ทรายสีเพลิง ตอนที่ 1
เหตุการณ์เมื่อ 24 ปีที่ผ่านมา ร่างที่เจ็บท้องใกล้คลอดของ ดวงตา นอนอยู่บนเตียง ที่บุรุษพยาบาลกำลังเร่งฝีเท้าเข็นเข้าไปในห้องคลอดในโรงพยาบาลแห่งนั้น
อีกฟากหนึ่ง เป็นบรรยากาศของงานแต่งงานแบบค็อกเทลที่จัดในสนาม โต๊ะวางแก้วแชมเปญ ถูกจัดวางไว้ตามมุมต่างๆ บนเวทีมีนักร้องสลับสับเปลี่ยนมาร้องเพลงขับกล่อมบรรดาแขกเหรื่อที่มาร่วมแสดงความยินดีกับคู่บ่าว สาว อย่างเนืองแน่น
ด้านหลังเวทีเป็นตัวหนังสือรูปทรงสวย ตัดจากโฟม บอกชื่อเจ้าบ่าว เจ้าสาว ว่า “เสาวณีย์-ศก”
เจ้าบ่าว เจ้าสาว เดินผ่านประตูบ้านใหญ่ออกมาพบแขกเหรื่อ ที่รอแสดงความยินดีที่อยู่ที่สนาม และปรบมือต้อนรับกันอย่างเซ็งแซ่ ที่อ่อนวัยมาหน่อย ก็ถึงกับเป่าปากโห่ฮิ้ว หยอกล้อคู่บ่าว สาว ประสาคนสนิท
ดวงตากรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและทรมาน จากการพยายามเบ่งท้องเพื่อคลอดลูก พร้อมๆกับที่มือเหมือนพยยามจะไขว่คว้าหาใครสักคนมากุมมืออยู่เคียงข้าง หมอและพยาบาลยืนล้อมรอบเตียง
มือของเสาวณีย์ยื่นไปจับทับกับมือของศก ที่ประคองขวดแชมเปญ เตรียมจะเทใส่แก้วแชมเปญที่วางเรียงซ้อนเป็นปิระมิด
แชมเปญไหลจากขวดสู่ชั้นแก้วที่ลดหลั่นลงมาราวสาวย้ำตก
หยดน้ำตาไหลอาบแก้มดวงตาด้วยความรู้สึกทั้งเจ็บปวด ปลาบปลื้ม และดีใจระคนกัน พยาบาลอุ้มทารกน้อยมาให้ดวงตาดู
“ยินดีด้วยนะคะ คุณได้ลูกสาวค่ะ”
ดวงตาจับจ้องไปที่ลูกน้อย พลางเอื้อมมือไปแตะแก้มใสๆ ของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ด้วยความรัก
ดวงอาทิตย์สาดแสงยามเช้าเข้ามาในห้องนอนของดวงตา ในขณะเดียวกัน ที่บ้านหลังใหญ่ของศก เสาวณีย์ก็กำลังรูดผ้าม่าน เพื่อบดบังแสงอาทิตย์ที่สาดแสงเข้ามาผ่านกรอบหน้าต่างคุณหญิงเพกาเดินเข้ามาบุตรีด้วยสีหน้าแย้มยิ้ม
“เสาว์เก่งนะลูก คำนวนวันจัดงานแต่งกับคุณศกตรงกับวันที่ยายนั่นคลอดพอดี”
เสาวณีย์ยิ้มรับคำชมของผู้เป็นมารดา
“มันจะได้รู้ไงคะ ว่าถึงมันจะเป็นเมียคุณศกมาก่อน มันก็แค่เมียเก็บ ถ้าเขาเห็นค่ามันอย่างที่มันคิด เขาก็แต่งงานกับมันไปแล้ว แต่นี่คุณศก และคุณแม่ของคุณศก เขาเลือกเสาว์”
“แม่กลัวว่าพอมันคลอดลูก มันก็จะเอาลูกมาดึงคุณศกไป”
เสาวณีย์ยิ้มเยาะ
“แล้วถ้าเสาว์มีลูก แม่คิดว่าคุณศกกับคุณแม่ของคุณศก จะเลือกใครอีกล่ะคะ ?”
เสาวณีย์เชิดหน้ายิ้มอย่างคนที่เชื่อว่าตัวเองเหนือกว่า
ดวงตาที่อยู่ในห้องพักผู้ป่วยแบบรวมกำลังอุ้มลูกน้อยไว้แนบอก พร้อมๆกับเหม่อมองออกไปทาง หน้าต่างด้วยใบหน้าเย็นชา
ป้าทิศเดินเข้ามาในห้อง พลางรีบบอก
“คุณดวงคะ คุณศกฝากป้ามาบอกว่า...”
ดวงตาพูดแทรกอย่างรู้ทัน “เขาไม่มา”
“คุณศกติดธุระ”
“กับเมียใหม่” ดวงตาพูดเหมือนประชดตัวเอง “เขาไม่สนใจฉัน ฉันไม่ว่า แต่นี่ลูกเขาทั้งคนนะ ไม่คิดจะ มาดูดำดูดีเลยเหรอพี่ทิศ ?”
“เดี๋ยวคุณศกจดทะเบียนกับคุณเสาว์เสร็จ ก็มาหาคุณดวงล่ะค่ะ”
ป้าทิศพูดโดยไม่ทันคิด ดวงตาหันขวับไปมองทันทีด้วยสายตาเจ็บปวด เจ็บแค้นจนน้ำตาคลอ
“จดทะเบียน? นางมาร”
“คุณดวง อย่าพูดอย่างนั้น มันไม่ดี”
“มันยังน้อยไป พี่คงไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญใช่ไหมที่เขาจัดงานแต่งในเดือนที่ฉันจะคลอด มันคง ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ต้องลากคุณศกไปจดทะเบียนวันนี้ แล้วพรุ่งนี้ก็คงต้องไปฮันนีมูน หาข้ออ้างทุกอย่างที่จะพรากลูก-พรากพ่อ”
ป้าทิศมองดวงตาอย่างทั้งเห็นใจและเข้าใจ
“อย่าไปคิดอย่างนั้นเลยค่ะคุณดวง คิดไม่ดี ใจเรานั่นแหละที่เป็นทุกข์”
“แล้วทุกวันนี้ ป้าเห็นฉันมีความสุขเหรอ ตั้งแต่ผู้หญิงคนนั้นเข้ามา ชีวิตฉันก็มีแต่น้ำตามากกว่า รอยยิ้ม”
ป้าทิศโผเข้าสวมกอดดวงตาด้วยความสงสาร
“ไม่เอาค่ะ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว อยู่ต่อหน้าลูก เราต้องพูดแต่สิ่งดีๆ เขาจะได้ซึบซับแต่สิ่งดีๆ แล้วคุณดวง ตั้งชื่อให้คุณหนูรึยังคะ ?”
ดวงตาฝืนยิ้ม “ตั้งแล้วค่ะ ชื่อศรุตา”
“เพราะจัง แปลว่าอะไรคะ ?”
ดวงตาก้มมองลูกน้อยในอ้อมอก แล้วเงยหน้ามองไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น กล้าแกร่ง
“ศรุตาแปลว่าผู้มีชื่อเสียง เขามีแม่ที่ชีวิตถูกเหยียบย่ำให้ต้อยต่ำ แต่ชีวิตเขาจะไม่มีใครเอาชนะได้”
ณ มหานครลอสแองเจลิส
ดินแดนแห่งเสรีภาพ มหานครใหญ่ที่ที่ใครก็ใครก็เชื่อว่าทำให้ความฝันของคนจรกลายเป็นความจริงได้
ถนนฟรีเวย์แล่นตรงไปสุดลูกหูลูกตา สองข้างทางเป็นเนินเขาเขียวชอุ่ม แลเห็นป้าย Hollywood อยู่บนเนินเขา Griffith Park ที่ถนนที่แล่นเลียบมหาสมุทรแปซิฟิก อีกข้างเป็นเนินเขาที่มีบ้านราคาหลายพันล้านตั้งตระง่านอยู่บนยอดเขาสูง
ที่หน้าโรงแรมหรูใจกลางเมือง ภายในห้องบอลลูม กำลังจัดงานประมูลของอย่างคึกคัก พิธีกรกำลังประกาศราคาที่ผู้ร่วมประมูลแย่งกันยกมือเพื่อสู้เสนอราคา ขณะที่ราคาประมูลของรถยนต์ยี่ห้อหรูพุ่งสูงถึง 860,000 Dollar จู่ๆ เสียงของศรุตา หรือทราย ก็ตะโกนขึ้นมา
“1 Million Dollar”
การ์ดเชิญงานเลี้ยงฉลองถูกโยนลงที่พื้นอย่างไม่สบอารมณ์ เจ้าของกิริยานั้น คือ อลัน ที่กำลังคุยมือถือ ด้วยอาการไม่พอใจ
“That is my car! I want that car! Who dares to try take this car away from me!!”
อีกด้านหนึ่ง ชาวต่างชาติที่กำลังคุยอยู่ทางปลายสาย รีบบอก
“I think you know her.”
พูดพลางปรายตามองไปทาง แต่ไม่เห็นศรุตาแล้ว เห็นเพียงชายกระโปรงสีส้มเพลิงพลิ้วลากพื้น ออกจากประตูห้องที่บานประตูกำลังเคลื่อนปิด
“She is a woman who always gets everything she wants.”
ฌานเดินคุยมือถือเลี้ยวออกมาจากมุมตรงทางแยก เดินสวนกับผู้ชายคนหนึ่ง ที่รีบหันกลับมาเรียก ด้วยความดีใจที่ตามหาฌานเจอสักที
“Mr.Charles”
ฌานชะงักหยุดเดินแล้วหันไปมองผู้ชาย ซึ่งคือเจ้าหน้าที่ดูแลลำดับงาน
“Are you ready for your speech. The guests are waiting.”
ฌานก้มมองมือถือตัวเองยิ้มๆ เมื่อนึกถึงคนที่เพิ่งคุยมือถือด้วย
“Not yet. Can I have a couple more minutes? I’m still waiting for my most important guest.”
เจ้าหน้าที่ชะงักมองอย่างสงสัย “Who ?”
รถหรูราคาแพงของศรุตาแล่นเข้ามาจอดเทียบหน้าประตูโรงแรม เจ้าหน้าที่รีบกุลีกุจอมาเปิดประตูรถให้ด้วยท่าทีนอบน้อม
บรรยากาศงานเลี้ยงฉลองแสดงความยินดีที่โรงแรมในเครือ “ตระกูลหว่อง” ได้รับเลือกติดอันดับ Top Ten โรงแรมที่ดีที่สุดในโลก แขกเหรื่อในงานล้วนแล้วแต่เป็นนักธุรกิจต่างชาติ
ไฟในห้องจัดงานค่อยๆ หรี่ลง พร้อมๆ กับไฟบนเวทีสว่างขึ้น แขกผู้หญิงต่างหันไปมองบนเวที พลางยิ้มอย่างชื่นชมหลวงใหลคนที่ปรากฏตัวบนเวที พร้อมๆ กับส่งเสียงฮือฮา จนทำให้กลุ่มสนทนาของบุคคลสำคัญในงานถึงกับชะงักลง
“ถ้าได้ยินเสียงสาวๆฮือฮาอย่างนี้ แปลว่าลูกเลี้ยงของผมปรากฏตัวแล้วล่ะครับ ขอตัวก่อนนะครับ”
แขกเหรื่อที่ล้อมวงอยู่ เปิดทางให้ผู้ที่อยู่กลางวงสนทนาเดินออกจากวงล้อมเพื่อไปนั่งที่โต๊ะ VIP หน้าเวที
เขาคือ....นอร์แมน หว่อง มหาเศรษฐีเฒ่า ผู้น่าเกรงขาม อลันเดินเคียงข้างด้วยท่าทางยะโส ในฐานะหลานคนสนิท ถัดมาคือลิซ่าที่เดินชูคอระหงควงแขนอลัน ด้วยสีหน้าแย้มยิ้ม
ฌานปรากฏตัวบนเวทีอย่างสง่างาม พร้อมกับส่งยิ้มให้แขกในงาน และหลิ่วตาให้แขกสาวๆ ที่ส่งเสียงฮือฮาไม่ขาดสาย
ส่วนที่ด้านล่างเวที อลันเอามือกอดอก บ่งบอกว่าไม่มีความชื่นชมในตัวฌาน
“เก็บอาการหน่อยอลัน อย่าให้ใครรู้ว่าคุณอิจฉาชาร์ลส์” ลิว่ากระซิบบอก
“ทำไมฉันต้องอิจฉามัน”
“ ก็เพราะชาร์ลส์สามารถทำให้โรงแรมของลุงเขยคุณติดอันดับ Top ten โรงแรมที่ดีที่สุดในโลก 4 ปีซ้อน ในขณะที่คุณทำให้ศูนย์การค้าขาดทุน 4 ปีซ้อน”
อลันโกรธที่ถูกจี้ใจดำ จึงบีบแขนลิซ่าอย่างแรง ฝ่ายถูกบีบสะบัดแขนหนีด้วยความเจ็บ นอร์แมนหันมาพูดเสียงเข้มอย่างรำคาญ
“ถ้าจะทะเลาะกัน ออกไปข้างนอก ฉันจะฟังฌาน”
พลางหันไปมองฌานที่ยืนบนเวทีด้วยสายตาชื่นชม อลันยิ่งมองอย่างไม่พอใจ
“ Welcome ladies and gentleman and thank you so much for joining us here today to celebrate this special occasion. I would like to express my heartfelt gratitude to all the people
who have supported me along the way and have been part of making this hotel become such a huge success. A special thank you to my dear father who has given me the opportunity to start this endeavour.”
พูดจบฌานก็ผายมือไปทางนอร์แมน หว่อง ที่ถูกจับจ้องด้วยไฟสปอร์ตไลท์ แขกในงานปรบมือกันเกรียว
นอร์แมนยิ้มให้ฌาน อลันยิ่งไม่พอใจหนัก ตรงข้ามกับลิซ่าที่มองฌานอย่างชื่นชม
“นี่ เก็บอาการหน่อย รู้ไหมว่าสภาพเธอตอนนี้เหมือนอะไร” อลันพูดเสียงเย้ยๆ “หมามองเครื่องบิน”
“นี่อลัน คุณคงจะลืมไปแล้วล่ะมั้งว่าฉันเป็นฝ่ายเขี่ยฌานทิ้ง เพราะฉะนั้นคนที่ควรจะโดนว่าเป็นหมา มองเครื่องบิน คือฌาน ไม่ใช่ฉัน”
ลิซ่ามองฌานด้วยสายตาเหมือนคนที่เหนือกว่า ทางด้านฌาน ที่ยืนอยู่บนเวที ก็ปรายตามองมา แล้วยิ้มมุมปาก เหมือนรู้ว่าทั้งคู่เถียงอะไรกัน
“Last but not least I would like to thank a special person for creating the most exciting interior design for my hotel and for bringing love and happiness to my life...”
ฌานจงใจส่งสายตาไปมองให้เข้าใจว่าพูดถึงลิซ่า หล่อนจึงโหันไปยิ้มเยาะกับอลัน
“เห็นสายตาเขาไหม อลัน?”
ทันใดนั้นประตูห้องจัดเลี้ยงถูกเปิดออก แสงไฟจากด้านนอกส่องประกายจับที่ร่างสูงระหงที่หันหลัง โชว์แผ่นหลังขาวเนียนอยู่ที่หน้าประตู
นอร์แมน และแขกในงานหันไปมอง พร้อมๆ กับที่สปอร์ตไลท์ หันลำแสงส่องไปที่ร่างสูงโปร่งสง่างาม นั้น
ศรุตา หรือทราย คือเจ้าของร่างระหง ที่กำลังถูกทาบทับด้วยแสงสปอร์ตไลท์ ราวกับรัศมีที่เปล่ง ประกายเจิดจ้า ทุกคนในงาน ต่างตะลึงแลในความงามสง่าของเธอ นักข่าวกรูกันไปถ่ายรูปไม่หยุดฌานที่อยู่บนเวที มองมาที่ร่างสูงระหง พลางโปรยยิ้มให้หญิงสาวด้วยความรักและหลงใหล พร้อมกับผายมือไปทางที่เธอยืน แล้วพูดต่อจากประโยคที่พูดค้างไว้
“That’s her “
ลิซ่ามองฌานที่มองข้ามหัวตัวเองไปมองศรุตาอย่างหลงใหล ด้วยความเจ็บใจ
“เห็นสายตาเขาไหม ลิซ่า ? เขาไม่ได้มองเธอ แต่ข้ามหัวไปมองคนอื่นที่สวยกว่า”
อลันได้ทีหันมาพูดเยาะลิซ่า ที่มองศรุตาอย่างไม่พอใจ
ศรุตายืนมองวิวเบื้องหน้าอยู่ที่ริมระเบียงของโรงแรม ฌานเดินเข้ามากอดเอวจากทางด้านหลัง พร้อมกับหอมแก้มเบาๆ อย่างหลงใหล
ศรุตาขยับตัวออกอย่างนุ่มนวล พลางหันมาบอก
“ฉันขอโทษนะคะ ที่ late”
ฌานยิ้มหวานให้
“ต่อให้คุณมาตอนงานเลิก ผมก็ไม่มีทางว่า ใครๆก็รู้ว่ามิสศรุตา อินทีเรียมือหนึ่งของโลกยุ่งขนาดไหน”
“เว่อร์ ฉันก็แค่นักออกแบบตัวเล็กๆ ที่ท่านผู้บริหารระดับใหญ่อย่างมิสเตอร์ชาร์ลส์ ให้โอกาสออกแบบ โรงแรมห้าดาวของท่าน”
พูดพลางทำมือเหมือนดึงชายกระโปรงแล้วย่อตัวโค้งเหมือนเจ้าหญิงโค้งขอบคุณเจ้าชาย
“Thank you very much และ Congratulation สำหรับการรักษาตำแหน่ง ติด Top Ten ได้อีก 1ปี เด็กขยันทุกคนต้องมีรางวัล”
ศรุตายื่นกล่องขนาดใส่กุญแจรถที่เพิ่งแย่งประมูลมาจากอลันได้ยื่นให้ฌาน ที่มองอย่างตื่นเต้น
“อะไรจ๊ะ? อย่าบอกนะว่าคุณมอบแหวน ขอผมแต่งงาน”
พูดจบก็รีบเปิดดู พลางมองกุญแจรถในกล่อง อย่างตื่นเต้นดีใจ
“นี่มัน ?”
“ฉันประมูลแย่งอลันมา แก้แค้นที่ชอบแย่งงานคุณ”
ฌานหัวเราะเสียงดังกับวีรกรรมของศรุตา พลางคว้าเอวเธอมากอด แล้วจ้องหน้าจนจมูกชนกัน
“เปลี่ยนจากให้รถ เป็นให้อย่างอื่นได้ไหม ?”
ศรุตามองฌาน แล้วจงใจส่งยิ้มอย่างท้าทาย
“อยากได้อะไร ?”
ฌานมองตอบด้วยสายตายิ้มเจ้าเล่ห์ “อยากได้คำว่า yes “
“yes to what ?”
ฌานยิ้มแล้วทรุดตัวนั่งคลุกเข่าตรงหน้า พลางจับมือเรียวบางมาบรรจงจูบ
“Will you marry me ?”
ศรุตาหัวเราะเหมือนเป็นเรื่องเล่นๆ “ลุกขึ้นมาเถอะชาร์ลส์ ฉันหิวแล้วด้วย ไปหาอะไรทานกันเถอะ”
ฌานรีบลุกขึ้นกอดเธอไว้
“ เมื่อไหร่คุณจะใจอ่อนสักทีแซนดี้ รู้ไหมว่าผมรักคุณจนจะจุกอกตายอยู่แล้ว”
“แต่คุณก็ยังไม่ตาย แปลว่ายังรักฉันไม่มากพอ ไปหาอะไรทานเถอะ”
“อย่าบอกนะว่าที่คุณไม่ยอมตอบตกลงกับผม เพราะคุณยังคิดถึงรักแรกของคุณอยู่”
คำตัดพ้อของฌาน ทำเอาเธอถึงกับชะงัก แล้วรีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นขำๆ
“ถ้าใช่ แล้วจะทำไม”
“ผมก็จะทำให้หัวใจคุณลืมเขาให้ได้น่ะสิ”
จบประโยคก็ประคองหน้าเธอหมายจะจูบ แต่บังเอิญเสียงมือถือดังเข้ามาขัดจังหวะ ฌานถอนใจ พร้อมกับหยิบมือถือมากดรับสาย
“บุรี นายมาถึงแล้วเหรอ ? รอตรงนั้นแหละ เดี๋ยวเราลงไปรับ”
ฌานกดวางสายแล้วพูดกับหญิงสาว
“ในที่สุดผมก็ทำให้คนที่ผมรักมากสองคนโคจรมาเจอกันได้สักที หลังจากที่คลาดกันมาตลอด 4 ปีที่ ผมคบคุณมา คุณรออยู่ตรงนี้นะแซนดี้ ผมจะพาบุรีเพื่อนรักของผมมาแนะนำกับคุณ”
พูดจบก็รีบผลุนผลันออกไปอย่างตื่นเต้น ศรุตามองตาม แล้วรำพึงกับตัวเองเบาๆ
“บุรี”
ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงคนเดินมายืนด้านหลัง
“ทำไมมาเร็วจังคะฌาน”
แต่พอหันไปมอง กลับเป็นลิซ่าที่กอดอกมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า
ศรุตาเดินมาชมวิวต่อ ทำเหมือนลิซ่าเป็นอณูอากาศ จนหล่อนต้องเดินตามมายืนข้างหลัง แล้วมองอย่างหมั่นไส้ในท่าทางเชิดๆ ของเธอ
“ชาร์ลส์นี่เหมือนเดิมไม่มีผิด เคยทำกับฉันยังไง ก็ทำกับผู้หญิงคนอื่นอย่างนั้น ทำเหมือนหาตัวตาย ตัวแทน”
ศรุตาไม่พูดโต้ตอบ แต่รีบเดินไปกดลิฟท์ ลิซ่าเห็นกริยานั้นก็ยิ่งหงุดหงิด พอประตูลิฟท์เปิด จึงรีบไปยืน ขวางไว้
“อย่าคิดนะว่าการที่ชาร์ลส์คุกเข่าขอเธอแต่งงาน จะแปลว่าชาร์ลส์รักเธอจริงๆ ฉันจะบอกให้ด้วยความ หวังดี ในฐานะที่เป็นผู้หญิงด้วยกัน ชาร์ลส์เขาเป็นแค่ผู้ชายขี้เหงา เขาคบผู้หญิงไปเรื่อยเพื่อแก้เหงาเท่านั้น ไม่เคยรัก ใครจริงหรอก นอกจากฉันคนเดียว เธอไม่มีวันชนะใจเขาได้หรอก”
ศรุตาหันมาประจันหน้ากับลิซ่า พร้อมกับปรายตามองร่างที่เตี้ยกว่าตรงหน้า ราวกับมองคนในระดับ ชั้นที่ต่ำกว่าตัวเอง
“อุ้ย เงิน”
ลิซ่าเผลอหันไปมอง แต่ไม่เห็นเงิน ก็นึกรู้ว่าโดนหลอก
“ชาร์ลส์พูดไม่ผิดจริงๆ ว่าเธอชอบมองหาแต่เงิน”
พูดพลางยิ้มเยาะอย่างหยามๆ แล้วเดินออกไป ลิซ่าแทบกรี๊ดที่โดนด่าว่าเห็นแก่เงิน
ศรุตาเดินมาที่รถหรูที่จอดอยู่ด้านหน้าโรงแรม ด้วยท่วงท่าสง่างามดุจนางพญา จนผู้ชายทุกคนต้อง หันมามองอย่างตะลึงในความงาม พลางนึกถึงคำพูดของลิซ่า
“ฉันจะบอกให้ด้วยความหวังดีในฐานะที่เป็นผู้หญิงด้วยกัน ชาร์ลส์เขาเป็นแค่ผู้ชายขี้เหงา เขาคบ ผู้หญิงไปเรื่อยเพื่อแก้เหงาเท่านั้น ไม่เคยรักใครจริงหรอก นอกจากฉันคนเดียว เธอไม่มีวันชนะใจเขาได้หรอก”
แล้วก็อดที่จะหวนนึกถึงอดีตของตัวเองไม่ได้
ขณะนั้นศรุตายังเป็นเด็กผู้หญิงอายุราว 8 ขวบ เดินถือเหรียญทอง เข้ามาอวดป้าทิศที่กำลังหั่นผัก อยู่กับสุดใจในครัว
“ยายทิศ ดูนี่สิจ้ะ”
ป้าทิศมองเหรียญทองในมือทรายอย่างยินดี
“คุณทรายแข่งตอบคำถามวิทยาศาสตร์ชนะอีกแล้วเหรอคะ ?”
สุดใจหันมายิ้มให้เด็กหญิงอย่างเอ็นดู
“คุณทรายนี่ดีจัง ไปเรียนก็ไม่เคยร้องไห้ แถมเรียนก็เก่ง เล่นกีฬาก็เก่งทุกอย่าง ไม่เหมือนคุณลูกศร กว่าจะไปเรียนได้ ร้องไห้น้ำตาจะเป็นโอ่ง”
เด็กหญิงศรุตาเบ้ปาก
“เชอะ จ้างให้คงอยากไปโรงเรียนหรอก ป่านนี้แล้วยังเขียนหนังสือไม่ได้สักตัว ไปก็อายเขา”
“อย่าไปว่าน้องอย่างนั้นค่ะคุณทราย” ป้าทิศปราม
“ทรายพูดเรื่องจริง ดีแต่นั่งเล่นตุ๊กตา ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง”
“ใครจะไปเก่งเหมือนคุณทรายล่ะคะ ดูสิ แข่งอะไรก็ได้ที่หนึ่งตลอด รางวัลเต็มบ้านแล้ว แบ่งให้สุดใจ บ้างสิคะ”
สุดใจพูดอย่างชื่นชม
“ทรายไม่ให้หรอก รางวัลพวกนี้ ทรายจะสะสม”
เด็กหญิงศรุตามองเหรียญรางวัลในมืออย่างภูมิใจในชัยชนะ
ดวงตาจูงมือลูกสาว เข้ามาในคฤหาสน์หลังใหญ่ ที่มหานครลอสแองเจลิส เด็กหญิงศรุตา ในวัย 13 ปี มองความใหญ่โตเบื้องหน้าอย่างตะลึง
“นี่บ้านเราจริงๆ เหรอจ้ะแม่”
ดอนเดินเข้ามาหาดวงตา ที่ยืนอยู่กับลูกสาว แล้วรีบตอบแทน
“ใช่สิ”
ดวงตายกมือไหว้ของคุณ
“ขอบคุณมากนะคะที่คุณกรุณาเราสองคนแม่ลูกขนาดนี้”
ดอนจับมือดวงตามากุมไว้ พลางมองเธอด้วยความรัก
“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณ คุณจำไม่ได้เหรอว่าตอนผมรถคว่ำที่เมืองไทย ผมหมดหวังว่าตาผม จะมองไม่เห็น แต่ผมได้คุณกับแซนดี้คอยดูและและเป็นกำลังใจ ไม่เคยทิ้งผม ผมก็แค่พ่อม่ายบ้างาน ไม่เคยมีเพื่อนแท้ นอกจากเพื่อนที่หวังแต่ผลประโยชน์ คุณกับแซนดี้เข้ามาทำให้ผมเห็นความสดใสของโลกอีกครั้ง”
“แต่อยู่ๆก็ย้ายมา ดวงกลัวทรายจะปรับตัวยาก”
ดวงตาไม่วายกังวล
“ได้ยินไหมแซนดี้ แม่เขาท้าทายว่าแซนดี้อยู่ที่นี่ไม่ได้”
เด็กหญิงศรุตายิ้มให้ดอนแล้วมองตรงไปข้างหน้าด้วยสายตาท้าทาย
ศรุตา ที่เติบโตเป็นหญิงสาววัย 16 เดินถือจดหมายตอบรับเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เข้ามาหาผู้เป็นมารดาที่กำลังนั่งอ่านนิตยสารอยู่
“แม่ขา มหาวิทยาลัยพริ้นตั้นตอบรับทรายค่ะ”
ดวงตาลดหนังสือในมือลง แล้วรีบถามย้ำอย่างดีใจ
“จริงเหรอ”
“ทรายโทรบอกแดดดี้ก่อนนะคะ แดดดี้ต้องดีใจมากแน่ๆ”
ดวงตาเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง
“ทราย ทรายเพิ่งอายุ 16 แม่ว่ามันเร็วไปรึเปล่าที่ทรายจะเรียนมหาวิทยาลัย”
ศรุตายิ้มตอบมารดา
“แต่ทางมหาวิทยาลัยตอบรับทรายแล้วนะคะแม่”
“แม่ได้ยินแล้ว แต่แม่กลัวทรายจะเรียนไม่ไหว”
เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ศรุตามองตอบมารดาด้วยสายตา ที่เหมือนโดนท้าทาย
4 ปีผ่านไป
ดวงตายืนมองดอนที่ถือใบปริญญาของศรุตามาติดที่กำแพงด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “คุณเห็นรึยังว่าสำหรับแซนดี้ ไม่มีคำว่าทำไม่ได้”
ดวงตามองไปที่กำแพงและโต๊ะริมกำแพง ที่มีทั้งประกาศนียบัตรและเหรียญทองมากมาย
“ไม่จริงหรอกค่ะดอน ทรายก็แค่คนธรรมดา ไม่มีอะไรที่ทรายจะทำไปได้ทุกอย่าง”
ศรุตาที่แอบมองอยู่ด้วยแววตาลำพอง นึกในใจว่า
“ทรายจะทำให้แม่ดู”
อ่านต่อหน้า 2
ทรายสีเพลิง ตอนที่ 1 (ต่อ)
ศรุตา เติบโตเป็นสาวสะพรั่งในวัย 24 ปี กำลังนั่งดื่มน้ำชาอยู่กับผู้เป็นมารดา ในห้องอาหารของ โรงแรม ที่โต๊ะด้านหลัง คือสตีฟ ที่มองเธอด้วยสายตาอาวรณ์ จนดวงตาสังเกตได้ สตีฟเป็นอีกหนึ่งหนุ่มที่ตกหลุ่มเสน่ห์ของศรุตา แต่เธอไม่เล่นด้วย
“ทราย ทรายไม่คิดจะคบใครจริงๆจังๆสักคนเหรอลูก ?” ดวงตามองลูกสาวอย่างเป็นห่วง
“นี่แม่ไม่อยากดูแลลูกสาวคนนี้แล้วเหรอคะ? ถึงอยากให้ทรายมีแฟน”
ผู้เป็นมารดาส่ายหน้า
“ทรายก็รู้ว่าแม่ไม่เคยคิดอย่างนั้น แต่ที่แม่อยากเห็นทรายคบใคร เพราะแม่ห่วงว่า เรื่องราวในอดีตของ แม่ ทำให้ทรายกำลังปิดตัวเอง”
ศรุตาหัวเราะ “ทรายไม่ได้ปิดตัวเองสักหน่อย”
“ถ้าทรายไม่ปิด ทรายก็น่าจะมีเรื่องหนุ่มๆหรือปัญหาความรักมาปรึกษาแม่ เหมือนที่แม่ลูกคู่อื่นเขา คุยกันบ้าง”
หญิงสาวมองตอบมารดาด้วยสายตาเยือกเย็น พร้อมพูดอย่างทระนง
“ที่ทรายไม่มีปัญหาปรึกษาแม่ เพราะลูกสาวของแม่ไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่น ทรายไม่เคยยอมเป็น รองใคร ไม่เคยเพลี่ยงพล้ำให้ใคร และทุกครั้งทรายก็เป็นฝ่ายควบคุมสถานการณ์ได้ตลอด”
ศรุตานึกมาถึงตรงนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มให้กับชัยชนะที่ตัวเองคว้ามาได้ตลอด เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงมือถือดังแทรกขึ้นมา เมื่อหยิบขึ้นมาดู และเห็นหน้าจอเป็นชื่อชาร์ลส์ เธอก็ยิ้มอย่างคนมีชัยชนะในกำมือ
ฌานทำหน้าเซ็ง ขณะที่เดินมาหาผู้ชายที่ยืนหันหลังให้อยู่
“ขอโทษทีบุรี ทรายส่งข้อความว่าแม่เขามีธุระด่วนจะคุยด้วย ฉันว่านายกับแซนดี้ คงไม่เคยทำบุญ ร่วมกันแน่ๆ ถึงไม่เคยได้เจอกันสักที แต่ก็ดีแล้ว ฉันกลัวนายเห็นแซนดี้แล้วจะหลงรักอีกคน”
บุรีที่ยืนหันหลังให้ หันหลับมา แล้วพูดตอบแบบขำๆ
“ฉันไม่มีวันชอบผู้หญิงคนเดียวกับนายหรอก”
ฌานยิ้มรับ “ฉันก็ว่าอย่างนั้น เพราะสเป็กฉันกับสเป็กนายมันคนละแบบ อันที่จริงฉันก็ไม่รู้ว่าสเป็กผู้หญิงของนายเป็นยังไง เพราะนายยังไม่เคยมีแฟนสักคน”
“ถ้ามันจะมี เดี๋ยวก็มีเองแหละ ไม่ต้องร่อนหาอย่างนาย” บุรีกระเซ้าเพื่อน
“ตอนนี้ฉันเปลี่ยนแล้วเว้ย ฉันพร้อมจะหยุดที่แซนดี้”
บุรีมองฌานที่พูดถึงศรุตาด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข
“นายรู้ไหม นายไม่เคยคบกับผู้หญิงคนไหนแล้วมีสีหน้าอย่างนี้ แม้แต่ตอนคบกับลิซ่า”
“แน่นอนอยู่แล้ว ไม่มีผู้ชายคนไหนอยู่กับแซนดี้แล้วจะไม่มีความสุข”
“แปลว่านายจะหยุดที่คนนี้จริงๆ”
ฌานพยักหน้าอย่างมั่นใจ
“ถ้าไม่จริง ฉันคงไม่พยายามให้นายเจอกับเขาอย่างนี้หรอก นอกจากนายจะเป็นเพื่อนที่ฉันรัก นายยังเหมือนพี่ชายของฉัน ถ้าฉันรักใคร ก็อยากให้นายได้รู้จักและรักเขาด้วย ไม่ใช่ไปปั้นหน้ายักษ์ใส่”
“ฉันไม่เคยปั้นหน้ายักษ์ใส่ใคร หน้าตาเราจะเป็นยังไง มันอยู่ที่จิตใจของคนนั้น ถ้าเขาคิดดี ต่อให้เรา
ทำหน้างอ เขาก็ไม่คิดอะไร แต่คนที่มีชะนักติดหลัง ต่อให้เรายิ้ม เขาก็หาว่าเราแยกเขี้ยว เอาเถอะฌาน ถ้าผู้หญิงที่ นายรัก เขารักนายจริง รับรองว่าฉันไม่มีปัญหา”
ฌานแกล้งมองบุรีอย่างระแวง
“แปลว่าถ้าเขาไม่รักฉัน เขาก็ต้องมีปัญหากับนาย? นี่นายคิดกับฉันมากกว่าเพื่อนรึเปล่าเนี่ย ?”
“ไอ้บ้า ฉันไม่เคยมีปัญหากับใคร ฉันแค่ทำทุกอย่างไปตามความถูกต้อง”
ฌานยิ้มขำ “คำก็ถูกต้อง สองคำก็ถูกต้อง ฉันถามจริงๆ วันนึงถ้านายรักใครสักคน แล้วถ้าเขาดัน ทำอะไรไม่ถูกต้อง นายจะยังรักเขาไหม ?”
คำถามของฌานทำเอาบุรีถึงกับชะงัก
ศรุตาเดินเข้ามาในร้านอาหารหรู ดวงตาที่นั่งรออยู่แล้ว รีบโบกมือให้ และลุกขึ้นกอดด้วยความคิดถึง ทันทีที่เธอเดินถึงโต๊ะ
“แม่กับแดดดี้สบายดีไหมคะ ทรายว่าหลังเสร็จจากงานเลี้ยงของฌาน จะแวะไปหาแม่กับแดดดี้ก่อนกลับซานฟรานฯ พอดีเลย”
“แม่กับแดดดี้สบายดีจ้ะ” พูดพร้อมกับถอนหายใจ “ถ้าไม่มีเรื่อง”
หญิงสาวมองผู้เป็นมารดาอย่างสงสัย
“มีเรื่องอะไรเหรอคะแม่ ? มันเกี่ยวกับธุระสำคัญที่แม่โทรบอกว่าจะคุยกับทรายใช่ไหมคะ ?”
ผู้เป็นมารดามองหน้าบุตรีอย่างลังเลว่าจะบอกดีไหม เพราะเกรงถึงผลที่จะตามมา แต่สุดท้ายก็ ตัดสินใจพูด
“แม่ได้รับโทรศัพท์จากเมืองไทย”
หญิงสาวถึงกับชะงักเมื่อได้ยินประโยคว่า "จากเมืองไทย"
“จากเมืองไทย? อย่าบอกนะคะว่าเป็นพะ..”
ใจจริงอยากพูดคำว่าพ่อ แต่ติดอยู่ที่ความเจ็บที่ฝังใจ ทำให้พูดไม่ออก ผู้เป็นมารดามองอย่างรู้ทัน
“ไม่ใช่เขา แต่เป็นทนายความของคุณย่า ทรายจำคุณหญิงศิริ คุณย่าของทรายได้ไหมลูก ?”
ศรุตามองหน้าผู้เป็นมารดานิ่งงัน พลางย้อนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนที่เธออายุ 4 ขวบ เด็กหญิงอยู่ในชุดอนุบาล นั่งอยู่ข้างๆ ผู้เป็นมารดา ซึ่งนั่งที่พื้นคุยกับคุณหญิงศิริ ที่นั่งบนตั่ง พร้อมกับจ้องมองที่สองแม่-ลูก อย่าง รำคาญ
“ฉันบอกแล้วไงว่ามีอะไรก็ฝากนังทิศมาบอกก็ได้ หล่อนก็รู้ว่าพักนี้ หนูเสาว์ท้องแก่แล้วหงุดหงิดไปหมด หล่อนกับลูกหลบหน้าได้ก็หลบไป”
ดวงตาก้มหน้า อย่างพยายามสะกดอารมณ์
“หนูขอโทษค่ะ หนูแค่จะขึ้นมาขอความกรุณานายแม่นิดเดียว คือวันนี้ดวงติดเข้าเวรบ่าย เลยไปรับ ทรายไม่ได้ อยากทราบคุณแม่ช่วยรับทรายสักครั้งได้ไหมคะ”
คุณหญิงศิริยิ้มเยาะ “อยากให้มีรถคันใหญ่ไปรับลูกอวดชาวบ้านงั้นสิ”
“ดวงไม่ว่างจริงๆ ค่ะนายแม่ แต่ถ้าเป็นการรบกวนนายแม่เกินไป ดวงจ้างสามล้อไปรับทรายก็ได้ค่ะ”
“อย่าทำเป็นผยองให้มากนักดวงตา อย่าให้ความกรุณาของฉัน เปลี่ยนเป็นความหมั่นไส้ไปมากกว่านี้ เอาล่ะ เรื่องยายทราย ฉันจะให้นายเติมไปรับ ไงยายทราย จ้องฉันเขม็ง ไม่คิดจะขอบคุณฉันสักคำเรอะ ?“ เด็กหญิงศรุตาในวัย 4 ขวบ จ้องมองคุณหญิงศิริตาไม่กระพริบ
“จำได้สิคะแม่ ทรายจำได้ไม่มีวันลืม เพราะเขานั่นแหละค่ะ ที่ทำให้แม่สัญญาว่าทรายจะไม่ต้อง รอแม่อีก”
ดวงตาชะงักกำมือลูกสาวแน่นเหมือนปลอบใจ ศรุตาพยายามตั้งสติ แล้วเอื้อมมือจะไปหยิบแก้วน้ำ แต่กลับเผลอปัดแก้วน้ำตกจากโต๊ะ
ภาพเหตุการณ์ในอดีตย้อนกลับมาอีกครั้ง
โดยตอนนั้น ครูอิ่มจิตยื่นแก้วน้ำให้ แต่กลับถูกเด็กหญิงศรุตาปัดทิ้ง
“ทำไมทำอย่างนี้หนูทราย ?”
“ก็ทรายบอกว่าทรายไม่กิน ทรายไม่กิน ทรายจะรอกินพร้อมแม่”
พูดพลางวิ่งหนีไปยืนกอดรั้วประตูโรงเรียน พร้อมกับเหม่อมองไปที่ถนนหน้าโรงเรียน ด้วยสายตาเฝ้า รอคอย พลางน้ำตาไหลคิดถึงแม่
แสงไฟหน้ารถส่องมาจากหน้าประตูโรงเรียน เมื่อรถจอดสนิท ดวงตาก็รีบเปิดประตูลงมาโดยไม่ทัน ดับไฟ ด้วยหัวใจที่เป็นห่วงลูกน้อยกว่าสิ่งใด
“แม่จ๋า”
ดวงตาพุ่งเข้ามากอดลูกน้อยแนบอก มือน้อยๆ ของเด็กหญิงกอดรัดผู้เป็นมารดาไว้อย่างกับกลัว ว่าจะหนีหายไป
“แม่จ๋า แม่หายไปไหนมา ทำไมไม่มารับทราย ลุงเติมก็ไม่มารับทราย คุณย่าก็ไม่มา ทุกคนลืมทราย หมดแล้ว”
ดวงตาได้ยินเสียงลูกพูดพร่ำพร้อมกับร้องไห้ไปด้วย ก็ยิ่งทำให้หัวใจคนเป็นแม่แสนเจ็บปวด จนกลั้นน้ำตาไม่อยู่
“ไม่มีใครลืมทรายหรอกลูก แม่ขอโทษ แม่ผิดเองที่ไว้ใจคนอื่น แม่สัญญาว่าต่อไปทรายจะไม่ต้องรอ แม่อีก”
ผู้เป็นมารดากอดเด็กหญิงตัวน้อย พร้อมทั้งใช้มือลูบหน้าและเช็ดน้ำตาให้ลูกสาวอย่างแผ่วเบา
มือดวงตาลูบแก้มของศรุตาด้วยความรักที่ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าเมื่อครั้งที่เธอยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย
“อโหสิกรรมทั้งหมดเถอะทราย”
“หมายความว่ายังไงคะแม่ อโหสิกรรม ?” ดวงตาของหญิงสาวแข็งกร้าว
“ให้อภัย เลิกแล้วต่อกันไงลูก อย่าคิด อย่าจำ อย่ายึดอดีตที่ผ่านไปแล้วอีกเลย ตอนนี้ทุกอย่างมันจบ แล้ว คุณย่าท่านเสียแล้ว”
หญิงสาวเพียงแต่ชะงักไปนิดเดียว แล้วรีบถามต่อ “ตายทรมานไหมคะ ?”
“อย่าพูดอย่างนั้นนะทราย แม่เชื่อว่าคุณย่าท่านรู้สึกผิดแล้ว ท่านถึงสั่งทนายให้โทรบอกแม่ไปฟัง พินัยกรรม ท่านคงยกอะไรให้”
ผู้เป็นลูกสาวยิ้มเยาะไม่เชื่อในสิ่งที่มารดาพูด ด้วยมั่นใจว่าคนอย่างคุณหญิงศิริมีหรือจะสำนึกเป็น
“แล้วแม่จะไปไหมคะ?”
ศรุตาเดินเข้าห้องพักหรูย่านซานฟรานซิสโก ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พลางคิดถึงคำตอบของผู้เป็นมารดา
“แม่ไม่ไป เขาให้อะไรมา แม่ก็ยกคืนเขาไปหมด ชีวิตแม่ที่นั่นมันจบไปแล้ว นับตั้งแต่แม่ตัดสินใจ พาทรายออกมา แม่ถือว่าต่างใช้กรรมต่อกันหมดแล้ว แม่อโหสิกรรม”
ศรุตาเดินเข้าห้องน้ำ แล้วพูดกับเงาตัวเองในกระจก
“อโหสิกรรมให้คุณย่า แล้วคนอื่นล่ะแม่ ?”
หญิงสาวมองตาตัวเองในกระจก แล้วย้อนนึกถึงตอนที่เธออายุ 8 ขวบ ขณะที่กำลังจะเข้าไปหาผู้เป็นบิดาในบ้าน แต่ถูกเสาวณีย์ยืนขวางไว้
“มาทำไม ?”
“ทรายมาหาพ่อ” เด็กหญิงตอบประสาซื่อ พร้อมกับก้าวเท้าจะเดินเข้าบ้านใหญ่
“คุณศกไม่อยู่”
“งั้นทรายจะเข้าไปรอพ่อ”
เสาวณีย์ยังขวางไว้
“จะรอทำไม ? คุณศกกลับเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เธอมีอะไรกับคุณศกก็บอกฉันนี่ เดี๋ยวฉันบอกคุณศกให้”
เด็กหญิงมองเสาวณีย์อย่างระแวงนิดหนึ่ง แล้วตัดสินใจบอก
“งั้นฝากบอกพ่อว่าวันมะรืนโรงเรียนทรายจัดงานวันพ่อ ทรายได้เป็นตัวแทนไหว้พ่อ อยากให้พ่อไป ร่วมงานด้วยค่ะ”
เสาวณีย์ยิ้มรับพร้อมกับพูดอย่างไพเราะ “แล้วอาจะบอกให้นะ”
แต่เมื่อถึงวันงานจริงๆ โต๊ะที่ควรจะมีบิดานั่งอยู่ กลับว่างเปล่า
เมื่อกลับมาถึงบ้าน เด็กหญิงศรุตาเดินเข้ามาถามเสาวณีย์ที่กำลังนั่งอ่านนิตยสารอย่างสบายใจ
“คุณอาเสาว์ไม่ได้บอกพ่อเหรอคะ ?”
เสาวณีย์แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง “บอกเรื่องอะไร ?”
“เรื่องวันนี้โรงเรียนทรายจัดงานวันพ่อไงคะ”
“อ๋อ บอกแล้ว แต่วันนี้ที่โรงเรียนลูกศรก็มีงานวันพ่อเหมือนกัน คุณศกเลยไปโรงเรียนลูกศร”
เด็กหญิงโวยวายทันที
“ทำไมพ่อต้องไปโรงเรียนลูกศรด้วย ทรายเป็นพี่ ทรายเกิดก่อนลูกศร พ่อต้องไปโรงเรียนทรายก่อนสิ”
เสาวณีย์ยิ้มเยาะ
“ฉันจะสอนให้นะ พ่อเธอจะเลือกใคร มันไม่เกี่ยวว่าใคร มาก่อนหรือมาหลังหรอก แต่มันอยู่ที่ว่าใคร มีค่ากว่ากัน ถ้าเธอไม่เข้าใจที่ฉันพูด ก็ไปถามแม่เธอดูสิ แม่เธอน่าจะรู้ความหมายดี”
ศรุตามองรูปปัจจุบันของเสาวณีย์กับศกที่สูงวัยขึ้นตามวันเวลาในไอแพดด้วยสายตาที่เย็นชา
“วันที่แม่ออกจากบ้านนั้น แม่อาจจะจบ แต่สำหรับทราย....”
ทันใดนั้นเสียงมือถือก็ดังขึ้น หญิงสาวเอื้อมมือหยิบมากดรับ
“Hello เอ๊ะ! ทำไมสัญญาณไม่ค่อยดีเลย คุณอยู่ไหนคะชาร์ลส์”
ฌานที่อยู่ในเครื่องบินส่วนตัว ตอบกลับมาทางปลายสาย
“ผมกำลังจะบินไปเมืองไทย ป๋ามีคำสั่งด่วนให้ไปทำโครงการใหม่”
ศรุตายิ้มนิดๆ เมื่อได้ยินคำว่าเมืองไทย
“I know อีกฟากของโลก เมื่อไหร่เราจะได้เจอกันเนี่ยแซนดี้ วันนี้คุณอดเจอเพื่อนรักผมไปอีกครั้งนึง แล้ว ตอนนี้เขายังอยู่ LA นะ ถ้าคุณยังอยากเจอเขา เดี๋ยวผมโทรนัดให้”
หญิงสาวส่ายหน้า “ไม่ล่ะ ตอนนี้ฉันไม่ว่างแล้ว มีงานสำคัญต้องทำ”
“ทำงานเยอะไม่ว่า แต่อย่าลืมคิดถึงผมนะ ที่สำคัญระหว่างผมไม่อยู่ อย่าไปใจอ่อนคุยกับหนุ่มอื่นล่ะ”
“ก็ถ้าคุณไปนานมาก ก็ไม่แน่”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิแซนดี้ รู้ไหมว่ามันทำให้หัวใจดวงน้อยๆของผมมันเจ็บ ถ้าเลือกได้ ผมไม่อยาก ไปไหนเลย อยากอยู่ใกล้ๆคุณ”
ฌานพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“You never know, darling. บางทีคุณคิดว่าคุณไกลฉัน บางทีฉันอาจอยู่ใกล้คุณก็ได้”
“คุณหมายความว่ายังไง ?”
ศรุตายิ้มเจ้าเล่ห์
“ฉันอาจจะไปเมืองไทย ฉันว่าที่นั่นน่าจะมีเรื่องสนุกๆ ให้ฉันทำเยอะ”
“จริงเหรอ ? แล้วคุณจะมาเมื่อไหร่ ?”
“เร็วๆนี้ แล้วเจอกันนะชาร์ลส์ Good bye, lover. Safe Flight.”
หญิงสาววางโทรศัพท์ พร้อมกับทอดสายตามองออกไปไกลๆ เหตุการณ์ต่างๆในอดีตค่อยๆ ย้อนกลับ มา ทุกภาพ ทุกเสียง ยังคงชัดเจน เหมือนเหตุการณ์ทั้งหมดกำลังเกิดอยู่ต่อหน้า
เสียงของศกผู้เป็นบิดา และคุณหญิงศิริ ผู้เป็นย่า กำลังคุยกันในเรื่องมารดาของเธอ
“ดวงตาวุ่นวายมาก”
“เรื่องอะไรอีก”
“พูดจากระทบกระแทกคุณเสาว์ ทั้งๆที่เขาไม่เคยยุ่งเกี่ยวด้วย”
“ก็คนมันไพร่”
หญิงสาวตัวเกร็งขึ้นทันที ความโกรธฉายชัดในดวงตา
“บอกเสาวณีย์อย่าสนใจมัน อย่าเอาทองไปลู่กระเบื้อง ปล่อยมันบ้าไปคนเดียว นับวันเราก็ต้องพึ่งมัน เดี๋ยวต่อไปแม่แก่แล้วต้องมีคนดูแล เพราะเหตุนี้แม่ถึงไปขอมันมาจากพ่อแม่ชาวสวนของมัน เลี้ยงมันจนโต แล้วส่งมันเรียนพยาบาลไง”
เด็กหญิงศรุตาเมื่อ 17 ปีที่แล้ว ตั้งใจฟังพ่อกับย่าพูดถึงแม่ แม้ด้วยความเป็นเด็ก อาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวมากนัก แต่ก็สามารถจดจำได้ทุกคำพูด
“ตัวเราน่ะศก ต้องทำดีกับมันไว้บ้าง”
“คุณแม่หมายความว่าผมต้องไปค้างที่เรือนเล็กหรือครับ”
คุณหญิงศิริพยักหน้า
“ดวงตามันเลี้ยงไม่เชื่อง มันเป็นคนทะเยอทะยาน ถ้ามันไม่รักไม่หวังในตัวลูกอยู่ล่ะก็ มันคงไม่อยู่ให้แม่ใช้จนป่านนี้หรอก”
เด็กหญิงศรุตานิ่งฟัง อย่างพยายามทำความเข้าใจกับถ้อยคำเหล่านั้น
“แม่ถึงบอกให้ ร้อยมันไว้ใช้เถอะลูก ไม่เสียหายอะไรหรอก”
เสียงคุณหญิงศิริหัวเราะเย้ยหยัน
ศรุตายิ้มเยาะเย้ยขึ้นมาแทน ระหว่างกำลังลากกระเป๋าเดินทางไปทางประตูด้วยท่าทางมาดมั่น เมื่อประตูเปิดออก ก็เห็นผู้เป็นมารดายืนอยู่ก่อนแล้ว
ผู้เป็นมารดามองทีท่าของบุตรีอย่างรู้ดีว่าไม่สามารถห้ามอะไรได้
ศรุตาเดินนำออกมาจากประตู ผู้เป็นมารดาเดินตาม พลางมองเธอด้วยสีหน้ากลุ้มใจ
“คุณย่าอุตส่าห์รู้สึกผิด ยกสมบัติไถ่โทษให้เรา ถ้าเราไม่ไปรับไว้ แม่ไม่กลัวคุณย่าตายตาไม่หลับเหรอคะ”
ดวงตาถอนหายใจ
“ทรายมีจุดประสงค์มากกว่านั้นแม่รู้ แม่ไม่อยากให้ทรายทำอย่างที่คิด”
“แม่คิดมากจัง คนอย่างทรายจะไปคิดทำอะไรพวกเขาได้ แม่จำไม่ได้เหรอคะ ว่าแม่บอกทรายเสมอว่าเราสองคน ไม่ต่างจากกรวดหินดินทรายในบ้านเขา แม่ถึงตั้งชื่อทรายว่าทราย เพื่อเตือนใจเราไงคะ”
ผู้เป็นมารดาถึงกับจุกขึ้นมาทันที
“โถ ทราย แม่ขอร้อง ลืมทุกอย่างเถอะลูก”
หญิงสาวยิ้มอย่างเยือกเย็น
“จะให้ทรายลืมยังไงคะแม่ ในเมื่อเลือดครึ่งนึงในตัวทราย ทำให้ทรายเป็นลูกของพ่อ เป็นหลานของคุณย่าอีกคนนึง ถึงแม้ตอนนี้ทรายจะใช้นามสกุลดาลตัน แต่มันก็ล้างความเป็นพรหมาสตร์นารายณ์ในตัวทรายไปไม่ได้ ทรายต้องกลับไปค่ะ”
ดวงตามองหน้าลูกสาวด้วยแววตาเว้าวอน
“งั้นแม่จะยอมให้ทรายกลับไปกราบคุณย่าเป็นครั้งสุดท้าย ไปอโหสิกรรมต่อกัน แล้วกลับมาทันที”
“ใจคอแม่จะไม่ให้ทรายรอวันเปิดพินัยกรรมเลยเหรอคะ”
ผู้เป็นมารดาส่ายหน้า
“ไม่ต้อง ตอนนี้ชีวิตเรามีทุกอย่างเหลือเฟือ มีความสุขเกินพอแล้ว เราไม่มีอะไรต้องเอาจากพวกเขาอีก”
หญิงสาวยิ้มหยัน
“มีสิคะ ยังมีสิ่งที่เขาเอาของเราไป ทรายจะกลับไปเอาสิ่งที่ควรเป็นของเราคืน”
ศรุตามองไปข้างหน้าด้วยสายตามุ่งมั่นแรงกล้า
ศกในชุดไว้ทุกข์ เดินลงบันไดมานั่งที่โซฟา เสาวณีย์โวยวายเดินตามมาติดๆ
“ยังไงเราต้องขายที่ดินด้านข้างบ้านริมน้ำนั่นนะคะ คุณก็รู้ว่าตอนนี้ฐานะการเงินบ้านเราแย่ขนาดไหน เงินเก็บที่เคยมีก็หมดไปกับการรักษาคุณแม่ตลอด 3-4ปี ไหนตอนนี้คุณจะจัดงานศพคุณแม่ให้ยิ่งใหญ่อีก แขกก็ไม่ ค่อยมีมาฟังพระ ซองจากแขกก็ไม่ได้”
ศกตะคอกกลับ
“นี่คุณเสาว์ ผมไม่ได้จัดงานศพคุณแม่เพื่อเรี่ยไรหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองนะ ผมต้องการจัดให้เกียรติ คุณแม่ท่าน เป็นครั้งสุดท้าย”
เสาวณีย์มองท่าทีถือยศถือศักดิ์ของสามีอย่างหมั่นไส้
“ถ้าเรามีเงินเหลือกินเหลือใช้อย่างเมื่อก่อน ฉันจะไม่ว่าสักคำ แต่ทุกวันนี้บ้านเรามีแต่รายจ่าย กับรายจ่าย แค่เงินเดือนตำแหน่งหัวหน้ากองที่ถูกแป๊กมาเกือบสิบปี แค่ค่าเงินเดือนคนใช้ยังจะแทบไม่พอเลย”
ศกรู้สึกเหมือนกำลังโดนหยาม “คุณพูดเกินไปแล้วนะคุณเสาว์”
เสาวณีย์ตวาดกลับ
“โน้นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่ทำ สุดท้ายก็เป็นฉันที่ต้องหาทางแก้ไขปัญหาเองทุกอย่าง ไม่รู้ล่ะ ฉันจะไม่ไหวแล้ว คุณต้องขายที่ดินข้างคลองนั่น”
“ผมบอกแล้วไงว่าคุณแม่ไม่ให้ขาย ที่ตรงนั้นมันตัดผ่านทางเข้าออกบ้านริมน้ำ ถ้าเราตัดขายที่ดิน ริมคลองไป บ้านริมน้ำจะกลายเป็นที่ดินตาบอด ถ้าทรายกับดวงตากลับมา เขาจะอยู่ยังไง”
เสาวณีย์ได้ยินเหตุผลที่แท้จริง ก็ถึงกับเลือดขึ้นหน้า
“คุณกับแม่คุณห่วงสองคนนั่น แต่ไม่ห่วงฉันเหรอ ถ้าคุณไม่ขาย ฉันจะขายเอง แล้วถ้ากลัวว่าบ้านริมน้ำ นั่น จะเป็นที่ดินตาบอด ฉันก็จะขายมันไปพร้อมกันเลย”
“คุณทำอย่างนั้นไม่ได้ บ้านริมน้ำนั่นคุณแม่ยกให้ดวงตากับลูก ทนายพยายามติดต่อเขาแล้ว เดี๋ยวเขา ก็ต้องกลับมาเอา”
ศกพูดจบก็รีบเดินออกไป เสาวณีย์มองตามอย่างไม่พอใจ พลันก็รีบหยิบมือถือมากดโทร.ออก
“สวัสดีค่ะคุณทนาย ฉันเสาวณีย์ ฉันไม่อ้อมค้อมนะคะ ฉันไม่อยากให้ดวงตากับลูกกลับมา คุณช่วย ฉันได้ไหมคะ ?”
รถโรงแรมที่โอ่อ่า แล่นมาช้าๆในซอยข้างวัดที่อยู่แถบชานเมือง สองข้างทางมีต้นไม้ต้นใหญ่ๆ เรียงราย ร่มครึ้ม
ศรุตาในชุดดำทั้งชุดนั่งอยู่เบาะด้านหลัง พลางมองไปที่เมรุ เห็นกลุ่มควันไฟลอยขึ้นมา หญิงสาวนั่งนิ่งอยู่ในรถรอจนเสร็จสิ้นพิธี จนเห็นรถทยอยแล่นออกมาจากวัด
ศกกับเสาวนีย์ นั่งเคียงกันที่เบาะหลังของรถคันหนึ่ง ในขณะที่รถอีกคันที่แล่นตามมา คือรถของชายหนุ่มอีกคน ที่มีหญิงสาวนั่งอยู่ข้างๆ ด้วยอาการเศร้าเสียใจ
ศรุตาพยายามเพ่งมอง พร้อมกับนึกเดาว่าผู้หญิงที่นั่งอยู่เคียงข้างคนขับคือสรวณีย์ หรือลูกศร น้องสาวต่างมารดาของเธอ ทว่ายังไม่แน่ใจนัก
ศรุตาเดินตรงดิ่งไปที่เมรุ
ขณะที่บุรีกำลังคุยกับฌานที่หันหลังให้จึงไม่ทันเห็นหญิงสาว ครู่หนึ่งก็ปลีกตัวไปเข้าห้องน้ำ ศรุตาเดินมาผ่านบุรีไปขึ้นบันได บุรีมองอย่างฉงน
พนักงานคนหนึ่ง กำลังเก็บถาดดอกไม้จันทน์ที่วางบนโต๊ะ แล้วรีบเดินเร็วๆ จนดอกไม้จันทน์ร่วงลงมาดอกหนึ่ง ศรุตาก้าวขึ้นมา ก้มลงมองดอกไม้ดอกจันทน์ ด้วยแววตาครุ่นคิด แต่แล้วก็กลับก้าวผ่านดอกไม้จันทน์ไป พร้อมกับที่เสียงคุณหญิงศิริย้อนกลับมาก้องในหู
“ก็คนมันไพร่ อย่าเอาทองไปลู่กระเบื้อง ปล่อยให้มันไปคนเดียว ดวงตามันเป็นคนทะเยอทะยาน แต่แม่รู้ว่ามันเลี้ยงไม่เชื่อง ร้อยมันไว้ใช้เถอะลูก ไม่เสียหายอะไรหรอก”
ศรุตาเดินเข้าไปจนไปยืนอยู่ตรงหน้ารูปของคุณหญิงศิริ
“คุณย่าคะ หลานคนที่คุณย่าตีค่าเหมือนกรวดทรายอยู่ในบ้าน อยู่ตรงนี้ คุณย่าจำได้มั้ยคะ ทรายไม่ลืมชีวิตที่บ้านคุณย่าหรอกค่ะ ปมหลายปม ถูกผูกไว้ยังไม่คลี่คลาย แต่ที่แน่นอน ตอนนี้คุณย่าสนับสนุนใครไม่ได้ ขัดขวางใครก็ไม่ได้อีกแล้วค่ะ”
แววเย้ยหยันอันเป็นดอกผลของเพลิงแค้นที่สั่งสมมานานกว่า 24 ปี ลุกโชนในดวงตาคู่งาม
อ่านต่อหน้า 3
ทรายสีเพลิง ตอนที่ 1 (ต่อ)
บุรีเดินขึ้นบันไดเมรุมา แล้วก็ชะงักกึก พร้อมกับเพ่งมองที่ศรุตา ที่กำลังก้มลงมองดอกไม้จันทน์
“ขอโทษครับ”
หญิงสาวหันกลับมา พลางจ้องมองกันอึดใจหนึ่ง ด้วยต่างคนต่างคุ้นหน้าซึ่งกันและกัน
“มาไม่ทันใช่ไหมครับ ผมจะมาบอกว่า เอาดอกไม้จันทน์วางที่หน้าเตาก็ได้ครับ เดี่ยวเจ้าหน้าที่เขาจะใส่ให้ตอนที่เขาเปิด”
“ขอบคุณค่ะ”
ศรุตาก้มลงเก็บดอกไม้จันทน์ที่พื้น แล้วเอาทั้งสองดอกไปวางบนโต๊ะ
“อ้าว ไม่เอาไปวางหรอครับ”
หญิงสาวส่ายหน้า
“ไม่เป็นไร ขอบคุณมากค่ะ เดี๋ยวนะคะ รบกวนหน่อย คุณเรียกคนที่พอถึงอายุที่เขาจะตัดสินใจได้ด้วยตัวเองว่าอะไรคะ มีคำว่าบรรลุน่ะค่ะ บรรลุอะไรคะ”
“อ๋อ เข้าใจแล้วเรียกว่า บรรลุนิติภาวะครับ”
หญิงสาวพยักหน้า พร้อมกับยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะ”
บุรีรับไหว้แทบไม่ทัน แล้วเดินลงไป หญิงสาวมองตาม พร้อมกับพึมพำเบาๆ
“บรรลุนิติภาวะ”
เมื่อบุรีลงมาถึง ก็พอดีกับที่ฌานเดินออกมา
“อยู่นี่เองคิดว่ากลับไปแล้ว ไหนแกว่าจะเอาอะไรมาให้ใครไง เขากลับกันไปหมดแล้วนะ ไม่เห็นใครจะมาเอาอะไร?”
บุรีพยักหน้าให้ “ไป ไปหากัน”
“หาใคร”
“คนที่จะเอาของมาให้น่ะสิ เป็นพระอาจารย์ที่โรงเรียนวัดนี้”
ขาดคำ พระอาจารย์ก็เดินเข้ามาพอดี บุรีกับฌาน ยกมือไหว้
“นี่ครับท่าน สมุดหนังสือเครื่องเขียนที่บอกว่าจะเอามาถวายให้ท่าน ไว้สำหรับใช้ที่โรงเรียน”
บุรีบอกอย่างสุภาพ พระอาจารย์รับของไป แล้วสวดให้พรเบาๆ ก่อนจะเดินผละไป
ฌานรีบหันมาบอกบุรี
“รู้สึกดีว่ะ ดีจริงๆกับภาพเมื่อกี้”
บุรียิ้มรับ
“ความดีไง ทำแล้วรู้สึกดี แล้วเมื่อไหร่กลับอเมริกา?”
“คงอีกนาน ต้องมาทำงานที่เมืองไทยพักหนึ่ง ทำกับแกนั่นแหละ”
บุรีมองอย่างงงๆ
“เอาหน่ะ เดี๋ยวกลับไปคุยที่ออฟฟิศกัน”
ศรุตาที่แอบมองดูอยู่ห่างๆ รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาฌาน
“Hello ชาร์ลส์ I’m แซนดี้ ทรายอยู่เมืองไทยแล้วนะ"
“จริงหรอ สมกับเป็นทรายเลยนะ มีเรื่องเซอร์ไพรซ์ได้ตลอด พักที่ไหนล่ะ อ๋อ โอเค. แล้วเจอกัน”บุรีเหลียวกลับมามองที่เมรุโดยไม่ได้ตั้งใจ จังหวะเดียวกับที่หญิงสาวที่ยังยืนนิ่งอยู่บนนั้นถอยหลบไป
พอดี
ศรุตานั่งอยู่ที่โซฟาในห้องพักในโรงแรมหรู ด้วยท่าทีที่มั่นใจในตัวเองอย่างยิ่งยวด ครู่หนึ่งเสียงกริ่งก็ดังขึ้น แต่หญิงสาวกลับนั่งนิ่ง มองจ้องที่ประตู พอประตูเปิด ก็เห็นฌานยืนอยู่
“Hello ชาร์ลส์”
ศรุตาลุกขึ้นต้อนรับ ฌานก้าวยาวๆเข้ามาหา แล้วกอดแนบแน่น จากนั้นก็นัวเนียกันอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่ฌานจะถามขึ้นมาตรงๆ
“เมื่อไรจะตกลงแต่งงานกับผมเสียที”
“โห มาจากไหนเนี่ย ชาร์ลส์”
ฌานเริ่มหงุดหงิด
“ฌาน เรียกผมฌาน ฌ.เฌอ สระอา น.หนู ฌาน นั่นคือชื่อไทยของผม เหมือนผมไม่เรียกคุณว่าแซนดี้ แต่เรียกทรายนั่นแหละ”
หญิงสาวทำหน้างง
“คุณโกรธฉันเรื่องอะไรนี่ ทำไมเสียงดัง”
“มันน่าโกรธมั้ยละ ผมขอคุณแต่งงานกี่ร้อยครั้งแล้ว คุณจะให้ผมเป็นบ้าเหรอทราย คุณเป็นอะไร คุณมีใคร ทำไมคุณถึงไม่ยอมแต่งกับ ผมเสียที ไม่รักผมหรือทราย ถ้าไม่รักทำไมคุณถึงยอมให้ผม…”
หญิงสาวยกมือปิดปากชายหนุ่ม
“ฌานคุณเป็นเพื่อนที่รู้ใจฉันมากที่สุด ฉันไม่อยากได้สามีมาแทนที่เพื่อนคนนี้”
ฌานส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ
“ทราย ผมไม่เข้าใจคุณเลย โอเค. ขี้เกียจฟังแล้ว คำพวกนี้คุณพูดจนผมจำได้ทุกคำ ไปหาข้าวกิน หิว”
“ที่งานศพเขาไม่ได้เลี้ยงหรอกเหรอ”
“งานเผาไม่เลี้ยง เลี้ยงแต่งานสวด เอ๊ะ รู้ได้ไงว่าผมไปงานศพ”
ฌานถามอย่างแปลกใจ
ศรุตานั่งทานข้าวร่วมโต๊ะกับฌาน ที่ร้านอาหารหรูริมน้ำ
“ผมลืมไปได้ยังไงว่าคุณกับคู่หมั้นของพัชระเป็นพี่น้องกัน มิน่าตอนที่ผมโทรบอกคุณว่าผมมา เมืองไทย คุณถึงพูดแปลกๆ เหมือนคุณจะมาเมืองไทย ที่แท้ก็จะมางานศพคุณย่าคุณ ผมเองก็ไปช้า คนกลับหมด
แล้ว ไม่เจอเจ้าภาพสักคนนอกจากบุรี”
พูดจบก็ยื่นมือไปจับมือปลอบใจหญิงสาว
“ผมเสียใจด้วยนะ”
“คุณปลอบใจน้องสาวฉันอย่างนี้รึเปล่าคะ”
ฌานยิ้มยียวน “หวงเหรอ”
“เปล่า จะบอกว่าถ้าทำแล้วเขาติดใจ ก็เอาไปเลย อย่าส่งคืน”
ฌานส่ายหน้าช้าๆ
“น้องสาวคุณน่ะ อย่าว่าแต่ปลอบเลย เจอหน้าสักครั้ง ก็ยังไม่เคย รู้แต่ว่าเป็นคู่หมั้นเพื่อนรุ่นน้องผม คนที่คุณเห็นรูปในห้องผมที่แอลเอ.นั่นแหละ”
ศรุตาฟังแล้วก็ชะงักไปนิดหนึ่ง
ศรุตาถือแก้วกาแฟมาดื่ม พร้อมกับเดินออกมาดูวิวที่ริมระเบียง ฌานเดินตามมา
“คุยงานกับป๋าคุณเรียบร้อยแล้วเหรอ ชาร์ลส์”
ฌานรีบพูด
“ฌาน ไม่ใช่ ชาร์ลส์ คุณจำไม่ได้เหรอว่าคุณเคยบอกว่า ถ้าคุณมาเมืองไทยเมื่อไหร่ ให้เรียกชื่อคุณ ว่าทราย ไม่ใช่แซนดี้ แล้วให้เรียกชื่อผมว่าฌาน ฌ. เฌอ สระอา น.หนู ฌาน”
“ไม่ต้องย้ำมาก คำพูดฉัน ฉันจำได้ แซนดี้คือชีวิตฉันที่โน่น ทรายคือชีวิตฉันที่นี่ ชีวิตที่ฉัน ไม่เคยลืม เพราะมันมีเรื่องราวมากมายผูกและพันฉันไว้”
หญิงสาวพูดด้วยดวงตาแข็งกร้าว ฌานเดินเข้ามากอดเธอไว้
“เหมือนผม ชาร์ลส์ เป็นชื่อของลูกจ้างที่ซื่อสัตย์ของป๋า ส่วนชื่อฌานเป็นชื่อของเด็กผู้ชายกำพร้าพ่อ โหยหาความรัก ผู้ชายคนนี้น่าสงสารนะ ว้าเหว่ อ้างว้าง ไม่รู้จะมีนางฟ้าที่ไหนจะใจอ่อนยอมแต่งงาน คอยให้ความ อบอุ่น รึเปล่าน้า ผมอยากได้กำลังใจจริงๆนะ”
หญิงสาวมองทีท่าของชายหนุ่ม แล้วรู้สึกว่าฌานดูจริงจัง ไม่ใช่แค่พูดเล่น
“เป็นอะไร? ไหนบอกทรายสิ “
ฌานถอนใจ
“ป๋ากำลังจะทำโครงการสร้างคอนโคใหม่ที่นี่ ให้ผมเป็นคนดูแล”
“ฟังดูดีนี่ แล้วปัญหามันอยู่ตรงไหน หรือที่อลันเจ้าเก่า”
ศุตาเดินไปนั่งที่เก้าอี้โซฟา ริมแม่น้ำ
“คุณก็รู้ว่าเห็บไรอย่างอลัน ไม่เคยเป็นปัญหาสำหรับผม ปัญหาคือ ที่ดินที่ป๋ากว้านซื้อมาทำคอนโด ส่วนนึงเป็นบ้านกับที่ดินของตระกูลพ่อผม เป็นบ้านที่ผมเกิดและมีความทรงจำระหว่างพ่อ ผมเคยคิดอยากจะซื้อไว้ แต่ที่ดิน 5 ไร่ กลางเมืองแบบนั้น มนุษย์เงินเดือนอย่างผมคงไม่มีปัญญา คุณรู้ไหม ตอนแรกที่แม่บอกว่าป๋าซื้อ ที่บ้านพ่อ ผมแอบดีใจว่าป๋าคงซื้อเป็นรางวัลให้ผม แต่ที่ไหนได้..”
ฌานหัวเราะขมขื่น แล้วหันไปมองหญิงสาวที่เงียบไป ปรากฏว่าเธอหลับคาโซฟาไปแล้ว ชายหนุ่มจึงเดินไปนั่งข้างๆ ใช้มือลูบแก้ม แล้วจับมือหญิงสาวมาจูบ พร้อมกับเอามาแนบแก้มตัวเองไว้ เหมือนเด็กหาความอบอุ่น จากการสัมผัสของใครสักคน
“ผมรักคุณนะทราย เมื่อไหร่คุณจะเปิดใจให้ผมสักที หรือในหัวใจคุณมีใครอยู่แล้ว”
บุรีเดินเข้าบ้าน ขณะที่ผู้เป็นบิดากำลังยกจานกับข้าวมาที่โต๊ะอาหาร
“นี่ คุณ คุณ ลูกกลับแล้ว”
ผู้เป็นมารดาเดินออกมาจากในครัว พร้อมกับถือจานข้าว และช้อนส้อมออกมา 3 ชุด
เมื่ออิ่มจากมื้ออาหารแล้ว ผู้เป็นมารดาก็ออกปากถามลูกชายถึงงานศพของคุณหญิงศิริ
“บี รู้จักท่านเหรอ ถึงไปเผาท่าน”
บุรีนั้น มีชื่อที่เรียกกันในครอบครัวว่า “บี”
“พัชระเพื่อนรุ่นน้องที่มาหุ้นทำผับด้วยกันนะครับ เป็นคู่หมั้นกับหลานสาวคุณหญิงศิริ ผมรู้จักเธอก็เลยไป”
“หลานสาวคนไหน คุณหญิงศิริมีหลานสาว 2 คนนะ มีใครรู้บ้างไหม?”
“คู่หมั้นพัชระชื่อลูกศรครับแม่”
“บี เป็นอะไรลูก”
ผู้เป็นมารดาเห็นลูกชายทำหน้านิ่ว ก็อดที่จะถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
“พ่อแม่เคยมั้ยครับ เห็นคนๆหนึ่ง หน้าเขาเราเคยรู้จักแน่นอน แต่นึกไม่ออกว่าเมื่อไหร่ ที่ไหน“
พ่อส่ายหน้า “ไม่ต้องไปนึกหรอกเสียหัว ถ้าถึงขนาดต้องนึกว่าเป็นใคร แสดงว่าไม่สำคัญ”
แม่รีบถามเข้าเรื่องต่อทันที
“ตกลงหลานคุณหญิงศิริคู่หมั้นของพัชระชื่อลูกศร แล้วหลานคุณหญิงศิริอีกคนที่ชื่อน้องทราย ศรุตานะไปหรือเปล่า แม่ของเด็กคนนี้คุณหญิงศิริไปขอมาเลี้ยง กึ่งคนใช้กึ่งลูกยังไงไม่รู้ เขาพาลูกสาวที่ชื่อศรุตาหนี วันที่เขาหนี เขามาหาคุณยายที่บ้านนี่แหละ เขารักคุณยาย คุณยายก็รักเขา ลูกสาวเรียนโรงเรียนอนุบาลที่คุณยายเป็นครูใหญ่”
บุรีพยักหน้าอย่างจำได้ “วันนั้นผมอยู่ด้วย”
“อยู่ วันนั้นแม่เขาคุยกับคุณยาย คุณยายเลยฝากน้องทรายคนนี้แหละ ไว้กับบี”
ภาพเหตุการณ์ในอดีตผุดขึ้นมานความคำนึงของบุรี ขณะนั้นเขามีอายุ 14 ปี ส่วนเด็กหญิงศรุตาอยู่ในวัย 8 ขวบ กำลังต่อจิ๊กซอว์อยู่อย่างตั้งใจ ครู่หนึ่งก็ร้องอย่างดีใจ
“เย้ เห็นไหม? ทรายต่อได้”
เด็กชายบุรีมองเด็กหญิงอย่างขำๆ
“พี่บีอย่าลืมสัญญานะคะ ว่าทรายต่อได้ พี่บีจะให้รางวัล”
“พี่ไม่ลืม แล้วทรายอยากได้อะไรล่ะ”
เด็กหญิงมองรอบๆ ห้อง แล้วมองไปทางชั้นวางหนังสือที่อยู่สูงกว่าศีรษะ แล้วเห็นหนังสือ “A Midsummer Night’s Dream” วางอยู่บนนั้น
“ทรายขอหนังสือเล่มนั้นได้ไหมคะ คุณครูที่โรงเรียนให้ทรายอ่าน ทรายชอบมากเลยค่ะ”
เด็กชายพยักหน้า พร้อมกับเอื้อมไปหยิบหนังสือบนชั้นหนังสือมาให้เด็กหญิง ที่รับมาแล้วรีบเปิดดู เห็นดอกจำปีสดคั่นอยู่ในหนังสือ
“ทำไมดอกจำปีถึงอยู่ในนี้ล่ะคะ”
เด็กชายยิ้ม “พี่ชอบกลิ่นดอกจำปี พี่เห็นคุณยายชอบเอาดอกจำปีใส่หนังสือ แล้วกลิ่นติดหนังสือ พี่เลยลองทำบ้าง”
เด็กหญิงหยิบดอกจำปีมาดม
“หอมจัง แม่ทรายก็ชอบเก็บดอกจำปีข้างบ้านมาไว้ใต้หมอน บางทีก็ผูกที่ผมทราย”
พลางพยายามดึงผมตัวเองมาผูกกับดอกจำปี แต่ไม่ถนัด
“พี่ผูกให้”
เด็กชายรับดอกจำปีจากเด็กหญิง ค่อยๆสัมผัสเส้นผมอย่างเบามือ แล้วหยิบปอยผมของเธอมาผูก ดอกจำปีให้
ศรุตาเปิดประตูเข้าไปในห้องพัก แล้วก็ต้องแปลกใจ เมื่อเห็นผู้เป็นมารดา และบิดาเลี้ยงอยู่ในห้อง “เซอร์ไพรซ์”
ดอนพูดพลางกอดหญิงสาวด้วยความรัก แล้วจูบเบาๆ ที่หน้าผาก
“ทราย คุยกับแม่หน่อย ดอนขอฉันอยู่กับลูกได้มั้ย?”
“งั้นผมจะลงไปดื่มกาแฟข้างล่าง”
คล้อยหลังที่ดอนเดินออกไป 2 คน แม่-ลูก ก็นั่งลงมองหน้ากัน
“ทำไมแม่ต้องมา แม่ไม่ไว้ใจทรายหรือคะ”
ผู้เป็นมารดาส่ายหน้าช้าๆ
“แม่เป็นห่วง ไม่ใช่ไม่ไว้ใจ ทราย มาหาแม่ลูก”
หญิงสาวเข้าไปหามารดา ที่สวมกอดเธออย่างแนบแน่น
“รักแม่มั้ยลูก ถ้ารักแม่ กลับไปกับแม่”
“ทำไมคะแม่?” ศรุตาย้อนถาม
“แม่ไม่ได้จะให้ทรายกลับไปกับแม่วันนี้พรุ่งนี้ ทนายของพ่อโทรมาบอกกับแม่ว่าอาทิตย์หน้าเขาจะเปิดพินัยกรรม ให้แม่มาฟัง”
“แล้วแม่จะไปเหรอคะ?”
ผู้เป็นมารดาส่ายหน้าอีกครั้ง
“แม่ไม่ไป แม่จะให้ทรายไป แล้ววันรุ่งขึ้นทรายต้องกลับอเมริกากับแม่ทันที เชื่อแม่นะทราย แม่ขอร้อง”
“ให้ทรายรีบกลับ ทำไมคะ คิดว่าทรายจะฆ่าพ่อ ฆ่าน้อง ฆ่าแม่เลี้ยง ให้ตายตามคุณย่าไปเหรอคะ
อยู่ๆจะมาบังคับให้ทรายตามใจแม่ ไม่คิดเหรอว่าทรายอยากอยู่ เพราะที่นี่คือแผ่นดินแม่ ทรายอยากรู้จักเมืองไทย อยากรู้จักคนไทย ทรายเป็นคนไทยนะ ไม่ใช่คนอเมริกัน”
หญิงสาวพูดด้วยย้ำเสียงจริงจัง
“ทรายต้องกลับ ชีวิตของทรายอยู่ที่นั่น งานของทรายก็อยู่ที่นั่น”
“ไม่ค่ะแม่ ตอนนี้ชีวิตของทรายอยู่ที่นี่”
“งั้นต่อไปไม่ต้องคิดว่าฉันเป็นแม่”
เมื่อผู้เป็นมารดาเสียงแข็ง ศรุตาก็อ่อนลง
“แม่เป็นแม่ แต่ทรายไม่กลับไป ทรายโตแล้ว บรรลุนิติภาวะแล้ว”
ผู้เป็นมารดาพยามอดกลั้นความรู้สึก น้ำตาของความผิดหวังเอ่อเต็มตา
“วันที่ทรายเล่นทำมงกุฎ อยู่ที่สนามบ้านใหญ่”
ศรุตาพูดพลางย้อนนึกถึงเหตุการณ์วันที่เธอในวัย 8 ขวบ และศรวณีย์ ในวัย 4 ขวบ ทะเลาะกันเรื่องแย่งมงกุฎ ที่เธอบรรจงประดิษฐ์จากกิ่งไม้ใบเขียวแซมด้วยดอกไม้สีสดพันผูกเป็นวงกลม แต่กลับถูกน้องสาวต่างมารดาแย่งไป พร้อมกับบอกว่าเก็บได้ เธอรีบตรงเข้าไปกระชากกลับคืนมา
“นี่แน่ะเก็บได้ ของเขาวางเอาไว้ดีๆ ก็มาแย่งของเขาไป นิสัยเหมือนแม่ตัวเองไม่มีผิด ขี้แย่ง”
“อย่ามาว่าแม่เขานะ ศรเห็นวางอยู่ ศรเก็บได้ก็ต้องเป็นของศร”
พูดพลางแย่งมงกฎกลับคืนมา แต่ก็ถูกกระชากกลับคืนอย่างรวดเร็ว
“ไปนะ ไปเล่นตุ๊กตาปัญญาอ่อนของตัวเอง”
“ศรจะเล่นมงกุฏ ไม่เล่นตุ๊กตา”
เด็กหญิงหงุดหงิด “ไม่เล่นตุ๊กตาใช่ไหม งั้นก็ทิ้งมันไป”
พูดจบก็หยิบตุ๊กตาหมีสีชมพูปาลงคลอง แล้วก็กลับมายื้อยุดมงกุฏกันอีก เด็กหญิงศรุตาเหวี่ยงตัวน้องสาวต่างมารดา จนเสียหลักเซตกน้ำ จังหวะเดียวกับที่สุดใจเข้ามาเห็น พอดี
“คุณลูกศร คุณทรายผลักน้องทำไมคะ คุณทรายจะฆ่าน้องเหรอคะ”
ขณะที่น้องสาวต่างมารดาพยายามตะเกียกตะกายด้วยความตกใจกลัว คนงานวิ่งประดังประเดมาที่สระน้ำ สุดใจโดดตูมลงไปช่วยอุ้มเด็กหญิง ที่หมดสติจนคออ่อนคอพับขึ้นมาได้
“คุณลูกศร ตายแล้ว ผลักน้องทำไม คุณทรายจะฆ่าคุณลูกศรเหรอ”
เด็กหญิงศรุตาจ้องมองสุดใจเขม็ง
ศก เสาวนีย์ รีบวิ่งออกมาจากตึก พร้อมกับคุณหญิงศิริ และคนใช้ที่ถือผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ตามมา
ศกอ้าแขนรับลูกสาวคนเล็กจากสุดใจ พร้อมๆกับที่เสาวนีย์เอาผ้าห่มให้มิดชิด
“ใครทำศรตกน้ำ”
ศกตะคอกถาม เสาวนีย์มองกราดไปทั่ว คุณหญิงศิริเพ่งมองเด็กหญิงศรุตา ที่มองตอบไม่ลดละ
“คุณทรายผลักค่ะ แย่งของกัน”
สิ้นประโยคของสุดใจ ทุกคนก็หันมาเด็กหญิงเป็นตาเดียว เสาวนีย์โกรธจนมือไม้สั่น ถึงขนาดประกาศลั่นว่าจะไม่ยอมความอีกแล้ว
เด็กหญิงถูกผู้เป็นบิดาจับแขนสองข้างบีบจนเจ็บ
“ผลักน้องทำไม ยังไม่ตอบ บอกฉันมาผลักน้องทำไม ศรทำอะไรให้”
เด็กหญิงนึกถึงภาพตัวเองเอาไหล่กระแทกน้องสาวต่างมารดาแว่บหนึ่ง แล้วรีบปฏิเสธ
“ไม่ได้ผลัก”
“สุดใจเห็นว่าเธอผลัก สุดใจเขาไม่มีเหตุผลที่จะโกหก” เสาวณีย์จ้องหน้าอย่างคาดคั้น
“แต่เขาก็โกหกแล้ว เพราะทรายไม่ได้ผลัก”
เสาวนีย์อ้าแขนรับลูกสาวจากศก
“ไม่อยากคิดเลย ลูกศร ลูกแม่ ไม่ต้องร้องไห้นะลูก ทีหลังไม่ต้องไปเล่นกับคนใจร้าย สุดใจดูน้องยังไงไปเก็บของเลยนะ ไม่ต้องอยู่อีกต่อไป ฉันไล่แกออก ฉันให้มาดูแลลูกฉัน ดูยังไงให้คนใจโหดเหี้ยมจะฆ่าลูกฉัน” พูดพลางอุ้มลูกจะเดินไป แต่แล้วก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“เธอด้วย ศรุตาต่อไปนี้ห้ามเข้ามาใกล้ลูกฉัน ฉันจะบอกศรไม่ให้คิดว่าเธอเป็นพี่“
คล้อยหลังที่เสาวนีย์เดินออกไป ศกก็หันมาเปรยกับมารดา
“ผมไม่เคยเห็นคุณเสาว์โกรธมากขนาดนี้”
“ใช่ เขาไม่เคยทำอะไรแบบนี้ เขาเป็นผู้ดีทั้งกายทั้งใจ ไม่เหมือน...ได้ยินแล้วใช่ไหมแก ไม่ต้องเหยียบขึ้นไปบนตึกอีก ถ้าเห็น ฉันจะตีให้สำคัญเลย”
“ไม่ได้ผลัก ไม่ได้ผลัก ไม่ได้ผลัก”
เด็กหญิงศรุตาพุดย้ำคำเดิมซ้ำๆ
“หยุด” ผู้เป็นบิดาตะคอก พลางเงื้อมือจะตี
“อย่านะ”
ทุกคนหันไป เห็นดวงตาเดินมา ด้วยสีหน้าโกรธจัด
“อย่าตีทราย”
พลางรีบปราดเข้าดึงตัวลูกสาวมากอด
“อย่าทำอะไรลูกฉันเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นจะได้เห็นดีกัน”
“ดวงตา กำเริบใหญ่แล้วนะเธอ”
คุณหญิงศิริเสียงแข็ง แต่ดวงตาหมดแล้ววซึ่งความอดทน
“หนูควรจะเป็นอย่างนั้นมาตั้งนานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งเป็นวันนี้”
พูดจบก็ยกมือไหว้
“หนูขอประทานโทษนายแม่ด้วยค่ะ หนูไม่ได้จองหองแค่ขอความเป็นธรรมให้กับทราย ทรายก็เป็นลูก เป็นหลานคุณย่า”
“เธอจะให้ทำยังไงลูกเธอจะฆ่าลูกคุณเสาว์เขา”
ดวงตานิ่งไม่ตอบโต้ พลางจูงมือลูกสาว แล้วหันหลังกลับเดินไปด้วยฝีเท้ามั่นคง
“เธอต้องจัดการอย่าให้มันกำเริบอีก”
เด็กหญิงศรุตามองกลับมา ได้ยินถ้อยคำที่ผู้เป็นย่าบอกกับพ่ออย่างชัดเจน
“มันคิดจะเอาลูกของมันมาเทียบเคียงกับลูกของเสาวนีย์ มันไม่รู้หรอกว่าไม่มีวันเป็นไปได้”
“คุณทรายนะคุณทราย ไม่น่าก่อเรื่องเลย เจ้าโมโหโทโส ดุเดือดเหลือเกิน”
ป้าทิศพูดพลางส่ายหน้า แต่ดวงตากลับเถียงแทน
“พี่อุทิศอย่าว่าทราย ถ้าทรายไม่ถูกกดดันจนกลายเป็นลูกคนใช้แบบนี้ ทรายคงไม่ทำหรอก”
“โธ่เอ๊ย ลูกพ่อเหมือนกัน คิดทำไมว่าเขากดดัน”
ดวงตาขบกรามแน่นด้วยความเจ็บใจ
“พี่ไม่ได้ยินอย่าพูดเลย หนูจะไม่ถามทรายซักคำเลยนะว่าผลักลูกเขาลงน้ำจริงรึเปล่า ถ้าจริงหนูไม่ว่าลูกหรอก ตั้งแต่เด็กนั่นเกิดมาทรายก็ถูกกดทั้งๆ ที่ทรายก็มีสิทธิ์เท่ากัน ถ้าดวงเป็นทราย ดวงก็จะผลักมันอย่างนั้นเหมือนกัน”
เด็กหญิงได้ยินทุกถ้อยคำของผู้เป็นมารดา
ความรู้สึกวันนั้นผุดพรายขึ้นมาในใจของศรุตา
“ทำไมทรายถึงจำได้ทุกคำของทุกคน”
ผู้เป็นมารดาหน้าเศร้า “แม่ผิดเอง เพราะแม่... “
แต่ยังพูดไม่ทันจบประโยค หญิงสาวก็พูดแทรกขึ้นมา
“จนวันที่ทรายได้ยินคุณย่าพูดว่าให้พ่อร้อยแม่ไว้ใช้ วันที่แม่ตัดสินใจพาทรายออกมาจากบ้านนั้น แม่บอกทรายว่า...“
ดวงตาย้อนนึกถึงคำพูดของตัวเองที่พูดคต่อหน้าลูกสาวในวันนั้น
“แม่จะทำทุกอย่างจะส่งเสริมทรายจนถึงที่สุด ให้ทรายเก่ง ให้โดดเด่น ให้สำเร็จในทุกทาง ชดเชยให้สมกับที่แม่โง่เขลา แม่เห็นแก่ตัว เห็นกับความสุขของตัวเอง หวังลมๆ แล้งๆ ทำให้ทรายต้องเป็นรองเด็กผู้หญิงอ่อนแอไม่เข้าท่าคนนั้นอยู่หลายปี”
ศรุตายิ้มเยาะกับตัวเอง
“ทรายจำได้ทุกคำที่แม่พูด ทำไมทรายถึงจำได้ขนาดนั้นไม่รู้”
“โธ่ ทราย ทรายอยู่อเมริกา ทรายเป็นที่หนึ่ง ทรายโดดเด่นกว่าที่แม่คิดไว้ซะอีก แล้วทรายอยากเป็นที่หนึ่งที่นี่ทำไม”
“เพราะเราอยากให้คนที่เคยเหยียบย่ำเราเห็นไม่ใช่หรอคะแม่ ถึงตายไปคนหนึ่งแล้ว ยังเหลืออีกหลายคนนะแม่”
ผู้เป็นมารดาน้ำตาคลอ แล้วพูดอย่างยอมแพ้
“แค่ให้เขาเห็นเท่านั้นนะลูก อย่ามากไปกว่านั้น”
ศักดาที่แม้จะมีอายุน้อยหน้า แต่ด้วยความเป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ ทำให้มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน จนได้เป็นหัวหน้าของศก เดินออกจากห้องประชุม โดยมีเจ้าหน้าที่คนอื่นๆเดินตามออกมา พลางพูดจาประจบสอพลอ
ศกเดินถือแฟ้มงานออกจากห้องมองศักดาอย่างไม่พอใจ ดำรงที่เดินตามา รีบหันมาบอกเชิงไม่ค่อยปลื้มกับความคิดของศักดา
“ผมไม่คิดเลยว่าทุกคนจะเห็นดีไปกับโครงการที่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนั่นเสนอ ทั้งๆที่โครงการของคุณดีกว่าตั้งเยอะ”
“ถ้าโครงการของผมดีจริง ทำไมตอนโหวตเลือก คุณถึงยกมือเลือกโครงการนั้นล่ะ”
ดำรงหน้าเสีย แล้วรีบหาเรื่องเลี่ยงออกไป
“เอ้อ ผมนึกได้ว่าต้องไปเซ็นต์เอกสาร ผมขอตัวก่อนนะ”
คล้อยหลังที่ดำรงเดินห่างออกไป ศกก็รำพึงกับตัวเอง
“พวกสอพลอ คอยดูวันหนึ่งพวกแกต้องก้มหัวให้ฉันอีกครั้ง”
หวาน เจ้าหน้าที่อีกคนเดินเข้ามาหาศก
“พี่ศกคะ”
ศกมองหวานด้วยสายตาไม่พอใจ
“ผมบอกคุณแล้วใช่ไหมว่าผมเป็นหัวหน้าคุณ ไม่ใช่เพื่อน”
“ขอโทษค่ะ คุณศก มีผู้หญิงมารอพบคุณอยู่หน้ากองค่ะ”
“ผู้หญิง ?”
ใครกัน ? ศกสงสัย
อ่านต่อหน้า 4
ทรายสีเพลิง ตอนที่ 1 (ต่อ)
ศกเดินลงบันไดตึกมา ศรุตาที่ยืนพิงรถหรูของตัวเองอยู่เหลือบมองมานิดหนึ่ง พลางขยับตัวยืน เหมือนจะทัก ศกมองแล้วยิ้มนิดๆ หญิงสาวอดนึกดีใจไม่ได้ที่ผู้เป็นบิดายังจำตัวเองได้ แต่แล้วศกกลับเดินผ่านเธอไปเหมือนไม่รู้จัก
รอยยิ้มของหญิงสาวชะงักลงทันที พร้อมกับปรายตามองตามบิดาไปด้วยสายตาเจ็บปวด
ศกหันมามองอีกครั้ง ด้วยสีหน้าสงสัย ส่วนเธอก็ลุ้นว่าบิดาจะจำได้มั้ย
“เอ่อ ขอโทษนะครับ คุณมาหาผมรึเปล่าครับ”
“ค่ะ”
ศกมองศรุตาอย่างคนแปลกหน้า
“คุณมีอะไรกับผมเหรอครับ ? ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าเรารู้จักกันรึเปล่า ? คือผมจำคุณ ไม่ได้ น่ะครับ”
คำพูดของผู้เป็นบิดา ยิ่งย้ำความเจ็บปวดให้หญิงสาว ที่พยายามข่มใจตัวเองให้เข้มแข็ง แล้วปั้นหน้า ยิ้มให้ อย่างปราศจากความเจ็บปวดที่กำลังถาโถมในหัวใจ
“สวัสดีค่ะคุณพ่อ ทรายเองค่ะ”
ศกมองดูความเปลี่ยนแปลงของลูกสาวคนโตอย่างอึ้งๆ ทั้งท่วงท่าที่สง่างาม และรถหรูที่จอดอยู่ข้างกาย
“ไม่เจอกันนานเลยนะลูก มา ขอพ่อกอดหน่อย ทรายดูเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ”
พูดพลางเดินเข้าไปกอดหญิงสาว ที่จะยกมือขึ้นกอดตอบ แต่แล้วก็กลับเปลี่ยนใจ ลดมือลง
“แต่คุณพ่อยังเหมือนเดิมเลยนะคะ”
หญิงสาวอยากจะพูดบางอย่างต่อ แต่ชะงักปากไว้ ได้เพียงแอบคิดในใจ
“แสดงความรัก เมื่อเห็นประโยชน์ของตัวเอง”
ศรุตาพาศกเข้ามานั่งทานอาหารในร้านอาหารหรู พลางปรายยตามองผู้เป็นบิดา ที่มองอาหารตรงหน้าอย่างตื่นตา แล้วแอบยิ้มเยาะในใจ
“ทรายไม่แน่ใจว่าพ่อจะเบื่ออาหารพวกนี้รึยัง ทรายจำได้ว่าเมื่อก่อนพ่อจะพาคุณย่ากับคุณอาเสาว์ และลูกศรมาทานร้านนี้ประจำ”
หญิงสาวจงใจพูดเหน็บ ทำเอาศกถึงกับหน้าเจื่อน แล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง “ท่าทางแม่เขาจะเลี้ยงทรายได้ดี”
“ค่ะ ดีมาก หลังจากออกจากบ้านคุณย่า แม่ไปทำงานที่คลีนิคของเพื่อนที่เชียงใหม่ แล้วแม่ก็ เจอแดดดี้ที่นั่น”
“ แดดดี้ ?” ผู้เป็นบิดาทวนคำ
“ดอน ดาลตัน คุณพ่อเคยได้ยินชื่อไหมคะ”
“เจ้าของบริษัทซอฟแวร์”
ศรุตายิ้มใสซื่อ แต่แววตาเยาะหยัน ”ใช่ค่ะ”
พอรู้ว่าสามีใหม่ของดวงตา อยู่ในสถานะที่ “เหนือ” ว่าตน ศกก็ถึงกับกินข้าวไม่ลง หญิงสาวเห็น อาการแล้วรู้สึกสะใจเล็กๆ แล้วพูดต่อด้วยหน้าตาเศร้านิดๆ
“ยังไงทรายต้องขอโทษนะคะที่ไปงานเผาคุณย่าไม่ทัน พอดีทรายลางานไม่ได้จริงๆ”
“ไม่เป็นไรหรอกลูก ทรายไปกราบกระดูกคุณย่าที่บ้านสิ อาทิตย์หน้าพ่อจะเอากระดูกคุณย่า ไปลอยอังคาร คุณย่าคงดีใจที่รู้ว่าทรายกลับมา”
ศรุตาแกล้งตีหน้าเศร้า
“ทรายก็ดีใจค่ะที่จะได้กราบคุณย่าเป็นครั้งสุดท้าย แต่ทรายกลัวว่าคุณอาเสาว์จะลำบากใจ”
“โถ ทราย คุณอาขาไม่ลำบากใจหรอกลูก เขาจะดีใจมากกว่าที่รู้ว่าลูกมา”
ผู้เป็นบิดาพยายามพุดให้แง่ดี
“ลูกศรเป็นยังบ้างคะ ทรายไม่เจอน้องตั้งสิบกว่าปี เรียนจบรึยังคะ ?”
หญิงถามถามถึงน้องสาวต่างมารดา
“เรียนปีสุดท้ายแล้วลูก ไม่รู้จะจบรึเปล่า ลูกศรขี้ลืม อ่านหนังสือหนักไปยังไง ก็ไม่ค่อยจำ ลูกศรสมองไม่ดี ไม่เหมือนทราย ทรายเก่ง”
ศรุตาแอบสะใจ แต่ตีหน้าใสซื่อไว้
“คุณอาเสาว์เขาวางแผนให้ลูกศรหมั้นกับลูกชายเพื่อนเขาแล้ว ลูกศรเรียนจบก็ให้แต่งงานเลย”
“นี่น้องจะแต่งงานแล้วเหรอคะ ? เสียดายจัง น่าจะใช้ชีวิตอีกสักนิด”
ศกถอนใจ ด้วยไม่ค่อยชอบใจกับความคิดของเสาวณ๊ย์เช่นกัน
“พ่อก็คิดอย่างทรายนั่นแหละลูก แต่คุณอาเสาว์เขาว่าพัชระคู่หมั้นของลูกศรเป็นผู้ชายที่หายาก เป็นถึงลูกนายพล แม่เป็นเจ้าของร้านเพชร เขาเลยอยากให้ลูกศรรีบแต่ง กลัวจะมีใครแย่งว่าที่ลูกเขยสุด ที่รัก”
ศรุตานิ่งคิดเรื่องพัชระ
เมื่อศกกลับมาถึงบ้าน ก็โดนเสาวณีย์ต่อว่าเรื่องผิดนัดที่จะพาไปทานข้าว ทำให้เธอและลูกสาวแต่งตัวรอเก้อ ส่วนการกลับมาของศรุตานั้น เสาวนีย์แสร้งพูดกับสามีอย่างคนที่เตรียมใจไว้แล้วว่า คุณย่าเสียทั้งคน ยังไงก็ต้องกลับมา
แต่พออยู่กันตามลำพังกับคุณหญิงเพกาผู้เป็นมารดา เสาวณีย์กลับพูดถึงเรื่องนี้อย่างขัดใจ
“เสาว์อุตส่าห์โล่งอก เห็นว่าสองแม่ลูกนั่นไม่โผล่มาวันงานเผา แต่ที่ไหนได้”
“อ้าว ก็ไหนเสาว์บอกแม่ว่าโทรบอกทนายไม่ให้บอกข่าวสองแม่ลูก นั่นแล้วไง”
เสาวณีย์ชักสีหน้า
“ก็ใช่น่ะสิคะ ไม่รู้ผิดพลาดกันยังไง ผู้ช่วยทนายดันส่งจดหมายให้ดวงตาไปก่อนแล้ว”
“เอาเถอะ รู้แล้วก็ช่าง ยังไงเสาว์ก็ขายที่ดินริมคลองไปแล้วนี่ ถึงคุณหญิงศิริยกบ้านริมน้ำให้ มันก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี”
“แต่เสาว์ไม่อยากเห็นสองแม่ลูกนั่นอีก มันเป็นมารชีวิตเสาว์ เสาว์ไม่อยากให้มันกลับมา”
เสาวณีย์พุดกับผู้เป็นมารดาอย่างไม่ประหยัดอารมณ์
รถของศรุตาแล่นมาจอดอยู่ริมรั้วบ้านใหญ่ หญิงสาวลดกระจกรถลงแล้วมองเข้าไปภายในรั้ว อดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงคราเป็นเด็กที่เคยเอ่ยปากถามมารดาประสาซื่อว่าทำไมตัวเองไม่ได้อยู่บนตึกใหญ่
“ก็เพราะสองแม่ลูกนั่นแย่งไปไงลูก แย่งทั้งบ้าน แย่งทั้งความรักของพ่อไปจากแม่ แย่งทั้งพ่อไปจากทราย มันจงใจแย่งทุกอย่างที่เป็นของเราไปจากเรา”
หญิงสาวจำได้ว่ามารดาตอบกลับมาแบบนั้น
“ถึงเวลาที่คุณจะได้รู้ว่าคนที่โดนแย่งทุกอย่างไป มันเป็นยังไง”
ศรุตามองเข้าไปในบ้านด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความแค้น
ศกเดินไปมารอคอยการมาเยือนของลูกสาวคนโต เสาวนีย์เหลือบตามองด้วยความหมั่นไส้ แล้วก็เดินหนีไป
ศกพาศรุตาเข้ามาในบ้าน แต้วและจงมองเธออย่างตะลึงในความงาม หญิงสาวเปรยกับบิดาว่า
“ทรายอยากกราบคุณอาเสาว์”
“เขารู้แล้ว เดี๋ยวก็ลงมา”
ทางด้านเสาวณีย์ ที่กำลังเดินลงมาพร้อมกับลูกสาว ทันได้ยินศกเอ่ยปากชวนศรุตาให้มาพักอยู่ที่บ้านก็ถึงกับสะดุดกึก พยายามข่มอารมณ์สุดขีด
ศรวณีย์ ที่เดินเข้ามากับผู้เป็นมารดา เป็นหญิงสาวที่บอบบางเหมือนดอกไม้กลีบบาง สายตาใสซื่อคู่สวยนั้น จับจ้องมองพี่สาวต่างมารดาอย่างชื่นชม
ศรุตาเพ่งมองหน้าน้องสาวต่างมารดา พร้อมกับภาพในอดีต และคำพูดที่เชือดเฉือนของทั้งบิดา มารดาเลี้ยง รวมถึงคุณย่า ที่ย้อนกลับมาก้องในหู มือของเธอกระตุกเล็กน้อย ในขณะที่ส่งยิ้มหวานให้
ศรวณีย์ยกมือไหว้ ศรุตาอ้าแขนกอดน้องสางต่างมารดาไว้ในอ้อมแขน
“ลูกศร น้องสาวพี่สวยงามจริงๆ”
“พี่ทรายก็สวย” สรวณีย์มีทีท่าเขินอายเล็กน้อย ต่างจากท่าทีมาดมั่นของพี่สาวต่างมารดา
“จำพี่ได้มั้ย ถ้าพบกันที่อื่น”
“จำไม่ได้เลยค่ะ”
“พี่อยู่บ้านนี้จนโตนะ ศรจำไม่ได้เลยหรือน้อง” ศรุตาตั้งใจหลอกถาม หมายจะหยั่งเชิงว่าน้องสาวต่างมารดา จำอะไรเกี่ยวกับตัวเธอได้บ้าง
“จำไม่ได้เลยค่ะพี่ทราย ศรพยายามนึกแต่หายไปหมดเลยค่ะ”
“โถ” พูดพลางดึงสรวรณีย์มากอดอีกที จากนั้นก็ปรายตามามองเสาวณีย์
“คุณอา”
ศรุตาก้าวยาวๆ เข้าไปหาเสาวนีย์ พร้อมกับโน้มตัวลงไหว้อย่างนุ่มนวล เสาวนีย์รับไหว้ ด้วยท่าทีเฉยชา กระทั่งเมื่อลูกเลี้ยงกางแขนโอบร่างไว้เต็มอ้อมแขน แต่ผู้เป็นมารดาเลี้ยงอย่างหล่อนก็ใจร้ายพอที่จะไม่ขยับแขนโอบตอบ
“คุณอาแทบไม่เปลี่ยนเลยค่ะ ทรายดีใจจริงๆ ที่ได้มากราบคุณอา คิดถึงอยู่เสมอค่ะ คุณอาจำทรายได้มั้ยคะ”
“ถ้าเจอกันที่อื่นคงจำไม่ได้”
หญิงสาวหัวเราะเบาๆ “แต่ทรายจำคุณอาได้ไม่ว่าเจอที่ไหน”
ศกเข้ามาโอบไหล่ลูกสาวคนโตด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ จนเสาวนีย์ต้องเบือนหน้าหันไปทางอื่น ก่อนจะรีบเดินผละออกไป ด้วยรับไม่ได้กับท่าทีของศกที่พยายามจะยกศรุตาให้เท่าเทียมกับลูกสาวของเธอ
จากนั้นศรุตาก็นำเครื่องสำอางยี่ห้อดังมาให้น้องสาวต่างมารดาเป็นของฝาก ส่วนของเสาณีย์นั้นเป็นกระเป๋าถือ ที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าราคาแพงระยับ ขณะที่ของผู้เป็นบิดานั้น ศรุตาเลือกของฝากเป็นนาฬิกาข้อมือ พลางบอกอย่างตั้งใจอวดว่า
“สองปีที่แล้ว ทรายเริ่มทำงาน เงินเดือนเดือนแรกค่ะ ทรายเก็บไว้ 2 ปี ซื้อนาฬิกาเรือนนี้ให้พ่อค่ะ”
ศกเปิดกล่องดู ก็เห็นเป็นนาฬิกายี่ห้อหรู
“ทรายได้เงินเดือนซื้อนาฬิกานี้ได้เลยหรือลูก มันแพงนะลูก”
“ค่ะ เหลืออีกนิดหน่อยค่ะ ไม่หมด ชอบมั้ยคะพ่อ”
“ชอบสิลูก”
“ลูกศรชอบมั้ย” หญิงสาวหันไปถามน้องสาวต่างมารดา
“ชอบค่ะ ชอบมากที่สุด ขอบคุณพี่ทราย”
ศรุตาโอบกอดสรวณีย์ไว้ในอ้อมแขน พร้อมๆกับที่สายตาสบกับเสาวนีย์โดยไม่เจตนา หญิงสาวหัวเราะบริสุทธิ์สดใส ทว่าในสายตานั้น หยั่งรู้ถึงหัวใจของคนตรงหน้าได้เป็นอย่างดี
กระเป๋าที่ศรุตาซื้อให้ถูกโยนลงมาบนพื้นตรงเท้าของศรวณีย์พอดิบพอดี
“คิดเหรอว่าฉันไม่รู้ว่าเธอเยาะเย้ยฉันอยู่”
เสาวณีย์นึกถึงสายตาของลูกเลี้ยงที่มองหล่อน แล้วยิ่งโกรธ เมื่อเห็นบุตรีกำลังจะก้มลงเก็บ กระเป๋าบนพื้น จึงรีบสั่งห้าม
“แม่ไม่อยากได้ ทำมาอวดมั่นอวดรวย แม่ไม่ใช่พ่อเรา ไม่หลงปลื้มกับของพวกนี้ด้วยหรอก”
สรวณีย์เงยหน้ามองมารดาอย่างตกใจ
อีกด้านหนึ่ง ศรุตาก็เดินคุยอยู่กับผู้เป็นบิดามาที่หน้าบ้าน
“คุณพ่อแน่ใจนะคะว่าคุณอาไม่โกรธที่ทรายมา”
“เขาจะโกรธทำไมล่ะลูก เขาบ่นถึงทรายตลอด ทรายมาแบบนี้ มีแต่จะดีใจ พ่อเองก็ดีใจ พ่อเคยคิดว่าทรายไปจากที่นี่ตั้งแต่เด็ก คงจะจำอะไรไม่ได้”
“ใครว่าล่ะคะ ทรายกลับจำได้ทุกอย่าง อย่างที่เขาบอกว่าหัวใจเด็กๆเหมือนผ้าขาว ถ้ามีรอยขีดเขียน อะไรแล้ว มันก็ยากที่จะลบออก”
ศรุตาพูดนิ่งๆ แต่ก็ทำเอาผู้เป็นบิดาถึงกับยิ้มเก้อ พลางพยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่าเจ้าของคำพูดไม่มีความหมายอื่นใดแฝงอยู่
“ยังไงพ่อก็ขอบใจสำหรับของฝากนะลูก”
“ไม่เป็นไรค่ะพ่อ มันเป็นความตั้งใจของทรายอยู่แล้วว่ากลับมาครั้งนี้ ทรายต้องมีอะไรตอบแทนให้กับทุกคน”
ศรุตาเดินเข้าประตูโรงแรม บังเอิญมีฝรั่งหนุ่มคนหนึ่ง เดินสวนออกมา ต่างคนต่างหลบกันแล้ว แต่แขนก็ยังกระทบกัน
“Oh sorry”
“It’s OK”.
ฝรั่งหนุ่มมองศรุตาอย่างเคลิบเคลิ้ม
“I’m Alan”
พลางยื้นมือให้ หญิงสาวกำลังจะยื่นมือจับตอบ แต่ก็ช้ากว่าฌาน ที่ปราดเข้ามาดึงมือเธอออก
“ฌาน เสียมารยาท”
ฌานเดินจูงมือศรุตาเดินเข้าลิฟต์ไป
ประตูลิฟท์เปิดออก ศรุตาก้าวยาวๆ ออกมา ฌานตามมาติดๆ
“คุณไม่ใช่เจ้าของฉันนะฌาน”
แววตาของฌานเจ็บปวด
“มีประโยชน์อะไร สนุกตรงไหน มีเรื่องอะไรน่าสนใจที่จะคุยกับมัน คุณจะทำไปเพื่ออะไรทรายเพื่อทำร้ายผมเท่านั้นหรอ?”
หญิงสาวนิ่งไม่ตอบ พลางดึงมือฌานให้เดินมาด้วยกัน
เมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องพักสุดหรูของศรุตา หญิงสาวก็โอบแขนไปรอบคอ พร้อมกับซุกหน้าลงไปที่ซอกคอของฌาน
“อย่าโกรธนะ ขอโทษ ฌาน .darling I’m sorry so sorry”
ฌานไม่ตอบ แต่พยายามจะปลดมือออก แต่ศรุตาขืนไว้
“ทราย .stop”
ฌานตะคอกเสียงดัง จนหญิงสาวตกใจ รีบปล่อยมือ จากนั้นก็เปลี่ยนท่าทีเป็นพูดจาออดอ้อน
“ฌาน คนดีของทราย หิวใช่มั้ย ทานไรดี เดี๋ยวทรายสั่งขึ้นมาให้”
ฌานนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วก็ยิ้มออก พร้อมกับหันมาเร่ง
“เร็ว หิวจนจะกินคนอยู่แล้ว”
สลัดกุ้งที่จัดแต่งอย่างสวยงาม วางอยู่บนโต๊ะอาหาร แต่เจ้าของห้องกลับบอกว่า
“เอ้า ทรายไปอาบน้ำก่อนนะ”
“เร็วๆนะ”
หญิงสาวเข้ามากอดด้านหลัง ก้มลงกระซิบเบาๆ ข้างหู “อาบด้วยกันมั้ย?”
พลางเดินทอดน่องเข้าห้องน้ำไป แล้วจงใจไม่ปิดประตูสนิท ณานหันไปมองยิ้มๆ พลางบอกว่าตั้งใจจะมาชวนไปกินที่ร้านของเขา
“ร้านคุณ คุณมีร้านด้วยเหรอ”
“อืม ผมหุ้นกับเพื่อน เปิดวันแรกวันนี้”
“อ้าว คุณก็ไปสิ” ศรุตาพูดอย่างไม่สนใจ
“ไปมั้ย”
“ไม่ ง่วงจะตาย”
ฌานแอบหน้าเสีย
“OK. เออ แต่รู้ไหมว่าคนหนึ่งที่เข้าหุ้นเนี่ย เค้าเป็นคู่หมั้นของน้องสาวคุณ เขาชื่อพัชระ”
หญิงสาวได้ยินชื่อพัชระก็ตาวาวขึ้นมาทันที พัชระ.....คู่หมั้นของสรวณีย์
“เอ๊ะ...น้องสาวฉันจะไปไหม”
“ไม่ไป เขาติดสอบพรุ่งนี้”
หญิงสาวฟังคำตอบแล้วลอบยิ้ม
“ทรายเปลี่ยนใจแล้ว ฉันอยากเห็นร้านของคุณ”
ศรวณีย์เดินนำพัชระออกจากบ้าน พัชระที่เดินตามหลังจงใจเดินอย่างทิ้งระยะห่างออกมา
“พี่พัชคะ”
หญิงสาวตั้งใจจะบอกว่ามาเดินใกล้ๆ ก็ได้ แต่พัชระกลับคิดไปอีกอย่าง
“พี่ยังอยู่ห่างจากศรไม่พอเหรอ ? ห่างพอไหม ? ศรจะได้สบายใจว่าพี่ไม่แตะต้องศร จนกว่าจะ ถึงวันแต่งงานแน่นอน”
ศรวณีย์หน้าเจื่อน “โธ่ พี่พัชคะ”
“พี่ไปล่ะ คราวหน้าถ้าจะให้พี่มาทานข้าวอีก จัดอาหารให้พี่อีกโต๊ะก็ได้นะ ใครๆจะได้เห็นว่าศรอยู่ใน ทำนองคลองธรรม ไม่เคยใกล้ ผู้ชายคนไหนแม้แต่คู่หมั้น”
พัชระพูดประชดแล้วรีบเดินออกไปทันที
พัชระมาถึง ผับ “บี’ส์บั๊ดดี้” เจอติ่งกับจ้อย ที่หน้าห้องน้ำ พอถูกทั้งคู่พูดแหย่เรื่องแฟน ก็ทำหน้า เซ็ง“อย่าพูดเรื่องนี้ได้ไหม เซ็ง”
จากนั้นก็ระบายความอัดอั้นให้เพื่อนฟังว่า ถึงจะมีคู่หมั้นแล้ว แต่ทำอะไรไม่ได้แม้แต่จับมือ
บุรีเดินเข้ามาตาม ได้ยินที่พัชระพูดพอดี
“สุภาพบุรุษ เขาไม่เอาเรื่องผู้หญิงมาพูดลับหลังนะ”
ติ่งที่มีจริตกร้านเกินชายรีบบอก
“ดีนะที่เค้าเป็นสุภาพสตรี เค้าพูดได้”
บุรีมองติ่งนิ่งๆ ไม่ขำด้วย ส่วนจ้อยก็แกล้งยุให้พัชระเลือกคุยกับแขกในร้านที่สวยๆ แทน
“ความคิดผมดีไหมพี่บุรี”
“ไม่ดี” บุรีพูดอย่างจริงจัง “ถ้าแฟนนายคิดหาผู้ชายคุยเพลินๆ เวลาที่แกไม่อยู่กับเขาบ้าง แกยังว่า เป็น ความคิดที่ดีไหมล่ะ”
จากนั้นก็หันมาทางพัชระ
“แทนที่จะมาเช็งที่เขาไม่ยอมให้แตะเนื้อต้องตัว ทำไมไม่คิดบ้างว่า สิ่งที่เขาทำคือการให้เกียรติเรา เขารักษาเนื้อรักษาตัวเพื่อรอร่วมหอลงโรงกับผู้ชายที่เขารัก เขาต้องการเก็บคุณค่าของเขาไว้ให้คนสำคัญ ในวันสำคัญ ของชีวิต แทนจะบอกว่าเขาหลงยุค นายควรจะดีใจและภูมิใจที่มีเพชรอยู่ในมือ”
“ขอบคุณพี่บุรีที่เตือนผม ผมขอออกไปดูร้านก่อนนะครับ”
บุรีมองตามพัชระอย่างเป็นห่วงเงียบๆ
บรรยากาศด้านในร้านตกแต่งแบบคลาสสิค เพราะเจ้าของร้านทุกคนเป็นอาร์ตทิสต์ โต๊ะถูกจับจองเต็มทุกโต๊ะ
จ้อยร้องเพลงอยู่บนเวที ติ่ง ป๊อก ชีวิน พัชระ และบุรีช่วยกันดูแลลูกค้า
คู่หนึ่งฌานก็เปิดประตูเข้ามา บุรีมองเห็นก็รีบทัก
“ฌานมาพอดีเลย มาช่วยฉันเช็คของหน่อย วุ่นวายไปหมดแล้วเนี่ย”
ฌานหันมองซ้ายมองขวาเหมือนกำลังหาใคร บุรีมองอาการอย่างสงสัย
“แกหาใครวะ”
“ก็ว่าที่แม่ของลูกฉันน่ะสิ” ฌานพูดแบบติดตลก “ฉันให้เขาเข้ามารอในร้านก่อน ไม่รู้หายไปไหน”
“ตกลงพี่ฌานหาใครครับ ?” พัชระโผล่หน้าเข้ามาถามบ้าง
“พี่หา...”
พลางมองเห็นศรุตา ที่เดินมาจากทางห้องน้ำ มายืนอยู่ด้านหลังพัชระ
“ทราย”
พัชระหันหลังไปมองตามสายตาของฌาน ศรุตาส่งยิ้มหวานให้กับทุกคน แต่จงใจส่งสายตาให้พัชระเป็นพิเศษ
พัชระมองความงามของศรุตาอย่างชะงักงัน ส่วนบุรีมองอย่างจำได้ว่าเคยเจอหญิงสาวที่วัด
ฌานรีบแนะนำอย่างภูมิใจ
“ผมขออนุญาตแนะนำ เจ้าของหัวใจของผม ทราย ศรุตา พรหมาตร์นารายณ์ ดาลตัน”
บุรีอึ้งกับชื่อที่แสนคุ้นเคย "ศรุตา พรหมาตร์นารายณ์"
“นี่ไงบุรี สาวสวยคนนี้แหละที่ฉันพยายามให้นายได้รู้จัก”
ฌานบอกกับบุรี ก่อนจะหันมาทางศรุตา
“นี่ไงบุรี เพื่อนรักของผม”
ศรุตามองบุรี รู้สึกถึงความคุ้นเคยบางอย่าง แต่จำไม่ได้ ตรงข้ามกับบุรี ที่มองหญิงสาวแล้วหวนคิดถึงภาพอดีตที่ไม่เคยลืม แม้ว่าเหตุการณ์นั้นจะผ่านมาถึง 17 ปีแล้วก็ตามที
เด็กชายบุรีจูงมือเด็กหญิงศรุตาที่มีดอกจำปีผูกผมอยู่ พร้อมกับถือหนังสือ A Midsummer Night's Dream เดินมาก่อน ครูนารีกับดวงตาเดินตามหลัง
“ทราย มาลาคุณยายลูก”
เด็กหญิงกระพุ่มมือไหว้ ครูนารีรับตัวมากอดแนบแน่น เด็กหญิงน้ำตาไหล พลางซุกหน้าซับน้ำตากับเสื้อครูนารี แล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบา
“คุณย่าไม่เคยกอด”
ดวงตาน้ำตาคลอด้วยความสงสาร
“มาหายายอีกนะลูก อายุมั่นขวัญยืน เป็นเด็กดีนะลูก”
เด็กชายจ้องหน้า เด็กหญิงหันมาไหว้
“พี่บีทรายลาค่ะ”
“มาหาพี่บีอีกนะน้องทราย” พูดพร้อมกับแตะมือทียกไหว้เบาๆ
“มาได้เหรอคะ” เด็กหญิงศรุตาสะอื้นไห้ น้ำตาไหลอาบแก้ม
“มาได้เสมอ พี่บีอยู่ตรงนี้คอยน้องทราย”
เด็กชายเช็ดน้ำตาให้เบาๆ
“พี่บีสัญญานะคะว่าพี่บีจะไม่ลืมทราย”
“จ้ะ พี่สัญญาว่าพี่จะไม่ลืมน้องทราย ศรุตา พรหมาตร์นารายณ์”
“งั้นทรายก็สัญญาว่าทรายจะไม่ลืมพี่บีค่ะ”
ทั้งคู่มองหน้ากัน ประหนึ่งให้สัญญาต่อกันไว้
บุรีหลบออกมาอยู่นอกร้าน เพราะกลัวคนอื่นจะดูอาการออกว่าเขาทั้งดีใจ ทั้งแปลกใจ ที่ศรุตากลับมาแล้วจริงๆ
เมื่อหญิงสาวหันมามอง บุรีก็แอบลุ้นอยู่ในใจว่า
….“น้องทราย” จะจำ “พี่บี” คนนี้ได้ไหม?....
แต่คำตอบ....คือศรุตาหันไปคุยกับฌานต่อ โดยไม่มีวี่แววว่าจะเขาได้
“ผ่านไปเป็นสิบปี น้องทรายคงจำพี่บีไม่ได้แล้วสินะ”
บุรีอดเสียใจวูบขึ้นมาไม่ได้
ศรุตาที่นั่งคุยรวมกลุ่มกับพัชระ แกล้งทำเป็นตกใจ ที่รู้ว่าเขาเป็นคู่หมั้นของศรวณีย์
“นี่คุณเป็นคู่หมั้นของน้องสาวฉันเหรอคะ ?”
พัชระกลับตกใจยิ่งกว่า “น้องสาว ?”
ทางด้านศรวณีย์พยายามโทร.หาพัชระ แต่ไม่มีคนรับสาย พลางหันมาพูดอ้อนมารดาที่นั่งอยู่ข้างๆ
“คุณแม่คะ ศรขอไปช่วยพี่พัชได้ไหมคะ”
“ดึกป่านนี้แล้วจะไปทำไม”
หญิงสาวหน้าจ๋อย ในใจกังวลว่าที่พัชระไม่รับโทรศัพท์เพราะยังโกรธอยู่รึเปล่า
“ศรมีอะไรรึเปล่าลูก ?”
ศรวณีรีบปฏิเสธ “ไม่มีอะไรค่ะ”
เสาวณีย์มองสีหน้ากังวลของลูกสาว แล้วตีความว่ากังวลเพราะหวงพัชระ
“กลัวพี่เขาจะไปนอกลู่นอกทางรึไงลูก ? เลิกคิดไปได้เลย แม่ไม่มีทางเลือกผู้ชายมักง่ายอย่างนั้น มาเป็นคู่ของลูกแน่นอน เชื่อแม่นะ พัชไม่มีทางสนใจผู้หญิงคนไหนหรอก”
เสาวณีย์พูดพลางกอดปลอบใจลูกสาว
พัชระดูแลลูกค้าอยู่ที่เคาน์เตอร์ข้างๆ กับบุรีที่ยืนดูแลเครื่องดื่มอยู่ พลางแอบหันไปมองศรุตาที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ โดยมีฌานนั่งข้างขวา กี้นั่งข้างซ้าย ติ่ง ป๊อก ชีวินนั่งถัดไป
ศรุตาหันมาสบตากับพัชระอย่างจงใจ !!
เมื่อเห็นฌานหันมามอง หญิงสาวก็รีบเปลี่ยนอาการเป็นตีแขนแก้เก้อ
“ไม่ต้องพูดเลย เพราะคุณนั่นแหละฌาน ไม่ยอมแนะนำทุกคนให้ฉันรู้จัก ฉันเลยไม่รู้เลยว่า ว่าที่น้องเขยฉันอยู่ตรงนี้”
ฌานมองศรุตาอย่างเอ็นดู
“งั้นขอแนะนำอย่างเป็นทางการเลยนะ หุ้นส่วนของร้านนี้ ทั้งหมดมี กี้ จ้อย ติ่ง ป๊อก ผม ชีวิน บุรี”
หญิงสาวมีโอกาสสบตากับบุรีจังๆ อีกครั้ง แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะจำ “พี่บี” ได้ บุรีจึงหลบตาลง
“แล้วก็พัชระ ว่าที่น้องเขยคุณ”
พัชระไม่กล้าสบตา หญิงสาวมองอาการ “ไก่อ่อน” ของพัชระแล้วแอบยิ้มในสายตา
จากนั้นก็จงใจให้ฌานไปเอาเครื่องดื่ม เพื่อเปิดโอกาสให้พัชระมานั่งข้างๆ แทน
“อยู่ใกล้ฉันได้นะคะ ฉันไม่มีพิษหรอก”
พัชระชะงัก ด้วยคิดไม่ถึงว่าศรุตาจะหันมาชวน แต่พยายามทำตัวปกติ แล้วเดินไปนั่งตรงที่ของฌาน ที่เดินถือเครื่องดื่มมาพอดี
“ขอโทษนะคะฌาน ทรายให้พัชระมาแทนที่ฌานเองค่ะ”
พูดพร้อมกับส่งสายตาเหมือนมีนัยในคำพูดให้พัชระ
“หรือถ้าพัชระไม่กล้าอยู่ใกล้ทราย ก็คืนที่ตรงนี้ ให้ฌานก็ได้นะคะ”
พัชระมองอย่างรู้สึกว่าคำพูดและสายตาของหญิงสาวมีความหมาย
บุรีมองทั้งคู่อย่างจับสังเกต รู้สึกว่าอาการของพัชระดูแปลกไป
อ่านต่อตอนที่ 2