อง...คนเค้าจะว่าแม่ทำบาป เข้าใจไหม”
“ขอรับ”
ใหญ่วิ่งออกไปอุ่นมองห่อกระดาษในมือ หน้านิ่ง เหี้ยมเกรียมผิดมนุษย์

อีกวันหนึ่ง ถ้วยมีน้ำยาต้มสมุนไพร ถูกจับแตะที่ริมฝีปากอิ่ม โดยอุ่นกำลังประคองพี่สาวกรอกยา คนรับใช้อีกคนกำลังไกวเปลทารกอยู่ข้างเตียง
อิ่มผงะหน้าแหย “ขมจริง”
“ยาสมุนไพรต้มก็อย่างนี้แหละค่ะคุณพี่ น้องเฝ้าหม้อเองต้มเองกับมือเทียวนะคะ อยากให้คุณพี่แข็งแรงเร็วๆ ดื่มให้หมดเถอะค่ะ”
อุ่นคะยั้นคะยอป้อนอิ่มจำใจดื่ม หน้าเบ้เพราะขม อุ่นยิ้ม
นางหยกท้องอ่อนๆ เดินมาหยุดดูที่ประตู จ้องมองอุ่น สีหน้าเป็นห่วงเจ้านายครามครัน

นึกถึงเรื่องนี้ ย่าอุ่น มีสีหน้าเหี้ยมเกรียม ตาลอยๆ เพ้อพึมพำออกมา
“ดื่มซะ..คุณพี่”
ผีนางหยกนอนหัวเกือบชิดหน้าย่าอุ่น
“แกคงจำได้แม่นยำล่ะสิ มือของแก ที่กรอกยาพิษ ให้คุณหญิงดื่มทีละน้อยทุกวัน ..ทุกวัน..พี่สาวของแกเองแท้ๆ อีคนใจอำมหิต”
ย่าอุ่นแม้กลัวแต่ยังเถียงด้วยใจอำมหิต เหมือนคนเพ้อ
“ใช่ ใช่สิ ทำไมล่ะ..คุณพี่ เสวยสุขมานานแล้ว...ก็ควรเป็นเวลา..ของน้อง..ได้แล้ว”

อีกเหตุการณ์เกิดขึ้นบริเวณสนามข้างบ้านท่านเจ้าคุณ
ตอนนั้นหยกเดินออกมาข้างเรือนท่าทีมีพิรุธ ซ่อนถ้วยยาไว้ในชายเสื้อ หยกมาหยุดที่มุมหนึ่งลับตาคน ก่อนจะเอาถ้วยออกมา มีเศษยาเหลือติดอยู่ก้นถ้วยนิดหน่อย หยกหันรีหันขวาง มองไปเห็นตุ่มก็เอาขันตักน้ำมาลงหยดลงในถ้วยหน่อยหนึ่ง
ข้างๆ มีสุนัขไอ้ด่างตัวเล็กๆ นอนอยู่ หยกเอาถ้วยน้ำเทใส่ชาม เสือกชามให้ สุนัขเข้ากินน้ำอย่างกระหาย หยกมองอย่างสนใจและรอลุ้นอยู่ เพียงครู่เดียวเท่านั้น สีหน้าหยกก็เปลี่ยนเป็นตื่นตะลึง

ไม่นานต่อมา หยกเข้ามาในห้องนอนคุณอิ่ม กระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับอิ่มที่นอนอ่อนเพลียโรยแรงอยู่ อิ่มฟังแล้วมีอาการเสียใจมาก หลับตานิ่ง น้ำตาไหลเป็นทาง
หยกสงสารร้องไห้ออกมา “คุณอิ่มเจ้าขา หยกจะไปฟ้องท่านเจ้าคุณนะเจ้าคะ”
“อย่า..หยก...มันอาจไม่ใช่เรื่องจริง”
“แต่หยกบอกแล้ว ว่าหยกเห็นกับตา ว่าไอ้ด่างมันสำรอกออกมาหมดแล้วก็ล้มเจ็บไปเลย”
“เขาเป็นน้องชั้น” อิ่มส่ายหน้า “แล้วตอนนี้..มันสายไปแล้ว..ชั้น...จะไม่ไหวแล้ว”
“ไม่...ไม่ค่ะ คุณอิ่มต้องหายนะคะ” หยกร้องไห้ผวากุมมืออิ่ม “คุณอิ่ม แม่พระของหยก” แนบมือที่หน้าตนร้องไห้อย่างหนัก “คุณอิ่มต้องหายนะเจ้าคะ”
พออุ่นเข้ามา เห็นหยกอยู่กับพี่สาวก็ตกใจ
“อีหยก แกเข้ามากวนอะไรคุณพี่ ออกไปเดี๋ยวนี้”
“แก”
อิ่มแตะมือหยกปราม หยกจำใจออกจากห้องไป
“นังนี่มันมาเพ็ดทูลอะไรคะคุณพี่” อุ่นยิ้มแย้มขยับมานั่งใกล้ “ได้เวลายาแล้วค่ะคุณพี่”
อุ่นยื่นถ้วยแก้วให้อิ่มส่ายหน้าหนี “ไม่”
“ทำไมล่ะคะคุณพี่”
อิ่มเอ่ยขึ้น “อุ่น..น้องเกลียดพี่มากเหรอ”
อุ่นอึ้ง
“น้อง...อยากให้พี่ตายไปนักเหรอ”
อิ่มสะดุ้งลุกพรวดเสียงสั่น “คุณพี่..คุณพี่พูดอย่างนี้ได้ยังไง”
อุ่นหันมามองน้องน้ำตาไหลเป็นทาง
“ยา...นั่น”
อิ่มไม่ทันได้พูดต่อก็ไอโขลกๆ อย่างรุนแรง อุ่นวางแก้วมองอิ่มจะเข้าประคองก็มัวแต่กังวลเรื่องถูกจับผิด อิ่มไอหนักจนเห็นฝอยเลือดติดผ้าเช็ดปาก

“คุณพี่!” อุ่นทำเป็นตกใจ

ท่านเจ้าคุณวิตกทุกข์ร้อนเรื่องอาการป่วยของคุณอิ่มที่ทรุดหนัก คุยกับหมออยู่หน้าห้อง

“มันต้องมีหนทางสิหมอ หมอต้องช่วยชีวิตแม่อิ่มได้” ท่านเจ้าคุณร้องไห้เสียงเครือ “อิ่มเพิ่งคลอดลูกได้ไม่ถึงเดือน เธอควรจะมีโอกาสดูลูกเติบโตไปด้วยกันกับฉัน...หมอ...ช่วยอิ่มด้วย”
หมอถอนหายใจอ้ำอึ้ง ท่านเจ้าคุณรู้คำตอบร้องไห้ออกมาเงียบๆ
อิ่มนอนหน้าซีดใกล้ตายอยู่ในห้อง อุ่นนั่งขอบเตียงลอบยิ้ม ท่านเจ้าคุณเดินสีหน้ารันทดเข้ามาในห้อง อุ่นรีบก้มกอดพี่สาวแสร้งร้องไห้
“คุณพี่ของน้อง ..ไม่น่าโชคร้ายอย่างนี้เลย...
อุ่นมองทางอิ่ม อิ่มค่อยๆ ลืมตา
“อุ่น”
“คุณพี่...”
“ฝาก...ฝาก...”
“คะ? คุณพี่”
“ฝาก...ตาเล็ก...ด้วย”
ท่านเจ้าคุณทนไม่ไหว ทรุดตัวลงนั่งช้อนอิ่มขึ้นพิงอกตัวเอง กอดไว้แนบอก
“โธ่ แม่อิ่ม...แม่อิ่มต้องหาย..แม่อิ่มต้องเข้มแข็งนะ”
อุ่นทำเสียงเครือ แต่หน้าปรายยิ้มขณะจับมือพี่สาว
“คุณพี่ไม่ต้องกังวลนะคะ อุ่นจะรักจะดูแลตาเล็กให้เหมือนลูกแท้ๆ ของอุ่นเลย”
อิ่มมองอุ่นด้วยสายตาที่เหมือนรู้เรื่องทั้งหมด น้ำตาไหลเป็นทาง อุ่นมองสบตาชะงักนิดๆ แต่รีบข่มอาการ
“ฝาก..ตาเล็ก...อย่า..ทำอะไร..ตาเล็ก..พี่..ขอ..แลกด้วยชีวิต”
อุ่นชะงักงัน “พี่อิ่ม”
“แม่อิ่ม..แม่อิ่มพูดอะไรแบบนั้น ไม่..แม่อิ่ม ทำใจดีๆ นะ”
ท่านเจ้าคุณกอดคุณอิ่มโดยไม่รู้เรื่องอะไร อิ่มน้ำตาไหลพราก พิงอกท่านเจ้าคุณจดสายตามองน้องสาวตลอดเวลา แววตาทั้งตัดพ้อทั้งเสียใจ อุ่นชะงัก

เมื่อคิดถึงเหตุการณ์นี้ ย่าอุ่นสะท้อนในอก พึมพำออกมา “พี่...อิ่ม…”
เสียงผีนางหยกร้องกล่อมลูกแว่วมา “เอ่เอ้...แม่กาเหว่าเอย...ออกไข่..ให้แม่กาฟัก..เอย...”
ย่าอุ่นกวาดตามองไป เห็นผีนางหยกกำลังเคลื่อนตัวมาใกล้ เห่กล่อมลูกกรอกในอกพลางร้องไห้พลาง
“ลูก...ลูกแม่...อีชั่วนี่มันฆ่าพี่สาวของมัน แล้วมันก็ฆ่าแม่ ฆ่าลูกของแม่ ลูกของแม่ไม่มีโอกาสลืมตามาดูโลก เพราะอีคนใจบาปคนนี้ ฮือๆ”
ผีนางหยกเงยหน้ามามองอย่างฉับพลัน ย่าอุ่นสะดุ้งสุดตัว
“ดูหน้ามัน ดูหน้ามันไว้ อีคนที่ความอิจฉา ความโลภ มันเร่าร้อนจนมันทำได้ทุกอย่าง”
ผีนางหยกยื่นยกซากทารกมาจนเกือบชิดหน้าย่าอุ่น ย่าอุ่นตกใจกลัวสุดขีด ผีนางหยกหัวเราะและร้องไห้ในเวลาเดียวกัน ย่าอุ่นเบิกตาดูซากทารกในมือของผีนางหยกที่หัวเราะเสียงโหยหวนนั้น
คนกับผีหวนรำลึกถึงเรื่องราวในอดีต
ตอนนั้นเสียงนางหยกร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดสุดจะประมาณ ร่างถูกมัดมือมัดเท้า โยงยึดกับเสาในกระท่อมร้าง กรีดร้องอยู่ไม่หยุดหย่อน โดยมีอุ่นเอาไม้ตะพดฟาดที่ลำตัว หยกสะดุ้งกัดปากจนห้อเลือด
“เอ็งเผยอตัวว่าจะมีลูกกับท่านเจ้าคุณงั้นสิ” อุ่นฟาดเปรี้ยง “เอ็งอย่าหมายนะ ว่าลูกในท้องของเอ็งจะช่วยเอ็งให้มาตีเสมอข้าได้” แล้วฟาดอีกเปรี้ยงสุดแรง
“โอ๊ย...อีอุ่น อีชาติชั่ว อย่านึกว่าข้าไม่รู้ว่าเอ็งฆ่าคุณอิ่ม ข้าจะไปบอกเจ้าคุณ ข้าจะไปแจ้งความ”
อุ่นหัวเราะเยาะ “เอ็งถูกจับมัดอยู่แบบนี้ ยังปากดีนะอีหยก” ว่าแล้วก็ฟาดอีกที “เอ็งมันเหมือนเสี้ยนที่คอยทิ่มแทงตีนข้า อีหยกไพร่ อีคางคกขึ้นวอ” คราวนี้ฟาดสุดแรง
หยก ร้อยโอดโอยแล้วสะบัดหน้ามามองอย่างโกรธแค้น ฝังหุ่น
“เออ ชาตินี้ข้าสู้เอ็งไม่ได้ ก็ขอสาปแช่ง ให้เอ็งไม่ตายดี”
อุ่นแค้นหนัก “อีหยก อีชาติไพร่”
อุ่นเงื้อไม้ตะพดตีเปรี้ยงไปเต็มแรงที่หน้าหยกโดนขมับจัง หยกสะดุ้งสุดแรงล้มลง ลมหายใจสะท้อนเฮือกๆ เลือดไหลออกจากขมับ นัยน์ตาเบิกโพลงมองมาที่อุ่นเขม็ง อุ่นยืนหอบตะลึง

ต่อมาร่างนางหยกถูกมัดข้อมือและเท้า และถูกลากไปกับพื้นหญ้า
ย่าอุ่นในวัยสาวจับที่ข้อมือที่ถูกมัดนั้น กำลังลากนางหยกมาอย่างทุลักทุเล สีหน้าแม้จะเหนื่อยแต่เหี้ยมเกรียม ส่วนนางหยกที่หลับตาอยู่ มีคราบเลือดที่ขมับ เผยให้เห็นส่วนท้องที่นูนขึ้นจนดูรู้ว่ากำลังท้อง

เสียงหอบของอุ่น ดังประสมเสียงลากร่างหยกไป

อุ่นลากร่างหยกมานอนขวางตรงท่าน้ำรึมบึง แล้วหยุดยืนหอบเหนื่อย มองดูร่างนางหยกอย่างสาแก่ใจ

“เล่นเอากูเหนื่อยเชียวอีหยก...ไปหาพ่อให้ลูกในท้องมึงในสระนี่เถอะ”
อุ่นทั้งเตะทั้งผลักส่วนขาของหยกลงน้ำไปก่อน แล้วเดินมาที่ส่วนหัว คว้าเชือกที่มัดโยงข้อมือทั้งสองข้างนั้น
ฉันพลัน มือที่กำเหยียดออกของนางหยก คว้าจับมือของอุ่นหมับเข้าให้ อุ่นสะดุ้งตกใจ
นางหยกลืมตาอยู่จ้องหน้าอุ่นเขม็ง ย่าอุ่นตกใจ แต่พยายามสลัดให้หลุด แล้วหันไปคว้าก้อนหินใกล้มือ อุ่นยกก้อนหินเหนือหัวทุ่มใส่หัวนางหยก
ร่างนางหยกตกลงไปในน้ำแล้ว มือเท้าถูกมัด พยายามดิ้นต่อสู้กับความตายสุดชีวิต แต่เพียงครู่เดียวก็แน่นิ่ง ลอยลงในน้ำลึกลงไปๆ

ในวันต่อมา ท่านเจ้าคุณมีสีหน้าโศกเศร้ามาก นั่งมองทารกน้อย คุณเล็ก ในเปล มีคุณใหญ่นั่งพัดให้น้อง ส่วนอุ่นกำลังตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ
“น้องไปค้นในห้องของหยก ก็ไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่เสื้อผ้าสักชิ้นเจ้าค่ะ น้องไม่อยากจะกล่าวโทษหยกนะคะ แต่ว่า...มันน่าสงสัยที่หยก หนีหายไปหลังจากที่คุณพี่ตาย...ฮึ ถ้ารู้นะว่ามันเป็นตัวการใส่ยาพิษให้คุณพี่ทานล่ะก็”
ท่านเจ้าคุณชะงัก “ทำไมน้องถึงคิดว่า น้องอิ่มตายเพราะยาพิษ”
อุ่นชะงัก อึกอักทันที หญิงรับใช้อีกสองคน ลอบมองหน้ากัน แล้วแอบมองอุ่นอย่างสงสัย
“น้องเพียง...เพียงแต่...เดา...ก็..ก็ แค่คลอดลูก คุณพี่อิ่มไม่น่าเสียแรงมากขนาดต้องตายนี่คะ”
“หยกจะหนีไปไหน ก็ปล่อยเขาไป อย่าไปใส่ความเขาเลยถ้าไม่มีหลักฐาน...บาปเปล่าๆ” ท่านเจ้าคุณมองลูกน้ำตาคลอ “เวทนาแต่ตาเล็ก ไม่ได้เห็นหน้าแม่...น้องอุ่น ต้องทำหน้าที่ ทั้งน้าทั้งแม่ให้ตาเล็กนะ พี่สงสารลูกเหลือเกิน”
อุ่นลอบระบายลมหายใจ
“เจ้าค่ะ คุณพี่”
อุ่นยิ้ม สีหน้าท่านเจ้าคุณระแวงอยู่บ้าง

ตกกลางคืน อุ่นในชุดนอนเดินอยู่ในห้องอิ่มอย่างสุขใจที่ได้ครอบครองห้องพี่สาว ประตูห้องเปิด ออก ท่านเจ้าคุณหน้าหมองจะเข้ามาแล้วชะงัก
อุ่นยิ้มหวานให้ “คุณพี่” พลางลงนั่งขอบเตียงยิ้มรอ
ท่านเข้าคุณก้าวเข้ามามองรอบห้อง ถวิลหาอิ่มจนน้ำตาคลอ
“น้องอุ่น”
“เจ้าขา”
“น้อง...กลับไปอยู่ห้องของน้องเถอะนะ ห้องนี้พี่ขอ...” ท่านเจ้าคุณน้ำตาไหล “ขอให้เป็นห้องของน้องอิ่มตลอดไป”
อุ่นลุกพรวด “คุณพี่”
ท่านเจ้าคุณหน้าเศร้า อุ่นกัดปาก กำมือแน่น

พอนึกเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วย่าอุ่นคร่ำครวญออกมา “คุณพี่”
ผีนางหยกหัวเราะเยาะ “แกไม่เคยได้ความรักจากท่าน อีอุ่น”
ย่าอุ่นนิ่งเศร้าไปชั่วขณะ แล้วหัวเราะหยันขึ้นมา “แล้วไง ความรักโง่ๆ ไง ข้าก็ชนะหรือแม้แต่แก อีหยก แกก็ตายไป อย่างน่าสมเพชใต้บึงนั่น ใครบ้างล่ะที่รู้ เขานึกว่าแก หนีตามผู้ชายไปทั้งนั้น...ชั้นสิ...ชั้น...คือ คนชนะทุกๆ คน” หญิงชราหัวเราะอย่างสะใจ
“แกต่างหากที่แพ้...อีอุ่น แพ้ต่อความชั่วช้าสามานย์ ที่แกกำลังจะได้รับโทษอย่างสาสม ความชั่วของแก คนอาจจะไม่รู้แต่...ท่าน...รู้...นรก รอแกอยู่”
ผีนางหยกแนบหน้ามาข้างหูด้านหนึ่งของยาอุ่น ย่าอุ่นหวาดสะพรึงกลัว
ผีนางหยกกรีดหัวเราะเสียงแหลม “ใกล้แล้วล่ะ อีอุ่นเอ๊ย ที่แกจะได้รู้ว่า ไฟนรก มันแผดเผา เร่าร้อน ขนาดไหน”
ย่าอุ่นกลัว ผวาสั่น เพิ่งระลึกถึงความตายและนรกเป็นครั้งแรกในชีวิต

อีกฟาก ไม้ขีดจุดไฟไปจ่อแท่งเทียนให้เปลวไฟติด ดวงแก้วจุดเทียนหน้าพระพุทธในห้องพระ มีภาพคุณเล็กในกรอบรูปวาง เจริญขวัญวางแก้วน้ำตรงหน้ารูป
“แม่จ๊ะ”
ดวงแก้วหันมาหา “หือม์”
“แม่ว่าป่านนี้ คุณพ่อ...จะเป็นยังไงบ้าง”
ดวงแก้วมองรูปสามี ด้วยความคิดถึง
“คุณพ่อเป็นคนดี แม่เชื่อว่า คุณพ่อต้องไปในทางที่ดี”
“หนูเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม เชื่อเรื่องนรกสวรรค์ แต่หนูไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องมีผีมาหลอกคน มาสร้างกรรมเวรอีกทำไม”
“วิญญาณทุกดวงต้องไปตามกรรมก็จริง แต่เพราะกรรมทำให้เขาหาที่เกาะเกี่ยวไปไม่ได้ เลยต้องมาพยายามขอส่วนบุญของมนุษย์”
“งั้นถ้าหนูเห็นผี หนูก็ต้องแผ่ส่วนกุศลให้เขาสิจ้ะแม่”
“ถึงหนูไม่เห็น หนูควรแผ่อุทิศส่วนกุศลไว้เรื่อยๆ นั่นแหละ พระท่านว่า คนที่เจริญเมตตาเสมอ ย่อมเป็นที่รักของหมู่มนุษย์และเทวดา ความเมตตากรุณา เป็นเครื่องยังโลกยังสัตว์ทั้งปวง” ดวงแก้วสอนลูก
“คุยกับแม่แล้วสบายใจ หนูจะได้ไม่ดิ้นรนทะเยอทะยาน ตายไปจะได้ไม่ต้องกลัวยมบาล...เออ..ยมบาลนี่หน้าตาจะเป็นยังไงน้า”
“แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่วาดไว้ส่วนใหญ่เป็นคนหน้าตาดุ มีเขาบนหัว”
“แล้ว ต้องทำยังไงคะ ถึงได้ตายไปเป็นยมบาลได้”
“เขาว่า ตอนเป็นคน ได้ทำทั้งกรรมดีและกรรมชั่วเท่ากันพอดี และแม้ว่าจะเป็นกึ่งเทพกึ่งสัตว์นรก ก็ยังต้องดื่มน้ำทองแดงทุกชั่วโมงตามกรรมชั่วที่ได้ทำมา จนกว่าจะพ้นกรรมเหมือนกัน”
“งั้นยมบาลก็น่าสงสารเหมือนกันสิคะ คืนนี้หนูจะแผ่กุศลให้เผื่อจะได้ไม่ต้องดื่มน้ำทองแดง เผื่อว่าเวลาหนูตายไปแกจะได้เห็นใจมากๆ หน่อย” หญิงสาวสัพยอก
“แน่ะ จะคอรัปชั่นยมบาล กรรมใครกรรมมันลูก ขอใครช่วยไม่ได้หรอก จงเป็นคนที่พร้อมให้ความรักความเมตตาแกมนุษย์โดยไม่เลือกหน้าเถอะ สวรรค์นรกจะมีจริงหรือไม่ก็ตาม ถ้าจิตใจหนูสะอาดบริสุทธิ์ ก็มีความสุขเหมือนขึ้นสวรรค์เหมือนกัน”
เจริญขวัญยิ้มรับ “ค่ะแม่”
จากนั้นหญิงสาวหันหน้าไปทางโต๊ะบูชา เริ่มหลับตาสวดมนต์ ดวงแก้วมองลูกสาวด้วยความรักและห่วงใย
โถกรวดน้ำสีทอง มีประกายแสงส่องให้เห็นว่ายิ่งใหญ่นักการกรวดน้ำนี้ เจริญขวัญกรวดน้ำ สีหน้าตั้งอยู่ในสมาธิ กรวดน้ำอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ

ขณะเดียวกันนั้น ถาดเงินหรูมีแก้วใส่น้ำทองแดงใสเปล่งประกาย ถูกถือมาโดยภุมมะ ท่านชายยืนรออยู่หันมาหา ภุมมะค้อม ยกถาดให้ ท่านชายหยิบแก้วมาหลับตากลั้นใจยกดื่ม แล้วก็ลืมตาอย่างพิศวง
“ภุมมะ”
ภุมมะรับ “เจ้าข้า”
“ทำไมรสชาติมันเปลี่ยนไป มันไม่ทำให้ข้าทรมานจนนิดเดียว”
ท่านชายวางแก้ว พิศวง ลิงโลด ระคนยินดี กึ่งเศร้าหมอง เบื้องหลังเป็นรูปวาด
“ภุมมะ ใครที่ช่วยข้า...ใคร ที่ทำให้ข้ามีความสุขขึ้น ข้าต้องการรู้เดี๋ยวนี้”

เจริญขวัญนอนหลับอยู่ พลิกตัวมาอีกทางหนึ่ง ในดวงจิตยามหลับเหมือนเห็นอะไรบางอย่าง
ณ มิติเหนือเวลา จุดบรรจบพบโลกและสวรรค์ เจริญขวัญเดินเข้ามาในนั้นอย่างงุนงง มีควันลอยหนาคล้ายเมฆรายล้อม ยินเสียงดนตรีกังสดาลขับกล่อมตลอดทาง เจริญขวัญเดินต่ออย่างพิศวงแต่สดชื่นกับบรรยากาศโดยรอบ จนมาหยุดมองทางหนึ่ง เห็นกลุ่มควันหนา มีร่างๆ หนึ่งในชุดขาวกำลังจะเดินออกมาพ้นจากกลุ่มควันขาวนี้ เจริญขวัญเพ่งมอง
“ใคร...นั่น...ใครคะ”
ร่างสูงเดินในเงาหมอกใกล้เข้ามา
เจริญขวัญถามอีก “พ่อ...พ่อหรือเปล่าคะ”

ร่างนั้นก้าวออกมา เป็นบุรุษ รูปงาม สูงสง่า ในสูทขาวสะอ้าน มีออร่าประกายระยิบระยับรอบตัว ส่งยิ้มมาให้ เจริญขวัญมอง ตะลึง สีหน้างุนงง

อ่านต่อหน้า 2

เงา ตอนที่ 3 (ต่อ)

ณ มิติเหนือเวลา จุดพบโลกและสวรรค์ ตอนนี้ เสียงท่านชายก้องกังวานเหมือนเสียงที่เปล่งอยู่ในห้องสุญญากาศ

“ขอบใจสำหรับน้ำใจดี ของเธอ” ท่านชายยิ้มบางๆ “แม้กายสังขารเปลี่ยน...หากเธอยังคงเปี่ยมไปด้วยกุศลจิตเช่นเดิม”
เจริญขวัญมองจ้อง ตะลึงในความงดงามของร่างนั้น พูดไม่ออก ร่างสูงโปร่งงดงาม ใสกระจ่าง ออร่ารอบกาย
“เธอเป็นคนดี ขอให้ตั้งมั่นในความดีนี้ให้ตลอด แล้วเรา...ก็จะได้พบกันอีก” น้ำเสียงของท่านชายวสวัตตอนนี้หม่นเศร้าลง “แม้ว่า...ฉันจะช่วยอะไรเธอไม่ได้ กรรมย่อมเป็นไปตามกรรม ดุจกระแสน้ำ”
พลางท่านชายผินหน้าไปมองวิวท้องน้ำคล้ายทะเลด้านข้าง
เจริญขวัญเดินเข้าหาเหมือนถูกดึงดูด แม้ว่าท่านชายวสวัตจะยืนหันข้างให้ แต่ดวงหน้าเพียงครึ่งเสี้ยวนั้นกลับช่างงดงามเหลือเกิน เจริญขวัญเอื้อมมือไป จะแตะร่างนั้น ท่านชายหันมาช้าๆ มองมือเจริญขวัญที่เอื้อมมาหา...แววตาหมองจัด แม้นต่างภพก็มิอาจสัมผัสแม้ในจิตดวงตาท่านชายที่มองเจริญขวัญ ล้ำลึก และเหมือนมีน้ำตาคลอหล่อเลี้ยงในดวงตาวับแวม เจริญขวัญตะลึงแลท่านชาย
“งามเหลือเกิน ท่าน...ท่านเป็นใครคะ”
ท่านชายยิ้มให้เจริญขวัญ แล้วภาพท่านชายเหมือนถูกดูดให้ไกลออกไป เจริญขวัญเอื้อมมือไขว่ขว้า

เจริญขวัญหลับฝัน กระสับกระส่ายเอื้อมมือไขว่คว้าไปเบื้องบน มือของท่านชายเข้ามาลูบอากาศ เหนือศีรษะของเจริญขวัญ ทำให้เจริญขวัญสงบลง ถอนหายใจยาวลึก สีหน้าเปี่ยมสุข
ท่านชายเป็นเงา มีออร่า และ ถ่ายทอดกระแสอบอุ่นบางเบามาที่ร่างเจริญขวัญ
“หลับให้สบาย และผาสุก เพื่อจะได้ลุกขึ้นต่อสู้กับชีวิตในภายหน้า...อา...กรรม”
เจริญขวัญ หลับลึก
“ลืมเสียให้สิ้น ว่าเราได้พบกัน..ในภพภูมิอันเหนือโลกแต่เราจะได้พบกันในไม่ช้า เจ้าหญิงฟ้ารุ่ง...เจริญขวัญ”
ท่านชายวสวัตระบายลมหายใจยาว สีหน้าอาดูร ท่านชายมองเจริญขวัญนิ่งนาน ก่อนร่างจะจางหายไปช้าๆ เจริญขวัญหลับอย่างเป็นสุข
ที่บ้านคุณหญิงอุ่นวันถัดมา ผู้ช่วยพยาบาลที่มาพร้อมกับหมอไพโรจน์ และสีกำลังช่วยกันพลิกตัวย่าอุ่น ที่ตาเบิกโพลงเหมือนคนอดนอนทั้งคืน หลังจากใส่ถุงน้ำเกลือร้อยออกแขนเสื้อมาแขวนที่ขาตั้งข้างเตียง อิศราและคุณนมมองดูสภาพอย่างเป็นห่วง
ฉากที่ 4ห้องหนึ่ง บ้าน คุณย่าเวลา กว.ตน
ผู้แสดงอิศรา หมอไพโรจน์
อิศราและหมอไพโรจน์เดินตามกันมา
“อาการของคุณย่าดูทรุดลงมากเลยนะครับ อาหมอ”
“คงเพราะท่านไม่ค่อยหลับน่ะ ร่างกายเลยไม่ได้พักผ่อนเดี๋ยวอาจะให้ยานอนหลับอ่อนๆ ท่านจะได้พัก” หมอระบายลมหายใจ “อิศรา ท่านมีเรื่องสะเทือนใจอะไรบ้างหรือเปล่า”
“ก็...ไม่น่าจะมีอะไรนะครับ”
“อาจะให้ผู้ช่วยพยาบาล คอยอยู่เผ้าท่านตลอดเวลาแล้วกันถ้ามีอะไรโทร.ตามอาทันทีนะ”
“ครับ” อิศราไหว้ “ขอบคุณครับ อาหมอไพโรจน์”
หมอไพโรจน์เดินออกไป อิศราถอนหายใจ

คุณนมเข้ามาทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ข้างเตียงไถ่ถาม
“คุณหญิงเจ้าขา...เป็นยังไงบ้างเจ้าคะ”
ย่าอุ่นผวา “นม...นรก มันมีจริงใช่ไหม”
นมอึ้งไป ย่าอุ่น เคร่งเครียด วิตก กลัวจัด
“ฉัน ไม่อยากตกนรก ชั้นไม่อยากแพ้...มัน ไม่ว่าจะอยู่...หรือตาย...ชั้นต้อง...ไม่แพ้” ปากหญิงชราสั่นระริก แม้กลัวจับจิตแต่ด้วยทิฐิไม่ยอมรับว่ากลัว “ชั้นต้องทำยังไง..ชั้นต้องทำยังไง”
นมถอนหายใจ มองย่าอุ่นอย่างเวทนา ว่ามารู้ตัวก็ตอนใกล้ตาย จึงพูดกึ่งสอนกึ่งรำพึงไม่อยากโกหก “พระท่านสอนว่า บาปกรรม มันเหมือนเกลือ กุศลผลบุญ ความดี เหมือนน้ำ ถ้าความดีมาก ก็เหมือนมีน้ำมาก เกลือก็เจือจาง แม้ว่ามันจะไม่หายไป”
“ความดี...ชั้น...ชั้นเป็นแบบนี้ ชั้นจะทำอะไรได้...” หญิงชราน้ำตาปริ่ม สีหน้าหวาดกลัว “ชั้นจะทำยังไงดี ชั้นจะทำยังไงดี”
ย่าอุ่นประสาทเสีย หวาดกลัวอย่างมาก นึกถึงภาพตอนคุณอิ่มที่พิงซบอกท่านเจ้าคุณก่อนสิ้นลม จดตามองมายังอุ่น
“ฝาก...ตาเล็ก..รัก ตาเล็ก..ด้วย”
และภาพตอนคุณเล็กมองมาน้ำตาคลอ
“คุณน้า...เคยรักผมจริงๆ บ้างไหมครับ”
สีหน้าย่าอุ่นหวาดหวั่นหนัก คล้ายขบคิด และเริ่มหาทางออกได้ ไม่ใช่รู้สึกสำนึกผิดแต่ประการใด

สักครู่ต่อมาอิศราเปิดประตูเข้ามา เดินมาทรุดลงข้างเตียงมองคุณย่า
“คุณย่าครับ เป็นยังไงบ้างครับ”
ย่าอุ่นเพ้อ “พ่อใหญ่ พ่อใหญ่ ใช่ไหม ช่วยแม่ด้วย พ่อใหญ่”
อิศราตกใจ “ไม่ใช่ครับ ผมอิศรา ครับคุณย่า ไม่ใช่คุณพ่อ”
“อิศรา...อิศรา” ย่าอุ่นพึมพำแล้วนึกได้ ละล่ำละลักออกมาอย่างอ่อนแรง “ตามทนายวันชัย มาหาย่า..ที
สีหน้าอิศรา วิตกระคนสงสัย “คุณย่า”
ย่าอุ่นเบือนหน้าหนี หลับตาพึมพำกับตัวเอง “พ่อเล็ก...พ่อเล็ก”
อิศราชะงักสีหน้าเคลือบแคลง สบตากับคุณนมที่งวยงงพิศวงไม่ต่างกัน

ด้านคุณหญิงเพ็ญนั่งอยู่กับทุกคน ตรงโต๊ะประชุม ของสมาคมสตรีพิทักษ์สยาม ที่จัดเป็นโต๊ะทรงแอล ในห้องประชุมโรงแรมหรู
“อะไรนะคะ จะให้คุณหญิงโสรญา กล่าวเปิดงานแทนดิฉันได้ยังไงคะ ในเมื่อดิฉันเป็นประธานจัดงาน บัตรที่ขาย ก็ดิฉันวิ่งเต้น ยกหูขอความช่วยเหลือเพื่อนฝูงทั้งนั้น” คุณหญิงไม่พอใจมากเอาการ
คุณหญิงรื่นปลอบ “ใจเย็นๆ ก่อนค่ะคุณหญิงเพ็ญ พวกเราน่ะเพียงแต่เห็นตรงกันว่า ท่านนายพลอัครา ของคุณหญิงโสรญา กำลังจะดัง ถ้าทั้งสองท่านมางานเรา นักข่าวก็จะตามเพียบ”
“แต่ให้มาเฉยๆ ท่านคงไม่มา ก็ต้องให้บทบาทกันหน่อยค่ะ” คุณหญิง 1 ว่า
ทุกคนมองคุณหญิงเป็นเชิงขอร้องแกมบังคับ คุณหญิงเพ็ญยิ้มไม่สนิทนัก ฉุนพูดไม่ออก
คุณหญิง 1 หันมาคุยกันเองกับเพื่อนๆ คุณนาย “เค้าว่างานไหนที่คุณหญิงโสรญาไป ท่านจะเชิญท่านชายวสวัตไปด้วยนะคะ”
คุณหญิงรื่นเสริม “ผู้บริจาครายใหญ่ ตามตัวยากมาก ถ้ามางานเราได้ แจ่มเลย”

คุณหญิงเพ็ญได้แต่ยิ้ม พูดไม่ออก

ต่อมาคุณหญิงเพ็ญเดินหงุดหงิดออกมาจากห้อง หันไปปั้นหน้ายิ้มแย้มไหว้ล่ำลาคนอื่นๆ แต่พอเดินไกลออกมาสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเจ็บใจ

“นี่ขนาดท่านผัวชั้นเพิ่งเกษียณ ข้ามหัวกันแล้ว หมดอำนาจ ก็หมดบารมี เจ็บใจจริง”
คุณหญิงเดินฉุนเฉียวออกไป

อีกวันหนึ่ง ทนายวันชัยมาหาตามสั่ง และกำลังก้มฟัง คุณหญิงอุ่นพูดอะไรบางอย่างเป็นนานสองนาน ต่อมา วันชัยยกมือย่าอุ่นปั้มหมึก แล้วนำมากดลงในกระดาษ
ย่าอุ่นนิ่ง ใบหน้าซีด อิดโรย ทนายเช็ดมือให้ พลางพูดกำชับ
“วันชัย ไม่ต้องบอกให้ใครรู้ จนกว่าฉัน...ตายไปแล้ว”
“ครับผม”

ฝ่ายอิศรามองนาฬิกาข้อมือ เดินไปเดินมารออยู่หน้าห้อง สักครู่ทนายวันชัยความเดินออกมามีซองกระดาษสีน้ำตาลมาด้วย
“เรียบร้อยแล้วหรือครับ คุณย่าคุยอะไรครับ นานจัง” อิศรายิ้มหัว ลวงถาม “คงไม่ใช่เรื่องพินัยกรรมใช่ไหมครับ”
“คุณอิศรก็รู้ว่าถามไปอาก็ตอบอะไรไม่ได้” ทนายถอนใจ “คอยดูแลคุณหญิงท่านให้ดีเถอะนะครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ”
วันชัยเดินออกไป อิศรายิ้มไหว้ลา มองตามอย่างขัดใจ

ไม่นานนักอิศราขับรถเข้ามาจอดหน้าคฤหาสน์บ้านชาลินี ลงจากรถอย่างหงุดหงิดเดินเข้าบ้านไป
มือถือที่วางอยู่บนผ้าเช็ดตัวที่โต๊ะริมสระน้ำ มีเสียงเรียกของ line ในขณะที่ชาลินีว่ายน้ำอยู่ ชาลินีหยุดยืนกลางสระได้ยินเสียงมือถือ ขึ้นมาจากสระมา กดดูมือถือ
line มาจาก เอกดนัย มีรูปเอกดนัยในชุดนักบิน
“กลับถึงกรุงเทพฯพรุ่งนี้ครับ คิดถึงพี่มาก จาก เอกดนัย”
“เด็กน้อย”
ชาลินียิ้มขำวางมือถือ คว้าผ้ามาเช็ดตัว เห็นอิศราเดินปังๆ ออกมาหา ท่าทางหงุดหงิดเต็มที่
“ชาลินี คุณอาหญิงอยู่มั้ย”
“ถ้าเข้ามา ไม่เห็น ก็แปลว่าไม่อยู่”
ชาลินีปูผ้ากับเก้าอี้ยาวข้างสระ
“อย่าทำเป็นพูดเล่นเลย คนยิ่งหงุดหงิดอยู่”
ชาลินียิ้ม แกล้ง ยื่นขวดครีมให้ “ทาหลังให้หน่อยสิ”
อิศราเท้าสะเอว “เฮ่ย ไม่ใช่ผู้ชายในสังกัดนะ จะได้มาชี้นิ้วสั่งได้ตามใจน่ะ”
ชาลินีหัวเราะ ตีมืออิศรา ยัดขวดใส่มือ “น่า อย่าเล่นตัวหน่อยเลย”
พลางชาลินีลงนอนคว่ำหน้า อิศราลงนั่งทาครีมให้โดยไม่ค่อยเต็มใจนัก สองคนสนิทสนมกันฉันญาติ ไม่มีความรู้สึกอื่นใดเคลือบแฝง
“นี่จะ ไม่ถามสักคำหรือว่ามาทำไม”
ชาลินีหัวเราะ นอนคว่ำหน้าสบายอารมณ์ “ก็เล่ามาสิ”
“จะมาเล่าให้อาหญิงฟัง ว่าคุณย่าเรียกทนายวันชัยมาหา คุยกันเกือบสองชั่วโมง”
“ฮึ งั้นเชียว คุยเรื่องอะไรกัน”
“ก็นั่นน่ะสิ” อิศราถอนใจหนักอก “ยิ่งพักหลัง คุณย่าชอบเพ้อถึง อาเล็ก”
ชาลินีสะกิดใจ “อาเล็กที่ว่าเป็นลูกของคุณยายใหญ่ ที่หนีไปแต่งงานกับสาวชาวไร่ตั้งแต่ก่อนเราเกิดน่ะนะ”
อิศราหน้าเครียด ยังถูทาซ้ำๆ ที่เดิม “ก็ใช่น่ะสิ”
“เอ...หรือคุณยายเกิดเปลี่ยนใจแบ่งสมบัติให้อาเล็ก แต่คุณยายบอกไว้แล้วนี่ ว่าใครจะได้อะไรบ้าง เธอได้บ้าน ชั้นได้เครื่องเพชร”
“แหงละ บ้านนี้ควรเป็นของผมอยู่แล้ว เพราะคุณพ่อผมออกเงินส่วนตัวซ่อมแซมตั้งเป็นล้านๆ คุณก็รู้”
อิศราหงุดหงิด วางขวด ลุกไปเฉยๆ “ผมไปละ”
“อ้าว ยังทาหลังชั้นไม่ทั่วเลย”
อิศราหมั่นไส้ ยกขวดครีม บีบครีมลงแผ่นหลังมากมาย จนชาลินีร้องโวย “ว้าย”
“หมดเวลาเซอร์วิสแล้ว ไปล่ะ”
อิศราเดินหัวเราะออกไป ชาลินีค้อนควัก หัวเราะตามหลัง
“ตาบ้านี่”

คืนนั้น อิศราเครียด มาตัวเองมาอยู่ในคลับโลกันต์ กำลังดื่มเหล้าเล่นไพ่ มองไพ่ในมือนิกร ที่เหลือบมองคนอื่นอย่างเป็นต่อที่สุด อิศราถอนใจยาวคว่ำไพ่สีหน้าหงุดหงิด
“อั๊วหมอบล่ะ”
เกรียงไกรหัวเราะกวาดชิป มีผู้หญิงคลอเคลียข้างกาย
อิศราลุกยืนเฉย
นิกรแปลกใจ “อารมณ์เสีย ลุกเลยเหรอเพื่อน”
อิศราพยักหน้า
“เราก็ต้องขอตัวเหมือนกัน” เกรียงไกรพยักพเยิดไปทางสาวข้างตัว “น้องหน่อยเค้าง่วง”
เกรียงไกรยักคิ้วกับเพื่อนๆ อิศรากับนิกรหัวเราะเป็นเชิงรู้กัน

อิศราขยับมานั่งที่โต๊ะอีกมุมหนึ่งของร้าน บริกรหญิงรินเหล้าส่งให้ อิศรายกแก้วดื่ม ขณะที่เบื้องหลัง เกรียงไกรโอบสาวหน่อยเดินออกไป
อิศราเหลียวมองรอบ ถามกับพนักงาน “น้อง ท่านชายวสวัตล่ะ”
บริกรหญิงที่หน้าซีดเซียว ชะงัก บอกด้วยน้ำเสียงสั่น หวั่นเกรงแม้เพียงเอ่ยถึงนามท่านชาย
“ท่าน....ทำงาน”
บริกรลุกเดินไป ทิ้งอิศราให้ดื่มเหล้าเซ็งๆ เพียงลำพัง

อิศราเดินออกมาหน้าคลับ แล้วต้องชะงักได้ยินเสียงโวยวายของหญิงคนหนึ่ง
“ชั้นไม่ปล่อย”
อิศราหันไปมอง เห็นอ้อยเมียของเกรียงไกร ซึ่งท้องอยู่ และกำลังยื้อยุดแขนเกรียงไกรที่อีกมือโอบหน่อยอยู่
“พี่ต้องกลับบ้านกับชั้น จะไปกับอีหน้าไหนไม่ได้ทั้งนั้น”
เกรียงไกรหันมาตวาดใส่เมีย “กลับบ้านไป พาลูกมาด้วยทำไม ดึกๆ ดื่นๆ ไป๊”
อิศราไม่อยากดู จะก้าวเดินต่อ แต่แล้วต้องชะงักหันกลับไปมองอีกที เขาเห็นลูกชายวัย 7 ขวบยืนเกาะชายเสื้ออ้อยอยู่
อิศราชะงักมองเด็ก ทั้งสงสารและเห็นใจ นึกสะท้อนใจลึกๆ คิดถึงลูกสำลีที่แท้งเพราะตน

เกรียงไกรเมามากและโมโหจัด หน่อยยังเคาะเกาะแขนอีกข้าง ขณะที่อ้อยดึงรั้งอีกข้างร้องไห้
“พี่น่ะ” อ้อยทุบตีเกรียงไกรพัลวัน “มีเงินเอาแต่แต่เที่ยว ห่วงลูกห่วงเมียบ้างสิ” แล้วหันไปแว้ดใส่หน่อย “ ยัยบ้า ปล่อยผัวชั้นนะ”
หน่อยโมโห สะบัดปล่อยแขนเกรียงไกร “ตายแล้ว เรื่องอะไรมาด่าชั้นเนี่ยชั้นไปดีกว่าพี่”
เกรียงไกรดึงกลับ “ไม่ต้อง” แล้วหันมาด่าเมีย “ดึงอยู่ได้ โว้ย เดี๋ยวปั้ด”
เกรียงไกรเงื้อมือจะตบ อ้อยร้องหวีด
อิศราทนดูไม่ไหว ยื่นมือมาจับแขนเกรียไกรค้างไว้ เกรียงไกรหันมอง อิศรายิ้มใจเย็น พูดขอร้อง
“เฮ่ย ใจเย็นๆ น่า มีเรื่อง ก็อายเขาเปล่าๆ”
“มันน่ารำคาญ บ้านก็มีให้อยู่ เงินก็มีให้ใช้ จะเอาอะไรนักหนาไปเหอะน้องหน่อย”
เกรียงไกรโอบประคองกิ๊กคนใหม่ไป อ้อยร้องไห้สะอึกสะอื้นน่าเวทนา
“เดี๋ยว พี่”
อ้อยมองตาม แต่เกรียงไกรเดินไม่ยอมเลียวหลัง อ้อยกอดลูกร้องไห้
อิศราหน้าเศร้าสงสารเด็กชาย ยิ้มปลอบขณะก้มลงมองเด็กชาย
“ผมว่าลูกคงง่วงแย่แล้ว นี่มายังไงกันครับ”

อิศราพาสองแม่ลูกมาถึงรถ เปิดประตูด้านหลังให้ จะพาไปส่ง
อ้อยเกรงใจ “ชั้น...ชั้นกลับเองก็ได้ค่ะ”
“ดึกแล้ว เรียกรถลำบากเปล่าๆ เชิญครับ”
สองแม่ลูกขึ้นรถ อิศราปิดประตูให้
จังหวะนี้ อิศราชะงัก รู้สึกเหมือนมีคนมองอยู่ ชายหนุ่มหันขวับไปยังด้านหลังอย่างเงียบเชียบ เห็นรถสีดำของท่านชายจอดอยู่ มีสิริยืนมองมา ใบหน้าไร้ความรู้สึก
อิศรางง สิริหันไปเปิดประตูให้ จนเห็นท่านชายวสวัตก้าวลงมา
“ท่านชาย”
“เธอจะไปส่งฉันที่บ้านหน่อยได้ไหม อิศรา” ท่านชายเอ่ยขึ้น
อิศรางง มองสิริที่ก้าวกลับขึ้นรถแล้วขับออกไปเลย ท่านชายมองในรถมีแม่ลูกนั่งมองอยู่ ก่อนจะยิ้มกับอิศราอย่างมิตร
“พอดี ฉันต้องให้คนของฉันไปทำธุระอะไรสักหน่อย”

สองชายมองหน้ากัน อิศราฉงนฉงาย ส่วนท่านชายยิ้มละมุน

รถอิศราแล่นมาตามท้องถนนยามค่ำคืน ท่านชายนั่งด้านหน้า อิศราขับมาเรื่อยๆ เหลือบมองท่านชายและมองกระจกดูสองแม่ลูก ท่านชายนั่งสบายอารมณ์ อ้อยนั่งกอดลูกชายอยู่ด้านหลัง

เด็กชายมองด้านหลังท่านชายวสวัตอย่างหวาดๆ แล้วซุกตัวเข้าเบียดชิดแม่
“อะไรลูก กลัวอะไร”
ท่านชายหัวเราะขัน “กลัวฉันมั้ง เด็ก จิตละเอียด สัมผัสอะไรได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ที่จิตหยาบกว่า” พลางหันมายิ้มนุ่มนวลให้ “ฉันหมายถึง ฉันอาจดูน่ากลัวสำหรับเด็ก”
“ไม่ต้องกลัวหรอกลูก” อ้อยกอดลูก
ท่านชายมองทั้งสองแม่ลูก ระบายลมหายใจอย่างเวทนา ยิ้มให้เด็กอย่างปราณี ทอดเสียงนุ่มถาม
“เราชื่ออะไร”
“บอกคุณอาสิลูก”
เด็กชายอุบอิบ “แจ๊ค”
ท่านชายยิ้มแววตาลึกซึ้ง “ต่อไป ตั้งใจเป็นคนดี ดูแลคุณแม่กับน้องสาวให้ดีนะ”
อ้อยสะดุดหู “เอ๊ะ คุณ ทราบได้ยังไงคะว่า ดิฉันจะได้ลูกสาว”
อิศราฉงนตาม หัวเราะ “ลูกสาวจริงเหรอครับ โอ้โฮ ท่านชาย มีตาเอ็กซเรย์เหมือนในหนังซุปเปอร์แมนหรือครับนี่”
“ฉันมักเดาแม่น” ท่านชายยิ้มบางๆ

รถจอดอยู่แล้วที่หน้าคอนโด อ้อยยกมือไหว้อิศราและท่านชาย
“ขอบพระคุณมากนะคะ” อ้อยบอกลูกออกอาการง่วงมาก “ไหว้คุณอาสิลูก”
เด็กชายแจ๊คยกมือไหว้ปราดเดียว แล้วซุกตัวหลังแม่
ท่านชายวสวัตขยับเข้าใกล้ ก้มลงมองเด็กชายหลบหลังมารดาแอบมองอย่างหวาดๆ ท่านชายหน้าขรึม เอื้อมมือไปด้านหลังใบหูของเด็กชายโดยไม่ให้โดนตัว อิศรามองท่านชายตลอดเวลา พอท่านชายดึงมือออกมาแล้วเหมือนหยิบอะไรออกมาด้วย
“ของๆเธอ...เก็บไว้สิ”
เด็กชายแบมืองงๆ ท่านชายหย่อนของสิ่งนั้น ลงที่มือเด็กชาย
“อะไรครับนั่น” อิศราสงสัย
ท่านชายบอกว่า “พดด้วง ฝรั่งสมัยนั้นเรียก bullet coin ใช้แทนเงินสมัยอยุธยา”
เด็กชายมองเหรียญพดด้วงในมืออย่างประหลาดใจ และตื่นเต้น เงยหน้ายิ้มกับท่านชายเป็นครั้งแรก ไม่กลัวอีกแล้ว
ท่านชายยิ้มบางๆ มองอย่างเวทนา แล้วหันกลับไปที่รถ เหมือนปลิดทิ้งความเวทนาไว้เบื้องหลัง อิศรามองตามสีหน้าฉงน

ท่านชายวสวัตเข้านั่งคอยในรถ อิศราขึ้นรถปิดประตูลง ขยับใส่สายคาดนิรภัย มองผ่านไปทางแม่ลูกที่หันเดินเข้าคอนโดแล้ว จึงหันกลับมามองท่านชาย ยิ้มๆ
“ท่านชายไปไหนมาไหน พกของโบราณไว้เสมอเหรอครับ”
ท่านชายยิ้ม ไม่ตอบ
“ต่อไป นายแจ๊คคงจำท่านชายได้แม่นว่าใจดีกับเขามาก”
คราวนี้ท่านชายยิ้มเศร้า “ไม่แน่หรอก ถ้าเขารู้ว่าฉันจำเป็นต้องทำ...อะไรบ้าง เขาอาจจะเกลียดฉัน”

ทางฝ่ายเกรียงไกรขับรถมาตามถนน โดยมีหน่อยพิงบ่าหลับอยู่ เกรียงไกรมองหมายมาด เอามือลูบเข่าสาวเจ้า
ขณะที่รถเกรียงไกรแล่นผ่านสามแยกไป ด้านหน้าเห็นถนนโล่งไร้รถคันอื่น
สิริยืนกลางถนน ก้มหน้าอยู่ ค่อยๆ เงยขึ้น หน้าซีดคล้ายหน้ากากขึ้นรา ดวงตาน่ากลัว เท้าของสิริ ขยับเดินไปข้างหน้า สวนกับรถเกรียงไกรที่กำลังวิ่งมา

อีกฟาก ทั้งสองคนนั่งมาในรถที่อิศราเป็นคนขับ ท่านชายวสวัตนั่งพิงเบาะในท่าสบาย หลับตานิ่ง อิศราลอบมอง
ท่านชายพูดบอกขณะยังหลับตา “ขับตรงไปเรื่อยๆ ก่อน ผ่านสะพานพระราม 9 แล้วฉันจะบอก”
“ผมคิดว่าท่านชายหลับ”
“เปล่า” ท่านชายลืมตา “ปกติ ฉันไม่ต้องนอนอยู่แล้ว หมายถึง...นอนไม่เป็นเวลาน่ะ กลับไปนี่ก็ต้องไปทำงาน”
“ท่านชายร่ำรวยขนาดนี้ เป็นผม คงไม่ทำงานให้เหนื่อย”
“งานของฉัน ไม่ใช่สิ่งที่ฉันเลือก แต่เป็นสิ่งที่ฉันต้องทำ”
น้ำเสียงที่เล่า แฝงร่องรอยเหนื่อยล้า ระโหย กึ่งเศร้า ท่านชายขยับกายหันมามองอิศรา ดวงตายิ้ม
“ที่จริง ฉันก็เหนื่อยมานาน กำลังมองหา ใครสักคน มาแทนที่ ฉันอยู่เหมือนกัน”
อิศราไม่ค่อยเข้าใจนัก หันมายิ้มกับท่านชายแล้วหันไปขับรถต่อ
“มีใครแทนที่ใครได้ด้วยเหรอครับผม”
“มีสิ” ท่านชายหันมามองอิศรา “เธออยากแทนที่ฉันไหมล่ะอิศรา”
อิศรางุนงง มองท่านชายที่ยิ้มให้ ก่อนจะเบือนหน้าหันมาทางหน้าต่างกระจกรถ
จากเงาสะท้อนของกระจก รอยยิ้มท่านชายเหือดหายกลายเป็นความเคร่งขรึม ดวงตาเปล่งแสงสีแดงไฟขึ้นมาวูบหนึ่ง

รถเกรียงไกรวิ่งทะยานไปตามถนน ขณะสิริวิ่งเข้าหา แสงไฟจากหน้ารถสาดให้เห็นร่างๆ หนึ่ง วิ่งตรงมาจากไกลๆ เกรียงไกรเห็นก็ตกใจร้องลั่น
“เฮ่ย”
เท้าเกรียงไกรแตะเบรก ตกใจหักพวงมาลัย สิริพุ่งเข้าใส่กระจกหน้ารถ ใบหน้าสิริน่ากลัวเหมือนปีศาจ ทะลุกระจกเข้ามาเกือบชนหน้าที่แตกตื่นตกใจของเกรียงไกร
“เหว๋อ...” เกรียงไกรร้องลั่นไม่เป็นภาษา

รถแล่นมาเรื่อยๆ ขณะอิศราหัวเราะขึ้น
“ถ้าการแทนที่หมายถึง ได้เป็นอย่างท่านชาย ด้วยคุณสมบัติและ ทรัพย์สมบัติมากมายที่ท่านมี ใครๆ ก็ต้องอยากเป็นอย่างท่าน”
“ดูเธอจะให้คุณค่ากับ ทรัพย์สมบัติมาก”
อิศราหัวเราะ “คนที่บอกว่า เงินไม่มีค่า...คือคนโกหกครับ”
ท่านชายหัวเราะเบาๆ สีหน้าดูแคลนโดยที่อิศราไม่ทันเห็น “เธอทำงานอะไรหรือ อิศรา”
“ผมไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันหรอกครับ เล่นหุ้นบ้าง แล้วก็...” อิศราเหลือบมองท่านชาย นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจพูด “ขอเงินคุณย่าใช้” เขาหัวเราะอีกก่อนจะเล่าต่อ “พอดีคุณย่าท่านเป็นอัมพาตมาหลายปีแล้ว ผมต้องคอยดูแล”
ท่านชายเยาะหยันในที “งั้นเธอก็ เป็นหลานกตัญญู”
“ผม?...กตัญญู ไม่รู้สิครับ ว่าผมจะรับคำๆนั้นได้จริงๆ หรือเปล่า” อิศรายักไหล่ “เพราะมันเป็นแค่หน้าที่ ที่ผมได้รับเงินเดือนตอนสิ้นเดือนเหมือนที่คนอื่นเขาทำงาน” เขาเหลียวมามองท่านชายแล้วหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ “ปกติผมไม่ค่อยเล่าเรื่องของผมให้ใครฟังหรอกนะครับ เรื่องของผมมันน่าเบื่อจะตาย แต่ไม่รู้ทำไมถึงกล้าเล่าให้ท่านชายฟัง”
ท่านชายหัวเราะออกมา “ฉันเองก็ยังไม่เคยเจอใคร ที่อยู่ต่อหน้าฉัน แล้วโกหกได้สักคน”

อิศรายิ้ม ท่านชายมองอิศรา รถพาสองชายแล่นไปกลางแสงไฟสลัวบนถนน

รถอิศราขับมาถึงบริเวณหน้าวัง

“เลี้ยวขวา แยกหน้านี่แหละ”
อิศราหักเลี้ยว “แถวนี้ เปลี่ยวจังนะครับ”
“ทำไม หรือเธอกลัวว่าฉันจะลวงเธอมา... ชิงทรัพย์” ท่านชายพูดขำๆ
อิศราหัวเราะ “ท่านชายมีอารมณ์ขันไม่เบา”
“ข้างหน้านั้น...บ้านฉัน”
อิศรามองไปแล้วต้องตะลึง เห็นประตูรั้วสูงใหญ่ พอรถแล่นมาถึงประตูก็เปิดออกให้รถแล่นเข้าไป

รถยนต์อิศราแล่นเลี้ยวเข้ามาตามทาง อิศรามองจากในรถ ตะลึงกับความกว้างใหญ่ จนมาถึงหน้าตำหนัก ที่ตั้งตระหง่าน แต่ดูครึ้ม ไฟหยอดเป็นจุดๆ จนเห็นสภาพแวดล้อม อันมะลังมะเลือง
รถมาจอดหน้าตำหนัก ที่ภุมมะรออยู่แล้ว ขยับมาเปิดประตูให้ท่านชาย อิศราตามลงมา
“วาว...” อิศราหันรอบกาย “วาว...”
ท่านชายวสวัตเหลือบมองอาการตื่นตะลึงของอิศรา

ท่านชายวสวัตเดินไขว้หลัง นำอิศราเข้ามาในห้องโถงกลาง อิศรามองโดยรอบอย่างตะลึงในความงาม และความหรูหรานั้น
“โห แบบนี้ไม่เรียกว่าแค่บ้านแล้วมั้งครับท่านชาย”
ท่านชายหันไปทางหนึ่ง ภุมมะก้าวออกมา ก้มคำนับ บอกความนัยที่รู้กัน
“ดึกมากแล้ว คืนนี้ ฉันทำให้เธอเสียเวลาไปมาก”
“ด้วยความยินดีครับ”
“ขอบใจ ที่พาฉันมาส่ง... ภุมมะ”
ภุมมะก้าวมาประกบใกล้อิศรา
“วันหลัง วันหน้าเราคงได้สนทนากันอีกให้มากกว่านี้..ที่นี่เปิดต้อนรับสำหรับมิตรอย่างเธอเสมอนะ อิศรา” ท่านชายว่า
“ขอบพระคุณครับ”
“ราตรีสวัสดิ์ อิศรา”
“ครับ” อิศราไหว้ลา
ท่านชายหันหลังเดินขึ้นบันไดไปเลย
อิศรามองตามแล้วหันกลับประจันหน้าภุมมะ ที่ยืนรออยู่
“เชิญ”
ภุมมะหันตัวเดินนำไป อิศราเดินตาม

อิศราขึ้นนั่งในรถปิดประตู ระหว่างสตาร์ทเครื่อง เขามองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นภุมมะยังยืนนิ่ง ไม่มองเขาเหมือนรอส่ง
“คนวังท่านชาย..หน้าอย่างกับผี”
ภุมมะตวัดสายตามามองอิศราเหมือนได้ยิน ทั้งที่อิศราพูดกับตัวเองในรถ
อิศราขับรถออก เสียวสันหลังวาบ

ณ สถานที่อันมืดสลัว มีแสงสีแดงเป็นหย่อมๆ วิญญาณเกรียงไกรถูกลากตัวมาโดยชายในชุดดำ อีกสองคน
เกรียงไกรวายไม่หยุดหย่อน “ปล่อย ปล่อยกูนะ ที่นี่ที่ไหน ทำไมมืดแบบนี้”
มีเสียงดังสะท้อนขึ้นสองสามเสียง “ตรงไปข้างหน้า...ตรงไปข้างหน้า”
วิญญาณเกรียงไกรถูกลากมาโยนลงกับพื้น ร่างกายมีร่อยรอยเปียกน้ำและรอยเลือด
“ใครแกล้งกู เก่งจริงเปิดไฟสิวะ” เกรียงไกรลุกพรวด
ชายชุดดำ 2 คน ไปกดตัวลง “หมอบลง หมอบลง”
เกรียงไกรฮึดฮัด ยังไม่รู้ว่าตัวเองตายแล้ว “อะไรวะ เดี๋ยวให้เดิน เดี๋ยวให้หมอบ อะไรกันโว้ย ใครพาอั๊วมาแกล้งแบบนี้ คราวหน้าไม่เลี้ยงเหล้าแล้ว”
เสียงท่านชายวสวัตดังขึ้น “เงยหน้าดูสิ..แล้วจะรู้เอง”
มือที่จับกุมเกรียงไกรปล่อยออก พากันก้มหัวถอย เกรียงไกรเงยหน้า เห็นร่างท่านชายยืนอยู่ในที่สูงกว่ามาก แสงสว่างสีแดงฉาบเป็นรัศมีสว่างจ้า แสงด้านหลังท่านชายสาดกระทบหน้าเกรียงไกรจนต้องก้มหลบ
ท่านชายพญามาร สีหน้าเครียดขรึมในชุดดำสนิท
“เงยหน้าดูข้า...ดู ให้เต็มตา...ดูนายของเจ้า”
มือของชายชุดดำสองคน มาดันคางให้เกรียงไกรเงยหน้าดู
เกรียงไกรอุทานเบาๆ “ท่านชาย..ท่านชายวสวัต”
“เกือบใช่ชื่อข้าทีเดียว แต่ไม่ถูกต้องนัก” ท่านชายว่า
“นี่มันอะไรกัน” เกรียงไกรหัวเราะเสียงหวาดๆ “ท่านชายเล่นตลกอะไรที่นี่ที่ไหนกัน ไอ้พวกนี้มันไปลากผมมาจากไหน”
“ก็...จากรถที่จมคูน้ำไง”
เกรียงไกรชะงัก “คูน้ำ”
เกรียงไกรหวนนึกถึงเหตุการณ์ตอนรถพุ่งลงคูน้ำ หัวของเขาโขกกับหน้าต่างเลือดไหลออกมา เกรียงไกรตายคาที่ น้ำเข้ารถ
เกรียงไกรเริ่มจำได้ มองไปทางท่านชาย
“จริงสิ...ผม...กำลังขับรถอยู่...แล้ว..มีไอ้บ้าคนหนึ่ง วิ่งสวนเข้ามา”
ท่านชายพูดเจือน้ำเสียงหัวเราะต่ำๆ “คนนี้ใช่ไหม”
สิริก้าวออกมาจากความมืด หยุดยืนด้านข้างต่ำกว่าท่านชาย เกรียงไกรเบิกตากว้างชี้มือร้องลั่น
“ใช่แล้ว ไอ้บ้านี่ มันวิ่งขวางถนนเข้ามาหารถผม จนผมต้องหักหลบ แล้วเสียหลัก ผมไม่ยอมนะ ต้องจับมันส่งตำรวจ”
“คนของเราเอง”
เกรียงไกรโกรธจัด ลุกพรวด
“ท่านชายเล่นตลกอะไรกัน ไม่เอาแล้ว ผมอยากกลับบ้าน”
“เดี๋ยวเจ้าจะได้ไป แต่ไม่ใช่บ้าน แต่จะเป็นสถานที่ ที่เจ้าต้องทำงานรับใช้เราเยี่ยงทาส ไม่มีวันว่างเว้น สิริ สัญญาแผ่นนั้น”
สิริก้าวมาใกล้เกรียงไกร ชูกระดาษสัญญา เกรียงไกรยังคงหน้าตื่น มองกระดาษงงๆ
“สัญญาแผ่นนั้น แต่เราเซ็นกันเล่นๆ นี่”
จู่ๆ ร่างท่านชายที่อยู่บนที่สูงนั้น ก็มาปรากฏยืนเบื้องหน้าเกรียงไกร สีหน้าถมึงทึง เสียงดุดัน
“เล่นๆ เราเตือนเจ้าแล้วว่าให้คิดดูให้ดี แต่เจ้ายินดีเซ็นโดยไม่มีใครบังคับ เจ้ายินดีขายวิญญาณให้ข้า เพียงเพื่อแลกเงินไปเล่นอบายมุข”
เกรียงไกรเถียง “ท่านชายจะมาตั้งระบบทาสแบบนี้ไม่ได้ ผมไม่ยอม”
“ข้างั้นรึที่ทำไม่ได้”
น้ำเสียงอันกราดเกรี้ยว ดุดัน ดังกึกก้อง จนชายชุดดำ สิริ และภุมมะ โค้งตัวต่ำลง
ไม่เท่านั้นร่างของท่านชายดูยืดสูงกว่าปกติ เหลือบตาต่ำมองมาอย่างดุดัน ดวงตาแดงก่ำ และ มีเงาปีกแผ่ขยาย ดวงหน้าถูกห่อหุ้มด้วยไฟ
เกรียงไกรตะลึง ลนลาน สีหน้าหวาดกลัวสุดขีด “ท่านชาย…ท่าน...ท่าน”
น้ำเสียงท่านชายเปลี่ยนเป็นกึกก้องทรงอำนาจ “มนุษย์..โลภไม่มีสิ้นสุด กรรมเวรที่เจ้าทำอย่างไม่เคยสำนึก วาระของเจ้าบนโลก หมดแล้ว เจ้าควรยินดี ที่จะชดใช้กรรมเยี่ยงทาส แทนที่จะถูกลงทัณฑ์ในนรก! ภุมมะ”
“เจ้าข้า”
“มอบหมายหน้าที่ให้มัน ในโรรุวนา ชั้นที่สี่”
“เจ้าข้า!”
หลายมือของชายชุดดำเข้ามาฉุดลากเกรียงไกรไป
มีเสียงขานรับเป็นทอดๆ “โรรุวนา...ชั้นที่สี่ โรรุวนา...ชั้นที่สี่...”
“ไม่...ไม่ ปล่อยนะ ช่วยด้วย ช่วยด้วย” เกรียงไกรดิ้นรนขัดขืน
ภุมมะบอก “ไป...ไปตามรับสั่ง หน้าที่ของเจ้า คอยอยู่
ท่านชายตวาดสุดเสียง “ไสหัวลงไป! ชดใช้กรรม!”
มีเสียงขานรับดังกระหึ่มขึ้นอีก “โรรุวนา ชดใช้กรรม!!โรรุวนา ชดใช้กรรม”
เกรียงไกรดิ้นรน ขณะที่มือดำหลายมือเข้ากระชากโอบรัดหน้าและเนื้อตัวเกรียงไกรที่ร้องไห้โหยหวนอย่างกลัวเป็นที่สุด

ขณะนั้น ย่าอุ่นหลับอยู่บนเตียง ท่าทางคล้ายฝันร้าย พลิกหน้ากระสับกระส่าย
“ไฟ...ไฟ...ร้อน..ร้อน”
เก๋ ผู้ช่วยพยาบาล สะดุ้งตื่นลุกจากเก้าอี้นอนมาดู
“ท่านคะ ท่านคะ”
ย่าอุ่นสะดุ้งตื่น “นั่นใคร”
“หนูชื่อเก๋ เป็นผู้ช่วยพยาบาลที่มาคอยดูแลท่านไงคะ ดื่มน้ำไหมคะท่าน”
ย่าอุ่นพยักหน้ารับรู้ แล้วเมินมองไปทางอื่น เก๋หันไปรินน้ำจากขวดใส่แก้ว
ย่าอุ่นนอนหลับตา มีหยดน้ำหล่นติ๋งๆ แปะลงที่หน้าผากไหลช้าๆ ย่าอุ่นสะดุ้งลืมตา พบว่าผีนางหยก คร่อมร่างตัวเองอยู่ แสยะยิ้มน่าเกลียดน่ากลัว ผีนางหยกเลียนเสียงเก๋เมื่อครู่
“ท่านเป็นยังไงบ้างคะ”
ย่าอุ่น อ้าปากร้องไม่ออก มองผีนางหยกทีหนึ่ง แล้วมองมาทางเก๋ เหมือนจะขอความช่วยเหลือ
ผีนางหยกมองตามแล้วหันมาหัวเราะเยาะ “นึกหรือว่ามีคนอยู่เป็นเพื่อน แล้วข้าจะมาเยี่ยมไม่ได้”
ย่าอุ่นร้องตะเพิด เสียงอ่อนระโหย “ไป..ไป...ไปให้พ้น...ไป๊”
หญิงชรามองจ้อง เก๋ถือแก้วน้ำพร้อมหลอดดูดเดินมาหา ท่าทีงุนงง เก้ๆ กังๆ ข้างพยาบาลคือผีนางหยกที่มายืน หัวเราะสะใจอยู่
“ไป๊..ไปให้พ้น ไล่มันไปสิ ไม่เห็นหรือไป ไล่มันไป๊”

เก๋ตกใจอาการย่าอุ่น โดยไม่ได้ยินเสียงผีนางหยกหัวเราะหวีดหวิวไปทั้งห้อง

อ่านต่อหน้า 3

เงา ตอนที่ 3 (ต่อ)

ฝ่ายดวงแก้วพาตัวเองมาอยู่ที่แบงค์ตั้งแต่เช้า กำลังนั่งคุยอยู่กับผู้จัดการธนาคารสาวใหญ่ ซึ่งเป็นเพื่อนของดวงแก้วนั่นเอง

“ขอโทษนะ ดวงแก้ว แต่ทางสำนักงานใหญ่ที่กรุงเทพฯ เขาไม่สามารถอนุมัติเพิ่มวงเงินได้อีกแล้ว มันเต็มจริงๆ”
ดวงแก้วถอนใจ หนักอก “เราจะทำยังไงดี คนงานก็หลายชีวิตที่เราต้องดูแล พืชผลปีนี้ก็ยังไม่ฟื้นตัวจากที่ถูกน้ำท่วมเลย”
“เป็นกันทุกไร่ เราก็เห็นใจตัวเองนะ เป็นหัวหน้าครอบครัวอยู่คนเดียว ให้กำลังใจนะจ้ะเพื่อน สู้ๆ นะ”
ดวงแก้ว ยิ้มไม่ออก

ด้านเจริญขวัญมองศาลาหลังเล็กในไร่ ที่ตาพุดกับคนงานช่วยกันสร้างจนแล้วเสร็จ อย่างพึงพอใจ อรุณตามมา
“เสร็จซะที ถึงมันจะเป็นศาลาเล็กๆ แต่ถูกใจเราจริงๆ คอยดูนะอรุณ เราจะหาหนังสือดีๆ สมุดภายสวยๆ มาใส่ให้เต็มตู้เด็กๆ จะได้มีอ่านกันเยอะๆ” หญิงสาวหันมองมาถาม “ดีไหมอรุณ”
อรุณแอบมองเจริญขวัญอย่างหลงใหล ชื่นชมอยู่ พอเจ้าตัวหันมาก็รีบกลบเกลื่อนถาม
“จะเล่นบทเป็นครูสอนหนังสือลูกคนงานในไร่ ต้องลงทุนขนาดนี้เลยเหรอขวัญ”
“จะทำอะไรก็ต้องทำจริงๆ สิจ๊ะ จะมาทำเล่นๆ ได้ยังไง”

ต่อมาเจริญขวัญเดินเข้ามาใต้ต้นไม้ใหญ่ ค่อยๆ เอามือแตะที่ต้นไม้ สีหน้าโศกเศร้าโหยหา
“พ่อ..ช่วยขวัญ ตรงนี้...จนพ่อต้องตาย” เจริญขวัญน้ำตารื้นขึ้นมา “ทุกวัน ที่ขวัญคิดถึงพ่อ ขวัญบอกตัวเองเสมอ ว่าเราจะต้องทำตัวเองให้มีคุณค่า ให้สมกับที่พ่อ...แลกชีวิต เพื่อลูกอย่างขวัญ”
เจริญขวัญลูบมือกับต้นไม้ แล้วเงยหน้าดูร่มไม้ใหญ่นั้น
อรุณเหมือนถูกสะกดจิตเดินเข้าหาเจริญขวัญ
“ขวัญทำศาลาห้องสมุดที่นี่ เพราะอยากให้พ่อเห็น...พ่อต้องภูมิใจเราแน่ๆ ใช่ไหม อรุณ”
พอเจริญขวัญหมุนตัวกลับมา ก็ปะทะกับอรุณที่ยืนอยู่ตรงหน้าระยะประชิด เจริญขวัญตกใจ แต่ไม่ทันได้คิดอะไร อรุณอดใจไม่ไหว และไม่อยากจะปิดบังหัวใจอีกต่อไป ยื่นหน้าไปใกล้เจริญขวัญ
เจริญขวัญผงะถอยไปนิด ใบหน้าอรุณเคลื่อนเข้ามา เสมือนว่าปากจะไปประทับที่ปากของเจริญขวัญรอมร่อ
เจริญขวัญเบี่ยงหน้าปากอรุณจึงประทับจูบที่แก้มนวลปลั่งของเจริญขวัญ
เจริญขวัญตกใจ ยกมือกุมแก้มมองอรุณอย่างตกใจ แล้วแปรเปลี่ยนเป็นโกรธ
“อรุณ”
สองคนจ้องหน้ากัน
เจริญขวัญทั้งตกใจและโกรธสุดขีด อรุณได้สติ อ้ำอึ้ง อึกอัก
“ขวัญ...เรา...เรา..” อรุณตัดสินใจยิ้มบอก “คือเรา...รัก”
เจริญขวัญเดินแกมวิ่งหนีไปไม่ฟังให้จบ ผิดหวังอย่างรุนแรง อรุณตกใจ
“ขวัญ... ขวัญ”
อรุณเดินแกมวิ่งตาม เจริญขวัญวิ่งหนีไป

ขณะนั้น ดวงแก้วขับรถเข้ามาจอดหน้ารั้วไร่ ลงจากรถมาหยิบจดหมายต่างๆ ในตู้ไปรษณีย์ มีซองสีน้ำตาลหลายซอง ดวงแก้วหยิบรวบมาโดยไม่ได้ใส่ใจมาก

ยายปลั่งกวาดใบไม้หน้าบ้านทำความสะอาดอยู่ เจริญขวัญเดินแกมวิ่งมา ท่าทางหอบเหนื่อย อรุณตามมาอย่างกระชั้นชิดด้วยความรู้สึกผิด จับข้อมือเจริญขวัญไว้
“ขวัญ”
เจริญขวัญยืนนิ่งหอบเบาๆ ปลั่งหันมองอย่างสงสัยใคร่รู้ อรุณเห็นปลั่งจึงปล่อยมือเจริญขวัญ หน้าเจื่อนๆ
“ขวัญ...คือ เรา”
อรุณอึกอัก
พอดีดวงแก้วขับรถเข้ามาจอด ปลั่งรีบเดินไปรับช่วยถือของ เจริญขวัญรีบเดินไปหามารดา ดวงแก้วลงจากรถ
“พี่ปลั่ง...แก้วซื้อเครื่องแกงเขียวหวานมาแล้ว” ดวงแก้วหันไปหาลูกสาว “ขวัญ...มีพัสดุของหนูด้วย”
เจริญขวัญรับซองต่างๆ มา “สงสัยหนังสือที่ขวัญสั่งซื้อทางไปรษณีย์ค่ะแม่” พูดจบหญิงสาวไอเบาๆ
“เป็นอะไร” ดวงแก้วตกใจจับเนื้อตัวจับหน้าลูกสาว “หน้าแดงเหงื่อเต็มเลย” แล้วมองเลยมาเห็นอรุณ “พ่ออรุณ พาไปซนที่ไหนกันมา ระวังกันหน่อยสิ”
อรุณจ๋อยหนัก ยกมือไหว้อึกอัก “คะ...ครับ”
“เดี๋ยวรอทานข้าวเย็นด้วยกันนะ”
เจริญขวัญไม่ยอมมองหน้าอรุณ ส่งสายตากับแม่ “อรุณจะกลับแล้วค่ะแม่”
ดวงแก้วมองสายตาลูกสาว นึกว่าคงโกรธกับอรุณ ประสาเด็กๆ เจริญขวัญเดินเข้าบ้านไป อรุณยืนหน้าเจื่อน จ๋อยสนิท

ค่ำนั้น ซองน้ำตาล และจดหมายถูกวางซ้อนกันอยู่บนโต๊ะในห้องโถงบ้าน เจริญขวัญเปลี่ยนชุดอยู่บ้านพร้อมนอนเป็นผ้าถุงและเสื้อสบายๆ กำลังแยกประเภทอยู่ ชะงักเมื่อเห็นจดหมายจ่าหน้าถึงพ่อ
ดวงแก้วเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เดินออกด้านหลัง เจริญขวัญรวบซองหนึ่งให้แม่
“แม่คะ ..ซองนี้จ่าหน้าถึงคุณพ่อด้วย” น้ำเสียงเจริญขวัญเต็มไปด้วยความสงสัย
ดวงแก้วเลิกคิ้วประหลาดใจ รับมา
“สงสัย พวกเพื่อนเก่าๆ ที่ยังไม่รู้ว่าคุณพ่อไม่อยู่แล้วอีกล่ะสิ...ขวัญ ทะเลาะอะไรกับอรุณหรือลูก”
“เปล่าค่ะแม่”
“นิดๆ หน่อยๆ ก็อย่าไปถือโกรธเพื่อนเลยลูก พ่ออรุณเป็นลูกไล่ให้ขวัญ สั่งให้ทำอะไรก็ทำ บางทีแม่ยังสงสาร”
เจริญขวัญรู้สึกแน่นหน้าอก แต่ไม่อยากให้แม่รู้ รีบทำเป็นเฉไฉบ่ายเบี่ยง
“แม่อ่ะ...ไม่เอาล่ะ ขวัญไปนอนดีกว่า” หญิงสาวลุกมากอดจุ๊บแก้มแม่ “ราตรีสวัสดิ์ค่ะแม่”
เจริญขวัญขวัญหอบซองหนังสือออกไปด้วย ดวงแก้วมองตาม ขำ พูดตามหลัง
“ดื้อเงียบนะ ลูกคนนี้”
เจริญขวัญหันมายิ้มหน้าย่น หยอกกลับ ก่อนจะเข้าห้องไป ดวงแก้วยิ้มมองจนลูกลับตาก็คลายยิ้มลง

ดวงแก้วหยิบซองสีน้ำตาลขึ้นมาแกะซอง แล้วดึงกระดาษออกมาอ่าน จากสีหน้าเรียบเฉยเปลี่ยนเป็นตะลึงงัน

ทางด้านอรุณไม่ยอมกลับบ้าน เวลานี้ย่องมายืนอยู่ข้างต้นไม้ แอบดูห้องเจริญขวัญ แลเห็นเงาร่างเจริญขวัญไหวๆ เดินผ่านหน้าต่าง อรุณชะเง้อมอง

ส่วนเจริญขวัญวางหนังสือบนโต๊ะ มีกระจกเล็กๆ ตั้งอยู่ เจริญขวัญค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่ง พยายามสูดลมหายใจลึกสุดใจ แล้วมองหน้าตัวเองในกระจกเห็นความอิดโรยฉายชัด
เจริญขวัญเลื่อนขึ้นมาแตะกระจก กึ่งเศร้ากึ่งไม่สบายใจ ผิดหวังในตัวอรุณ
“เธอไม่น่าทำแบบกับเราเลย อรุณ”
อรุณยังคงแอบชะเง้อมองอย่างเสียใจ รู้สึกผิด
เจริญขวัญลุกมาลงนั่งบนเตียงแล้วหยิบยาที่หัวเตียงมากิน แล้วดื่มน้ำตาม พลางยกมือแนบหน้าอก พยายามสูดลมหายใจเนิบช้า สีหน้านิ่ง ทั้งไม่สบายใจทั้งเศร้าเรื่องเพื่อน
อรุณชะเง้อมองหน้าเศร้าอยู่ มองจนไฟในห้องของเจริญขวัญดับลง อรุณถอนหายใจเศร้าหนัก

ฝ่ายดวงแก้วถือจดหมายที่อ่านแล้วเข้ามาในห้องพระ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งตรงหน้ารูปถ่ายคุณเล็ก
“คุณเล็กคะ ทนายส่งจดหมายมา ว่าคุณน้าอุ่นของคุณ ป่วยมากอยากจะพบคุณหรือทายาท ก็คงเป็นยายขวัญ” ดวงแก้วถอนหายใจหนักหน่วง “คุณเล็ก อยากให้แก้วทำยังไงคะ”

ดวงแก้วมองรูปสามี ตัดสินใจไม่ถูก

ภายในห้องจัดเลี้ยงค่ำคืนนี้ มีการตั้งโต๊ะโชว์การชง ดื่มน้ำชาแบบ ไทย ญี่ปุ่น ฝรั่ง และจัดแต่งอย่างสวยงาม มีชุดน้ำชาให้ประมูลอีกด้วย แขกในงานเดินดูตามโต๊ะต่างๆ มีป้ายบอกชื่องานเด่นหราว่า “ด้วยรักสู่เด็กผู้ยากไร้ สมาคมสตรีพิทักษ์สยาม”

ชาลินีในชุดสวยยืนถือแก้วน้ำ พูดคุยยิ้มหัวอยู่กับบรรดาผู้ชายทั้งแก่และหนุ่มที่รายล้อมรอบกาย
ชาย 1 เอ่ยถามขึ้น “ไม่ได้เห็นออกงานนานแล้วนะครับ คุณชาลินี”
ชาลินียิ้มโปรยเสน่ห์ “ออกงานให้เห็นกันบ่อยๆ ก็เบื่อกันแย่สิคะ”
ชาย 2 แทบละลาย “ใครจะเบื่อได้ลงครับ”
ชาลินีหัวเราะ จริตกิริยาน่ารัก ชวนมอง

คุณหญิงเพ็ญ ยืนอยู่กับนายพลบัญชา ที่มางานให้ตามมารยาท แต่สีหน้าซ่อนความเหนื่อยหน่ายไม่มิด
คุณหญิงยิ้มทักทายแขก “เชิญนะคะ ชุดน้ำชาแต่ละโต๊ะ ของหากยากแล้วก็แพงมากเลยนะคะ ชอบชุดไหน เชิญเลือกประมูลเลย จะได้ร่วมกันทำการกุศลด้วยกันนะคะ”
“ค่ะ” คุณนาย 1 ยิ้มตอบ
คุณหญิงเพ็ญหันมาทางสามี เสียงขุ่นใส่ “ทำหน้าดีๆ ยิ้มแย้มหน่อยได้ไหมคะ”
“น่าเบื่อจะตาย อยู่อีกครึ่งชม ผมจะไปงานเลี้ยงรุ่นล่ะ”
“เลี้ยงรุ่นหรือเลี้ยงใคร”
ท่านนายพลชักฉุน “นี่เราตกลงกันแล้วนะ อยากให้ผมมา ผมก็มาให้แล้วไง”
คุณหญิงมองค้อน หมอไพโรจน์เดินมาไหว้ทักทั้งคู่
“พี่หญิง ท่าน สวัสดีครับ”
“คุณหมอ อุตส่าห์ปลีกตัวมาให้พี่ ขอบคุณนะคะ เอ้อ...สองวันก่อนเห็นว่าไปตรวจคุณแม่ ท่านเป็นยังไงบ้างคะ”
“ผมว่า ท่านอ่อนแรงลงไปมาก ผมก็ดูแลจัดยาบำรุงไว้ให้เต็มที่”
“ค่ะ ขอบคุณมากนะ หมอ ฝากคุณแม่ด้วยนะ”
“ครับ” ไพโรจน์เหลียวหาชาลินีจนเห็นชาลินียังอยู่ในแวดล้อมของผู้ชาย และมีนักข่าวสายสังคมไฮโซเข้ามาถ่ายรูป
“ไปงานไหน ลูกสาวพี่หญิงก็เจิดจรัสทุกงาน”
คุณหญิงเพ็ญหัวเราะ “ใครๆก็บอกว่าสวยเหมือนแม่”
ท่านนายพลแทบสำลักไวน์ คุณหญิงเพ็ญค้อน
ไพโรจน์มองไปทางชาลินี ยิ้มลึกล้ำ แววตาชื่นชม
ชาลินียืนโพสให้นักข่าวถ่ายรูปอยู่มุมหนึ่ง แขกในงานโดยเฉพาะผู้ชาย มองชาลินีอย่างชื่นชม
พอถ่ายรูปเสร็จ มีนักข่าวคนหนึ่ง แต่งตัวดูมีสไตล์ ท่าทางเป็นนักข่าวสายสังคมไฮโซ เอ่ยถามขึ้น
“คุณชาลินีคะ ขอถามเรื่องภาพในไอจีของคุณปวีณาหน่อยได้ไหมคะ”
ชาลินีหน้าตึง ชะงักนิดเดียว แล้วปั้นยิ้มใสใบหน้าซื่อ ถามกลับ
“คะ มีอะไรเหรอคะ พอดีพี่ไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้”
“อ้าว ก็ที่คุณปวีณาลงรูปคุณชาลินีกับคุณสุวิทย์ท่าทางสนิทสนมกันมาก แล้วเขียนโพสต์ว่า หาผอ เองไม่ได้ ต้องแย่งเพื่อนน่ะค่ะ”
สายตาชาลีนีวาบขึ้นมาวูบหนึ่ง รีบยิ้มกลบความรู้สึกโกรธกรุ่นๆ
“คุณชาลินีจะแก้ข่าวว่าไงคะ” นักข่าวจอมสาระแนซักไม่หยุด
ชาลินีอึ้งไปนิด ขณะกำลังจะขยับตอบ ก็เหลือบไปเห็นสามสาว ปวีณา อรอนงค์ และ วัลภา เดินเข้ามาแต่ไกล และหยุดมองตรงมาอย่างเย้ยหยันหาเรื่องเต็มที่
ชาลินีมองสามสาว พยายามเก็บอารมณ์เต็มที่

อีกฟาก รถหรูที่มีอิศราเป็นคนขับ มุ่งหน้ามาทางโรงแรมจัดงานคืนนี้ โดยมีท่านชายวสวัตนั่งคู่
“ขอบใจนะ ที่มาเป็นเพื่อน”
“ยินดีครับ ผมก็ว่างอยู่แล้ว”
ท่านชายวสวัตยิ้มขรึม แต่สายตาคมลึกซึ้ง มองอิศราโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว

สามสาวยืนมองมาทางชาลินีอย่างหาเรื่องและเย้ยหยัน ชาลินีมองอยู่ นักข่าวซักต่อ
“ว่ายังไงคะ คุณชาลินี”
ชาลินีหันมายิ้มหวาน บริสุทธิ์
“ที่จริง เรื่องของสามีภรรยาคนอื่น พี่ไม่อยากยุ่งหรอกค่ะ แต่เห็นว่าเป็นเพื่อน” ชาลีนีทอดถอนหายใจอย่างห่วงใย แสนดี “ที่จริง เรื่องวันนั้น...”
สามสาวมองเขม็งไปที่ชาลินี เห็นชาลินีพูดอะไรบางอย่างกับนักข่าว
“ชั้นว่ามันแก้ตัวกับนักข่าวไม่ได้แน่” ปวีณามั่นใจ
“นั่นสิ พรุ่งนี้ คงเป็นข่าว สาวไฮโซจ้องเขมือบสามีเพื่อน เนอะ” วัลภาพยักพเยิด
“อ้าว นั่น...เขาเลิกสัมภาษณ์แล้ว”

ชาลินียิ้มหวานกับนักข่าว โดยไม่สะดุ้งสะเทือน ปรายตายิ้มส่งมาให้สาวสาว ก่อนเดินจากไป
นักข่าวหันมาทางสามสาวปรี่มาหา ขณะที่สามสาวกำลังสงสัยท่าทีชาลีนี
นักข่าว 1 ทัก “คุณปวีณา คุณอรอนงค์ คุณวัลภา สามใบเถาสาวไฮโซ สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีค่า”
สามสาวทักทาย พลางเตรียมโพสท่าสวยให้ถ่ายรูป
นักข่าว 1 ยิงคำถามทันที “เมื่อกี้ได้สัมภาษณ์คุณชาลินีเกี่ยวกับภาพที่คุณปวีณาลงในอินสตราแกรมน่ะค่ะ”
ปวีณาฉุนกึก เข่นเขี้ยวจะเอาเรื่อง “อ๋อ เหรอคะ คงใบ้ไปเลยใช่ไหมคะ”
“เปล่าค่ะ เธอบอกว่า แค่คุณสุวิทย์นัดพบเพื่อปรึกษาปัญหาชีวิตคู่ ที่ระหองระแหงกับคุณปวีณาน่ะค่ะ”
“อ๊ะ เขาว่ายังงั้นเหรอคะ”
“ค่ะ แล้วยังบอกด้วยว่า...”
นักข่าว 1 เล่าเหตุการณ์ ชาลินียิ้มแย้มให้สัมภาษณ์ว่า
“ฝากไปเตือนเขาด้วยแล้วกันนะคะ ว่าเขียนอะไรให้ระวังเดี๋ยวพี่โกรธขึ้นมาจะแจ้งจับฐานดูหมิ่น” นอกจากนี้ชาลีนียังหัวเราะระรื่น “แต่ก็ไม่อยากทำหรอกค่ะ สงสาร...ให้เขาแก้ปัญหาสามีเบื่อจนจะฟ้องหย่าดีกว่า”
สามสาวฟังด้วยสีหน้าตกตะลึง ปวีณานั้นอ้าปากค้าง คิดไม่ถึง “ห๊ะ เขาพูดแบบนั้นเหรอ”
นักข่าว1 ซัก “ตกลงคุณสุวิทย์เบื่อคุณปวีณาจนจะฟ้องหย่าจริงหรือคะ”
“เปล๊า เปล่านะ เรารักกันดี ใช่ไหมเพื่อนๆ”
“ใช่ค่ะ เขาเป็นคู่ที่รักกันมาก” วัลภาบอก
นักข่าว 1 รุก “อ้าว งั้นไปลงอินสตราแกรมว่าคุณชาลินีแบบนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องจริงน่ะสิคะ”
ปวีณาอ้าปากค้าง อึกอักหาทางไปไม่ถูก

อรอนงค์ ปวีณา วัลภา เดินหนีนักข่าวหน้าหงิกออกมา
“ต๊าย ยัยวี เธอเกือบเสียท่านักข่าวเพราะแม่นั่นซะแล้ว” วัลภาว่า
อรอนงค์เม้ง “นั่นสิ เดี๋ยวก็รู้ไปทั่วสังคมหรอกว่าเธอกับคุณสุวิทย์มีปัญหากัน”
“โอ๊ย ชั้นคงไม่มีปัญหาหรอก ถ้ายัยนั่น ไม่สร้างปัญหา” ปวีณาชะเง้อหา “แล้วหล่อนหายไปไหนแล้วนี่”
ชาลินียืนกอดอกสีหน้าเยือกเย็นรออยู่หลังเสา ก้าวออกมาประจันหน้า
“ชั้นอยู่นี่”
สามสาวชะงัก ชาลินีเดินเนิบข้าเข้าหา สามสาวถอยหลังนิดๆ
ชาลินีแค่นหัวเราะ “พวกเธอ” น้ำเสียงชาลินีเข้มเมื่อพูดคำต่อมา “จะไม่ยอมจบกันใช่ไหม”
ปวีณาบอก “แค้นครั้งนี้ ชั้นไม่ยอมจบง่ายๆ หรอก ชาลินี”
ชาลินีหัวเราะขัน “อ้อ แค้นฝังหุ่น...เอาซี่ แล้วไง จะเอายังไง ว่ามา”
ชาลินีวางมาดเข้ม หน้าหวานแต่นัยน์ตาดุคม กอดอกมองสามสาว ที่อึกๆ อักๆ
อรอนงค์กระซิบปวีณา “นั่นสิ เอาไงต่อล่ะ ยัยวี”
“ตบเลยมั้ย” ปวีณาขยับ
“อ้อ อยากเล่นวิธีต่ำๆ...ได้” ชาลีนีเยาะ ยกมือป้องปาก พูดเบาๆ เป็นเชิงขู่ “ช่วยด้วยค่า นักข่าวอยู่ไหนเอ่ย ชั้นกำลังจะถูกรุม”
“บ้า พวกชั้นรุมเธอแล้วซะที่ไหน” วัลภาหน้าตาเลิกลัก กลัวเป็นข่าวฉาว
ชาลินีหัวเราะเยาะ “พวกเธอนี่...เด็กๆ”
อรอนงค์ด่า “ใครจะไปเหมือนเธอ แผนสูง หน้าด้านจะขอโทษสักคำยังไม่มี”
ชาลินีโกรธ “ชั้นเคยคิดว่าเธอจะดีกว่าพวกนี้สักหน่อย ที่แท้ เธอก็ดีแต่เข้าข้างกัน”
ขาดคำชาลินีเดินเข้าหาสามสาวอย่างเอาเรื่อง สามสาวชะงัก แต่แล้วชาลินีก็เดินแหวกสาวทั้งสามไปเลยอย่างไม่เกรงกลัว

สามสาวแทบกรี๊ด มองหน้ากันด้วยความโมโห

รถอิศราแล่นมาจอดหน้าประตูทางเข้าโรงแรม พนักงานเปิดประตูรถให้นอบน้อม ท่านชายวสวัตพาร่างสูงสง่า และใบหน้าหล่อนิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ ก้าวออกมายืนรอ อิศราลงจากรถมายืนเบื้องหลัง

ขณะท่านชายจะขยับเดิน ชะงักนิดๆ เหลือบมองไปยังเบื้องบนทางหนึ่ง
พบว่าที่หน้าต่างห้องๆ หนึ่ง มีวิญญาณผู้ชายยืนหน้าเศร้าอยู่ อิศราเดินมา มองตามสายตาท่านชาย ไม่เห็นอะไร
“อะไรหรือครับ”
“เปล่า”
ท่านชายวสวัตยิ้ม เดินนำเข้าไปอิศราเดินตาม ผีผู้ชายยังยืนเศร้าอยู่ตรงนั้น

ชาลินีเดินเร็วมาตามทางหน้าห้องจัดเลี้ยง ท่าทางหงุดหงิดไม่เก็บอารมณ์ จนจะถึงหน้าห้องจัดเลี้ยง แล้วชะงัก เปลี่ยนใจไม่เข้าในห้อง เดินเลยจะออกไปหน้าโรงแรม
ท่านชายเดินนำอิศราเข้ามา
ชาลินีเดินตรงไป มีความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา
สีหน้าท่านชายวสวัตขรึมนิ่งระหว่างเดิน
ชาลินีชะลอฝีเท้า หยุดยืน รู้สึกขนลุกเกรียว จนต้องยกมือลูบแขนตัวเอง
“เอ๊ะ เป็นอะไรขึ้นมา...ทำไม..อยู่ๆ หนาว”
ชาลินีงุนงงสงสัยตัวเอง ก่อนจะขยับตัวเดินต่อ แต่พอเงยหน้ามองตรงมาชาลินีก็ชะงัก
เห็น เอกดนัย ยืนยิ้มหลี สีหน้ายินดีปรีดาอยู่ตรงหน้า ชาลินีคลี่ยิ้มรับ
จังหวะนี้สามสาวไฮโซเดินออกมาจากห้องน้ำ สีหน้าหงุดหงิด เอกดนัยปราดเข้าดึงแขนชาลินีออกไปอีกทาง
สามสาวเลยไม่เห็นเหตุการณ์ อรอนงค์มองนาฬิกาข้อมือ ชะเง้อเหลียวหาน้องชาย

เอกดนัยจูงมือชาลินีออกมาหยุดมุมหนึ่งตรงริมระเบียง เอาตัวบังจนชิดตัวชาลินี ด้านหลังชาลินี คือผนังกระจกที่เห็นภาพสามสาวเดินผ่านไป ชาลินีขยับตัวเอกดนัยกระซิบ พลางมองสามสาว
“ชู่ว์อย่าเพิ่ง”
ชาลินีอมยิ้มรู้ทัน เอกดนัยก้มกระซิบชิดริมหู
“ยืนเฉยๆ ก่อน”
เอกดนัยเลื่อนปากมาไล้พวงแก้มชาลินี ดวงตาทำมองไปหลังกระจก พบว่าสามสาวเดินหายไปแล้ว
“ชู่ว์...พวกเขายังยืนอยู่ตรงนี้เลย อย่าเพิ่งขยับนะจ๊ะ”
เอกดนัยทำเป็นไม่ตั้งใจ แต่เลื่อนปากมาจนใกล้จะจุมพิตปากของชาลินีรอมร่อ ชาลินียกมือขึ้นแตะปิดปากเอกดนัย หลุดหัวเราะขำเบาๆ กึ่งหมั่นไส้กึ่งเอ็นดู ก่อนหันไปมองด้านใน พอไม่เห็นสามสาวยืนอยู่ก็ผินหน้ากลับมา ค้อนตาคม
“ว่าแล้วเชียว เด็กขี้จุ๊คนนี้นี่”
เอกดนัยหัวเราะเบาๆ ชาลินียิ้มเอ็นดู

สามสาวเดินมาอีกมุมหนึ่งหน้าห้องจัดเลี้ยงโรงแรม อรอนงค์ยกมือถือมากดดู
“เอ ตาเอกบอกจะมา ทำไมยังมาไม่ถึงอีก”
วัลภาตาลุกฉุดแขนเพื่อนให้หยุดดู “อุ้ย เธอ ดูนั่น”
สองหนุ่มหล่อเดินมา หนึ่งนั้นคือท่านชายวสวัตที่เดินนำหน้า อีกคนเป็นอิศราเดินเยื้องมาทางเบื้องหลังนิดๆ อิศราเยื้อนยิ้ม ท่ายชายวสวัตวางมาดงามสง่า
วัลภาเพ้อ “โอว์ มายดาร์ลิ่ง ทำไมหล่อขนาดนี้”
ท่านชายแทบไม่เหลือบมองสามสาวแม้ขณะเดินผ่าน หากมุมปากกระตุกนิดๆ คล้ายรังเกียจ อิศราเดินเยื้องหลังเมื่อผ่านสามสาวก็หันมายิ้มก้มศีรษะทัก สามสาวยิ้มตอบ
ปวีณาแปลกใจ “นั่น อิศรา ญาติยัยชาลินีนี่นา มาด้วยกัน”
วัลภายิ้มปลื้ม “อื้อหือ..หล่อคู่”

ท่านชายวสวัตและอิศราเดินเข้าประตูมา แขกแทบทุกคนหันมองอย่างตื่นเต้น สนใจ ช่างภาพคนหนึ่งเห็น
“เอ๊ะ ท่านชายวสวัตนี่”
นักข่าวกรูเข้าไปหารุมถ่ายรูปท่านชาย อิศราเลี่ยงห่างออกมา มองท่านชายที่ยืนโดดเด่นให้ช่างภาพถ่ายภาพ และแขก 4-5 คน เข้ามาไหว้ทัก
อิศรามองภาพท่านชายอย่างสุดทึ่ง เห็นกับตาว่าเป็นคนดังของสังคมมากแค่ไหน

ฝ่ายคุณหญิงเพ็ญที่ยืนอยู่กับนายพลบัญชาและหมอไพโรจน์ ชะเง้อมอง
“คนนั้น ท่าทางคงเป็นท่านชายวสวัต ไปทักเขาหน่อยดีไหมคะ”
“ผมเป็นผู้ใหญ่ จะให้เดินไปทักเด็กได้ยังไง” บัญชาดื่มไวน์จากแก้วแล้ววาง “ผมไปล่ะนะ”
“เดี๋ยวสิคะ” คุณหญิงเสียงแข็งแล้วรู้ตัวมีหมอยืนอยู่ “ประเดี๋ยวฉันก็ต้องขึ้นเวทีแล้ว รอดูก่อนสิคะ”
นายพลบัญชาหัวเราะๆ “ไม่ละ ผมสายแล้ว หมอ พี่ขอตัวก่อนนะ มีอีกงานต้องไป”
“ครับผม” หมอไพโรจน์ไหว้
นายพลบัญชาเดินไปเลย คุณหญิงรั้งสามีไว้ไม่ได้ก็หงุดหงิด จึงยิ้มกลบเกลื่อนกับหมอไพโรจน์

ชาลินีเดินเข้ามาตรงระเบียงด้านข้างโรงแรม เอกดนัยรออยู่ ขยับเข้าใกล้
“นึกแล้วว่าชาต้องมา เอกลงเครื่องปั๊บรีบอาบน้ำแต่งตัวมาปุ๊บเลย” เอกดนัยจับมือชาลินี “เอกคิดถึงชามากเลยรู้ไหม วันนี้ตอนอยู่บนเครื่อง ใจมันลิ่วมา ก่อนเครื่องจะลงรันเวย์” เขาหัวเราะ “แทบเสิร์ฟอาหารผู้โดยสารผิด”
“หนุ่มสจ๊วตอย่าขาดสตินักสิจ๊ะ”
มือถือดังขึ้น เอกดนัยยกขึ้นมาดู
“พี่อรส่งแมสเสจมาจะร้อยข้อความแล้วมั้งเนี่ย ชาจะเข้างานหรือ ยัง ไป ไปด้วยกัน”
“ไม่ละ” ชาลินีทำเสียงล้อเลียน “พี่ชา...จะหนีกลับละ”
เอกดนัยฉงน “อ้าว ทำไมเอกมาก็รีบกลับล่ะ งั้นเอกหนีไปด้วย”
ชาลินีมองกึ่งเอ็นดูกึ่งอึดอัดใจ สุดท้ายส่ายหน้า “เราน่ะไปหาพี่สาวเถอะ พี่สาวเราเขาหวงเราอย่างกับแม่ไก่...” เอกดนัยขยับจะพูด “อย่าดื้อน่า” ชาลินีแตะไหล่บอกลา “พ่อน้องชาย แล้วค่อยเจอกันนะจ๊ะ”
ชาลินีเดินไปเลย เอกดนัยละล้าละลัง
“เดี๋ยวสิ ว้า...”

ส่วนภายในห้องจัดเลี้ยงตอนนี้ แขกทุกคนยืนมองไปยังหน้าเวที คุณหญิงโสรญาพูดค้างอยู่ นักข่าวถ่ายภาพ คุณหญิงเพ็ญยืนอยู่กับหมอไพโรจน์ แม้จะยิ้มแต่มองคุณหญิงโสรญาอย่างหมั่นไส้ วัลภา อรอนงค์ ปวีณา ยืนอยู่ด้วยกันอีกมุม
“และวันนี้ดิฉันก็รู้สึกยินดีมากที่ได้รับเกียรติให้มาเป็นประธานของงานในวันนี้นะคะ”
แขกปรบมือกราว คุณหญิงเพ็ญตบมืออย่างเสียไม่ได้
คุณหญิงโสรญากล่าวต่อว่า “และที่สำคัญที่สุดคือ ท่านชายวสวัต ได้ให้เกียรติมางานและประเดิมมอบเงินเพื่อการกุศลในครั้งนี้สี่ล้านบาทค่ะ
แขกฮือฮาปรบมือเกรียวกราว ทุกสายตาหันมามองทางท่านชายเป็นตาเดียว คุณหญิงเพ็ญปรบมือตื่นเต้นไปด้วย
ท่านชายวสวัตยืนเคียงอิศรา อิศราปรบมือให้ ท่านชายพรายยิ้มก้มศีรษะนิดๆ ให้ทุกคนอย่างสง่างาม
“เอ๊ะ ตาอิศรานี่ ไปรู้จักมักจี่กับท่านชายได้ยังไง ยัยชาลินีไปไหนนะ” คุณหญิงมองหาลูกสาว
ไพโรจน์เหลียวหาก็ไม่มี

ชาลินีเดินเร็วรี่ออกมาถึงหน้าห้องจัดเลี้ยงแล้ว กำลังจะออกจากโรงแรม แต่แล้วเธอกลับต้องชะงัก เมื่อยินเสียงปรบมือเบาๆ ดังมาจากในห้องจัดงาน
เป็นเสียงปรบมือของท่านชายวสวัต ที่ทุกคนรายล้อมอยู่ และยังปรบมือต่อเนื่อง
ชาลินีเธอหันหลังกลับมา รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างดูดดึง
สีหน้าท่านชายที่อยู่ในห้องรับรู้ เบี่ยงหน้ามาจนเห็นเสี้ยวหน้า
ชาลินีหันทั้งตัว ขยับขาเหมือนจะก้าวกลับเข้าไปในงาน
ท่านชายวสวัตเปล่งเสียงเข้ม และดุดันทรงอำนาจออกมาว่า “ยัง...ยังไม่ใช่เวลาของเจ้า”
ชาลินีชะงัก ขณะกำลังจะหันกลับ เห็นนายพลบัญชาเดินออกมาจากประตูห้องจัดเลี้ยงพอดี
“อ้าว เรา ทำไมมาอยู่ตรงนี้”
“กำลังจะเรียกรถกลับค่ะ พ่อล่ะคะ”
“เหมือนกัน...ไป พ่อไปส่งบ้านก่อน”

นายพลบัญชาโอบชาลินีเดินไป

ฟาก อรอนงค์ วัลภา และปวีณา ชะเง้อคอมองท่านชายและอิศราที่มีคนยืนรายล้อมอยู่ ปวีณาปลื้มไม่หาย

“ท่านชายหล่อยังกับพระเอกหนัง เสียแต่ดูหยิ่งๆ ดุ๊ดุนะ ว่าไหม”
อรอนงค์พยักหน้าเห็นด้วย เอกดนัยเดินเข้ามา กระแอมข้างหูอรอนงค์ “จ๊ะเอ๋”
อรอนงค์สะดุ้งหันมา “ตาเอก ทำไมเพิ่งมาป่านนี้” พูดจบก็คล้องแขนเอกดนัยหมับ
วัลภายิ้มทัก “ว้าว หนุ่มสจ๊วตสุดหล่อ พี่สาวเราเค้าชะเง้อคอยน้องจนคอจะเป็นยีราฟอยู่แล้วจ้ะ”
เอกดนัยหัวเราะ อรอนงค์กอดแขนน้องชายอย่างรักใคร่และสนิทสนมกันมาก

อิศรามองท่านชายวสวัตด้วยสีหน้าชื่นชม ท่านชายหันมาทางอิศราพูดเบาๆ
“ดูสิอิศรา เงินไม่กี่ล้านนี่ทำให้คนปรบมือกันนานจริงฉันยิ้มจนเมื่อย นี่ถ้าฉันบริจาคสิบล้าน สงสัยคงกระโดดปรบมือกันไปด้วย”
อิศราชะงักแล้วนึกขำ หลุดหัวเราะเสียงดัง จนแขกข้างๆ มองมา ท่านชายวสวัตยิ้ม
คุณหญิงเพ็ญเดินตรงมาพร้อมกับหมอไพโรจน์ เอ่ยทัก
“อิศรา”
“อ้าว อาหญิง อาหมอไพโรจน์” อิศราแนะหันมาทางท่านวสวัต ”ท่านชายครับ นี่คุณหญิงเพ็ญภาวีร์ อาของผมเอง แล้วก็อาไพโรจน์ ท่านเป็นหมอที่ดูแลคุณย่าผมอยู่”
ท่านชายยิ้มงามงด ให้คุณหญิงเพ็ญ และเมื่อหันมามองหมอไพโรจน์ ท่านชายชะงักไปนิดๆ ก่อนก้มศีรษะทักทาย
“ไม่ทราบนะคะ ว่าพ่อหลานชาย รู้จักกับท่านชาย ไม่งั้น ก็จะได้ให้ส่งการ์ดเชิญ ไม่ต้องไปกวนคุณหญิงโสรญา ต้องขอขอบพระคุณท่านชายมากนะคะ สำหรับเงินบริจาค” คุณหญิงโอภาปราศัย
“ยินดี คุณหญิง ...อิศรา เรากลับกันดีไหม”
คุณหญิงเพ็ญฉงน “อ้าว เพิ่งมาเอง อยู่อีกสักครู่สิคะ” แล้วหันไปมองหา บ่นบ้าว่าลูกสาว “ยายชาลินีไปไหนนะ”
ไพโรจน์ดูท่าทีท่านชายคล้ายจะเป็นคนหยิ่งเอาการอยู่ ก็ลอบยิ้มขัน และมองนาฬิกา ท่านชายวสวัตมองหมอไพโรจน์
“ดูเหมือน หมอก็ไม่ค่อยชอบงานแบบนี้นะ”
ไพโรจน์สะดุดใจนิดหน่อย “ก็...ไม่เชิงหรอกครับ ทำไมครับ หน้า
ผมมันฟ้องขนาดนั้นเชียว
“เปล่า แต่เห็นหมอมองนาฬิกาหลายรอบแล้ว”
ไพโรจน์ยิ้มบางๆ คุณหญิงเหลียวหาชาลินีอย่างหงุดหงิด

ท่านชายและอิศราเดินคุยกันมาจนถึงหน้าทางออก มีพนักงานโรงแรมเปิดประตูให้
“ผมดูไม่ออกจริงๆ ว่าท่านชาย ชอบที่จะออกงานแบบนี้หรือว่าจำใจมา”
“เมื่อต้องอยู่รวมกับคนในสังคม เรื่องแบบนี้ก็ปฏิเสธไม่ได้ เธอล่ะ”
“ปกติผมไม่ชอบ แต่วันนี้มากับท่านชายแล้ว รู้สึกโก้พิลึก คนที่ไม่เคยรู้จัก ก็มายิ้มให้มาทักทาย ราศีท่านชายอุตส่าห์เผื่อแผ่มาให้ผมด้วย”
“ราศี...รัศมีของเงินมากกว่าละมั้ง” ท่านชายสัพยอก
อิศราหัวเราะขัน “ก็นั่นไงครับ ในที่สุดท่านชายก็ยอมรับว่าเงินเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของมนุษย์...เหมือนที่คุณย่าเคยบอกผม เงินคืออำนาจ คือทุกสิ่งทุกอย่าง”
ท่านชายวสวัตยิ้มบางๆ นัยน์ตาเข้มมองอิศราเหมือนว่าเป็นคนเห็นแก่เงิน อดนึกเหยียดหยันไม่ได้
ฉับพลัน เงาคนกระโดดตึก ตกลงมาเบื้องหลังของท่านชายและอิศรา
อิศราไม่รู้ แต่ท่านเห็นรู้
มือผียื่นมาจับขาท่านชาย คล้ายจะแตะ แต่แล้วชักมือหนีด้วยความร้อนที่แผ่มา ร้องโอดโอย
ท่านชายมอง ผีกระโดดตึกนอนพังพาบที่พื้น เลือดสาด ยกมือไหว้ท่วมหัว
“ช่วยด้วยเจ้าข้า ผมอยากหลุดออกจากที่นี่ มันเจ็บปวดซ้ำซากเหลือเกินแล้ว...โปรดเถิดเจ้าข้า
ท่านชายวสวัตมอง บอกด้วยจิต ปากปิดนิ่ง
“กรรมที่เจ้าฆ่าตัวตายก่อนเวลา วิญญาณเจ้าก็ต้องวนเวียนฆ่าตัวตายซ้ำแล้วเช่นนี้จนกว่าจะหมดเวร ..ไปซะเถอะ”
วิญญาณผีร้องไห้โอดครวญ จางหายไป

พนักงานขับรถอิศรามาจอดให้ อิศราหันมาพบว่าท่านชายยังคงมองที่พื้นอยู่อย่างเก่า อิศราเพ่งมอง แต่ไม่เห็นอะไร
“ท่านชาย เชิญครับ”
ท่านชายยิ้มขรึม ก้าวขึ้นรถ

ชาลินีกลับถึงบ้าน เวลานี้เตรียมจะเข้านอนแล้ว สาวสวยก้าวเข้ามาหยุดที่หน้ากระจก มองรูปสะท้อนตัวเองอย่างชื่นชม ก่อนจะหยิบแปรงมาแปรงผม แล้วรามือลง นึกถึงเหตุการณ์และความรู้สึกประหลาดล้ำ ที่หน้าห้องจัดเลี้ยงในโรงแรม
“เป็นอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ บ้าจริงเรา”
ชาลินีสลัดความคิด แปรงผมต่ออีก ยินเสียงเคาะประตู แต่ไม่ทันบอกให้เปิด คุณหญิงเพ็ญก็เปิดเข้ามาโดยเร็ว
“นี่ ทำไมหนีกลับมาก่อนไม่บอกแม่สักคำ
ชาลินีวางแปรง กระโดดขึ้นเตียง ทำทีเป็นหาว
“ดึกแล้ว แม่ไม่ง่วงเหรอคะ”
“คุยกันก่อน รู้มั้ย ว่าเราพลาดโอกาสที่จะได้พบใครไป”
“มหาเศรษฐีบ่อน้ำมันที่ไหนหรือคะ” ชาลีนีทำเป็นหลับตา
“เค้าว่า มีทั้งบ่อน้ำมัน เหมืองทองแล้วก็อะไรอีกสารพัดล่ะ...ท่านชายวสวัต”
ยินชื่อนี้ ชาลินีลืมตา ใคร่รู้มานิดๆ ไม่มากนัก “ท่านชายวสวัต”
“ใช่ มากับนายอิศ ยังไงวันหลังเราก็ให้อิศราพาไปแนะนำให้รู้จักสิ”
“ให้หนูไปเสนอหน้าไว้ว่างั้น”
คุณหญิงบอกอย่างจริงจัง “ชาลินี แกก็เห็น ว่าพอพ่อเราเกษียณ คนก็มองข้ามหัวเรากันหมด เราน่ะ ต้องได้สามีที่มีหน้ามีตาเอาสินสอดมาได้สักร้อยสอดร้อยล้าน เอาให้คนมันฮือฮาไปเลย”
คำพูดมารดากระแทกเข้าหน้าชาลินีจังๆ ความรู้สึกน้อยใจลึกๆ เหมือนชีวิตตนมีแค่นั้น ที่แม่ต้องการ ก่อนหลับตาลง
“อย่างท่านชาย แม่ก็ไม่ได้ข่าวนะ ว่ามีเมียแล้ว” คุณหญิงหันมามอง “อ้าว ชาลินี หลับแล้ว ปล่อยให้แม่พูดอยู่ได้”
ชาลินีแกล้งหลับ คุณหญิงเพ็ญถอนใจเฮือก เดินบ่นออกจากห้อง
“เฮ้อ พ่อลูกพอกัน....ไม่ได้ดังใจจริงจริ๊ง”
พอคุณหญิงมารดาปิดประตูลง ชาลินีลืมตาทันที พลิกตัวกอดหมอนอีกใบ
“ชื่อแปลกดี...ท่านชายวสวัต” จู่ๆ เหมือนขนลุกเกรียวขึ้นมาอีก หญิงสาวขยับห่มผ้าแตะหน้าผากตัวเอง “เอ๊ะ หรือเราจะไม่สบาย ถึงได้ร้อนๆ รุ่มๆ แบบนี้”
ชาลินีพยายามหลับตาลง หลับผล็อยไปในที่สุด

ขณะที่ชาลินีนอนหลับอยู่ ได้ยินเสียงเด็กร้องเพลงเล่นแว่วๆ มา ชาลินีกระสับกระส่าย สุดท้ายสะดุ้งตื่น ค่อยๆ ยันกายขึ้นนั่ง มองไปทางหนึ่ง แลเห็นร่างเด็กผู้หญิงอายุราว 5 ขวบ ใส่ชุดกระโปรง ผมมีโบว์ นั่งกับพื้นหันหลังให้ ร้องเพลงหงิงๆ
ชาลินีเขม้นมอง สีหน้าสงสัย
“ใครน่ะ เข้ามาในนี้ได้ยังไง”
ชาลินีค่อยๆ ลุก เดินไปหา เด็กหญิงยังคงนั่งหันหลัง โยกตัวไม่สนใจ ชาลินีเดินเข้าใกล้ อย่างประหวั่น
“หนู เข้ามาในห้องชั้นได้ยังไง หนูเป็นใคร”
ชาลีนีค่อยๆ เอื้อมมือไปแตะบ่าเด็กหญิงเบาๆ เด็กหญิงหันขวับมา ใบหน้าซีดเผือดปากแดง แสยะยิ้มให้ น่าเกลียดน่ากลัวเป็นที่สุด ชาลินีร้องกรี๊ด
ชาลินีผวาร้องเบาๆ ทะลึ่งร่างพรวดขึ้นมา เหงื่อแตกเต็มหน้า หอบหายใจอย่างรุนแรง ชาลินีมองไปรอบห้องอย่างรวดเร็ว สีหน้าหวาดผวา แต่พบว่าไม่มีใคร

ชาลินีค่อยๆ นั่งชันเข่า โอบผ้าห่มคลุมกาย ใจคอไม่ดี

อ่านต่อหน้า 4

เงา ตอนที่ 3 (ต่อ)

ขณะเดียวกันนั้น ท่านชายวสวัตยืนนิ่งอยู่บนยอดตึกสูงลิบ สีหน้าเคร่งขรึมออกไปทางดุดัน ยินสรรพเสียง คนพูดคุย ทะเลาะ จอแจ และปิดท้ายด้วยเสียงปืน ใบหน้าท่านชาย ดุดัน เคร่งขรึม

อีกฟาก ที่ร้านขายของชำในตึกหลังหนึ่ง หญิงวัย 60 ปี ผู้เป็นแม่กำลังยื้อยุดลูกชายวัยรุ่นที่ดึงเงินจากมือ
“ไม่ได้นะ” แม่ร้องไห้ “แกเอาไปก็ไปซื้อไอ้ยาบ้านั่นอีก แม่ไม่ให้ แม่จะเอาไว้พาเตี่ยไปหาหมอพรุ่งนี้ เอาคืนมา”
แม่กระชากเงินจากมือลูกชายติดยา ขณะที่เพื่อนลูกชายวัยเดียวกัน นั่งคร่อมมอเตอร์ไซค์รออยู่หน้าร้านชะเง้อมองรำคาญ
“ขอดีๆ อย่าเรื่องมากได้มั้ย โว้ย”
ลูกชายขัดใจ ผลักแม่กระเด็นถลาไปชนโต๊ะ ร่างหญิงสูงวัยทรุดร้องโอดโอยกับพื้น
“โอ้ย แก...ไอ้ลูกทรพี” แม่ร้องไห้สะอึกสะอื้น
“เฮ่ย ให้ไวโว้ย ให้ไว” เพื่อน ร้องขึ้นอย่างหงุดหงิด
ลูกชายฮึดฮัด รีบวิ่งไปกระโดดคร่อมหลังมอเตอร์ไซค์ เร่งขี่กันออกไป ทิ้งแม่นั่งกับพื้นมองตามลูกชายร้องไห้ใจจะขาดรอนๆ
“ลูกทำไม..ทำไมเป็นแบบนี้...ไอ้ตี๋...ลูกแม่”
เสียงสะอื้นไห้ของผู้เป็นแม่ ผสานกับเสียงฟ้าร้องครืนครันด้านนอก

รถจักรยานยนต์ แล่นมาท่ามกลางสายฝนที่พร่างพรายลงมา สองเด็กแว้นขี่มอเตอร์ไซค์ และร้องเฮฮา สนุกสนานเมายา
มอเตอร์ไซค์พุ่งผ่านสี่แยกไป ทันใดนั้น มีแสงไฟจากหน้ารถอีกคันที่วิ่งออกจากแยกตัดถนน
สาดใส่หน้าสองวัยรุ่นชาย พวกมันหันไปด้วยความตกใจ ล้อรถมอเตอร์ไซค์ พลิกที่พื้นล้อหมุนติ้วๆๆ ร่าง 2 คน นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น เงาดำพุ่งมายังร่างทั้งคู่ที่นอนตายอยู่สู่นรกอเวจี

น้ำทะเลในมหาสมุทรนรกนั้นเดือดพล่าน มีสัตว์ร้ายรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว เที่ยววิ่งเพ่นพ่าน
เกรียงไกรซึ่งบัดนี้อยู่ในชุดนายนิรยบาล คอยเอาหอกทิ่มสัตว์นรกอยู่ ร่างเกรียงไกรเองก็ถูกแผดเผาเร่าร้อน เหงื่อโซมหน้าตาแสยะน่าเกลียดน่ากลัว เสียงเอ็ดอึงดังก้องขึ้น
“เสด็จแล้ว...เสด็จแล้ว”

ณ ลานตัดสินโทษ ชายวัยรุ่น ที่ตบตีแม่ ถูกผลักเขามาหมอบกราบ ร่างโชกเลือด ตื่นตกใจ
“ที่ไหน..นี่..ที่ไหน” ชาย 1 กลัวมากร้องไห้โฮหาแม่ “แม่...แม่ครับ ช่วยผมด้วย”
ท่านชายพญามาร เดินเข้ามา หรี่ตามองสัตว์นรกรายใหม่อย่างชิงชัง
“เจ้าสัตว์นรก ยามมีชีวิต ประพฤติต่อบุพการีเยี่ยงเดียรฉาน ยามนี้มาคร่ำครวญ สิริ”
“เจ้าข้า”
“โทษ ของมัน!”
ชาย 1 ที่คุกเข่าอยู่ แหงนหน้าอันเต็มไปด้วยเลือด ฟังอย่างหวาดกลัว
“สัตว์นรกผู้ทำบาปอันมหันต์ คือการทำร้ายบุพการี จักต้องตกสู่มหาอเวจีนรก มันจะถูกขังไว้ในกล่องเหล็ก และโดนหลาว เหล็กพุ่งเสียบทะลุตั้งแต่หัวถึงทวารให้ตรึงไว้ก่อนจักถูกไฟนรกร้อนแรงยิ่งกว่าขุมใดเผาให้ตาย แล้วฟื้นใหม่เพื่อรับโทษเช่นนี้ ชั่วกัปชั่วกัลป์ เจ้าข้า”
“ไม่ ไม่ ผม...ผมกลัวแล้ว ผมกลัวแล้ว..แม่...แม่ ผมขอโทษ แม่ ช่วยผมด้วย...”
ศีรษะพญามารในเปลวเพลิง พุ่งขึ้นมาจากร่าง สั่งสำเร็จโทษ
“ไสหัวมันไป! ชดใช้กรรม”
เสียงรับเซ็งแซ่ดังเคย “ชดใช้กรรม...ชดใช้กรรม...ชดใช้กรรม”
มือมืดหลายมือเข้าตะปบร่างวิญญาณชาย 1 แล้วดึงดูดเข้าสู่รูหนอน ลากไปสู่ทะเลนรก ชาย 1 ร้องลั่น
ศีรษะท่านชายในเปลวเพลิง เปล่งเสียงขึ้น
“วิญญาณบาป รายต่อไป”

ระหว่างนี้ เงาดำของนายนิรบาลตนหนึ่งดึงวิญญาณชาย 1 จากรูหนอน เข้ามาในทะเลนรก
วิญญาณเกรียงไกรมองเห็นรูหนอนนั้น ที่กำลังจะปิดลง จ้องที่รูหนอนนั้นตาไม่กะพริบ

อิศราลุกพรวดขึ้นมาด้วยความตกใจหลังฟังเสียงจากปลายสาย
“ว่าไงนะ เกรียงไกรตายแล้ว”
นิกรโทร.มาบอกขณะขับรถอยู่บนท้องถนน “ใช่ ตำรวจเจอรถมันตกคูน้ำ นายไม่ดูข่าวมั่งหรือไงวะเย็นนี้เราว่าจะไปงานศพมัน”
อิศราตะลึงอยู่ “เออ เราไปด้วย ไม่น่าเชื่อเลย เพิ่งเจอกันแท้ๆ”
“มันคงเมาแล้วขับรถ เฮ้อ มันกำลังมือขึ้นแท้ๆ เออ...บอกท่านชายหน่อยดีไหมวะ” นิกรว่า
“ได้ เดี๋ยวเราจะเรียนท่านชายเอง”
อิศรากดปุ่มวางหู ถอนใจ ทำท่าจะกดมือถือ แต่มือถือกลับดังขึ้นเสียก่อน
อิศรามองมือถือ ขึ้นชื่อผู้โทร.มาเป็น ท่านชายวสวัต
“ฮัลโล ท่านชาย ใจตรงกันเลยครับ ผมว่ากำลังจะโทร.หา”
เสียงท่านชายหัวเราะร่วน “ฉันอยู่หน้าบ้านเธอ อิศรา”
อิศราร้อง “ห๊ะ”ด้วย คาดไม่ถึง

อิศราเดินออกมาหน้าตัวตึกบ้าน อย่างพิศวง รถท่านชายเคลื่อนเข้ามาจอดพอดี ภุมมะลงมาเปิดประตูให้ ท่านชายวสวัตก้าวลงมา ยิ้มอารมณ์ดี
อิศราไหว้ทัก “ท่านชาย...มายังไงครับนี่”
ท่านชายยิ้ม ท่าทีสบายๆ “เธอไปบ้านฉันมาแล้ว ฉันก็อยากมาเยี่ยมเธอบ้างไม่ได้หรือ”
“ได้สิครับ เชิญครับ”
ท่านชายเดินเข้าไป อิศราจะขยับตาม เหลือบมองมาทางภุมมะแวบหนึ่ง
ภุมมะช้อนตามมองสบตาอิศรา สีหน้าเรียบหน้าซีดจนแลดูน่ากลัว
อิศราบ่นกับตัวเอง “ไอ้หมอนี่ เจอกี่ที ก็ชอบทำหน้ากะยังผีดิบ”
อิศราหันไป สวนกับสีที่ออกมาดูอย่างตื่นเต้น
“คุณอิศ คุณผู้ชายที่เพิ่งเดินเข้าไป เพื่อนหรือคะ หล่อจัง”
“ใช่”
อิศราจะก้าวเข้าไป ผ่านหน้าสีที่ชะเง้อมองไปที่รถ
“นั่น มีคนขับรถนั่งอยู่ใช่ไหมคะ เดี๋ยวสีจะได้จัดน้ำไปให้”
อิศราชะงักหันมา พบว่าภุมมะได้เข้าไปนั่งตัวตรงอยู่ในรถอยู่แล้ว ใบหน้าซีดขรึม อิศราลังเล อ้าปากเหมือนจะเตือนว่า หน้าคนรถคุณชายเหมือนผี สุดท้ายบอกเพียงว่า
“เอ้อ..ระวังหน่อยนะ”
“ระวังอะไรเหรอคะ”
“เอ้อ...หน้าตาหมอนี่ไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านน่ะ”
อิศราเดินเข้าบ้านไป สีชะเง้อมองไปทางรถเห็นภุมมะยังคงนั่งนิ่งในรถนั้น

ฝ่ายท่านชายวสวัตเดินเข้ามาในห้องโถง อิศราตามหลังมา
“ผมว่าจะโทร.หาท่านชายอยู่ทีเดียวเรื่องเกรียงไกร ท่านชายทราบเรื่องหรือยังครับ”
ท่านชายพยักหน้า “ฉันรู้แล้ว...บ้านเธอน่าอยู่ทีเดียวนะอิศรา”
“ของคุณย่าน่ะครับ แต่เป็นที่รู้กันว่า...คุณย่าจะยกให้ผม” อิศราอวด
ท่านชายเบี่ยงหน้ามามองอิศรา รู้ดีว่าอีกหน่อย มันจะไม่ใช่ของเขา
“เป็นเรื่องโชคดีของเธอน่ะสิ”
ท่านชายเยื้อนยิ้มยินดี มองไปที่ผนังแล้วเดินไปดูรูปย่าอุ่นที่นั่งถ่ายรูปร่วมกับ คุณเล็ก คุณใหญ่ และ คุณหญิงเพ็ญ
“นี่ใช่ไหม คุณย่าของเธอ”
“ครับ”

ย่าอุ่นนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น มีหมอนอิงหลายใบพิงเพื่อให้นั่งสบาย พยาบาลกำลังเอาแก้วน้ำมีหลอดให้ดูด หญิงชราทอดสายตามองไปนอกหนาต่าง สีหน้าอิดโรย
เสียงเคาะประตู อิศราตรงมาหาคุณย่า พยาบาลปลีกตัวออกไป
“คุณย่าครับ ผมมี...เพื่อนมา ขอเยี่ยมคุณย่าครับ”
“ใคร”
“ท่านชายวสวัตครับ”
ท่านชายก้าวเข้ามายืนที่กรอบประตู แสงจากนอกห้อง สาดแรงกว่าจนเหมือนท่านชายเป็นเงา คุณหญิงอุ่นหันมาต้องหยีตามองไม่ชัด
“ท่านชายเชียวหรือ”

ท่านชายวสวัตลงนั่งเก้าอี้ตรงหน้าย่าอุ่น อิศรายืนข้างคุณย่า
“ขอบคุณ ที่มีแก่ใจ มาเยี่ยมคนแก่” ยาอุ่นทักทาย
“อิศราพูดถึงคุณหญิงย่าบ่อย เลยคิดว่าสมควรมาเยี่ยมท่านบ้าง”
“เดี๋ยวผมไปให้เขาเตรียมน้ำมารับรองท่านชายนะครับ”
อิศราหันตัวเดินออกไป เหลือเพียงท่านชายและ ย่าอุ่นที่ยิ้มบาง
ท่านชายมองหน้าย่าอุ่น สีหน้าละไมคล้ายยิ้ม แต่ดวงตาที่จ้องมาล้ำลึก เหมือนมองทะลุจิตใจหญิงชราใจบาป
อิศราหยุดที่ประตูห้องเหลียวกลับมามองภาพท่านชายนั่งตรงหน้าย่าอุ่น ก่อนจะค่อยๆ ออกจากห้องปิดประตูลงเบาๆ

แม่บ้านสีถือแก้วน้ำออกมา จดๆ จ้องๆ เมียงมองมาที่รถ ภุมมะยังคงนั่งท่าเดิม เอามือจับพวงมาลัยมั่น สีตรงมาก้มมอง ภุมมะยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง และไม่หันมา สีจำใจเคาะกระจกเรียก
“พ่อคุณ ๆ น้ำ จ้ะ”
ภุมมะค่อยๆ เบือนหน้ามา ใบหน้าซีดขาวเบิกตาโพลง สีสะดุ้งตกใจ
"ว๊าย ผี"

สี ถอยกรูดแล้วรีบวิ่งกลับเข้าตึก ภุมมะยังคงนั่งหน้าเรียบเฉย เหลือบตามองตาม

ย่าอุ่นเปิดปากพูดประโยคแรกมาท่านชาย

“คนแก่ ไม่มีอะไรดี ยิ่งเป็นแบบนี้ ยิ่งไม่น่าดู”
ท่านชายยิ้มอบอุ่นซ่อนแววตาสมเพชเวทนา
“แต่คุณหญิงยังมีทางออกจากร่างนี้”
ย่าอุ่นชะงักตกใจมองท่านชาย ท่านชายยิ้มอ่อนหวาน
“ผมหมายถึงถ้าคิดถึง คนที่นั่งสมาธิ คนเหล่านั้นก็ละการติดข้อง กับสังขาร หันมาเพียรพยายามดูจิต”
“ฉันไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้หรอก ท่านชายดูหนุ่มแน่น สนใจเรื่องธรรมะด้วยเหรอ”
“ศาสดาแห่งศาสนาพุทธ สอนไมใช่เหรอว่า ธรรมะ คือธรรมชาติที่อยู่รอบตัว” ท่านชายหัวเราะเบาๆ “ทางวิทยาศาสตร์ก็บอกว่า ความคิดคน แล่นได้เร็วกกว่ากระแสไฟฟ้า...ยิ่งถ้าคิดเรื่อง อดีต ภาพจำก็เรียงกันมาเหมือนดูหนัง”
ย่าอุ่นชะงัก ท่านชายพูดเหมือนรู้ใจตนไปเสียหมด
“แต่ฉัน...ฉัน...เกลียดความคิด..ฉันอยากลืม ไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้น”
“ก็ถูก..ที่ความคิดของคนเรา เป็นมิตรหรือศัตรูกับตัวเอง” ท่านชายจ้องตาคมกริบมองย่าอุ่น “คุณหญิงก็คิดแต่เรื่องที่เป็นสุขสิ” พญามารยิ้มอ่อนละมุน “อย่าคิดเรื่องที่ผิด บาป”
ย่าอุ่นตะลึง แววตาบ่งบอกถึงความหวาดกลัว ปากสั่นระริก
ผีนางหยกปรากฏร่าง ยืนอยู่หลังพญามาร ท่านชายรับรู้แต่ไม่หันไปมอง ผีนางหยกเป็นร่างคนเหมือนตอนมีชีวิตยืนร้องไห้ เป็นเหมือนเงาอยู่เบื้องหลังท่านชาย
ย่าอุ่นตาเบิกโพลง มองผีนางหยก แล้วหันมองท่านชายที่มองมาพลางยิ้มให้ เหมือนไม่รับรู้ใดๆ
“ท่าน...ท่าน...” ย่าอุ่นเหลือบตามมองไปทางผีนางหยก เหมือนจะบอกท่านชาย แต่สุดท้ายไม่กล้า
ย่าอุ่นมองท่านชาย อย่างตะลึงและหวาดหวั่น เงาร่างผีนางหยกหายไป
ท่านชายยังคงยิ้มมุมปาก เหมือนพูดเรื่องธรรมดา ย่าอุ่นมองท่านชาย สีหน้าหวั่นหวาด ไม่แน่ใจ
“สิ่งนั้นก็จะออกมาให้คุณหญิงเห็น เพื่อระลึกได้ถึงผลของการกระทำของคุณหญิงเอง” ท่านชายหัวเราะเบาๆ “ทางวิทยาศาสตร์เขาอาจเรียกว่า เป็นเงาสะท้อนความทรงจำจากจิตใต้สำนึกที่ฝังแน่นอยู่ของคนเรา...คุณหญิง เชื่อเรื่องพวกนี้ไหม”
ย่าอุ่นมองยิ้มหล่อ เหมือนปราณีของท่านชาย แล้วพูดไม่ออก ไม่กล้าสบตา หวั่นหวาดในใจตนเอง

อิศราเดินมากับแม่บ้านสี ที่ถือถาดใส่แก้วน้ำมา
“จริงๆ นะคะ พอคนขับรถหันหน้ามา อิฉันมืออ่อนเท้าอ่อนไปเลย..ทำไมหน้าถึงได้..เอ้อ น่ากลัวอย่างกะ..ผี”
อิศราหลุดขำ “เกือบจะเตือนเหมือนกัน” เขาหันมาร้อง “อ้าว”
เมื่อพบว่าท่านชายวสวัตยืนเอามือไขว้หลังอยู่หน้าห้องคุณย่าอยู่แล้ว
“ผมกำลังให้แม่บ้านเอาน้ำมารับรองท่านชายพอดี คุยกับคุณย่าเสร็จแล้วหรือครับ”
ท่านชายยิ้ม “ฉันเกรงว่าจะรบกวนท่านมากไป ก็เลยขอตัวออกมา”

เวลานั้น ภุมมะออกมายืนรออยู่เหมือนรู้เวลา ขณะท่านชายเดินมากับอิศรา สีตามมาเยื้องหลังมา “ผมต้องขอประทานโทษด้วย ถ้าดูแลท่านได้ไม่เต็มที่”
“อย่าทำเหมือนเป็นคนอื่นสิอิศรา เย็นนี้พบกันที่งานเกรียงไกร”
“ครับ”
ท่านชายขึ้นรถ ภุมมะปิดประตู แล้วเหลือบมองมาทางแม่บ้านแวบหนึ่ง สีหลบพรวดไปอยู่หลังอิศรา ภุมมะขึ้นรถ ขับเคลื่อนออกไปเลย

ต่อมา อิศราลงนั่งข้างย่าอุ่น ที่มีสีหน้าหวาดวิตกอยู่ไม่หาย
“คุณย่า ดูเหนื่อยๆ พักไหมครับ ผมจะอุ้มขึ้นเตียง”
ย่าอุ่นพยักหน้า อิศราก้มช้อนร่างอุ้มคุณหญิง มีพยาบาลช่วย อิศราวางคุณย่าลงที่เตียง พยาบาลจัดห่มผ้าคลุมให้
“อิศรา...ท่านชาย...เป็นใคร”
“เป็นเจ้าชายต่างชาติน่ะครับ แต่อยู่เมืองไทยนานแล้วครับ” อิศราบอกตามที่รู้จากคนอื่นๆ
“ทำไม...ทำไม...เขาถึงพูดเหมือน...รู้” หญิงชราชะงัก
“รู้อะไรครับคุณย่า”
“อิศรา ตาม...ทนายวันชัยให้ย่าที”
อิศราชะงัก อึ้งไปชั่วขณะ“คุณย่า มีธุระอะไรกับทนายเหรอครับ”
ย่าอุ่นตวาดเสียงอ่อนแรง “แกไม่ต้องรู้ ไป...ทำตามที่ชั้นสั่ง”

ที่บ้านอรอนงค์ สองพี่น้องคุยกันอยู่ในโถงบ้าน เอกดนัยตกตะลึงเมื่อฟังจบ น้ำเสียงคล้ายไม่เชื่อเอาเลย
“พี่ชาลินีน่ะเหรอ จะทำขนาดนั้น”
“ใช่สิ ชาลินีหลอกปั่นหัวคุณสุวิทย์เพื่อแกล้งปวีณา”
เอกดนัยหัวเราะ พลางส่ายหัว “พี่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เรียนหนังสือ…ตั้งแต่เด็กๆ ผมเห็นแต่พวกพี่ปวีณา พี่วัลภาคอยอิจฉาหมั่นไส้พี่ชาลินีที่เขาสวยกว่าดีกว่า”
“โอ๊ย สมันก่อนก็อย่าง ตอนนี้ ยายชาลินีใจดำ แล้วก็ร้ายมากพวกพี่เลิกคบไปแล้ว”
เอกดนัยลุก “เฮ้อ ผู้หญิงคิดมาก ผมไปดีกว่า”
“อ้าว จะไปไหนล่ะ”
“ไป...หาแฟนครับ” เอกดนัยทำกรุ้มกริ่ม ก้มจุ๊บแก้มพี่สาว
อรอนงค์จับข้อมือเอกดนัยถาม “เมื่อไหร่ จะพาแฟนมาให้พี่เจอตัวซักที”
“ก็...คงอีกไม่นานมั้งครับ”
เอกดนัยเดินปร๋อออกไป อรอนงค์มองตามค้อนควักอย่างรักใคร่แกมเอ็นดูน้อง

สระน้ำโรงแรมแห่งนั้น มีเด็กๆ เล่นอยู่ในสระอยู่ประปราย พ่อแม่ดูลูกเล่น สีหน้ายิ้มแย้มมีความสุข ชาลินีนั่งอาบแดดอยู่ริมสระพร้อมแก้วเครื่องดื่มสีสวย หล่อนสวมแว่นตาดำปิดบังใบหน้า เหม่อมองไปในสระ
พ่อแม่ลูกเล่นกันอยู่ในสระน้ำ เด็กหญิงยิ้มแย้มสนุกสนาน จู่ๆ มือชาลินีสั่นเบาๆ จนหล่อนต้องกุมมือตัวเองไว้ เอกดนัยเดินเข้ามาจากด้านหลัง พร้อมช่อดอกลิลลี่สีขาวดอกโต พอเห็นชาลินีก็ยิ้มกว้าง
ช่อดอกลิลลี่ถูกยื่นตรงมาหน้า ชาลินีหันมองยิ้มแฉ่ง รับมา
“สำหรับคนสวยของเอก”
ชาลินีค่อน “นึกว่า..พี่สาวเราเผาพี่ จนเธอพาลจะเกลียดพี่ ไม่มาซะแล้ว” หล่อนโน้มหน้าดมดอกไม้ “เอกนี่ รู้ใจพี่อยู่คนเดียว ว่าชอบดอกลิลลี่”
“แต่ชาไม่รู้ใจผมเลย” เอกดนัยลงนั่งก้มตัวมองหน้าชาลินีที่ก้มหน้าดมดอกไม้อยู่ “แหม ขอเอกมองหน้าให้หายคิดถึงหน่อยเถอะ”
เอกดนัยค่อยๆ ดึงแว่นดำทรงโต ออกจากใบหน้าสวยของชาลินี
ชาลินีช้อนตา คม หวาน มีเสน่ห์ปรายตามองมา ยิ้มในที เอกดนัยยิ้มกว้างคว้ามือชาลินีมากุม
“ตาแบบนี้นี่ไง ที่เอกนอนฝันถึงทุกคืน”
เอกดนัยจูบมือชาลินีเบาๆ ชาลินียิ้มบางๆ เวทนาความรักที่เป็นไปไม่ได้ของเขา เอกดนัยมองชาลินีด้วยรักปานจะกลืนกิน
ฉับพลันนั้นเอง มีเด็กหญิงวัยราว 5 ปี ในชุดว่ายน้ำ คนละคนกับในความฝัน วิ่งมาเกาะขาชาลินี
“แม่! แม่จ๋า”
ชาลินีสะดุ้งทั้งตัวลุกพรวด แก้วน้ำหล่นบนโต๊ะ ชาลินีตะลึงมองเด็กหญิง
เอกดนัยพลอยตกใจ เด็กหญิงเกาะแขนชาลินี มือเด็กยึดแขนชาลินีไว้มั่น
“แม่จ๋า”
ชาลินีตัวสั่น จับมือเด็ก ร้องเสียงขุ่น
“ปล่อย”
เอกดนัยเหลียวหา “เอ เด็กที่ไหน พ่อแม่ไปไหน”
เด็กหญิงพูดคำว่า “แม่” ออกมาอีก
สีหน้าชาลินีกดดันหนัก “ปล่อยชั้นนะ”
ชาย 1 ท่าทางเหมือนเป็นพ่อเด็ก หาลูกอยู่ วิ่งมาพอดี
“ลูก” ชาย 1 คว้าลูกมาอุ้ม “เผลอแป๊บเดียวเอง พ่อตกใจแทบแย่ ลูกเอ๊ย”
สีหน้าชาลินีเผือดลงเห็นถนัด เอกดนัยเข้ามากอดปลอบ
“ทำไมปล่อยลูกมาแบบนี้ล่ะครับ มันอันตรายนะถ้าไปเจอคนไม่ดี”
ชาลินีตกใจ แทบไม่มองใครอีก
“ขอโทษจริงๆ ครับ พอดี...แม่เขา...เพิ่งเสียไป ลูกผมยังไม่เข้าใจ เจอผู้หญิงผมยาวที่ไหน ก็เรียกแม่..ขอโทษอีกครั้งครับ”
พ่อเด็กอุ้มลูกไป
“ชา..เป็นยังไง” เอกดนัยยกมือลูบหน้าชาลินีอย่างเป็นห่วง “ตกใจมากเหรอ”
สีหน้าชาลินีในอ้อมกอดเอกดนัยหวาดหวั่น สุดจะประมาณ
ค่ำนั้นสองคนอยู่ในมุมส่วนตัว ของคลับหรูแห่งหนึ่ง
ชาลินีดื่มไวน์หมดแก้ว แล้วยกขวดรินไวน์อีก เอกดนัยมองอยู่
“เดี๋ยวก็เมาหรอก หรือว่า...” เอกดนัยยิ้มเย้า “อยากเมา”
ชาลินียิ้ม ท่าทางเหมือนเริ่มเมา “ฉลอง ที่น้องเอกบินกลับบ้านมาอย่างปลอดภัยไงจ๊ะ”
“เมื่อไหร่จะเลิกเรียกน้อง อายุห่างกันแค่ปีเดียว เดี๋ยวเถอะ”
“จะทำไม”
เอกดนัยขยับมาประชิด “น้องก็จะได้ปล้ำจูบพี่กลางสาธารณซะเลย”
ชาลินีจ้องตาเอกดนัย ยกนิ้วชี้ขึ้นแตะปาก “อย่าทำเก่ง เดี๋ยวพี่โกรธนะ”
เอกดนัยจึงนั่งพิงพนักโซฟาพิงบ่าชาลินี สอดมือประสานมือหนึ่งของชาลินี เขาถอนหายใจ ทั้งหงุดหงิด และน้อยใจ
“ชา จะปล่อยให้เรื่องของเราคาราคาซังแบบนี้ไปอีก กี่ปี ชาจะยอมเปิดเผยเอกในสังคม ในฐานะผู้ชายของชาซะที เอกก็จบแล้วมีงานมีเกียรติ...เมือไหร่ เกียรติของเอกจะสูงพอที่ชาจะยอมรับ” เอกดนัยอ้อนเอาคางเกยบ่าชาลินี “ความรักของเอก มันไม่มากพอจริงๆ หรือชา”
ชาลินีใจอ่อนยวบ แต่แล้วนึกถึงคำพูดจริงจังของมารดาคืนก่อน
“เราน่ะ ต้องได้สามีที่มีหน้ามีตาเอาสินสอดมาได้สักร้อยสองร้อยล้าน ให้สมศักดิ์ศรี เอาให้คนมันฮือฮา”
ชาลินีเอ่ยขึ้น “เอกน่ะอยู่ในโลกของความฝัน แต่พี่ อยู่ในโลกของความจริง และความจริง...บางที...มันก็..เจ็บปวด แล้วเราก็ต้องลืมมันไปซะ

ชาลินีแค่นยิ้ม กระดกแก้วไวน์ดื่มจนหมด เอกดนัยขยับโอบเอว และพิงหน้ากับบ่าชาลินี

ขณะเดียวกัน งานศพเกรียงไกรจัดขึ้นที่วัดใกล้บ้านอ้อย ในตอนค่ำ มีแขกมาร่วมงาน 3-4 คน เท่านั้น

พระสวดรอบแรก คนที่นั่งอยู่ มีไม่กี่คน อ้อยและลูกนั่งซึมฟังพระสวด เกรียงไกร กับ นิกรนั่งเยื้องกันมา
นิกรกระซิบอิศรา “เราไม่เคยรู้เลย ว่าเจ้าเกรียงไกรมีเมียมีลูกแล้ว” นิกรเหลียวหา “แล้วนี่ ไหนว่าท่านชายจะมา”
พระสวดรอบแรกจบ แล้วทยอยลุกเดินออกไปทางด้านข้างศาลา
ท่านชายวสวัตในชุดสูทขาว เดินเข้ามาในศาลาสวดศพ ภุมมะตามมาพร้อมพวงหรีด อ้อยขยับไปต้อนรับ ไหว้ท่านชาย ขณะที่แจ๊คยังคงเกาะแม่แจ
“ขอบพระคุณค่ะ ที่กรุณามา เอ้อ...คุณ...”
อิศรากับนิกรเดินเข้ามารับพอดี อิศราแนะนำ
“ท่านชายวสวัตครับ คุณอ้อย”
อ้อยตะลึง “อ้อ คุณคือท่านชายวสวัต เหรอคะ คืนนั้นดิฉันก็ไม่ทราบ”
ภุมมะเอาพวงหรีดมาวาง มองมายังรูปเกรียงไกรที่หน้าโลง ดวงตาเกรียงไกรในรูป เปลี่ยนเป็นหวาดกลัวเบิกโพลง ภุมมะกระตุกยิ้มมุมปาก

บริเวณมุมหนึ่งในศาลา ท่านชายยืนคุยกับอ้อย อิศรา และนิกร อยู่ตรงนั้น
“ท่านคะ ถ้าท่านจะมาเพราะเรื่องเงินที่ท่านให้พี่เขายืม”
ท่านชายฉงน “เธอทราบด้วยเหรอ”
“ค่ะ ดิฉันเห็นจากสมุดบันทึกของเขา เงินจำนวนนั้น ทำให้เขาได้มามาก”
“แทงอะไรก็ถูกทุกเที่ยว” นิกรว่า
อิศรากระทุ้งนิกรให้หยุดพูด
อ้อยหน้าเศร้า “จะให้ดิฉันนำเงินไปคืนให้ท่านได้ที่ไหนคะ”
อิศรา กับนิกร มองท่านชาย
“ฉันไม่ต้องการ ฉันตกลงกับเกรียงไกรแล้ว” ท่านชายมองมายังเด็กชายแจ๊ค “เงินจำนวนนี้คงพอช่วยเธอได้บ้าง”
“เอ้อ...ค่ะ”
“ดีแล้ว เก็บเอาไว้เลี้ยงลูกให้ดี สอนให้เขาดำเนินชีวิตที่ถูก...บางที เขาอาจจะโชคดีกว่า”
“ขอบพระคุณ...ขอบพระคุณค่ะ” อ้อยไหว้ร้องไห้ออกมาอีก
ท่านชายปรายตามองไปทางรูปเกรียงไกรแวบหนึ่ง
อิศรามองท่านชายอย่างเลื่อมใส และนับถือมากขึ้น พระสี่รูปเดินกลับเข้ามานั่งประจำที่
“ท่านชาย เชิญนั่งครับ”
พระตั้งตาลปัตร อิศรา กับ นิกร เข้านั่งที่ แต่ท่านชายยังยืนมองนิ่ง

พระเริ่มสวดรอบสอง ท่านชายวสวัตยกมือพนมหลับตา ฟังเสียงพระสวด รัศมีท่านชายดูกระจ่างขึ้นทันตา อิศราพนมมือไหว้อยู่หันมามองด้วยความบังเอิญ สะดุดตาที่ร่างงดงามของท่านชาย แสงกระทบร่างในชุดขาวดูกระจ่างนวลตา

บรรยากาศน่าสะพรึง เสียงพระสวดดังมาจากทางศาลา ภุมมะ ยืนยกมือขึ้นพนมสีหน้าซีดขาว ดูอิ่มเอิบมากขึ้น แม้เป็นเพียงบทสวดในงานศพ
ระหว่างนี้จากเงามืดมีร่างผีอีกห้าหกตน ทยอยเดินออกมาคุกเข่ายกมือพนมตาม
เสียงพระสวดจบลงแล้ว ภุมมะลดมือ ปรายตาพูดบอกวิญญาณด้วยจิต
“ท่าน...กำลังจะเสด็จ..ไป๊ กลับไปยัง ที่ของพวกเจ้า”
พวกผีหวาดกลัว ถอยกรูดหายไปในความมืด
ภุมมะขมวดคิ้ว ค่อยๆ หันไปมองทางหนึ่ง เหมือนรู้สึกได้ถึงการหนีมาของวิญญาณเกรียงไกร บรรยากาศรอบๆ มืดสนิท วังเวง

ท่านชายวสวัต อิศรา นิกร เดินออกมายังรถหน้าศาลาแล้ว
“ท่านชายนี่ เหมือนมีฟอสฟอรัสในตัวเลยครับ”
ท่านชายเลิกคิ้ว “ยังไงเหรอ” ฉงน
“ก็ท่านดูกระจ่าง แม้แต่แสงสลัวๆ”
“เฮ่ย ตัดแว่นหน่อยดีไหมนายอิศ อยู่ๆ ก็มองว่าท่านเป็นหลอดไฟนีออน” นิกรแซว
ทั้งสามหัวเราะกัน รถเข้ามาจอดเทียบ ภุมมะลงมาเปิดประตูรอ ท่านชาย มอง อิศรา และ นิกร สองหนุ่มยกมือไหว้ลา
“แล้วพบกันนะครับ” อิศราบอกลา
ท่านชายพยักหน้ายิ้ม มองสบตากับภุมมะ ภุมมะเงยหน้าสบตาท่านชาย เหมือนบอกความนัย

แยกจากอิศรา นิกรเดินผิวปากมาคนเดียวตามทาง ตรงมายังรถที่จอดอยู่ ที่โล่งว่างมีรถตนเองจอดอยู่คันเดียว
“ตอนมาจอดรถแน่นซะ ตอนกลับ เหลือของตรูคันเดียว...เปลี่ยวๆ พิกล”
นิกรข่มความกลัวด้วยการเดินผิวปากมา ผีเกรียงไกรจ้องมองออกมาจากเงามืด นิกรชะงัก หยุดเดิน รู้สึกเสียวสันหลัง แล้วรีบเดินจ้ำมาที่รถ กดปุ่มปลดล็อก
นิกรกำลังจะเปิดประตู เงานิกรทาบอยู่ที่กระจกหน้าต่าง จู่ๆ มีเงาผีเกรียงไกรเข้ามาซ้อนด้านหลัง
นิกรไม่เห็น แต่สะดุ้ง เสียววาบบ หันขวับมามองด้านหลัง แต่ไม่มีอะไร นิกรขวัญหาย

นิกรนั่งที่คนขับ สีหน้าหวาดหวั่น เสียงสตาร์ทเครื่องไม่ติด
“เฮ่ย เป็นอะไรขึ้นมาวะ”
ผีเกรียงไกร นั่งอยู่เบาะหลัง นิกรไม่เห็น แต่ชะงัก
“กลิ่น...ธูป...เฮ่ย..ไม่ต้องตามกูมานะ ไอ้เกรียงไกร ไอ้บ้าเอ๊ย ติดซิวะ”
เกรียงไกรจ้องหลังคอนิกรอยู่
นิกรรู้เสียงเสียววูบที่คอ ค่อยๆ เงยหน้ามองกระจกส่องหลัง อย่างหวาดหวั่น
จู่ๆ กระจกหน้าต่างข้างคนขับ มีมือยื่นเข้ามาเคาะกระจก
นิกรสะดุ้งโหยงร้องลั่นหน้าเหวอ “เฮ้ย...”
นิกรเอามือปิดหน้า แล้วค่อยๆ แหวกนิ้วดู จึงเห็นเป็นท่านชายวสวัตยืนไขว้หลังมองอยู่
รถท่านชายจอดอยู่คู่รถนิกร ภุมมะยืนหน้ารถมองจ้องไปในรถของนิกรอย่างดุดัน มีเงาดำพุ่งเข้ามาด้านหลังรถนิกรและม้วนออกหายไปอย่างรวดเร็ว

นิกรเปิดกระโปรงหน้ารถ
“รถเป็นไรไม่รู้ครับ อยู่ๆ ก็สตาร์ทไม่ติด”
ท่านชายยิ้ม “นั่นสิ ฉันผ่านมาเห็นรถเธอจอดอยู่คันเดียว เลยแวะมาดูไหน ขอฉันดูหน่อย”
ท่านชายเอื้อมมือลงช้าๆ แตะเครื่องยนต์บางเบาเหมือนสัมผัส นิกรมองอยู่ งุนงงแต่ไม่ทันคิดมาก
“ไหนลองไปสตาร์ทดูสิ”
“เอ้อ..ครับๆ” นิกรขึ้นรถแอบบ่นนินทา “ไม่เห็นท่านชายทำอะไรเลย จะสตาร์ทติดได้ไงวะ” นิกรหมุนกุญแจ รถสตาร์ทติด “เฮ่ย”
นิกรผลุนผลันลงจากรถ ในขณะที่ท่านชายยืนไขว้หลังยิ้มอยู่
“ติดแล้วครับ ท่านชายเสกคาถาอะไรเหรอครับเนี่ย”
ท่านชายหัวเราะ “ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย ฉันว่าเมื่อกี้เธออาจจะมือไม้สั่นไขกุญแจผิดๆ ถูกๆ มากกว่ามั้ง”
“ก็...ก็...อาจจะใช่ครับ ขอบคุณครับท่านชาย งั้น ผมลาเลยนะครับ”
ท่านชายยิ้มพยักหน้าให้ นิกรขึ้นรถขับออกไปเลย ท่านชายเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึม ดุดัน
“ภุมมะ นักโทษของเจ้า”
“จับส่งโรรุวนา แล้วเจ้าข้า”
“อย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก”
“เจ้าข้า”

เวลาเดียวกัน ภายในห้องพักหรูของโรงแรมแห่งนี้ แลเห็นชุดของชาลินีพาดอยู่ที่เก้าอี้ในห้อง รองเท้ากลิ้งทิ้งอยู่ที่พื้น
ชาลินีนอนตะแคงบนเตียงอยู่ ค่อยๆ รู้สึกตัวตื่น มองแขนของเอกดนัยที่นอนหลับและกอดชาลินีอยู่
ชาลินีค่อยๆ ยกแขนเอกดนัยออกเบาๆ ขยับตัวลุกนั่ง รู้สึกมึนหัวอยู่เพราะยังไม่สร่างดีนัก ชาลินีหันมองเอกดนัยที่หลับอยู่ ถอนใจ
“ฉันเผลอพลาดกับเธออีกจนได้”
เอกดนัยหลับตาพริ้ม สีหน้าเปี่ยมสุข ชาลินีค่อยๆ เอานิ้วไล้ปอยผมของเอกดนัย มองเขาอย่างเอ็นดูปนเวทนา
“เธออาจเป็นคนที่ฉันชอบ...แต่เธอ...ไม่ได้เป็น คนที่...ใช่”

ชาลินีในชุดเสื้อคลุมของโรงแรม เปิดประตูระเบียงออกมา หล่อนแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่มืดดำ เบื้องหน้า ก่อนเดินไปยังขอบระเบียง มองลงไปเบื้องล่างดูน่ากลัว ชาลินีกระชับเสื้อคลุมกอดตัวเอง เหม่อมองไปไกล ในสีหน้าเรียบเฉย หยาดน้ำตาหยดหนึ่งรินรดลงพวงแก้ม
ชาลินีสะดุ้งตกใจ ยกนิ้วขึ้นแตะ ปาดน้ำตา ก้มมองมือที่มีหยดน้ำตานั้นพิศวงอาการตัวเอง

ชาลินียืดกายตรง เชิดหน้า เม้มปากอย่างเข้มแข็ง และขับไล่เบื้องลึกของหัวใจที่อ่อนไหวออกไป

เวลาผ่านไป เก้าอี้ที่เคยใช้พาดวางเสื้อผ้าชุดสวยของชาลินี พบว่าชุดนั้นหายไปแล้ว เอกดนัยที่หลับอยู่ รู้สึกตัวค่อยๆ ตื่น แล้วเอะใจ เหลียวหาชาลินี

“ชา..ชา...ที่รัก”
ทั้งห้องเงียบกริบ เอกดนัยหันไปมองโต๊ะหัวเตียง พบช่อดอกลิลลี่ถูกทิ้งไว้บนนั้น
เอกดนัยหยิบดอกไม้มา ดมดอม อย่างคิดถึงคนที่ตนรัก ก่อนจะล้มตัวลงนอน ดึงหมอนของชาลินีมากอดและวางดอกไม้บนหมอนนั้น ยิ้มอย่างมีความสุข
“ชาลินี ผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็นให้ได้ ว่า ความรักของผมจะต้องเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างได้” เอกดนัยกอดหมอนแน่น “ผมรักคุณ ชาลินี”

ขณะเดียวกัน ย่าอุ่นหลับอยู่ มีหยดน้ำหล่นแหมะ ที่หน้า จนย่าอุ่นต้องลืมตามอง แล้วสะดุ้งเฮือก เมื่อเห็นหน้าผีนางหยก ตาเบิกกว้างก้มมองมาระยะประชิด
ผีนางหยกลงมานั่งยองๆ อยู่บนท่อนกลางลำตัวของย่าอุ่น มองจ้องหน้าย่าอยู่เขม็ง
“นังอุ่น...แกนี่ มันคงเลวบัดซบจริงๆ ท่าน...ถึงได้มาเอง”
ย่าอุ่นพยายามหลับตาหันหน้าหนี
ผีนางหยกหัวเราะ เอื้อมมือบีบคางหญิงชรา ย่าอุ่นจำใจเปิดตามอง ทั้งที่หวาดผวาเป็นที่สุด เม้มปากแน่น หยดน้ำยังหยดใส่หน้าย่าอุ่นอีกแปะหนึ่ง
“ใกล้เวลา ของการโดนชำระความชั่วของเอ็ง...เต็มทีแล้ว นังอุ่น”
ย่าอุ่นหวาดผวาหนัก อ่อนแรงมาก นางหยกหัวเราะเสียงหวีดหวิวแหลมเล็กเสียดแทงใจ
พยาบาลนอนหลับอยู่ที่โซฟา ยินเสียงย่าอุ่นไอ ติดๆ ขัดๆ พยาบาลสะดุ้งตื่น หันไป เห็นย่าอุ่นท่าทางหายใจไม่สะดวก ทุรนทุราย พยาบาลรีบลุกถลาไปหาย่าอุ่นที่เตียง
“อุ้ย ท่านคะ”

เช้าวันนี้ ดวงแก้วและยายปลั่ง กำลังช่วยกันขนลังผลไม้เปล่าๆ ขึ้นรถกระบะ ปลั่งเอ่ยขึ้น
“คุณดวงแก้วคะ ถ้าหากว่าจำเป็นน่ะ เดือนนี้ คุณไม่ต้องให้เงินเดือนชั้นกะตาพุดหรอกนะคะ”
“พี่ปลั่ง พูดอะไรอย่างนั้น พี่ทำงานกับแก้ว แก้วต้องรับผิดชอบพี่สิ พี่เองก็มีภาระ ต้องกินต้องใช้”
“ของกินเต็มสวน หากินยังไงก็ได้ค่ะ แต่..ชั้นรู้ว่าคุณต้องจ่ายค่าปุ๋ยที่ค้างเขาไว้ กับค่าอะไรต่อมิอะไรตั้งเท่าไหร่ รายได้ก็ยังไม่เข้ามาเลย ชั้นน่ะอยากช่วยคุณมากกว่านี้ ก็ทำได้แค่นี้”
ดวงแก้วซึ้งใจจนน้ำตาคลอ “พี่ปลั่ง ขอบใจจ้ะ แต่ไม่เป็นไร แก้วยังสู้ได้” ดวงแก้วยิ้มทั้งน้ำตา “อีกไม่กี่เดือน เดี๋ยวเราก็ฟื้นเหมือนเดิม”
ปลั่งยิ้มให้กำลังใจ
มีรถแล่นเข้ามาจอดหน้าเรือน ดวงแก้วกับปลั่งหันไปมอง เป็นทนายวันชัยมากับคนขับรถ เปิดประตูลงมา ดวงแก้วมองอย่างแปลกใจ

สองคนอยู่ในโถงบ้าน ทนายวันชัยเช็ดเหงื่อด้วยความร้อน ดวงแก้วนั่งขรึมอยู่แล้วตรงหน้า
“อาการของคุณหญิงท่านเป็นยังไงบ้างคะ”
“ท่าน อายุมากแล้ว ท่านก็อ่อนแรงลงทุกวันล่ะครับท่านถึงเร่งให้ผมมาตาม คุณเล็ก...เอ้อ...หรือครอบครัว”
ดวงแก้วยิ้ม เศร้าใจแทนสามี “คงจะดีกว่านี้ ถ้าคุณหญิงท่านคิดได้เมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนที่คุณเล็กยังมีชีวิตอยู่”
“คุณหญิงท่านเป็นคนใจแข็ง แต่ตอนนี้ ท่านคงรู้ตัวอยู่ว่า กำลังจะจากโลกนี้ไปแล้ว ท่านคง อยากจะพบเป็นครั้งสุดท้าย”
ดวงแก้วนิ่งอึ้งไป ขมวดคิ้ว เหลียวมองไปทางรูปถ่ายครอบครัวพ่อแม่ลูกที่ตั้งอยู่ ในรูปคุณเล็กยิ้มแย้มโอบประคองดวงแก้วและเจริญขวัญ ความอบอุ่นนั้นรินรดลงกลางใจดวงแก้ว สีหน้าเธอสงบขึ้น หันมายิ้มสุภาพ ตัดสินใจได้แล้ว
“คุณเล็ก คือคนที่ควรพบคุณหญิงมากที่สุด เพื่อแก้ปมที่กัดกร่อนหัวใจคุณเล็กมานานแสนนาน มาถึงตอนนี้แล้ว ถึงท่านจะพบดิฉันหรือลูก ก็คง...ไม่มีประโยชน์อะไร ป่วยการจะรื้อฟื้นความหลังให้ลูกดิฉันรับรู้”
ดวงแก้วมองรูปสามี พูดด้วยรอยยิ้มปลดปลง
“ฝากเรียนท่านว่า ดิฉันขอกราบท่านแทนคุณเล็ก และเรื่องอะไรที่เกิดขึ้นในอดีตนั้น ขอให้ท่านอโหสิกรรมให้พวกเราด้วย”

ขณะนั้นอรุณ โผล่มาจากหลังต้นไม้ที่ยืนหลบอยู่ แอบมองเจริญขวัญที่นั่งรายล้อมด้วยเด็กๆ มีเด็กหญิงตัวเล็กนั่งพิงข้างหนึ่ง ทุกคนฟังเรืองเล่าจากเจริญขวัญที่เปิดหนังสือภาพอ่านให้ฟัง
อรุณชะเง้อมอง จดๆ จ้องๆ ไม่กล้าเข้าไปหา ตาพุดโผล่มาเบื้องหลัง มองอาการของอรุณ
“คุณอรุณ”
อรุณสะดุ้ง ตกใจ หันมาหา “ลุงพุด”
“คุณอรุณ จะเล่นบทพระเอกหนังอินเดียเหรอครับ แอบๆ ซ่อนๆ ตามหลังต้นไม้อยู่เนี่ย”
“เอ้อ...คือ...ผม” อรุณเอาแต่อึกอัก
สองคนเลยไม่ทันเห็นว่าเจริญขวัญลุกไปที่จักรยาน ขี่ออกไปแล้ว
“แหม...เพื่อนกัน โกรธกันเรื่องอะไร ไปคุยกันเถ๊อะคุณอรุณ คุณขวัญน่ะใจอ่อนจะตาย เดี๋ยวก็ดีกัน”
อรุณคิดตาม หันไปมองทางเจริญขวัญแล้วชะงัก เจริญขวัญไม่ได้นั่งตรงนั้นแล้ว อรุณชะเง้อหา
“อ้าว คุณขวัญหายไปซะแร๊ะ ว้า”
อรุณหน้าเคร่ง ตาพุดยิ้มแหะๆ

เจริญขวัญเดินมาหยุดที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ยกมือสัมผัสต้นไม้ ส่งใจไปหาพ่อ
ภาพอดีตผุดซ้อนขึ้นมา ตอนที่เล็กมีความสุขยิ้มแย้มกับลูก เมีย สุดท้ายเป็นภาพคุณเล็กวิ่งมาจะช่วยเจริญขวัญไว้ จนตัวเองถูกเหล็กแหลมเสียบตายคาต้นไม้
เจริญขวัญยิ้มบางๆ ปากสั่นระริก
“พ่อคะ...ขวัญ เป็นคนดีทีสุดของพ่อหรือยังคะ”
เจริญขวัญมองเลยต้นไม้ไป แล้วชะงัก มีร่างๆ หนึ่ง ยืนอยู่ลิบตา ที่แท้เป็นท่านชายวสวัตที่ส่งดวงจิตมา
เมื่อเพ่งมองอยู่นานก็เห็นหน้าไม่ชัด เจริญขวัญก้าวมาสองสามก้าว ชะเง้อมองร่างนั้นไกลๆ อย่างสงสัย พริบตาที่เธอเบือนหน้ามาคิด พอหันไปอีกที ร่างนั้น หายไปแล้ว
เจริญขวัญชะเง้อมองไปทางเดิมอย่างแปลกใจ อรุณเดินเข้ามาช้าๆ ท่าทางประหม่า
“ขวัญ”
เจริญขวัญชะงัก ไม่อยากมองหน้าอรุณ
อรุณขยับเข้าใกล้มาอีก “ขวัญ...โกรธเรามากจริงๆ เหรอ”
เจริญขวัญฟังแล้วอยากหัวเราะที่อรุณยังกล้ามาถาม
“เรา...ไม่ได้ตั้งใจทำให้ขวัญโกรธ เราลืมตัว แต่ว่าเรา...”
“พอเถอะ อย่าพูดอีกเลย”
เจริญขวัญขึ้นรถจักรยาน
“โธ่ ขวัญ”
อรุณเดินมาใกล้อีก แต่เจริญขวัญรีบปั่นจักรยานหนีไปโดยเร็ว อรุณมองตาม เคว้งคว้าง

เจริญขวัญปั่นจักรยานมาตามทางในไร่ ด้วยความโกรธ แล้วรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรง เจริญขวัญตกใจ
ล้อจักรยานสะดุด ส่าย ซวนเซ เสียหลัก เจริญขวัญจับอกตัวเอง พยายามสูดลมหายใจลึกๆ
เจริญขวัญลงจากจักรยาน นั่งกับพื้นไร่ หอบ หายใจ เธอตกใจ พยายามรวบรวมสติ สูดลมหายใจลึก
“ไม่...ไม่นะ...เรายังตายไม่ได้”
ในมโนนึก เกิดภาพดวงแก้วยิ้มแย้มกอดเจริญขวัญไว้ ตามด้วยภาพดวงแก้วที่ร้องไห้อยู่ใต้ต้นไม้ในชุดดำผูกรูปคุณเล็กที่ต้นไม้ เจริญขวัญหวาดผวากับอาการของตน พยายามฝืน และสูดลมหายใจ เจริญขวัญเอนพิงต้นไม้ หลับตา พยายามสูดลมหายใจ
“คุณพระคุณเจ้า อย่าเพิ่งให้ลูกจากแม่ของลูกไป” เจริญขวัญน้ำตาคลอ ยกมือพนมกร “ท่านยมบาล ได้โปรด รอก่อนอย่าเพิ่งเอาลูกไป”
มือคู่นั้นสั่นระริก เจริญขวัญหลับตาพิงต้นไม้
ท่านชายวสวัตในชุดขาวสะอ้าน มองเห็นไม่ถนัด มีแสงฟุ้งรอบกาย เดินมาหยุดใกล้ๆ เจริญขวัญหยีตามอง แต่มองไม่ชัด แสงแดดส่องจากหลังท่านชายทำให้ไม่เห็นหน้า สุดท้ายเธอต้องหลับตาลง ท่านชายทอดเสียงนุ่ม
“หากเวลาของเธอมาถึง เธอจะร่ำร้องอย่างไร ก็ไม่มีใครช่วยเธอได้ แต่เวลานี้ ยังไม่ใช่เวลาของเธอ”
เจริญขวัญหลับตาลง ลมหายใจเริ่มช้าลง สงบลง นั่งพิงต้นไม้อยู่เพียงลำพัง

ที่แท้ท่านชายวสวัต ส่งดวงจิตไปหา เวลานี้ท่านยืนหลับตาเอามือไขว้หลังอยู่หน้าตำหนักในวัง ก่อนจะลืมตาขึ้นช้าๆ
“เธอเรียกหา...ยมบาล” น้ำเสียงท่านชายกลั้วหัวเราะขบขัน “ยังหรอก เจริญขวัญ แต่อีกไม่นานนี้แล้ว ที่เราจะได้พบกัน”
ท่านชายยืนอยู่ในวังอันกว้างใหญ่ เวิ้งว้าง อย่างโดดเดี่ยว

เจริญขวัญลืมตา ค่อยๆ สูดลมหายใจบางๆ อาการหายใจติดขัด หายไปโดยประหลาด

อ่านต่อตอนที่ 4
กำลังโหลดความคิดเห็น