xs
xsm
sm
md
lg

เวียงร้อยดาว ตอนที่ 13

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เวียงร้อยดาว ตอนที่ 13

จงจิตมาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านร้างที่ดูเหมือนไม่น่ามีคนอยู่ แต่มีแสงไฟส่องมาจากภายใน

“มีใครอยู่ข้างในหรือเปล่า ?”
จงจิตตะโกนเรียกแต่ไม่มีเสียงตอบ เธอเอื้อมมือจะผลักประตู แต่ประตูกลับแง้มเปิดออกเองเหมือนจะเชื้อเชิญ จงจิตเดินเข้าไปข้างใน แล้วประตูก็ปิดเองเหมือนจะขังจงจิตเอาไว้

สิบทิศขับรถพาเมดาตามมา เมดาเห็นรถของจงจิตจอดชนอยู่กับต้นไม้ข้างทาง
เมดาตกใจ “จอดก่อนค่ะ คุณชาย ! นั่นรถของคุณจงจิตนี่คะ”
สิบทิศชะลอรถจอดใกล้ๆกับรถของจงจิต เมดาเปิดประตูลงไปดู

เมดาลงไปดูที่รถแต่กลับไร้วี่แววของจงจิต
“รถจอดพังอยู่นี่ แล้วคุณจงจิตล่ะ หายไปไหน ?”
เมดากวาดตามองไปรอบๆ ที่มีแต่ป่าเปลี่ยวซึ่งมืดและน่ากลัว
“แถวนี้ไม่มีบ้านคนเลยสักหลัง คุณจงจิตคงจะยังไปไหนไม่ไกล เรารีบช่วยกันตามหาดีกว่าค่ะ”
สิบทิศเอื้อมมือไปคว้ามือของเมดาเอาไว้เพื่อสื่อว่าจะไม่ทอดทิ้งกัน เมดามองหน้าสิบทิศแล้วก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างประหลาด
เมดาเรียก “คุณจงจิตคะ !!! คุณอยู่แถวนี้หรือเปล่าคะ”
ทั้งสองจูงมือกันเดินตามหาจงจิต

จงจิตก้าวเข้าไปในบ้านร้างที่มีแสงไฟอยู่ภายใน
“มีใครอยู่ที่นี่บ้าง”
จงจิตกวาดตามองเห็นภายในบ้านไร้วี่แววของคนอาศัย จงจิตเดินตามแสงไฟที่ส่องออกมาจากห้องที่อยู่ข้างใน จงจิตเอามือกุมเบี้ยแก้ที่คล้องคอไว้แน่น
ทันใดนั้นบ้านร้างก็ค่อยๆ เปลี่ยนกลายเป็นเวียงร้อยดาวทีละน้อยๆ เสียงทารกร้องอุแว้ๆขึ้นจากภายในห้องที่มีแสงตะเกียงส่องออกมา จงจิตเดินตามเสียงเด็กร้องอุแว้ๆเข้าไปภายในห้องนั้น

จงจิตก้าวเข้าไปในห้องที่มีแสงสว่าง เธอเห็นเปลเด็กอ่อนตั้งอยู่กลางห้องโดยมีเสียงเด็กร้องอยู่ในนั้น
จงจิตตกใจจึงกวาดตามองในสภาพเหงื่อผุดเต็มหน้า เธอเริ่มจะรู้แล้วว่าตัวเองอยู่ที่ไหน เสียงเวียงแก้วกล่อมเด็กดังขึ้นมา
“โอละเห่เอย.....”
จงจิตพบว่าตัวเองอยู่ในเวียงร้อยดาวในอดีต เมื่อครั้งที่เวียงแก้วยังมีชีวิตอยู่ จงจิตตาเบิกโพลงเพราะจำเปลเด็กนั้นได้ติดตา เปลเด็กไกวได้เอง ร่างเวียงแก้วค่อยๆ ปรากฏขึ้นในท่าที่กำลังไกวเปลอยู่ เวียงแก้วค่อยๆหันมาอย่างช้าๆ แล้วยิ้มเย็นๆให้จงจิต จงจิตตาเหลือกค้างแล้วนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต

เปลเด็กถูกไกวอยู่ พอเวียงแก้วเห็นว่าร้อยดาวหลับไปแล้วก็ไปทำงานบ้านอย่างอื่น
เวลาผ่านไป เวียงแก้วที่สวมเสื้อผ้าเก่าๆซีดๆ หาบน้ำใส่ตุ่มไว้กินไว้ใช้ ก่อนจะมาผ่าฟืนภายใต้ความเป็นอยู่ที่อัตคัดขัดสน ไร้คนเหลียวแลและต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองหมด เวียงแก้วเปิดฝาถังไม้ใส่ข้าวสารแล้วเอามือกอบข้าวสารที่ก้นถังซึ่งมีอยู่ไม่ถึงกำมือด้วยความหนักใจว่าจะเอาอะไรกิน เสียงร้อยดาวร้องไห้จ้าดังมาจากข้างใน
 
เวียงแก้วรีบละมือจากงานในครัวก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปดูทันที

เวียงแก้วก้าวเข้ามาภายในเวียงร้อยดาวเพื่อจะมาดูลูกแล้วก็ใจหายวาบ
 
เมื่อเห็นจงจิตกำลังอุ้มร้อยดาวขึ้นมาจากเปล โดยมีเสงี่ยมยืนดูอยู่ใกล้ๆ
เวียงแก้วพูดเสียงแข็ง “ส่งลูกมาให้ข้าเจ้า”
เวียงแก้วถลาจะเข้าไปขอลูกคืน แต่เสงี่ยมปราดเข้ามาขวางไว้
“พูดจากับคุณจงจิตให้มันดีๆหน่อย” เสงี่ยมพูดเน้น “คุณเวียงแก้ว”
“ไพร่ก็คือไพร่ สันดานแก้อย่างไรก็ไม่หาย ฉันไม่ถือสาหาความหรอก...” จงจิตมองหน้าร้อยดาว “นังเด็กนี่ก็น่าเอ็นดูดีนะ แกว่าไหม เสงี่ยม ?”
“เจ้าค่ะ” เสงี่ยมรับคำ
จงจิตยิ้มเยาะเวียงแก้วก่อนจะลอยหน้าอุ้มร้อยดาวออกไปด้วย
เวียงแก้วถาม “จะเอาร้อยดาวลูกข้าเจ้าไปไหน ?”
“ฉันอยู่กินกับคุณพี่มาก็ตั้งหลายปี ยังไม่ยักกะมีลูกสักคน แกนี่มันมีบุญจริงๆเลยนะ เวียงแก้ว... ลูกแกคนนี้ ฉันขอก็แล้วกัน” จงจิตบอก
“ไม่ได้นะเจ้า ! ข้าเจ้าไม่ยกให้ใครทั้งนั้น ! คุณจงจิตคืนลูกให้ข้าเจ้าเถอะ”
“คืนให้แกงั้นเหรอ ?” จงจิตหัวเราะเบาๆ “กราบฉันสิ กราบฉันงามๆตรงนี้” จงจิตกระดิกเท้ายียวน “แล้วฉันจะคืนให้”
จงจิตจ้องหน้าเวียงแก้วแล้วยิ้มอย่างเป็นต่อ เวียงแก้วกัดฟันพร้อมกับจ้องตาจงจิตไม่กะพริบ ก่อนที่จะยอมคุกเข่าก้มกราบที่เท้าจงจิต จงจิตหัวเราะร่วนด้วยความสะใจที่ทำให้เวียงแก้วยอมก้มกราบแทบเท้าได้
“เชื่อแล้วว่าเวลาหมามันจนตรอก ยอมทำได้ทุกอย่างจริงๆ”
จงจิตทำท่าจะส่งลูกคืนให้เวียงแก้ว แต่แล้วก็แกล้งอุ้มกลับคืน
“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ! ขอเล่นสนุกกับลูกแกอีกสักหน่อยดีกว่า”
จงจิตพูดจบก็ก้าวฉับๆ จากไป
“คุณจงจิต !!! เอาลูกข้าเจ้าคืนมา”
เวียงแก้ววิ่งตามจงจิตกับเสงี่ยมไป

จงจิตอุ้มร้อยดาวพามายังบริเวณบ่อน้ำด้านหลังตึกบดินทร์ธร เวียงแก้ววิ่งตามมาแต่ถูกเสงี่ยมแกล้งขัดขาทำให้ถลาล้มลงกับพื้น
“คืนร้อยดาวให้ข้าเจ้าเถอะนะเจ้า คุณจงจิต...” เวียงแก้วบอก
“ลูกแกเนื้อตัวเหม็นสาบโสโครก เห็นทีคงต้องให้ลงไปเล่นน้ำในบ่อ”
จงจิตทำท่าจะโยนร้อยดาวลงไปในบ่อ เวียงแก้วรีบลุกเข้าไปแย่งร้อยดาวมาจากจงจิตทันที จงจิตขัดขืนไม่ค่อยถนัดเพราะอุ้มเด็กอยู่อีกมือ
“โยนมันลงไปเลยเจ้าค่ะ เดี๋ยวอิฉันช่วย”
เสงี่ยมเห็นก็รีบเข้าไปช่วยแยกเวียงแก้วออกมา แต่เวียงแก้วฮึดสู้อุตลุด เธอผลักเสงี่ยมกระเด็น ในขณะที่จังหวะชุลมุนอยู่นั้น จงจิตได้จังหวะผลักเวียงแก้วตกบ่อน้ำลงไปทันที
เวียงแก้วกรีดร้อง “อ๊ายย !!”
เสียงเวียงแก้วตกน้ำดังตูม เวียงแก้วตกลงไปอยู่ที่ก้นบ่อ จงจิตชะโงกหน้าลงไปพอเห็นเวียงแก้วตัวเปียกปอนก็สะใจ
“อยากให้ฉันคืนลูกแกนักใช่ไหม...ได้...ฉันจะคืนให้”
จงจิตทำท่าจะโยนร้อยดาวลงไปในบ่อ เสียงเด็กร้องไห้จ้าดังลั่น
เวียงแก้วตาเบิกโพลง “อย่า...... !!”
เสียงจันทร์ฉายดังขึ้นมาขัดจังหวะ
“จะทำอะไรน่ะ !”
จงจิตหันกลับมาเห็นดิลกกับจันทร์ฉายยืนมองอยู่ทางด้านหลัง

จันทร์ฉายเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดเพื่อฟ้องดำรง
“หากคุณพี่กับดิฉันไม่ขึ้นมาจากกรุงเทพฯ ป่านนี้หนูร้อยดาวจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้างก็ไม่รู้” จันทร์ฉายบอก
“หล่อนคิดว่าฉันจะโยนนังเด็กนั่นลงไปในบ่อจริงๆหรือไง ห๊า แม่จันทร์ฉาย ! ฉันก็แค่... “หยอกเย้า” เด็กมันเล่นก็แค่นั้น”
“แล้วที่แม่เวียงแก้วถูกผลักตกลงไปในบ่อนั่นล่ะ แค่หยอกเย้าด้วยรึ ?”
“เอ๊ะ ! ก็บอกไปแล้วไง ! ว่านังเวียงแก้วมันซุ่มซ่ามพลัดตกลงไปเอง คุณพี่ดิลกอย่ามาป้ายขี้ให้ดิฉันดีกว่า”
ดำรงกระแทกไม้เท้าปังด้วยความรำคาญเต็มแก่
“เถียงกันพอหรือยัง ! ฉันจะได้ไปนอน !!”
“แต่แม่จงจิตคิดจะทำร้ายหลานคุณพ่อนะคะ”
“เด็กนั่นไม่ใช่หลานฉัน พ่อมันคนไหนยังไม่รู้จะเป็นจะตายก็ช่างหัวมันสิ” ดำรงพูดกับเวียงแก้ว “มัวนั่งลอยหน้าอยู่ได้ จะไปไหนก็ไป ไป๊ !”
เวียงแก้วอุ้มลูกคลานเข่าออกไป ดิลกกับจันทร์ฉายมองตามหลังแบบอดเห็นใจไม่ได้ จงจิตกับเสงี่ยมมองตามแล้วยิ้มเยาะด้วยความรู้สึกว่าตนเป็นฝ่ายชนะ ดำรงลุกขึ้นเพื่อจะขึ้นไปเอนหลังบนห้อง แต่ก็หันมาปรามจงจิต
ดำรงพูดกับจงจิต “ถึงนังเด็กร้อยดาวนั่นจะไม่ใช่หลานฉัน หล่อนก็ไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้ ถ้าเจ้าปกรณ์มันรู้เข้า คงไม่พิศวาสเมียใจยักษ์ คิดจะฆ่าจะแกงกระทั่งเด็กตัวเล็กๆนักหรอก...หล่อนนิสัยใจคอเป็นอย่างไร อย่านึกว่าฉันไม่รู้”

จงจิตไม่กล้าสบสายตาดำรง

ดิลกกับจันทร์ฉายมาหาเวียงแก้วที่เวียงร้อยดาว

“เรื่องนี้ต้องถึงหูพี่ปกรณ์ !!! เรื่องคอขาดบาดตายขนาดนี้ เธอจะปล่อยให้เงียบหายไปเฉยๆเหมือนคลื่นกระทบฝั่งไม่ได้นะ เวียงแก้ว”
“ไม่มีประโยชน์หรอกเจ้า ไม่มีใครเขาสนใจใยดีข้าเจ้ากับลูกหรอก”
“การเป็นคนดีไม่ได้หมายความว่าจะต้องก้มหน้ายอมคนอื่นเขาท่าเดียวหรอกนะ เวียงแก้ว... ยิ่งอ่อนแอ เขาก็จะยิ่งรังแกเธอ ยิ่งเธอเฉย เขาก็จะยิ่งได้ใจ ทำไมเธอไม่ลุกขึ้นมาสู้บ้างล่ะ”
“ข้าเจ้าไม่รู้จะสู้ไปทำไม ถึงสู้ไปก็แพ้อยู่ดี เวรกรรมจะต้องตามทันเข้าสักวัน ใครทำอะไรกับข้าเจ้าไว้ ข้าเจ้าจำได้หมด ถึงตายข้าเจ้าก็ไม่ลืม”
เวียงแก้วเริ่มผูกใจเจ็บกลายเป็นความแค้น เธอไม่ร้องไห้ให้เสียน้ำตาสักหยด

เหตุการณ์ปัจจุบัน ใบหน้าเน่าเฟะของเวียงแก้วยื่นเข้ามาหาจงจิตจนแทบหายใจรด
“แล้วคุณจงจิตล่ะเจ้า ลืมสิ่งที่เคยทำกับข้าเจ้าไปแล้วหรือยัง ? ข้าเจ้าทำอะไรให้คุณเจ็บแค้นนักหรือ ถึงกับต้องลงไม้ลงมือทำกันถึงขนาดนั้น”
จงจิตหน้าซีดเผือดเมื่อเห็นสิ่งที่ตนเคยทำไว้ในอดีต เธอขยับหนีลนลานด้วยความกลัว
“ฉันไม่ได้อยากทำอย่างนั้นเลยแต่แกนั่นแหละที่แย่งทุกอย่างไปจากฉันแกเป็นเมียไม่ทันไร ก็มีลูกให้คุณพี่ คุณพี่ทั้งรักทั้งห่วงแกกับลูก แล้วฉันล่ะ ฉันจะมีความหมายอะไร ฉันทำทุกอย่างสารพัดเท่าที่เมียที่ดีคนหนึ่งจะทำได้ แต่กลับไม่เคยอยู่ในสายตาคุณพี่เลย เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะฉันไม่มีลูกกับคุณพี่เหมือนแกไง”
“แกก็เลยเล่นชู้จนท้องสมใจ แล้วยกลูกสาวที่เกิดกับคนขับรถมาอุปโลกน์เป็นลูกคุณพี่” เวียงแก้วหัวเราะ “แก้ตัวได้ดีนี่...คนชั่วก็มักหาเหตุผลชั่วๆเข้าข้างตัวเองมาอ้างได้เสมอ...” เวียงแก้วย่างสามขุมเข้ามาใกล้ “คุณจงจิตเคยได้ยินหรือไม่เจ้าว่าคนที่มากชู้หลายผัวมั่วรักไม่เลือกหน้า พระท่านว่าตายไปจะต้องปีนต้นงิ้วนรกหนามสิบหกองคุลี”
จงจิตนึกขึ้นได้ว่าสวมเบี้ยแก้ที่คอจึงถอดออก แล้วชูขึ้นต่อหน้าเวียงแก้ว
“แกอย่าเข้ามานะ !!”
เวียงแก้วผงะออกไปด้วยความร้อนจากพลังอานุภาพที่แผ่ออกมาจากเบี้ยแก้ จงจิตใจชื้นที่เบี้ยแก้สามารถปกป้องตัวเองจากผีเวียงแก้วได้ เวียงแก้วค่อยๆยื่นมือเข้ามากำเบี้ยแก้เอาไว้จนควันขึ้นที่ฝ่ามือ
จงจิตยังชูเบี้ยแก้เอาไว้ไม่ปล่อยเพราะต้องการจะวัดกับเวียงแก้วว่าจะทนได้สักแค่ไหน มือเวียงแก้วไหม้ลามไปเรื่อย เธอเจ็บแต่ทนจนกระทั่งกระชากเบี้ยแก้ออกจากมือจงจิตได้สำเร็จ จงจิตตาเบิกโพลงเมื่อเห็นเบี้ยแก้กระเด็นไปกับพื้น แสงที่เบี้ยแก้ดับวูบลงเพราะหมดสิ้นอานุภาพ เวียงแก้วกระทืบเบี้ยแก้จนแหลกละเอียดคาเท้า
“มัวแต่วิ่งหาเครื่องรางของขลังมาป้องกันตัว คิดเหรอว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะคุ้มครองคนชั่วอย่างแก ฝันไปเถอะ !” ผีเวียงแก้วว่า
จงจิตเห็นท่าจะไม่ดีก็รีบตะเกียกตะกายวิ่งหนีออกไปอย่างไม่คิดชีวิต

จงจิตวิ่งเข้ามาในป่าแล้วหอบเพราะหมดแรงจะหนี เธอมองไปทางไหนก็เห็นแต่ต้นไม้ขึ้นเต็มไปหมด
ผีเวียงแก้วตามมาใกล้ทุกทีแล้วบันดาลให้จงจิตเห็นภาพหลอน จงจิตเห็นแผ่นดินทรุดไล่มาเรื่อยๆ คล้ายจะถูกธรณีสูบ จงจิตมองไม่เห็นทางหนีอื่นจึงตัดสินใจเอามือเหนี่ยวคว้ากิ่งไม้เอาไว้ได้ทำให้รอดหวุดหวิด ผีเวียงแก้วเห็นจงจิตปีนต้นไม้ไปอย่างน่าสมเพชด้วยผลกรรมที่เคยทำไว้ก็ถึงกับระเบิดหัวเราะลั่น จงจิตจับกิ่งไม้แล้วเหนี่ยวตัวตะเกียกตะกายปีนขึ้นไปอย่างทุลักทุเล

มือจงจิตถูกหนามบาดจนเลือดออกเป็นแผลเหวอะหวะ หนามยังบาดเนื้อตัวจนเลือดสาด เธอรู้สึกเจ็บและร้อนระอุ จงจิตเงยขึ้นไปดูว่าเมื่อไรจะถึงสักที แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นข้างบนเป็นต้นงิ้วในนรกสูงชะลูด มีผีนรกป่ายปีนเต็มไปหมด ด้านบนมีอีกาปากเหล็กบินว่อนค่อยจิกลูกตาผีนรกกิน กรีดร้องโหยหวน
จงจิตตาค้าง ขนลุกซู่ พอก้มลงมองข้างล่างเพราะหมายจะปีนกลับลงไปก็ต้องตาเบิกโพลงเมื่อเห็นยมบาลผิวดำมะเมื่อมร่างราวยักษ์ปักหลั่นถือหลาวสามง่ามไล่แทงผีนรกให้ป่ายปีนขึ้นมา ผีตนไหนหมดแรงตกลงไปก็จะถูกยมบาลเอาหลาวทิ่มจนเกิดเปลวไฟลุกท่วมร่างกายพร้อมกับหวีดร้องอย่างน่าสยดสยองแล้วสลายร่างไป
ยมบาลตวาดลั่น “มึงปีนกลับขึ้นไปบัดเดี๋ยวนี้ อีจงจิต”
จงจิตกลัวจนน้ำหูน้ำตาไหล เธอปากสั่นแล้วละล่ำละลัก
“ท่านเจ้าขา.... ฉันกลัวแล้ว...”
“มึงประพฤติอสัทธรรม คบชู้สู่ชายนอกใจผัว ลุ่มหลงมัวเมาในกามคุณทั้งห้าจึงต้องมาเกิดเป็นสัตว์นรกเสวยทุกขเวทนาแสนสาหัสอยู่ในโลหะสิมพลีนรก จนกว่าจะชดใช้หนี้กรรมที่มึงเคยก่อไว้จนสิ้น !!! ขึ้นไป”
“ฉันไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ...ฉันสำนึกแล้ว... ไม่ทำอีกแล้ว... ช่วยด้วย”

อีกาปากเหล็กบินมาจิกตีจงจิตจนเลือดพุ่งกระฉูด จงจิตกรีดร้องลั่น

เสียงกรีดร้องของจงจิตดังก้องอยู่ไกลๆ

“กรี๊ด.......”
เมดากับสิบทิศหันขวับไปมองพร้อมๆกัน
“นั่นเสียงคุณจงจิตนี่คะ !! ดังมาจากทางนั้น”
เมดาวิ่งนำสิบทิศรีบไปยังที่เกิดเหตุทันที

จงจิตปีนตะเกียกตะกายปีนขึ้นต้นไม้แล้วร้องลั่นโหวกเหวกอยู่คนเดียว
“ฉันกลัวแล้ว ทรมานเหลือเกิน อย่าทำอะไรฉันเลย กรี๊ด”
ระหว่างที่จงจิตปีนป่ายต้นไม้ตะโกนโหวกเหวกอยู่นี้ เสียงพระปกรณ์ก็ดังขึ้นมา
“ฝูงชนอันทำชู้ด้วยเมียท่านก็ดี แลผู้หญิงอันมีผัวแล้วแลทำชู้จากผัวก็ดี คนฝูงนั้นตายไปแล้วไปเกิดในโลหสิมพลีนรก ในนรกนั้นมีป่างิ้ว ต้นงิ้วนั้นสูงได้แลโยชน์ แลหนามงิ้วนั้นย่อมเหล็กแดงเป็นเปลวสุกอยู่หนามงิ้วบาดทั่วตนเขาขาดทุกแห่ง แล้วเป็นเปลวไหม้ตนเขา ฝูงยมบาลก็เอาหอกดาบหลาวแหลนอันคมแทงซ้ำเล่าเจ็บปวดทรมานนักหนา...”
เมดากับสิบทิศวิ่งตามหาจงจิตจนพบ
“คุณจงจิตคะ ! ลงมาเถอะค่ะ !”
จงจิตไม่ได้ยินเสียงเมดาจึงยังคงปีนขึ้นไปอย่างไม่ลดละ เธอร้องลั่นด้วยความหวาดเสียวว่าจะตกแหล่ไม่ตกแหล่
“ทำยังไงดีล่ะคะ คุณชาย !! คุณจงจิตเหมือนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว” เมดาว่า
“เธอกำลังคลุ้มคลั่ง ผมจะปีนขึ้นไปช่วยเธอลงมาเอง” สิบทิศบอก
สิบทิศถลกแขนเสื้อเตรียมจะปีนขึ้นไปเอาตัวจงจิตลงมา จงจิตหมดแรงจึงปล่อยกิ่งไม้ทำให้ร่างร่วงหล่นลงมา
“อ๊ายย !!”
“คุณจงจิต”
เมดาถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจ

เช้าวันใหม่ เสียงร้องของจงจิตดังเอะอะขึ้นมา จงจิตนอนละเมอ ตะเกียกตะกายคล้ายกำลังป่ายปีนต้นงิ้วอยู่ ส่วนปากก็ร้องโวยวายลั่น
“โอ๊ย ! เจ็บเหลือเกิน เจ็บ เจ็บ หลาวมันทะลวงฉัน กลัวแล้ว อย่าทำฉัน กลัวแล้ว ไหว้ละท่านเจ้าขา เจ็บเหลือเกิน กรี๊ด”
“คุณจงจิตเจ็บตรงไหน ปวดตรงไหนบอกดิฉันสิคะ” นมแสงถาม
เมดาได้ยินเสียงจงจิตก็รีบวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาดูพร้อมกับสิบทิศ
“คุณจงจิตเป็นอะไรหรือจ๊ะนม”
“นมก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ อยู่ๆก็ร้องลั่นอย่างที่เห็นนี่แหละค่ะทำอย่างไรดีล่ะคะ”
“เธอคงเห็นภาพหลอน ต้องใช้ยาระงับประสาท”
เมดาห้ามสิบทิศแล้วเข้าไปหาจงจิตโดยจับมือทั้งสองข้างของจงจิตขึ้นมาพนมเอาไว้
“คุณจงจิตทำใจดีๆไว้นะคะ ตั้งสติ และขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรของคุณ” เมดาพูดลอยๆ “บุญกุศลใดที่ข้าพเจ้าได้เคยกระทำไว้ทั้งในอดีตและปัจจุบัน จงถึงแก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่คุณจงจิตเคยล่วงเกินไว้ ขออย่าได้จองเวรซึ่งกันและกันเลย”
อาการของจงจิตค่อยๆทุเลาลง เธอไม่ทุรนทุรายแต่หอบจนตัวโยนในขณะที่เริ่มกลับคืนสติ
จงจิตร้องไห้จ้าเหมือนเด็กๆ “ช่วยฉันด้วย... ร้อยดาว....ฉันกลัว... ช่วยพาฉันไปจากที่นี่ที... พาฉันไปส่งตำรวจก็ได้… ฉันสำนึกผิดแล้ว...ฉันยอมแล้ว...ยอมสารภาพแล้ว...”
ผีเวียงแก้วปรากฏตัวให้จงจิตเห็น แต่คนอื่นไม่เห็น ก่อนจะแกล้งล้อเลียนจงจิต
“ช่วยฉันด้วย... ร้อยดาว....ฉันกลัว... ฉันสำนึกผิดแล้ว...ฉันยอมแล้ว...ยอมสารภาพแล้ว” ผีเวียงแก้วหัวเราะ “ขอให้มันจริงเถอะ”
“ฉันกลัวแล้ว ! เวียงแก้ว !! อย่าหลอกหลอนฉันเลย ! ฉันจะสารภาพทุกอย่าง”
“คุณจงจิตจะสารภาพเรื่องอะไรหรือคะ ?” เมดาถาม
“ฉัน....”
ทันใดนั้น เต็มเดือนก็เข้ามาขัดจังหวะ ผีเวียงแก้วหายวับไป
“จงจิต !!!! นี่เธอหายไปไหนมาทั้งคืน รู้ไหมฉันเป็นห่วงแทบแย่ กลัวว่าเธอจะเป็นอันตรายไปอีกคน” เต็มเดือนว่า
“เมื่อสักครู่คุณจงจิตบอกว่ามีอะไรจะสารภาพนะคะ” นมแสงถาม
“สารภาพ ? สารภาพอะไรกันเหรอจ๊ะ? หืมม”
เต็มเดือนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่จ้องจงจิตตาเขียวเพื่อขู่ จงจิตส่ายหน้าเพราะไม่กล้าพูด
เต็มเดือนพูด “โธ่...เธอคงละเมอล่ะสินะ... พักผ่อนให้มากๆ ทำใจให้สบายก่อนเถอะนะจ๊ะ...ไม่มีอะไรแล้วจ้ะ... ไม่มีอะไรแล้ว... ฉันอยู่ด้วยทั้งคน”
เต็มเดือนกอดจงจิตแล้วลูบหลัง แต่จงจิตกลับขนลุกซู่ไปทั้งตัว
เต็มเดือนพูดต่อ “จงจิตเพิ่งฟื้น ยังไม่อยู่กับร่องกับรอย คุณนมก็อย่าได้ถือสาหาความคาดคั้นอะไรแม่จงจิตให้มากนักเลยนะจ๊ะ สงสารเธอน่ะ”

นมแสงหลบสายตาไม่กล้าสบตาเต็มเดือนตรงๆ สิบทิศลอบสังเกตพฤติกรรมของทุกคนโดยเฉพาะเต็มเดือน
 
อ่านต่อหน้า 2

เวียงร้อยดาว ตอนที่ 13 (ต่อ)

เมดาถกเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่กับสิบทิศ

“ถ้าคุณเต็มเดือนไม่เข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน คงได้รู้กันว่าคุณจงจิตจะสารภาพอะไรกับเธอ” สิบทิศบอก
“อาจจะรับสารภาพว่าเป็นฆาตกรที่ฆ่าคุณแม่เวียงแก้วก็ได้”เมดาบอก
“คุณเต็มเดือนท่าทางมีลับลมคมใน เหมือนไม่อยากจะให้คุณจงจิตพูดอะไรออกมา ดูมีพิรุธอย่างเห็นได้ชัด”
“คุณชายสงสัยว่าคุณเต็มเดือนจะมีส่วนรู้เห็นด้วยงั้นหรือคะ”
“ฉันแค่ตั้งข้อสังเกตเท่านั้น แต่เธออย่าลืมนะว่ารอยกากบาทลึกลับนั่นยังเหลืออีก 3 รอย แสดงว่าอย่างน้อยก็ต้องมีคนอีก 2 คนที่คุณเวียงแก้วต้องการเอาชีวิต นอกจากคุณจงจิต”
เมดาขมวดคิ้วเพราะเห็นด้วยกับสิบทิศ แต่ก็ไม่รู้ว่าอีก 2 คนที่เหลือจะเป็นใคร

เต็มเดือนเอาหลังมือตบปากจงจิตไม่ยั้ง เต็มเดือนเผยธาตุแท้ที่น่ากลัวเข้าขั้นโรคจิตออกมา
“คราวนี้จะหายบ้าได้หรือยัง ห๊า !!!! คราวนี้ฉันแค่สั่งสอนนะ แต่ถ้ายังไม่เลิกพูดพล่อยๆอีก ฉันจะลากลิ้นหล่อนออกมาสับเป็นชิ้นๆ คอยดู”
“แต่คุณพี่คะ... ดิฉันกลัว...” จงจิตบอก
“จะกลัวอะไร !!! หล่อนลืมไปแล้วหรือไงเจ้าคุณพ่อฉันเป็นใคร มีอำนาจบาตรใหญ่แค่ไหน นังเวียงแก้วมันก็ไม่ต่างจากหมาข้างถนนตัวหนึ่ง มันจะตายโหงตายห่าก็ไม่มีใครสนใจมันหรอก เรื่องมันก็ผ่านมาตั้ง 25 ปีแล้วทุกวันนี้ยังไม่มีหลักฐานสักชิ้นที่จะสาวมาถึงตัว แล้วใครหน้าไหนจะเอาผิดเราได้”
“เวรกรรมยังไงล่ะ !!! ต่อให้ใหญ่คับฟ้าขนาดไหนก็ไม่มีใครหนีพ้นกฎแห่งกรรมไปได้หรอก”
เต็มเดือนฟังแล้วฉุนกึกขึ้นมาอีกรอบ เธอปราดเข้าไปจิกผมจงจิตขึ้นมา
“เกิดสำนึกบาปบุญคุณโทษอะไรขึ้นมาตอนนี้ ถ้ายังขืนปากดี ริตีฝีปากกับฉัน หล่อนอาจกลายเป็นผีก่อนที่เวรกรรมมันจะตามทัน จำเอาไว้”
เต็มเดือนจ้องจงจิตด้วยแววตาวาวโรจน์น่ากลัว

มารุตโวยวายบังหนั่นลั่นในขณะที่ชี้ให้ดูโลงเปล่าที่ขุดเจอ
“ไหนบอกว่าฝังตรงนี้ไง มีซะที่ไหน ขุดมาเจอแต่โลงเปล่า นี่ถามจริงๆ เถอะ บังหนั่น ยูเล่นลูกไม้กับไอหรือเปล่า”
“อีนี่ !!! ฟ้าดินเป็นพยาน ฉันฝังศพคุณเวียงแก้วไว้ตรงนี้จริงๆนะจ๊ะนาย ไม่รู้ว่าหายไปได้ยังไง”
“ต้องมีใครแอบเคลื่อนย้ายศพคุณน้าเวียงแก้วไปไว้ที่อื่นแน่ๆ”
“โอ๊ย....ใครจะไปกล้าทำพิเรนทร์อย่างว่าล่ะขอรับ ขนาดกลางวันแสกๆ ยังไม่มีใครกล้าเข้ามาเพ่นพ่านแถวๆนี้ เขากลัวผีคุณเวียงแก้วกันทั้งนั้น !!” บังหนั่นทำท่าขนลุกพร้อมกับมองหวาดๆ
พอมารุตได้ยินคำว่าผีก็รีบไปหลบหลังบังหนั่นทันที
“นั่นสิ !!! ผีผู้หญิงผมยาว หน้าซีดๆ น่ากลัวชะมัด ไอเห็นมากับตา”
น่านฟ้าทำท่าครุ่นคิดเหมือนเชอล็อคโฮห์มตอนไขคดี
“นี่นายฝรั่งขี้นก !!! พาฉันไปดูทีสิ นายเจอผีหลอกที่ไหน”
มารุตทำตาโตพร้อมกับอ้าปากหวอ

มารุตพาน่านฟ้ากับบังหนั่นมายังบริเวณที่เจอผีหลอก
“ตรงนี้แหละ !”
น่านฟ้าเดินเข้ามาสำรวจโดยกวาดตาดูอย่างถี่ถ้วน เธอเห็นรอยไม้ที่ผนังเหมือนรอยมาตอกใหม่ๆ ดูผิดสังเกตก็แปลกใจ น่านฟ้าค่อยๆย่องเข้าไปดูช้าๆ อย่างพินิจพิจารณา น้ำหยดใส่หัวมารุตทีละหยดๆ มารุตเริ่มรู้ตัวแต่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปมอง เขาสะกิดบังหนั่น
มารุตพูดเสียงสั่น “บังหนั่น... ช่วยแหงนขึ้นไปมองให้ทีซิ น้ำมาจากไหน”
บังหนั่นแปลกใจในท่าทางของมารุตแต่ก็ยอมแหงนขึ้นไปมองให้ บังหนั่นเห็นผีเวียงแก้วนั่งห้อยขาบนขื่อพร้อมกับก้มลงมามองจ้องตาเขม็ง บังหนั่นปากคอสั่น เขาทำปากขยับๆจะบอกว่าผี แต่ดันเป็นลมหมดสติล้มตึงไปเสียก่อน
“นั่นไง ! ชัดเลย” มารุตสะกิดแขนน่านฟ้า “ยัยบ๊องเราไปจากที่นี่กันเถอะ”
น่านฟ้ายังคงสนใจอยู่กับรอยไม้กระดานอยู่จึงไม่ทันหันมามองด้านหลัง
น่านฟ้ารำคาญ “อะไรของนาย สะกิดอยู่นั่น”
มารุตชี้นิ้วให้น่านฟ้าแหงนขึ้นไปมอง น่านฟ้าเห็นผีเวียงแก้วเต็มๆ ผีเวียงแก้วผมสะบัดด้วยความโกรธที่เข้ามายุ่มย่าม
ผีเวียงแก้วตวาด “ออกไป !!”
น่านฟ้ากับมารุตร้องลั่น “กรี๊ดด !! / เหวอ !”

มารุตกับน่านฟ้าจูงมือกันโกยแน่บออกจากเวียงร้อยดาวไปโดยไม่เหลียวหลัง

มารุตกับน่านฟ้านั่งหน้าซีดปากสั่น ผมชี้เด่จากการเจอผีหลอกเมื่อครู่ ในขณะที่เล่าให้รัตนากรฟัง

รัตนากรตกใจ “อะไรนะ !!! เจอผีหลอกที่เวียงร้อยดาว !”
น่านฟ้ากับมารุตพยักหน้าพร้อมกัน ช้อยยกมือทาบอกแล้วทำท่าตกใจกลัวเสมือนเจอผีหลอกเสียเอง
รัตนากรถาม “แล้วเราสองคนเข้าไปเล่นซุกซนอะไรที่นั่นจนเกิดเรื่อง ไหนบอกป้ามาซิ ใครเป็นต้นคิด หญิงใช่มั้ย?”
น่านฟ้าเสียงอ่อย “หญิงเองค่ะ หญิงเป็นคนชวนนายมาร์คกับบังหนั่นเข้าไปแกะรอยหาศพคุณน้าเวียงแก้วที่หายไปอย่างลึกลับที่เวียงร้อยดาวเอง”
“อย่าตำหนิยัยบ๊อง เอ๊ย ! น่านฟ้าเลยนะครับ ท่านป้า ผมผิดเองที่พาเธอไปที่นั่น” มารุตบอก
รัตนากรเห็นน่านฟ้ากับมารุตหน้าจ๋อยทั้งคู่ก็โกรธไม่ลงจึงได้แต่ส่ายหัว
“เรื่องมันก็ตั้งนานมาแล้ว ป่านนี้เวียงแก้วยังไม่ไปผุดไปเกิดอีกหรือนี่”
“ท่านป้ารู้จักคนที่ชื่อเวียงแก้วด้วยเหรอครับ” มารุตถาม
“ทรงรู้จักดีทีเดียว” ช้อยบอก “ผู้หญิงคนนั้นเป็นต้นเหตุที่ทำให้ท่านพ่อกับท่านแม่ของคุณหญิงน่านฟ้าต้องสิ้นชีพิตักษัย”
รัตนากรดุ “ช้อย! พูดมากใหญ่แล้วนะเรา ! ถ้าสิบทิศได้ยินเข้า เราจะเดือดร้อน”
ช้อยหน้าเจื่อนที่ถูกรัตนากรดุ
“ท่านป้าต้องทรงรู้แน่ๆว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนนั้น ตอนนี้หญิงโตแล้ว ควรจะรู้เรื่องได้แล้ว ท่านป้าทรงเล่าให้หญิงฟังเถอะนะ” น่านฟ้าอ้อน
“พี่ของหญิงไม่ชอบให้ใครรื้อฟื้นเรื่องในอดีต... รู้แล้วจะได้อะไรขึ้นมา ?” รัตนากรว่า
“หญิงทราบค่ะว่ารู้แล้วก็ไม่ทำให้อะไรมันดีขึ้นมา และเราก็ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตได้ แต่เราใช้อดีตเป็นบทเรียนสอนไม่ให้ผิดพลาดซ้ำรอยได้นี่มังคะ”
รัตนากรนิ่งไปชั่วขณะก่อนตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตอนน่านฟ้ายังไม่รู้ความให้ฟัง

เหตุการณ์ในอดีต รัตนากรกำลังนั่งคุยเบาๆกับอาภาเรื่องลูกในท้อง โดยมีสิบทิศนั่งเล่นของเล่นอยู่ใกล้ๆ รัตนากรสังเกตเห็นวิรุฬนั่งเหม่อมองดูสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนักที่นอกหน้าต่างไปยังที่ตั้งของเวียงร้อยดาวด้วยความเป็นห่วงและอาลัยอาวรณ์เวียงแก้ว ทันใดนั้น จันทร์ฉายที่วิ่งฝ่าสายฝนจนเนื้อตัวเปียกปอนไปหมดก็พรวดพราดเข้ามาด้วยความร้อนรน
“ท่านชายเพคะ !!”
ทุกคนหันไปมองจันทร์ฉายเป็นตาเดียวกัน วิรุฬปราดเข้าไปหาจันทร์ฉายทันที
“เกิดอะไรขึ้นรึ ทำไมถึงได้วิ่งฝ่าสายฝนมาดึกๆดื่นๆแบบนี้” วิรุฬถาม
“เวียงแก้วแย่แล้วเพคะ !!” จันทร์ฉายบอก
วิรุฬไม่รอช้า เขารีบตามจันทร์ฉายไปยังเวียงร้อยดาวทันที อาภาที่เก็บกดอารมณ์ไว้นานจนสุดจะทน ระเบิดอารมณ์ออกมาอย่าเต็มที่
“ลมหายใจเข้าออกของท่านพี่มีแต่ผู้หญิงคนนั้น เป็นห่วงมันยิ่งกว่าหญิงที่เป็นเมียเสียอีก ถึงตัวจะอยู่กับหญิงก็ตาม แต่หัวใจท่านพี่ไม่เคยมีหญิงอยู่เลยแม้แต่น้อย ถ้ารักมันมากนัก ก็ไปอยู่ซะด้วยกันเลยสิ !”
รัตนากรถึงกับอึ้งที่เห็นอาภาเก็บกดจนกระทั่งต้องระเบิดออกมา

ฝนหยุดตกแล้ว วิรุฬเดินเสียศูนย์เข้ามาในสภาพตาแดงก่ำจากการร้องไห้มาหยกๆ รัตนากรยังไม่นอน เพราะนั่งรอวิรุฬกลับมาด้วยความเป็นห่วง
รัตนากรเอ่ยถาม “บดินทร์ธรมีใครเป็นอะไรรึ ?”
วิรุฬไม่ตอบ เขาเดินเลื่อนลอยเข้าห้องตัวเองคล้ายไม่ได้ยินที่รัตนากรถาม
 
รัตนากรและทุกคนต่างก็รู้สึกแปลกใจ

วิรุฬเอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง
 
เขาสีไวโอลินเพลงลาวคำหอมจนกระทั่งสายไวโอลินขาดผึง วิรุฬทรุดลงนั่งอย่างหมดอาลัยตายอยากในชีวิต รัตนากรแอบมองดูอยู่ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย เธอตัดสินใจเดินเข้ามาหาแตะที่บ่าวิรุฬเบาๆ วิรุฬหันมามองรัตนากรด้วยน้ำตานองหน้าก่อนจะพูดเพ้อๆ
“ท่านพี่.... เวียงแก้วตายแล้ว.... น้องผิดเองที่วันนั้นปล่อยให้เวียงแก้วกลับไป... น้องผิดเอง... ท่านพี่”
วิรุฬปล่อยโฮออกมาขณะที่เข้าไปกอดเอวรัตนากร รัตนากรปลอบวิรุฬโดยลูบหลังด้วยความสงสาร

วิรุฬเอื้อมมือไปลูบไวโอลินที่สายขาดเบาๆ เหมือนเสียดายที่จะไม่ได้สีอีกแล้ว
เขานึกถึงตอนที่สีไวโอลินเพลง “ลาวคำหอม” ให้เวียงแก้วฟังที่บึงบัว
วิรุฬเปิดลิ้นชักออกมาทำให้เห็นผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งวางไว้ เขานึกถึงตอนที่ใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ซับน้ำตาให้เวียงแก้ว วิรุฬค่อยๆหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาหอมเบาๆ อย่างทะนุถนอม
สิบทิศที่ยืนหน้าประตูซึ่งแง้มอยู่แอบดูว่าวิรุฬกำลังทำอะไร เสียงปืนดังปังขึ้นมากระชากอารมณ์ รัตนากร อาภา และช้อยวิ่งเข้ามาพร้อมกัน ทุกคนเห็นร่างของวิรุฬนอนจมกองเลือด อาภาช็อคและอยากจะร้องออกมาดังๆแต่ก็ร้องไม่ออก
“ท่านพี่.... โอ๊ย !!!”
ทันใดนั้นอาภาก็ปวดท้องอย่างแรง เธอทรุดฮวบลงกับพื้นข้างๆศพวิรุฬเพราะน้ำคร่ำเดิน อาภาร้องโอดโอย
“วิรุฬ !!! อาภา !!! เจ็บท้องรึ ?”
รัตนากรตกใจจนละล้าละลังทำอะไรไม่ถูก เพราะคนหนึ่งตาย อีกคนหนึ่งกำลังจะเกิด
รัตนากรสั่งช้อยทั้งน้ำตา “บอกคนรถให้รีบพาอาภาไปส่งโรงพยาบาลก่อน”
ช้อยละล่ำละลัก “แล้วท่านชายล่ะมังคะ ?”
“ทำตามที่ฉันสั่งเถอะ... เร็วสิ !!”
ช้อยลนลานโวยวายลั่นให้คนขับรถรีบเอารถออก สิบทิศร้องไห้จ้าเพราะเสียขวัญที่พ่อตายตรงหน้า มือวิรุฬยังกำกระบอกปืนโดยมีเลือดไหลหยดเป็นทางนองที่พื้น

รัตนากรอุ้มน่านฟ้าที่เพิ่งคลอดออกมาโดยตัวยังแดงๆ อาภานอนอยู่บนเตียงในสภาพหน้าซีดเซียว อาการเข้าขั้นตรีทูตเนื่องจากตรอมใจจนร่างกายอ่อนแอซูบผอม เธอแข็งใจสั่งเสียกับรัตนากรครั้งสุดท้ายด้วยเสียงแผ่วเบา
“ท่านพี่รัตนากร...หญิงฝากลูกด้วย หญิงคงไม่มีวาสนาอยู่เลี้ยงดูลูกๆ จนโต ลูกสาวคนนี้หญิงตั้งชื่อว่าน่านฟ้าขอให้ลูกของแม่จงร่าเริงแจ่มใสดุจท้องฟ้าสว่างใสไร้เมฆหมอก อย่าได้อาภัพเหมือนแม่เลยนะลูก”
รัตนากรกับช้อยร้องไห้สะอื้นเบาๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย
“สิบทิศ...เป็นลูกผู้ชายต้องเข็มแข็ง อย่าร้องไห้” อาภาฝืนยิ้มจางๆ “แม่ไม่อยู่...อย่าดื้อกับท่านป้านะลูก... รักน้องให้มากๆ... อย่าทิ้งน้อง.... ดูแลน่านฟ้าแทนแม่ด้วย”
สิบทิศร้องไห้ก่อนจะพยักหน้าและรับคำ เขาปาดน้ำตาโดยพยายามจะไม่ร้องไห้ แต่ก็กลั้นสะอื้นไม่อยู่

อาภาค่อยๆหลับตาลงในขณะที่น้ำตาหยดสุดท้ายไหลเป็นทาง

พอรัตนากรเล่าเรื่องจบทั่วทั้งตำหนักก็ตกอยู่ในความเงียบงัน
 
ช้อยร้องไห้คิดถึงอาภากับวิรุฬ น่านฟ้าฟังแล้วก็น้ำตาร่วงเผาะ มารุตมองน่านฟ้าพร้อมกับส่งสายตาให้กำลังใจ รัตนากรหันมาเห็นสิบทิศยืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ก็ตกใจเล็กน้อยเพราะรู้ว่าสิบทิศไม่ชอบให้พูดถึงอดีต
“ชาย !”
น่านฟ้ารีบซับน้ำตาไม่ให้สิบทิศเห็นแล้วรีบฝืนยิ้มถามกลบเกลื่อน
“พี่ชายกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
“ก็กลับมาตอนที่เห็นนั่นแหละ กำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่”
“ไม่มีอะไรหรอก... ป้าก็แค่เล่าเรื่องเก่าๆให้ฟังตามประสาคนแก่”
“เรื่องบางเรื่องที่ไม่อยากจดจำ อย่าทรงเล่าซ้ำให้ยิ่งช้ำใจเลย ท่านป้า” สิบทิศพูดกับน่านฟ้า “บาดแผลในอดีตยิ่งรื้อฟื้นก็ยิ่งเจ็บปวดจะอยากรู้ไปทำไม”
น่านฟ้านั่งก้มหน้าเพราะรู้ว่าสิบทิศไม่พอใจมาก
“อย่าไปโทษอดีตที่ทำให้เจ็บช้ำ ต้องขอบคุณมันด้วยซ้ำที่ทำให้เราเข้มแข็งในวันนี้ ชายต้องรู้จักรักษา "บาดแผล" ให้เป็น ใส่ยารักษาใจให้ถูก วันเวลาจะเป็นยาสมานให้บาดแผลนั้นทุเลาลง อย่าจมปลักกับมันมากนัก แล้วชายจะสามารถผ่านพ้นมันไปได้... เชื่อป้า” รัตนากรบอก
สิบทิศฟังรัตนากรแล้วค่อยๆ เย็นลง เขาพยักหน้ารับคำ

ความมืดเข้าครอบคลุมบดินทร์ธรอีกครั้งหนึ่ง เสียงหมาป่าหอนดังอยู่ไกลๆ ดำรงนอนอยู่ในห้องคนเดียว เขาได้ยินเสียงประตูค่อยๆเปิดจึงกลอกตาไปมอง ดำรงไม่เห็นใครมา ลมกรรโชกเข้ามาทางหน้าต่างวูบหนึ่งพร้อมกับเสียงน้ำหยด
ดำรงถึงกับสะดุ้งเมื่อเห็นผีเวียงแก้วปรากฏตัวนั่งอยู่ที่ปลายเตียง เธอก้มหน้าอยู่ก่อนค่อยๆเงยหน้าขึ้นช้าๆ และคลานเข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงประชด เสียดสี เพราะรู้ดีว่าดำรงแกล้งเป็นอัมพาต
“จำต้องฝืนใจนอนนิ่งอยู่บนเตียงทั้งๆที่ไม่อยากแบบนี้ คุณท่านคงอึดอัดแย่เลยสินะเจ้า พูดก็ไม่ได้ กระดิกกระเดี้ยก็ไม่ได้...ถูกรังแก ไม่มีใครเหลียวแล มันแสนจะขื่นขมสักแค่ไหน คุณท่านคงรู้ซึ้งถึงรสชาติดีแล้วใช่ไหมเจ้า”
ดำรงรู้สึกกลัวเวียงแก้วขึ้นมา เขาอยากจะร้องเรียกเมดาแต่ก็ตะโกนเรียกไม่ได้
“อย่าโทษใครเลย...มันเป็นกรรมของคุณท่านเอง กรรมที่เคยเห็นข้าเจ้าทุกข์ร้อนอยู่ตรงหน้าแต่กลับดูดาย เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ พอถึงคราวคุณท่านเองบ้าง ผีสางอย่างข้าเจ้าก็ไม่รู้จะยื่นมือช่วยอย่างไร....แต่ไม่ต้องกลัวนะเจ้า คุณท่านอดใจรอสักนิด ใครที่ทำกับคุณท่านไว้ ข้าเจ้าจะแก้แค้นให้เอง” ผีเวียงแก้วหัวเราะในลำคอ
ทันใดนั้นผีเวียงแก้วก็อารมณ์เปลี่ยนเป็นกราดเกรี้ยว เธอหันขวับไปทางหน้าตึกแล้วหายวับไปทันที

จงจิตเปิดตู้เซฟแล้วโกยเอาเครื่องเพชร ใส่กระเป๋า เธอขนสมบัติเตรียมหนี พอจงจิตหันมาเห็นผีเวียงแก้วยืนจ้องอยู่ก็ผงะด้วยความตกใจจนกระเป๋าร่วงหล่นจากมือ เครื่องเพชรกระจายเกลื่อนกลาดเหมือนกรวดหินที่ไม่มีค่า
“จะไปไหนหรือเจ้า ?”
จงจิตกลับหลังจะหนีไปอีกทางแต่ก็เจอผีเวียงแก้วดักหน้าเอาไว้อีก
“หนีอะไรก็พอหนีได้ แต่หนีกรรมชั่วที่ก่อไว้ หนีอย่างไรก็ไม่พ้น”

จงจิตไม่รอช้า เธอลนลานวิ่งหนีออกจากห้องไปโดยไม่สนใจเครื่องเพชรที่เกลื่อนกลาดอยู่
 
อ่านต่อหน้า 3

เวียงร้อยดาว ตอนที่ 13 (ต่อ)

จงจิตถูกผีเวียงแก้วต้อนให้วิ่งหนีไปทางหลังตึก
 
พอเห็นบ่อน้ำเธอก็ถึงกับเหงื่อแตก เข่าอ่อนฮวบ จงจิตจะหันหลังกลับก็เจอผีเวียงแก้วดักอยู่
“ในที่สุด ก็มาถึงที่นี่จนได้ คุณจงจิตยังจำบ่อน้ำนี่ได้ไหมเจ้า”
ภาพตอนที่จงจิตเป็นคนผลักเวียงแก้วให้ตกลงไปในอดีตแวบขึ้นมา
ภาพตอนที่จงจิตจะโยนร้อยดาวลงบ่อ แต่เวียงแก้วขัดขวางเลยผลักเวียงแก้วให้ตกลงไปแวบขึ้นมา
ภาพตอนที่จงจิตผลักเมดาตกลงไปแวบขึ้นมา
จงจิตหน้าซีดเผือด เข่าอ่อน ก่อนจะทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น
“เวียงแก้ว.... ฉันสำนึกผิดแล้ว ได้โปรดอโหสิกรรมให้ฉันด้วย”
จงจิตจะยกมือขึ้นไหว้ขออโหสิกรรม ทันใดนั้นมือของเธอก็หงิกเหมือนเป็นง่อยเหมือนถูกดึงแยกออกจากกันทำให้พนมมือไม่ได้ จงจิตตกใจจนตาเหลือก
“อโหสิกรรมงั้นเหรอ ?” เวียงแก้วหัวเราะเบาๆ “กราบข้าเจ้าสิ กราบข้าเจ้างามๆ ตรงนี้” เวียงแก้วกระดิกเท้ายียวนเหมือนที่จงจิตเคยทำ
จงจิตก้มลงกราบทั้งๆที่มือหงิกๆ และไม่ประกบกัน เวียงแก้วหัวเราะร่วนด้วยความสะใจที่ทำให้เวียงแก้วยอมก้มกราบแทบเท้าได้
“เชื่อแล้วว่าเวลาหมามันจนตรอก ยอมทำได้ทุกอย่างจริงๆ แต่ว่า...ข้าเจ้าเปลี่ยนใจแล้ว ! ขอเล่นสนุกกับคุณจงจิตอีกสักหน่อยดีกว่า”
จงจิตตาเหลือกค้าง เมื่อมือของตัวเองควบคุมไม่ได้ มือของเธอยกขึ้นมาเอง จงจิตเอามือตบหน้าตัวเองซ้ายทีขวาทีอย่างแรงจนเลือดซึมออกจากปากแต่ก็ยังไม่หยุด
ภาพเหตุการณ์ในอดีตตอนที่จงจิตตบเวียงแก้วตอนที่ใช้ให้เก็บไหลบัวย้อนกลับมา
“เดี๋ยวนี้แกกล้าทำหูทวนลม ขัดคำสั่งฉันเหรอ นังเวียงแก้ว เสงี่ยม ! ช่วยสั่งสอนมันทีซิ”
“เจ้าค่ะ”
เสงี่ยมปราดเข้าไปตบตีเวียงแก้วอย่างไม่ยั้งจนกระทั่งเจ็บมือจึงต้องสะบัดเร่าๆ แต่พอหันมาเห็นจงจิตที่ยืนคุมเชิงอยู่ก็กัดฟันตบหน้าเวียงแก้วต่อไป
เหตุการณ์ปัจจุบัน ผีเวียงแก้วแสยะยิ้มสะใจ มันยื่นหน้าเละๆเข้ามากระซิบที่ข้างหูจงจิต
“ตบต่อไปเรื่อยๆ ถ้าฉันไม่สั่ง แกก็ห้ามหยุด !”
ผีเวียงแก้วหัวเราะลั่น

เมดาเคาะประตูอยู่ที่หน้าห้อง
“คุณจงจิตคะ !! อาการดีขึ้นแล้วหรือยัง ? เปิดประตูให้ดิฉันเข้าไปหน่อยได้ไหมคะ ?”
เมดาแปลกใจที่เรียกตั้งนานแต่ก็ไม่มีเสียงตอบ เธอเห็นว่าไม่ได้ลงกลอนจากด้านในจึงถือวิสาสะเปิดประตูห้องเข้าไป เมดาเห็นว่าจงจิตไม่ได้อยู่ในห้อง นอกจากเครื่องเพชรที่หล่นเกลื่อนกลาดที่พื้น
“คุณจงจิตไปไหน ?? หรือว่า....”

เมดารีบวิ่งออกจากห้องไปตามหาจงจิตทันที

เมดาเข้ามาเห็นจงจิตตบหน้าตัวเองจนบวมช้ำไปหมด แต่ก็ยังไม่หยุดตบ
 
เมดารีบวิ่งเข้าไปหาจงจิต แล้วจับมือจงจิตเอาไว้ไม่ให้ตบหน้าตัวเอง
“ร้อยดาว....ช่วยฉันด้วย....”
“พอได้แล้วค่ะ ! อย่าทำอะไรเธออีกเลย ! เธอสำนึกผิดแล้ว !!! ให้โอกาสคุณจงจิตเธอได้กลับเนื้อกลับตัวเถอะนะคะ หนูขอร้อง...”
“ก็ได้ !!! ฉันจะทำตามที่แกขอ ถือว่าบุญคุณที่แกเคยช่วยปลดปล่อยฉันออกมาจากผ้ายันต์อัปรีย์ผืนนั้นเป็นอันจบกัน ไม่มีอะไรต้องค้างคา” ผีเวียงแก้วบอก
ผีเวียงแก้วหายวับไป
จงจิตกอดเมดาแน่นด้วยความหวาดกลัว เธอตัวสั่นเป็นลูกนก
เมดาปลอบ “คุณปลอดภัยแล้วค่ะ คุณจงจิต !”
ทันใดนั้น จงจิตก็เกิดกรีดร้องโวยวายขึ้นมา
“กรี๊ด ! ร้อน ! ร้อนเหลือเกิน ทั้งร้อนทั้งเจ็บ กลัวแล้ว อย่าทำฉัน กลัวแล้ว ทรมานเหลือเกิน กรี๊ดดดด.... ร้อน !!”
ภาพในความคิดของจงจิตเป็นภาพเธอที่ปีนตัวงิ้วหนามและมีไฟลุกท่วมตัว จงจิตสะบัดตัวเร่าๆ และดิ้นพราดๆกับพื้น เธอเอาตัวแถคลุกขี้ดินหวังจะทุเลาความร้อนในตัว เมดาตาเหลือกค้างเพราะทำอะไรไม่ถูก
“คุณจงจิตเป็นอะไรคะ ?” เมดาถาม
จงจิตดิ้นสะบัดจากร้อยดาวเหมือนวัวที่กำลังจะเข้าโรงเชือด
“น้ำ !!! ขอน้ำหน่อย !!! น้ำ !!! ฉันร้อนจนทนไม่ไหวแล้ว !!! กรี๊ด”
จงจิตกวาดตามองซ้าย ขวา จนเห็นบ่อน้ำอยู่ข้างหน้า จงจิตไม่รอช้า เธอรีบวิ่งไปที่บ่อน้ำแล้วกระโดดตูมลงไปทันที เมดาวิ่งตามเข้าไปดูที่ปากบ่อก็เห็นจงจิตตะเกียกตะกายและสำลักน้ำ จงจิตทะลึ่งพรวดแบบจะจมไม่จมแหล่
“คุณจงจิต !!”
เมดาเห็นร่างจมจิตจมหายไปกับความมืดสนิทที่ก้นบ่อ
 
เมดาเอื้อมมือไขว่คว้าในความมืดมิดนั้น แล้วถูกดึงไปอีกมิติทันที

เมดาถูกดึงมายังอีกมิติหนึ่งที่มืดมิด ไม่รู้ว่าเป็นที่ใด

เมดาตะโกนเรียก “คุณจงจิตคะ !! คุณอยู่ที่ไหนคะ !!! คุณจงจิต”
เมดาเห็นร่างๆหนึ่งยืนแฝงตัวอยู่ในความมืดก็รีบวิ่งเข้าไปหาเพราะนึกว่าเป็นจงจิต
“คุณจง....” เมดาชะงัก
เมดาเห็นร่างนั้นเต็มๆตาว่าคือเวียงแก้ว
“คุณแม่เวียงแก้ว !”
“ตะโกนจนคอแตกแกก็ไม่เจอมันหรอก... นังจงจิตมันลงนรกไปแล้ว”
ร้อยดาวตกใจจนหน้าถอดสี
“ไหนคุณแม่บอกจะไว้ชีวิตคุณจงจิตยังไงล่ะคะ ? ทำไมถึงยังฆ่าเธอ ?”
“ต่อให้ฉันไม่ฆ่า เวรกรรมก็ตามล่ามันอยู่ดี !!! ตอนนี้นังหญิงชั่วมันคงกำลังปีนต้นงิ้วง่วนอยู่กับบรรดาชายโฉดชู้รักของมัน !!! สะใจฉันนัก”
“แต่คุณแม่ก็มีส่วนทำให้เธอต้องตาย”
“นังหน้าโง่ !!! ถ้านังจงจิตมันเป็นคนดีอยู่ในศีลอยู่ในธรรม มีหรือผีอย่างฉันจะทำอะไรมันได้ แต่เพราะมันเป็นคนเลวระยำต่ำช้า เลยเปิดโอกาสให้ฉันตามจองเวรมันได้... ชะตามันขาดไม่ใช่เพราะใคร แต่เพราะกรรมที่มันก่อไว้ต่างหากทำให้ถึงที่ตาย”
ผีเวียงแก้วหัวเราะเสียงใสที่ศัตรูหมดไปอีกหนึ่ง !

เมดาถูกกระชากกลับมายังมิติปัจจุบัน เธอลืมตาขึ้นเห็นสิบทิศมองด้วยความห่วงใยเป็นคนแรก
“คุณจงจิตล่ะคะ คุณชาย ?”
สิบทิศส่ายหน้าช้าๆ แทนคำตอบว่าไม่รอด
เมดาถึงกับหมดแรงที่ไม่สามารถช่วยชีวิตจงจิตไว้ได้

เมดารู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก เธอน้ำตารื้นสงสารจงจิตต้องตายไปต่อหน้าต่อตาอีกศพ
“อโหสิกรรมให้ดิฉันด้วยเถอะนะคะ คุณจงจิต ดิฉันพยายามเต็มที่แล้ว” เมดา
“ดูนั่นสิ !”
สิบทิศบุ้ยหน้าให้เมดาแหงนมองที่เพดานโถงกลาง รอยกากบาทหายไปอีกหนึ่งรอยจนเหลืออีกแค่ 2 รอยเท่านั้น
“ที่นี่อันตรายเกินไปสำหรับเธอทั้งจากสิ่งที่มองเห็นและมองไม่เห็น เธอย้ายไปอยู่กับฉันที่เวฬุมาศเถอะ”
เมดาส่ายหน้า “ดิฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ตอนนี้บดินทร์ธรไม่เหลือใครแล้วนอกจากคุณปู่กับคุณเต็มเดือนแค่สองคนเท่านั้น...”
“ไม่รู้รอยกากบาทที่เหลือใครจะเป็นรายต่อไป”

เมดาแหงนขึ้นไปมองรอยกากบาทที่เหลืออยู่แค่ 2 รอยเริ่มใจคอเริ่มไม่ค่อยดี

เต็มเดือนที่อยู่ในชุดไว้ทุกข์ลุกขึ้นมาใส่บาตรแต่เช้า
 
เต็มเดือนเอาของใส่บาตร เธอรับพรจากพระ แล้วยกมือขึ้นจบ เต็มเดือนใส่บาตรเสร็จกำลังจะกลับ เมดาเดินเข้ามาหาสีหน้าไม่สบายใจ
เต็มเดือนยิ้มจางๆ “หนูร้อยดาว... ฉันมาใส่บาตรให้แม่จงจิตกับแม่สร้อยฟ้าน่ะ”
เมดาเห็นที่หน้าผากเต็มเดือนปรากฏรอยกากบาทขึ้นวูบหนึ่งแล้วจางหายไป เมดาตาค้างเพราะไม่คิดว่าเต็มเดือนจะเป็นรายต่อไป เมดาถึงกับหน้าซีดเผือด
เต็มเดือนงง “เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ หน้าซีดเชียว?”
เต็มเดือนจับแขนเมดาด้วยความเป็นห่วง เมดาพูดไม่ออกและไม่รู้จะบอกเต็มเดือนอย่างไร

เต็มเดือนรินชาใส่ถ้วยจนควันลอยกรุ่น ก่อนจะยื่นให้เมดา
“ฉันรู้... เวียงแก้วอาฆาตแค้นทุกคนที่เป็นเมียของคุณพี่ปกรณ์ ไม่เว้นแม้กระทั่งฉัน”
“ทำไมล่ะคะ ? ตอนมีชีวิตอยู่ คุณเต็มเดือนก็ดีกับคุณแม่เวียงแก้วทุกอย่าง ทำไมถึงยังได้...”
“โลกนี้ไม่ได้มีแค่สีขาวกับสีดำหรอกนะจ๊ะ ฉันเองก็ไม่ได้ดีไปทั้งหมดเหมือนอย่างที่หนูคิดหรอก”
เมดาแปลกใจว่าเต็มเดือนจะบอกอะไร
เต็มเดือนเล่า “หลังจากที่เวียงแก้วตายที่เวียงร้อยดาวได้ไม่นาน...”
เต็มเดือนเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตให้เมดาฟัง

เสงี่ยมเดินตรวจตราฟืนไฟในบดินทร์ธรก่อนเข้านอน เวียงแก้วเดินผ่านหลังเสงี่ยมไป เสงี่ยมหันกลับมามองแต่ก็ไม่เห็นใคร
ทันใดนั้น เสียงกล่อมลูกก็ดังโหยหวนขึ้น เสงี่ยมเดินตามเสียงกล่อมเด็กไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงหน้ามุข
เสงี่ยมเห็นเวียงแก้วยืนอุ้มลูกหันหลังเนื้อตัวเปียกโชก
“นั่นใครน่ะ ? ฉันถามไม่ได้ยินหรือไง ?”
เวียงแก้วยังคงยืนหันหลังนิ่งโดยไม่สนใจเสงี่ยม เสงี่ยมชักยั๊วะจึงเดินไปกระชากบ่าเวียงแก้วให้หันกลับมาหมายจะตบสั่งสอน
“แกอยากลองดีกับฉันใช่ไหม ? ห๊า !”
พอเสงี่ยมเห็นเวียงแก้วชัดๆ ก็ถึงกับตาเบิกโพลงและอ้าปากค้าง
“นังเวียงแก้ว !!! แกตายไปแล้วนี่”
“ตายซะเถอะ อีแก่ !!”
เสงี่ยมรีบวิ่งหนีไป เวียงแก้วมองตามด้วยแววตาเดือดดาล เคียดแค้น ผมของเธอสยายตามแรงลม แลดูน่ากลัว

เสงี่ยมหนีผีเวียงแก้วในสภาพปากคอสั่นจนกระทั่งชนกับเต็มเดือน
เต็มเดือนถาม “มีอะไรรึ ?”
เสงี่ยมละล่ำละลัก “คุณเต็มเดือนเจ้าขา....ผีจ้าค่ะ ผีนังเวียงแก้ว มันจะฆ่าดิฉัน ช่วยดิฉันด้วยนะเจ้าคะ ไม่อย่างนั้นดิฉันต้องตายแน่ๆ”
เต็มเดือนเห็นเสงี่ยมหวาดกลัวจนคุมสติตัวเองไม่ได้ เธอสัมผัสถึงลางร้ายที่กำลังจะมาเยือน

คนงานกำลังมุงดูอะไรบางอย่างด้วยท่าทางสยดสยอง เต็มเดือนเดินเข้ามา พวกคนงานต่างแหวกทางให้ด้วยความเกรงในบารมี เต็มเดือนเห็นเสงี่ยมผูกคอตายกับกิ่งไม้หน้าตึกในสภาพลิ้นจุกปาก ห้อยต่องแต่งอยู่ที่หน้ามุข
เต็มเดือนตกใจ “แม่เสงี่ยม !!!”

เต็มเดือนช็อคเมื่อเห็นสภาพศพเสงี่ยมตายอย่างน่าอเน็จอนาถ
 
อ่านต่อหน้า 4

เวียงร้อยดาว ตอนที่ 13 (ต่อ)

เต็มเดือนเล่าเรื่องในอดีตให้เมดาฟัง

“การตายของเสงี่ยมเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น วิญญาณของเวียงแก้วอาละวาดหลอกหลอนผู้คนในบดินทร์ธรจนขวัญหนีดีฝ่อ ที่อยู่ได้ก็ทนอยู่ไป ที่ทนอยู่ไม่ไหวลาออกไปก็มาก บางรายถึงกับจับไข้ตายก็มี ในฐานะที่ฉันเป็นสะใภ้ใหญ่คอยดูแลความสงบเรียบร้อยของที่นี่ จึงจำเป็นตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง”
ภาพเหตุการณ์ตอนที่พ่อปู่ทำพิธีสะกดวิญญาณเวียงแก้วไว้ในผ้ายันต์ที่เวียงร้อยดาวย้อนกลับมา
“ฉันนี่แหละ เป็นคนสั่งให้แม่สร้อยฟ้าอัญเชิญพ่อปู่มาสะกดวิญญาณเวียงแก้วไว้ในผ้ายันต์ผืนนั้น” เต็มเดือนบอก
“อย่างนี้นี่เองคุณแม่เวียงแก้วถึงได้จ้องจะแก้แค้นคุณเต็มเดือน” เมดาว่า
เต็มเดือนบีบน้ำตาจนเมดาใจอ่อนนึกสงสาร
“ฉันรู้ตัวว่าเคยทำไม่ดีกับเวียงแก้วไว้ แต่ฉันไม่มีทางเลือกจริงๆ ฉันจำเป็นต้องทำเพื่อความปลอดภัยของทุกคนในบดินทร์ธร หนูร้อยดาวอย่าโกรธอย่าเกลียดฉันเลยนะจ๊ะ”
“ดิฉันเข้าใจค่ะ คุณทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ดิฉันไม่โกรธคุณหรอกค่ะ”
“ถึงเธอจะเข้าใจ แต่เวียงแก้วสิ คงไม่ไว้ชีวิตฉันแน่”
“ที่วิญญาณของคุณแม่เวียงแก้วยังไม่ไปสู่สุคติ เป็นเพราะศพของท่านยังถูกซ่อนอยู่ที่ใดสักที่ในเวียงร้อยดาว ถ้าหาศพคุณแม่เวียงแก้วพบแล้วเผาซะ คุณเต็มเดือนก็จะปลอดภัยค่ะ”
เต็มเดือนตามีประกายแห่งความหวังเพราะหมายใจจะใช้เมดาเป็นเครื่องมือ
“งั้นหรือจ๊ะ... แล้วเราจะเริ่มหาจากที่ไหนดีล่ะ ?”
เมดาขมวดคิ้วครุ่นคิดเพราะยังมืดแปดด้าน

เมดาขอร้องให้ทุกคนช่วยกันหาศพเวียงแก้วที่เวียงร้อยดาวอีกครั้ง
“จะให้กลับไปที่นั่นอีก ไม่เอาแล้วจ้า อีนี่ ฉันขอทีเถอะนะจ๊ะ กับคนบังหนั่นสู้ยิบตา ไม่มีถอย แต่กับผีนี่ ฉันไม่ไหวจริงๆจ้า...คราวที่แล้ว ไม่ช็อคตายก็บุญเท่าไหร่แล้ว” บังหนั่นว่า
มารุตออกตัว “ใช่ ! ไอคนหนึ่งก็ไม่เอาด้วย ! ที่นั่นมีผีสิงล้านเปอร์เซ็นต์ ไอคอนเฟิร์ม”
“ได้โปรดเถอะ บังหนั่น มาร์ค...ไปกันหลายๆคน มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้ ฉันไม่รู้จะหันหน้าไปหาใครแล้ว ช่วยกันหาศพคุณแม่เวียงแก้วที่เวียงร้อยดาวอีกสักครั้งเถอะนะ” เมดาบอก
“ยูคิดว่าไปที่นั่นแล้วจะเจอศพหรือไง No Way ! ไม่มีทาง เจอแต่ผีล่ะสิ” มารุตบอก
“คำก็ผี สองคำก็ผี ยังไม่ทันจะไปหาเลย แค่นี้ถอดใจเสียแล้ว เป็นผู้ชายเสียเปล่า ปอดแหกชะมัด !”
“ใครตาขาวก็ไม่ต้องไป ฉันไปกับเธอเอง”
มารุตฉุนกึกเพราะรู้ว่าสิบทิศหลอกด่า
“หญิงไปด้วยคนค่ะ !!! จะได้รู้กันว่าผู้ชายแถวนี้กลัวผีจนขี้ขึ้นสมองทั้งหนุ่มทั้งแก่ !”

มารุตกับบังหนั่นมองหน้ากัน ทั้งคู่กลัวผีก็กลัวแต่ก็อยากช่วยจะเอาอย่างไรดี

ทั้งหมดยกโขยงกันเข้ามาภายในเวียงร้อยดาวแบบกล้าๆกลัวๆ

“คงไม่เจอแล้วล่ะ ! กลับดีกว่า !”
น่านฟ้าจับชายเสื้อมารุตแล้วกระตุกเอาไว้
“ไปไม่ได้ !!! ยังไม่ทันหา จะรีบไปไหน ! อยู่ช่วยกันก่อน”
“รู้แล้วน่ะ !!”
แต่ละคนแยกย้ายกระจายกันห้าศพเวียงแก้วคนละมุมภายในเวียงร้อยดาว น่านฟ้ายังติดใจไม้ที่ฝาผนังที่มีรอยตอกใหม่ๆ
“พี่ร้อยดาวมาดูตรงนี้สิคะ !!”
เมดาเอามือลูบรอยไม้ตามที่น่านฟ้าบอกอย่างพินิจพิจารณา
“ไม้กระดานตรงนี้ เหมือนเพิ่งถูกเอามาตอกทับใหม่ๆ” เมดาบอก
เมดาเอะใจจึงเหลียวซ้ายแลขวาเพื่อมองหาชะแลงที่อยู่ใกล้ๆ เมดาเอาชะแลงมางัดไม้กระดานบริเวณนั้นออกมาให้หายสงสัย ทันใดนั้น เมดาก็ปวดหัวอย่างแรง ก่อนจะเห็นภาพเหตุการณ์ที่ผ่านมา

ภาพเหตุการณ์ที่เฉลยว่าศพเวียงแก้วมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรแวบเข้ามาในหัวเมดา
ภาพตอนที่วีระวิทย์ถูกผีเวียงแก้วสะกดให้มาที่เวียงร้อยดาว ขุดศพเวียงแก้วขึ้นมาจากหลุมที่บังหนั่นฝังไว้ที่ใต้ต้นไม้จนพบ แล้วเปิดฝาโลงออกมาจนเห็นโครงกระดูกของเวียงแก้ว
ภาพตอนที่วีระวิทย์เอาศพเวียงแก้วมาไว้บริเวณนี้ เขาใช้ชะแลงงัดฝากระดานออกมาแล้วเอาศพไปไว้ข้างใน
ภาพตอนที่วีระวิทย์เอาไม้กระดานตีตอกทับกลับเรียบร้อยแล้วสลบไป โดยมีผีเวียงแก้วบงการอยู่ด้านหลัง

ชะแลงหลุดออกจากมือเมดาหล่นพื้นเสียงดังเคร้ง ทำให้ทุกคนหันมามอง
บังหนั่นตกใจ “คุณหนู !!”
เมดาหน้ามืด ก่อนจะเลือดกำเดาไหลจนน่านฟ้าเป็นห่วง
น่านฟ้าตกใจ “เลือด !”
ทุกคนวิ่งมาดูอาการเมดาด้วยความเป็นห่วง
“อาการเธอไม่ค่อยจะดี ออกไปจากที่นี่ก่อนดีกว่า”
“ดิฉันไม่เป็นไรมาก คุณชายช่วยงัดไม้กระดานนั่นออกมาทีได้ไหมคะ”
สิบทิศพยักหน้า เขาคว้าเอาชะแลงมางัดไม้กระดานต่อจากร้อยดาวทันที ทุกคนยืนลุ้นเอาใจช่วยสิบทิศ สิบทิศงัดพื้นไม้ออกมาได้สำเร็จ ควันสีดำคลุ้งตลบออกมาจากใต้ไม้กระดานนั้นก่อนจางหายไปทำให้เห็นสิ่งที่อยู่ภายในซึ่งเป็นกองกระดูกขาวโพลนของเวียงแก้ว ทุกคนต่างตกตะลึง
เมดาดีใจ “เจอแล้ว !!! โครงกระดูกคุณแม่เวียงแก้ว”
“อะไรกันนี่ !!! ศพคุณเวียงแก้วมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร !”
ทันใดนั้น เสียงผีเวียงแก้วระเบิดหัวเราะดังลั่นรอบทิศทาง เมฆสีดำทะมึนครอบคลุมทั้งเวียงร้อยดาว อีกาบินแตกตื่น พายุพัดอึงอล ประตู หน้าต่าง ของเวียงร้อยดาวทุกบานก็ปิดลงพร้อมๆกัน
 
ทุกคนต่างตื่นตระหนกที่ถูกขังอยู่ในเวียงร้อยดาว

หมอกสีดำลอยปกคลุมภายในเวียงร้อยดาวจนมืดมองไม่เห็น
 
แล้วค่อยๆ กระจายกลายเป็นความมืดมิดที่ไร้เวลา ไร้สถานที่ กลุ่มหมอกสีดำรวมร่างกลายเป็นเวียงแก้วที่มีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว เวียงแก้วหัวเราะลั่น น่านฟ้าหลับตาปี๋แล้วโผเข้ากอดมารุตอย่างลืมตัว ส่วนบังหนั่นเป็นลมพับไปแล้ว
“ไอ้พวกไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา !!! อย่าคิดว่าเข้ามาเหยียบที่นี่แล้วจะได้กลับออกไปง่ายๆ”
“จะต้องมีอีกกี่ชีวิตที่ต้องสังเวยความแค้น คุณแม่ถึงจะสาแก่ใจ ! หยุดสร้างกรรมเสียทีเถอะค่ะ ความอาฆาตพยาบาทก็เหมือนไฟ มันไม่ได้เผาแค่คนอื่น แต่มันเผาตัวคุณแม่เองด้วย”
“ต่อให้ต้องตกใต้เถรเทวทัต ถูกไฟนรกแผดเผาฉันก็ยอม ขอแค่ได้แก้แค้นไอ้คนอัปรีย์ที่มันทำกับฉัน... ตาต่อตา ฟันต่อฟัน”
“แก้แค้นแล้วจะได้อะไร นอกจากความสะใจที่เห็นเขาเจ็บปวด... ปล่อยวางเสียบ้างเถอะนะคะ คุณแม่... เลิกยึดติดแต่เรื่องในอดีตเสียที” เมดาว่า
“ฮึ ! เลิกยึดติดงั้นเหรอ แค่คำพูดพล่อยๆใครก็พูดได้.... ฉันอยากรู้นักว่าแกจะเก่งเหมือนปากหรือเปล่า”
ผีเวียงแก้วจ้องตาเมดาเพื่อสะกดจิตให้ดึงกลับไปให้เห็นภาพในอดีต
ภาพเหตุการณ์ตอนต้นเรื่องที่รถประสบอุบัติเหตุพลิกคว่ำจนกระทั่งดิลกกับจันทร์ฉายตายคาที่ เมดาน้ำตาไหลเมื่อเห็นภาพพ่อกับแม่ตายตรงหน้า เธอทรุดลงร้องไห้ในอ้อมแขนของสิบทิศ
เวียงแก้วหัวเราะเย้ยหยัน “นึกว่าจะแน่ ! ปล่อยวางอดีตของแกให้ได้ก่อนเถอะ แล้วค่อยเสนอหน้ามาสอนฉัน”
“เลิกทำร้ายเธอเสียที เธอหวังดีอยากจะช่วยคุณให้หลุดพ้นจากบ่วงของความอาฆาตแค้นนะ คุณเวียงแก้ว” สิบทิศว่า
เวียงแก้วหัวเราะ “อีกไม่นานเกินรอหรอกลูกแม่” เวียงแก้วลูบแก้มเมดา “อีกแค่อึดใจเดียวเท่านั้น ทุกอย่างจะยุติ แล้วเราสองแม่ลูกจะได้มีความสุขกันเสียที”
สิบทิศหัวใจกระตุกวูบเพราะไม่รู้ว่าเวียงแก้วหมายความว่าอย่างไร เวียงแก้วจ้องหน้าเมดาแล้วยิ้มอย่างมีเลสนัยก่อนสลายร่างกลายเป็นกลุ่มหมอกสีดำที่จางหายไป

แผ่นเสียงสีดำที่เล่นเพลง “กลิ่นยี่โถแดง” หมุนอยู่บนจาน เต็มเดือนหยิบซองใส่พินัยกรรมของดำรงออกจากตู้มาชื่นชมด้วยใบหน้ายิ้มกริ่ม เต็มเดือนมองพินัยกรรมทั้งฉบับแล้วก็สะดุด เมื่อเห็นว่าพินัยกรรมยังไม่ได้เซ็นชื่อดำรง เต็มเดือนตบโต๊ะดังปังด้วยความเจ็บใจ เธอกำมือแน่น
“เจ้าเล่ห์นักนะ ไอ้แก่ !”
เต็มเดือนหายใจหนักๆถี่ๆ เพราะโกรธจัด
 
เธอขบกรามจนเป็นสันและเกร็งไปทั้งตัวเมื่อรู้ว่าถูกดำรงหักหลัง

บังหนั่นรู้สึกตัวก็ลืมตาขึ้นมาโวยวายลั่นพร้อมกับยกมือไหว้ปลกๆ

“กลัวแล้ว ! ไปที่ชอบๆเถอะ อย่ามาหลอกหลอนฉันเลย”
“บัง ! หลับหูหลับตาโวยวายอยู่นั่นแหละ ผีคุณเวียงแก้วไปตั้งนานแล้ว” มารุตว่า
บังหนั่นค่อยๆหรี่ตาขึ้นมามอง พอไม่เห็นผีเวียงแก้วเขาก็ค่อยโล่งใจ
“ค่อยยังชั่ว !! แต่เราอยู่ไหนกันเนี่ยนาย ไม่ใช่ที่เวียงร้อยดาวดอกรึ ?”
“ที่นี่เหมือนมีอาถรรพ์บางอย่างบังตา ทำให้เราหาทางออกไม่เจอ” สิบทิศบอก
“ทุกคนต้องมาพลอยเดือดร้อน เพราะดิฉันคนเดียวเป็นต้นเหตุ” เมดาสำนึกผิด
“ไม่ใช่ความผิดเธอหรือความผิดใครทั้งนั้น อย่าเพิ่งท้อสิ เข้มแข็งเข้าไว้ ฉันเชื่อว่าจะต้องมีทางออก ต่อให้ข้างหน้าจะเป็นนรกหรือสวรรค์ ฉันก็เต็มใจที่จะก้าวไปพร้อมๆกับเธอ ฉันจะปกป้องเธอเอง” สิบทิศบอก
สิบทิศจับมือเมดามากุมกระชับไว้เพื่อให้กำลังใจ เมดามองตาสิบทิศดวยสายตาและรอยยิ้มบางๆของสิบทิศทำให้เมดารู้สึกถึงความอบอุ่นอย่างประหลาด มารุตมองอย่างหมั่นไส้จนน่านฟ้าต้องหยิกแขนของเขา
“เราหาทางออกไปจากที่นี่กันเถอะ”
ทุกคนเดินตามกันไปเป็นพรวนแบบหวาดๆ โดยจะมองไปทางไหนก็พบว่ามืดมิดและน่ากลัว เสียงสวดมนต์บทสิบสองตำนานโดยปกรณ์ดังขึ้นมาจากที่ไกลๆ
“ราชะโต วา โจระโต วา มะนุสสะโต วา อะมะนุสสะโต วา อัคคิโต วา อุทะกะโต วา ปิสาจะโต วา ขาณุกะโต วา กัณฏะกะโต วา นักขัตตะโต”
“เสียงสวดมนต์ ! ฟังสิคะ ! ดังมาจากทางนั้น” เมดาบอก
เมดาวิ่งนำทุกคนไปตามเสียงสวดมนต์ที่เธอได้ยินแต่คนอื่นไม่ได้ยิน เสียงสวดมนต์ดังใกล้เข้ามาทุกที ทุกคนเริ่มมีความหวังเมื่อเห็นแสงสว่างสว่างสีเหลืองมลังเมลืองเหมือนดังชายจีวรพระเดินนำทางอยู่ไกลๆ ทุกคนวิ่งเข้าหาแสงนั้น แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์สว่างวาบจนทุกคนต้องหลับตา

น่านฟ้าลืมตาเป็นคนแรกแล้วก็พบว่าตัวเองยืนอยู่หน้าตึกบดินทร์ธร
“ตึกบดินทร์ธร ! เรารอดตายแล้ว นายมาร์ค”
น่านฟ้ากระโดดโลดเต้นกับมารุตและบังหนั่น เธอไชโยโห่ร้องเพราะดีใจที่กลับมาได้อย่างปลอดภัย
สิบทิศหันมายิ้มกับเมดา เมดารู้สึกตัวก็ค่อยๆชักมือออกจากสิบทิศ
“เธอรู้ได้ยังไงว่าต้องมาทางนี้”
“เสียงสวดมนต์นั่นช่วยนำทางให้ดิฉันค่ะ” เมดาบอก

สิบทิศแปลกใจว่าเสียงสวดมนต์ที่ไหนกัน
 
อ่านต่อตอนที่ 14
กำลังโหลดความคิดเห็น