xs
xsm
sm
md
lg

พรมแดนหัวใจ ตอนที่ 6

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


พรมแดนหัวใจ ตอนที่ 6

ในขณะที่บ็อบบี้นั่งต่อเลโก้วุ่นวายอยู่ตรงระเบียงเรือนหลังใหญ่ของคุ้มอมรา พิมพรเดินนำจีรณะเข้ามา
“แม่ไม่อยู่ไปต่างจังหวัด พิมถึงกล้าพาคุณมา”
“ผมไม่ได้เป็นลูกหนี้ แม่เลี้ยง ผมไม่กลัวหรอกครับ”
พิมพรยิ้มแล้วหันไปเรียกลูกชาย “บ็อบบี้ ดูซิใครมา SURPRISE”
บ็อบบี้เห็นจีรณะก็ดีใจ ยิ้มร่ารีบลุกมากอดทัก “มิสเตอร์จี”
“เป็นยังไงไอ้เสือบ็อบบี้ของครู”
“คุณจีจะมาติวภาษาไทยให้บ็อบบี้ก่อนเข้าเรียนหนังสือที่นี่ดีมั้ยจ๊ะ”
“ดีครับดี มิสเตอร์จี MY TEACHER”
บ็อบบี้จับมือเช็กแฮนด์กับจีไปมา

ครู่ต่อมาพิมพรเดินนำจีรณะกับบ็อบบี้เข้ามานั่งที่โต๊ะสนาม บ็อบบี้ถือหุ่นยนต์เลโก้ จีรณะเมียงมองไปรอบๆ มองหาโสภิต
พิมพรเอ่ยขึ้น “นั่งเรียนกันตรงนี้ดีมั้ยคะ”
จีรณะชี้ไปที่สำนักงานในคุ้ม “ในนั้นละครับ”
“นั่น ออฟฟิศแม่ เป็นที่ทำงานของยัยภิต คงไม่สะดวก”
“แล้วนี่คุณภิต อยู่มั้ยครับ”
“ไม่เห็นรถนะคะ คงจะออกไปข้างนอก”
“งั้นตรงนี้ก็ได้ ว่าไงบ็อบบี้”
“ได้ครับ ตรงนี้เย็นดี”
“ถ้าอย่างนั้นฝากบ็อบบี้ด้วยนะคะ พิมจะไปให้แม่บ้านหาพวกผลไม้มาทานกัน”
พิมพรเดินไป จีรณะมองไปที่ออฟฟิศแววตาหมายมาด

ส่วนโสภิตเดินเข้ามาในสนุกเกอร์คลับของพีรพงษ์ มองหายศ เห็นยศกำลังแทงอวดสาวๆ
“ถ้าลูกนี้พี่แทงลง ต้องให้พี่หอมแก้มทีนึงนะ”
ยศเล็งลูกแล้วแทง ลูกกลิ้งมา โสภิตคว้าไว้ยศโมโห “เฮ้ย อะไรวะ”
ยศเงยหน้าเห็นโสภิตท้าวสะเอวอยู่ รีบทิ้งไม้วิ่งหนีออก
“พี่ยศๆ”
โสภิตตาม ทุกคนมองงงๆ

ยศวิ่งมาจะขึ้นรถขับหนีแต่ยังไม่ทันถึง โสภิตคว้าคอเสื้อไว้
“อย่าหนีนะ หยุดเดี๋ยวนี้”
“ปล่อยพี่ ยัยภิต พี่ไม่กลับไปให้แม่ฆ่าหรอก”
“แม่น่ะไม่ฆ่าพี่หรอก แต่คนที่จะฆ่าพี่คือภิต”
โสภิตชักที่ช็อตไฟฟ้าขึ้นมา “ยัยภิต อย่านะ จะบ้าเหรอ พี่ไปทำอะไรให้”
“บอกมา เมื่อคืนพี่ตั้งใจวางยาคุณนิตยาใช่มั้ย”
“ยาอะไร พี่ไม่รู้เรื่อง ยัยนิตยาใส่ร้ายพี่ละซิ”
“ถ้าภิตไม่ได้กินยานั่นเข้าไป ภิตก็คงไม่รู้ว่าพี่ยศคิดแผนชั่วอะไร ได้ ถ้าไม่ยอมพูดความจริงตรงนี้ก็กลับไปพูดกันต่อหน้าแม่”
“เฮ้ย ไม่ไป”
“งั้นก็พูดมา”
ยศมองเครื่องช็อต โสภิตทำท่าจะจี้ยศแหกปาก “โอ๊ย อย่าๆๆ พี่แค่อยากแกล้งคุณนิตเล่นๆ แต่บ๋อยมันคงสลับแก้ว”
“แกล้งเหรอ พี่ยศรู้มั้ยว่าภิตก็กินยานั่นเข้าไปด้วย แล้วคุณพงษ์ก็กะจะพาภิตไปทำมิดิมิร้าย”
ยศเถียง “ไม่จริง คุณพงษ์ไม่ทำอย่างงั้นหรอก งานนี้คนที่ร้ายจริงก็คือคุณนิตยานั่นแหละ เค้าโทร.ไปตามจิตราให้มารับพี่ไปที่บ้าน จนเกือบถูกไอ้จีมันฆ่าตาย”
โสภิตอึ้ง “จริงเหรอ”
“ก็จริงน่ะซิ ดีไม่ดี เป็นแผนไอ้จีด้วยซ้ำ มันคงอยากแบล็คเมล์พี่ โชคดีที่คุณพงษ์ช่วยพี่ไว้”
โสภิตครุ่นคิดภาพแว่บเข้ามาตอนที่จีรณะพาโสภิตไปโรงแรม โสภิตชักลังเล

ตรงโต๊ะสนามนอกคุ้ม บนโต๊ะมีน้ำมะนาวกับข้าวเหนียวมะม่วง จีรณะกับบ็อบบี้กำลังเล่นเกมทายคำศัพท์กัน โดยจีรณะหยิบน้ำมะนาวยกขึ้น ออกเสียงเป็นชื่อภาษาอังกฤษ แล้วให้บ็อบบี้ตอบเป็นภาษาไทย
“lemon juice”
“น้ำมะนาวคร้าบ”
“coconut”
“มะพร้าว”
ระหว่างนี้พิมพรยืนยิ้มกอดอกดูอยู่ไกลๆ รู้สึกดีที่ลูกมีความสุข พวงเข้ามามองท่าทีไม่สบายใจ
“คุณพิมหื้อผู้ชายคนนั้นเข้ามาในคุ้ม จะดีเหรอเจ้า ถ้าแม่เลี้ยงฮู้เข้าต้องโกรธแน่ๆ”
“ก็แม่ไม่อยู่ แล้วถ้าแม่กลับมา ป้าก็อย่าบอกแม่สิจะได้ไม่มีเรื่อง”
“แต่ว่า...”
“บ่ฮู้ บ่หันน่ะ เข้าใจก๊ะ”
พิมพรเดินออกไป พวงเครียดจัด

ด้านจีรณะตักกะทิที่ใช้ราดข้าวเหนียวมะม่วงบนโต๊ะ “coconut milk”
“นมมะพร้าวครับ”
“ไม่ใช่ ภาษาไทยเค้าเรียกกะทิ คนไทยชอบเอามาทำอาหารไทย แล้วบ็อบบี้เคยเห็นต้นมะพร้าวมั้ยเป็นยังไง”
“เคยครับ”
“ดี งั้นลองวาดต้นมะพร้าวให้ครูดูหน่อย ครูขอตัวไปเข้าห้องน้ำสักครู่นะครับ”
“เดี๋ยวบ็อบบี้พาไป”
“ไม่เป็นไร ครูไปได้ ครูเคยมาที่นี่แล้ว”
จีรณะลุกเดินไป บ็อบบี้มองตาม

รถโสภิตแล่นเข้ามาจอด โสภิตลงจากรถ หอบถุงขนมมาหลายถุงตรงมาที่หลานชาย
“บ็อบบี้ ดูซิ น้าภิตซื้อขนมมาเยอะแยะเลย”
“ดีจังเลยครับ ครูจีจะได้กินด้วย”

โสภิตอึ้ง “ครูจี?”

จีรณะมีท่าทีระแวดระวังขณะเดินมาจะเปิดเข้าห้องสำนักงาน โสภิตส่งเสียงเข้มมาจากข้างหลัง

“คุณเข้ามาทำอะไรที่นี่”
“คุณพิมขอให้ผมมาสอนหนังสือบ็อบบี้ เผอิญมันฉุกละหุก” จีรณะชูของในมือให้ดู “ไม่ได้เตรียมอุปกรณ์มา เลยเข้ามายืมดินสอ ปากกา กระดาษเป็นอุปกรณ์การสอนหน่อย”
“แต่ฉันเห็นบ็อบบี้ มีครบทั้งดินสอปากกา คุณหาข้ออ้างเพื่อจะเข้ามาขโมยของมากกว่า”
“คุณนี่มองคนในแง่ร้ายจริงๆ”
จีรณะจะออก โสภิตขวาง “เดี๋ยวยังไม่ไหนไม่ได้ ฉันขอค้นตัวคุณก่อน”
“ไม่มีปัญหา แต่ระวังหน่อยแล้วกัน ผมบ้าจี้”
จีรณะวางของแล้วยกมือขึ้นให้ค้นโสภิตเข้าไปลูบตัว “ดีๆ นะระวังไปจับถูกอะไรเข้า”
“บ้า ทะลึ่ง”
“โอ๊ยๆๆ” จีรณะร้อง
“ร้องทำไม”
“ผมบ้าจี้”
โสภิตดึงกระเป๋าตังค์ออกมา เปิดดู เห็นภาพครูเจือพ่อจีรณะยิ้มอยู่
“นั่นรูปพ่อผม ผมไม่มีแฟนก็เลยพกรูปพ่อ”
“ใครอยากรู้”
โสภิตค้อนแหวกดูในกระเป๋ามีเงินอยู่ห้าร้อยกับเศษไม่กี่บาท
“เดือนนี้ค่าวิจัยยังไม่ออก เลยเหลือแค่นั้น น่าสงสารมั้ยเฮ้อ นี่ยังไม่รู้เลย ว่าจะเอาเงินที่ไหนไปไถ่ทะเบียนรถคืน รู้อย่างงี้ผมจำนำคุณดีกว่า ยังไงก็คนกันเอง”
โสภิตหมั่นไส้ยื่นคืนจีรณะจับมือ “พอแล้วเหรอ ค้นยังไม่ทั่วเลย”
“ใครทำอะไรไว้ กรรมก็ต้องสนองเอง”
“คุณเชื่อเรื่องบุญกรรม แต่ผมเชื่อเรื่องบุพเพสันนิวาสมากกว่า”
จีรณะพูดลอยๆตั้งใจกวนตีน แต่พอพูดไปแล้ว ก็อึ้งเอง ทั้งคู่จ้องตากัน

พิมพรเข้ามาเห็นพอดี “ยัยภิต” ทั้งคู่ผละออกจากกัน “มาทำอะไรกันในนี้คะ”
“ผมมาหาพวกแมกกาซีน จะเอารูปไปสอนบ็อบบี้น่ะครับ”
“หนังสือพวกนั้นอยู่ในห้องรับแขกค่ะ” พิมพรบอก
“อ้อ งั้นก็ต้องขอโทษด้วยครับ”
โสภิตหน้าตึงไม่มอง พิมพรมองอย่างสังเกตสังกา

สองสาวอยู่ในสำนักงานที่คุ้มอมรา โสภิตไม่พอใจมาก
“พี่พิมทำแบบนี้ไม่ถูกนะคะ”
“ไม่ถูกยังไง ก็บ็อบบี้ต้องเข้าเรียน คุณจีเค้าอาสามาติวให้ เงินทองก็ไม่ต้องจ่าย”
“แต่เขาไม่บริสุทธิ์ใจ เขาตั้งใจจะแอบเข้าไปในสำนักงานในนั้นมีเอกสารสำคัญเต็มไปหมด”
“เขาก็บอกแล้วว่าจะเข้าไปเอาหนังสือ เธอเองก็ค้นตัวเค้าแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ก็เพราะภิตเข้ามาทันไงเวลาไงคะ ผู้ชายคนนี้เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวมาก เค้าไม่ได้เป็นอย่างที่พี่เห็น”
พิมพรจ้องหน้าน้องสาว “ดูเธอจะรู้จักเค้าดีจัง ทำไมเค้าเป็นยังไง”
“เอาเป็นว่าเรื่องนี้ภิตจะเก็บไว้ไม่บอกแม่ แต่พี่พิมต้องไม่พาเขาเข้ามาในคุ้มอีก ไม่อย่างงั้นถ้าเกิดอะไรขึ้น ภิตจะไม่รับผิดชอบ”
โสภิตตัดบทแล้วเดินหนี พิมพรไม่พอใจที่น้องมาวางอำนาจ
“มันจะเกินไปแล้ว พอแม่ไม่อยู่ก็วางอำนาจเชียว ยัยภิต”

จีรณะเดินเข้ามาในสำนักงานเอ็นจีโอมองภีมะ และหมู่มวลงงๆ ชาวบ้านบางคนมีร่องรอยถูกทำร้าย“มีอะไรกันเหรอครับพี่”
“ชาวบ้านโดนพวกแม่เลี้ยงรังแกอีกแล้ว”
บัวหอมฟ้องเสริม “มันเล่นยึดข้าวของทำมาหากินไปหมดเลยคุณจี”
สายพิณเสริม “พวกนี้โดนทำร้ายโตย โดนพังบ้านโตย ต้องไปอาศัยวัดอยู่กันแล้วคุณจี”
ทุกคนแย่งกันฟ้องจีรณะให้แซ่ด “เดี๋ยวครับใจเย็นๆ ผมรู้ว่าทุกคนเดือดร้อน แต่ตอนนี้ผมกำลังหาหลักฐานเอาผิดแม่เลี้ยงฐานฉ้อโกงอยู่ ถ้าสำเร็จ หนี้ของทุกคนก็อาจจะได้รับการผ่อนผัน”
ทุกคนดีใจบัวหอมถามย้ำ “แต๊ก๊ะ พ่อจี”
“ครับ”
ทุกคนไชโยกันจีรณะบอก “เพราะฉะนั้นขอให้ทุกคนอดทน อย่าเพิ่งกระโตกกะตากเรื่องนี้”
ภีมะฉงน “นายจะทำยังไง”
“ผมมีวิธีก็แล้วกัน” แววตาจีรณะมุ่งมั่นมาดหมายมาก

ฟากยศหลบมาอยู่ที่บ้านพีรพงษ์
“ดีแล้วที่คุณไม่บอกความจริง ริเป็นผู้ร้ายต้องปากแข็งให้ถึงที่สุด”
“แล้วคุณน่ะ เอาน้องสาวผมไปปล้ำจริงเหรอ”
“เฮ่ย บ้า ผมจะพาไปส่งบ้าน แต่มีคนฟาดผมจนสลบแล้วก็เอาตัวน้องคุณไป มันต้องเป็นไอ้จีแน่”
ยศมึนงง “ทำไมยัยภิตไม่บอกผมเรื่องไอ้จี หรือว่า...ไอ้จีกับยัยภิต เฮ้ยเป็นไปไม่ได้”
“บอกตรงๆ ผมเองก็คาใจอยู่ น้องคุณทำท่ารังเกียจรังงอนผมตลอดเวลา ถ้าเป็นเพราะรักนวลสงวนตัวผมทนได้ แต่ถ้าต้องมารอของมือสอง ผมไม่ไหว”
“ผมก็ไม่ยอมให้ไอ้จีมาเป็นน้องเขยผมเด็ดขาด น้องเขยผมต้องเป็นคุณเท่านั้น”

พีรพงษยิ้มพอใจ

จีรณะจอดมอเตอร์ไซค์หน้าคุ้มอมรา กดออดยืนรอ เปิดมาเจอโสภิตยืนกอดอกรออยู่
“อ้าว สวัสดีครับ แหม วันนี้ออกมารอต้อนรับผมเองเลย สงสัยจะคิดถึงกันมาก”
“คุณกลับไปเถอะค่ะ เราหาครูที่จะมาติวบ็อบบี้ได้แล้ว คงไม่ต้องรบกวน”
โสภิตจะปิดประตู จีรณะดันไว้ “เดี๋ยวคุณ คุณพิมไม่เห็นบอกผมเลย”
“ก็ฉันบอกอยู่นี่ไง
จีรณะไม่ยอม “ผมขอพบคุณพิมกับบ็อบบี้ก่อน”
“พี่พิมกับบ็อบบี้ไม่อยู่”
เสียงบ็อบบี้ “ครูจี”
“โกหกตกนรกนะครับ”
บ็อบบี้วิ่งมาหา “สวัสดีตอนเช้าครับ บ็อบบี้กำลังรออยู่เลย”
จีรณะแหย่โสภิต “แต่น้าภิตบอกว่าบ็อบบี้ไม่อยากเรียนกับครูแล้ว”
“โน ผมไม่ได้พูดนะครับ”
“บ็อบบี้ ครูจีมีงานเยอะมาก น้าภิตก็เลยหาครูคนใหม่ให้แล้ว”
พิมพรเดินเข้ามา “ไม่มีครูคนใหม่คนไหนทั้งนั้นแหละ ครูของบ็อบบี้ก็คือครูจีรณะนี่แหละค่ะ เชิญคุณจีข้างในค่ะ”
“พี่พิม เราตกลงกันแล้วนะคะ”
“เธอพูดของเธอฝ่ายเดียวต่างหาก ฉันตกลงรับปากคุณจีไปแล้วฉันก็ต้องรับผิดชอบ เชิญค่ะ”
พิมพรเดินนำ บ็อบบี้จูงจีรณะไป โสภิตโกรธมาก

สามคนนั่งอยู่ตรงโต๊ะสนามจีรณะแสร้งทำเป็นไม่สบายใจ
“ผมทำให้คุณพิมลำบากใจหรือเปล่าครับ ผมกลับก็ได้”
“ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้นแหละค่ะ พิมอยากให้ยัยภิตรู้ว่าพิมก็มีสิทธิ์ในบ้านนี้เหมือนกัน”

โสภิตเดินเข้าออฟฟิศมาอย่างหงุดหงิด แล้วตรงไปที่หน้าต่างมองไปที่จีรณะ บ็อบบี้ และพิมพร เห็นสามคนคุยหัวเราะกันเฮฮา ยิ่งโมโห โทรศัพท์ดังโสภิตรับสาย
“ฮัลโหล สวัสดีค่ะ คุณแม่ไม่อยู่ ไปธุระที่เพชรบูรณ์ค่ะ มีอะไรคะ ค่ะ ได้ได้ เดี๋ยวดิฉันไปเคลียร์เอง”

โสภิตรีบคว้ากระเป๋า เดินออกประตูแล้วไขกุญแจล็อกออฟฟิศทันที

พิมพรนั่งอ่านหนังสืออยู่ด้วย ฟังจีรณะสอนลูกชาย จีรณะเห็นโสภิตเดินผ่านมาจะไปขึ้นรถ แกล้งพูดเสียงดัง

“วันนี้ เรามาเรียนวิชา หน้าที่พลเมืองกัน ข้อ 1 รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”
“ผมทราบครับ แม่สอน รักชาติ ไหว้พระ แล้วก็รักในหลวง”
“เก่งมากครับ ข้อ 2 เคารพกฎหมาย ทำงานสุจริต ไม่คดโกง เอาเปรียบชาวบ้าน หรือคนที่ด้อยกว่าเรา”
โสภิตชะงักฟัง
“บ็อบบี้ยังเรียนอยู่ แต่บ็อบบี้สัญญาว่าจะไม่เอาเปรียบคนอื่นครับ”
“ดีแล้วครับ บ็อบบี้รู้มั้ย กฎหมายประเทศไทย กำหนดให้เจ้าหนี้คิดดอกเบี้ยลูกหนี้ได้ไม่เกินร้อยละ 15 ถ้าคิดมากกว่านี้ กฎหมายสามารถเอาผิดได้”
บ็อบบี้หน้ายุ่ง เกาหัวไม่รู้ “ยากจัง เจ้าหนี้ ดอกเบี้ย แปลว่าอะไร”
โสภิตโมโห “สอนแบบนี้ มันหาเรื่องกันชัดๆ”
“ทำไม ผมพูดอะไรผิดเหรอ”
โสภิตขี้เกียจทะเลาะกลัวหลานได้ยินอะไรไม่ดี “พี่พิมคะ ภิตมีธุระด่วนต้องไปแบงก์”
“ก็ไปสิ ทำไมกลัวบ้านหายเหรอ ฉันก็เจ้าของบ้านนี้คนนึง เหมือนกัน ลืมไปรึเปล่า”
โสภิตเซ็ง เดินออกไป “ท่าทางคุณภิตจะไม่พอใจมาก”
พิมพรตัดบท “ช่างเถอะค่ะ...ไม่ต้องไปสนใจหรอก”

ขณะที่บุญมีเข็นรถซาเล้งบรรทุกกระสอบข้าวมาสามกระสอบมา มีชีพ กาบ เส่ง และสมุนยืนรายล้อมอยู่ที่ลานบ้าน
“พวกเอ็งมาทำไมกัน”
“มาทวงเงินที่คุณอัปสรโสภิตจ่ายดอกเบี้ยให้แกไง”
“เอ็งพูดอะไร ลูกสาวแม่เลี้ยงจะมาจ่ายดอกเบี้ยให้ข้าทำไม”
ชีพพยักหน้า สมุน กาบ เส่ง เข้าแบกกระสอบข้าวขึ้นกระบะ
“เฮ้ย...พวกเอ็งจะทำอะไร”
ชีพเปิดฉากต่อยบุญมี บุญมีสู้ได้สองสามท่า สมุนเข้ารุมบุญมีจนทรุด เลือดออกปาก จมูก
“เอ็งเป็นหนี้แม่เลี้ยง ต้องใช้ต้นคืนดอกให้แม่เลี้ยง คนอื่นไม่เกี่ยวจำเอาไว้”
บุญมีนั่งมองด้วยความแค้นใจ รถกระบะชีพแล่นออกไป สมุน กาบ เส่งนั่งบนกระสอบข้าวท้ายกระบะ

โสภิตเดินมาที่หน้าแบงก์กดโทรศัพท์หาชีพ “ชีพ นายอยู่ที่ไหน”
ชีพนั่งเบาะคู่คนขับรับสายโสภิต “มาเก็บดอกให้แม่เลี้ยงครับ”
“นายกลับคุ้มก่อนได้มั้ย นายจีรณะอยู่ที่บ้าน ฉันไม่ไว้ใจ”
“ครับ ผมจะกลับไปเดี๋ยวนี้”
โสภิตกำชับ “แค่ไปสังเกตการณ์นะ อย่าทำอะไรรุนแรงเด็ดขาด”
โสภิตกดปิดโทรศัพท์ แล้วเดินเข้าแบงก์ไป

จีรณะสอนหนังสือบ็อบบี้ ชี้บนแผ่นอักษร ก.ถึง ฮ. และ แผ่นอักษร A ถึง Z พิมพรมองอย่างชื่นชม
บ็อบบี้เกาหัว
“ครูจี ทำไมภาษาไทยตัวอักษรเยอะจัง ภาษาอังกฤษมีแค่ยี่สิบหกตัวเอง”
“ค่อยๆท่อง ค่อยๆทำ เดี๋ยวก็จำได้เองครับ”
บ็อบบี้ บ่น “ยากจัง”
“ถ้างั้นก็พักกันก่อนมั้ย ไปหาอะไรอร่อยๆข้างนอกกินกัน”
บ็อบบี้ยิ้มแฉ่ง “ดีครับ”
จีรณะไม่อยากไป “อำเภอนี้ มีแต่อาหารพื้นบ้าน ผมกลัวจะไม่ถูกปากคุณพิมทานกันที่นี่ดีกว่านะครับ เดี๋ยวผมทำให้ทาน”
พิมพรทึ่ง “คุณเนี่ยนะคะ”
“ก็ใช่น่ะซิครับ ถ้าคุณพิมมีของสดอยู่ ผมทำอาหารฝรั่งให้ทานได้นะ”
พิมพรมองชายหนุ่มงงๆ

ในครัวตอนนี้ มีผักกองเต็มโต๊ะ มีหมู ไก่ พริก
จีรณะอธิบาย “ผักพวกนี้ทำสลัดได้ น้ำสลัดเดี๋ยวผมปรุงให้ หมูไก่ พวกนี้ ที่จริงผัดกับข้าวก็โอเค แต่ผมว่าถ้าเป็นเส้นสปาเก็ตตี้จะเข้ากว่า ป้า มีมั้ยครับ”
พวงงง “อะหยังตี้ๆ นะเจ้า”
บ็อบบี้บอก “สปาเก็ตตี้ครับ ผมอยากกินมากๆ อยู่ที่อเมริกา พ่อทำให้กินบ่อยๆ อร่อย”
พิมพรอาสา “งั้นเดี๋ยวพิมออกไปซื้อให้ ขับรถไม่ถึงครึ่งชั่วโมง คุณจีกับบ็อบบี้ทำอย่างอื่นไปก่อนดีมั้ยคะ”
“ได้เลยครับ เดี๋ยวผมแถมซุปให้อีกอย่าง”
พิมพรยิ้มชื่นชม “ป้าพวงช่วยดูด้วยนะ”
“เดี๋ยวค่ะ คุณพิม” พวงเข้าไปกระซิบ “ถ้าแม่เลี้ยงฮู้ ต้องอาละวาดบ้านแตกนะเจ้า”
“ฉันรับผิดชอบเอง”
พวงจะแย้งอีก พิมพรเดินออกไปโดยไม่สน

ฟากโสภิตนั่งรอทำเอกสารที่แบงก์ กดโทรศัพท์เข้าบ้าน แปลกใจที่ไม่มีใครรับ
“ไปไหนกันหมดนะ”

ทุกคนอยู่ในครัว จีรณะตอกไข่ใส่ถ้วยทำน้ำสลัด แล้วใส่ส่วนผสม เกลือ มัสตาร์ด น้ำตาล พริกไทย น้ำส้มสายชู ผสมลงไป
“เอ้า บ็อบบี้ คนไปแบบนี้นะครับ”
บ็อบบี้คนอย่างสนุกสนาน พวงคอยพะวง “ระวังจะหกนะเจ้า ค่อยๆ”
พวงขำเอ็นดูบ็อบบี้ ตัวเองก็หั่นผักหั่นหมูไป
จีรณะตั้งหม้อซุป “ผักหั่นหมดหรือยังครับ”
“ได้แล้วเจ้า”
จีรณะรวบผักใส่ลงหม้อ “ป้าเฝ้าไว้นะครับพอเปื่อยได้ที่ เดี๋ยวเราจะเอาขึ้นมาปั่นทำซุปผักสูตรจีรณะกัน”
“คุณเก่งจังเลยนะเจ้า เป็นผู้ชาย ยะอาหารได้”
“เพราะผมไม่มีแม่ครัวเก่งๆ อย่างป้าทำให้กินไงครับ” พวงบ้ายอเลยปลื้ม “พวกซอสมะเขือเทศ อยู่ไหนครับป้า”
“ในตู้โน่นนะเจ้า”
จีรณะเปิดตู้ เห็นพวกขวดซอส ก็หยิบลงมา แอบเปิดขวดซอสไว้ แล้วทำเป็นเขย่าฝาหลุด ซอสกระเด็นใส่เสื้อจนเลอะ
จีรณะร้อง “โอ๊ะ”
พวงตกใจ “ตายแล้ว เปื้อนหมดเลย”
“ฝามันหลวมน่ะครับ ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมไปเช็ดในห้องน้ำ”
“บ็อบบี้พาไปครับ”
“ไม่เป็นไร ครูไปเองได้ ทำกันต่อเถอะ”

จีรณะรีบร้อนออกไป เป้าหมายของเขาคือห้องทำงานแม่เลี้ยงอมรา

จีรณะเข้ามาที่สำนักงานอย่างรวดเร็ว เอาเครื่องมืองัดแงะเล็กๆ ที่เตรียมมางัดประตูเข้าไป

จีรณะมองบนโต๊ะทำงาน เปิดดูคอมพ์แต่พบว่าต้องใช้พาสเวิร์ดในการเข้าไป
“พาสเวิร์ด อะไรนะ อายุ วันเกิด ไม่รู้อะไรซักอย่าง”
จีรณะร้อนรนเปิดลิ้นชักดูโน่นดูนี่หน้าเครียดไม่เจอสิ่งที่ต้องการ ลุกมองรอบๆ ตัว ตรงไปที่ชั้นเก็บแฟ้มเรียงรายอยู่ จีรณะเข้าไปอ่านสันแฟ้มเอามือดันแฟ้มทีละแฟ้ม
ตรงช่องว่างเล็กๆ ระหว่างแฟ้ม เห็นแฟ้มสีแดงวางหงายซ่อนอยู่ติดผนังชั้นเก็บ จีรณะรีบเอาออกมาเปิดดู เห็นโลโกตราบริษัทแชร์ลูกโซ่ยางพารา จีรณะเปิดดูไปเรื่อยๆ
จีรณะยิ้มอย่างมีชัย เอาแฟ้มยัดใส่เอวด้านหลัง เป็นแฟ้มพลาสติกหนานิ้วเดียว กว้างยาว ขนาด A4

พีรพงษ์ขับรถมาส่งยศแล้วลงมาจากรถด้วยกัน “สงสัย ยายภิตออกไปข้างนอก ไม่เห็นรถ”
“งั้นผมไม่แวะละนะ แม่คุณก็ไม่อยู่นี่”
“ลงมารอก่อนเถอะ เดี๋ยวยัยภิตคงกลับ ไหนไหนก็มาแล้ว”
“ไม่รู้ไอ้จีรณะมันใส่ร้ายอะไรผมให้น้องคุณฟังมั่ง”
“ผมจะเป็นพยานให้คุณเองไม่ต้องกลัว”
ทั้งคู่จะเดินเข้าบ้าน แล้วเห็นมอเตอร์ไซค์จีรณะจอดอยู่
พีรพงษ์จำได้ “นี่มันรถของ…”
จีรณะเดินรีบร้อนออกมาชะงักพีรพงษ์เห็นเช่นกัน “เฮ้ย แก แกเข้ามาทำอะไรที่นี่”
“เจ้าของบ้านเชิญฉันมา” จีรณะบอก
ยศไม่เชื่อ “โกหก บ้านนี้ไม่มีใครต้อนรับแกหรอก”
“ได้ งั้นฉันจะไป”
จีรณะจะขึ้นรถ พีรพงษ์ตะปบแฮนด์รถไว้ มองหน้ากัน
“เข้ามาแล้ว อย่าหวังจะออกไปง่ายๆ”
พีรพงษ์เงื้อต่อย จีรณะหลบแล้วเตะพีรพงษ์เซไป ยศเล่นทีเผลอกระโดดถีบ จีรณะหน้าคะมำต้องเอามือจับด้านหลัง กลัวแฟ้มหล่น
พีรพงษ์กับยศจะเข้ามายำ พิมพรกลับมาพอดี วิ่งมากรี๊ดเข้าผลักยศจนเซไป
“หยุดนะไอ้ยศแกทำร้ายคุณจีทำไม”
จีรณะสำออย ทำเป็นจุก ยศจ้องหน้า “มันบุกรุกบ้านเรา”
“ไอ้บ้า คุณจีเป็นแขกของชั้น ชั้นเชิญเค้ามาสอนหนังสือบ็อบบี้...”
“สอนหนังสือ ไอ้เนี่ยมันเป็นศัตรูของเรา พี่ไม่รู้เหรอ”
“ของแกต่างหาก”
“พอเถอะครับ ขอบคุณคุณพิมมากนะครับ ที่ให้เกียรติผม ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกได้ผมยินดี แต่วันนี้ ผมคิดว่าผมควรกลับจะดีกว่า”
จีรณะตัดบท ขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป ปล่อยให้ยศกับพิมพรมองกันจะกินเลือดกินเนื้ออยู่อย่างนั้น

ภีมะและจีรณะดูเอกสารในแฟ้มไปมา
“หลักฐานครบ ทั้งรูป สำเนาบัตรประชาชนผู้ต้องหา เอกสารการเงิน ตกลงจีจะแจ้งความเมื่อไหร่”
“ไม่แจ้งตอนนี้ครับ ผมจะเอาหลักฐานทั้งหมดไปให้รุ่นพี่ที่สำนักงานอัยการเขตห้าที่เชียงใหม่ เพื่อความแน่ใจว่าคดีนี้แม่เลี้ยงอมรากับพวกดิ้นไม่หลุดแน่ๆ”
สองหนุ่มสบตากันอย่างมุ่งมั่น

รถโสภิตกับชีพพุ่งมาจอดพร้อมกันโสภิตถาม “ทำไมเพิ่งถึง”
“ผมต้องเอาของไปเก็บในโกดังก่อน แล้วไอ้จีรณะมาบ้านเราได้ไงครับ”
มีเสียงเอะอะมาจากในบ้าน ทั้งสองมองหน้ากัน วิ่งเข้าไป

บรรยากาศในห้องรับแขกมาคุสุดๆ ยศกำลังด่ากับพิม บ็อบบี้ยืนหน้าตื่นอยู่กับพวง
“ไอ้นั่นมันเป็นคนชั่ว ผมจะฟ้องแม่ ว่าพอแม่ไม่อยู่ พี่ก็ชักศึกเข้าบ้าน”
“แกไปหลอกน้องสาวเค้าจนเกือบเสียผู้เสียคน เค้าไม่ฆ่าแก แถมยังช่วยชีวิตหลานแกอีก คนชั่วคือแกมากกว่า”
“อ๋อ นึกว่าอะไร ที่แท้ก็หาพ่อใหม่ให้ลูกนี่เอง กินแฮมเบอเกอร์มานาน คงอยากเปลี่ยนรสชาติมากินไส้อั่วบ้างละซิ”
“ไอ้เลว”
พิมพรเอาหมอนอิง ฟาดๆๆๆ ยศจับไว้ พี่น้องสู้กัน พวงห้ามไม่มีใครฟัง
“พอเถอะเจ้า คุณยศ คุณพิม คุณบ็อบบี้ตกใจใหญ่แล้วนะเจ้า”
โสภิตวิ่งเข้ามา “หยุดนะ อะไรกันอีก บอกให้หยุด”
โสภิตไปดึงพิมพรออกมา “มันอะไรกันนักหนา พี่ยศ พี่พิม”
“ก็พี่พิมน่ะซิ ให้ไอ้จีรณะเข้ามาในบ้าน พอเห็นพี่มากับคุณพงษ์มันก็รีบหนีไปเลย มันต้องมีเจตนาไม่ดีแน่”
“ก็เพราะแกมาถ่อยใส่เค้าน่ะซิ เขาถึงกลับไป เขากำลังเข้าครัวทำกับข้าวให้บ็อบบี้กินดีดี”
โสภิตแปลกใจ “นายจีรณะน่ะเหรอเข้าครัว”
“ใช่ครับ ครูจีสอนบ็อบบี้ทำน้ำสลัด แล้วก็จะทำสปาเก็ตตี้ด้วย มามี้เลยออกไปซื้อให้”
“พี่พิมออกไปข้างนอก แล้วปล่อยให้นายจีระณะอยู่ที่นี่เหรอคะ”
พิมพรบอก “ใช่”
“ป้าพวง พอพี่พิมออกไปแล้ว ครูจีทำอะไรบ้าง”
“เปิ้นก็เอาผักมาต้มน่ะเจ้า เปิ้นอุ้ว่าจะยะซุปผัก แต่พอเปิ้นหยิบซอสๆก็ฮกใส่เสื้อเปิ้นเลอะหมด เปิ้นเลยไปห้องน้ำ”
ชีพมองหน้ากับโสภิต “ผมจะไปดูที่สำนักงาน” ชีพวิ่งไป
“ป้าพวงจัดข้าวกลางวันเถอะ ป่านนี้บ็อบบี้หิวแย่แล้ว”
ยศด่าอีก “โง่ ถูกผู้ชายหลอกยังไม่รู้ตัว”
พิมพรคว้าของขว้าง ยศวิ่งหนีออกจากบ้านไป

ชีพเข้ามาเปิดประตูเห็นรอยถูกงัด รีบเข้าไปดูในออฟฟิศโสภิตวิ่งตามเข้ามา
“ประตูถูกงัดครับ” ชีพจะเปิดคอม
“เขาคงเปิดเข้าไปดูไม่ได้หรอก เพราะฉันตั้งรหัสผ่านไว้”
ชีพไปตรวจแฟ้มที่เรียงอยู่ “บรรลัยแล้ว”
“มีอะไร”
“เอ้อ...บัญชีของแม่เลี้ยงครับ บัญชีแม่เลี้ยงหายไป”
“บัญชีอะไร”
“เชื่อมกล้องวงจรปิดให้ผมดูหน่อยครับ”
โสภิตกดคีย์ไปมา แล้วลุกยืนถอยออกไป
ชีพเข้ามากดคีย์ไปมา สักครู่หน้าตื่น “ไอ้จี”
โสภิตเข้าไปเพ่งดู ในจอเห็นจีรณะค้นหาจนได้แฟ้มไป
“แย่แล้ว ไอ้จีมันขโมยแฟ้มไปจริงๆ”
“แฟ้มอะไร”

ชีพหลบตาไม่ตอบ รีบวิ่งออกไป โสภิตงงๆ กรอภาพดูใหม่หน้าเครียดจัด

อ่านต่อหน้า 2

พรมแดนหัวใจ ตอนที่ 6 (ต่อ)

รถพีรพงษ์ที่แล่นมาตามถนนต้องเบรกเอี๊ยด เขาหยุดพูดโทรศัพท์หน้าเครียด

“ว่าอะไรนะ ไอ้จีได้แฟ้มแชร์ยางพาราไป นี่แกเก็บข้อมูลกันประสาอะไรหา...พวกแกอยู่เฉยๆ เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
พีรพงษ์กดสายชีพทิ้ง แล้วกดเบอร์ใหม่ “เฮ้ย ไอ้ชัช ฉันมีงานด่วนให้ทำ”

ส่วนจีรณะเดินสะพายเป้ออกมาจิตรา และ อาโป ตามมาอย่างเป็นห่วง
“ระวังตัวนะพี่จี”
คล้ายมีคนแอบมองจากนอกบ้านผ่านพุ่มไม้
“ไม่ต้องห่วงนะพี่ไปเชียงใหม่แค่นี้เอง พรุ่งนี้คงกลับเย็นๆ”
“อาโปไปด้วย”
จีรณะลูบหัวอาโป “อยู่เป็นเพื่อนพี่จิตดีกว่า กลับมาแล้วเราไปเยี่ยมพ่อเธอด้วยกัน”
จากนั้นจีรณะขึ้นรถขับออกไป

จีรณะขับรถมาตามทาง มีรถกระบะแล่นตาม ขึ้นประกบรถเขา ที่แท้เป็นสมุนพีรพงษ์ 3 คน ทุกคนใส่หมวกไหมพรมคลุมหน้า จีรณะเห็น 2 คน หลังรถผงกตัวขึ้นเล็งปืนอาร์ก้า เขาเบรกรถ กระสุนปืนโดนกระจกหน้ารถกระจาย
จีรณะชักปืนปลดเซฟยิงใส่รถคนร้าย คนร้ายขับหลบส่ายไปมา จีรณะเร่งเครื่องจะหนีเข้าโค้ง คนร้ายขับขึ้นมาประกบยิง ไฟลุก ควันขึ้นจากฝากระโปรงรถจี
จีรณะตกใจตาค้างรถพุ่งหลุดโค้งเข้าป่าไป เห็นแต่รอยรถ คนร้ายลงจากรถยิงตามอย่างเมามัน มีเสียงระเบิดตูมจากหลังแนวไม้ที่รถจีรณะพุ่งลงไป สมุนยิ้มให้กัน ขับรถออกไป

รุ่งเช้ามือโสภิตปัดถูกแก้วที่ตั้งไว้หัวนอนหล่นลงแตก โสภิตสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย มองไปรอบๆ ตัว

รถของโสภิตจอดเอี้ยดที่หน้าสำนักงาน “สมัชชา ชุมชน คนรักษ์ป่า” โสภิตเปิดประตูรถวิ่งลงมา ผลักประตูเต็มแรง แต่ตัวหล่อนเด้งกลับ เพราะประตูถูกปิดโสภิตพยายามมองเข้าไปข้างใน
“มีใครอยู่มั้ยคะ เปิดหน่อยค่ะ”
ไม่มีเสียงตอบรับ โสภิตมองไปรอบๆ กดกริ่ง และกดรัวขึ้น ข้างในเงียบกริบ
โสภิตมองซ้ายมองขวาจะถามคน สายตามองไปเห็นภีมะเพิ่งสตาร์ทรถแล่นรถออกไป โสภิตวิ่งตามไปแต่ไม่ทันแล้ว

ที่ร้านหนานเทืองในตลาดเวลานั้น ชาวบ้านกำลังจับกลุ่มเม้าท์มอย บัวหอมเป็นคนเล่าเรื่อง รถของโสภิตกำลังจะผ่าน โสภิตไขกระจกลง
บัวหอมเล่าอย่างออกรสราวกะไปเห็นมาซะเอง “บ่ใช่อุบัติเหตุแน่นอน ล้านเปอร์เซ็นต์ รถเกือบสิบคันขับไล่ล่ารถพ่อจีอยู่คันเดียว”
โสภิตก้าวลงจากรถเข้ามาฟังอย่างตั้งใจ สายพิณทำหน้าหวาดเสียว
“ต๊ายยย แล้วเป็นอะหยังต่อ ตื่นเต้น”
บัวหอมออกท่าทาง “พ่อจีนะ ขับรถซิกแซ็ก วนเป็นงูเชียว แล้วแล่นกลับหลังหันกระทืบคันเร่ง พุ่งเข้าใส่ไอ้พวกนี้ ล้มระเนระนาดเลย”
หนานเทืองหน่าย “แกหันกับตาเหรอ”
หมู่ทองดาบม้วนเดินเข้ามาสมทบ ดาบม้วนเหน็บ “ก็มันฟังจากชั้นมาไงล่ะ ฉันบอกสิบมันเล่าเป็นร้อย”
“ดูละครมากไปหรือเปล่าน้า” หมู่ทองว่า
หนานเทืองกังวล “แล้วตกลงพ่อจีเค้าเป็นจะใดบ้าง”
ทุกคนขยับเข้ามาฟังอย่างอยากรู้ ดาบม้วนบอก “ขับรถตกเหว รถไหม้ทั้งคัน”
หมู่มวลประสานเสียงร้องลั่น
บัวหอมเสริม “เห็นมั้ย เหมือนที่เฮาอู้เลย”
“แสดงว่าคุณจีตายแล้ว” สายพิณว่า
โสภิตตกใจหน้าซีดถามอย่างลืมตัว “จริงหรือ คุณจีตายแล้วจริงหรือ พบศพหรือเปล่า”
หมู่มวลหันมามองโสภิตงงๆ ว่ามาได้ยังไง
บัวหอมโมโหประชด “สงสัยกลัวจะรอด”
สายพิณแดกดัน “คนดีมันตายเร็ว บ่เหมือนพวกขูดเลือดขูดเนื้อชาวบ้านอายุมันยืนแต๊”
โสภิตไม่สนหันไปหาดาบม้วนเสียงคาดคั้น “ว่าไงคะ เจอศพเค้าหรือเปล่า”
หมู่ทองตอนแทน “รถไหม้ทั้งคันอย่างนั้น จะเหลือเรอะ”
ดาบม้วนตอบขึ้นอีกว่า “ยังไม่พบศพครับ แต่....ไม่น่ารอด ชาวบ้านแถวนั้นบอกว่าได้ยินเสียงปืนหลายนัดด้วย”
สายพินกับบัวหอม ประสานเสียงร้องให้โฮอีกครั้ง
หนานเทืองเศร้า “ไปสู่สุคติเถอะ พ่อจี”
โสภิตเข่าอ่อน ต้องเกาะโต๊ะพยุงตัวไว้

ภีมะยืนอึกอักอยู่ต่อหน้าจิตราพูดอะไรไม่ออกจิตราคาดคั้น
“คุณภีมะไม่รู้หรือคะ พี่จีขึ้นเชียงใหม่ไป วันนี้เย็นๆ คงกลับ”
“รู้ครับรู้”
จิตราเริ่มงง “หรือพี่จีลืมฝากอะไรให้คุณภีมะ ต้องถามอาโป”
อาโปวิ่งร้องไห้โฮมาจากหน้าบ้าน มาเขย่าแขนจิตรา
“อาโปไปตลาด เค้าบอกว่านายรถตกเหว นายตายแล้ว ฮือ ฮือ”
จิตราตะลึง ไม่เชื่อ มองภีม้เป็นเชิงถาม “ไม่จริง ไม่จริงใช่มั้ยคะ”
“รถตกเขาจริง แต่เรายังไม่เจอศพ”

จิตราเป็นลมภีมะรับได้ทัน อาโปร้องไห้ไม่หยุด

ด้านชีพยืนกุมมือ จ๋อยๆ เงียบๆ อยู่ในห้องรับแขก โสภิตถามเครียด

“บอกฉันมาตามตรง ว่าทำอะไรกับคุณจี”
“ทำไมคุณภิตถามผมแบบนี้ ผมไม่รู้เรื่อง”
“ไม่จริง ชั้นไม่เชื่อ เอกสารพวกนั้นคืออะไร บอกฉันมาทำไมถึงต้องฆ่าเค้า ฉันจะไม่ยอมให้ท้ายคนทำผิดเด็ดขาด ไม่ว่าจะเอาอะไรมาอ้างก็ตาม”
แม่เลี้ยงอมราเดินเข้ามา “แค่ฉันไปต่างจังหวัดวันสองวัน มันจะต้องมีเรื่องทุกทีสิน่า”
โสภิตหันกลับมาเห็น “แม่”
“ชีพมันโทร.มาบอกชั้นแล้วว่า ไอ้จีมันบุกมาบ้านเรา มาขโมยของของเรา บอกมาซิ เรื่องมันเป็นยังไง ใคร ใครพามันเข้ามาหาแกเหรอยัยภิต”
พิมพรเดินลงมาจากชั้นบน “ยายภิตไม่ได้พาเค้าเข้ามาหรอกค่ะ พิมพาคุณจีมาสอนภาษาไทยให้บ็อบบี้ ทำไมล่ะคะบ้านเราก็แค่ให้กู้เงิน ไม่ได้ฟอกเงินหรือเป็นอาชญากรซักหน่อย ทำไมต้องกลัวคนมาบ้านด้วย”
แม่เลี้ยงโกรธสุดขีด “อ้อ ฝีมือแกเองหรือตัวก่อเรื่อง ไม่เคยทำประโยชน์ วันๆ หาแต่เรื่องให้ฉันเสียหาย เสียเงิน ไปเลย ออกจากบ้านชั้นไปเลย ฉันไม่เลี้ยงคนที่กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา
บ็อบบี้ถือชามสลัดออกมาจากในครัวพอดี
“คุณยายกลับมาแล้ว ลองชิมฝีมือทำสลัดของบ็อบบี้ซิครับรับรองจ้าดลำ
แม่เลี้ยงอึ้งไป พิมพรรู้ว่าแม่รักหลาน “คุณยายไม่กินหรอกลูก คุณยายเกลียดเรา จะไล่เราออกจากบ้านแล้ว”
“ฉันไล่แกคนเดียว ไม่เกี่ยวกับหลานฉัน” แม่เลี้ยงบอก
บ็อบบี้วางชามสลัด เข้ามาจับมือแม่เลี้ยง “คุณยายโกรธมามี้เรื่องอะไรครับ”
“ไม่มีอะไรหรอก บ็อบบี้ คุณยายพูดเล่น”
“ผมขอโทษ ขอให้ผมกับแม่อยู่ที่นี่เถอะครับ ผมจะเป็นเด็กดีแม่ก็เป็นผู้ใหญ่ดีด้วยนะครับ”
อมราหันรีหันขวาง “ฉันให้โอกาสแกครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ถ้ามีอีก ฉันเฉดหัวแกไปจริงๆ”
แม่เลี้ยงเดินออกไปกับชีพพิมพรถามทันที “คุณจี เค้าขโมยของไปจริงๆ เหรอยัยภิต”
โสภิตบอก “แค่สงสัยน่ะค่ะ ออฟฟิศถูกงัด เอกสารบางอย่างหายไป อาจไม่ใช่เค้าก็ได้”

ที่ห้องทำงานบ้านแม่เลี้ยง อมราดูวงจรปิดเสร็จ ชีพรายงาน
“ไอ้จีรณะมันมีแผนจะเข้ามาขโมยเอกสารของเราอยู่แล้ว ก็เลยล่อให้คุณพิมออกไปข้างนอก”
แม่เลี้ยงโมโหปนกังวล “นังลูกโง่ แล้วจะทำยังไงไอ้ชีพ ป่านนี้มันเอาแฟ้มไปให้ตำรวจแล้ว รีบไปแบงก์ไปโอนเงินออกจากบัญชีกันก่อน”
อมราทำท่าจะไป ชีพบอกอีก “ไม่ต้องหรอกครับ แฟ้มนั่นไม่ถึงมือตำรวจแน่นอน”
“แกรู้ได้ยังไง”
“คุณพงษ์จัดการทุกอย่างให้เราแล้ว”
“อ้าว งั้นเหรอ แสดงว่าพ่อพงษ์ส่งคนตามไปเอาแฟ้มนั่นคืนได้แล้วน่ะซิ”
“เราไม่ได้แฟ้มคืนหรอกครับ เพราะมันระเบิดเป็นจุณไปกับรถไอ้จีรณะแล้ว”
แม่เลี้ยงตกใจ “หา”

ด้านภีมะนังรออยู่กับจิตราและอาโป ทั้งสองกระวนกระวาย หมู่ทองก้าวเข้ามาในโรงพัก อาโปกระโดดไปลากหมู่ทองมาจิตราลุกขึ้นไปหา
“นายเป็นไงบ้าง เจอนายแล้วใช่มั้ย” อาโปกระตุกแขนแรงๆ
“โอ้ยเบาๆ แขนฉันหลุดพอดี” หมู่ทองมองหน้าจิตรากับอาโป ลำบากใจ “หน้าผามันสูง ต้องเดินเลาะจากตีนดอยเข้าไป เห็นแต่ซากรถทำใจไว้บ้างนะคุณจิต
จิตรากับอาโปกอดกันร้องไห้โฮภีมะซัก “ทีมค้นหากลับกันมาแล้วใช่มั้ยครับ”
หมู่ทองพยักหน้า “ทีมแรกกลับมาแล้ว รอทีมใหม่เข้าไปเสริม”
อาโปปาดน้ำตา “อาโปไม่รอแล้ว อาโปจะไปหานายเอง”
ภีมะห้ามเสียงเข้ม “ไม่ได้ มันอันตราย กลับไปรอฟังข่าวที่บ้านดีกว่า ถ้านายจีมันกลับมาไม่เจอใครมันจะเป็นห่วง”
จิตราลังเลไม่รู้จะทำยังไง แต่อาโปยังหน้าบึ้งอยู่ รั้นไม่ยอมฟังเท่าไหร่

ทั้งสามเดินมาขึ้นรถภีมะหน้าโรงพัก
“แต่อาโปมีญาติบนดอย ให้เค้าช่วยตามหานายได้”
“กลับไปรอที่บ้านแหละดีแล้ว”
อาโปหยุด “ก็พี่จิตรออยู่ที่บ้านแล้วไง อาโปจะไปหานายเองดีกว่าอาโปไปก่อนนะ”
อาโปพูดจบรีบวิ่งไปกระโดดขึ้นรถสองแถวที่จอดอยู่ และรถแล่นออกไปพอดี ทั้งภีมะและจิตราตะโกนเรียก
“เฮ้ยอาโป”
“อาโปกลับมาก่อน”
อาโปชะโงกจากรถสองแถวมามองอย่างมุ่งมั่น

พีรพงษ์อยู่ในบ้าน พูดโทรศัพท์กับแม่เลี้ยงอมราซึ่งอยู่ที่คุ้ม
“โธ่ ผมก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไร แค่ให้ลูกน้องขับรถตามหลังขู่มันเท่านั้นเอง แต่มันใจปลาซิว คงกลัวจนสติแตกกระทืบเบรค จนรถพุ่งตกเขาไปเอง”
อมราเอามือกุมอกออก “ค่อยโล่งอกหน่อย แสดงว่าเราไม่ได้ทำอะไรมัน มันตายของมันเอง”
“ถูกต้องแล้วครับ มันทำตัวมันเองไม่เกี่ยวกับเรา นี่ละให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว หลักฐานที่มันขโมยไปก็ไหม้ในกองไฟหมด โยงเข้าหาเราไม่ได้เลยครับ”
“คนดีอย่างเรามันตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้จริงๆ ขอบใจมากนะพ่อพงษ์”
แม่เลี้ยงกดโทรศัพท์ ถอนหายใจโล่งอก “ชีพ แกรีบจัดการทำลายหลักฐานเรื่องหุ้นยางพาราให้หมดแล้วช่วงนี้ก็อย่าเพิ่งไปทวงเงินพวกชาวบ้านให้เรื่องนี้มันซาๆ ไปก่อน”
“ครับ”
ชีพเดินออกไป เห็นโสภิตแอบฟังอยู่ หล่อนหน้าซีดเป็นกระดาษได้ยินทั้งหมด

โสภิตเปิดประตูเดินเข้ามา ยังช็อกกับเรื่องที่ได้ยิน ทรุดลงนั่งที่เตียง แล้วก้มหน้ากับฝ่ามือ ร้องไห้สะอึกสะอื้น

ส่วนยศอยู่ที่สนุกเกอร์คลับ กำลังแทงสนุ้กกระจายด้วยความเซ็ง ลูกไม่ลง
“โธ่เว้ย”
พีรพงษ์เดินเข้ามา “อารมณ์เสียแบบนี้ แสดงว่ายังไม่มีใครบอกข่าวดี”
“ข่าวดีอะไร สำหรับผมคงไม่มีข่าวอะไรดีเท่า ไอ้จีมันตายหรอก
“แล้วใครว่าไม่ใช่ล่ะ”
ยศตกใจ “เฮ้ย จริงดิ ไอ้จีมันตายแล้วเหรอ”
“สนิท รถตกเขา ระเบิด แม้แต่ศพก็ไม่เหลือ”
ยศสะใจ “ฮะๆๆๆ ในที่สุดกรรมก็สนองมัน มันเข้าบ้านขโมยเอกสารแม่ผม คงจะเอาไว้แบล็คเมล์ แต่ก็มาตายซะก่อน สะใจจริงๆ อย่างงี้ต้องฉลอง”
“แทนที่จะฉลองผมว่าเอาเวลาไปปลอบใจน้องสาวไอ้จีมันไม่ดีกว่าเหรอ ไม่มีมันซักคน ก้างขวางคอก็หลุด อะไรๆ ก็ราบลื่นฉลุยไปหมด ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
ยศยิ้มร่าออกมา

“สุดยอดจริงคุณนี่ ขอบใจนะที่แนะนำ”

จิตราลงจากรถ รถภีมะแล่นออกไป กำลังจะไขประตูเข้าบ้าน ยศเข้ามาคว้ามือท่าทีหึงหวง

“มันเป็นใคร แฟนใหม่ของจิตเหรอ”
จิตราดึงแขนออก “พี่ยศอย่าพูดบ้าๆ ให้เกียรติจิตด้วย”
ยศรู้ตัวปล่อยแขน “พี่ขอโทษ พี่รักจิตพี่ถึงหวง พี่ได้ข่าวร้ายเรื่องนายจี พี่ยิ่งเป็นห่วง รีบมาหาจิต”
“ขอบคุณค่ะ แต่จิตไม่เป็นไร”
จิตราเข้าบ้านยศตาม จิตราพยายามปิดประตูยศดันไว้
“กลับไปซะเถอะค่ะ อย่ามายุ่งกับจิต”
“แต่จิตไม่สบาย”
“แค่นี้จิตไม่ตายหรอกค่ะ ที่ผ่านมาจิตเจ็บกว่านี้ ยังรอดมาได้”
“จิต พี่ยอมรับเรื่องที่ผ่านมา พี่ผิด แต่พี่ทำไปทั้งหมดเพราะพี่ไม่มีทางเลือก แม่ขู่พี่สารพัด พี่เลยต้องตามใจแม่ ทำตามแผนของแม่ทุกอย่าง จิตไม่รู้หรอกว่าแม่พี่น่ากลัวแค่ไหน”
“ทำไมจะไม่รู้ละค่ะ ที่พี่จีต้องประสบชะตากรรมแบบนี้ไม่ใช่เพราะไปขัดขวางผลประโยชน์ของแม่เลี้ยงหรอกเหรอ”
ยศเถียง “ไม่จริงนะ ไอ้จีมันขับรถตกเขาเองต่างหาก มันเป็นเวรกรรมของพี่ชายจิตเอง”
“มันเป็นเวรกรรมของจิตมากกว่าที่ทำให้พี่จีต้องมาเกี่ยวข้องกับครอบครัวของพี่ แต่นี้ต่อไป ขอให้เราหมดสิ้นเวรกรรมต่อกัน อย่าได้มาเกี่ยวข้องกันอีก”
จิตราดันสู้กับยศ แล้วเป็นลมหน้ามืด
“จิต” ยศเข้าประคองพาเข้าบ้านไป

โสภิตขับรถมาจอดตรงจุดเกิดเหตุที่รถจีรณะตกเขา เห็นชาวบ้านหญิงชายสองสามคน เอาธูปมาปัก เอามาลัยมาวาง แล้วเดินสวนไป
ชาวบ้าน1 “เสียดายคนดีดี บ่น่าต้องมาตายจะอี้ เนอะ”
โสภิตลงจากรถเดินไปดู จุดที่รถตกลงไป ซากรถยังไหม้ดำอยู่ โสภิตอึ้ง ใจหายสุดๆ
“คุณจี คุณตายแล้วจริงๆเหรอ”

ขณะเดียวกันที่หุบเขาในป่าริมลำธาร เห็นจีรณะนอนคว่ำหน้าอยู่ในซอก มือเริ่มขยับ จีรณะค่อยๆ ฟื้น หัวและตามตัวมีแผลถลอกปอกเปิก
จีรณะเดินเซเข้ามาเอามือเกาะต้นไม้ เดินตรงไปทางลำธาร ทรุดลงพยายามจะวักน้ำกิน
แต่แล้วปืนยาวก็เข้ามาจี้สองกระบอกเสียง พร้อมเสียงสั่ง “อย่าขยับ”
จีพยายามยกมือขึ้น แต่ก็หมดแรง ล้มคว่ำไป
เห็นใครคนหนึ่งคุกเข่าลงตรวจสอบ “ตายหรือเปล่าวะ”
อีกคนคุกเข่ามาเห็นเป็นตียู ตียูพลิกหน้าจีรณะมา
“เฮ้ย...นาย”
ตียูเอาหัวแนบอกฟังเสียงหัวใจ เขย่าเรียก “นายเป็นไงบ้าง อย่าเพิ่งตายนะ”
ตียูเขย่าร่างจีรณะไปมา เพื่อนแปลกใจ “รู้จักด้วยเหรอ”
“เค้าเป็นคนดี เป็นคนมีพระคุณกับข้า”
ตียูกับเพื่อนช่วยกันแบกจีรณะออกไป

ยศประคองจิตมานั่ง แล้วค้นยาดมในกระเป๋าจิตรา มาอังจมูกให้จนจิตราฟื้น
“กลับไปซะพี่ยศ”
“พี่ไม่กลับ พี่จะทิ้งจิตอยู่คนเดียวได้ยังไง จีรณะไม่อยู่แล้ว ใครจะคุ้มครองดูแลจิต”
“ไม่จริง พี่จียังไม่ตาย จิตไม่เชื่อ”
“ได้ งั้นเราไปตามหาพี่ชายจิตกัน พี่ก็อยากรู้ว่าแม่พี่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือเปล่า”
จิตรามองด้วยสายตาไม่เชื่อ “แล้วจะไปตามที่ไหนคะ”
“จุดไหนที่รถตกลงไปเราก็ไปตามแถวนั้น ลูกหนี้แม่พี่อยู่ทั่วจังหวัด ต้องมีใครเห็นเหตุการณ์บ้างละน่า”
จิตราลังเล

ที่กระท่อมบนเขาสูง อันเป็นสถานที่หลบซ่อนของตียู เห็นจีรณะนอนบนเสื่อที่พื้น แผลได้รับการทำความสะอาดและปิดแผลทายาให้แล้ว หมอของชนเผ่าอาข่าทำพิธีบูชาผีรักษา เสร็จแล้วก็บอกกับตียูว่าจีรณะปลอดภัยดี ก่อนจะออกจากบ้านไป
เห็นจีรณะฟื้นตียูดีใจมาก “นาย”
“ตียู ผมอยู่ที่ไหน”
“ที่ซ่อนตัวของผมเอง ผมกับเพื่อนไปเจอนายบาดเจ็บอยู่ ก็เลยไปตามหมอที่หมู่บ้านมาดูให้ หมอบอกว่า นายไม่เป็นอะไร กระดูกไม่หัก ใครทำอะไรนาย”
“พวกแม่เลี้ยงอมรา ไล่ยิงรถผมจนตกเหว มันต้องการฆ่าปิดปากที่ผมมีหลักฐานเอาผิดแม่เลี้ยง”
“ขอโทษนายด้วย ที่ผมหนีมาคราวก่อน ผมกลัวถูกฆ่าปิดปาก”
“ผมเข้าใจ แล้วตกลงตียูรู้มั้ยคนจ้างตียูตัดไม้มันเป็นใคร”
“ผมเคยแอบได้ยินว่ามันชื่อพงษ์”
“มันอีกแล้ว” จีรณะแค้น “ผมคงปล่อยไว้ไม่ได้ ถึงเวลาที่เราจะต้องเปิดโปงมันแล้ว ตายเป็นตาย ตียูจะหลบอยู่ในป่าอย่างนี้ หรือจะไปกับผม”
ตียูยังเลพอสบตาจีรณะก็เปลี่ยนใจ “เอ้า ตายก็ตายด้วยกัน”
จีรณะจับมือตียูอย่างให้สัญญาต่อกัน

ยศมาจิตรามาพักที่รีสอร์ทแห่งหนึ่ง ยศพยายามดึงจิตราเข้ามากอดแต่จิตราดิ้นหนี
“อย่าทำอย่างนี้ จิตเป็นห่วงพี่จี เราไม่น่าไปหลงทางอยู่ทั้งวันเลย”
ยศพยายามกล่อม “ก็ทางมันไม่คุ้น เราทำดีที่สุดแล้ว วันนี้ไม่เจอพรุ่งนี้ก็หาใหม่ แต่เราต้องพักผ่อนนะจิต ไม่งั้นพรุ่งนี้เราจะมีแรงตามหาพี่ชายจิตหรือ มา พี่ไม่ทำอะไรหรอก ขอกอดอย่างเดียว”
ยศกอดจิตราอย่างทะนุถนอม จิตราซบอกเขา “ถ้าพี่จีเป็นอะไรไป จิตจะไม่เหลือใครอีกแล้ว”
ยศลูบหลังปลอบป้อนคำหวาน “ไม่ต้องกลัว จิตยังมีพี่ พี่รักจิตคนเดียว พี่สาบานนะ ว่าพี่จะไม่ทอดทิ้งจิตเด็ดขาด ไม่อย่างงั้นขอให้พี่...เจอแต่ความหายนะ ทนทุกข์ทรมานเหมือนตกนรกทั้งเป็น...ขอให้...”
จิตราปิดปากยศ “อย่าค่ะ พี่ยศ”
“จิตเชื่อพี่ใช่มั้ย”
“จิตเป็นคนโง่ค่ะพี่ยศ ที่เจ็บแล้วไม่รู้จักจำ”
“จิตจะเป็นยังไง จิตก็เป็นผู้หญิงคนเดียวที่พี่รัก และมันจะเป็นอย่างงั้นตลอดไป”
จิตราซาบซึ้งยิ่งนัก ยศก้มลงจูบอย่างอ่อนโยน

ที่นอกหน้าต่างยามนั้น แลเห็นพระจันทร์ที่หมู่เมฆสีดำค่อยๆ เคลื่อนมาบดบังจนท้องฟ้ามืดมิด คล้ายชีวิตจิตราที่หลงคารมชายชั่วอย่างยศอีกครา

เช้าวันต่อมา อาโปขึ้นดอยไปส่งข่าวเกียรติก้อง เวลานี้อาโปกับหมอผีกำลังทำพิธีบูชาผีขอให้พบตัวจีรณะ มุงกันหัวชนกันอยู่ เกียรติก้องกับลูกน้อง เดินมาด้านหลัง สะกิดหลังอาโปถาม

“ไหนบอกว่าเจอเบาะแสนายจีแล้วไง ทำอะไรกันอยู่”
อาโปเอามือปิดปาก ดึงแขนเกียรติก้องออกมากระซิบบอก
“ผู้เฒ่ากำลังทำพิธีอยู่ อย่ารบกวนเราจะได้หานายเจอ”
เกียรติก้องหัวเสีย “รู้มั้ยว่าฉันเสียเวลาย้อนไปย้อนมานานแค่ไหน ฮึเราทำพิธีของเราไปเถอะ ฉันจะไปกับป่าไม้
เกียรติก้องจะเดินไป แต่อาโปรั้งเอาไว้ “รอก่อน เดี๋ยวผู้เฒ่าบอก เราก็เจอนายแล้ว”
สองคนยื้อแขนกันไปมา โทรศัพท์มือถือเกียรติก้องหล่น
“อาโป”
เกียรติก้องหยิบขึ้นมาเดินออกมาที่รถ สัญญาณโทรศัพท์ดัง เกียรติก้องมองแล้วตกใจ เพราะหน้าจอบอกจีรณะโทร.มา
“ฮัลโหล ไอ้จี แกยังไม่ตายหรือวะ แล้วแกอยู่ไหน”

ไม่นานนัก ผู้กองเกียรติก้องเข้ามาที่กระท่อมในสวน
“จี ฉันเอง เกียรติก้อง”
จีรณะเปิดประตูให้ “มีใครตามมารึเปล่า”
“ไม่มี วางใจได้”
เกียรติก้องเดินเข้ามาเห็นตียู ตียูยกมือไหว้ “ผมขอโทษครับ”
“ไม่เป็นไร ตียูปลอดภัยก็ดีแล้ว เดี๋ยวเราจะได้ไปหาตำรวจกัน”
จีรณะปฏิเสธ “ไม่ เราจะเก็บตัวตียูเอาไว้ก่อน ฉันไม่ไว้ใจไอ้พวกนั้น มันต้องหาทางฆ่าปิดปากตียูแน่”
“แล้วแกไม่กลัวบ้านถูกยึดเหรอวะ”
“กว่าศาลจะสั่งเรายังมีเวลา ฉันอยากเสนอให้เอาตียูเป็นสาย เอาไว้ติดต่อหาข่าวกับมอดไม้คนอื่นๆ จับตัวการให้ได้”
ผู้กองมองตียู “แต่มันเสี่ยงนะ”
“ผมตัดสินใจแล้ว ผมอาศัยแผ่นดินไทยทำมาหากิน แต่กลับทำผิดมากกับแผ่นดินนี้ ถ้าจะตายก็ขอให้ตายอย่างมีประโยชน์เถอะ”
จีรณะพยักหน้ายืนยัน เกียรติก้องถาม
“แล้วตกลงแกรู้มั้ยว่าใครตามฆ่าแก”

ขณะเดียวกัน บ็อบบี้กระโดดโลดเต้นร่าเริงสุดๆ เดินตามแม่เลี้ยงอมราเข้ามาในห้องโถง พิมพรอ่านหนังสือบนโซฟา แม่เลี้ยงชะงักเพราะพิมใส่กางเกงขาสั้น สั้นจู๋
“ชั้นไม่เคยสั่งสอนแกหรือ ว่าไปวัดต้องแต่งตัวยังไง”
พิมพรปิดหนังสือ “พิมไม่ไปค่ะ พิมอยากพักผ่อนอยู่บ้าน”
บ็อบบี้เข้าไปอ้อนแม่ “ไปเถอะคับ ผมไม่เคยไปTemple”
“อย่าเซ้าซี้สิ อากาศร้อนๆ อย่างนี้ อยู่บ้านดีกว่า”
พวงถือชุดสังฆทานมาส่งให้ด้วย โสภิตเดินเข้ามาสมทบมองอย่างแปลกใจ
“คุณแม่จะไปวัดไม่บอกล่วงหน้าเลย มีอะไรรึเปล่าคะ”
แม่เลี้ยงแหวเสียงดัง “ไปวัดมันต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ ใครๆ เค้าก็ไปกัน”
พวงสอด “ชาวบ้านเค้าก็ไปแอ่ววัดกันเป็นปกติ แต่ร้อยวันพันปีแม่เลี้ยงบ่เค้ย บ่เคยเฉียดไปใกล้วัด เฮาก็สงสัยเจ้า”
พิมพรแอบหัวเราะคิกแม่เลี้ยงฉุน “จะมาสงสัยเรื่องอะไรของชั้น ก็ ก็ ชั้นก็ต้องทำบุญเสริมโชคเสริมลาภหนะสิ ชั้นไปละ เดี๋ยวสาย”
แม่เลี้ยงเชิดเดินออกไป บ็อบบี้วิ่งตาม โสภิตรับของมาจากพวง เดินตามแม่ไป

แม่เลี้ยงอมรา พร้อมด้วยโสภิต และบ็อบบี้ อยู่บนศาลาในวัด กำลังประคองถังสังฆทานถวายพระ บ็อบบี้สนุกสนานที่ได้ทำบุญ
แม่เลี้ยงอธิษฐานในใจยาวเหยียด “ขอให้วิญญาณนายจีรณะไปสู่สุคติ อย่าได้มาจองเวรจองกรรมกับลูกช้างเลย งานนี้มันทำตัวของมันเอง ลูกช้างไม่เกี่ยว ไม่รู้ไม่เห็นอะไรด้วยทั้งสิ้น”
พระกระแอม เพราะแม่เลี้ยงขมุบขมิบปากนานมาก
“ถวายสังฆทานแล้ว ว่าตามอาตมาจะได้กรวดน้ำให้ผู้ตาย”
บ็อบบี้เงยหน้าถามโสภิต “กรวดน้ำคืออะไรครับ”
โสภิตอธิบาย “คนที่เราจะทำบุญไปให้ คนที่เค้าตายไปแล้ว จะได้รับบุญที่เราทำครั้งนี้จ๊ะ”
บ็อบบี้เลยสะกิดแม่เลี้ยง “ใครตายครับคุณยาย”
แม่เลี้ยงสะดุ้งขึ้นเสียงสูง “ไม่มี้ ทำบุญให้บรรพบุรุษ เงียบเลยเราบ็อบบี้ ยายเสียสมาธิหมด”
บ็อบบี้รีบเอามือปิดปาก พระอาราธนาคำถวายสังฆทานไป

โสภิตมาเทน้ำที่กรวดเสร็จใต้ต้นไม้ในวัด
“ลูกขออุทิศบุญกุศลทั้งหมดที่ลูกได้สั่งสมมาตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันให้กับดวงวิญญาณของนายจีรณะ ทวีวิเศษ อย่าให้เค้าผูกใจเจ็บ อาฆาตแค้นแม่และครอบครัวของลูก...”
โสภิตพูดไปน้ำตาก็เอ่อขึ้นมา “และขอให้ความดีที่นายจีรณะได้ทำ ดลบันดาลให้วิญญาณของเขาได้ไปสู่สรวงสวรรค์...” โสภิตเสียงหายไป สะอื้นไห้ออกมา
เสียงจีรณะดังขึ้น “สาธุ”
โสภิตอึ้งจีรณะเข้ามานั่งคุกเข่าลงข้างๆ ใกล้ชิดมาก โสภิตพูดไม่ออก
“นาย...”
“ได้ยินคุณเอ่ยชื่อผม ก็เลยมารับส่วนบุญด้วยตัวเอง”
โสภิตดีใจยิ้มออกมาทั้งน้ำตา “นายยังไม่ตาย...นี่นายยังไม่ตายจริงๆ ใช่มั้ย”
โสภิตดีใจจนลืมตัวจับแขนจีรณะ “อย่าบอกนะว่าคุณดีใจที่เห็นผม ถ้าอย่างงั้นที่คุณร้องไห้เมื่อกี๊ก็แปลว่าคุณเสียใจที่ผมตายน่ะซิ”
โสภิตนึกได้ รีบปาดน้ำตา “ใครบอก ฉันคิดถึงพ่อต่างหาก”
จีรณะเหน็บ “อ้อ เพิ่งรู้ว่าพ่อของคุณชื่อเหมือนผม...”
“ก็ ก็คุณเป็นคนที่ฉันรู้จัก เวลาฉันทำบุญ ฉันรู้จักใครฉันก็ อุทิศให้หมดนั่นแหละ” โสภิตพูดไปก็พยายามหยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋ามาเช็ดน้ำตา น้ำมูก
“ไม่ใช่กลัวผมจะมาหักคอเพราะแม่คุณสั่งฆ่าปิดปากผมหรอกเหรอ”
โสภิตชะงัก “คุณอย่ามากล่าวหาแม่ฉันนะ คุณต่างหากที่ใช้พี่พิมเป็นเครื่องมือ เข้าไปขโมยของบ้านฉัน”
“แล้วทำไมคุณไม่แจ้งความ...เพราะไอ้ของนั่นมันเป็นของผิดกฎหมายใช่มั้ยล่ะ”

จีรณะจ้องตาโสภิต

อ่านต่อหน้า 3

พรมแดนหัวใจ ตอนที่ 6 (ต่อ)

ส่วนบนศาลาแม่เลี้ยงอมรายังนั่งเอี้ยมเฟี้ยมอยู่กับหลวงพ่อ บ็อบบี้อยู่ด้วย

“เรื่องเมรุที่หลวงพ่อบอกบุญดิฉันไว้คราวก่อนน่ะ ตกลงไปถึงไหนเจ้าคะ เห็นเงียบไป ดิฉันเตรียมโอนเงินให้หลวงพ่ออยู่แล้ว”
“อ้อ เห็นจะไม่รบกวนหรอกโยม อาตมากลัวไม่มีเงินจ่ายดอกเบี้ย จะเป็นเวรกรรมผูกพันกันซะเปล่าๆ”
“โอ๊ย ไม่ค่ะไม่ ดิฉันไม่คิดดอกเบี้ย แหม เรื่องบุญเรื่องกุศลดิฉันเต็มที่อยู่แล้ว” แม่เลี้ยงขยับเข้าไปใกล้ พูดเสียงเบาๆ “คือถ้าดิฉันถวายเงินสร้างเมรุทั้งหมดแล้วอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรเนี่ย จะทดแทนกับบาปกรรมได้มั้ยเจ้าคะ”
“โยมทำบุญโยมก็จะได้อานิสสงส์จากบุญนั้นอยู่แล้ว อย่างน้อย ก็จะช่วยทำให้จิตใจของโยมสงบเย็นเป็นกุศล ส่วนบาปที่โยมก่อก็อยู่ส่วนบาป มันทดแทนกันไม่ได้”
“บาปคืออะไรหรือครับ” บ็อบบี้สงสัย
หลวงพ่อยิ้มมีเมตตา “บาปก็คือการทำความชั่ว การทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ทำแล้ว คนทำก็จะมีแต่ความทุกข์”
“โอ ไอซี ครูจีสอนว่า ถ้าเราทำไม่ดีกับคนอื่น คนอื่นก็จะทำไม่ดีกับเรา”
“มาพูดถึงบาปกรรมทำไม กำลังทำบุญทำกุศล” อมราบ่น บ็อบบี้งงๆ “งั้น เอาอย่างงี้แล้วกันนะเจ้าคะ ดิฉันตัดใจ เอ๊ย ตั้งใจถวายเลยสองแสน เป็นค่าก่อสร้างเมรุ ถ้าเสร็จทันเผาศพนายจีรณะละก็จะดีมาก”
แม่เลี้ยงควักเช็คที่เขียนเรียบร้อยขึ้นมา หลวงพ่อฉงน “จีรณะ เอ๊ะ จีรณะไหนโยม”
“ก็จีรณะ ลูกชายครูเจือน่ะคะ ได้ข่าวว่าขับรถตกเขาตาย ดิฉันงี้ใจหายหมด แกเคยมาช่วยเหลือดูแล หลานบ็อบบี้น่ะค่ะเลยอยากทำบุญให้”
หลวงพ่อบุ้ยใบ้ “ก็คนเดียวกับที่นั่งอยู่ข้างหลังโยมน่ะซิ”
แม่เลี้ยงงง “อะไรนะเจ้าคะ”
บ็อบบี้หันไปก็ดีใจ “ครูจี”
แม่เลี้ยงอมราหันตามไป เห็นจีรณะ นั่งยิ้มอยู่ข้างหลัง แม่เลี้ยงอึ้งหันกลับ นึกว่าผี รวบบ็อบบี้มากอด
“อย่าหันไปบ็อบบี้”
แม่เลี้ยงยื่นเช็คมือไม้สั่น ถวายพระ “ดิฉันถวายเลย...อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร ลานะเจ้าคะ”
อมราก้มหน้าก้มตาคว้ามือบ็อบบี้ลุกออกไปจากศาลา สวดมนต์พึมพำผิดๆถูกๆ จีรณะจับมือบ็อบบี้ไว้
“จะรีบไปไหนละครับ”
“คุยกับครูจีก่อนนะครับคุณยาย”
แม่เลี้ยงดึงบ็อบบี้ “คนกะผีคุยกันไม่รู้เรื่องหรอก ไปเร็ว”
แม่เลี้ยงดึงบ็อบบี้ โสภิตก้าวเข้ามาแตะแขนแม่ อมราตกใจกรี๊ด
“แม่คะ”
“ยัยภิต ผี ๆมันหลอกแม่ต่อหน้าพระเลย”
“ไม่มีผีที่ไหนทั้งนั้นค่ะแม่ คุณจีรณะยังไม่ตายค่ะ เค้ายังอยู่”
“ห๊ะ? แกว่าอะไรนะ”
แม่เลี้ยงอมราค่อยๆ หันไปมอง
จีรณะประชด “ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์ทุ่มทุนสร้างเมรุเผาศพผม นี่ถ้าผมรู้ คงจะยอมตายประเดิมเมรุแม่เลี้ยงไปแล้ว เสียดายจริงๆ”
แม่เลี้ยงเพ่งมอง เริ่มเชื่อว่าจีรณะไม่ตาย หน้าแตกละเอียด บ็อบบี้มองคนนั้นคนนี้ไม่เข้าใจ

ที่คุ้มอมรา ยศยืนกระหยิ่ม ขณะพิมพรโมโห “คุณจีน่ะเหรอตาย ไม่จริง”
“ไม่เชื่อก็ไปถามข้างนอกดู เค้ารู้กันทั้งทุ่งทองแล้วว่าไอ้จีมันรถคว่ำตกเขาตาย เฮ้อ น่าสงสารนะ จะมีผัวใหม่ทั้งที ผู้ชายก็มาตายหนีไปซะแล้ว ฮะๆๆๆ”
แม่เลี้ยงอมราเดินหน้ามุ่ยเข้ามา โสภิตกับบ็อบบี้ตาม
“แม่คะ คุณจีรณะตายแล้วจริงเหรอ” พิมพรถาม
“อย่าพูดถึงชื่อนี้ ฉันไม่อยากได้ยิน”
“ตกลงที่แม่ไปวัดนี่ ไปดูศพไอ้จีหรือเปล่าครับ สภาพมันคงเละเทะดูไม่ได้เลยใช่มั้ย ไม่น่าเลย”
ยศพล่าม อมราตวาด “หุบปาก”
แม่เลี้ยงเดินขึ้นห้องนอนไปยศงง “อะไรวะ ไอ้จีตาย แม่น่าจะดีใจ อารมณ์เสียทำไม”
บ็อบบี้บอก “ครูจีไม่ตายนะครับ เมื่อกี๊บ็อบบี้ยังเจอครูจีเลย”
ยศไม่เชื่อ “แกพูดอะไรของแก”
โสภิตเสริม “บ็อบบี้พูดถูกแล้วละค่ะ พี่ยศ คุณจียังไม่ตาย”
“ไอ้ยศ ฉันว่าแล้ว ว่าคนอย่างแกเชื่อไม่ได้” พิมพรโมโห
“ไม่จริง ก็คุณพงษ์บอกว่ามันตายแล้ว ตำรวจก็ยืนยันว่ามันตาย”
“คุณจีรณะถูกคนร้ายไล่ยิงจนรถตกเขาจริงค่ะ แต่มีคนช่วยให้เค้ารอดมาได้” โสภิตว่า
“โล่งอก แล้วคนร้ายมันเป็นใคร จับได้หรือเปล่า” พิมพรถามโสภิต
“ไม่ค่ะ ดีแล้วที่จับไม่ได้”
โสภิตเดินขึ้นไปที่ห้องอีกคนยศเซ็ง “ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้วะ ซวยละกู”
บ็อบบี้ได้ยินงง “ซวยแปลว่าอะไรครับ”
ยศหงุดหงิด และพาลหลาน “อย่าสอดได้มั้ย เด็กเปรตเอ๊ย”
พิมพรโมโห “แกอย่ามาหยาบคายใส่ลูกฉันนะ บ็อบบี้ไม่ต้องฟัง แล้วก็อย่าไปเอาอย่างนะลูก คนจิตใจเลว มันพูดจาเลวๆ แบบนี้แหละ”
ยศฉุน “ที่พูดน่ะ พูดถึงตัวเองหรือเปล่า”
“ไอ้...”

พิมพรไล่อัดยศไป บ็อบบี้ยืนส่ายหน้าหน่ายๆ “ทะเลาะกันเหมือนเด็กๆอีกแล้ว”

ที่ตลาดชาวบ้านนั่งกันอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่หน้าร้านหนานเทือง บัวหอมใส่ชุดดำเดินเข้ามากับดาบม้วน สายพิณตาโต

“ชุดดำ แปลว่าป๊ะศพพ่อจีแล้วหรือ ฮือๆ”
“ยัง แต่เฮาใส่เตรียมมาก่อน จะได้ไปแอ่ววัดเลยบ่ต้องปิ๊กบ้านไปเปลี่ยนเสื้อ”
หนานเทืองว่า “กาลามสูตรท่านว่า อย่าเชื่อเพราะอู้ต่อๆกันมา เอาให้แน่นอนซะก่อนค่อยเชื่อก็ได้ ว่าพ่อจีหนะตายแล้ว”
บุญมีหน้าตาบวม เดินเข้ามา โวยวายลั่น
“ไม่มีกามไม่มีสูตรทั้งนั้นแหละ ที่พ่อจีตายไปเนี่ย ฝีมืออีนังแม่เลี้ยงแน่นอน พวกเราจะยอมให้มันข่มเหงรังแกอยู่แบบนี้เหรอ”
หนานเทืองว่าอีก “แล้วหมู่เฮาจะไปยะอะหยังได้ มันต้องเป็นเรื่องของกฎหมายบ้านเมือง”
“ขืนรอกฎหมายคนดีดีก็คงตายกันหมด” ดุ่ยบอก
ไทรว่า “ใช่ของอย่างงี้มันต้องตาต่อตาฟันต่อฟัน ไปแก้แค้นพวกมันกัน”
ไม่มีใครเออออตาม เพราะกลัวกันหมด บัวหอมชงกาแฟ สายพิณดูดโอเลี้ยง หนานเทืองเช็ดโต๊ะไป
บุญมีเห็นอาการจึงบอก 2 ลูกน้อง “ป่วยการ ไอ้ไทร บ้านทุ่งทองมันมีแต่คนตาขาว งั้นก็รอให้มันขูดเลือดขูดเนื้อต่อไปแล้วกัน แต่ข้าไม่ยอม!”
พอบุญมีกับสมุนออกไปสายพิณอ้าปากเม้าท์ทันที “อู้ก็อู้เต๊อะ ขาดพ่อจีซะคน หมู่เฮาก็ขาดที่พึ่ง ต่อไปไผจะมาช่วยเฮาต่อสู้กับเจ้าหนี้ใจโหดอย่างแม่เลี้ยง"
หมู่ทองพยักหน้า บัวหอมเอากาแฟมาให้ “เจ้าประคู้น ไหนๆ พ่อจีก็ตายแล้ว” พลางพนมมือท่วมหัว “ขอวิญญาณพ่อ มาเข้าฝันเลขเด็ด ปลดหนี้ให้หมู่เฮาด้วยเต๊อะ”
จีรณะเดินเข้ามาพอดี หนานเทืองเห็นก่อนใครตะลึงอยู่
สายพิณนึกบางอย่างออกเอ่ยขึ้น “นึกออกแล้ว ทะเบียนรถไง ทะเบียนรถพ่อจีเบอร์อะหยัง ไผฮู้บ้าง รถ4 ล้อ บวกอีก 4”
จีรณะบอกไป “1234”
ชาวบ้านสะดุดหู หันมามองตะลึง สายพิณกำลังเขียนเลข ปากการ่วง
“หนานเทือง นี่จำแม่นแต๊ เอ้า จดซิ นังพิณ” บัวหอมเร่งใหญ่
สายพิณพยายามชี้ บัวหอมงง “อะไรนะ นังนี่” จนบัวหอมหันไปเห็น “ชัดเลย มาตัวเป็นๆ ผีหลอก อ๊าก...”
ทุกคนวิ่งกันกระจายเหมือนขาไพ่หนีตำรวจ สายพิณไปหลบใต้โต๊ะ ดึงทุกอย่างที่คว้าได้มาบังผี บัวหอม ไปแอบอีกมุม หนานเทืองหลบตา กลัวตัวสั่น สวดมนต์แผ่เมตตา
“สัพเพสัตตา อิติปิโสภควา แล้วอะไรต่อวะ”
จีรณะขำ “ใจเย็นๆ ทุกคน ผมไม่ใช่ผี ผมยังไม่ตายครับ ไม่ต้องกลัว” เขายื่นแขนให้จับ “จับดูซิครับ”
หนานเทืองยื่นไปจับกลัวๆกล้าๆ “พ่อจีไม่ตาย ไม่ตายจริงๆด้วย พวกเรา พ่อจียังไม่ตาย”
“อย่ามาแช่งกันสิครับ” จีรณะยิ้ม
บัวหอมกับสายพิณค่อยๆ แง้มตาดู เห็นจีรณะตบหลังตบไหล่กับหนานเมือง ค่อยยิ้มออก ดีใจ วิ่งมาหา กระโดดกอดจีรณะกันกลม

จีรณะกลับมาบ้าน จิตราดีใจสุดขีดพี่น้องโผเข้ากอดกัน จิตราสำรวจตัวลูบตัวลูบแขนพี่ชาย
“ถ้าพี่จีเป็นอะไรไป จิตคงอยู่ไม่ได้”
“พี่กระดูกแข็ง ไม่ตายง่ายๆหรอก ไม่เคยได้ยินหรือ คนดีผีคุ้ม”
จีรณะมองไปรอบๆ “อาโปล่ะ”
อาโปวิ่งพรวดเข้ามา “นาย” โผเข้ามากอดจีรณะ “นายยังไม่ตาย นายยังไม่ตาย อาโปดีใจที่สุดในโลก ฮือๆๆ”
“ดีใจแล้วร้องไห้ทำไม” จีรณะเย้า
“อาโปหัวเราะต่างหาก แต่น้ำตามันไหลออกมาเอง”
“แล้วไปไหนมา ทำไมไม่อยู่ดูแล พี่จิต เกิดพวกบ้านโน้นมันมาวอแวจะทำไง”
“เอ่อ ก็อาโปเป็นห่วงนายเลยไปตามหา”
จิตรารีบกลบเกลื่อน “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ พี่จี จิตแค่ออกไปไหว้พระ พี่จีไม่ได้บาดเจ็บแน่นะคะ ไปให้หมอตรวจหรือยัง”
“พี่มันกระดูกแข็ง ยิ่งมีคนอยากให้ตาย พี่ยิ่งต้องอยู่”
อาโปนึกแค้น “พวกแม่เลี้ยงใช่มั้ยที่ทำร้ายนาย คอยดู อาโปจะให้พ่อหมอทำพิธีสาปแช่งพวกมัน”
“คนทำชั่ว ไม่ต้องแช่ง ซักวันมันก็ต้องได้ชั่ว แล้ววันนั้นก็จวนจะมาถึงแล้ว”
จิตราอึ้งๆ

ฟากพีรพงษ์รู้ข่าว สั่งลูกน้องอยู่ในบ้าน “ไปทำลายหลักฐานให้หมด รถที่ขับ แยกเป็นชิ้นๆ ทำลายทะเบียนให้เกลี้ยง ส่วนไอ้มือปืน จ่ายให้มัน 50%ให้มันหนีข้ามชายแดนไป อย่ากลับมาจนกว่าฉันจะสั่ง”
ลูกน้องรับคำสั่งรีบออกไป เห็นว่าชีพยืนขรึมโทรศัพท์อยู่อีกมุม
“ครับๆ” ชีพยื่นมือถือให้พีรพงษ์ “แม่เลี้ยงจะคุยด้วยครับ”
พีรพงษ์เครียด “ครับแม่เลี้ยง ผมรู้แล้วครับ มันก็ได้แต่ขู่เท่านั้นแหละครับ พยานหลักฐานอะไรมันก็ไม่มี ที่สำคัญแม่เลี้ยงต้องทำลายข้อมูลให้สิ้นซากซะก่อน ที่เหลือผมจัดการเอง”
พีรพงษ์ปิดมือถือยื่นคืน ชีพถามย้ำ “แน่ใจนะครับว่าจะสาวไม่ถึงเรา”
“นี่ ฉันมืออาชีพ กำชับทางฝั่งแกเหอะ ไม่ใช่โดนไอ้จีขู่เข้าหน่อยก็ไปบ้าจี้สารภาพหมด” พีรพงษ์ฉุน
“แต่เงินมันเยอะมาก ถ้าตำรวจตรวจบัญชีธนาคารเราจะบอกว่าเงินมาจากไหนละครับ อีกอย่างตอนนี้คุณภิตก็สงสัยเรื่องเอกสารที่ถูกขโมยว่ามันคืออะไร ถ้าเธอไปตรวจสอบก็ต้องรู้แน่ๆ เธอยิ่งเป็นคนตรงอยู่”
พีรพงษ์คิดตาม “คนตรงเหรอ ฉันนึกออกแล้ว แกรีบกลับไปหาแม่เลี้ยง บอกให้ทำตามที่ฉันแนะนำ”

พีรพงษ์กระซิบบอกชีพ โดยการให้แม่เลี้ยงโอนเงินแชร์ยางพาราเข้าบัญชีโสภิตให้หมด

จีรณะเดินหน้าเอาเรื่องถูกตามฆ่า และแชร์ยางพาราเต็มสูบ เวลานี้ออกมาจากห้องสอบสวน มีดาบม้วน หมู่ทองตามมา
“เสียดาย ที่คุณจี จำทะเบียนรถ จำหน้าคนร้ายไม่ได้ แบบนี้คงได้แต่ลงแจ้งความไว้ก่อน” หมู่ทองบอก
“มันเร็วมากหมู่ พอได้ยินเสียงปืน ผมก็วูบไป ไม่รู้เรื่องอีกเลย”
“พระคุ้มครองจริงๆ รถตกลงไปแบบนั้น คุณจีไม่เป็นไรเลย อย่าว่างั้นงี้ ห้อยหลวงพ่อองค์ไหน เอาออกมาอวดกันบ้าง” ดาบม้วนว่า
“ไม่มีครับ วิญญาณพ่อคงคุ้มครองผม”
ดาบม้วนยิ้ม “นี่ละ คนดี ผีคุ้มของจริง”
หมู่ทองเอ่ยขึ้น “แต่ยังไง คุณจีก็น่าจะบอกได้ว่าสงสัยใคร เราจะได้เชิญตัวมาสอบปากคำ เผื่อจะมีเบาะแส อย่างแม่เลี้ยงอมรา”
“ผมไม่อยากกล่าวหาใครโดยที่ไม่มีหลักฐานครับ หมู่กับดาบไม่ต้องห่วง ผมเชื่อในความถูกต้อง ใครทำอะไรก็ต้องได้อย่างนั้น อาจจะนานหน่อย แต่ต้องมีวันนั้นแน่ ผมรอได้”

จีรณะบอกอย่างมุ่งมั่นมาดหมาย

กลางป่าลึก แลเห็นกองไม้ซึ่งพวกลูกน้องพีรพงษ์ตัดมาแอบแปรรูปอยู่ในป่ากองใหญ่

ลูกน้องหิ้วปีกตียูที่ถูกซ้อมเข้ามา ตียูอ้อนวอน
“อย่าฆ่าฉันเลยพี่ ฉันสาบาน ฉันไม่ได้บอกอะไรตำรวจจริงๆ”
“แกบอกนายเองแล้วกัน”
ลูกน้อง 1 เหวี่ยงตียูไปตรงหน้าพีรพงษ์ ตียูเงยหน้ามอง
“มันยืนยันว่า ไม่ได้บอกอะไรตำรวจเลยครับ” ลูกน้อง 1 รายงาน
พีรพงษ์ไม่เชื่อ “นึกว่าฉันจะเชื่อเหรอ มันเอาตัวแกไปกักไว้ ให้แกนั่งๆ นอนๆ โดยไม่สอบสวนอะไรแกเลยหรือไง”
ตียูยื่นยัน “ จริงๆ ครับ มันพยายามถามว่าใครเป็นคนจ้างให้ตัดไม้ ผมก็บอกไปว่าไม่รู้ ก็ผมไม่รู้จริงๆ”
“แล้วแกกลับมาหาฉันทำไม ไม่กลัวฉันฆ่าปิดปากแกเหรอ” พีรพงษ์จ้องหน้า
“ผมไม่อยากติดคุก กลับมาทำงานผมก็ยังมีเงินไปให้ลูก” พีรพงษ์ควักปืนมาจ่อ ตียูร้องขอ “นาย อย่าฆ่าผมเลย ผมพูดความจริง”
ลูกน้อง 1 บอก “ไอ้ตียูมันช่วยเราได้มากนะนาย มันรู้จักป่านี่ทุกซอกทุกมุมฆ่ามันทิ้งก็น่าเสียดาย”
พีรพงษ์ทำท่าจะเหนี่ยวไก แต่ที่สุดก็ลดปืนลง “ฉันจะลองเชื่อแกดู แต่ถ้าแกทรยศ ฉันฆ่าล้างครัวแกแน่”
ตียูโล่งอก

ยศพาจิตรามาสมัครงานที่คลินิกขนาดใหญ่ในจังหวัด จอมกะล่อนยิ้มระรื่นเปิดประตูคลินิคให้จิตรา เดินออกมาด้วยกันตรงไปที่รถ
จิตราถือซองเอกสารมาด้วย “เห็นมั้ย พอเห็นประวัติการทำงานของจิต คุณหมอใหญ่ก็รับเข้าทำงานเลย จิตพร้อมจะมาทำเมื่อไหร่จ๊ะ”
จิตราเดินมาหยุดที่รถ “จิตยังไม่อยากรับปาก ที่นี่มันไกลจากบ้านเรามากนะจ๊ะ”
“โธ่...จะไปกลัวทำไม พี่จะเป็นคนรับส่งจิตเอง เอ๊ะ...หรือว่าเราจะหาห้องเช่าใกล้ๆที่นี่ดี...ไป...ลองไปดู ห้องเช่าดีๆ สะอาดๆ แถวนี้ดูกันดีกว่า”
ยศรีบเปิดประตูรถโอบประคองจิตเข้ารถ จิตราอึกอัก ยศรีบปิดประตูให้ แล้วรีบไปขึ้นรถขับออกไปทันที

จีรณะเดินเข้าบ้านมา โทร.คุยกับเกียรติก้อง
“ดี ถ้าตียูส่งข่าวอะไรมา แกบอกฉันด้วย...”
อาโปกำลังดูซองจดหมายเห็นจีรณะรีบวิ่งเข้ามาหา “จดหมายของนาย ไฟแนนซ์แปลว่าอะไรนาย”
จีรณะมองหัวซองจดหมาย เห็นตัวหนังสือ พร้อมโลโก้เวียงฟ้าไฟแนนซ์ จีรณะเครียดแต่ก็ยิ้มเหมือนไม่มีอะไร“ไม่มีอะไร พวกขายของ พี่จิตเห็นจดหมายนี่มั้ย”
“เห็นจ้ะ พี่จิตเป็นคนไปเอามาจากตู้จดหมายหน้าบ้าน”
จิตราเดินเข้ามาถือถุงของเต็มสองมือ
“อาโป พี่ซื้อของกินมาเยอะแยะ วันนี้ไม่ต้องทำกับข้าว เอาไปใส่จานไป”
อาโปดูตื่นเต้น รับเอาเข้าครัวไป “อยู่กันแค่สามคน ซื้อมาทำไมเยอะแยะ” จีรณะบ่น
“ก็...บางอย่างก็เก็บไว้กินได้หลายวันนะจ้ะ พี่จี คือจิตมีเรื่องจะปรึกษา จิตจะไปทำงานช่วยพี่จีอีกแรง”
“ที่ไหน”
“โพลีคลินิก ที่นอกเมืองไปหน่อย”
“ทำไมไปไกลขนาดนั้น จะเดินทางอะไรยังไง”
“ที่นั่นมีรถตู้จ้ะ พี่จีไม่ต้องเป็นห่วง”
“ถ้าเพราะจดหมายฉบับนี้ละก็ จิตเลิกกังวล พี่บอกแล้วว่าพี่จัดการได้”
“แต่รถพี่จี ก็พังไปแล้ว อีกหน่อย ไฟแนนซ์ก็ต้องมาทวงเงิน พี่จีจะเอาที่ไหนไปใช้เขา”
“พี่หาได้แล้วกัน”
“พี่จี จิตโตแล้ว วิชาความรู้ก็มีอยู่ จะให้นั่งๆ นอนๆ ไม่ทำอะไร จิตทำไม่ได้หรอก ให้จิตทำงานเถอะนะจ๊ะ จิตจะได้รู้สึกว่าจิตไม่ได้อยู่อย่างไร้ค่า”
จีรณะถอนใจ “งั้นก็ตามใจจิต”
จิตราดีใจกอดจีรณะ “ขอบคุณมากค่ะ พี่จี”

ตอนเช้า พิมพรหน้าเครียดเมื่อดูกระเป๋าสตางค์ตัวเอง หยิบเงินมานับเหลือพันกว่าบาท มีแบงก์พัน แบงก์ห้าร้อย กับแบงก์ร้อยสามใบ พิมพรหงุดหงิดเก็บเงิน หยิบถ้วยกาแฟขึ้นจิบ
บ็อบบี้ถือกระดาษระบายสี เอาสีหลายสีหยอดลงตรงกลางแล้วพับครึ่งให้สีผสมกันวิ่งเข้ามาจะให้พิมดู
“มอมมี๊ๆ SEE SEE AMAZING COLOUR สวยๆ”
บ็อบบี้ถือกระดาษมีสีชูให้พิมพรดู พิมพรถือแก้วกาแฟเอี้ยวตัวมาหาบ็อบบี้ชนกระดาษพอดี กาแฟหกใส่เสื้อ กระดาษหล่นใส่ตัว
พิมพรกรี๊ดจ้องบ็อบบี้ “BAD BOY”
บ็อบบี้จ๋อย “I’M SORRY ขอโทษครับ”
พิมพรเอาผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำเช็ดเสื้อไปมา บ็อบบี้เดินไปนั่งอีกด้าน กินขนมปังไข่ดาว
ชีพเดินถือสมุดเงินฝากธนาคารเข้ามา เหลียวหาโสภิต
พิมพรถาม “มีอะไรนายชีพ”
“แม่เลี้ยงให้เอาสมุดเงินฝากมาคืนคุณโสภิตครับ”
พิมพรอยากรู้ ดึงมา “เดี๋ยวฉันให้ยัยภิตเอง”
พิมพรวางไว้ข้างตัวทำไม่สนใจ แต่พอชีพออกไป พิมพรเปิดสมุดดู ตกใจตาโต
สภิตเข้ามานั่ง เตรียมจะกินอาหารเช้า พิมพรมองโสภิตอย่างเย็นชา เอามือปิดสมุด
“อร่อยมั้ยครับบ็อบบี้”
บ็อบบี้พยักหน้า “ต่อไปนี้เธอต้องจ่ายเงินเดือนให้พี่ เดือนละแสนห้า”
โสภิตชะงัก ถือส้อม มีด ค้าง “อะไรนะคะ ล้อเล่นหรือเปล่า ภิตจะเอาที่ไหนมาให้”
พิมพรโมโหเขวี้ยงสมุดเงินฝากลงข้างจานโสภิตพอดี
โสภิตหยิบสมุดมาเปิดดูงงๆ เห็นตัวเลขเงินเข้าห้าสิบล้านตกใจ
“ฉันรู้แล้วว่าทำไม แกถึงเกาะติดแม่ไม่ยอมไปไหน ไม่ใช่ว่าเสียสละอะไรหรอก แต่ผลมันคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม รู้อย่างงี้ ฉันก็คงกลับมานานแล้ว”
“นี่ไม่ใช่เงินภิต ภิตไม่เคยอยากได้”
“เหรอ งั้นก็โอนมาให้ฉันซิ ซักสิบล้าน”
โสภิตเห็นบ็อบบี้มองตาแป๋ว ไม่อยากให้ได้ยิน ยศลงมาจากห้องนอนได้ยิน
“เงินใคร อะไรตั้งสิบล้าน”
“บอกมาซิยัยภิต ต่อหน้าเจ้ายศมันด้วย ว่าแม่ให้เงินแกห้าสิบล้านทำไม”
ยศหูผึ่ง “ห๊ะ แม่ให้เงินยัยภิตห้าสิบล้าน! จริงเหรอ”
“พอ พอกันได้แล้ว ภิตจะไม่พูด ไม่ตอบอะไรทั้งสิ้น เพราะภิตไม่รู้”
โสภิตเดินออกไป
ยศงงปนฉุน “ยัยภิต”

ขณะเดียวกัน ส่วนบุญมีย่อตัวอยู่ที่พุ่มไม้ข้างทาง
ดุ่ย และไทร บิดมอเตอร์ไซค์เข้ามา ดุ่ยสะพายเป้เสบียงใบใหญ่มาด้วย เบรกเอี๊ยด ข้างๆบุญมี
“มาแล้วๆ”
ดุ่ย และไทร พุ่งรถเข้าพุ่มไม้ โสภิตขับรถเข้าโค้งมา ใส่หูฟังคุยพยายามติดต่อแม่
โสภิตเห็นบุญมี พรวดพราดออกมาจากข้างทาง ก็ตกใจเหยียบเบรก หลับตาปี๋ เสียงดังโครมที่ฝากระโปรงรถ โสภิตลืมตา บุญมีกระเด็นไปทรุดอยู่กลางถนน
โสภิตถอนหายใจ สงบอารมณ์ รีบลงจากรถ เข้าไปดูบุญมีที่นอนตะแคงหน้าไปอีกทาง
โสภิตกล้าๆกลัวๆแตะต้นแขนบุญมี “คุณๆเป็นอะไรเปล่า คุณๆ”
บุญมีพลิกตัวกลับมา ดุ่ย ไทร โผล่เข้าจับแขนโสภิตคนละข้าง

บุญมี ดุ่ย ไทร ช่วยกันจับโสภิตใส่รถ บุญมีขับรถโสภิตออกไป

ขณะที่จีรณะเติมน้ำมันอยู่ริมถนน เด็กอีกคนกำลังเอาล้อประกอบใส่รถให้จี จีคอยช่วยอยู่ใกล้ๆ โทรศัพท์ดัง

“ฮัลโหล น้ามี น้าหายไปไหนมา ใครใครบ่นถึงอยู่ ให้ผมไปหา ที่ไหนนะฮะ”

โสภิตถูกมัดปาก มือ และ เท้า นั่งซุกตัวสั่นอยู่ริมห้องในกระท่อม ที่ตั้งอยู่ริมน้ำตก
บุญมี ดุ่ย ไทร ยืนหน้าเครียด
บุญมีเอ่ยขึ้น “ก็อย่างที่บอก นี่ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เธอเป็นลูกสาวแม่เลี้ยงต้องรับผิดชอบในเวรกรรมที่แม่เลี้ยงก่อขึ้น”
จีโผล่เข้ามางงๆ “น้ามี”
ดุ่ยหันไป “คุณจี”
“น้ามาทำอะไรกันที่นี่ เอ๊ะ” จีรณะเห็นโสภิต “คุณภิต นี่ ทำไมน้าทำแบบนี้อีกแล้ว”
“ในเมื่อกฎหมายทำอะไรไม่ได้ เราต้องทำกันเอง” บุญมีบอก
โสภิตเห็นจีรณะ โกรธจัดคิดว่าเป็นหัวหน้าแก๊ง ยกมือที่ผูกชี้หน้าด่าไปทั้งที่ปากโดนมัดอยู่
“น้ามีจะทำอะไรกับเค้า”
“เอามันเป็นเมีย แม่เลี้ยงจะได้รู้จักคำว่าเจ็บปวดซะบ้าง”
“เราเตรียมอาหาร เหล้ายา ปลาปิ้งมาพร้อม” ดุ่ยว่า
“ผมเสี่ยงชีวิตเข้าไปเอาหลักฐานในคุ้มอมรา ยังเอาผิดแม่เลี้ยงไม่ได้ ถูกไล่ยิงอย่างกับหมูกับหมา ไหนๆก็รอดมาได้ ผมขอแก้แค้นเป็นคนแรก”
โสภิตฟังแล้วแค้น ทั้งดิ้น ทั้งด่า
จีรณะเข้าไปหยิบกระเป๋าสตางค์จากกระเป๋ากางเกงโสภิตล้วงเงินออกมาได้เจ็ดพันยื่นให้บุญมี แล้วเอากระเป๋าเสียบคืนโสภิต
สามคนสบตากันจีรณะย่างสามขุมเข้าหาโสภิตอย่างหื่นๆ โสภิตสู้ จีรณะนั่งคร่อมขาได้จับมือโสภิตแล้วระดมจูบแก้ม
“ถ้าอย่างนั้นพวกเรายกให้คุณจีจัดการแทนก็แล้วกัน”
พวกบุญมีออกไปปิดประตูลง จีรณะรีบตรงไปใส่กลอนประตู สบตากับโสภิตดุดัน
ส่วนที่ลานหน้ากระท่อม พวกบุญมี จัดเหล้าพร้อมกับแกล้มอยู่ ตรงเพิงครัวร้างมีหม้อ กระทะ จานชาม ดำๆ เก่าๆ และเตาไฟ

จีรณะจุ๊ปาก ค่อยๆ แก้มัดปาก พอผ้าหลุด โสภิตเอาหัวโขกหน้าจีรณะกระเด็นก้นจ้ำเบ้า
โสภิตพยุงตัวลุก “แกทำอะไรชั้น ชั้นจะฆ่าแก ไอ้คนลวงโลก”
จีรณะกระโดดปิดปากโสภิต อีกมือรวบเอวทั้งคู่ซวนเซหมุนไปล้มลงบนแคร่ไม้ไผ่โครม
หมู่มวลหน้าห้อง ได้ยินเสียง เฮพร้อมกัน
จีรณะกระซิบข้างหู โสภิต แต่โสภิตพยายามบิดข้อมือแก้
“ผมมาช่วยคุณ มาผมแก้มัดให้”
จีรณะปล่อยมือจากปากจะแก้มัด
“ชั้นแก้เองได้”
โสภิตทุบสองมือเข้าคอจีรณะหงายไป เตะ ถีบพัลวันเท่าทีมีแรง
หมู่มวลได้ยินเสียงเอะอะ อู้เฮฮากัน
จีรณะกระโดดขึ้นคร่อมเอามืออุดปาก
“ชอบรุนแรงนักใช่มั้ยมา...ชั้นจะยัดเยียดความเป็นผัวให้กับเธอชั้นจะถอนทุนทั้งต้นทั้งดอก”
จีรณะจับโสภิตนอนคว่ำแล้วดึงชายเสื้อออกจากเอว เอานิ้วจี้เอวโสภิต โสภิตดิ้นใหญ่
“ไอ้บ้า ชั้นเอาแกตายแน่ แกจะทำอะไรชั้น หยุดๆ เดี๋ยวนี้จั๊กกะจี้ เล่นพิเรนท์ไอ้บ้า หยุดๆ”
สามคนนอกกระท่อมปิดปากหัวเราะขำกันกลิ้ง
“เห็นเงียบๆ มีทีเด็ดเหมือนกันนะคุณจีของเรา” ไทรว่า

ใบหน้าจีรณะอยู่บนหัวโสภิตที่คว่ำตะแคงหน้ากระซิบเสียงเข้มดุ
“เลิกเล่นได้แล้ว เห็นรึยังผมมาช่วยคุณจริงๆ อัปสรโสภิต”
จีรณะลุกพรวด จับไหล่โสภิตประคองลุกนั่ง แก้เชือกที่มือให้ แล้วคุกเข่าแก้เชือกที่เท้าโสภิต สบตาอย่างอ่อนโยน แก้เชือกเสร็จจีรณะกระซิบ “เจ็บตรงไหนรึเปล่า”
โสภิตบีบข้อมือตัวเอง “นิดหน่อย ทนได้”

ที่ห้องโถงคุ้มอมรา พีรพงษ์นั่งรอโสภิตอยู่ในท่าทีหงุดหงิด ดูนาฬิกา แม่เลี้ยงพยายามโทร.ติดต่อโสภิต
“ไม่มีสัญญาณตอบรับแปลกจริง ยัยภิตไปไหนนะ”
“หรือเค้าจะโกรธผม เรื่องเงินนั่น”
“ฮู้ย ไม่เกี่ยว ป้าไม่ได้บอกเค้าหรอกว่า พ่อพงษ์มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรด้วย” อมราถามค่อยๆ “เออแล้วทางตำรวจเคลื่อนไหวอะไรบ้าง”
“เงียบครับ เมื่อไม่มีหลักฐาน ไม่มีพยาน ไอ้จีรณะก็ทำอะไรเราไม่ได้” พีรพงษ์ดูนาฬิกาอีกที “ผมว่าผมมารับน้องภิตไปกินข้าววันหลังก็แล้วกันครับ ป่านนี้น้องเค้าคงกินที่ไหนมาแล้ว”
“ขอโทษด้วยนะจ๊ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมลา”
พีรพงษ์ไหว้ แอบทำหน้าเซ็งก่อนเดินออกไป
“พวง นังพวง”
พวงต้วมเตี้ยมมา “เจ้า”
“ยายภิต บอกหรือเปล่าว่าวันนี้จะไปไหน”
“บ่ได้อู้อะหยังเลยเจ้า”
แม่เลี้ยงอมราฉงนหนัก “แปลกจริง”

ภายในกระท่อมไม้ริมน้ำตก จีรณะกับโสภิตนั่งบนแคร่กอดเข่า พิงข้างฝาสัปหงกกัน โสภิตได้สติเงี่ยหูฟัง แล้วสะกิดจีรณะ จีรณะตื่นงัวเงีย ได้สติ จุ๊ปาก แล้วย่องไปที่ประตูเอาหูแนบฟัง
จีรณะค่อยๆ เปิดประตูออกมากับโสภิต วงเหล้าขวดกลิ้ง ระเกะระกะ ไม่มีใครอยู่ มีถุงพลาสติกใส่เสบียงวางสุมๆ อยู่มุมหนึ่ง กับน้ำ 6 ขวด ฝาชีเก่าๆ กระดำกระด่างคว่ำอยู่มุมหนึ่ง
“พวกน้ามีกลับลงไปหมดแล้ว”
“ทำยังไงดี โทรศัพท์ชั้นอยู่ในกระเป๋าที่รถ”
จีรณะรีบหยิบโทรศัพท์ออกมากด แล้วส่ายหัว “ของผมก็แบ็ตหมด”
โสภิตขยับจะไป จีรณะเรียกไว้ “เดี๋ยวคุณ นี่มันจะค่ำแล้วนะจำไม่ได้เหรอ คุณถูกหามข้ามเขาลงห้วยมาเป็นชั่วโมง ถ้าไม่มีเข็มทิศหรือไฟฉายเราหลงป่าแน่นอน”
“แล้วจะทำยังไงดีคะ”
จีรณะเดินไปเปิดถุงดูลวกๆ “เรามีอาหารยังชีพได้สองสามวัน”
จีรณะไปเปิดฝาชีมีข้าวกล่องสองกล่อง กับข้าว 3 ถุง
“ใจเย็นๆ คุณ ตอนนี้มากินข้าวกันก่อน ผมให้สัญญาพรุ่งนี้คุณได้กลับบ้านแน่นอน”
“สถานการณ์อย่างนี้ใครจะไปกินลง” โสภิตหน้าม่อย
จีรณะเปิดกล่องข้าว ฉีกฝากล่อง แกะถุงเทกับข้าวใส่ฝากล่องข้าว ใช้ช้อนพลาสติกกินข้าวไปมา ขวดน้ำสองขวด วางข้างวงข้าว

ที่สุดโสภิตนั่งเลื่อนกล่องข้าวมาตรงหน้าตัวเองตักกิน จีรณะเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ เปิดฝาขวดน้ำวางให้โสภิต

อ่านต่อหน้า 4

พรมแดนหัวใจ ตอนที่ 6 (ต่อ)

ขณะเดียวกันยศขับรถแล่นมาจอดห่างจากบ้านจีรณะออกไปเพื่อไม่ให้ใครเห็น ยศกอดจูบนัวเนียจิตราพัลวัน

“อย่าค่ะพี่ยศ เดี๋ยวใครมาเห็น”
“ก็พี่รักจิต ไม่อยากจากจิตแม้แต่วินาที”
“ถ้ารักจิต ก็ต้องเชื่อจิตซิคะ”
ยศจำต้องผละออกมา จิตราลงจากรถ หิ้วถุงของกินที่แวะซื้อมาเต็มสองมือ
อาโปเดินออกมาเทขยะหน้าบ้าน ชะเง้อชะแง้ เห็นรถยศถอยออกไป จิตราเดินมา พอเห็นอาโปก็ชะงัก“อาโป”
“ใครมาส่งพี่จิตจ๊ะ”
“เอ่อ เพื่อน เพื่อนที่ทำงานน่ะจ้ะ วันนี้เค้ามาแถวนี้พอดี” จิตรารีบเปลี่ยนเรื่อง “พี่จีกลับมารึยัง”
“ยังเลย”
จิตราโล่งใจ “งั้นเข้าบ้านกันก่อน พี่มีขนมมาฝากอาโปเยอะแยะเลย”
อาโปยิ้มร่า “โห ดีจัง พี่จิตมีขนมกลับมาบ้านทุกวันเลย”
“ใกล้ๆ ที่ทำงานมีร้านอร่อยๆ หลายร้านน่ะจ้ะ”
จิตราโกหกไปเรื่อย อาโปช่วยหิ้วเข้าบ้านไป

ท้องฟ้ายามค่ำคืน แลเห็นพระจันทร์เต็มดวงสาดแสงไปทั่วบริเวณริมน้ำตก กระท่อมตกอยู่ในความมืดสลัว ตะเกียงเก่าๆ ส่องแสงวอมแวมอยู่มุมห้อง
แสงจันทร์ส่องเข้าหน้าต่าง โสภิตนอนหลับบนแคร่ จีรณะพิงข้างฝา โสภิตนอนขดเพราะหนาว
จีรณะตื่นขึ้นมามอง ถอดเสื้อตัวนอกคลุมให้ มองโสภิต ยิ้มๆ

รุ่งเช้า จีรณะสนุกสนานอยู่กับการดำผุดดำว่ายในน้ำตก ใส่ผ้าขาวม้าผูกโจง
โสภิตลืมตาตื่น เห็นเสื้อจีคลุมอยู่ รีบลุก แต่ไม่เจอจีรณะแล้ว โสภิตเดินออกไปที่หน้ากระท่อมที่เก็บกวาดแล้ว มองจีรณะเล่นน้ำเห็นแค่ช่วงบน โสภิตเมินมองไปดูวิวทิวทัศน์รอบๆ ตัว มองกลับไปที่น้ำตก จีรณะหายไปแล้ว
จีรณะใส่กางเกงเปลือยท่อนบน ถือผ้าขาวม้ากับหลอดยาสีฟันยับย่นเข้ามาอีกทาง ยื่นให้ แต่โสภิตมองท่าทีรังเกียจ ไม่รับ จีรณะเลยวางไว้ข้างๆ
“พอแก้ขัดได้ มีเพิงส้วมหลุมอยู่ข้างหลังด้วย ถ้าคุณขับถ่ายเป็นเวลาก็เชิญได้เลย”

ต่อมาไม่นานเห็นโสภิตถือผ้าขาวม้ากับหลอดยาสีฟันลัดเลาะก้อนหินมาพลางเหลียวมองระแวดระวังพลาง
ส่วนจีรณะคนข้าวในหม้อดำๆเก่าๆ ควันโขมง เห็นไข่เค็ม 2 ใบ ผักดองกระป๋อง ปลากระป๋อง อยู่ข้างๆเตา จีรณะใส่ชุดสวมแจ็กเก็ตทับ
ด้านโสภิตลอยคอเล่นน้ำ ลูบหน้า ลูบตา มีความสุข
เวลาผ่านไปอีกสักระยะ โสภิตสวมกระโจมอกด้วยผ้าขาวม้า กำลังพับขากางเกง เสร็จแล้ว หยิบเสื้อที่พับวางไว้บนก้อนหินมาสะบัดๆ โสภิตลื่นเสียหลัก เสื้อหลุดมือตกน้ำ โสภิตร้องลั่น ลุยน้ำตามไปไขว่คว้า ไม่ทันเสื้อลอยไปแล้ว
โสภิตหันขวับ หน้านิ่ว ตะคริวกินน่องขาร้องโอดโอย โสภิตกะย่องกะแย่งขึ้นจากน้ำ จีรณะวิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“คุณโสภิต คุณภิตๆ คุณเป็นอะไร” เขาประคองโสภิตมานั่งบนก้อนหิน “ไม่เป็นอะไรค่ะ ตะคริวกินขาชั้น”
จีรณะบรรจงบีบน่องให้ไปมา โสภิตยิ้ม “ดีขึ้นแล้วค่ะ ขอบคุณ”
จีรณะช่วยดึงมือให้โสภิตลุก “เสื้อคุณล่ะ”
“ไปกับสายน้ำแล้ว”
จีรณะถอดแจ็กเก็ตส่งให้โสภิต ทั้งคู่สบตากัน จีรณะหันไปมองอีกทาง
“ผมทำอาหารเช้าแล้ว กินเสร็จเราจะได้กลับกันซะที”
“ทำอะไรอบฟางรึเปล่าคะ”
จีรณะหันไปมองโสภิต โสภิตชี้ไปที่ครัวของกระท่อม เห็นควันโขมง จีรณะตกใจ
“เฮ้ย ปลากระป๋องคั่ว ของผม”
จีรณะวิ่งไปโสภิตขำ

ต่อมาจีรณะกับโสภิต นั่งกินข้าวต้ม ไข่เค็ม ผักกาดดอง มีกระทะปลากระป๋องไหม้แช่น้ำควันจางๆ อยู่ไม่ไกล
“กินเยอะๆ จะได้มีแรงเดินลงเขา”
โสภิตตักข้าวกิน พร้อมไข่เค็มผักดอง “อร่อยดีนะคะ”
จีรณะมองโสภิตกินข้าว “ชีวิตคนเรา จริงๆแล้วไม่ได้ ต้องการอะไรมากมายนักหรอกครับ แค่มีกินพออิ่ม มีบ้านให้ซุกหัวนอนขาดอะไรก็ช่วยเหลือแบ่งปันกัน”
“คุณกำลังว่าชั้นโลภโมโทสันเอาเปรียบกับชาวบ้าน ไม่เห็นอกเห็นใจพวกเค้าใช่มั้ย คุณคิดผิดชั้นเข้าใจความลำบากยากเข็ญ ดีกว่าที่คุณคิด บ้านชั้น ครอบครัวชั้น…”

สองคนสบตากัน โสภิตหลบตามองไปที่น้ำตกที่กำลังสาดซ่า นึกถึงเหตุการณ์ตอนเป็นเด็ก

เวลานั้น โสภิต พิมพร และยศ อยู่ในชุดนักเรียน แม่เลี้ยงตักข้าวให้ลูก บนโต๊ะมีกับข้าว 4-5 อย่าง

โสภิตเล่าเรื่องประกอบ “พ่อติดการพนัน เอาคุ้มไปจำนอง แล้วหนีไปอยู่กับเมียน้อย แม่หมดเนื้อหมดตัว” จนเห็นภาพเหตุการณ์
ทุกคนกำลังกินข้าว นายบ่อนเข้ามากับลูกน้อง ทุกคนตกใจ
“ผัวแกไม่จ่ายเงินที่บ่อน เฮ้ยขนของให้หมด”
เหล่าสมุนเข้าเปิดตู้ หยิบข้าวของวุ่นวาย เปิดลิ้นชักวุ่นวาย
อมราพุ่งเข้าไปหน้านายบ่อน ชี้หน้า
“หยุดเดี๋ยวนี้ ออกจากบ้านชั้น ชั้นกับลูกไม่รู้เรื่องด้วย”
โสภิตนั่งมองตาแป๋ว นายบ่อนตบแม่เลี้ยงกระเด็น เลือดออกมุมปาก
ยศกอดแม่ร้องไห้ตัวสั่น สมุนเอาพระพุทธรูปบูชากับสร้อยมุกสร้อยทองมายื่นให้นายบ่อนดู พิมพรวิ่งไปโดดเข้าแย่ง นายบ่อนผลักพิมพรหัวทิ่มกระแทกเก้าอี้ทรุดนั่ง เลือดไหลจากตีนผมข้างๆ อมราพุ่งเข้าตบหน้านายบ่อนแล้วชี้หน้า
“อยากได้อะไรก็เอาไป อย่ามาแตะต้องลูกชั้น”
นายบ่อนลูบแก้ม ชักปืนจะตบอมรา โสภิตเดินเข้าแทรกกลาง พนมมือไหว้นายบ่อน
“อย่าตีแม่หนูเลยจ้ะ แม่เจ็บแล้ว”
นายบ่อนสบตาแป๋วของโสภิต ใจอ่อนเก็บปืน จากนั้นนายบ่อนกลับออกไป สมุนขนของตาม ลูกๆกอดขาแม่ร้องไห้ยกเว้นโสภิต

อีกเหตุการณ์แม่เลี้ยงอมรา ลูกๆ พิมพร ยศ และ โสภิต นั่งเรียงกันตาเศร้า มองเจ้าหน้าที่ธนาคาร 3 คนอยู่ในบ้าน
เจ้าหน้าที่ 1 วางสัญญาเอกสาร ปากกา หน้าแม่เลี้ยง
“สามีคุณ เอาบ้านไปจำนองที่ธนาคาร ทางเราผัดผ่อนให้มาหกเดือนแล้ว เข้าใจนะครับ”
แม่เลี้ยง หยิบปากกามือสั่น เซ็นชื่อไป น้ำตาไหลไป

ต่อมา อีกคืนหนึ่งแม่เลี้ยงอมรา ลูกๆ ทั้ง 3 คน ถือกระเป๋าเสื้อผ้า ยืนตากฝนหน้ารั้วบ้านหลังหนึ่ง เพื่อนแม่เลี้ยงถือร่มออกมาจากเรือน
“ชั้นก็อยากจะช่วยจริงๆ แต่บ้านมันคับแคบ ไม่สะดวกจริงเอา...ชั้นให้”
เพื่อนแม่เลี้ยงอมรากำเงินส่งให้ใบละร้อย 5 ใบ

อีกวันหนึ่ง พระถือปิ่นโตเถาเล็กๆ 4 ชั้น เข้ามาวางให้แม่เลี้ยงที่พนมมือไหว้พระอย่างตื้นตัน
พอพระออกไป แม่เลี้ยง แบ่งข้าวให้ลูกๆ หยิบปีกไก่ทอดเล็กๆ ให้คนละ 2 ปีก มีแกงหนึ่งชั้นปิ่นโต พิมพร กับยศแย่งแกงกัน ปิ่นโตชั้นใส่แกงหกคว่ำ ยศและพิมพรช่วยกันหยิบก้อนหมูสับใส่ชั้นปิ่นโตตัวเอง
แม่เลี้ยงอมราพิงเสา ผินหน้าหนี น้ำตาไหลพราก มือเล็กๆ ของเด็กหญิงโสภิตจับหน้าแม่หันมาหา เช็ดน้ำตาให้แม่
“แม่จ๋าอย่าร้องไห้”
โสภิตยกชั้นปิ่นโตตัวเองให้แม่ “แบ่งกัน มีตั้งเยอะ”
อมราดึงโสภิตเข้ามากอด “เราจะไม่เป็นแบบนี้ แม่สัญญาเราจะเอาของเราคืน เราจะมีให้มากกว่าเดิม”

เช้าเดียวกัน เสียงเคาะประตูดังขึ้น แม่เลี้ยงอมราสะดุ้งตื่นจากภวังค์ คิดถึงความยากลำบากของตัวเองเช่นเดียวกับอัปสรโสภิต เสียงบ็อบบี้เรียกดังตามมา
“คุณยายครับ คุณยาย”
อมราลุกไปเปิดประตู “เอะอะอะไรแต่เช้า บ็อบบี้”
“สิบโมงเช้าแล้วครับ too late (สายแล้ว) คุณยายต้องกินยา”

แม่เลี้ยงตกใจ “ตายจริงสิบโมงแล้วหรือนี่”

พวงจัดโต๊ะอาหาร พิมพรกับยศ และบ็อบบี้ประจำที่อยู่แล้ว

แม่เลี้ยงอมราแต่งตัวเสร็จเดินเข้ามา “ยัยภิตล่ะ”
พิมพรหมั่นไส้ “แหม ลูกหลานนั่งกันอยู่ตั้งหลายคน ถามหาคนเดียว”
“คนบางคนมันอยู่ก็เหมือนไม่อยู่ เพราะมันไม่มีประโยชน์”
ยศยักคิ้วใส่ สมน้ำหน้าพี่สาว
“เดี๋ยวพวงไปผ่อที่ห้องให้เจ้า” พวงว่า
“ฉันดูแล้ว ยัยภิตไม่อยู่ในห้อง”
“บ็อบบี้ ไม่เห็นรถน้าภิตด้วยครับ”
“เอ๊ะ หรือจะออกไปแต่เช้า”
“ไม่ได้กลับมากกว่ามั้ง” พิมพรว่า
แม่เลี้ยงอมราโมโห “แกอย่าเอา ยัยภิตไปเปรียบกับตัวแก ยัยภิตไม่ใช่คนเหลวไหล”
“เมื่อก่อนไม่ใช่ แต่ตอนนี้ไม่แน่ มีเงินในบัญชีตั้งห้าสิบล้าน เป็นหนูก็ไม่อยู่ให้โง่หรอก”
แม่เลี้ยงฉงน “ใครบอกแก”
“ไม่ต้องมีใครบอกหรอกค่ะ หนูเห็นในสมุดบัญชี”
“นี่ตกลงแม่โอนเงินให้ยัยภิตจริงๆ เหรอครับ โห ทำไมลำเอียงงี้ เวลาผมขอมั่ง หมื่นสองหมื่น แม่ยังบ่น”
“พวกแกไม่มีสิทธิ์มาพูดเรื่องเงินกับฉัน เพราะแกไม่เคยช่วยฉันหา ฉันจะโอนให้ใครแกไม่เกี่ยว”
แม่เลี้ยงกดมือถือหาชีพอย่างร้อนใจ “ชีพ ยัยภิตไม่กลับบ้าน ไม่รู้เกิดเรื่องอะไร แกระดมลูกน้องออกตามหาเดี๋ยวนี้เลย”
บ็อบบี้เตือน “คุณยาย ต้องกินข้าวกินยานะครับ”
“ยายไม่ตายง่ายๆหรอกบ็อบบี้ ยิ่งโดนแช่ง ยายยิ่งอายุยืน”
แม่เลี้ยงมองพิมพรตาขวาง พิมพรวางช้อนข้าวต้มลุกออกไปทันที ยศเซ็งๆ

ที่ร้านหนานเทือง ไม่มีรถเข็นบัวหอมอยู่แล้ว หลังจากถูกชีพและลูกน้องยึดไป บัวหอมกำลังยกมือท่วมหัว
“เจ้าประคู้น ขอให้แม่เลี้ยงเปิ้นหัวใจวายอีกซักเตื้อ เฮาจะได้ลืมตาอ้าปากได้”
หนานเทืองอบรม “บัวหอมเอ๊ย แทนที่จะแช่งเปิ้น แกต้องแผ่เมตตาหื้อเปิ้น ถึงจะถูก เปิ้นจะได้เมตตาต่อเฮา”
“เมินเสียเต๊อะ คนอย่างแม่เลี้ยงอมรา บ่มีจิตใจเมตตากรุณาไผหรอก ยิ่งรวย ก็ยิ่งโหดร้าย บ่เห็นโลงศพ บ่หลั่งน้ำตา”
บุญมี ดุ่ยและไทรเดินเข้ามา บุญมีเอ่ยขึ้น “บัวหอมพูดถูก กับคนชั่ว มันต้องตาต่อตาฟันต่อฟัน”
หนานเทืองซักทันที “บุญมี แกหายไปไหนมา หมู่เฮาเป็นห่วง กลัวแกจะคิดสั้น”
“คนอย่างฉันไม่ทำร้ายตัวเองให้โง่หรอกหนานเทือง”
“คิดอย่างนั้นได้ก็ดี เพราะถึงหมู่เฮาจะไม่ทำร้ายตัวเอง ซักวันก็คงถูกพวกแม่เลี้ยงเปิ้นกระทืบตายอยู่ดี” บัวหอมบอก
“มันไม่มีวันนั้นหรอก จริงมั้ยพวกเรา” บุญมีหันไปหัวเราะกับดุ่ยและไทร
สายพิณวิ่งโร่เข้ามา “มาแล้วๆ พวกแม่เลี้ยงมาแล้ว”
บัวหอมตบปากตัวเอง “บ่ควรจะอู้เลย”
สายพิณกับบัวหอมวิ่งหลบใต้โต๊ะ กวักบุญมี แต่บุญมีดุ่ย และไทรไม่หลบ ชีพ กาบ และเส่งเข้ามา
หนานเทืองขอร้องก่อนกลัวมีเรื่อง “ใจเย็นๆ นะพ่อ อย่าเพิ่งพังร้านเฮาเน้อ”
“ฉันแค่จะมาถามว่าเห็นคุณอัปสรโสภิตบ้างมั้ย”
“บ่หันเลยจ้า เปิ้นบ่ได้แอ่วมาหลายวันแล้ว” หนานเทืองบอก
“ไม่ต้องตามหาหรอก ป่านนี้ คุณอัปสรขึ้นสวรรค์ชั้นเจ็ดไปแล้ว” บุญมีพูดกวนๆ
เส่งโมโห “นี่แกแช่ง คุณภิตเหรอไอ้มี”
บุญมีตีรวน “แช่งอะไร ก็นางฟ้ามันก็ต้องอยู่บนสวรรค์ไม่ใช่เหรอ”
ชีพกับลูกน้องทำท่าจะลุย หนานเทืองเข้าขวาง
“อย่ามีเรื่องกันเลย กราบละ พ่อคุณ”
ชีพชี้หน้า “ฟังนะ ถ้าใครได้ข่าวคุณภิต แม่เลี้ยงจะมีรางวัลให้ แต่...ถ้าฉันรู้ว่าพวกแกทำอะไรคุณภิตละก็ แม้แต่กระดูกแกก็ไม่เหลือ”
ชีพกับเส่ง และกาบเดินออกไป หนานเทืองโล่งอก พวกบัวหอมออกมาจากที่ซ่อน
บัวหอมแปลกใจ “ลูกสาวแม่เลี้ยงหายไปเหรอ”
“สงสัยถูกจับไปเรียกค่าไถ่หรือเปล่า แสดงว่ากรรมมันขายาวแท้ แม่เพิ่งทำร้ายคุณจี ลูกก็ถูกฉุดเลย” สายพิณว่า
บุญมีพูดอย่างสะใจ “กรรมน่ะมันไม่มีขาเดินมาเองหรอก มันต้องมีเจ้ากรรมนายเวรจัดการโว้ย...แล้วรู้เอาไว้นะว่าต่อไปนี้แม่เลี้ยงจะไม่มีวันมารังแกไอ้จีกับพวกเราได้อีก...ฮะฮ่าๆๆ”

บุญมีเดินหัวเราะออกไปกับพรรคพวก ทิ้งสามคนงงเต็กมองหน้ากันไปมา

ทางด้านโสภิต ออกมาเดินนอกเพิงพักเห็นกระรอกวิ่งผ่าน นกสีสวยบินมาเกาะกิ่งไม้ ผีเสื้อบินไล่กัน ไปหาเกสรกล้วยไม้ป่า

โสภิตมองอย่างเพลิดเพลิน เหมือนถูกสะกด พยายาม เขย่งปีนจะเก็บกล้วยไม้แต่ไม่ถึง จู่ๆมือจีรณะก็เอื้อมเด็ดให้ พอโสภิตหันไปจีรณะอยู่ข้างหลัง ส่งกล้วยไม้ให้ หล่อนเขินๆ
“ขอบคุณ”
“ดูท่าแล้ว เหมือนคุณไม่อยากกลับออกไป”
“ใครบอก”
“งั้นก็ไปกันเลย”
โสภิตเอากล้วยไม้มาดม จีรณะกอดอกมองมา โสภิตเงยหน้ามาสบตาพอดี จีรณะดึงกล้วยไม้มาจากมือหล่อน แล้วเสียบเข้าที่ผมที่รวบไว้ โสภิตอึ้งๆ
จีรณะพูดเสียงเรียบๆ “จะได้ไม่ต้องเดินถือให้เมื่อย”
จากนั้นจีรณะก็เดินนำไป โสภิตแตะกล้วยไม้ที่ผม แอบยิ้ม แล้วก็เดินต่อ
จีรณะเดินแหวกกิ่งไม้ โสภิตตามติด มีบางจังหวะหล่อนเซ จีรณะคว้าไว้ พอถึงบางช่วงที่ลาดชัน โสภิตไม่ถนัดเลยต้องให้จีรณะช่วย แตะเนื้อต้องตัวกันไปมา
สองคนรู้สึกดีต่อกันอย่างประหลาด

จีรณะกับโสเดินแหวกกิ่งไม้มาเรื่อยๆ แต่แล้วจีรณะชะงักดึงโสภิตให้หมอบหลังพุ่มไม้โสภิตงง “ทำอะไรน่ะ”
จีรณะชู้วปาก “มีเสียงฝีเท้าคนเดินมาทางนี้”
“ฉันไม่เห็นได้ยินเลย”
ขาดคำเห็นคนสองคนเดินเหยียบใบไม้กรอบแกรบมา แล้วหยุด โสภิตกับจีรณะเห็นแค่กางเกง และปลายปืนที่ถือมา ก่อนจะเดินเลยไป จีรณะประคองโสภิตลุกขึ้น
“พวกมันเป็นใคร”
“ไม่รู้ รีบไปก่อนเร็ว”
จีรณะฉุดโสภิตวิ่ง เสียงดังจากมุมหนึ่ง
“เฮ้ย หยุด...”
จีรณะชะงักกระซิบบอกโสภิต “เดี๋ยวคุณวิ่งหนีไปตามทางนี้นะ ผมจะปะทะพวกมันไว้”
“ไม่ ฉันไม่หนี ฉันไม่ทิ้งคุณหรอก”
จีรณะมองหน้ารู้สึกประทับใจ ชายสองคนที่เป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้เดินเข้ามาใกล้
“คุกเข่าเอามือไว้บนหัว”
ทั้งคู่คุกเข่า ยังมองหน้ากัน เจ้าหน้าที่อ้อมมา มองหน้าจำได้
“คุณจีรณะ”
จีรณะเงยขึ้นมอง เห็นว่าเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่รู้จัก แต่ไม่ได้ใส่เครื่องแบบข้าราชการ
“พี่พจน์”

ต่อมาเจ้าหน้าที่พาทั้งสองเดินเท้ามาจนถึงทางที่รถโฟร์วิวจอดอยู่ ข้างรถมอเตอร์ไซค์ของจีรณะ
“ผมออกตรวจ เห็นมอเตอร์ไซด์จอดอยู่ จำได้ว่าเป็นของคุณจี เลยลองเดินตามเข้าไป” พจน์ว่า
“ผมสองคนเข้าไปเดินเที่ยวน่ะครับ แล้วก็เกิดหลงป่า” จีรณะบอก
พจน์มองโสภิต ชุดไม่เหมาะเดินป่า “ต้องระวังนะครับ ป่าแถวนี้อาจจะไม่มีพวกสัตว์ใหญ่ แต่พวกสัตว์มีพิษก็ชุกชุม”
“อ๋อ ไม่ต้องห่วงครับ มีพิษแค่ไหนก็ทำอะไร คุณผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ เพราะเธอเป็นเจ้าแห่งพิษ”
โสภิตโมโห “บ้าเหรอ พิษบ้าบออะไรของคุณ”
“นั่นซิครับ พจน์งง
จีรณะอธิบาย “คือ คุณผู้หญิงเธอชื่ออัปสรโสภิตน่ะครับ ผมก็เลยเรียกเธอเล่นว่าคุณอสรพิษ”
“แรงนะครับเนี่ย” เจ้าหน้าที่ ชื่อพจน์หัวเราะ “เออ แล้วตกลงเอาไงครับ จะให้ผมไปส่งข้างล่างหรือจะขี่รถไปเอง”
“ผมคงต้องรบกวน พี่พจน์ช่วยไปส่งคุณอัปสรโสภิตด้วย เดี๋ยวผมขับรถผมกลับเอง”
“แล้วทำไม ไม่กลับลงไปด้วยกัน”
“โธ่ ไม่อยากแยกจากผมใช่มั้ย เดี๋ยวนะพี่ ขอสั่งลากันแป๊บ”
จีรณะดึงโสภิตไป “นี่ ฉันไม่ได้พิศวาสคุณนะ แต่ฉันไม่รู้จักคนพวกนั้น”
“พี่พจน์เป็น อส.ป่าไม้ สนิทกับผม เป็นคนดี ไว้ใจได้....คุณให้เค้าไปส่งที่บ้าน แล้วบอกแม่คุณว่า คุณมาดูที่แล้วรถยางแตกก็เลยติดอยู่ที่นี่ ติดต่อไม่ได้ ต้องให้พี่พจน์ไปส่ง รถคุณเดี๋ยวผมตามกับน้ามีว่าเค้าขับไปไว้ที่ไหน”
“หมายความว่าฉันต้องปล่อยพวกนายบุญมีลอยนวลงั้นเหรอ”
“คุณจะแจ้งความก็ได้ แล้วก็อย่าลืมบอกนะว่าผมมาช่วย เลยต้องค้างคืนอยู่ด้วยกัน”
โสภิตอึ้งไป จีรณะพูดจริงจัง “น้าบุญมีทำผิด แต่ผมก็อยากขอให้คุณอภัยให้แกอีกซักครั้ง ผมสัญญา ผมจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายคุณแบบนี้อีก”
โสภิตค้อน “ก็ได้ ฉันจะลองเชื่อคุณ”
“ขอบคุณมาก”
โสภิตเดินไปขึ้นรถ จีรณะหันมาบอกกับพจน์ “อย่างงี้ละครับ งอนวันละสามเวลาหลังอาหาร”
พจน์ยิ้มเย้า “ไม่ยักรู้ว่าคุณจีมีแฟนสวยอย่างงี้”

โสภิตนั่งในรถแล้ว เห็นแต่จีรณะพูดกับเจ้าหน้าที่ แต่ไม่ได้ยิน งงที่เห็นสองคนมองมาที่หล่อนแล้วยิ้มๆ กัน

อ่านต่อตอนที่ 7
กำลังโหลดความคิดเห็น