เมื่อผู้กำกับหนังผันตัวเองเป็นผู้กำกับละคร (ตอนที่ 1)
การมีทีวีดิจิตอลและการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้เกิดกระแสผันผวน แย่งชิงบุคลากรด้านผลิตรายการมากมายหลายส่วน หนึ่งในนั้นที่มีการขยับปรับตัวไปสู่วงการละครทีวีระบบเอชดีไปก่อนแล้วคือ การผลิตละคร ที่มีการดึงตัวบุคลากรระดับผู้กำกับภาพยนตร์มาเป็นผู้กำกับละครมากขึ้นเรื่อย ลึกๆ กว่านั้นมีอะไรแอบแฝงหรือไม่ คงต้องให้แต่ละคน ได้พูดเอง
“กอล์ฟ-ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์”
นักทำหนังไฟแรง ทำมาแล้วแทบทุกตำแหน่ง ไม่ว่าเขียนบท ควบคุมการผลิต กำกับการแสดง มีผลงานภาพยนตร์มากมาย อาทิ หอแต๋วแตก 2, ตายโหง, ฮักนะสารคาม, ไม่ได้ขอให้มารัก ล่าสุดมีตำแหน่งเป็น “นายกสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย ประจำปี 2556” ครั้งหนึ่งโด่งดังที่สุดก็ตอนที่ภาพยนตร์เรื่อง Insects in the Backyard ถูกห้ามฉายในประเทศไทย ด้วยเหตุผลคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์บอกว่า มีเนื้อหาขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน นั่นเพราะหนังพูดถึงปัญหาสังคมไทยและเรื่องเพศ ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น กอล์ฟ-ธัญญ์วาริน ยังคงทำหนังออกมาเรื่อยๆ และว่า “ผู้กำกับหนัง เป็นอาชีพไม่ได้ !!! “
“มีผู้กำกับหนังหลายคนมาเป็นผู้กำกับละครในตอนนี้ ที่เห็นก็มี พี่อ๊อด-บัณทิต พี่อุ๋ย-นนทรีย์ พี่ซ้ง-ธรธร ถ้ารวมพวกซีรีส์ด้วยก็มีพี่ย้ง-ทรงยศ พี่เอส-คมกฤษ และผู้กำกับจากเรื่อง”ที่รัก” นั่นก็เป็นผู้กำกับหนังอินดี้ จริงๆ แล้วผู้กำกับภาพยนตร์ไทย เป็นอาชีพไมได้หรอก ทุกคนไม่สามารถเหมือนพี่พจน์-อานนท์ พี่ต้อม-ยุทธเลิศ ที่มีหนังออกมาตลอดเวลา นอกนั้นทุกคนต่างก็มีไปทำละครทำให้มีเงินใช้ชีวิตอยู่ได้จริง อย่างหนังเรื่องหนึ่งสมมติได้ค่าตัวสามแสนห้าแสน ก็ต้องอยู่ไปหนึ่งปีกว่าหนังจะเข้า เพราะฉะนั้น “ผู้กำกับหนัง” เป็นอาชีพไม่ได้ ไม่ได้จริงๆ ทุกคนก็เลยไปกำกับละคร ซึ่งคิดว่าเป็นการดี เพราะว่าเรามีความสามารถในการเล่าเรื่อง แล้วเราจะเก็บไว้ทำหนังอย่างเดียวทำไม อะไรหาเงินได้ก็หาเถอะ
ในแง่ของการกำกับหนังและการกำกับละคร แน่นอน ย่อมมีความแตกต่างกัน เพราะหนังเนเจอร์มันเล่าเรื่องด้วยภาพ แล้วเสียงมาประกอบให้ภาพสมบูรณ์ขึ้น แต่ว่าละครมาจากละครวิทยุ เล่าเรื่องด้วยเสียง แล้วภาพมาประกอบ จะเห็นว่าเนเจอร์ของทั้งสองไม่เหมือนกัน ลองสังเกตสิ ถ้าเราเข้าใจเนเจอร์หรือธรรมชาติของมันเราก็เล่าเรื่องได้หมดล่ะ”
เมื่อไม่นานมานี้ กอล์ฟ-ธัญญ์วาริน ได้กำกับละครเรื่องแรกในชีวิตไปแล้วคือเรื่อง “มารกามเทพ” เป็นความร่วมมือจาก สุรางค์ เปรมปรีด์ (บริษัทจันทร์25) กับ ถกลเกียรติ วีรวรรณ (เอ็กแซกท์)
“งานชิ้นแรกๆ ก็แน่นอน ต้องรู้สึกยังไม่ชินไม้ไม่ชินมือเพราะว่าเรากำกับหนังมาก่อน ไม่ชินกับการต้องมาถ่ายวันละ 20 กว่าฉาก มีกล้องอยู่สามกล้อง เล่าเรื่องด้วยภาพได้บ้าง แต่เป็นไดอะล็อก มันก็จะแคบๆๆ จอทีวีก็เล็กๆ ธรรมชาติไม่เหมือนกันไง ก็ได้ลองทำดู แต่เรื่องนั้นบทมีปัญหา มากระท่อนกระแท่นมันก็เลยออกมาไม่เท่าไร แต่สำหรับเราแล้วผู้ใหญ่แฮปปี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ คุณแดงก็ให้ทำต่อ จริงๆ เรื่องนั้นปัญหาเยอะมาก เรื่องบทที่ไม่ค่อยมา มันทำให้งานกระท่อนกระแท่นแล้วละครเรื่องนั้นค่อนข้างเครียด นั่งรถเข็น ฆ่าคน ดูหดหู่เกินไป คนไม่ค่อยดู เรทติ้งก็ไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ประสบความสำเร็จในมุมของเราและผู้สร้าง เขาพอใจกับงาน เราก็โอเค.แล้ว
ตอนนี้กำกับละครเรื่อง”เทวดาเพื่อนรัก” กำลังถ่ายอยู่ 70 เปอร์เซ็นต์แล้ว สำหรับเรื่องนี้เป็นการพลิกวิธีของกอล์ฟมากเพราะว่าเป็นละครเด็ก ใสๆ ชื่อเรื่องเทวดาเพื่อนรัก ดูชื่อสิคะ เด็กๆ เป็นเทวดา แล้วก็ลงมาให้คนทำความดีในสลัม คนที่ปากกัดตีนถีบ น้องปลาวาฬ-อชิรวิชช์ เป็นเด็กอัจฉริยะมาก น้องจำบทได้เป็นหน้าๆ ปลาวาฬเก่งมาก แต่จะได้ลงจอเมื่อไร ผู้ใหญ่กำลังดูอยู่เพราะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านทีวีดิจิตอล เราก็ดูสล็อตอยู่ว่าจะลงช่วงไหน ไม่แน่ใจค่ะ
ส่วนภาพยนตร์ตอนนี้ก็มี กำลังเข้าโรงฉายอยู่คือเรื่อง “เธอ เขา เรา ผี” กำลังจะออกแล้วด้วย เรื่องต่อไป กำลังไปประกวดเทศกาล ที่โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น เรื่อง “ฟินสุโค่ย” มีสายป่าน มีเต๋า มีมาโกโตะ มีกาย-นวพล ลูกมาช่า ตอนนี้ประกวดที่ญี่ปุ่นเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะเข้าเมืองไทยกรกฎาค่ะ
อยากจะฝากผลงานเรื่อง เทวดาเพื่อนรัก ใกล้ๆ นี่น่าจะออนแอร์ หนังเรื่อง”ฟินสุโค่ย” กรกฎานี้ก็คงได้ชมกัน ส่วนเรื่อง “เธอ เขา เรา ผี” กำลังฉายที่โรงภาพยนตร์ ต้องรีบไปชมเลยค่ะ ฉายมาสองสัปดาห์แล้วรอบเหลือน้อยแล้ว รีบไปดูกันนะคะ” (เพราะว่า ถ้าหนังไม่ค่อยทำเงิน รอบหนังก็ลดๆ ไปตามวัฏจักร ไปตามยถากรรมของมันค่ะ)
อ๊อด บัณฑิต ทองดี
เป็นผู้กำกับภาพยนตร์ที่มีผลงานมากมาย อาทิ มนต์เพลงลูกทุ่ง เอฟ.เอ็ม., เฮี้ยน, มนุษย์เหล็กไหล, ฝัน-หวาน-อาย-จูบ, ปายอินเลิฟ, พุ่มพวง แล้วก็หันมากำกับละคร เช่น ทะเล จำปี ดนตรี ทราย, สมบัติพ่อ, รักห้ามโปรโมท, ย.ยักษ์ยอดยุ่ง, อุบัติรักข้ามขอบฟ้า, โรงงานสำราญใจ, โลมา กล้าท้าฝัน, รักนี้หัวใจมีครีบ, ฟ้ากระจ่างดาว, คู่ปรับสลับร่าง, ครีบนี้หัวใจมีเธอ, มาเฟียเลือดมังกร ซึ่งนับว่ามีผลงานกำกับละครมากกว่าผู้กำกับภาพยนตร์คนอื่นไม่น้อย
ช่วงหนึ่ง อ๊อด-บัณฑิต หันมากำกับละครเรื่อง ราชินีลูกทุ่ง ของช่อง 8 อาร์เอส ถูก “เสี่ยเจียง-สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ” แห่งสหมงคลฟีล์ม ด่าและบ่นทุกวัน เพราะไม่พอใจที่เสียเวลามาทำงานอย่างอื่น แทนที่จะไปกำกับหนัง ซึ่งอ๊อดก็ตอบเสี่ยไปว่ามีภาระค่าใช้จ่ายเยอะ มีครอบครัวต้องดูแล การทำหนังต้องทุ่มเททั้งความคิด-สมอง-ทุกๆ อย่าง หนังเหมือนภรรยาที่เลิกกันไปหย่ากันไป ยังไงก็คิดถึง ต้องมาคุยมาหากันบ้าง แต่อยู่ด้วยกันทั้งชีวิตอยู่ไม่ได้ จึงต้องออกมาทำอย่างอื่นเพื่อหาเลี้ยงชีพพร้อมกับเตรียมตัวเก็บพลังไว้ทำหนังเรื่องต่อไป
ล่าสุดได้เจอ อ๊อด-บัณฑิต บนเวทีประกาศผลรางวัลโทรทัศน์ทองคำครั้งที่ 28 ประจำปี 2556 ในฐานะผู้กำกับมารับรางวัล ละครสร้างสรรค์สังคมดีเด่น จากเรื่อง ฟ้ากระจ่างดาว ทางช่อง 3 พูดถึงละครเรื่องนี้ให้ฟังว่า
“ละครเรื่องฟ้ากระจ่างดาวเป็นหนึ่งในซีรีส์สามเรื่อง “มายาตะวัน มนต์จันทรา ฟ้ากระจ่างดาว” เรื่องแรกกุ๊กกิ๊ก เรื่องสองแอคชั่น ส่วนเรื่องนี้จะดราม่ามาก จึงต้องเพิ่มความโรแมนติกกุ๊กกิ๊กให้มากขึ้น เป็นเรื่องราวชีวิตครอบครัว รันทด ต่อสู้ เอาชนะ ทำเพื่อผู้หญิง ทำเพื่อสังคม ตัวเอกของทุกเรื่องมีความเกี่ยวพันเข้ามาแสดงเป็นเรื่องเดียวกัน จะยุ่งก็เรื่องวางคิวนิดหน่อย ส่วนการกำกับ ถ้าเป็นซีนที่ใช้ผู้กำกับสามคนจะให้พี่ผินเป็นคนนำ เราต้องการอะไรก็เสริมเอา รสชาติละครมีความเป็นโรแมนติกคอมาดี้ ดูแล้วมีความสุข อมยิ้ม ในขณะที่ให้สาระกับคนดูไปด้วย ทุกเรื่องมีบทสรุปของตัวเอง ฟ้ากระจ่างดาวเป็นละครเรื่องที่สาม เป็นตอนจบสุดท้ายของซีรีส์พอดี เนื้อเรื่องพูดถึงปัญหาสังคม การค้าประเวณี ซึ่งได้เอาสไตล์ของหนัง เอามุมกล้องของหนังมาช่วยด้วย”
จากมุมมองที่ได้คร่ำหวอดกับวงการภาพยนตร์และวงการละครมาไม่น้อย มองอย่างไรที่ผู้กำกับหนังหันมาเป็นผู้กำกับละครมากขึ้น
“ตอนนี้โลกละครเปลี่ยนไป กำลังจะเป็นเอชดี มีการพัฒนาเรื่องโปรดักชั่น ทุกวันนี้แข่งขันกันเยอะมาก คนดูก็พัฒนาขึ้น
วิธีการทำงานของผมก็เปลี่ยนไป วงการละครพัฒนาเรื่องของโปรดักชั่น เรื่องของความละเอียด ความสวยงามของภาพ ของการโปรดักชั่นมากขึ้น เขาก็เลยต้องการผู้กำกับสายอื่นเช่นกัน อย่างสายโฆษณา โดยเฉพาะสายภาพยนตร์ที่มีมุมมองด้านนี้ เข้ามาช่วยพัฒนาการละคร ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะตอนนี้อุตสาหกรรมละครค่อนข้างจะบูม เป็นนิยมของคนดูมากกว่าภาพยนตร์ เป็นอีกช่องทางหนึ่งให้ผู้กำกับภาพยนตร์ได้มีงานทำ มีโอกาสได้แสดงฝีมือมากขึ้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่วงการทีวีได้ให้โอกาสวงการภาพยนตร์
ปกติ วงการทีวี วงการละครจะกลัววงการภาพยนตร์เพราะว่า มีความช้า ความละเอียด จะทำให้งบประมาณบานปลาย ทำให้การถ่ายทำมันยากเย็น แต่ทุกวันนี้ผู้กำกับภาพยนตร์ที่มากำกับละครก็ได้ปรับตัวมากขึ้น มีการคิดว่าจะปรับตัวยังไง จะผสมผสานการทำงานละครกับการทำงานภาพยนตร์ด้วยกันอย่างไร ให้มาอยู่ตรงกลางตรงที่ความสวยงาม มีความเนี้ยบ แต่ไม่ทำให้งบประมาณบานปลาย หรือทำให้การถ่ายทำช้าลง ผมว่าเป็นสิ่งที่ดีมากขึ้น”
ทุกคนมีเวลาเท่ากัน อยู่ที่จะสร้างสรรค์ผลงานออกมาได้อย่างไร อุปสรรคย่อมต้องมีกับทุกสิ่ง ถ้าเราไม่ยอมแพ้ แม้ว่าในวงการบ้านเราจะไม่เปิดกว้างเท่าต่างประเทศ แต่ของดีๆ ย่อมต้องมีคนเห็นและรับรู้ได้อย่างแน่นอน