หัวใจเถื่อน ตอนที่ 2
เกิดเหตุการณ์ที่บ้านแก้วหลังนี้ เมื่อสิบห้าปีก่อน ในตอนนั้นเด็กหญิงอมาวสี ขี่หลังเด็กชายภาคย์ ที่ทำตัวเป็นม้าพาวิ่งไปรอบๆ สนาม ท่ามกลางแมกไม้ใหญ่น้อยเขียวขจี ของบ้านหลังงาม
“เกาะหลังพี่แน่นๆ พี่จะพาอ้อไปให้ไกล สุดขอบฟ้าเลย...ฮี้ ฮี้ ฮี้”
“แล้วถ้าอ้อตกลงไปล่ะ”
“ไม่ต้องกลัว...เอาก้นแนบหลังม้าไว้แน่นๆ ม้าจะวิ่งเร็วขึ้นแล้วนะ จะเหาะไปแล้วนะ...ฮี้ ฮี้ ฮี้”
เด็กชายภาคย์ส่งเสียงร้องเลียนแบบเสียงม้า สีหน้าเด็กหญิงอ้อ หัวเราะร่วน มีความสุข
ภาพนั้นเลือนหายไปในที่สุด
ที่บ้านแก้วยามเย็นวันนี้ ภาพเขียนสีน้ำมันรูปคุณยายประดับอยู่ที่ผนังห้องโถง ราช เดินเข้ามายืนมองภาพนี้ สีหน้าของเขานิ่งเฉย แววตาลึกล้ำเต็มไปด้วยเรื่องราวที่ยากต่อการคาดเดา เสียงลุงกอบคุยกับนายเทินดังเข้ามา โดยลุงกอบพูดถึงรายละเอียดภายในบ้านที่ค่อนข้างจะทรุดโทรม ราชค่อยๆหมุนตัว หันมองไปรอบๆ บ้าน
สักพัก เทินเดินตรงไปที่ตู้เครื่องเงิน ลุงกอบเดินตามมาห่างๆ
“เครื่องเงิน เครื่องแก้วเจียระไนในตู้นี้หายไปไหนหมดล่ะ”
“เอ...ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ”
“ไม่รู้ได้ไง...ลุงเป็นคนเฝ้าบ้านนี่”
“คนเฝ้ามันก็ต้องมีหลับมีนอนบ้างเหมือนกันนี่ครับ” ชายชราบอก
เทินฉุน “อ้าว พูดแบบนี้ใช้ไม่ได้นี่ลุง...ฉันตกลงกับเจ้าของบ้านว่าจะซื้อเหมาทั้งบ้านทั้งข้าวของ เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมด...ให้ราคาสูงด้วย...เพราะฉะนั้นก็ต้องดูแลรักษาของทุกชิ้นให้ดีสิลุง”
“เจ้าของเขายังไม่เห็นว่าอะไรเลยนี่ครับ” ลุงออกอาการหงุดหงิด
ราชพูดแทรกเข้ามา “ลุงมาเฝ้าที่นี่ได้นานรึยัง”
“เกือบสามปีแล้ว”
“ของคงหายทุกปีเลยละมั้ง” เทินหยัน
ราชหันไปพูดตัดบทกับนายเทิน
“ไม่เป็นไร...เท่าที่เห็นนี่ก็ โอ.เค.แล้ว...น้าติดต่อเจ้าของบ้านได้เลย”
นายเทินหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา กดหมายเลขลงไป
ทนายชอบเดินเข้ามาในสำนักงานท่านกวีตอนค่ำ และตรงไปยังห้องทำงานท่านกวีทันที
ท่านกวีกำลังเซ็นหนังสือเอกสารต่างๆ โดยมีเลขาสาวยืนอยู่ใกล้ๆ ทนายชอบเดินมาหยุดยืนรอตรงหน้าโต๊ะ
ท่านกวีเงยหน้าขึ้น “ว่าไง คุณชอบ”
“เรื่องบ้านแก้วครับ...ผู้ซื้อรายแรกขอถอนตัว...เขาสู้ราคานายราชไม่ไหว”
“ราคาล่าสุดที่นายราชเสนอให้เราอยู่ที่เท่าไหร่นะ”
“สามสิบห้าล้านบาท ทั้งบ้านและข้าวของทุกชิ้นในบ้าน”
“ถ้าตกลงวันนี้ ฉันน่าจะได้เงินทันจ่ายค่าหุ้นใช่มั้ย”
“ใช่ครับ”
ท่านกวีครุ่นคิดอีกนิดก่อนตัดสินใจพูด
“โทร.ไปบอกเขาว่า ฉันขอสี่สิบล้าน ถ้าตกลงก็โอนได้เลย”
ท่านกวีกลับถึงบ้านพิชิตพงษ์ ในตอนกลางคืน คุณหญิงอำภาขยับตัวลงนั่ง ซักกับสามีหลังฟังความจบ
“แล้วเขาว่ายังไงคะ”
“เขาตกลง ไม่ต่อรองซักคำ...ราคาแบบนี้หาไม่ได้อีกแล้วคุณหญิง...บ้านปลวกกินทั้งหลังอย่างนั้น ขายได้สี่สิบล้าน...ไอ้หมอนี่มันต้องเป็นเศรษฐีใหม่ ใช้เงินไม่เป็น...หรือไม่ก็โง่สุดๆ...แหม ถ้าผมยอมขายตั้งแต่ยี่สิบห้าล้านละก้อ เสียดายแย่”
“งั้นทำไมคุณไม่รออีกหน่อย ราคาจะได้สูงมากกว่านี้อีก”
“รอไม่ได้แล้ว ผมต้องรีบใช้เงินลงทุนด่วน
คุณหญิงอำภานิ่งเงียบ
“เราพูดกันหลายครั้งแล้วนะ ผมไม่อยากทะเลาะกับคุณอีกแล้ว...ถ้าคุณไม่พูดอะไร ผมจะถือว่าคุณตกลง...ผมจะให้ทนายชอบรีบทำสัญญาซื้อขายเลย...ว่าไง”
“ดิฉันบอกไปแล้วไงคะว่าดิฉันยกสิทธิ์ให้คุณ”
ท่านกวีจ้องหน้าภริยา “แน่ใจนะว่าไม่ได้ประชดผม”
“ถ้ามีเงินเหลือจากที่คุณต้องเอาไปลงทุน คุณช่วยเปิดบัญชีเป็นชื่อภาคย์ไว้ได้มั้ยคะ”
ท่านกวีถอนหายใจ ก่อนพยักหน้ารับคำ
“โอเค....ถ้าไอ้หมอนั่นมันกลับมาเมื่อไหร่ ผมจะคืนเงินให้มันหมดเลยก็ได้”
“ฉันขอเข้าไปดูบ้านแก้วอีกสักครั้งก่อนขาย คุณคงไม่ว่าอะไรนะคะ”
“ไม่มีปัญหา”
ท่านกวีเดินออกไป พร้อมกับกดโทรศัพท์ถึงทนาย
“คุณชอบ...เป็นอันว่าตกลงตามนั้น ทุกอย่าง”
คุณหญิงอำภาสะท้อนสะท้านในอก นั่งร้องไห้ สะอึกสะอื้นเพียงลำพัง
บ้านพิชิตพงษ์แห่งนี้ ช่างเต็มไปด้วยความหลังฝังใจมากมาย ที่คุณหญิงอำภากำลังรำลึกถึงในตอนนี้ก็เช่นกัน
สิบห้าปีก่อนหน้านี้ เด็กชายภาคย์นั่งร้องไห้ ซุกตัวอยู่มุมหนึ่งในบ้าน คุณหญิงอำภาในวัยสาว เดินเข้ามายืนจ้อง
“เป็นอะไรนักหนา ถึงต้องนั่งร้องไห้ทั้งวัน”
“เมื่อไหร่คุณแม่จะบอกผมมาตรงๆว่า ผมเป็นลูกใคร...ผมเป็นเด็กที่คุณพ่อคุณแม่เก็บมาเลี้ยงใช่มั้ย ใช่มั้ยครับ”
“อย่ามาซักถามอะไรเลอะเทอะหน่อยเลยน่า...แกอยากจะคิดว่าแกเป็นลูกใครก็ตามใจแกเถอะ”
คุณหญิงอำภาขยับตัวจะเดินหนี
“คุณแม่ครับ”
“บอกว่าอย่าเซ้าซี้ไงล่ะ”
ผู้เป็นมารดาเดินหนีไป ภาคย์มองตาม ร้องไห้ สีหน้าแววตาแสนแค้นเคือง
ภากรแวะมาที่บ้านชิดชไม ตอนเช้าตรู่ เขานั่งสนทนากับนายชัยผู้เป็นพ่อของชิดชไม
“นี่เป็นประกันสุขภาพแบบที่ครอบคลุมครบถ้วนจริงๆ ครับ เราให้ความคุ้มครองสูงสุดตามวงเงิน ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาลทุกโรค อุบัติเหตุทุกประเภท ค่าห้อง ค่าชดเชย สูงสุดครบตามสิทธิ และมีส่วนของเงินสะสมด้วยนะครับ”
ชัยก้มดูเอกสารในมือ “เหรอ...”
“ปกติผมดูแล สายงานประกันกลุ่มนะครับ คือทำประกันพนักงานทั้งบริษัท ดูแลตั้งแต่ MD. ยัน messenger...แต่นี่เห็นเป็นคุณอา พอคุณแม่ชื่นแนะนำมา ผมก็ต้องรีบดูแลให้อย่างดี และนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดน่ะครับ”
“เข้าใจ...อาเข้าใจเรื่องอินชัวรันส์ดี หลานทิ้งเอกสารให้อาค่อยๆ อ่านก่อนแล้วกันนะ พูดตรงๆ ก็คือ มีพรรคพวกที่เขาทำงานด้านนี้ ยื่นข้อเสนอมาให้อาเยอะ...ให้เวลาอาตัดสินใจซักนิดแล้วกันนะ”
“ได้เลยครับ...คุณอาสะดวกยังไงค่อยให้คำตอบผมก็ได้ครับ”
ชิดชไมเดินลงบันไดบ้านมาพอดี ภากรหันไปปั้นหน้าหล่อใส่เธอทันที
“อ้าว คุณชิดชไมไม่ออกไปไหนเหรอครับวันนี้”
“กำลังจะออกไปทำงานนี่แหละค่ะ” ครีเอทีฟสาวบอก
“ไปถึงไหนครับ...ให้ผมขับรถบริการให้มั้ย...คุณชิดชไมเพิ่งกลับมาเมืองไทยอาจจะยังไม่คุ้นเคยกับถนนหนทางนัก”
ชิดชไมไม่ไว้หน้า “ไม่เป็นไรค่ะ...ดิฉันนัดพระเอกของดิฉันมารับแล้วค่ะ”
ภากรหน้าเสียไปนิดหนึ่ง
“งั้นก็ ไม่เป็นไรครับ...แต่ถ้าพระเอกของคุณชิดชไมกลายร่างเป็นผู้ร้ายเมื่อไหร่ละก้อ...”
ชิดชไมต่อความให้ “ดิฉันจะรีบทำประกันสุขภาพจิตกับคุณภากรทันทีค่ะ”
“ผมจะรอวันนั้นครับ”
รถของราชแล่นเข้ามาจอดริมถนนหน้าบ้าน ไม่ไกลจากประตูหน้าบ้านชิดชไมนัก รถของภากรจอดอยู่ตรงนั้น ราชมองไปที่ประตูบ้าน เห็นเป็นชิดชไมเดินมาส่งภากรที่รถ
ภากรขึ้นรถของตนแล้วขับออกไป
ราชก้าวลงจากรถเดินตรงไปหาชิดชไม
“นึกว่าผมจะเป็นชายหนุ่มคนแรกของวันนี้ ที่มาหาคุณที่บ้าน”
“คุณช้ากว่าเขาหลายชั่วโมงเลยค่ะ”
“เขาคือ?”
“พี่เขยแคลร์ค่ะ...ภากร พิชิตพงษ์”
ราชกับชิดชไมเดินคุยกันเข้ามาในบ้าน
“นายภากรเขาอยากจะเปลี่ยนสถานะพี่เขยเป็นอย่างอื่นหรือเปล่า”
ชิดชไมย้อนถาม “เพราะแคลร์เหมือนพี่ชาลินี งั้นเหรอ”
“อื่อฮื้อ ก็ดูจะเป็นแรงจูงใจที่ดี”
“ถ้าแคลร์เหมือนพี่ชาลินีจริง เขาก็ยิ่งหมดสิทธิ์...เพราะพี่ชาลินีสารภาพก่อนตาย ว่าเธอรักผู้ชายอีกคนนึงมากกว่า”
“ห๊า...มีผู้ชายอีกคนเหรอ”
“ค่ะ คุณป้าเล่าให้ฟัง...เขามีชื่อว่า...”
“ราช รัชภูมิ” ราชทำเสียงล้อ
ชิดชไมขำ “ภาคย์ พิชิตพงษ์ ค่า...”
นายชัยเดินเข้ามา เอ่ยทัก “ว่าไง นายราช”
“สวัสดีครับคุณอา....มีอะไรให้ผมรับใช้บ้างครับ”
“ก็เรื่องย้ายเฟอร์นิเจอร์น่ะแหละ...พวกตู้ โต๊ะ เตียง ของอาที่มิลานน่ะ อาอยากมูฟเอามาที่นี่...ทิ้งไว้โน่นมันก็ผุพังไปเปล่าๆ เสียดาย”
“ได้เลยครับ อาชีพผมอยู่แล้ว ผมดูแลเรื่องการย้ายให้คุณอาเอง”
ชิดชไมอ้อน “แต่วันนี้ ราชช่วยดูแลแคลร์ก่อนได้มั้ย”
“ด้วยความเต็มใจครับผม”
“งั้นเราไปนั่งรถเล่นกัน”
“นั่งรถเล่นที่นี่ อากาศมันไม่ดีเหมือนที่อิตาลีนะลูก” ชัยท้วง
“ไม่เกี่ยวกับอากาศค่ะพ่อ...แคลร์อยากไปซุ่มดูดูเด็กวัยรุ่น สาวๆ ซักหน่อย”
ชิดชไมหันมาแหย่ราช “น่าจะถูกใจราช ใช่มั้ยคะ”
ราชยิ้มรับเฉยๆ
คุณหญิงอำภานั่งนิ่ง อยู่บริเวณระเบียงเรือนนมพริ้ง ทอดสายตาไปไกล คล้ายจะเหม่อลอย
นมพริ้งก้าวยาวๆ เข้ามาเร็วรี่
“คุณหญิงมีอะไรจะใช้พริ้ง รึเปล่าคะ...ให้นังจันมาตามพริ้งก็ได้นี่เจ้าคะ”
“ไม่มีอะไรหรอก...ฉันแค่อยากมานั่งคุยกับพริ้งบ้างเท่านั้น”
พริ้งขยับลงนั่งใกล้ๆ คุณหญิง ทั้งคู่นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง
“พริ้งรู้แล้วใช่มั้ยว่า มีคนขอซื้อบ้านแก้ว”
“ค่ะ ให้ราคาสูงจนคุณท่านต้องยอมขาย”
“ใช่...”
ความเงียบทำหน้าที่ไปอีกครู่หนึ่ง ผู้เป็นนายจึงเอื้อนเอ่ยขึ้น
“พริ้งไปบ้านแก้วครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ จำได้มั้ย”
“เกือบสามปีมาแล้วมั้งคะ”
“ห้าปีแล้วที่ฉันไม่ได้ไปที่นั่นเลย...คนเราก็เป็นอย่างนี้ อะไรที่อยู่ใกล้ตัวเรา เรามักจะไม่เห็นคุณค่า จนวันที่เราต้องสูญเสียมันไป ถึงได้รู้สึกเสียดาย แต่ก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว”
“แล้วถ้าคุณภาคย์กลับมาล่ะคะ คุณหญิง”
“พริ้งยังคิดว่าเขาจะกลับมาอีกเหรอ”
“กลับสิคะ คุณภาคย์ต้องกลับมา...ซักวันนึง”
“อาจเป็นวันที่ไม่มีวันจะมาถึง...อาจเป็นเพียงฝันลมๆแล้งๆของเรา...สุดท้ายแล้ว อาจจะไม่มีใครต้องการบ้านแก้วหลังนี้เลย นอกจากฉันกับพริ้งเท่านั้น”
“ยังมีนายราชอะไรนี่อีกคนไงคะ...ไม่งั้นเขาคงไม่ทุ่มเงินมากขนาดนี้”
“ก็จริง” คุณหญิงอำภาลุกขึ้นจะเดินออกไป
นมพริ้งรีบเอ่ยปากทัก
“คุณหญิงคะ คุณหญิงไม่สงสัยบ้างเหรอคะว่า ทำไมนายราชคนนี้ถึงอยากได้บ้านแก้วนักหนา”
คุณหญิงอำภาฉุกคิดขึ้นมานิดหนึ่ง
บ่ายวันเดียวกัน ภากรเอ่ยขึ้นกลางวงสนทนาด้วยน้ำเสียงหยามหยันดูแคลนว่า
“โง่ไงครับ อย่างนี้แถวบ้านเรียกว่าโง่...เศรษฐีใหม่หน้าโง่”
ท่านกวีนั่งเซ็นเอกสารอยู่บนโต๊ะ ทนายชอบยืนรออยู่เบื้องหน้า ภากรนั่งอยู่ไม่ไกลจากโต๊ะทำงานพ่อ
“หรือไม่ก็ฟอกเงิน หรือมีธุรกิจลับๆอะไรซักอย่าง” ชอบว่า
“นั่นมันอาชีพสงวนของนักการเมือง”
ท่านกวีเงยหน้าขึ้นมามองลูกชาย
“พ่อแกเป็นนักการเมืองนะ นายภากร”
“ยกเว้นท่านกวีไว้คนนึงครับ ส.ส.สอบตกเราไม่นับ”
กวีบอกกับชอบ “ไปตามหัวคะแนนหน้าตาโหดๆมาเตะก้นไอ้นี่ซักทีสองทีซิ”
“ล้อเล่นน่ะครับคุณพ่อ”
“เอาเถอะ ไม่ว่ามันจะซื้อบ้านแก้วไปทำอะไรก็ช่าง...เราขายได้เงินมาแล้วก็จบ”
กวีเซ็นเอกสารครบทุกแผ่น แล้วส่งให้ทนาย
“ดำเนินการให้เรียบร้อยเลยนะ คุณชอบ”
ทนายชอบเดินออกไป ภากรเดินเข้าใกล้ท่านกวี
“พ่อ ขายบ้านแก้วได้ราคาดีอย่างนี้...ผมขอยืมซักแปดล้านสิครับ”
ท่านกวีจ้องหน้าลูกชาย “เอาไปทำอะไร”
“ผมมีหนี้สินต้องชำระน่ะครับ”
“เอาหลักฐานมาให้ฉันดู ว่าแกเป็นหนี้ใคร ยังไง เท่าไหร่ อยู่ๆมาไถพ่อลอยๆ อย่างนี้ไม่ได้...”
ภากรจ๋อยลงไปอย่างเห็นได้ชัด “วันนี้ผมไม่กลับบ้านนะครับ”
“เลี้ยงลูกค้าประกันอีกเหรอ...”
ภากรพยักหน้าเงียบๆ
“นายภากร แกมีพ่อเป็นถึงอดีตรัฐมนตรี และเลือกตั้งคราวหน้า ฉันก็มีโอกาสที่จะกลับมาเป็นรัฐมนตรีอีกครั้ง...เพราะฉะนั้น ทำอะไรนึกถึงหน้าพ่อบ้างนะ”
ภากรเดินออกไป ทนายชอบเดินกลับเข้ามาพูดใกล้ๆท่านกวี
“ท่านครับ...ดูเหมือนว่าคุณภากรกำลังถูกแบล็คเมลครับ”
ท่านกวีถึงกับสะดุ้ง
รถสปอร์ตของราชวิ่งไปบนถนนสวยงาม ย่านนิยมของวัยรุ่น มีชิดชไมนั่งเอียงตัวพิงไหล่ราชซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ขับรถ เธอใช้กล้องถ่ายออกไปยังสองข้างทางนอกรถ
“อยากให้จอดตรงไหน บอกเลยนะแคลร์ แต่บอกล่วงหน้าสักนิดเพราะที่จอดหายากมาก”
“เปิดหลังคายืนถ่ายเลยได้มั้ยล่ะ”
“ถ้าเมืองนอกโอเค...กรุงเทพฯ คงไม่เหมาะ...ทั้งร้อน ทั้งฝุ่น ทั้งน่าหมั่นไส้” ราชว่า
ชิดชไมสัพยอก “กลัวด้วยเหรอ...อยู่ที่โน่น ราชเป็นเจ้าพ่อแห่งความน่าหมั่นไส้เลยนะ”
“เดี๋ยวนี้คงจะมือตก”
ชิดชไมหยิบกล้องถ่ายรูปเล็งไปที่ราช เธอเลือกกดชัตเตอร์หลายมุม
“มุมนี้หล่อไม่ใช่เล่นนะ คุณราช”
“มุมเดียวเองเหรอ” ราชยิ้มเย้า
“มุมอื่นต้องเปลี่ยน location เปลี่ยน costumeจ้ะ”
ชิดชไมยิ้มมีเลศนัย
บนถนนเส้นเดิม รถของราช แล่นเข้าไปต่อท้ายแถวรถที่ติดไฟแดงอยู่
ราชเอื้อมมือดึงกล้องมาจากชิดชไม “มาผมถ่ายให้แคลร์บ้าง”
พลางราชแหย่ตาเข้าไปในวิวไฟน์เดอร์กล้อง มองผ่านเลนส์กล้องไปเห็นอมาวสี กับพึงใจกำลังเลือกซื้อของอยู่ริมถนนเส้นนี้ ราชปรับโฟกัสไปที่อมาวสี
ชิดชไมบ่นเพราะแอ็คท่ารอนานแล้ว “ช้าจังราช โฟกัสไม่ได้เหรอ...ตาไม่ดีแล้วซี”
“เดี๋ยวซี่...แป๊ปนึง”
สายตาราช ที่มองผ่านเลนส์กล้อง ยังเห็นอมาวสี เดินข้ามถนนอยู่ด้านหลังรถเขา
สุดท้ายราชดึงกล้องออกจากตา ลดกล้องลงมานิดหนึ่ง
“แบ๊คกราวด์ไม่ดี”
“โธ่ ให้แอ็คอยู่ตั้งนาน” ชิดชไมยกมือตีราช
ราชสบโอกาสนี้ รีบกดชัตเตอร์กล้อง รัวไม่นับ
“โอเค. เรียบร้อย...โฟกัสได้แล้ว”
ชิดชไมคว้ากล้องมา กด ดู ภาพ แต่ละภาพที่จอภาพของกล้อง เห็นเป็นภาพโคลสอัพชิดชไม หน้าตาตลกไม่น้อย
“อัพ ขึ้น ไอจี.เลย แคลร์”
ชิดชไมบ่นบ้า “ราชถ่ายรูปแคลร์ทีไร ภาพเป็นแบบนี้ เหมือนกันหมดทุกที...ขอแบบสวยๆ บ้างไม่ได้เลยนะ”
“โถ...นี่ก็สวยจนแทบจะยั้งใจไม่อยู่แล้วนะ”
ชิดชไมยกมือฟาดไปที่แขนราชแบบหยอกๆ แก้เขิน
ราช มองจ้องที่กระจกข้าง พบว่าอมาวสีเดินข้ามถนนในจังหวะนี้ และอมาวสีหันมาเห็นราชทางกระจกนี้พอดี
ทั้งสองสบตากันผ่านทางกระจกข้างนั้น ขณะที่รถราชเคลื่อนตัวออกไปในที่สุด
ตึกแถวที่พักของสีไพร ในเวลาพระอาทิตย์ตก
ยามเย็น
สีไพรเปิดประตูห้องนอนก้าวออกมา
“พ่อ...มีอะไรเหรอคะ”
สุดยืนอยู่หน้าห้องสีไพร สองพ่อลูกยืนคุยกันตรงนั้น
“นายภากร แวะมาหาเราอีกมั้ย”
สีไพรส่ายหน้า
“แน่ใจนะ”
“พ่อตั้งใจเรียกเงินคุณภากรเขาแปดล้านจริงๆเหรอคะ”
สุดพยักหน้า
“ค่าตัวหนูแพงขนาดนั้นเชียวเหรอ พ่อ”
“เราเป็นคนตั้งราคาตัวเรา เราจะตั้งเท่าไหร่ก็ได้ มันเป็นสิทธิของเรา...แต่ถ้าถามว่าคุ้มมั้ย พ่อจะบอกให้นะ มากกว่านี้อีกร้อยเท่าก็ไม่คุ้ม...ไม่มีพ่อคนไหนอยากเอาความทุกข์ของลูกไปแลกเป็นเงินหรอก ไพเอ๊ย...แต่ที่พ่อเรียกเงินเขาไป เพราะพ่อไม่ต้องการให้เขาทิ้งลูก พ่อไม่อยากเห็นลูกต้องเจ็บปวด”
สีไพรร้องไห้ โผเข้าไปซบผู้เป็นพ่อ
“ไพขอโทษ ที่ทำให้พ่อต้องเป็นทุกข์ไปกับไพด้วย”
“วันนี้พ่อรับงานเฝ้าตลาด พ่อกลับเช้าเลยนะ...อยู่บ้านดีๆ ล่ะ...มีอะไรต้องบอกพ่อ อย่าโกหกพ่อนะลูก”
สีไพรพยักหน้ารับคำ นายสุดเดินจากไป
สีไพรปิดประตูห้องนอนแล้วเดินไปที่เตียงนอนของเธอ พยว่าที่แท้ภากร นั่งหลบอยู่ที่มุมหนึ่ง
ภากรขยับตัวเข้าไปชิดสีไพรที่ยังร้องไห้อยู่ เขาค่อยๆ เอื้อมมือโอบสีไพรไว้
“ไพไม่อยากโกหกพ่อเลยค่ะ...วันนึงถ้าพ่อรู้ พ่อจะยิ่งช้ำใจมากกว่าวันนี้อีกหลายเท่า”
“พ่ออาจจะรู้อยู่แล้ว แต่ไม่ว่าอะไรเราก็ได้...ตราบใดที่ฉันไม่ได้ทิ้งสีไพรไปไหน”
“วันนึง...คุณภากรจะทิ้งไพไปมั้ยคะ”
“ถ้าฉันจะทิ้งสีไพร ฉันทิ้งไปนานแล้ว ฉันไม่ดั้นด้นมาหาสีไพรถึงนี่หรอก”
คำหวานนั้นทำให้สีไพรยิ้มออกมาได้
ภากรดึงสีไพรเข้ามากอดไว้แนบอก
“สีไพรดีกับฉัน ทำให้ฉันมีความสุขแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนเลย รู้มั้ย”
“ไพดีใจนะคะ ที่ได้ยินอย่างนี้”
ภากรประคองหน้าสีไพรขึ้นมาใกล้หน้าตน
“แต่สีไพรก็รู้ใช่มั้ย ว่าเราสองคนห่างไกลกันมาก...ฉันอาจจะให้อะไรสีไพรไม่ได้มากไปกว่านี้นะ”
“คุณภากรเมตตาสีไพรอย่างทุกวันนี้ สีไพรก็ภูมิใจแล้วค่ะ”
“หวังว่าพ่อคงไม่เร่งรัดเอาเงินแปดล้านจากฉันนะ”
“พ่อไม่อยากได้เงินของคุณภากรหรอกค่ะ”
“แต่ฉันอยากได้สีไพรนะ”
ภากรดันร่างสีไพรล้มนอนลงไปบนเตียง เพลงกามาบรรเลงไปตามครรลองของมันอย่างดื่มด่ำลึกซึ้ง
อ่านต่อหน้า 2
หัวใจเถื่อน ตอนที่ 2 (ต่อ)
ขณะเดียวกัน นายสุดนั่งถือเมมเมอรี่การ์ดไว้ในมือ เขากำมือนั้นแน่น นิ่ง ...ครุ่นคิดอะไรหลายๆ อย่างในใจ นายสุดใส่เมมเมอรี่การ์ดลงไปในโทรศัพท์มือถือของเขาดังเดิม
เพื่อนยามอีกคนอ่อนวัยกว่า ขี่จักรยานผ่านมา
“เฮ้ย...ดูคลิปหนังโป๊เหรอ....แหมกำโทรศัพท์แน่นเชียวนะลุง”
นายสุดไม่ตอบ ได้แต่นั่งนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น
คืนนั้น ห้องนอนสีไพรท่ามกลางความมืดมิด มีเพียงแสงจันทร์จากภายนอกสาดผ่านช่องหน้าต่างพาดลงกลางเตียง จึงพอเห็นเงาร่างของภากรและสีไพร นอนเปลือยกายกอดกันภายใต้ผ้าห่มผืนบางๆ
ภากรค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียงเดินตรงไปยังห้องน้ำ
ภากรยืนแต่งตัวอยู่บริเวณหน้าห้องน้ำ สีไพร เดินเข้ามาหา เธอคลุมตัวด้วยผ้าห่มผืนนั้น
“จะกลับแล้วเหรอคะ”
“อือม...”
“ยังหัวค่ำอยู่เลย”
“พ่อฉันกำลังเพ่งเล็งฉันอยู่ ช่วงนี้ฉันต้องทำตัวดีๆหน่อย”
“แล้วคุณภากรจะมาหาสีไพรอีกเมื่อไหร่คะ”
“เมื่อฉันว่าง”
ภากรหยิบสตางค์จำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋า เขายื่นมันให้สีไพร
“เอ้า...เอาเงินนี่ไว้ใช้”
สีไพรมองเงินจำนวนนั้น นิ่ง อึ้ง “สีไพรไม่ได้ต้องการ...”
“เหอะน่า เก็บเอาไว้เถอะ สีไพรยังไม่มีงานทำไม่ใช่เหรอ”
“ไปสมัครไว้หลายที่แล้ว รอเขาเรียกตัวค่ะ”
“แล้วระหว่างรอ จะเอาเงินที่ไหนใช้ล่ะ”
ภากรยัดเงินลงไปในช่องว่างระหว่างผ้าห่มกับหน้าอกของสีไพร
“ฉันไปก่อนนะ”
ภากรเปิดประตูเดินออกจากห้องไป สีไพรยังคงนิ่งอึ้ง เธอไม่แน่ใจว่าควรจะรู้สึกดีกับน้ำใจไมตรี และเงินปึกนั้น หรือจะรู้สึกว่ามันคือการค้าประเภทหนึ่งดีหนอ
คืนนั้นราชเดินเข้ามาในไนต์คลับหรูหราแห่งนี้ ตรงมายังโต๊ะ สองเกลอ อนุและการัณย์ที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว ทั้งสองมีปริมาณแอลกอฮอล์ในระดับที่กำลังคึกได้ที่
การัณย์ร้องทัก “โอ้โฮ กว่าแกจะมาได้ รอจนจะเมาปลิ้นแล้วนะไอ้ยักษ์”
“โทษที วันนี้ฉันมีจ๊อบด่วนพิเศษ” ราชว่า
อนุมองฉงน “จ๊อบอะไรวะ”
“ขับรถให้คุณชิดชไม...เพิ่งพาเธอไปส่งที่บ้านเมื่อกี้นี้เอง” ราชว่า
การัณย์ถามขึ้น “ทำไมไม่พามาด้วยกันเลยล่ะวะ”
ราชส่ายหน้า “วันนี้ปิดจ๊อบแล้วเว้ย”
พลางราชขยับตัวลงนั่ง และพูดพร้อมกับรินเครื่องดื่มของตน
“มีเรื่องรบกวนหน่อยว่ะ การัณย์”
“ว่ามา...ก่อนที่ฉันจะเมา”
“ฉันอยากเอาบ้านทำลิสซิ่งหน่อย”
การัณย์งง “บ้านหลังไหนวะ”
“บ้านแก้ว”
อนุเง็ง “นี่แกจะซื้อบ้านเก่าหลังนี้จริงๆ เหรอ”
“ก็จริงน่ะสิ”
การัณย์ถาม “เท่าไหร่”
“40 ล้านบาท...ฉันจ่ายเงินสดสิบ อีกสามสิบขอทำลิซซิ่งกับบริษัทแกหน่อย”
อนุร้องขึ้น “จะบ้าแล้ว”
“บ้าตรงไหน ใครๆเขาก็ทำอย่างนี้ทั้งนั้น...เรื่องอะไรฉันจะจ่ายเงินสดทั้งหมด” ราชว่า
“บ้าที่แกยอมจ่ายตั้งสี่สิบล้าน กับบ้านเก่าขนาดนั้น...เจ้าของตั้งราคาเว่อร์มาก” อนุฉุน
“เขาไม่ได้ตั้ง...ฉันเสนอให้เขาเอง”
การัณย์เซ็ง “เวร...”
“ก็มันเป็นความพอใจของฉัน....ฉันอยากเป็นเจ้าของทรัพย์สินของอดีตรัฐมนตรีกวี ทั้งหมด”
“เกลียดอะไรเขานักหนา” อนุแปลกใจ
ราชยิ้ม ตอบกึ่งทีเล่นทีจริง “มันเป็นปณิธานว่ะ”
“บ้าไปใหญ่แล้วไอ้ยักษ์...อีกหน่อยถ้าเขาขายลูกขายเมีย แกไม่ต้องตระเวนรับซื้อไว้ซะหมดทุกอย่างเหรอ” อนุหมั่นไส้
“ลูกชายกับเมียคงไม่...แต่ถ้าหลานสาวละก้อ ไม่แน่”
“เคยเจอหลานสาวเขาแล้วเหรอ” การัณย์งง
“พวกนายก็เคยเจอแล้ว...เพื่อนวัชรีไง...คนที่ชื่อว่า อมาวสี”
อนุกับการัณย์มองหน้ากัน
“งั้นขอฉันหุ้นด้วยคนดี้” การัณย์ว่า
ตามด้วยอนุ “แล้วแกจะเอาคุณแคลร์ ชิดชไม ไปไว้ตรงไหน”
“ไม่เป็นปัญหา...ฉันเป็นเจ้าของบริษัทมูฟวิ่ง เชี่ยวชาญเรื่องการเคลื่อนย้ายของทุกชนิด”
ราชบอก ในแสงสลัวของคลับหรูเห็นแววตาอันมุ่งมั่นคมกริบของเขาวาววับ
คืนนี้ นมพริ้งนั่งทอดถอนใจอยู่บนชานเรือน อมาวสีนั่งอยู่ใกล้ๆกัน
“อยากรู้จริงว่านายราชคนนี้หน้าตาเป็นยังไง ทำไมถึงอยากจะซื้อบ้านแก้วให้ได้”
อมาวสีฉงน “เกี่ยวกับหน้าตาด้วยเหรอคะ”
“ก็เผื่อว่า เขาอาจจะเป็น...”
“อ้อเคยเจอเขาแล้วค่ะ ป้า”
“จริงเหรอคะคุณอ้อ”
“จริงจ้ะ...เอางี้...อ้อจะลองให้ป้าเดาดูนะ...ป้าว่าคุณราชเขาสูงขนาดนี้ ขนาดนี้ หรือขนาดนี้”
อมาวสีทำมือบอกระดับความสูงสามขนาด
“น่าจะสูงขนาด...ปานกลาง”
“ผิด...สูงขนาดนี้” อมาวสียกมือไปที่ระดับสูงสุด
นมพริ้ง ถึงกับตกใจ
“ผิวขาวหรือผิวคล้ำ”
“ขาว”
“ผิด...หน้าเกลี้ยงเกลาหรือหนวดเครารุงรัง”
“ผิวหน้า ต้องเรียบเกลี้ยงเกลาสิ”
“ผิด...เป็นคนดุหรืออ่อนโยน”
“ป้าว่าต้องอ่อนโยน...แต่ก็คงจะผิดอีก”
“ใช่จ้ะ ผิด....หนุ่มหรือแก่”
“อยากให้หนุ่ม แต่มาแนวนี้คงจะแก่แหงๆ”
“ผิด หนุ่มค่ะ”
นมพริ้งผิดหวัง ชักท้อ “ว้า...ป้าทายผิดหมดเลย”
“ทีนี้ป้าลองเอาบุคลิกทั้งหมดนี้ผสมกันดูสิจ๊ะ ว่าเขาจะเป็นพี่ภาคย์ได้มั้ย”
พริ้งถอนใจ ผิดหวังอีกครั้ง
“ที่สำคัญที่สุดก็คือแววตา...แววตาของหมอนี่ต่างกับพี่ภาคย์โดยสิ้นเชิง”
“แต่บางทีการไว้หนวดเครา รวมถึงแววตาที่เปลี่ยนไป อาจจะเป็นเจตนาเพื่อปกปิดอะไรบางอย่างก็ได้นะคะ”
“รวมทั้งที่ทำเป็นจำอ้อไม่ได้ด้วย อย่างนั้นเหรอคะ”
อมาวสีและนมพริ้ง ต่างคนต่างครุ่นคิด
“แต่เมื่อเขาต้องการบ้านแก้วมากขนาดนี้ ป้าก็ต้องสงสัยไว้ก่อนว่า เขาอาจจะใช่คุณภาคย์ก็ได้”
นมพริ้งยังคงมีความหวังว่าสิ่งที่เธอคิดยังอาจจะเป็นจริงได้
“เขาถนัดซ้ายหรือขวาคะ” นมพริ้งถาม
“เอ ไม่ทันสังเกตแฮะ”
“คุณภาคย์ถนัดซ้ายค่ะ...ป้าจำได้”
อมาวสีพยายามคิดตามนมพริ้ง
นมพริ้มจำแม่น เหตุการณ์หนึ่งเมื่อสิบห้าปีที่แล้วที่บ้านแก้ว เด็กชายภาคย์ เอื้อมมือข้างซ้ายไปจับมือนมพริ้งขึ้นมาชูตรงหน้า พูดกับแม่นมเสียงสั่นเครือ
“ถ้าฉันไม่อยู่ที่พิชิตพงษ์แล้ว นมพริ้งต้องเก็บรักษาบ้านแก้วให้ฉันนะ”
“คุณภาคย์จะไปไหนล่ะคะ”
“รับปากฉันสินม...แล้ววันนึงฉันจะกลับมาเอาบ้านแก้วของฉันคืน...ไม่ว่าจะอีกนานแค่ไหน...รับปากฉันนะนม”
มันเป็นเวลากลางดึก อมาวสีอยู่ในชุดนอน เพิ่งเดินกลับมาจากเรือนนมพริ้ง ภากรเดินเข้าบ้านมาทางประตูใหญ่ ร้องเรียกอมาวสีทันทีที่เขาเห็นเธอ
“อ้อ...”
อมาวสีหันมามอง ภากรเดินเข้าหาอมาวสี อย่างกรุ้มกริ่ม
“คุณภากรมีอะไรกับอ้อเหรอคะ”
“ตอนนี้ยัง...อีกหน่อย ไม่แน่”
อมาวสีพอจะคุ้นเคยกับท่าทีแบบนี้ของภากร เธอจึงไม่ถึงกับตกใจกลัว
“คุณภากรเมามาอีกแล้วนะคะ”
“คนเป็นพ่อหม้าย ไม่มีอะไรสนุกเท่าดื่มเหล้า”
อมาวสีพลิกตัวจะเดินออก
“อ้อจะรีบไปไหน คุยกับพี่ก่อนซี่”
“อ้อจะไปนอนแล้วค่ะ”
ภากรกระเถิบตัวไปขวางหน้าอมาวสี
“ง่วงเร็วไปหน่อยมั้ง...ไปไหนมา”
“ไปคุยกับป้าพริ้ง”
“ป้าพริ้งน่าคุยด้วยมากกว่าพี่เหรอ” ภากรจับมือเธอ
“คุณภากรชักจะดูไม่ปกติแล้วนะคะ”
ภากรฉุน “พี่มันไม่มีอะไรดีใช่มั้ย สู้ไอ้ภาคย์ไม่ได้ใช่มั้ย”
“เทียบกันไม่ได้หรอกค่ะ”
“หมายความว่ายังไง”
“แล้วแต่คุณภากรจะคิด”
ทั้งสองมองหน้ากันนิ่ง อยู่ซักพัก
“วันหลังจะไปไหนมาไหนบอกพี่นะ พี่ยินดีเป็นคนขับรถให้”
“ขอบคุณค่ะ”
“เดี๋ยวนี้อ้อโตขึ้นมาก...ไปไหนมาไหนตามลำพังไม่ดีหรอก ต้องระวังตัวหน่อย”
“แค่เดินไปหาป้าพริ้ง คงไม่มีอันตรายอะไรหรอกค่ะ”
อมาวสีเดินเลี่ยงออกไป ภากรจับมืออมาวสี
“ซักวันนึง...อ้อจะต้องเป็นฝ่ายเดินมาหาพี่...ไม่ใช่เดินหนีพี่อย่างนี้”
“หวังว่าวันนั้น คงไม่ต้องถึงดึกดื่น อย่างนี้นะคะ”
ภากรมองตามอมาวสีไปด้วยแววตาหื่นกระหาย อยากเชยชมเรือนร่างอรชรเบื้องหน้ายิ่งนัก
อมาวสีขยับตัวลงนั่งบนเตียงนอนนุ่มของเธอ ครุ่นคิดถึง ราช รัชภูมิ ในทุกแง่มุม สุดท้ายอมาวสีตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียง เปิดคอมพิวเตอร์ เซิร์ช หาคำว่า ราช รัชภูมิ หน้าจอคอมพิวเตอร์ ปรากฏเป็นหน้า ราช รัชภูมิ และคลิปโฆษณา บริษัท DSF. Moving ของเขา
อมาวสี คลิก เข้าไปที่ดวงตาของราช จ้องมองดวงตาในจอคอมพิวเตอร์นั้น เธอยังคงหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่ว่า จะเป็นไปได้หรือ ที่ราช รัชภูมิ คือพี่ภาคย์ของเธอ
คำตอบในใจ ยังไม่ชัดเจน
ค่ำคืนเดียวกัน ราชกลับถึงห้องพักในตอนดึก เขานั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ในห้องพัก ในนั้นเห็นเป็นตาราง แผนการใช้จ่ายเงิน กรณีซื้อบ้านแก้ว
ราชนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ส่งไฟล์งานนี้ไปให้ลุงรักษ์ ทางอีเมล สีหน้าของราช...เขาคิดอะไรบางอย่างในใจ ราชกดคอมพิวเตอร์ เซิร์ช ชื่ออมาวสี
ในจอคอมพิวเตอร์ ปรากฏภาพเกี่ยวกับอมาวสีมากมาย ทั้งภาพ ดวงดาว ตารางดวงชะตา ดอกไม้ และผู้คน ในหมู่ภาพนั้น มีหนึ่งภาพ เป็นภาพอมาวสีถ่ายกับเพื่อนๆ ของเธอ
ราชคลิก ซูมไปที่ใบหน้าอมาวสี
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น เขาหยิบมันขึ้นมาดู
มือถือของราช มีข้อความส่งผ่านทาง What's App ใจความว่า
" ถึงเมืองไทยแล้วค้าบ...ถ้าว่างโทรหากันหน่อยโว้ย จากวาริน "
ราชยิ้ม กดหมายเลขโทรศัพท์ทันที รอไม่นานปลายสายก็กดรับ เขากรอกเสียงลงไป
“จะกลับวันไหน ไฟล้ท์อะไร ไม่มีบอกล่วงหน้ากันเลยนะครับท่าน”
วารินนั่งพูดโทรศัพท์ในรถลีมูซีน ข้าวของ ตลอดการแต่งกาย ทุกองค์ประกอบ บอกให้เรารู้ว่า เขาเพิ่งออกมาจากสนามบินสุวรรณภูมิ
“บอกก่อนก็ไม่สนุกสิ...มันต้องมีเซอร์ไพรส์กันบ้าง”
ราช ลุกขึ้นเดินพูดโทรศัพท์อยู่ในห้อง
“เซอร์ไพรส์อย่างนี้...อย่าบอกนะว่าหิ้วเมียแหม่มกลับมาด้วย”
วารินยิ้มขัน “ไม่มีเว้ย ยังโสดสนิทเหมือนเดิม เราชอบผู้หญิงไทยมากกว่า นายก็รู้ไม่ใช่เหรอ”
เสียงราชดังออกมาว่า “เออ...แล้วจะหาให้ซักคนนึง”
“แต่เราแว่วๆมาว่า นายกำลังเจ๊าะ แจ๊ะ กับน้องสาวเราอยู่นะ...จริงรึเปล่า”
“ก็นายฝากให้เราดูแล เราก็ต้องดูแลให้อย่างดี...ไม่ถูกเหรอ...จะบอกให้นะ เพื่อนๆ น้องสาวนาย สวยๆ ทั้งนั้นเลยว่ะ”
“อือม...วัชรีเขาแนะนำอยู่คนนึง เชียร์สุดๆ เลยละ...คนที่ชื่ออมาวสีน่ะ นายเคยเจอรึยัง”
“ก็โอเค. เราช่วยเชียร์อีกแรงด้วยก็ได้”
ราชขยับมาตรงโต๊ะ คลิกที่จอคอมพิวเตอร์ดูรูปอมาวสีอีกครั้ง เป็นรูปจากโฟลเดอร์ที่เขาเก็บรวบรวมไว้
เสียงวารินดังลอดออกมา “พรุ่งนี้นัดเจอกันหน่อยสิ เราไปไหนไม่ถูกว่ะ หายไปห้าหกปี กลับมาเหมือนคนตาบอด”
“โอเค. เราเป็นหมานำทางให้เอง”
สองเกลอปิดสายหยุดการสนทนาในกันและกันเพียงเท่านี้
พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าสวย สาดแสงส่องบ้านนิลรัตน์ ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางความร่มรื่นของแมกไม้นานาพรรณ
ยินเสียงเพลงลีลาศดังออกมาจากเครื่องเสียงในห้องโถงกลางบ้านนิลรัตน์ อมาวสี วัชรี พึงใจ และ นิลรัตน์ เจ้าเรือน จับคู่เต้นรำลีลาศ ตามจังหวะเพลง โดยมีครูสอนเต้นรำคอยกำกับการซ้อมอยู่
เสียงดนตรีมีช่วงเปลี่ยนจังหวะ จาก ควิกสเตป เป็นวอลท์ซ และอื่นๆ
สาวๆทั้งสี่สะดุดเสียจังหวะไปบ้าง ด้วยความที่ไม่คล่อง ในที่สุดทั้งหมดก็หยุดการซ้อม
“เอาละ พักสิบนาที เดี๋ยวค่อยเอาใหม่ตั้งแต่ต้นนะคะ” ครูบอก
สาวๆ ทั้งสี่กระจายตัวออกจากวง
พึงใจบ่นออกมา “โห...เหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย”
“อะไรก็เหนื่อย ๆ...ฉันว่าเธอไปทอดไข่เจียวในครัวแล้วกันยายพึง” วัชรีบอก
“เปลี่ยนเป็นอบไมโครเวฟได้มั้ย น่าจะสบายกว่านะ” พึงใจว่า
คุณนพผู้เป็นพ่อนิลรัตน์เดินเข้ามาสมทบ ผู้ที่เดินตามมาด้วยคือ มรว.หญิงทิพย์สุดา
“เป็นไงกันบ้างสาวๆ ประสบความสำเร็จมั้ย กับการเต้นบอลรูม”
นิลรัตน์บอกบิดาว่า “ไม่มีใครมีปัญหาเลยค่ะพ่อ...นอกจากยายพึงใจคนเดียว”
พึงใจเบะหน้าใส่เพื่อน เพื่อนๆ หัวเราะกันตามจริตใครมัน
“ค่อยๆซ้อมไปเดี๋ยวก็เก่งเอง...หุ่นดีกันทุกคนอยู่แล้วนี่...เอ้อทุกๆ คนมารู้จักคุณป้าหญิงหน่อย...มรว.หญิงทิพย์สุดา ป้าของยายนิลรัตน์”
เด็กๆ ทุกคนยกมือไหว้สวัสดีสวยงาม
นิลรัตน์แนะนำกลุ่มเพื่อน “นี่พึงใจ สาวสวยหุ่นดีที่สุดในกลุ่มเราค่ะ...นี่วัชรี ลูกสาวนายห้างวิรัตน์แห่ง บ.สยามทรัพย์ค่ะ...และนี่อมาวสี หลานสาวคนสวยของรัฐมนตรีกวี พิชิตพงษ์”
อมาวสีท้วง “อดีตรัฐมนตรีจ้ะ”
“เหอะน่ะ...นักการเมืองเขาเรียกกันอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ”
คุณหญิงทิพย์สุดา สนใจตรงคำว่าหลานสาวท่านกวี ถึงกับถามออกมา
“เอ...ไม่เคยได้ยินว่า ท่านกวีมีหลานสาวแฮะ”
วัชรีว่า “ยายอมา เธอประเภท โลว์โพรไฟล์ค่ะ...ไม่ค่อยชอบแสดงตัว”
อมาวสีอธิบาย“หนูเป็นหลานห่างๆ ค่ะ...คุณพ่อคุณแม่เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุ คุณลุงกวีท่านกรุณาเลี้ยงหนูมาตั้งแต่เล็กๆ ค่ะ”
คุณหญิงทิพย์สุดานึกสงสาร “โถ...”
พึงใจกระซิบกับนิลรัตน์ “กลายเป็นดราม่าเลยแก
“แล้วลูกชายท่านกวีล่ะ สบายดีทั้งสองคนมั้ย”
นิลรัตน์ย้อนถามว่า “คุณป้ารู้ด้วยเหรอคะว่ายายอมามีพี่ชายสองคน”
“แว่วๆ ว่างั้นนะ” คุณหญิงว่า
อมาวสีนิ่งไปนิดหนึ่งก่อนเอ่ยปากตอบ
“ตอนนี้อยู่แต่คุณภากรค่ะ...พี่ภาคย์ พี่ชายคนโต หนีออกจากบ้านไปสิบห้าปียังไม่กลับมาเลยค่ะ”
คุณหญิงทิพย์สุดาตกใจ “ตายจริง...เรื่องจริงเหรอเนี่ย...ป้านึกว่าข่าวลือซะอีก”
ทุกคนเงียบ นิ่ง อึ้ง ขึ้นมาเฉยๆ
“ซ้อมกันต่อได้แล้วมั้งสาวๆ...พ่อไม่กวนแล้ว” นพตัดบท
นิลรัตน์ ชวนเพื่อนๆไปตั้งวง ซ้อมเต้นรำกันต่อ มรว.หญิงทิพย์สุดาหันไปพูดกับคุณนพ
“พี่ดีใจจริงๆที่แวะมาบ้านเธอวันนี้นะ พ่อนพ”
“ทำไมเหรอครับ”
“พี่รู้สึกว่า กำลังเข้าใกล้เรื่องราวที่ เฝ้าติดตามมานานนับสิบปี”
นพไม่อาจเข้าใจถ้อยคำ สิ่งที่คุณหญิงทิพย์สุดาพูดออกมาเท่าไรนัก
อ่านต่อหน้า 3
หัวใจเถื่อน ตอนที่ 2 (ต่อ)
ภายในห้องทำงาน ที่สำนักงานท่านกวี หมอดูไพ่ยิปซีกำลังเพ่งสมาธิ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นพูด
“ดวงท่านนี่ เหนื่อยมาตลอด...เหนื่อยนับสิบๆ ปี...ทั้งเรื่องงาน ทั้งเรื่องครอบครัว”
หมอดูนั่งอยู่ตรงหน้าท่านกวี ไพ่ยิปซีวางอยู่เบื้องหน้าหมอ
เพื่อนนักการเมือง 2 คน นั่งห่างออกมา
ทนายชอบ นั่งตรวจเอกสารอยู่หน้าโต๊ะทำงานท่านกวีนั่นเอง
“สิบห้าปีที่แล้ว มีของบางอย่างในบ้านท่านหายไป แต่ทำให้ท่านสบายใจขึ้น”
ท่านกวีนิ่งอึ้งไปนิดหนึ่ง เพื่อน นักการเมือง 1 เอ่ยขึ้น
“ของหายแล้วจะสบายใจได้ไงหมอ”
หมอดูไม่ตอบ ยังคงเพ่งพินิจไพ่อยู่ ทนายชอบยื่นเอกสารส่งให้ท่านกวี
“ท่านต้องเซ็นชื่อตรงนี้อีกที่นึงครับ”
ท่านกวีเซ็นชื่อตามที่ทนาย ชี้ บอก หมอดูเริ่มพูดคำทำนายต่อ
“ท่านเหมาะแล้วที่จะเป็นนักการเมือง เพราะดวงชะตาท่านต้องรับใช้แผ่นดิน รับใช้ประชาชน”
“อย่างนี้ สมัยหน้าได้เป็นรัฐมนตรีแน่นะ” นักการเมือง 1 ซัก
หมอดูบอก “ยัง ยังมีวิบากกรรมอยู่”
“อีกสองเดือนก็ครบห้าปีที่ถูกตัดสิทธิแล้ว ยังไม่หมดกรรมอีกเหรอ” นักการเมือง 1 แย้งอีก
“ไม่ใช่กรรมอันนั้น”
“กรรมเก่า” นักการเมือง 1 ถาม
“ก็ไม่เก่ามาก ซักยี่สิบสามสิบปีที่แล้วนี้เอง”
ท่านกวีชักมีสีหน้าตึงขึ้นมาหลังฟังคำนี้จากปากหมอดู
“ฉันไม่เคยโกงกินอะไรเลยนะ ซักบาทเดียวก็ไม่มีประวัติ”
“ไม่ใช่เรื่องโกงกิน แต่การพรากของรักของหวงของคนอื่นมันก็เป็นเวรเป็นกรรมเหมือนกันนะท่าน” หมอดูบอก
“เฮ้ย ชักไม่เข้าหูแล้วนะหมอ...ไพ่อะไร ทำไมไม่มีดีเลย”
“มีสิครับ มีดีอยู่ แต่ท่านต้องแก้เคล็ดหน่อย ท่านต้องหันมาจับธุรกิจที่เป็นบุญทาน เป็นการรักษาชีวิตผู้คน”
“จะให้ฉันทำหน่วยกู้ภัย แข่งกับร่วมกตัญญู ปอเต๊กตึ๊งเหรอ” ท่านกวีย้อน
ทนายชอบรวบรวมเอกสารเดินมาหาท่านกวี
“เรียบร้อยครับ เดี๋ยวผมจะรีบไปที่แบงค์...ภายในบ่ายนี้หุ้นกลอนกวีทั้งหมด 51% จะเป็นของท่าน...ทีนี้ท่านจะกำหนดทิศทางบริษัทของท่านได้เองเหมือนเดิมครับ”
ทนายชอบเดินออกจากออฟฟิศ
หมอดูพูดต่อ “ลองทำอาหารเพื่อสุขภาพมั้ยครับ”
“ก็ทำอยู่ ขาดทุนทุกปี” ท่านกวีบอก
“งั้นก็ยารักษาโรค...เกี่ยวกับเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ อะไรทำนองนี้แหละ น่าจะเหมาะ”
“วันหลังค่อยดูใหม่แล้วกันหมอ...วันนี้อารมณ์ไม่ค่อยดีแล้ว...คนอื่นจะดูบ้างมั้ย ธาริษ...ไอ้ปึ้ง ว่าไง”
“ไม่ละครับ ผมไปส่งหมอกลับเลยดีกว่า” นักการเมือง 1 นาม ธาริษ บอก
ทุกคนขยับตัวลุกขึ้น หมอดูเดินเข้าไปพูดเบาๆใกล้ๆท่านกวี
“โทษนะครับ ท่านมีลูกชายคนเดียวหรือสองคนครับ”
ท่านกวีนิ่งไปนิดหนึ่งก่อนตอบอย่างระมัดระวังท่าที
“หายสาบสูญไปคนนึง...ก็เท่ากับเหลืออยู่คนเดียว”
“อือม....”
“มีอะไรเหรอ”
“มันมีเด็กหนุ่มคนนึงใกล้ชิดท่านมาก แต่ไม่ใช่ลูกท่าน”
หมอดูยกไพ่รูปเด็กหนุ่มให้ท่านกวีดูบอกออกมาว่า
“เขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรของท่าน”
คำทำนายนี้ของหมอดู ทำเอาท่านกวีอึ้งไปในทันที
ทางด้านราชเดินเข้ามากลางโถงบ้านพรสุขหลังนี้ วาริน เดินออกมาต้อนรับเพื่อนรัก วารินตะโกนทักเสียงดัง
“ไฮ...มิสเตอร์ราช รัชภูมิ”
“มิสเตอร์วาริน รัตนพงษ์”
ทั้งสองหนุ่มโอบกอดทักทายกันเยี่ยงชาวต่างชาติ ราชขยับตัวลงนั่งสบายๆ แล้วจึงพูด
“ทำไมบ้านเงียบอย่างนี้ล่ะ...ลูกชายคนโตของบ้านกลับมาจากเมืองนอกทั้งทีมันต้องคึกคักหน่อยสิ”
“เรากะจะเซอร์ไพรส์เขา...เจอพวกเขาเซอร์ไพรส์กว่า หายไปทั้งบ้านไม่บอกไม่กล่าวกันเลย...เมื่อคืนเกือบเข้าบ้านไม่ได้แน่ะ”
“ถามจริง”
“เว่อร์บ้างนิดหน่อย...คือทุกคนบอกว่ามีธุระกันหมด แต่เราเดาว่าต้องออกไปเตรียมงานเลี้ยงเซอร์ไพรส์เราแน่ๆ”
“มีงานเลี้ยงด้วย”
“อ้าว ระดับไหนแล้ว...รับรองพ่อเราต้องเตรียมเปิดตัวเราอย่างบึ้ม...ชัวร์ ประกาศให้โลกรู้ว่า คนนี้ลูกกู ลูกนายห้างใหญ่ คนอื่นห้ามแตะ”
“ขับรถฝ่าไฟแดง ตำรวจไม่กล้าจับงั้นสิ” ราชเย้า
“เฮ่ย...ไม่ได้เว้ย ต้องเป็นเรื่องถูกกฎหมายเท่านั้น... พอจบงานเลี้ยง เราก็ต้องทำงาน ใช้หนี้พ่อ”
“ก็ดีกว่าร่อนไปร่อนมา ไม่มีงานทำ”
วารินจ้องหน้าราช ก่อนพูด “หนวดเครา ไม่คิดจะโกนบ้างเหรอ”
“ยังไม่มีแรงบันดาลใจ”
“หาซี่”
ราชเอ่ยสัพยอก “ว่าจะหาจากน้องสาวนายนี่แหละ”
“เอาจริงดี้ จะได้ขอพ่อให้...แต่นายต้องเคลียร์คุณชิดชไมก่อนนะ” วินรินแซวกลับ
“ล้อเล่น...เอ้า วันนี้จะไปไหน เราจะขับรถให้”
“ตอนแรกว่าจะไปหาอะไรกินข้างนอก แต่ยายวัชรีเพิ่งโทร.มาบอกให้รอ กำลังกลับมา”
“ชวนไปกินด้วยกันซี่”
“เขาไม่ได้มาคนเดียว...พาอมาวสีมาด้วย...และมีกับข้าวมากมายมาฝาก...อยู่กินด้วยกันก่อนแล้วอย่างอื่นเดี๋ยวค่อยว่ากัน”
วารินดูมีความสุขเมื่อพูดถึงอมาวสี ส่วนราชนั้น วางหน้าเฉยสนิท
ไม่นานนัก รถตู้ของบ้านแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านพรสุข เมื่อประตูรถเปิดออก สาวๆทั้งสี่ทยอยก้าวลงมาจากรถ พึงใจมองเข้าไปในบ้านแล้วถึงกับสะดุ้ง ออกอาการดีใจออกนอกหน้า
“อุ๊ย ตายักษ์ของเธอมาด้วยแหละยายวัช”
วัชรีและนิลรัตน์กระเถิบเข้าไปชิดและมองตามสายตาพึงใจ อมาวสีเพียงแต่เหลียวไปมองเฉยๆ...ไม่มีใครมองออกว่าเธอคิดอย่างไร
วารินเดินนำราชออกมาหน้าบ้าน วัชรีทำหน้าที่แนะนำเพื่อนๆ ทันที
“ทุกคน...นี่พี่ชายสุดหล่อของเรา พี่วาริน”
ทุกคนไหว้ทักว่า “สวัสดีค่ะ” พร้อมเพรียง
“นี่นิลรัตน์ นี่พึงใจ...และนี่อมาวสีค่ะ”
“สวัสดีทุกคนครับ...และนี่ราช เพื่อนพี่”
ทุกคนสวัสดีราช ยกเว้นอมาวสี
“พวกเราทุกคนรู้จักแล้วค่ะ” พึงใจว่า
“เดี๋ยวพี่ยักษ์...เอ๊ย พี่ราช ทานกลางวันด้วยกันนะคะ” นิลรัตน์บอก
“พวกเราจะลองตำส้มตำกันเองค่ะ...ซื้อเนื้อย่าง หมูย่าง ไก่ย่างมาแล้ว” วัชรีว่า
“ผมกินจุ เดี๋ยวน้องๆจะไม่พอทาน” ราชบอก
“โอ๊ย เหลือเฟือค่ะ...เชิญที่ครัวเลยดีกว่า จะได้ให้ช่วยสับไก่” พึงใจว่า
วัชรีเดินนำทุกคนไปยังห้องครัว
อมาวสีไม่แสดงท่าทีตื่นเต้นต่อ ราช รัชภูมิ เช่นเพื่อนทั้งสามของเธอ
กลุ่มสาวๆ ที่กำลังช่วยกันทำส้มตำและเตรียมจัดอาหารอื่นๆ อยู่ในครัว ราชกำลังสับไก่ด้วยมือซ้าย อมาวสีเดินถือจานเข้ามายืนมองภาพนี้นิ่งๆ
ราชหยุดการสับ เงยหน้ามองอมาวสี “ผมทำอะไรผิดเหรอ”
“ไม่คิดว่าคุณราชจะถนัดซ้าย”
“ผมถนัดทั้งสองมือครับ...แต่ไม่เคยรู้ว่ากฎการสับไก่ต้องใช้มือขวา”
ราชเปลี่ยนเป็นใช้มือขวาสับไก่
“ชิ้นใหญ่ไปมั้งคะ” อมาวสีบอก
ราชสับซ้ำให้ชิ้นเล็กลง แล้วจึงเงยหน้าพูดยิ้มๆ
“จู้จี้เหมือนกันนะ เรา”
อมาวสีไม่โต้ตอบ เธอวางจานที่ถือมาตรงหน้าราช
“นี่จานนะคะ”
“ผมรู้จักตั้งแต่เด็กแล้วครับ”
อมาวสีสะบัดหน้าจะเดินออก
ราชเอ่ยปากต่อล้อ ด้วยน้ำเสียงกวนๆ
“ขี้งอนอีกต่างหาก”
อมาวสีหันกลับมาพูดกับราช
“ดิฉันไม่ได้ขี้งอน แต่ไม่สนุกกับการต่อปากต่อคำกับคนแปลกหน้า”
“ถือตัว” ราชเหน็บแนม
“แล้วแต่คุณจะคิด”
“ถือให้ได้ตลอดก็แล้วกัน...เผื่อวันนึงนายภาคย์อะไรของคุณเขากลับมา เขาจะได้ไม่ผิดหวัง”
“พี่ภาคย์จะผิดหวังเรื่องอะไร” อมาวสีจ้องตาเขา
“ไม่รู้”
“เรื่องเดียวที่พี่ภาคย์จะผิดหวังก็คือเรื่องที่คุณแย่งบ้านแก้วไปจากเขา”
ราชขยับมาจับมืออมาวสี
“กรุณาพูดให้ถูกครับ ผมไม่ได้แย่ง...ผมได้สิทธิ์นี้มาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และแลกด้วยเงินจำนวนที่สูงไม่น้อย”
วัชรีเดินเข้ามา ราชรีบปล่อยมือ
“สับไก่เสร็จหรือยังคะ”
“ควรจะเสร็จนานแล้ว ถ้าคุณอมาวสีไม่มาชวนผมคุย”
“ยายอมาเธอเป็นคนคุยเก่งอย่างนี้แหละค่ะ”
วารินเดินตามมาสมทบ “มีอะไรให้พี่ช่วยยกมั้ยครับ คุณอมาวสี”
“มีไก่ห้าจานค่ะ”
“มา ผมยกเอง” วารินหันมาทางราช “จานนี้พิเศษเหรอวะ นี่มันละเอียดยิบแบบสับไม่เลี้ยงเลยนะ”
อาหารมากมายวางเรียงบนโต๊ะ ในห้องอาหาร ทุกคนเพลิดเพลินกับการตักอาหารเหล่านั้น วัชรียืนขึ้นตรงหัวโต๊ะ เธอใช้ส้อมเคาะกับแก้วเสียงดังกังวาน
“ทุกคนฟังทางนี้หน่อยค่า...ในฐานะลูกสาวคนเดียวแห่งบ้านหลังนี้ ดิฉันขอประกาศต้อนรับพี่วารินกลับสู่บ้านพรสุขอย่างเป็นทางการค่ะ”
ทุกคนตบมือ
“อะไร งานเลี้ยงต้อนรับพี่มีแค่นี้เหรอคุณน้อง” วารินยิ้ม
“ไม่บอก...คุณพี่อยู่เฉยๆ ทำตัวว่างๆ เดี๋ยวคุณน้องจัดการเอง”
ราชพูดลอยๆ กับวาริน “ว่างๆ นายซ้อมเต้นรำไว้หน่อยก็ดีนะ”
สาวๆ ทุกคนหันมาหาราชทันที ยกเว้นอมาวสี สามสาวร้องขึ้น “ตายักษ์”
“อุ้ย...โทษทีครับ”
“แน่ะ...กะจะให้พี่ปล่อยไก่กลางงานใช่มั้ยคุณน้อง”
“ไม่ต้องห่วง...ถ้าคุณพี่ปล่อยไก่ คุณน้องจะให้ยายอมาช่วยจับให้ค่ะ...ทุกคนดื่ม ค่ะ ดื่ม”
ทุกคนยื่นแก้วน้ำของตนออกมากระทบกัน วารินชนแก้วกับอมาวสี
ราช ลอบมองท่าทีของคนทั้งสอง
“เฮ้ วาริน...เราว่าหน้าตานายกับอมาวสีมีอะไรคล้ายๆ กันนะ”
“เหรอ” วารินยิ้ม
“อุ๊ย...เขาว่าคนเป็นเนื้อคู่กันหน้าตามักจะเหมือนกันนะคะ” นิลรัตน์ระรื่น
พึงใจยื่นหน้าเข้าไปวางข้างๆ หน้ารกครึ้มของราช พึงใจยิ้มหวานแล้วเอ่ยจึงปากถาม
“เหมือนกันมั้ย”
นิลรัตน์กระซิบใส่หูพึงใจ “ไปปลูกหนวดก่อนเถอะย่ะ”
วัชรีขยับเข้าไปใกล้อมาวสี
“อมา เธอลองดูซิว่า พี่วารินของฉันมีอะไรเหมือนพี่ภาคย์ของเธอบ้างรึเปล่า”
อมาวสีมองหน้าวาริน โดยวารินยิ้มให้ ราชเหลือบมองอมาวสีในจังหวะนี้ อมาวสีรู้สึกตัวว่าถูกจ้องมอง...เธอเหลือบมองราชนิดๆ
“จำได้แต่ว่า พี่ภาคย์ร้องไห้เก่ง...ร้องไห้ทุกวัน”
ราชหัวเราะเสียงดัง
“นายคงต้องร้องไห้ให้คุณอมาวสีดูแล้วมั้ง”
“ยากไปว่ะ...เอ้า กินกันต่อเถอะครับ”
“วันนี้ให้พี่วารินไปส่งเธอนะ อมา” วัชรีบอก
“ฉันกลับเองได้”
วัชรีคะยั้นคะยอ “เหอะน่า...หรือจะให้พี่ยักษ์ไปส่ง”
“เสียใจจริงๆครับ เผอิญ ผมมีนัดซะแล้ว”
วารินมองหน้าราช แปลกใจ ราชพยักหน้าให้สัญญาณวาริน ให้พูดกับอมาวสี
“ให้เกียรติพี่ไปส่งน้องอมาวสีนะครับ”
“หนูไปด้วยนะคะ จะได้บอกทางให้” พึงใจขอแจม
เพื่อนๆ พากันเบะหน้าใส่พึงใจ
“ถ้าบังเอิญเห็นใครถนัดซ้าย อย่าเพิ่งทึกทักว่าเขาเป็นพี่ภาคย์ของคุณนะครับ...เพราะมันไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไปหรอก”
จู่ๆ ราชก็เอ่ยขึ้น คล้ายๆ ต้องการเคลียร์ตัวเองกับอมาวสีเป็นการเฉพาะ
ด้านสีไพรกำลังทำกับข้าวง่วนอยู่หน้าเตาแก๊สในครัวเล็กๆ นายสุดเดินงัวเงียเข้ามาหา
“ทำอะไรน่ะลูก”
“อุ่นแกงจืดให้พ่อจ้ะ...เดี๋ยวมีไข่ยัดไส้อีกอย่างนึง”
“ขอบใจนะลูก”
“พ่อนอนต่ออีกนิดสิจ๊ะ...เดี๋ยวกับข้าวเสร็จแล้วไพไปปลุก”
“นอนพอแล้วหละ...ที่จริงพ่อตั้งใจจะชวนลูกไปทานข้าวข้างนอกกัน...พ่อเพิ่งรับเงินค่าแรงมาเมื่อคืน”
“อย่าเลยจ้ะ...เก็บเงินไว้ใช้ที่จำเป็นดีกว่า...หรือว่าฝีมือทำกับข้าวของไพ ไม่ได้เรื่อง”
“ใครว่าล่ะ...ลูกได้รับมรดกมาจากแม่เต็มๆ เลยนะ รู้มั้ย” สุดบอก
“ที่จริงพ่อน่าจะยอมให้สีไพรกลับไปทำงานร้านอาหารนะ...จะได้ช่วยพ่อเก็บเงิน ในระหว่างที่ไพยังไม่ได้งาน”
“อย่าเลยลูก ครั้งสุดท้ายที่หนูไปทำงานร้านอาหาร...มันทำให้หนูพบกับผู้ชายอย่างนายภากร...พ่อไม่อยากให้มีเหตุการณ์อย่างนี้อีก ถ้าหนูจะทำงานร้านอาหาร มันต้องเป็นร้านของเราเองเท่านั้น”
สีไพรตื่นเต้นที่ได้ยินเช่นนั้น “มันจะเป็นไปได้เหรอจ๊ะ พ่อ”
“พ่อต้องทำให้มันเป็นไปให้ได้...ลูกอาจจะโชคไม่ดีเท่าคนอื่นๆ ที่มีพ่อที่หยิบยื่นโอกาสให้หนูได้เพียงน้อยนิด...เพราะฉะนั้นพ่อจะต้องไม่ลดละความพยายามที่จะทำให้ฝันของสีไพรเป็นจริงให้ได้”
สีไพรโผเข้าไปกอดรัดพ่อด้วยความรัก
“พ่อคงไม่ได้คิดจะเอาเงินจากคุณภากรมาเป็นทุนทำร้านอาหารนะคะ”
นายสุดนิ่ง ไม่ตอบ สีไพรผละออกจากอ้อมกอดของพ่อ เธอจ้องหน้าผู้เป็นพ่อนิ่ง
“สีไพรคงไม่มีความสุขหรอกนะ ถ้าร้านอาหารของเรามันจะมาจากเงินที่พ่อขู่เอาจากคุณภากร...และคุณภากรก็ไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้นด้วยนะพ่อ”
นายสุดถอนหายใจดังเฮือก “เรายังคบกันอยู่ใช่มั้ย”
สีไพรนิ่ง
“อย่าโกหกพ่ออีกนะ”
“ค่ะ...แต่เราไม่ได้ไปที่อย่างนั้นแล้ว...คุณภากรมาหาไพที่นี่...ตอนที่พ่อไม่อยู่”
นายสุดนิ่ง อึ้ง ไปบ้าง
“อย่างน้อยก็แปลว่า คุณภากรยังไม่ได้ทอดทิ้งไพไปนะพ่อ”
นายสุดค่อยๆ เดินกลับไปห้องนอนของตัวเอง เงียบๆ
บ่ายวันนี้ ราชและชิดชไมเดินปะปนกับผู้คนบนถนนย่านการค้าแห่งนี้ ครีเอทีฟตื่นตาตื่นใจมาก เธอยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปอย่างสนุก ราชก็พลอยเพลิดเพลินไปด้วย
“คุณยังคงชอบถ่ายรูปเหมือนเดิมนะ แคลร์”
“ราชเลิกถ่ายแล้วเหรอ”
“ผมมีอะไรอย่างอื่นต้องทำเยอะ”
“งั้นแคลร์คงไม่มีอะไรทำมั้ง”
“ถ้าอย่างแคลร์เรียกว่าไม่มีอะไรทำ...พวกที่เดินๆ อยู่นี่คงเป็นง่อยกันหมด”
“ราชช่วยไปยืนตรงนู้นให้หน่อยสิ...เป็นแบบให้แคลร์หน่อยนะ อย่ามองกล้องล่ะ”
ราชทำตามที่ชิดชไมบอก ชิดชไมถ่ายรูปราชอย่างสนุก ถ่ายโคลสอัพภาพราช หลายๆ มุม
จังหวะหนึ่งชิดชไมหยิบหมวกปีกจากร้านค้าริมถนน สวมลงบนหัวราช แล้วจึงกดชัตเตอร์ ถ่ายภาพนี้
“ใส่หมวกแล้วหล่อเหมือนกันนะเราเนี่ย เหมือนคุณหลวง ย้อนยุคเลย”
“ถามจริง”
“จริงเจ้าค่ะ...คุณหลวงราช ของแม่แคลร์”
ขณะเดียวกัน ในพื้นที่โล่งๆ ของตึกแถวสภาพทรุดโทรม เก่าคร่ำคร่า หลังนี้ จอนเดินเข้ามาในนั้น ตามมาด้วยสายบัว และไอ้ตี๋คนดูแลตึกเดินตามมาไม่ห่างนัก
จอนมองไปรอบๆห้องด้วยสีหน้าและแววตาที่พอใจไม่น้อย
“เหมาะ เหมาะมาก...เหมาะสมกับธุรกิจนับสิบๆ ล้านของเรา...ค่าเช่าแพงมั้ย”
“พอพูดกันได้น่าเฮีย...เพราะเจ้าของตึกนี้อี นิสัยแบบเดียวกับเฮียนั่นแหละ” ไอ้ตี๋บอก
จอนชอบใจ “ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ แจ๋ว...”
“แต่ปัญหาของเราตอนนี้คือ เรากำลังไม่มีอะไรจะกินนะพี่” สายบัวว่า
“ไม่ต้องห่วง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ ไอ้เผือก ไอ้เหิม ไอ้อ้อน...เรื่องแบบนี้ พวกมันถนัดนัก” จอนบอก หน้าตาเจ้าเล่ห์เพทุบาย
ใจกลางถนนย่านการค้าแห่งนั้น กลุ่มคนมุงดูบางเหตุการณ์วุ่นวายบางอย่างอยู่
ชิดชไม ลดกล้องลงชะเง้อมองไปยังภาพนั้น ตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้กลุ่มผู้คนที่มุงกันอยู่
ราชเดินตามชิดชไมไม่ห่าง กลางกลุ่มผู้คนที่กำลังมุงเป็นวงอยู่ เห็นชายสองคนกำลังตะโกนเถียงกันหน้าร้านค้า มันคือไอ้เหิมกับไอ้เผือก ลูกน้องจอน
ไอ้เหิมกำลังเล่นบทจับไอ้เผือกที่แอบขโมยของบนแผงหน้าร้านค้า
“เอาออกมาเดี๋ยวนี้เลยมึง” เหิมบอก
“เอาอะไรล่ะ...จะให้ฉันเอาอะไรออกมา”
“ก็...ที่แกยัดใส่ไปในกางเกงน่ะ...ล้วงเอาออกมาคืนให้หมดเดี๋ยวนี้...จะหยิบเองดีๆ หรือให้ฉันล้วงออกมา”
เผือกค่อยๆหยิบของในกระเป๋าออกมา มันเป็นสินค้าของหน้าร้านนั้น ผู้คนที่มุงอยู่ส่งเสียงฮือฮา
“มันน่าจับส่งตำรวจนัก...ขโมยมากี่ร้านแล้ว...ไปขอโทษเจ้าของร้านเดี๋ยวนี้...บอกว่าจะไม่ทำอย่างนี้อีกแล้ว”
ในกลุ่มไทยมุงรอบนอกนั้น มีเด็กหนุ่มร่างผอมบาง มันชื่อว่า ไอ้อ้อน ลูกน้องอีกคนของจอน
อ้อนอาศัยจังหวะที่ผู้คนกำลังสนใจการแสดงของไอ้เหิมและไอ้เผือก เอื้อมมือหยิบสตางค์จากกระบะใส่เงินของร้านข้างๆกลุ่มคนมุงนั้น แล้วค่อยๆ เดินไปล้วงกระเป๋าสตางค์ของไทยมุงที่กำลัง เผอเรอกันอยู่
ราชเหลือบไปเห็นพฤติกรรมของไอ้อ้อน เขาจ้องมองอย่างสนใจ
เมื่อไอ้อ้อนได้ของจนเป็นที่พอใจแล้ว มันค่อยๆเดินเลี่ยงออกมา ทิ้งบทบาทการแสดงของเผือกและเหิมไว้เบื้องหลัง
ราชเดินเข้าไปขวางหน้าอ้อนไว้ได้ทัน ก่อนที่มันจะหลุดรอดไปจากบริเวณนั้น
“จะรีบไปไหน”
อ้อนเงยหน้ามองราช นิ่ง “ถามทำไม พี่จะไปด้วยเหรอ”
“ได้...แต่ต้องหลังจากที่นายเอาของคืนเจ้าของให้หมดก่อน”
อ้อนอึ้งไป...มันพยายามยิ้มกลบเกลื่อน “ของอะไร ผมไม่รู้เรื่อง”
ราชกระชากมืออ้อนขึ้นมาบิด หัก จนอ้อนส่งเสียงร้องดังลั่น
“โอ๊ย”
เหิม และ เผือกได้ยิน พวกมันหันมามองที่ไอ้อ้อน
“ทีนี้รู้เรื่องรึยัง...หรือต้องให้ฉันพาไปหาตำรวจก่อน”
“โอ๊ย...รู้แล้วๆๆ...เจ็บ โอ๊ย เจ็บครับพี่”
ชิดชไมเดินเข้ามาถ่ายรูปราช พร้อมกับที่อ้อน ค่อยๆ หยิบของออกจากกระเป๋าของมันส่งให้ราช
“แคลร์ คุณช่วยเอาของพวกนั้นคืนเจ้าของที” ราชบอก
ชิดชไมรับของจากมืออ้อน แล้วตะโกนถามชาวบ้านที่มุงอยู่รอบๆ
“กระเป๋าตังค์ของใครบ้างคะ...เชิญรับคืนได้ทางนี้เลยค่ะ พี่น้อง”
ชาวบ้านต่างส่งเสียงก่นด่ากระจาย เผือกและเหิม รีบเดินออกจากที่เกิดเหตุ มันเลือกที่จะเดิน เฉี่ยว ชน ราชอย่างจงใจ ราชปล่อยมือจากอ้อน เมื่อมันส่งของคืนจนครบ
“ไปไหนก็ไปได้แล้ว ก่อนที่จะโดนประชาทัณฑ์”
อ้อนรีบวิ่งจู๊ดออกไป
“ซุปเปอร์ฮีโร่จริงๆค่ะ คุณราช รัชภูมิ”
ชิดชไมว่า พลางยิ้มหวานให้ราช
ลูกน้องกลับมามือเปล่า จอนกำลังอาละวาดโวยวายเสียงดังลั่น กลางห้องโล่งบนตึกแถวนั้น
“อะไรวะ พวกเอ็งหายไปครึ่งค่อนวัน แต่ไม่ได้อะไรกลับมาเลยงั้นเหรอ”
เราจะเห็นไอ้อ้อนยืนซีดอยู่ตรงหน้าจอน
ไอ้เหิม ไอ้เผือก ยืนห่างออกไป
สายบัวนั่งอยู่ไม่ไกลจากนายจอน “โธ่...ดีแต่คุย”
“ก็กำลังจะได้อยู่แล้ว...เยอะด้วย...แต่...” อ้อนบอก
“แต่อะไร” จอนซัก
“แต่ดันมีพระเอกโผล่มาขัดจังหวะซะก่อน”
“เอ็งเรียกมันว่าพระเอก แปลว่าเอ็งยอมรับว่าเอ็งเป็นผู้ร้ายงั้นสิ”
จอนฟาดมือลงบนหัวกบาลไอ้อ้อนหนึ่งที
“หน้าตาฉันมันออกไปแนวนั้นนี่ ไม่ถูกเหรอ”
“มันเป็นใคร”
“ไม่รู้”
เหิมขยับตัวเข้าใกล้ลูกพี่มัน “ฉันได้กระเป๋าตังค์มันมา ลูกพี่”
“ค่อยยังชั่ว” จอนว่า
“แต่มันไม่มีตังค์ซักบาท”
สายบัวร้อง “ถุ๊ย”
เหิมบอกอีก “นอกจากนามบัตรหนึ่งใบ”
“ไหน เอามาดูซิ”
เหิมส่งกระเป๋าตังค์ให้ลูกพี่ จอนหยิบนามบัตรในกระเป๋านั้นออกมาดู
ในนามบัตรใบนั้น เป็นตัวหนังสือออกแบบสวยงาม พร้อมข้อความว่า ราช รัชภูมิ D.S.F. Moving
“นึกว่าใคร...”
จอนโกรธจัด บีบนามบัตรใบนั้นจนเป็นก้อน ยับเยินคามือ
ราชขับรถมาตามถนนด้วยสีหน้าเบิกบานอย่างอารมณ์ดี ขณะที่ชิดชไมเอ่ยปากถามราชด้วยความแปลกใจ
“ราชยอมให้มันฉกเอากระเป๋าตังค์ไปด้วยเหรอ”
“ก็แค่กระเป๋าเปล่าๆ ไม่มีอะไรนอกจากนามบัตร ให้พวกมันเจ็บใจเล่นๆ”
“แต่มันก็รู้ชื่อ ราชน่ะสิ”
“และก็จะรู้ด้วยว่า นายราชทำงานอะไร...ถือเป็นการพีอาร์บริษัทไปในตัว”
“ระวังเถอะ มันจะมาล้างแค้นเอาทีหลัง”
“สนุกดีออก”
“ถ้าถึงขั้นเลือดตกยางออก จะว่ายังไง”
“คุณเป็นห่วงผมเหรอ แคลร์”
“ไม่ มั้ง”
“คุณเพิ่งบอกว่าผมเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ไง...ผมไม่เป็นอะไรหรอกน่า”
ราช รัชภูมิ ดูเขาจะย่ามใจเกินไปแล้ว
อ่านต่อหน้า 4
หัวใจเถื่อน ตอนที่ 2 (ต่อ)
เวลานั้น รถประจำบ้านแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านพิชิตพงษ์ คุณหญิงอำภาก้าวลงมาจากรถ เด็กรับใช้ชื่อจันวิ่งเข้ามารอรับใช้
“นมพริ้งอยู่มั้ย”
“อยู่ค่ะ เดี๋ยวจันไปตามให้นะคะ”
“ไม่เป็นไร...ฉันเดินไปเอง”
ไม่นานนัก นมพริ้งก้าวเข้ามาบริเวณระเบียงหน้าเรือน “คุณหญิงมีอะไรเหรอคะ”
คุณหญิงอำภานั่งสบายๆ บริเวณระเบียงนั้น
“ฉันจะมาชวนพริ้งไปบ้านแก้วด้วยกัน...ไปดูเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ฉันจะไม่มีโอกาสเหยียบที่นั่นได้อีก”
นมพริ้งรู้สึกเศร้าใจขึ้นมาทันที เธอค่อยๆ เอ่ยปากเรียบเรียงคำพูด
“เอ้อ...คุณหญิงจะไม่เปลี่ยนใจเหรอคะ...นายแม่อุตส่าห์สั่งเสียไว้ว่าให้ยกบ้านแก้วเป็นสมบัติของ…”
คุณหญิงอำภาพูดสวนนมพริ้งขึ้นมาก่อน
“พริ้ง ฉันไม่ได้มีลูกชายคนเดียวนะ ฉันหมกมุ่นกับเรื่องนี้เรื่องเดียวไม่ได้หรอก มันจะทำให้ฉันละเลยลูกชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกชายของฉันเหมือนกัน”
นมพริ้งเงียบไป หยุดที่จะพร่ำรำพันถึงบ้านแก้ว
“ยิ่งตอนนี้ดูเหมือนว่าภากรดูจะมีปัญหาอยู่...ฉันควรจะเอาใจใส่เขามากกว่านี้”
“ค่ะ”
คุณหญิงอำภาขยับตัวลุกขึ้น “ไปวันไหน ฉันจะบอกอีกที...พริ้งไปกับฉันนะ”
“เจ้าค่ะ”
คุณหญิงเดินออก กลับเรือนหลังใหญ่ไป
ตอนค่ำ ท่านกวี เดินตรงไปยังรถของตนที่จอดอยู่หน้าออฟฟิศ มอเตอร์ไซค์หนึ่งคันแล่นปราดเข้ามาจอดประชิดตัวท่านกวีอย่างน่าตกใจ บรรดาผู้ติดตาม ขยับตัวป้องกันอดีตรมต. แทบจะไม่ทัน เมื่อชายผู้นั้นถอดหมวกกันน็อคออก จึงเห็นว่าเป็นนายสุด
“ผมชื่อสุด ผมเป็นประชาชนธรรมดาๆ มีอาชีพเป็นภารโรง...ผมมีเรื่องอยากจะร้องเรียนกับท่าน
“โธ่ ทำซะตกอกตกใจหมด...มีเรื่องอะไรจะให้ฉันช่วย ก็ว่ามา”
“ลูกชายของท่าน มีสัมพันธ์กับลูกสาวของผม”
ท่านกวี งง เครียด และช็อกในที่สุด
ที่ร้านเหล้าแห่งนั้น ภากรยกแก้วเหล้า เทใส่ปาก ข้างๆ กายของเขา มีหญิงสาวเซ็กซี่ คอยคลุกเคล้า คลอเคลีย เอาอกเอาใจมากมาย เสียงโทรศัพท์มือถือของภากรดังขึ้น ภากรยกขึ้นดูเบอร์ผู้โทรเข้า จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินแยกตัวออกมาจากวงล้อมสาวๆ แล้วจึงกดรับสาย
“สวัสดีครับพ่อ...จะชวนผมไปลงพื้นที่กลางดึกเหรอครับ”
ท่านกวียืนพูดโทรศัพท์เสียงดุ หน้าเครียด อยู่ในห้องทำงานที่บ้านพิชิตพงษ์
“กลับมาบ้านเดี๋ยวนี้...เรามีเรื่องต้องคุยกัน เป็นการส่วนตัว”
ภากรยืนพูดโทรศัพท์ที่เดิม สีหน้าของเขาเจื่อนลงไปเยอะ
“ครับ พ่อ”
คุณหญิงอำภาเดินเข้ามาในห้องทำงานสามี ในจังหวะเดียวกับที่ท่านกวีเพิ่งวางหูโทรศัพท์
“มีเรื่องอะไรรึเปล่าคะ”
“ก็เรื่องลูกชายเรา...นายภากร”
“เขาอยู่ที่ไหนคะ”
“ผับ บาร์ ร้านเหล้าอะไรซักที่นึง เสียงเมาอ้อแอ้เชียว”
“ดูคุณหน้าตาเครียดจัง ฉันพอจะช่วยอะไรได้บ้างมั้ย”
ท่านกวีส่ายหน้า “อย่าเพิ่งเลย ให้ผมจัดการเองดีกว่า”
คุณหญิงอำภามองสามีด้วยความเป็นห่วง แล้วจึงเดินเลี่ยงออกไป
ท่านกวีครุ่นคิด ถึงเหตุการณ์เมื่อตอนบ่ายที่เพิ่งผ่านมา เวลานั้นนายสุด ยืนพูดกับท่านกวี กลางสำนักงานนั้นเอง ท่านกวีพยายามฟังนายสุดอย่างตั้งใจ
“สีไพรอายุยี่สิบเอ็ดปี เธอฝึกงานเป็นแคชเชียร์ร้านอาหารเมื่อห้าเดือนก่อน คุณภากรไปเจอสีไพรที่นั่น จากนั้นก็ตามจีบสีไพรแทบจะทุกคืน แม้ผมจะให้สีไพรออกจากงาน แต่ลูกชายของคุณก็ยังไม่ยอมเลิกรา จนในที่สุดทั้งคู่ก็มีอะไรกัน”
“ไม่เห็นมีตรงไหนที่ลูกชายฉันไปข่มขู่อะไรลูกสาวนาย จนถึงกับต้องมาร้องทุกข์กล่าวโทษกันเลย...ในเมื่อมันก็โตๆ กันแล้วทั้งคู่”
นายสุดสูดลมหายใจก่อนพูดต่อ
“ถ้าผมบอกว่าทั้งสองรักกัน ท่านจะว่ายังไง...ท่านเชื่อมั้ย”
ท่านกวียิ้มกว้างจนเกือบจะเป็นหัวเราะ
“มันจะเป็นไปได้ยังไง...ลูกชายฉัน กับลูกสาวภารโรงอย่างนาย...นายใช้อะไรคิดเนี่ย”
“นั่นไงครับ...เพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้...ผมถึงบอกว่านายภากรลูกชายท่านจงใจหลอกลวงสีไพรลูกสาวผม”
ท่านกวีลุกขึ้นยืน และเดิน เปลี่ยนอิริยาบถ
“เฮ้อ...ไอ้เรื่องหนุ่มสาวรักกัน หลอกกัน เลิกกัน มันเป็นเรื่องธรรมดา...นายสุดต้องทำใจ...นะ เชื่อฉันเถอะ”
“ถ้าผมเป็นท่าน ผมจะไม่พูดอย่างนั้น ผมจะแสดงความเห็นใจอย่างสุดซึ้ง และรับผิดชอบทั้งหมดที่ลูกชายผมเป็นผู้กระทำ”
ท่านกวีเริ่มหงุดหงิดนิดๆ
“นายจะเรียกเงินใช่มั้ย”
“ผมได้เรียกเอากับลูกท่านไปแล้ว”
“แปดล้านบาทใช่มั้ย”
“ถ้าทั้งสองรักกัน เงินก็ไม่เป็นปัญหา...แต่ถ้าเป็นการหลอกลวงกัน...ท่านอาจจะต้องแลกเงินจำนวนนี้ กับชื่อเสียงวงศ์ตระกูลของท่าน ที่จะต้องเสียหาย หลังจากคลิปลับนั้นถูกเปิดเผย”
ท่านกวีนิ่งงันไป สุดบอกต่อ
“ด้วยเงื่อนไขแบบนี้ ผมว่า แปดล้านบาทนั้น น้อยมาก...มันก็แค่เศษเงินเล็กๆ ของนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่อย่างท่านเท่านั้นเอง”
อดีตรมต.อึ้งหนัก
ค่ำคืนนั้น ทั้ง 4 สาว อยู่ในห้องนอนของแต่ละนางบ้านใครมัน อมาวสี นิลรัตน์ พึงใจ และวัชรี เพื่อนสาวทั้งสี่ พูดโทรศัพท์ประชุมสายพร้อมกันทั้งสี่คน
อมาวสียืนพูดโทรศัพท์กลางห้องนอน รอบๆ ตัวของเธอเต็มไปด้วยชุดราตรี หลายชุด หลายแบบ หลายสี
อมาวสีถือชุดสีชมพูตัวที่สวยที่สุด เตรียมใช้ใส่ไปในงานเลี้ยง
“กำลังเลือกชุดอยู่จ้า...ฉันว่าสี...ชมพู...ดูดีที่สุดนะ”
นิลรัตน์ นั่งพูดโทรศัพท์ท่ามกลางชุดราตรีมากมายวางเต็มห้อง
“สีเหลืองดีกว่ามั้ง”
ฝ่ายพึงใจ นอนพูดโทรศัพท์บนเตียงนอน ชุดราตรีกองท่วมตัว
“ไม่เอาฉันใส่แล้วอ้วน เป็นแหนมเลย”
ส่วนวัชรี นั่งพูดโทรศัพท์ วางท่าสวย อยู่กลางห้องนอนหรูหรา ชุดราตรีมากมายวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ
“เธอก็เอาสีน้ำเงินไปซี่ ไม่เหมือนกันก็ได้นี่”
นิลรัตน์คุยสายอยู่ในห้องนอนที่บ้านเธอ
“ไม่ได้ ถ้างั้นยายพึงก็เด่นคนเดียวสิ”
ส่วนพึงใจอยู่ในห้องนอนที่บ้าน
“งั้นเอาสีน้ำเงินหมดทุกคน เด่นเท่ากันเป๊ะ ว่าไงอมา”
อมาวสีอยู่ในห้องนอนที่บ้านพิชิตพงษ์ “ฉันยังไงก็ได้”
“แต่พี่วารินชอบสีชมพูนะ” วัชรีบอก
“งั้นสั่งสูทสีชมพูให้พี่วารินใส่” พึงใจว่า
“บ้า พี่ฉันไม่ใช่ตุ๊ดนะ แก” วัชรีแย้ง
“โอเค. ให้อมา ใส่สีชมพูคนเดียว ให้อมาเด่นคนเดียวไปเลย” นิลรัตน์สรุป
“ก็ได้ ฉันยอม” พึงใจบอก
“แต่ถ้าเธออยากเด่นที่สุดนะพึงใจ ฉันแนะนำว่า เธอต้องไม่ใสอะไรเลย” นิลรัตน์ว่า
วัชรีบอก “บ้า วงแตกพอดี เดี๋ยวงานเปิดตัวพี่ชายฉันเจ๊งหมด”
อมาวสีหัวเราะ สนุก ทันใดนั้น เสียงเอ็ดตะโรของท่านกวีดังมาจากภายนอก อมาวสีรีบเดินไปแง้มประตูห้องฟัง เสียงท่านกวีดังเข้ามา
“แกรู้ตัวรึเปล่าว่าทำอะไรลงไป...คิดบ้างมั้ย ก่อนทำน่ะคิดมั้ย มีหัวสมองรู้จักคิดบ้างรึเปล่า...”
เสียงนั้นระเบิดขึ้นกลางห้องโถงบ้านพิชิตพงษ์ เวลานี้ท่านกวีเดินพูดท่าทีพุ่งพล่านด้วยความหงุดหงิดสุดจะประมาณ ส่วนภากร นั่งก้มหน้าฟังพ่อ นิ่ง
“ฉันบอกแกกี่ครั้งแล้ว ว่าทำอะไรให้นึกถึงหน้าฉัน ให้นึกถึงหน้าพ่อแกคนนี้บ้าง...หรือว่าแกมัวแต่ไปกินเหล้าเมาเละเทะ ไม่กลับบ้านกลับช่อง จนลืมหน้าฉันไปแล้ว”
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ”
“แล้วไอ้ที่ใช่มันคือยังไง”
“ผมก็แค่เล่นสนุกๆ ชั่วครั้งชั่วคราว”
“แล้วเขาชั่วครั้งชั่วคราวกับแกด้วยรึเปล่า ทั้งนังผู้หญิงคนนั้น กับไอ้ภารโรงพ่อมันน่ะ...ป่านนี้มันคงนั่งฝันหวานที่จะได้เป็นสะใภ้รัฐมนตรี ได้ออกงานสังคมกับแก โดยมีฉันคอยแนะนำกับใครๆ ว่า นี่คือสีไพรลูกสะใภ้คนสวย กับพ่อตาแสนดี ที่บังเอิญมีอาชีพเป็นภารโรง”
อมาวสีก้าวเข้ามา ยืนแอบฟังอยู่ข้างๆ ประตู ในมือของเธอ มีชุดสีชมพูถือติดมาด้วย
“ฉันคงต้องหารางวัลอะไรซักอย่างให้มันทั้งคู่ พวกรางวัลลูกกตัญญู รางวัลคุณพ่อดีเด่น มันจะได้ดูดีมีราศรี สมฐานะขึ้นมาหน่อย...ดีมั้ยล่ะ ชอบมั้ย ภูมิใจมั้ย ไอ้ลูกเวร”
ท่านกวีใช้มือจิ้มแรงๆไปที่กะโหลกของภากร
“ฉันอยากจะรู้นักว่า ใครสอนแกให้เป็นอย่างนี้วะ ไอ้ภากร”
“ผมขอโทษ”
“ฉันไม่ได้ต้องการคำขอโทษจากแก...เพราะมันเอาไปใช้แก้ปัญหาอะไรไม่ได้ เลย...สิ่งที่ฉันต้องการจากแกตอนนี้ก็คือ ไปทำอะไรยังไงก็ได้ ให้เรื่องทั้งหมด มันจบอย่างเร็วและเงียบเชียบ เข้าใจมั้ย”
ภากรหน้าตาเครียด คิดอะไรไม่ออก “ทำยังไงล่ะครับ”
“ก็ไปบอกเขาสิ ว่าแกไม่รับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น ของอย่างนี้มันตบมือข้างเดียวไม่ดัง ถ้าจะผิดมันก็ต้องผิดทั้งคู่ แล้วก็เอาไอ้คลิปฉาวนั้นมาทำลายซะ...ฉันต้องจ่ายเงินให้มันเท่าไหร่ก็บอกมา แต่ต้องจบขาด ไม่ใช่ยืดเยื้อ ขู่แล้วขู่อีกอย่างนี้...ทำได้หรือเปล่า”
“ครับ”
“ถ้าทำไม่ได้ ก็ลาออกจากบ้านหลังนี้ ไปเป็นลูกภารโรงซะ”
ท่านกวีเดินหุนหันออกไปอย่างอารมณ์เสีย
ท่านกวีเดินผ่านหลืบมุมประตูที่อมาวสีแอบอยู่ อมาวสีโผล่หน้าออกมามองตามท่านกวีไป พลอยตกอกตกใจตามไปด้วย
อมาวสีเดินตรงไปยังห้องนอนของเธอ ภากรเข้ามาขวางหน้าไว้
“อ้อ...”
อมาวสีหยุดเดิน ยืนจ้องหน้าภากร
“พี่รู้นะว่าเมื่อกี้นี้อ้อแอบฟังพี่คุยกับพ่อ”
“อ้อไม่ต้องแอบก็ได้ยินค่ะ คุณลุงตะโกนเสียงดังออกอย่างนั้น”
“อ้อ อย่าเข้าใจพี่ผิดนะ”
“เรื่องอะไรคะ”
“ก็เรื่องสีไพรน่ะสิ”
“มีตรงไหนผิดไปจากที่อ้อได้ยินเหรอคะ”
ภากรใช้มือจับไหล่สองข้างของอมาวสีให้หันมาทางตน
“อ้อฟังนะ...พี่เป็นผู้ชาย”
“ค่ะ...สีไพรเป็นผู้หญิง”
“ใช่...แต่ ผู้หญิงแบบสีไพร ก็ย่อมมีผู้ชายที่เหมาะกับเขา คู่ควรกับเขา ทั้งฐานะและหน้าตาทางสังคม”
“ซึ่งไม่ใช่คุณภากร”
“ถูกต้อง”
“แล้วคุณภากรทำอย่างนั้นกับสีไพรทำไมคะ ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าไม่คู่ควรกัน”
ภากรผละมือจากอมาวสี เขาหมุนตัว หงุดหงิด งุ่นง่าน อึดอัดเล็กน้อยก่อนตอบคำถามนี้
“บางครั้ง...ความรู้สึกบางอย่างที่มันอธิบายไม่ได้ ว่าคืออะไร มันมักจะเกิดขึ้นแบบเลยตามเลย แบบที่พี่ไม่รู้ตัว...มันนึกจะเกิดก็เกิด แต่เสร็จแล้วก็เลิกแล้วต่อกัน มันไม่ใช่เรื่องราวที่มั่นคง จีรังยั่งยืนหรอกนะ”
“เหรอคะ”
“งั้นสิ...เพราะพี่มีคนที่พี่หมายปองแล้ว พี่มีคนที่ปรารถนาจะใช้ชีวิตด้วยแบบจีรังยั่งยืนแล้ว”
“ใครอีกล่ะคะ”
“ก็ อ้อไง”
อมาวสีสะดุ้งเล็กน้อย ไม่นึกว่าจะได้ยินคำพูดอย่างนี้
“คุณภากรพูดอะไรออกมาน่ะ”
ภากรขยับเข้ามาประชิดตัว เขาค่อยๆ กุมมืออมาวสีพูดท่าทีจริงจัง
“อ้อ เราเห็นกันมาตั้งแต่เล็กๆ นะอ้อ”
“ค่ะ และคุณภากรก็จงเกลียดจงชังอ้อมาตั้งแต่เด็กๆ
“โธ่ตอนเด็กๆ พี่จะไปรู้อะไร...แต่ตอนนี้พี่โตแล้วนะ พี่ย่อมรู้ว่าพี่คู่ควรกับใคร”
“เหมือนที่เคยรู้ว่า ควรจะแย่งคนรักจากพี่ภาคย์ไปใช่มั้ย” หญิงสาวอดย้อนไม่ได้
ภากรหน้าตึง โกรธขึ้นมานิดๆ “อ้อ” น้ำเสียงเขาเหมือนดุ
“ทำไมคะ”
ภากรพยายามข่มอารมณ์ตัวเองให้เย็นลง
“เอาละ พี่ไม่อยากจะอารมณ์เสียใส่อ้อ แต่จำไว้นะ...วันนึงอ้อจะรู้เองว่า พี่รักอ้อจริง”
ภากรจ้องตาอมาวสีนิ่ง อมาวสีรู้สึกสั่นคลอนในใจไปพอควร ภากรเหลือบมองชุดสีชมพู ที่อมาวสีถือติดมือมา
“ถือชุดอะไรอยู่น่ะ...อ้อจะไปไหน”
“ไปงานเลี้ยงต้อนรับพี่ชายเพื่อนค่ะ”
“พี่ไปด้วยได้มั้ย”
“อย่าดีกว่าค่ะ...เพราะคุณภากรจะไม่รู้จักใครในนั้นเลยซักคน”
“งั้นพี่ขับรถไปส่งที่งาน”
“ไม่เป็นไรค่ะ มีรถตู้บ้านเพื่อนมารับที่นี่อยู่แล้ว” อมาวสีบ่ายเบี่ยงสุดขีด
“งั้นพี่ไปรอรับ อ้อตอนจะกลับบ้านก็ได้”
“เอ้อ โทษนะคะ...ดิฉันว่าคุณภากรรีบจัดการเรื่องที่คุณลุงสั่งให้เรียบร้อยก่อนดีกว่ามั้งคะ อย่าเสียเวลากับเด็กกะโปโลอย่างอ้อเลยค่ะ”
อมาวสีเดินเลี่ยงเข้าห้องไป
ทางด้านราชยืนจ้องหน้าตัวเองในกระจกเงา ใต้หนวดเครารกครึ้มใบหน้าของเขายังดูหล่อเหลาเอาการ
ราชค่อยๆ ใช้มือลูบไล้ไปตามแนวหนวดเคราของตน แววตาลึกล้ำ คล้ายครุ่นคิดบางประการ
รุ่งเช้านายสุดเดินเข้าบ้านมาในสภาพเมามาย สีไพรเดินตรงเข้าไปหาพ่อด้วยความเป็นห่วง
“สีไพร”
“พ่อ...พ่อเมามาเหรอ”
“ใช่...พ่อเมา”
“ไพไม่เคยเห็นพ่อกินเหล้าเลย”
“เขาว่า เหล้ามันจะทำให้เราลืมทุกสิ่งทุกอย่าง...อะไรที่เป็นความทุกข์ความโศกมันจะกลายเป็นเรื่องสนุกขึ้นมาทันที”
อยู่ๆ นายสุดก็ เซ ล้มลง สีไพรรีบตรงเข้ามาประคอง นายสุดพรั่งพรูความในใจออกมา น้ำเสียงเต็มไปด้วยอารมณ์ของผู้ล้มเหลว บวกกับฤทธิ์แอลกอฮอล์
“แต่ทำไมฉันยังไม่ลืม...ทำไมมันยังฝังอยู่ในนี้ ไอ้ความผิดหวัง ความทรมานทำไมมันฝังลึกอยู่ในนี้ตลอดเวลา”
“พ่อนอนพักก่อนเถอะค่ะ”
นายสุดประคองหน้าสีไพรขึ้นมามองเต็มๆตา
“สีไพรเอ๊ย...ลูกเป็นแก้วตาดวงใจของพ่อนะ รู้มั้ย...พ่อตายแทนลูกได้นะ”
สีไพรยังสับสน งุนงงกับท่าทีของผู้เป็นพ่อ
“สีไพรก็ทำทุกอย่างเพื่อพ่อได้เหมือนกันจ้ะ”
“จริงเหรอ...ถ้าพ่อบอกให้เลิกยุ่งกับไอ้หมอนั่น ลูกทำได้มั้ย”
สีไพรนิ่งเงียบทันที นายสุดเกิดอารมณ์โกรธฉุนเฉียวขึ้นมาทันที
“โธ่เว้ย...ทำไมมันเป็นอย่างนี้ ทำไมมันต้องเกิดกับฉัน ฉันทำบาปทำกรรมอะไร ทำไมต้องมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับลูกสาวของฉัน...ทำไม ทำไม...”
นายสุดร้องไห้โฮไปพร้อมๆกับที่พรั่งพรูคำพูดเหล่านั้น สีไพรพยายามปลอบโยนเท่าที่เธอจะทำได้
“พ่อ...มันไม่ใช่บาปกรรมนะพ่อ มันเป็นความรัก...สีไพรรักเขาจ้ะ”
“บัดซบ...แกรักเขาไปได้ยังไง...จะบ้ารึเปล่า แกเป็นใคร แกชะโงกดูกะลาหัวแกบ้างมั้ยว่าแกเป็นใคร”
สีไพรตกใจอารมณ์ของพ่อ เธอร้องไห้ออกมาบ้าง
“สีไพรก็เป็นลูกพ่อไงคะ”
“แล้วพ่อเป็นใคร...น้ำหน้าอย่างเราเนี่ยนะที่ลูกนักการเมืองจะมารัก...เขาหลอกแก แกก็หลงเชื่อเขา...ทำไมแกไม่รักดีอย่างแม่แกบ้างนะสีไพร...ถ้าแม่แกยังมีชีวิตอยู่ เขาจะเสียใจแค่ไหนแกรู้บ้างมั้ย”
นายสุดกระชากตัวสีไพรเขย่าแรง
“คุณภากรเขาดีกับไพนะพ่อ เขาเมตตาไพ เขารักไพจ้ะ”
“โธ่ อีลูกโง่...แกไม่รู้ล่ะซีว่าเขาพูดถึงแกยังไง สีไพร”
นายสุดเล่าเหตุการณ์กลางดึก เมื่อคืนที่ผ่านมาให้ฟังว่า เวลานั้นภากร ยืนพูดกับนายสุดในมุมลับตามุมหนึ่งของตลาด ภากรค่อนข้างใช้อารมณ์รุนแรง ในขณะที่นายสุดพยายามเก็บอารมณ์
“ถ้าสีไพรไม่ทอดสะพานให้ฉัน มันก็ไม่เกิดเรื่องอย่างนี้หรอก ผมจะบอกให้...พูดง่ายๆ ว่า ให้ท่าน่ะ เข้าใจมั้ยลุง”
“คุณกำลังดูถูกลูกสาวผมนะ”
“ก็มันจริงนี่...ลูกสาวลุงมีอะไรดีที่ฉันจะดูถูกไม่ได้”
“คุณพูดอย่างนี้กับสีไพรมันบ้างหรือเปล่า”
“ลุงอยากให้ฉันพูดมั้ยล่ะ...ได้ ฉันพูดได้อยู่แล้ว จะให้ฉันใช้คำพูดที่แรงกว่านี้ยังได้เลย...แต่ฉันสงสาร ฉันไม่อยากให้สีไพรต้องช้ำใจมากกว่านี้ ที่ฉันอุตส่าห์พูดจาหวานๆ ก็เพื่อให้สีไพรมีความสุขเวลาอยู่กับฉัน...เพราะฉะนั้น ลุงควรจะขอบคุณฉันมากกว่าที่จะมาขู่เอาเงินกับฉัน”
นายสุดกัดฟันแรงจนเป็นสันนูน เขาจ้องหน้าภากรไม่กะพริบตา
“คุณมันใจบาปกว่าที่ผมคิดไว้มาก”
“แล้วลุงใจบุญนักเหรอ...พ่ออะไรวะ แอบถ่ายคลิปฉาวลูกสาวตัวเอง”
นายสุดค่อยๆ ก้มหน้าลง หายใจแรง
“จะบอกให้นะ ถ้าลุงเอาคลิปนั้นไปเผยแพร่ มันจะไม่ใช่ฉันคนเดียวที่เสียหายลูกสาวลุงก็จะไปไหนมาไหนลำบากเหมือนกัน เพราะคนจะพากันมองหน้าแล้วนึกถึงฉากรักเร่าร้อนคืนนั้น...คิดให้ดีนะลุง”
นายสุดยังก้มหน้านิ่งอยู่ ความโกรธแค้นปรากฏอยู่ในทุกรูขุมขน
“ที่ฉันมาวันนี้เพื่อจะมาบอกว่า ฉันไม่มีเงินถึงแปดล้านหรอก ลุงอยากจะเอาคลิปนั่นไปทำอะไรก็เชิญ...”
นายสุดยังนั่งนิ่ง พูดไม่ออก
“แหม...เวลามัน เราก็มันด้วยกันสองคน...ถ้าต้องจ่ายค่าเสียหาย มันก็ควรจะหารสองคนละครึ่ง ถึงจะถูก...แต่จะว่าไปแล้วลูกสาวลุงเมามันกว่าฉันมาก เพราะฉะนั้น น่าจะจ่ายมากกว่าฉันนะลุง ซัก หกสิบ สี่สิบ กำลังสวย”
นายสุดโกรธจัด พุ่งตรงเข้าไปชกหน้าภากร จนล้มคว่ำไม่เป็นท่า
“ไอ้เลว”
นายสุดหยิบเมมอรี่การ์ดออกมาจากกระเป๋า แล้วโยนใส่ภากร
“เอาไป เอาไปเลย แล้วอย่าโผล่มาให้ผมเห็นหน้าอีก และรู้ไว้ด้วยว่า เงินของคุณแม้แต่บาทเดียวผมก็ไม่เคยคิดจะเอา...คุณค่าของสีไพรนั้นมันมากมายกว่าเงินของนักการเมืองอย่างพ่อคุณ...และจิตใจเธอก็สูงเกินกว่าที่คุณจะนึกถึง...ผู้ชายเลวๆ อย่างคุณ ไม่คู่ควรกับสีไพรของผมหรอก ผมจะบอกให้”
สีไพรได้ฟัง ถึงกับร้องไห้ ซบไปกับอกของนายสุดผู้เป็นพ่อ
“ไพรู้ว่าคุณภากรคิดยังไงกับไพ...แต่ถึงยังไงไพก็รักเขา...มันเป็นความรักที่ไพไม่เคยคิดว่าจะได้อะไรจากเขาเป็นการตอบแทน...แค่ขอให้ไพได้รักเขา ไพก็มีความสุขแล้ว”
ผู้เป็นพ่อ เริ่มสร่างเมาเขาเพิ่งจะได้สติ
“สีไพร”
“พ่ออย่าทำร้ายคุณภากรเลยนะพ่อ...ทำกับไพเถอะ ไพไม่ดีเอง ไพมันเลวเองจ้ะพ่อ...พ่อจะลงโทษไพยังไงก็ได้ แต่ขอให้ไพได้รักเขาเถอะค่ะ”
นายสุดโอบกอดลูกสาวไว้
“นอกจากพ่อแล้วก็มีเพียงคุณภากรเท่านั้น ที่ไพรักและห่วงใย ไพไม่มีใครอีกแล้วจ้ะพ่อจ๋า”
“สีไพรเอ๊ย...เอ็งมันเหมือนแม่ตรงนี้แหละ...บูชาความรักเหนือสิ่งอื่นใด”
บ้านพิชิตพงษ์ตระหง่าน ท่ามกลางแสงตะวันยามบ่ายคล้อย
อมาวสีเดินถือชุดราตรีและกระเป๋าสัมภาระออกมาจากในบ้าน ภากรเดินเข้ามามองไปยังอมาวสี
“อ้อ ทำไมไปเร็วนักล่ะ...งานตอนกลางคืนไม่ใช่เหรอ”
“อ้อต้องไปช่วยเพื่อนเตรียมงานนิดหน่อยค่ะ”
“แน่ใจนะว่าไม่ให้พี่ไปส่ง”
“ค่ะ...วัชรีมาโน่นแล้วค่ะ”
รถตู้บ้านวัชรีแล่นเข้ามาในรั้วบ้านพิชิตพงษ์พอดี
“แล้วอ้อจะกลับกี่โมง”
“เอ้อ...ยังไม่ทราบค่ะ...แต่อ้อขออนุญาตคุณลุงคุณป้าแล้วว่าจะกลับดึก”
“งั้นพี่จะไปรอรับอ้อเอง”
“ไม่จำเป็นค่ะ”
“จำเป็นหรือไม่...พี่ตัดสินใจเอง...เมื่อถึงเวลา อ้อจะเห็นว่าพี่ยืนรออ้ออยู่หน้างาน”
อมาวสีเหนื่อยใจ “คุณภากรคะ...”
ภากรบอกต่อว่า “ด้วยความเต็มใจ เพราะรัก และ เป็นห่วง”
วัชรี ก้าวลงมาจากรถตู้ ตะโกนเรียกเพื่อนทันที
“ยายอมา ไปเร็ว”
อมาวสีบอกกับภากร “อย่ามานะคะคุณภากร อ้อขอร้อง...อ้อกลับกับเพื่อนได้ค่ะ”
อมาวสีวิ่งตรงไปขึ้นรถตู้คันนั้นทันที
รถตู้คันนั้นแล่นออกมาตามถนนหน้าบ้านพิชิตพงษ์ ในรถตู้ เต็มไปด้วยสัมภาระของ อมาวสี วัชรี นิลรัตน์ พึงใจ กระจายกันเต็มรถ
อมาวสียังมีหน้าตาตึงเครียดอยู่ จนเพื่อนๆ พากันสังเกตเห็น
นิลรัตน์เป็นคนถาม “โกรธอะไรมา หน้าตาบึ้งตึงเชียว ยายอมา”
“พี่ชายฉันน่ะสิ”
พึงใจนึกได้ “คุณภากรอะไรนั่นเหรอ”
อมาวสีพยักหน้า “ฮื่อ...จะอาสาไปรับไปส่งฉันให้ได้เลยละ”
“เขาคงหวงคงห่วงน้องสาวคนสวยของเขาคนนี้น่ะสิ” วัชรีว่า
นิลรัตน์บอกน้ำเสียงประชด “ถ้าน้องแท้ๆ ละก้อพอเชื่อได้...แต่น้องต่างพ่อต่างแม่อย่างยายอมานี่ ท่าจะหวงไว้ใช้เองละไม่ว่า”
อมาวสีตัดบท “พอเถอะ....พวกเราเอาชุดมาดูกันดีกว่า”
ทุกคนชูชุดของตัวเองขึ้นมาให้ดู เสียงร้องกรี๊ดด้วยความพอใจ ดังลั่นรถ
งานเลี้ยงต้อนรับลูกชายนายห้าง จัดขึ้นในบ้านพรสุขตอนค่ำ บรรยากาศน่าตื่นตา แลเห็นแสงไฟประดับประดา สว่างไสวตระการตา โต๊ะอาหารประดับประดาอย่างหรูหราเป็นพิเศษ
ตรงโถงกลางงาน มีพื้นที่กว้างสำหรับเป็นฟลอร์เต้นรำ หน้าฟลอร์เป็นเวที มีเครื่องดนตรีวงใหญ่เต็มวงตั้งอยู่กลางเวที พร้อมด้วยจอ LED
มวลมหาบรรดาแขกผู้มีเกียรติกระจายกันอยู่ทั่วงาน ใครใคร่ดื่มก็ดื่มไป ใครอยากคุยก็จับกลุ่มสุมหัวกัน บรรยากาศครื้นเครง แปลกตาด้วยเสื้อผ้าย้อนไปสู่ยุคปลายทศวรรษ 60 ตามคอนเส็ปต์งาน
งานเริ่มขึ้นเป็นทางการ เมื่อบนเวที พิธีกรหนุ่มท่าทางกระฉับกระเฉง คุยเก่ง อารมณ์ดี ก้าวขึ้นไปยืนหน้าไมโครโฟน
“สวัสดีแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน และขอต้อนรับเข้าสู่งานคืนนี้อย่างเป็นทางการ ผม....รับหน้าที่พิธีกรครับ...บรรยากาศวันนี้ถือว่าคลาสสิกมาก เพราะพวกเราพร้อมใจกันพาตัวเองย้อนยุคไปสู่ทศวรรษที่หกสิบ ตามความปรารถนาของนายห้างใหญ่...ขอเสียงตบมือให้กำลังใจนายห้างใหญ่ของเรา นายห้างวิรัตน์ รัตนพงษ์ เจ้าภาพคืนนี้ครับ...ฟอลโล่สปอต สาดหน่อยคร้าบ สาดหน่อย”
แสงไฟสาดไปที่...วิรัตน์ ซึ่งโบกมือให้ทุกคน เสียงตบมือดังสนั่น
“คนสำคัญอีกหนึ่งคน ที่ถือเป็นพระเอกของงานคืนนี้ ทายาทคนโตของนายห้างวิรัตน์ เจ้าของงานคืนนี้ครับ...คุณวาริน รัตนพงษ์ เวลคัม โฮม คร้าบ...ฟอลโล่สปอต สาดหน่อยคร้าบ สาดหน่อย”
แสงไฟสาดไปที่เขา วารินยกมือไหว้แขกในงานไปรอบๆ
อมาวสี นิลรัตน์ และ พึงใจ ยืนอยู่ริมฟลอร์เต้นรำอีกด้านหนึ่ง ทั้งสามอยู่ในชุดราตรี สวยงามยิ่งนัก
นิลรัตน์บ่น “พูดยาวจัง ตาพิธีกรนี่”
“ฉันปวดฉี่” พึงใจกระซิบ
นิลรัตน์บอก “อั้นไว้ อั้นไว้ก่อน...ชู่ย์”
พึงใจบ่นบ้า “อย่าทำเสียงอย่างนั้นซี่...ฉี่จะราดอยู่แล้ว”
อมาวสีมองไปยังทางเข้างาน เห็นมีแขกมาใหม่
“นั่นคุณอนุใช่มั้ย”
นิลรัตน์อุ๊ย จริงด้วย...คุณการัณย์ก็มา ยายพึง
อนุ กับ การันต์เดินเข้ามาในงาน ทั้งสองหนุ่มมองไปรอบๆ
“โอย อั้นไม่อยู่แล้ว...ไปก่อนดีกว่า”
พึงใจรีบวิ่งจู๊ดออกไป
นิลรัตน์มองหาราช “ตายักษ์ของเธอล่ะ”
“ของฉันที่ไหน...ของยายวัชต่างหาก” อมาวสีว่า
พิธีกรหนุ่มยังเจื้อยแจ้วอยู่บนเวที
“ถึงเวลาที่เราจะเปิดงานอย่างเป็นทางการแล้วนะครับ...เพื่อให้สอดคล้องกับเสื้อผ้าที่สวมใส่ เราจึงจะเปิดงานด้วยการเต้นรำบอลรูม...และผู้ที่จะเปิดฟลอร์ก็คือ คุณวาริน รัตนพงษ์ ส่วนจะจับคู่กับใครต้องรอดูกันต่อไป”
วิรัตน์ผู้เป็นพ่อเดินขึ้นไปกลางเวที ท่าทางเหมือนจะเมานิดๆ จึงสนุกสนานมากเป็นพิเศษ เขาหยิบไมโครโฟนขึ้นมาพูด
“ฉายไฟไปให้ทั่วๆ หน่อย ขอผมเลือกคู่เปิดฟลอร์ให้ลูกชายเอง”
แสงไฟสาดผ่านบรรดาแขกเหรื่อไปทั่วงาน แสงไฟไปหยุดที่ชายหนุ่มคนใหม่ ที่เพิ่งเดินเข้ามาในงาน เขาคือ ราช รัชภูมิ ในวันที่ไร้หนวดเครา
พิธีกรร้องขึ้น “เฮ้ย...ทำไมไฟไปหยุดที่ผู้ชายเล่า”
“อ๋อ...นั่น ราช รัชภูมิ เพื่อนสนิทลูกชายผมเอง” วิรัตน์บอก
แขกทุกคนในงาน หันไปมองที่ ราช เป็นตาเดียว
ท่วงท่าการเดินที่องอาจสง่างามของ ราช รัชภูมิ อยู่ในสายตาทุกคู่ของแขกในงาน รวมทั้ง อมาวสี ศศิน
อ่านต่อตอนที่ 3