xs
xsm
sm
md
lg

ถึงเวลาขยับ ปรับตัวเป็นผู้จัด (1)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 
ถึงเวลาขยับ ปรับตัวเป็นผู้จัด (1)

 
นักแสดงเกิดขึ้นมากมาย ทีวีก็ปรับตัวเปลี่ยนเป็นระบบดิจิตอล เพิ่มช่องขึ้นนับไม่ถ้วน เป็นธรรมดาที่ย่อมต้องมีการเปลี่ยนแปลง ไม่แปลกที่นักแสดงจะกระเถิบขึ้นมาเป็นผู้จัดบ้าง พวกเขาคิดกันอย่างไร ในการปรับตัวเองมารับบทบาทใหม่ในชีวิตที่ไม่ได้แสดงเสแสร้ง แต่ต้องทำจริงๆ เริ่มที่รุ่นใหญ่ก่อน
 
 
 
“เมย์ เฟื่องอารมณ์” ผู้จัดละคร เรื่อง "ชิงรักหักสวาท" บริษัท ดีคืนดีวัน 
 
 
สถานภาพตอนนี้
 
"เป็นนักแสดงและเป็นผู้จัดด้วยค่ะ แต่เรื่องแสดงต้องหยุดไว้ก่อนเพราะท้อง เมย์เริ่มต้นงานผู้จัดมา 2 ปีแล้ว ฝันมาตั้งนานแล้ว พออยู่เบื้องหน้าก็อยากทำเบื้องหลัง พอมีโอกาสทำเรื่องแรก “น้องเมีย” ได้คุยกับช่อง 8 เขาโอเค.ก็เลยได้ทำ พอเรื่องที่สอง “นางมาร” ก็ดังมาก เรื่องที่ 3 ก็เรื่องนี้ “ชิงรักหักสวาท”"
 

กับการเตรียมตัวเป็นผู้จัด
 
"ไม่ได้เตรียมอะไรนะคะ อยากทำก็ทำเลย เมย์อยู่ในวงการมานาน 10 กว่าปี คลุกคลีกับกองถ่าย รู้จักทีมงานเยอะ ไม่ได้ปรึกษาใครเป็นพิเศษค่ะ อยากทำก็ทำเลย มีผู้ช่วยเท่านั้นเอง เพราะว่าเราทำตรงนี้มา รู้หมดว่ามันเป็นอะไรยังไง ก็พอรู้ 
เมย์มาทางช่อง 8 ทางช่องขอว่าอยากได้เรื่องที่มันเข้มข้น แซบๆ แนวโดนๆ ก็เลยนำเสนอแต่เรื่องแนวนี้ เรื่องแรก”น้องเมีย”ก็แย่งสามีพี่เลย มาเรื่องที่สองเปลี่ยนเป็นแนวผี “นางมาร” พีเรียด พอเรื่องที่สามกลับมาทำแซบๆ อีก “ชิงรักหักสวาท” ตบตีแย่งชิง แต่จะมีกลิ่นอายพีเรียดเข้ามา ทำให้เรื่องสวยงามขึ้น" 
 
 
ความยากของการเป็นผู้จัด
 
"อยู่ที่การบริหารคน บริหารกอง มากกว่า เกิดเอ็กซิเดน โน่นนี่นั่น นักแสดงป่วยบ้างอะไรบ้าง ต้องรับกับสถานการณ์ให้ได้ทุกอย่าง สิ่งที่จะทำให้งานราบรื่น ก็ต้องอยู่ในทิศทางเดียวกัน เราก็ต้องประชุมกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องได้รับความร่วมมือจากนักแสดงด้วย นักแสดงคิวไม่ได้บ้าง ไม่ไอ้นั่น ไม่ไอ้นี่

ตอนนี้มีบริษัทของตัวเอง “บริษัทดีคืนดีวัน” ทำทั้งรายการทีวีและละคร มีรายการ “ปากโป้ง”, “บอกเก้าเล่าสิบ” พี่หนุ่มทำรายการ ส่วนเมย์ทำละคร ตอนเริ่มเป็นผู้จัดยังไม่ได้เสนอไปที่ไหนเลยค่ะ มาที่ช่อง 8 ก่อน ตรงนี้โอเค.แฮปปี้ก็ทำตรงนี้ไปก่อน
เรื่องงานแสดง ก็ยังรับอยู่นะคะ แต่ต้องดูบทดูอะไร แล้วช่วงนี้เตรียมตัวเป็นคุณแม่ด้วย ต้องดูแลตัวเองก่อน เราเป็นนักแสดงก็อยากแสดงอยู่แล้ว เราเกิดมาจากนักแสดง" 

คิดอย่างไรที่นักแสดงมาเป็นผู้จัดมากขึ้น
 
"ตอนนี้ก็คงต้องเป็นอย่างนี้ล่ะค่ะ รุ่นใหม่ๆ ขึ้นมา ผู้จัดก็ต้องมาจากนักแสดง เพราะว่าคลุกคลีกับกองถ่าย อย่างเมย์ก็รู้ว่าทำยังไงกับการเป็นผู้จัด เรารู้ว่าละครต้องเป็นยังไง เรารู้อะไรหลายๆ อย่างๆ เมย์ว่าก็ดีค่ะ ที่มีผู้จัดใหม่ๆ เข้ามา เดี๋ยวนี้ทีวีก็มีทีวีดิจิตอลขึ้นมาอีกเยอะแยะหลายช่อง หลายแขนง ต่อไปก็ต้องมีผู้จัดเพิ่มมากขึ้น ทีมงานก็ต้องมีมากขึ้นต่อไป คนรุ่นใหม่ก็ต้องเข้ามาทำงานมากขึ้น นักแสดงก็ต้องมีมากขึ้น

 
แนวละครที่อยากทำ
 
"เมย์ทำได้ทุกแนวค่ะ ไม่ได้มีแนวที่ชอบ แต่สไตล์จะเป็นเข้มข้น ทุกแนวที่เข้มข้น แซบๆ เมย์จะถนัด เพราะเมย์เล่นมาแบบนี้ เล่นบทแซบๆ มาตลอด ฝากละครชิงรักหักสวาทด้วย ช่อง 8 ด้วยนะคะ"

 
 
“พิมพ์มาดา บริรักษ์ศุภกร” ผู้จัดละคร เรื่อง "สองรัก สองวิญญาณ" ค่ายเอ็กแซกท์

“ได้เป็นผู้จัด ตื่นเต้นมาก ตื่นเต้นที่สุด กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ต้องเตรียมอะไรหลายอย่าง เป็นละครเรื่องแรก ละครผีที่สนุกสนาน แนวตลก คอมาดี้ ดราม่า ย้อนยุค รักโรแมนติก มีข้อคิด

ปกติเป็นนักแสดงก็รับผิดชอบตัวเองอย่างเดียว เขานัดเวลาไหนไปเวลานั้น ไม่ต้องคิดอะไร แต่เป็นผู้จัดต้องเซ็ททุกอย่าง ที่เลือกทำละครยุคนี้เพราะถูกใจยุคนนี้ ต้องบอกว่าเป็นการทำงานใหม่ของเราทั้งคู่ (กับ ผู้กำกับ กัปตัน ภูธเนศ) ลองใช้ประสบการณ์ที่มีมาทำเบื้องหลังบ้าง ต้องเรียนรู้ไปขณะที่ทำงาน เวลาทำอะไรผิดพลาดก็เรียนรู้ว่าสิ่งที่เราเจอเป็นยังไง บางทีดูคนอื่นทำเราก็ไม่รู้ว่าเป็นยังไง ต้องลงมือทำเองถึงจะรู้

เหนื่อยมาก ยากมาก ต้องเตรียมทุกอย่าง เป็นการเหนื่อยที่มีความสุข เหมือนเราได้ยกระดับความรับผิดชอบในการทำงานให้มากขึ้น เรายังเป็นผู้จัดในขั้นทดลองอยู่ ต้องทำงานเพิ่มจึงจะผลิตออกมาได้เพียงพอ ไม่ต้องถ่ายไปออนไป พอมาทำแล้วเข้าใจเลยว่ามันเหนื่อยกว่าที่คิดไว้เยอะมาก รู้ซึ้งเลยว่าทีมงานกว่าจะผ่านอะไร กว่าจะได้ไปออกกองได้แต่ละวันเขาต้องเจออะไรบ้าง

การทำงานเป็นผู้จัดกับนักแสดง แตกต่างกันมากเหมือนสลับบทบาทกันเลย จากที่เรารับหน้าที่ถ่ายทอดบทละครออกไป แต่ตอนนี้เราต้องคุมทุกอย่าง ดูทั้งโปรเจกต์ ดูทุกขั้นตอนเลยก็ว่าได้ พิมเหนื่อยแต่สนุกเพราะว่าได้อยู่กับบรรยากาศที่แวดล้อมไปด้วยคนที่เราคุ้นเคย สนุกกับงานที่ทำอะไรที่เราได้ทำครั้งแรก มันก็ตื่นเต้นไปหมด

เริ่มต้นมาเป็นผู้จัดจากที่พูดเล่นๆ ค่ะ ชักชวนเพื่อนๆ ว่าอยากลองทำอย่างนั้น อยากทำอย่างนี้ พอดี พี่ป้อน(นิพนธ์ ผิวเณร) กับ พี่บอย (ถกลเกียรติ วีรวรรณ) ได้ยินเลยบอกว่า “อย่าพูดแต่อยาก อยากแล้วไม่ทำ” ก็เหมือนกับเขาให้โอกาสแล้ว ทางผู้ใหญ่เองก็อยากได้ไอเดียจากเด็กๆ รุ่นใหม่พวกเราเหมือนกันว่าคิดยังไง
 
กว่าจะมาลงตัวในวันนี้ได้ก็ผ่านมาหลายบทหลายเรื่องนะคะ การเป็นผู้จัดเป็นเรื่องของความรับผิดชอบในกองถ่าย เป็นหน้าที่ของพิมที่ต้องทำให้มันรันไปได้อย่างสมูทที่สุด ไม่อยากให้สะดุดเวลาออกกอง โชคดีที่พิมได้ทีมงานที่ดีแล้วก็มืออาชีพทุกคน กับพี่ตัน เราก็คุยกันสนุกๆ พี่ตันเป็นนักแสดงที่เก่ง งานเยอะตลอด ไม่มีโอกาสได้มาทำเบื้องหลัง
 
พิมจูงมือเขามาเลย เพราะรู้ว่าเขาอยากเป็นผู้กำกับ เราทำงานร่วมงานกันมานาน เล่นละครด้วยกันก็หลายเรื่อง สนิทกันจนด่ากัน ดุกัน สอนกันได้ ตอนนี้ทะเลาะกันทุกวัน แต่ก็ดีนะ เพราะถ้าคิดอะไรแล้วไม่พูดออกไป ก็ไม่ได้แก้ไข จะไม่เกิดงานที่ดี

การเป็นผู้จัดต้องเปลี่ยนตัวเองเยอะนะ ต้องคิดแทนทุกคน อันนั้นอันนี้จะโอเค.มั้ย จะแฮปปี้หรือเปล่า พี่ตันก็ต้องคิดแทนคนดูว่าทำแบบนี้ออกไปแล้วคนดูจะชอบไหม ต้องคิดให้รอบคอบกว่าเดิม

การเป็นนักแสดงมาก่อน ทำให้ได้เปรียบเหมือนกันนะ อย่างน้อยเราก็รู้ว่าอะไรที่เราชอบเราไม่ชอบ เอามาเป็นบทเรียน ถ้าเราเป็นทีมงานเราจะไม่ทำอย่างนี้กับเขา จะไม่ทำอย่างนี้กับคนร่วมงาน เพราะทำแล้วไม่แฮปปี้ นักแสดงมาเป็นผู้จัดเยอะมากขึ้น พิมว่าดีนะ คนดูจะได้ดูอะไรที่หลากหลาย มีช่องทางมีทางเลือกมากขึ้น”

 
“วีรภาพ สุภาพไพบูลย์” ผู้จัดละคร เรื่อง “รักเต็มบ้าน”

"การเป็นผู้จัดละครเรื่องแรก อุปสรรคมือใหม่มันมีอยู่แล้วครับ ประกอบด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง ผมกับกีตาร์ทะเลาะกันทุกวัน เถียงกันทุกวัน กับหุ้นส่วนผม แต่ก็สามารถเดินไปข้างหน้าได้ เป็นการเหนื่อยแต่ถือว่าโอเค.
 

เรื่องคิวนักแสดง ไม่มีปัญหา ทุกคนน่ารักมากครับ ให้ความร่วมมือกันเป็นอย่างดี ในหมู่นักแสดงเริ่มไปด้วยกันได้ มีความสนิทสนมกันมากขึ้น ส่วนมากผมจะได้นักแสดงใหม่ซะเป็นส่วนใหญ่
 
อาจจะมีปัญหาแรกๆ บ้าง ต้องปรับจูนการแสดงกันเล็กน้อย แต่ตอนนี้ก็เข้าที่เข้าทางแล้ว เรื่องแอคติ้ง ดีขึ้นฮะ ดีขึ้นทุกคน เล่นเก่งกว่าผมตอนเล่นเรื่องแรกๆ ทุกคนน่าจะมีอนาคตที่ดี ถ้าน้องประสบความสำเร็จผมก็ยินดีด้วย ตัวผมถือว่าเป็นส่วนหนึ่งเล็กๆ

เป็นผู้จัด กดดันครับ แต่ก็เข้าใจได้ ไม่สามารถถึงขั้น “โอ้ย ตาย” เรามีผู้ใหญ่ให้คำปรึกษา มีเพื่อนๆ พี่ๆ คอยช่วยเหลือ เรื่องคำติชมที่จะตามมา ผมก็พยายามเอาความเห็นคนรอบข้าง แล้วก็ให้คนที่ไม่ได้ทำเกี่ยวกับละครมาดู ให้แม่บ้านดู เพราะคนที่ไม่เกี่ยวกับละครจะมีวงกว้าง เพราะว่าผมดูเองแล้วหลายรอบ ต้องให้คนวงกว้างดูบ้าง
 
ช่อง 7 จะโดนติเรื่องบทเรื่องภาพที่เก่า เดี๋ยวรอดูเรื่องนี้ครับ รับรองไม่ขี้เหร่แน่นอน ก็ต้องเปิดใจ ลองเปิดโอกาส ลองรับชมแล้วก็ติชมกันได้ครับ อีกไม่นานเกินรอครับ
 
เรื่องคาดหวังความนิยม ถ้าตอบว่าไม่คาดหวังคงไม่มีทางครับ คนทำส้มตำ ทำก๋วยเตี๋ยวก็คาดหวังให้คนทานชอบ ผมก็คาดหวังอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ได้ว่าต้องดัง แบบที่หนึ่ง ก็อยากให้คนดูชอบ ฟีดแบคกลับมาโอเค.แค่นี้ก็พอใจแล้ว
 
ละครเรื่องที่สอง เรื่องต่อไปยังไม่ได้เตรียม บอกกีตาร์ว่าเรื่องแรกเราเอาให้จบไปเป็นเรื่องๆ คอนเซนเทรทเป็นจ๊อบๆ ไปดีกว่า ถ้าเรื่องอื่นมันรันได้โอเค.แล้วค่อยเตรียมเรื่องสอง ผมเองก็ต้องถ่ายละคร กีตาร์เองก็ต้องถ่ายละคร เรื่องสาวๆ ตอนนี้ โอ้ย แค่ทำงานก็แย่แล้ว ผู้จัดด้วย ถ่ายละครด้วยก็ไม่มีเวลาแล้ว ไม่ได้วางตัวลำบากอะไร วางตัวเหมือนเดิม

กับการที่นักแสดงมาเป็นผู้จัด ผมไม่รู้สึกอะไร ในมุมมองผม เราคลุกคลีอยู่ในวงการนี้มานานแล้ว เราเห็นเบื้องหน้าเบื้องหลัง คลุกคลีมาครึ่งหนึ่งของชีวิต ผมเข้าวงการตั้งแต่อายุ 18-19 ตอนนี้ผม 33 เรารักอาชีพนี้ รักงานด้านนี้ เรามีพรรคพวก มีพี่น้อง มีพี่สนิทกันทั้งนั้น แล้วเรารักด้วย ชอบด้วย มันไปด้วยกันได้ เป็นช่องทางที่นักแสดงได้แสดงความสามารถ
 
ละครแนวที่ผมชอบคือ แนวที่ไม่เครียดมาก อย่างเรื่องแรก “รักเต็มบ้าน” ก็เกี่ยวกับความรักในครอบครัว ผมชอบแนวอบอุ่น อมยิ้ม ขำๆ ไม่อยากทำเรื่องแรกๆ แล้วเครียดหนัก อะไรอย่างนั้นไม่เอา”

 
 
“กีตาร์ ศิริพิชญ์ อัครเศรณี” ผู้จัดละคร “บริษัท มากกว่าฝัน”


““รักเต็มบ้าน” เป็นละครเฮฮา จบในตอน เราอยากทำละครส่งเสริมความสัมพันธ์ในครอบครัว ทุกวันนี้พอเสาร์อาทิตย์ทุกคนก็ออกไปเที่ยวนอกบ้าน บางคนพ่อแม่อยู่ต่างจังหวัด พี่น้องดูแลกันเอง เราเลยอยากทำละครให้พี่น้องรักกัน ครอบครัวมีความสามัคคีกัน  

เท่าที่ทำงานมาจนถึงตอนนี้ ก็โอเค.นะ ทีมงานทุกคนเต็มที่ ได้ผู้กำกับที่น่ารัก ที่ดี ทีมงานทุกคนก็สนิทกัน เหมือนพี่เหมือนน้อง ทุกอย่างลงตัว พอมาอยู่ในกองละคร ก็เหมือนครอบครัว ไม่เหมือนมากองถ่าย แล้วได้น้องๆ ดาราน่ารักทุกคนด้วย
 
แต่ละคนที่มารับเชิญก็พี่ๆ น้องๆ เทพๆ ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเวียร์ ศุกลวัฒน์, อ๋อม อรรคพันธ์, มาริสา ทุกคนคิวเยอะ แล้วลงหลังข่าวหมด ด้วยความที่ทุกคนเป็นน้องชายสุดที่รักของคุณวี ละครพี่วีเรื่องแรก ทุกคนก็มาช่วย

การเป็นผู้จัด ไม่เรียกว่ากดดัน เรียกว่าลุ้นดีกว่า คนทำละครก็ต้องคาดหวังว่าให้ละครของตัวเองประสบความสำเร็จ แล้วมีคนดูเยอะๆ เรากับวีคุยกันว่า ทำให้มันเต็มที่ เมื่อเราเต็มที่เราจะไม่หันหลังมาพูดว่า รู้อย่างนี้ทำอย่างนั้นดีกว่า ผลออกมาเป็นยังไง เราก็ต้องยอมรับ
 
ก็คาดหวังว่าสิ่งที่เราตั้งใจทำจากประสบการณ์ของตาร์ จากประสบการณ์ของวี เราอยากทำอะไรที่ให้คนดูได้รับสิ่งที่ดูแล้วยิ้ม ดูแล้วมีความสุข ดูแล้วมีเสียงหัวเราะ อย่าคาดหวังว่าจะเหมือนละครหลังข่าว เราเป็นแค่ละครซิทคอม

เราสองคนเริ่มจากจุดเล็กๆ เรายังเป็นเบบี๋ เป็นน้องใหม่ของการจัดละคร มีปัญหาให้แก้ทุกวัน ตาร์กับวีตั้งใจทำมากๆ เราทำเต็มที่ในละครสั้น แต่โปรดักชั่นของเราก็ยิ่งใหญ่อลังการ ไม่ว่าจะนักแสดง กองถ่าย ฉากแต่ละฉาก นักแสดงทุกคนก็เล่นอย่างเต็มที่

ส่วนมากคนจะห่วงว่าวีจะไม่ทำงาน แต่จริงๆ แล้ว วีตั้งใจทำงานมาก หุ้นส่วนคือตาร์กับพี่วี คนละ 50 ตาร์ดูบัญชี ดูภาพรวมของบริษัท ส่วนพี่วีดูเรื่องโปรดักชั่น ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ซื้อของ โลเคชั่น ไปจ่ายตลาด พี่วีจะรู้ทุกเรื่อง
 
พี่วีมากอง 7 โมง อยู่กองจนเลิก คุมการตัดต่อ คอยตามงาน ไตเติลเสร็จหรือยัง ทีเซอร์เสร็จหรือยัง ตรงนี้โอเค.ไหม ตรงนี้ควรจะเป็นยังไง แล้วเวลามากองถ่ายวีเป็นคนมุขเยอะ ก็จะเป็นคนใส่มุข เติมมุข วีเป็นคนตลก แต่เวลาทำงาน เขาเป็นคนตั้งใจทำงานจริงๆ

เรื่องความเห็นไม่ตรงกันก็เยอะนะ เป็นเรื่องปกติของการทำงาน อย่างไตเติลฉันชอบภาพนี้ อีกคนชอบภาพโน้น เราดูแม้กระทั่งน้องนักแสดงที่เข้าฉากประกอบ เรามีเหตุผลซึ่งกันและกัน ก็มาแชร์กันแล้วเลือกสิ่งที่ดีที่สุด พูดกัน เถียงกัน เหตุผลของใครดีกว่ากัน ก็ยอม
 
วีกับตาร์เหมือนชั้วบวกขั้วลบ ได้หุ้นส่วนได้พาร์ทเนอร์ที่ฟ้าประทานมาให้ วีเป็นคนสปอร์ต ใจเย็น รักเพื่อนรักพี่รักน้อง รักทีมงาน บางคนมองเรื่องบิสิเนสเป็นหลัก แต่เราจะมองเรื่องแฟมิลี่เรื่องครอบครัวเป็นหลัก เวลาเราทำงานกับทีมงาน เราให้ใจเขา เขาก็จะให้ใจเรา

การเปลี่ยนแปลงผู้บริหารในช่อง 7 ไม่มีผลอะไรค่ะ เราทำหน้าที่ผู้ผลิตของเราให้ดีที่สุด วีกับตาร์เป็นส่วนหนึ่ง เป็นลูกหม้อของช่อง 7 เหมือนเป็นคนในครอบครัวช่อง 7 เราอยากทำอะไรให้กับครอบครัวของเราให้ออกมาดี เหมือนเป็นพ่อแม่ เราเป็นลูก เหมือนทดแทนพระคุณพ่อแม่ อยากทำงานให้มีหน้ามีตา พ่อแม่จะได้มีชื่อเสียง
 
ผู้ใหญ่ทุกคนในช่องคอยให้คำปรึกษา ไม่ใช่ค่ายตาร์ค่ายเดียว ท่านดูทุกค่าย ทุกคนเป็นลูกรักทั้งหมด เพียงแต่ว่าตอนนี้วีอยู่ในวุฒิภาวะที่เป็นผู้ใหญ่ที่สุดในช่อง ช่องเลยเปิดโอกาสให้ทำงานเบื้องหลังเพื่อจะเป็นตัวอย่างให้กับรุ่นน้องต่อไป
 
ละครหลังข่าวตอนนี้เรายังไม่ทำค่ะ ทุกอย่างต้องเป็นสเต็ปๆ ไป เราก็ต้องดูว่าอะไรมันเหมาะ อะไรมันควรกับเรา ต้องดูฟีดแบคก่อน แล้วให้ช่องพิจารณา เราเป็นแค่ผู้ผลิตแล้วก็ผู้เสนอว่าเราอยากจะทำงานแบบไหน แต่ท้ายที่สุดแล้วอยู่ที่ทางช่องพิจารณา อนุมัติให้ “บริษัทมากกว่าฝัน”ทำงานในส่วนไหน”

 ตราบใดที่โลกยังหมุนไม่หยุด คนเราก็ต้องปรับตัวและหมุนตามโลก 









กำลังโหลดความคิดเห็น