xs
xsm
sm
md
lg

สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 3

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 3
 
เวลากลางคืน กรรัมภาถือเป้แบรนด์เนมที่ตุงๆ เพราะซ่อนตุ๊กตาไว้ พาเนตรสิตางศุ์เข้ามาในโรงพยาบาล แล้วรีบเข้าลิฟท์ขึ้นไปชั้นห้องพักคนไข้ของจุนจี

เมื่อลิฟท์เปิด ทั้งคู่ออกมามองไปทางห้องพักจุนจี เห็นทั้งนักข่าวและบอดี้การ์ดคุมเข้ม ไม่มีทางเข้าไปเยี่ยมได้เลย
"จุนจีๆๆ…อยู่ทางนี้แน่ๆ"
เจ้าหน้าที่บอก
"ชิ้ว ห้ามตะโกนครับคุณ อย่าส่งเสียง นี่โรงพยาบาลนะครับ ไม่ใช่เวทีคอนเสิร์ต"
เนตรสิตางศุ์ปราม
"เบาๆยัยแก้ม...ชู้ว"
"ฮือๆๆ อย่าตายนะจุนจี"
"มีเจ้าหน้าที่คุมแน่นหนาแบบนี้เราเข้าไปไม่ได้แน่"
"ทำไมจะไม่ได้ เห็นไหมนั่นใคร"
เนตรสิตางศุ์มองไปเห็นณัฐเดชเดินออกมา แวะทักพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ด้านใน
"พี่ณัฐ!" เนตรสิตางศุ์เรียก
กรรัมภารีบเข้าไปหา โบกมือ
"เร็วยัยเนตร พี่ณัฐทางนี้"
เจ้าหน้าที่เตือนอีก
"เบาๆคุณ...ถ้าไม่หยุด ผมต้องเชิญออกนะครับ"
"ค่ะๆ...ขอโทษค่ะ" เนตรสิตางศุ์ว่า
ณัฐเดชแปลกใจที่เห็น 2 สาว
"ยัยเนตร! ยัยแก้ม"
ณัฐเดชเดินเข้ามาบอกกับเจ้าหน้าที่ ดึง 2สาวออกมาคุย
"ขอโทษนะครับ 2 คนนี้คนของผมเองครับ"
กรรัมภาบอก
"ดีใจจังเลยที่เจอพี่ณัฐ"
"นี่เธอเป็นติ่งหูเกาหลีกะเค้าด้วยเหรอ"
"แฮ่ เนตรป่าวนะคะ ยัยแก้มต่างหาก ติ่งมากๆเลยแหละ"
"พี่ณัฐช่วยหน่อยจิ พาเข้าไปเยี่ยมจุนจีที แก้มเป็นห่วงจะแย่อยู่แล้ว"
"เฮ้ย...พี่จะทำงั้นได้ไง ตอนนี้เขายังไม่รู้สึกตัวเลย"
"โธ่...จุนจีที่น่าสงสาร จุนจีไม่สบายเป็นอะไรไปคะพี่ณัฐ ถ้าต้องการเลือด แก้มยินดีจะให้ ถ้าต้องการตับ แก้มยินดีจะบริจาค หรือว่าถ้าขาดหัวใจ แก้มก็ยินดีจะใช้ร่วมกับเค้า"
ณัฐเดชขยี้หัวกรรัมภา
"เป็นเอามากนะเรา ดูละครเกาหลีมากไปแล้ว หันมาดูละครไทยบ้าง พระเอกหล่อๆทั้งนั้น..
บทเค้าก็สนุก..ฮ่ะๆๆ พี่ก็ไม่รู้เค้าเป็นไรเหมือนกัน อยู่ดีๆก็หมดสติไป หมอกำลังวินิจฉัยอยู่ เรา 2 คนกลับไปได้แล้วไป ทางทีมงานเค้าไม่ยอมให้ใครเข้าเยี่ยมเด็ดขาด"
ลีจองกุ๊กเรียก
"สารวัตรณัฐเดชครับ!"
ณัฐเดชหันไปมอง เห็นลีจองกุ๊กเดินออกมาตาม
กรรัมภากรี๊ดกะเนตรสิตางศุ์ แบบตีๆ ทุบๆ กระซิบๆ เพราะบรรดาติ่งเกาหลี จะกรี๊ดทุกอย่าง ที่เกี่ยวกับศิลปินที่ตนรัก แม้แต่ผู้จัดการ ท่านประธานบริษัท หรือแดนเซอร์ ฯ
"อร๊าย...ลีจองกุ๊ก ผู้จัดการจอมกวน"
"รีบกลับไปนะ พี่ต้องทำงาน อย่าก่อเรื่องล่ะ" ณัฐเดชบอก
กรรัมภาโกหกแบบไม่เนียน เวอร์ๆ
"ค่าพี่ณัฐ กลับก็ได้"
ณัฐเดชเดินเข้าไปหาลีจองกุ๊ก
เนตรสิตางศุ์บอก
"กลับกันเถอะ...ยังไงก็เข้าไม่ได้"
"โอกาสทองสิไม่ว่า เร็วยัยเนตร ทางนี้!"
กรรัมภารีบดึงเนตรสิตางศุ์ไปทางห้องพัก
"ม่ายอาว...เนตรจะกลับ...ว้าย..."

เวลาสักครู่ต่อมา บริเวณประตูทางไปห้องพัก เนตรสิตางศุ์เดินพ้นมุมตึกออกมาในชุดพยาบาล
"ยัยแก้มนะ ยัยแก้ม...ทำไมต้องให้ทำแบบนี้ด้วย พี่ณัฐรู้เข้าละก็..."
เนตรสิตางศุ์ทำหน้าเสียวไส้กลัวพี่ชายจับได้
ฝ่ายเจ้าหน้าที่ซึ่งคุมห้องจุนจีมีสองด่าน ด่านหน้าห้อง 2 คน อีกด่านมี 2-3 คนเดินตรวจตราบริเวณโถงทางเดิน
เนตรสิตางศุ์เดินเข้ามาบริเวณที่มีเจ้าหน้าที่เดินตรวจอยู่ เจ้าหน้าที่เห็นเป็นพยาบาลเลยไม่เอะใจ ขณะเดินผ่านเจ้าหน้าที่ พอดีหมอท่านหนึ่งเดินสวนมาพร้อมพยาบาลอีกนาง ทั้งสองมองเนตรศิตางศุ์แล้วหันมองหน้ากัน พยาบาลคนนี้ใคร ไม่เคยเจอ...แต่ไม่พูดอะไร เธอผ่านเจ้าหน้าที่ตรวจตราไปถึงเจ้าหน้าที่ที่อยู่หน้าห้อง
ทันใดมีเสียงโวยวายดังมาทางที่เนตรสิตางศุ์เดินมา
"พยาบาลคนนั้น เป็นแฟนคลับปาร์คจุนจีปลอมตัวมา ช่วยจับหน่อยค่า"
กรรัมภาโวยวายฟ้องเจ้าหน้าที่ ทั้งๆที่ตัวเองก็ปลอมตัวใส่ชุดพยาบาลเช่นกัน
เจ้าหน้าที่ 1ถาม
"จริงเหรอครับคุณหมอ"
คุณหมอที่เพิ่งเดินผ่านไป มองไปทางเนตรศิตางศุ์แล้วบอก
"น่าจะจริงครับ ผมไม่เคยเห็นพยาบาลคนนี้มาก่อน"
เจ้าหน้าที่ 2 บอก
"จับเลย...อย่าให้เข้าไปในห้องได้"
กรรัมภาย้ำ
"ใช่ค่ะ...จับเลย"
"ว้าย...เนตรเปล่านะ จุนจีค้า เนตรจะเข้าไปเยี่ยมเดี๋ยวนี้ค่า."
เนตรสิตางศุ์ทำเป็นแฟนคลับที่คลั่งไคล้จุนจีมากๆ เจ้าหน้าที่ทุกคนพากันชุลมุนจับตัวเธอไว้ก่อนที่จะเข้าห้องไปได้ กรรัมภาอาศัยจังหวะวุ่นวายค่อยๆ เดินเข้าห้องปาร์คจุนจี
กรรัมภาแอบยิ้ม
"พาลงไปให้รปภ.ชั้นล่างเลยค้า"
เจ้าหน้าที่บอก
"พาลงไปเลย..เร็ว"
"ช่วยด้วย"
เนตรสิตางศุ์มองไปทางกรรัมภา
"แล้วค่อยเจอกันนะ...แสบมากๆเลย แค้นนี้ต้องสะสาง"
เนตรสิตางศุ์ทำตาประหลับประเหลือกใส่ กรรัมภาแอบขำ...

ภายในห้องพักผู้ป่วย ปาร์คจุนจีกำลังนอนหลับให้น้ำเกลืออยู่บนเตียงในห้อง พิมพ์พิลาศเรียกชื่อไทยของหลานชาย... จุลจักร
"จักร....จักร...ลืมตาขึ้นมองย่าสิ"
ปาร์คจุนจีขยับตัวเหงื่อแตกซ่าน ค่อยๆลืมตา เหมือนฝันร้าย ครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่ปากขยับพูดออกมา
"ย่า..."
"ใช่ ...ย่าเอง"
ปลายเตียงปรากฏร่างของพิมพ์พิลาศยืนอยู่ ปาร์คจุนจีสลัดสายน้ำเกลือออก ค่อยๆลุกจากเตียง
เท่าที่แรงจะมี
"ย่า...ย่าต้องการอะไร"
พิมพ์พิลาศนัยน์ตาแดงฉาน ร้องไห้คร่ำครวญออกเป็นสายเลือด
"ช่วยย่าด้วย...ช่วยด้วย ย่าถูกฆ่า มีคนปล่อยงูมากัดย่า ย่าเจ็บปวดทรมานเหลือเกิน"
"ย่ามาหาผมทำไม"
"ย่าต้องการแก้แค้น จักรต้องช่วยย่านะ"
"ไม่...ย่าไม่เคยสนใจใยดี ผมกับพ่อเลย พวกผมลำบากแค่ไหน ย่ารู้บ้างมั้ย"
"ย่าเห็นรองเท้ามัน มันยืนซ่อนอยู่ในนั้น ดูย่าตาย"

เสียงประตูเปิด กรรัมภาเดินเข้ามา ไม่เห็น ไม่รู้ว่ามีวิญญาณอยู่ในห้อง ก็หยุดยืนมองอย่างดีใจ ที่เห็นจุนจีนอนอยู่ที่เตียง
"นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นจุนจีใกล้ๆ ตามลำพัง 2 ต่อ 2"
กรรัมภาดีใจจนน้ำตาเล็ด ยกนิ้วกรีดน้ำตา พลางเดินช้าเข้ามาหาจุนจีที่เตียง

ในความฝัน จุนจีตัดพ้อ
"ย่ามีแต่ความเห็นแก่ตัว นึกถึงแต่หน้าตาของตัวเองแทนที่จะนึกถึงลูกในไส้"
"ไม่...จักรช่วยย่าด้วย ย่าต้องการความยุติธรรม"
พิมพ์พิลาศเดินเข้ามาหาจุนจีอย่างช้าๆ น้ำตายังคงไหลออกมาเป็นเลือด หน้าเริ่มเขียวคล้ำขึ้นด้วยพิษของงู
"อย่า...อย่าเข้ามา"
"จักรต้องช่วยย่า...ย่าสื่อสารใครไม่ได้"
"ไม่...ไม่ช่วย...อย่าเข้ามา"

พิมพ์พิลาศเข้ามาจนเกือบติดตัวจุนจีแล้ว

กรรัมภามาหยุดยืนมองหน้าจุนจีที่ข้างเตียง เธอแทบหยุดหายใจ เมื่อเห็นใบหน้าที่หล่อเหลาราวกับเทพบุตรนอนหลับอยู่ตรงหน้า น้ำตาไหลเผาะ ก่อนจะยื่นมือที่สั่นเทาไปจับที่หน้าจุนจีอย่างทะนุถนอม ใช้ถุงมือที่ใส่อยู่ ซับๆเหงื่อให้จุนจี

"หายป่วยเร็วๆ นะคะจุนจี แก้มจะเป็นกำลังใจให้"
กรรัมภาล้วงตุ๊กตาหมีใส่ถุงมือวางไว้ที่ข้างหมอนจุนจี และเอาหน้าไปหอมแก้มจุนจี โดยเอาโทรศัพท์มาถ่ายรูปคู่จนสำเร็จ จุนจีหลับไม่รู้เรื่อง กรรัมภาเช็กรูปคู่ในโทรศัพท์ ดีใจสุดขีด เธอน้ำตาปริ่ม สะอื้น
"ไม่น่าเชื่อ ว่าวันนี้จะมาถึงจริงๆ จุนจีคะ ผิวของคุณช่างงามราวกับกระเบื้องเนื้อดี ขอชั้นสัมผัสไว้ เพื่อเก็บเป็นความทรงจำอันงดงามหน่อยน้า"
กรรัมภาถอดถุงมือ แล้วเอามือทั้งสองแปะประกบที่แก้มจุนจีทันที
ทันใด จุนจีลืมตาขึ้นมาพอดี แล้วเห็นหน้ากรรัมภา ก่อนเปลี่ยนหน้าพิมพ์พิลาศที่จับแก้มในท่าเดียวกัน เช่นเดียวกัน กรรัมภาเห็นใบหน้าจุนจีที่ลืมตาตื่นเป็นหน้าพิมพ์พิลาศ
"อ๊า" จุนจีร้อง
"แอร๊ย"
กรรัมภาตกใจผีพิมพ์พิลาศ เซถอย ไปหลายก้าว ปาร์คจุนจีสลบต่อ คร่อก! ด้วยความเพลียมากประกอบกับโดนยาจนเบลอ
"หา...ตะกี๊ มันใคร อะไรกันแน่"
ณัฐเดชเปิดประตูเข้ามาพอดี มีลีจองกุ๊กตามติด นายตำรวจหนุ่มมองหาความผิดปกติไปรอบๆ ห้อง แต่ไม่ได้มองหน้ากรรัมภา
"มีอะไรครับคุณพยาบาล"
กรรัมภาสะดุ้งสุดตัว รีบเก็บโทรศัพท์ที่ถ่ายรูป แล้วใส่ถุงมือ มือไม้สั่น
"ผมได้ยินเสียงใครโวยวาย" ลีจองกุ๊กถาม
กรรัมภาเอาหน้ากดแอบหลบณัฐเดชสุดชีวิต
"เออ..คุณจุนจีคงโดนยาบางชนิดแล้วมีไซค์เอฟเฟคน่ะค่ะ เลยละเมอโวยวายเสียงดัง แต่ให้ยาแก้แพ้ไปแล้ว เดี๋ยวคงดีขึ้นค่ะ"
"วุ่นวายอย่างนี้จะนอนได้ไงเนี๊ยะ"
กรรัมภารีบมุดหน้าออกไปทันที ณัฐเดชมองตามออกไปแบบงงๆ ข้างๆปาร์คจุนจีนอนมีตุ๊กตาของกรรัมภาวางอยู่ข้างๆบนเตียง

เหนือเรือนรับรอง ในรีสอร์ตติณห์ พระจันทร์เสี้ยวลอยเด่นบนท้องฟ้า ญาณินเอาเสื่อออกมาปู จัดแจงสถานที่ให้พอเหมาะ วิญญาณหลวงพิชัยภักดีกับโกลเดนเบบี๋โผล่ตามมาสนับสนุน
"ตรงนี้แหละดี ใต้ต้นไม้ใหญ่ หันหน้าตะวันออกรับแสงจันทร์"
ติณห์เดินตามออกมามองว่า ญาณินคิดจะทำอะไร เขาเดินเข้ามา
"จะปูเสื่อปิกนิก ชมพระจันทร์กับผมเหรอครับคุณณิน โรแมนติกมากๆ"
"ติณห์ คุณคิดว่าใจคอชั้นเวลานี้ ชั้นจะยังมีอารมณ์กุ๊กกิ๊กได้อีกเหรอ"
ติณห์จับมือให้กำลังใจ
"ไอโนวๆ ญาณิน อดทนหน่อยนะ แม่รักผมและผมก็เชื่อว่าแม่ก็จะรักคุณด้วย เลิฟมีเลิฟมายmother"
"มันเป็นปัญหาของชั้นเองที่จะต้องผ่านไปให้ได้ เพราะชั้นรักคุณ"
ติณห์พยายามพูดช่วยให้ญาณินผ่อนคลาย
"อะไรนะ ไม่ค่อยได้ยิน"
ญาณินน้ำเสียงจริงจัง
"หมดเวลาเล่นสนุกแล้วค่ะ ชั้นต้องการปัญญา เพราะฉะนั้น ชั้นควรมีสติ เพราะสติมา ปัญญาถึงจะเกิด"
"โอ ไอซี แปลว่า ที่คุณไม่มีปัญญา เพราะคุณเสียสตินั่นเอง"
หลวงพิชัยภักดีบอก
"ไอ้ฝรั่งดอง ที่เสียสตินั่นมันตัวแก"
"เฮ้อ...ช่างเป็นฝรั่งที่งงชีวิตจริงๆ" โกลเดนเบบี๋บอก
"คนเราเวลาเจอเรื่องต่างๆในชีวิต ทั้งเรื่องที่ชอบ ไม่ชอบ ถูกใจ ไม่ถูกใจ สำเร็จ ล้มเหลว จิตของเราก็จะกระเพื่อมไหวไปตามอารมณ์ต่างๆจนขุ่นมัว การนั่งสมาธิจะทำให้จิตใจที่วุ่นวาย ได้หยุด นิ่ง เหมือนเราหยุดเขย่าน้ำ แล้ววางตั้งนิ่งไว้ ให้มันตกตะกอนจนใส มองเห็นแยกแยะได้เป็นชั้นๆ เป็นลำดับๆ ว่าไอ้พวกตะกอนขุ่นๆนั้น อะไรเป็นอะไรกันแน่"
"อ๋อ"
ญาณินดีใจ
"นั่นแหละ..เข้าใจแล้วใช่มั้ย"
ติณห์ส่ายหน้า
"เปล่า!"
ญาณินบอก
"มันก็แค่การเปรียบเทียบ ฝรั่งห่างศาสนาอย่างคุณ...คงเข้าใจได้ยาก"
ญาณินนั่งลง พร้อมจะทำสมาธิแล้ว แต่อยู่ๆติณห์นั่งลงมาด้วย ญาณินงง จ้องหน้าประมาณว่าคิดจะทำอะไรไม่ทราบ
"คุณมาดูถูกหาว่าผมไม่ได้เรื่องเหรอ ผมขอเป็นตัวแทนฝรั่งทั่วโลก นั่งสมาธิกับคุณด้วย"
ญาณินยิ้ม ให้กำลังใจ
"ฝรั่งนั่งสมาธิเก่งๆมีถมไป ขอเพียงตั้งใจจริงเท่านั้นค่ะ"

วิญญาณหลวงพิชัยภักดีและโกลเดนเบบี๋เข้ามาดูอย่างทึ่งๆ

ญาณินสอนติณห์ถึงการนั่งสมาธิ

"นั่งหลังตรง เอาขาขวาทับขาซ้าย"
ติณห์จะขาขวามาทับซ้าย เซๆ ยกลำบากๆ แต่ในที่สุดก็ทำได้ มีอาการปวดๆ ตึงๆเล็กน้อย แต่อดทนไว้ ยิ้มสู้ หลวงพิชัยภักดีเอาไม้เท้าตีหลังติณห์
"หลังตรง"
ติณห์สะดุ้ง หลังตรงขึ้นมาได้เอง ทั้งแปลกใจและงงๆ
"แกจะรอดมั้ยเนี่ยไอ้ติณห์"
"หลานใครก็เหมือนคนนั้นแหละค้า คิๆๆ" โกลเดนเบบี๋บอก
ติณห์นั่งในท่าที่ถูกต้องแล้ว ญาณินสอนต่อ
"หลับตา...สมาธิอยู่ที่ลมหายใจ หายใจเข้า ให้คิดถึงคำว่า พุท หายใจออกคิดถึงคำว่า..."
ญาณินยังพูดไม่จบ ติณห์บอก
"พฤหัส"
"ถ้าจะไม่จริงจัง ก็ไปที่อื่นเลย เสียเวลาสอน"
ติณห์แหะๆ ญาณินสอนต่อ
"สมาธิอยู่ที่ลมหายใจ ที่ออกและเข้า ตรงปลายจมูกและเหนือริมฝีปากนี่เท่านั้น แค่นี้ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องคิดลังเล สงสัย วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ อะไรทั้งสิ้น..เข้าใจนะ"
ญาณินหลับตานิ่ง ติณห์นิ่งตาม
"ครับผม"
ติณห์หลับตา ทำตามสเต็ปทุกอย่าง
หลวงพิชัยภักดีบอก
"ในที่สุดเอ็งก็ทำได้ หลานรัก ถึงจะเป็นฝรั่ง แต่เอ็งก็นั่งสมาธิได้ยังกับเกิดเมืองไทยแท้ๆ สมแล้วที่มีสายเลือดข้า"
ติณห์นิ่งได้แว่บเดียว แล้วก็เริ่มยุกยิก มีแมลงมาตอมหู ก็ย่นคอหลบ สะบัดคอไล่ ยกมือมาปัด จนสุดท้ายเจอยุงกัด ติณห์เกร็งมือพยายามจะไม่ยกมาตบ แต่ก็ทนไม่ได้
หลวงพิชัยภักดีกับโกลเดนเบบี๋ร้องพร้อมกัน
"อย่า!"
ติณห์ยกมือมาตบ..เพี๊ยะ!
ญาณินลืมตาถาม
"นายทำอะไร"
"ตบยุง"
"นั่งสมาธิ แต่ตบยุงเนี่ยนะ"
โกลเดนเบบี๋ว่า
"แค่ปัดมันก็ไปแล้วคุณฝรั่ง..."
"ก็ยุงมันมากัด..โอ๊ย!! กัดอีกแล้ว!"
ติณห์จะลุกขึ้นมาตบยุง แต่พอลุกขึ้นมาได้ ขากลับชา เปลี้ย ยืนไม่ได้ เซจนต้องรีบหาที่ยึด"เฮ้ยๆๆ มายเล็คๆ ตะคริวๆ ไอค้านท์ฟีลมายเล็ค..โนฟีลลิ่ง..โนฟีลลิ่ง"
ติณห์โวยวาย ญาณินเซ็ง
"นกกระจอกยังไม่ทันกินน้ำเลย ไอ้ติณห์เอ้ย" หลวงพิชัยภักดีบอก
"ชั้นว่านายไปทำอย่างอื่นเถอะนะ"
"งั้น...ผมเป็นกำลังใจให้แล้วกัน"
ญาณินหลับตา เข้าสู่สมาธิ นิ่ง
ติณห์งงๆ ยังไม่ทันตั้งตัว
"อ้าว คุณณิน..คุณ"
ติณห์เรียกเบาๆ แต่ญาณินนิ่งแล้ว ไม่ลืมตาขึ้นมาอีก ติณห์ยิ้ม ภูมิใจ ญาณินนิ่ง มีออร่าจางๆรอบตัว
โกลเดนเบบี๋บอก
"เจ๊เข้าสู่สมาธิแล้วคุณตา ดูสิ..."
"ใช่...จิตภายในนิ่งมาก ฉันเอาใจช่วยให้เธอหาวิธีแก้ปัญหาและชี้ทางที่ถูกต้องแก่ยัยมิรันตีได้นะ"
ทั้งคู่ยิ้มภูมิใจ หวังความช่วยเหลือจากญาณิน

ติณห์เดินเขย่งๆ ขายังไม่หายชาผ่านด้านหน้าบ้าน แต่แล้วต้องชะงัก เพราะเบญจายืนอยู่ที่ระเบียงบ้าน
"อ้าว เบญจา ที่นี่มียากันยุงมั้ย พี่จะเอาไปจุดให้คุณณินน่ะ"
"ที่นี่ไม่มีหรอกค่ะ"
ติณห์ทำท่าจะไป เบญจาถามขึ้น
"พี่ติณห์คะ ท่าทางพี่ญาณินจะมีปัญหาหนักอกหนักใจมากๆ เลยใช่มั้ยคะ"
"ทำไมถามอย่างนั้น"
"ก็คนเราถ้ามีความสุขดี ไม่มีเรื่องทุกข์ใจ ไม่มีใครคิดนั่งสมาธิหรอกค่ะ"
"ก็..."
ติณห์อ้ำอึ้งตอบไม่ถูกเพราะรู้ว่าที่ญาณินเป็นแบบนี้เพราะมิรันตี
"หนูไม่ได้หมายความเป็นเพราะพี่ติณห์นะคะ หนูแค่พูดลอยๆ"
"เรื่องแม่พี่มันหนักหนามากจริงๆ แต่พี่รู้ว่าญาณินเขาเข้าใจ และเขาจะต้องหาทางผ่านมันไปจนได้ หลังจากเขานั่งสมาธิเสร็จ เขาจะเกิดปัญญาและแก้ไขปัญหานี้ได้"
"ใช่ค่ะๆๆ พี่ณินต้องทำได้แน่"
เบญจาทำท่ามั่นใจในตัวญาณินเต็มที่
"พี่จะเป็นกำลังใจให้เขา"
"เบญจาด้วยค่ะ... เราสองคนมาเป็นกำลังใจให้พี่ณินด้วยกันนะคะ"
เบญจาดีใจ น่ารักๆ คว้ามือติณห์มากุมแบบให้กำลังใจญาณินด้วยกัน ติณห์งงๆ แต่ไม่คิดอะไร
"พี่ณินสู้ๆ"
ติณห์พูดตามเบญจา
"พี่ณินสู้ๆ"

เบญจายิ้ม ติณห์ยิ้มไปด้วย

ใต้ต้นไม้ใหญ่ ญาณินยังคงนั่งนิ่งที่เดิม ท่าเดิม ไม่ไหวติง หลวงพิชัยภักดีกับโกลเดนเบบี๋นอนตะแคงท่าเดียวกัน เป็นพระปางไสยาสน์อยู่ข้างหน้าญาณิน รอว่าเมื่อไหร่จะลืมตา คุณหลวงหาวปากกว้าง
 
"ทำไมหาว เป็นผีง่วงนอนได้ด้วยเหรอคุณตา"
"ไม่ได้หาวง่วง แต่หาวเบื่อ นี่มันจะสองชั่วโมงแล้วนะ แม่หนูญาณินแอบหลับไปแล้วหรือเปล่า"
"ฮ้าว"
"อะไร"
"อย่าดูถูกเจ๊จีจ้าของหนู...สถิติที่เคยทำไว้คือ นั่งสมาธิต่อเนื่องหกชั่วโมง สี่สิบสองนาที สามสิบสามวินาทีนะคะ ขอบอก"
"แล้วจะรู้ได้ยังไงว่า หนูณินจะเลิกนั่งสมาธิตอนไหน"
"เมื่อจิตนั่งอยู่ในความว่าง อารมณ์เดียว เมื่อถึงเวลาแล้วความสว่างไสวด้วยแสงแห่งปัญญาก็จะเกิดขึ้นมาเอง เรียกง่ายๆว่า เมื่อปิ๊งอ่ะค่ะ ปิ๊ง เข้าใจป่ะคะ"
"ก็แล้วเมื่อไหร่ล่ะ"
"ไม่รู้ค่ะ"
"อ้าว!"
คุณหลวงหาวรอเซ็งๆ แล้วก็ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบดังแว่วมา พอหันไป ก็เห็นติณห์กับเบญจาเดินย่องๆเข้ามาด้วยกัน ให้เกิดเสียงน้อยที่สุด
"อย่าเข้าไปใกล้พี่ญาณินมาก เดี๋ยวรบกวนสมาธิ...แถวๆนี้ก็พอค่ะพี่ติณห์"
ติณห์เอาเสื่อมาปู กะจะนอนรอ
"พี่จะอยู่เป็นกำลังใจให้คุณณิน จนกว่าคุณณินจะลืมตา ต่อให้ทั้งคืน พี่ก็สู้"
"เบญจาสู้ด้วยค่ะ"
"เยี่ยม"
เบญจายกมือรอปะมือ ติณห์ก็ลืมตัวปะมือกัน...เสียงดังแปะ!
ติณห์คอย่น ลืมตัวไปที่ทำเสียงดัง "ชู่ว์ๆ"
หลวงพิชัยภักดีแว่บมาตรงหน้าติณห์
"ชิชะ ไอ้มารผจญคู่นี้ จะมาให้กำลังใจหรือมาดูโชว์กันแน่ ไม่เอาขนมนมเนยมานั่งกินด้วยเลยล่ะ"
เบญจากระซิบติณห์แล้วหยิบกระปุกขนมออกมา
"เบญจาเอาขนมมาด้วยค่ะ จะได้ไม่ง่วงไงคะ"
"มันเอามาจริงๆด้วยเว้ย"
"คุณตาไปทักเขาเองนี่นา"
ติณห์อ้าปากว้างแบบไม่มีเสียง เบญจาส่งกระปุกให้ติณห์ช่วยเปิด ติณห์รับมา เป็นฝางัดแบบฝาปี้บ ติณห์ออกแรงเบาๆ แต่ฝากลับดังป๊อก และฝากระเด็นลอยไปตกใกล้ๆญาณิน
ติณห์กับเบญจาคอย่น นึกว่าซวยแล้ว แต่พอเห็นญาณินนิ่งอยู่ได้ ทั้งคู่ก็โล่งอก หันมายิ้มคิกคักกันเบาๆ
คุณหลวงเอะใจ ที่เห็นติณห์กับเบญจาดูใกล้ชิดกัน
"ไอ้ติณห์...ข้าว่ามันชักจะมากไปแล้วนะ ห่างๆ หน่อย"
โกลเดนเบบี๋นึกว่าหลวงพิชัยภักดีห่วงเรื่องสมาธิของญาณิน
"คุณตาไม่ต้องห่วง เจ๊ไม่หลุดสมาธิง่ายๆหรอก ทนทาน...หายห่วง"
"ชั้นไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น ชั้นห่วง..."
แล้วทันใด ญาณินค่อยๆลืมตาขึ้นมา สีหน้านิ่ง แววตาฉายแววพึงพอใจ คิดทางออกได้
"พี่ณินลืมตาแล้ว!"
เบญจากับติณห์วิ่งผ่านหน้าวิญญาณทั้งสองไปหาญาณิน
"เป็นไงบ้างคุณณิน"
"ติณห์...ชั้นคิดออกแล้ว ว่าทำยังไงถึงจะเอาชนะใจแม่ของคุณได้"
ญาณินยิ้มแบบมีเมตตา เข้าใจในปัญหา ก่อนเดินแยกไป ติณห์งง

ญาณินเดินกลับเข้ามาในบ้าน ติณห์ตามตื๊อมาถาม
"คุณณินๆๆ..คุณจะไม่บอกผมหน่อยเหรอว่า คุณคิดแผนอะไรได้ แล้วผมต้องช่วยอะไรบ้าง ผมจะได้เตรียมตัว"
"คุณไม่ต้องทำอะไรเลยค่ะ"
"แต่ผมอยากรู้อ่ะ"
"พรุ่งดีกว่านะ คุณกลับไปนอนพักผ่อนเถอะ"
"คุณไล่ผมกลับบ้านเหรอครับ"
"กลับดีกว่าค่ะ แม่คุณอาจจะรอคุณอยู่ก็ได้นะคะ ทำตัวปกติ Good boy นะคะ Good night"
ญาณินแยกเข้าบ้านไป ติณห์ได้แต่มอง เบญจาตามเข้ามา
"เดี๋ยวหนูเป็นสายลับให้เองค่ะ ถ้าได้ข้อมูลแล้ว จะรีบโทรรายงานนะคะ"
"เออ...ดีเหมือนกัน ฝากญาณินด้วยนะ"
เบญจากับติณห์ปะมือกันอีก เธอตามญาณินเข้าไป ติณห์มองตามด้วยความอยากรู้อยากเห็น ก่อนจะเดินจากไป เหลือหลวงพิชัยภักดียืนมองอยู่ พลางถอนหายใจยาว
"ถอนหายใจบ่อยจังคุณตา เอะอะก็เฮ้อๆๆๆ ทำตัวเป็นคนแก่ไปได้"
"ก็มันมีเรื่องให้คิด"
"เรื่องอะไร"
หลวงพิชัยภักดีไม่ตอบ เดินแยกไป
"อ้าว แล้วจะไปไหน"
"ไปทำจิตภาวนา...ต้องจัดระเบียบจิตด่วน ฟุ้งซ่าน ปั่นป่วน เตลิดกระเจิดกระเจิง เกินจะทนไหวแล้ว"
"เห็นไหมอ่ะ...ถ้าไม่เกิดความทุกข์ก็ไม่หันหาธรรมกัน"

เบญจาตามญาณินเข้ามา
"พี่ณินจะจัดการคุณมิรันตียังไงคะ"
"ไม่ใช่จัดการเขาหรอก ใช้คำซะแรงเลย เหมือนจะไปสู้รบกัน"
"หนูมั่นใจว่า พี่ณินจะสู้ จะไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมอยู่ภายใต้การกดขี่ข่มเหงของใคร ถึงเขาจะเป็นแม่คนรักก็เถอะ เขาก็ต้องให้เกียรติ มีมารยาทกับพี่..ถ้าเขาแรงมา พี่ก็ต้องแรงตอบ แลกกันหมัดต่อหมัด ตาต่อตาฟันต่อฟัน เขาจะได้รู้ว่าพี่ไม่ใช่คนที่จะยอมให้เขารังแกง่ายๆ"
"เบญจา"
"อะไรคะ"
"อย่าฟุ้งซ่าน อย่าปรุงแต่ง อย่าจินตนาการ...อ๋อ ยังไงก็ขอบใจที่พยายามจะช่วยพี่แก้ปัญหานะ...ไปนอนได้แล้วเราน่ะ"
"ค่ะ"
"กู๊ดไนท์จ้า"
เบญจาวิ่งเข้าไปกอดญาณินเหมือนที่พึ่งสุดท้าย ญาณินรู้สึกดี

เช้าวันใหม่ จองกุ๊กเดินมา...2 มือหอบเอาตุ๊กตา ของขวัญมากมายจากแฟนคลับจนท่วมหัว แทบไม่เห็นหน้ามาที่หน้าห้องพักผู้ป่วย
ภายในห้องพักจุนจี ลีจองกุ๊กเปิดประตูเข้ามา
"โอ๊ะ...คุณลีจองกุ๊ก หอบอะไรมาเนอะแยะ ผมช่วยไหมครับ" ณัฐเดชบอก
ณัฐเดชอยู่ในห้องคอยดูแลปาร์คจุนจีแทนลีจองกุ๊กชั่วคราว
"ไม่เป็นไรกับ คุงศา-ลา-วัด"
"สารวัตรครับ"
"ศาลา...วัด"
"เอ่อ...ช่างเถอะครับ"
"กอบคุงที่ช่วยอยู่ดูแลจุนจีแทนผมมาทั้งคืน คัมซาฮัมนีดา"
"ยินดีครับ มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะครับคุณลีจองกุ๊ก ตำรวจไทยยินดีช่วยเหลือคนเกาหลีเต็มที่"
"กอบกุนคับศา-ลา-วัด อ่อ...แล้วคุณหมอว่ายังไงบ้างกับ"

"หมออนุญาตให้…"
 
อ่านต่อหน้า 2

สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 3 (ต่อ)

ปาร์คจุนจีที่เปลี่ยนชุดแล้วสวมแจ๊กเก็ตออกจากห้องน้ำ

"หมอบอกว่าฉันไม่เป็นอะไร"
"มั้ยความว่าไง"
"ก็หมายความว่า ชั้นออกจากโรงพยาบาลได้"
ลีจองกุ๊กอารมณ์พุ่งทันที ทิ้งของแฟนคลับทั้งหมดให้ณัฐเดชดูแล นายตำรวจรับแทบไม่ทัน ของบางชิ้นหล่นพื้นโครมคราม ลีจองกุ๊กปรี่เข้าหาจุนจีทันที
"แล้วที่นายได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้องโหยหวนในหูและก้องไปทั้งหัวกะโหลกนายล่ะนายจะอธิบายว่ายังไงห่ะ"
"หมอตรวจครบทุกอย่างแล้ว รวมทั้งสแกนสมองก็ไม่พบอะไร หมอเลยสรุปว่าฉันอาจจะทำงานหนักเกินไป อยู่กับเสียงที่ดังหลายๆเดซิเบล...พวกเสียงเครื่องดนตรี เสียงลำโพง เสียงไมค์หอน มานาน ทำให้หูฉันได้รับคลื่นเสียงถี่ๆเข้า หูฉันมันก็เลยเพี้ยน หวีดขึ้นมาเอง เฮ่ย!ช่างมันเหอะน่า"
"ช่างได้ไง! ฉันว่าที่หมอตรวจไม่เจออะไร ก็เพราะนายโดนของ"
"ของอะไรวะ"
ณัฐเดชที่ยืนถือของแฟนคลับ เหลือบตามองทั้งคู่ไม่กระพริบ
ลีจองกุ๊กคิดแล้วบอก
"ของ...ของที่พวกแฟนคลับทำเสน่ห์ใส่นายไง เออ...เป็นไปได้นะ"
ลีจองกุ๊กหันไปหาณัฐเดช
"เค้าว่าเมืองไทยมีพวกหมอไสยศาสตร์เยอะ จริงไหมกับคุณศาลาวัด"
"เอ่อ..." ณัฐเดชยังไม่ทันตอบ
จุนจีสุดทน
"ไอ้กุ๊ก!"
"เย้ย...ฉันผู้จัดการดารา ม่ายช่ายกุ๊ก"
"เอ่อ...โทษนะครับ"
"แต่ถ้านายยังไม่หยุดพูดเรื่องไสยศาสตร์ไร้สาระ ต่อไปฉันจะเรียกนายว่าไอ้กุ๊กไก่ ไสยศาสตร์มีจริงที่ไหน อย่ามาเพ้อเจ้อ"
"เฮ้ย...อย่าทำเป็นเล่นไป เราน่าจะไปหาอาจารย์ชื่อดังช่วย"
ณัฐเดชพยายามจะพูดแนะนำทั้งคู่เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ไม่มีใครสนใจ
ลีจองกุ๊กพูดไม่ทันจบ ปาร์คจุนจีก็หันมาดีดนิ้วทำเสียงเรียกไก่กวนทีนใส่
"กู๊ก กุ๊กๆๆๆ"
ลีจองกุ๊กฉุนกึก
"ตามใจ! เกิดนายถูกผีเข้าขึ้นมา อย่ามาง้อฉันแล้วกัน"
"กู๊ก...กุ๊กๆๆ"
"เว้ย! ไม่พูดแล้วก็ได้"
ณัฐเดชดูท่าทางไม่ค่อยไหว เลยเลือกที่จะไม่พูด และค่อยๆวางของแฟนคลับลงบนโต๊ะก่อน ออกไปจากห้อง ปาร์คจุนจียิ้มออก เมื่อได้แกล้งลีจองกุ๊ก ผู้จัดการคู่ทุกข์คู่ยาก แล้วทรุดนั่งลงไขว่ห้างที่โซฟา
"ยิ้มไร! เอาของนายไป แฟนคลับฝากมาให้ ...อ้าว ศาลาวัด!"
ลีจองกุ๊กหงุดหงิดวางกองตุ๊กตาโครมใส่ปาร์คจุนจี แล้วก็หันไปเก็บข้าวของ จำพวกไอโฟน ไอพ็อด หูฟัง ที่ชาร์ตแบต ให้ที่เตียง แล้วตาก็เห็นตุ๊กตาใส่ถุงมือของกรรัมภาที่แอบเอาเข้ามาวางอยู่ข้างหมอน ลีจองกุ๊กคว้าตุ๊กตาโยนไป
"นี่ก็ด้วย"
"เฮ้ย"
ปาร์คจุนจีรับตุ๊กตาไว้แทบไม่ทัน มองตุ๊กตา แล้วสมองก็นึกคลับคล้ายคลับคลาว่า เจออะไรเมื่อคืน ...ปาร์คจุนจีครึ่งหลับครึ่งตื่น เห็นกรรัมภากำลังประคองหน้า แล้วหน้ากรรัมภา ว้าบ... เป็นหน้าพิมพ์พิลาศ ปาร์คจุนจีสยอง...โยนตุ๊กตาทิ้งอย่างช็อก
"ฮอก!" (คือ “เฮื๊อก” ในภาษาไทย)

ขณะเดียวกันณัฐเดชกำลังเดินจะออกจากโรงพยาบาล เสียงมือถือก็ดังขึ้น
"ฮัลโหล...ว่าไงจ่า มีเหตุด่วนอะไร"
ณัฐเดชฟังสาย ทันใด... ใบหน้าตึงเครียดขึ้นมาทันที
"มีผู้หญิงกำลังจะกระโดดสะพานลอยฆ่าตัวตาย เฮ้ยจ่า...จ่าอยู่ในที่เกิดเหตุ ก็รีบเข้าไปห้ามไปเกลี่ยกล่อมเค้าซี จ่าโทรมาตามผมทำไม"
ณัฐเดชรอฟังคำตอบอีกฝั่งอยู่ จากที่เครียดธรรมดา คราวนี้ใบหน้ากลับตกใจ หน้าซีดเผือด นิ่งไปสองวินาที
"ห๊า!!... ผมจะไปเดี๋ยวนี้"
ณัฐเดชวางโทรศัพท์ แล้ววิ่งออกไป

ณัฐเดชรีบวิ่งไปที่รถตัวเองที่ลานจอดรถโรงพยาบาล ด้วยใจห่วงแทบบ้า
"อย่าทำอะไรบ้าๆนะ... พี่กำลังไปแล้ว โธ่เว้ย...รถใครเนี่ย"
บริเวณลานจอดรถมีรถจอดขวางรถณัฐเดชอยู่ในซองจอดรถ เขารีบเข็นรถคันนั้นออกอย่างเร่งรีบ ยามคนหนึ่งรีบวิ่งมาช่วยเข็น
"ขอบคุณนะยาม"
ณัฐเดชเปิดประตูสตาร์ทเครื่อง
"พี่กำลังไป...รอพี่ก่อน"
ณัฐเดชร้อนใจแทบคลั่ง ออกรถอย่างเร็ว

ภายในนิติเวช หมอวรวรรธกำลังเก็บเครื่องไม้เครื่องมือ ถอดเสื้อกราวน์แขวน พลางมองนาฬิกาข้อมือ
"ป่านนี้คุณเนตรยังไม่มาอีก เกิดเรื่องอะไรรึปล่าว"
สีหน้าวรวรรธนึกห่วง กังวล พลางหยิบเสื้อหนังมาใส่ เสียงเคาะประตูดังขึ้น เขารีบเปิดประตูยิ้มนึกว่าเป็นเนตรสิตางศุ์
"คุณเนตร"
แต่วรวรรธต้องยิ้มค้างเมื่อผู้อยู่ตรงหน้ากลับกลายเป็นพงอินทร์แทน
"หวัดดีครับหมอ ท่าทางหมอกำลังเลิกงานพอดีเลย"
"ครับ วันนี้ผมเลิกเร็ว คุณโจ้มีหลักฐานเพิ่มเติมอะไรมาให้ผมเหรอครับ"
"โอ้โห...หมอนี่เดาแม่นจริงๆ ผมกำลังจะชวนหมอไปเอาหลักฐานด้วยกันอยู่ทีเดียว ไปครับ"
พงอินทร์คว้าแขน วรวรรธดึงแขนกลับทันที
"เฮ้ยๆๆ คุณอย่ามั่วนิ่มดิ ใครบอกว่าผมจะไปกับคุณ"
"หลักฐานชิ้นสำคัญคือ..."
พงอินทร์เอาโทรศัพท์มากด ให้ดูรูปรถในอู่รถที่ไปถ่ายมา วรวรรธดูรูปแล้วผงะ เหมือนมีพลังบางอย่างวาบออกมา
"รถคันนั้น...คันที่พี่ผมขับไปตกน้ำวันเกิดเหตุ อาจจะมีวิญญาณ หรือพลังงานอะไรสักอย่าง..แอบแฝงอยู่..ก็เป็นได้... หมอไม่อยากไปดูมันเหรอ ตอนนี้รถคันนั้นมันจอดอยู่ที่อู่รถ แต่ทำยังไงเจ้าของอู่มันก็ไม่ยอมขายให้ผม ผมถึงต้องมาง้อหมอให้ไปช่วย"
"ไม่ใช่ผมไม่อยากช่วยนะคุณโจ้ แต่คุณมาผิดวันแล้วครับ"
"มีนัดเหรอครับ โธ่... เลื่อนนัดไม่ได้เหรอหมอ"
"อ้าว...คุณโจ้ นัดของผม นัดวันนี้สำคัญกับชีวิตผมมากครับ ไม่ใช่เอามาพูดเล่นแบบนี้"
"การตายของพี่สาวผม ก็สำคัญกับผมเหมือนกัน ผมไม่ได้พูดเล่นครับ" พงอินทร์พูดจาขึงขัง
วรวรรธเห็นพงอินทร์จริงจัง เลยเปลี่ยนมาพูดจริงจังด้วย

"ผมขอโทษจริงๆ คุณโจ้ วันนี้ไม่ได้จริงๆ ไว้วันอื่นนะครับ หรือไม่คุณก็โทรไปขอให้สารวัตรณัฐเดชช่วยแทน"

รถณัฐเดชจอดริมถนนบริเวณที่เกิดเหตุ
 
เขารีบลงรถ ข้ามถนน หลบรถที่แล่นสวนไปมา แล้วรีบวิ่งกระหืดกระหอบมาถึงสะพานลอยเชื่อมตึกที่เกิดเหตุ แล้วเมื่อมองขึ้นไปบนสะพานลอย ก็เห็นสุพิชชายืนตาลอยอยู่ข้างบน โดยใช้มือข้างเดียวจับราวสะพาน ขา 2 ข้างเหยียบอยู่บนซี่เหล็กราวสะพาน มืออีกข้างกวัดแกว่งไปมาอยู่ข้างหน้า ทำให้ตัวเอนมาข้างหน้าเหมือนจะตกไม่ตกแหล่ สร้างความหวาดเสียวให้กับเหล่าไทยมุงข้างบนที่มีตำรวจคอยกัน และเกลี่ยกล่อมสุพิชชาอยู่
ณัฐเดชวิ่งขึ้นบันไดแบบไม่คิดชีวิต
"พีช... พี่มาแล้ว!"
สุพิชชาหันมองตาลอย
"โน่นไงครับสารวัตรณัฐเดชที่คุณอยากเจอตัว ผมตามมาให้แล้ว" จ่าบอก
"พี่อยู่นี่...พีช...พีช"
สุพิชชาหันไปมอง
"พี่ณัฐเหรอ"
พอหัน ตัวสุพิชชาก็เอนลงไปด้วย ทำเอาไทยมุงกรี๊ดตกใจ
"พีชระวัง!"
แต่มือสุพิชชาอีกข้างคว้าราวระเบียงไว้ทัน ณัฐเดชโล่งอก มองสุพิชชาที่กำลังมองเขาด้วยแววตาตาลอยๆ
"จับไว้นะพีช! จับไว้ให้แน่นๆ อย่าโดดลงไปมานะ ได้ยินไหม อย่าปล่อยมือ"
สุพิชชาฟังณัฐเดชพูดแล้วก็เริ่มร้องไห้ออกมาอย่างอัดอั้นดูน่าสงสารมาก

เนตรสิตางศุ์รีบร้อนมาที่นิติเวช เดินดูนาฬิกาข้อมือไป
"สายอีกแล้วเรา..แย่จังๆ แต่หมอคงไม่ว่าอะไรเนตรหรอกเนอะๆ"
"35นาที11วินาที!"
เนตรศิตางศุ์หยุดวิ่งกึก หันไปมอง เห็นหมอวรวรรธยืนกอดอกพิงเสารออยู่ สีหน้างอนๆ
"อุ้ย! เนตรมาช้าขนาดนั้นเชียวเหรอคะ"
หมอวรรธฝืนหัวเราะใส่
"เหอะๆๆ"
เนตรสิตางศุ์หัวเราะน่ารักใส่
"ฮ่ะๆๆ"
"ไม่ตลกเลย! ตั้งแต่เราเป็นแฟนกันมา เนตรชอบมาสายให้ผมรอตลอดเลย"
"แต่การรอคอยมักมีค่าเสมอนะคะหมอ"
"รอวันไหนก็รอได้ ทำไมต้องให้ผมมารอวันนี้ด้วยล่ะครับ"
"เอ๊า!แล้วทำไมวันนี้หมอจะรอเนตรไม่ได้ล่ะคะ ก่อนหน้านี้หมอเคยบอกว่า นานแค่ไหนก็รอได้งัย"
เนตรสิตางศุ์ทำเป็นไม่รู้ว่า วันนี้เป็นวันเกิดหมอวรวรรธ
"เฮ่อ ช่างเถอะ"
หมอวรวรรธถอนใจเดินไป เนตรสิตางศุ์เดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตามไปเมื่อนึกถึงแผนเซอร์ไพรส์ที่เตรียมไว้
เนตรสิตางศุ์พูดกับตัวเอง
"งอนซะด้วย"

บนสะพานลอย ณัฐเดชเดินเข้ามาใกล้สุพิชชาที่ยังยืนโงนเงนหันหลังให้ ตามองออกไปนอกสะพานลอยอยู่ จ่ากับตำรวจกันเหล่าไทยมุงไม่ให้เข้าใกล้ ทั้งหมดมองลุ้นๆ ณัฐเดชเดินเข้ามาใกล้สุพิชชาอย่างช้าๆ ระมัดระวังๆ ใจคอไม่ค่อยดี เพราะโอกาสสุพิชชาจะกระโดดลงไปมีค่อนข้างสูง
"ออกไปไกลๆ"
"พีช..."
"บอกให้ออกไป อย่ามายุ่งกับฉัน"
"นี่พี่เอง! พีชอยากเจอพี่ไม่ใช่เหรอ พี่มาแล้วไง"
สุพิชชามองหา
"พี่ณัฐ....พี่ณัฐ....พี่ณัฐมาแล้ว"
"พี่อยู่ทางนี้ หันมามองซิ ช้าๆนะ"
สุพิชชาค่อยๆหันตัวมาอย่างโงนเงน ทันใดนั้นตัวเหมือนจะร่วงลงไป เหล่าไทยมุงกรีดเสียงร้อง
ณัฐเดชตกใจ
"ช้าๆพีช!"
สุพิชชาหันมาหยุดมองมาที่ณัฐเดช
"พี่ณัฐ...จริงๆเหรอ"
"ใช่ นี่พี่ไง พีชอยากเจอไม่ใช่เหรอ มาซี เดินเข้ามาหาพี่…เดินมาซิ"
สุพิชชาส่ายหน้า
"ไม่จริง...ไม่! พี่ณัฐไม่มีวันมาหรอก พี่ณัฐไม่อยากเจอหน้าพีช พี่ณัฐเกลียดพีช พี่ณัฐเกลียด...ฮือๆๆ"
"ปล่าวนะพีช...พี่ไม่เคยเกลียดพีช"
"ไม่จริ๊ง! พี่ณัฐเกลียดผู้หญิงหลายใจคนนี้...เกลี๊ยด"
"พี่ไม่เคยเกลียดพีช ได้ยินมั้ย ไม่เคยแม้แต่จะคิด ต่อให้พีชทำร้ายหัวใจพี่มากแค่ไหน พี่ก็จะไม่มีวันเกลียดพีช"
สุพิชชาดูเหมือนจะสงบลง
"พี่ณัฐ… ใช่... พี่ณัฐคนดีของพีชจริงๆ ฮือๆๆ"
"ไม่ต้องร้องไห้ ขอพี่เดินเข้าไปหานะ ได้มั้ย ขอพี่เดินเข้าไปนะ"
สุพิชชาส่ายหน้า
"พี่อย่ามายุ่งกับพีชเลย พีชเป็นคนไม่ดี"
"พีช!"
"อย่าเข้ามา!"
สุพิชชายืนโงนเงนๆ ตาเหมือนจะหลับคล้ายจะเป็นลม แล้วตัวก็เอนจะล้มร่วงลงไป
"พีช!"
ณัฐเดชถลาเข้าไปรับสุพิชชากอดไว้ทัน
สุพิชชาหมดสติอยู่ในอ้อมกอด ณัฐเดชกอดสุพิชชาไว้แน่น เขายังรักเธอสุดหัวใจ ตำรวจที่อยู่ใกล้รีบวิ่งเข้ามาช่วยทั้งคู่

หมอวรวรรธขี่มอเตอร์ไซด์พาเนตรสิตางศุ์ไปพัทยา แต่เธอต้องง้อวรวรรธไปตลอดทาง ด้วยการยื่นนิ้วก้อยไปขอคืนดี เอานิ้วเขี่ยแก้มหมอ ส่งอมยิ้มให้ แต่หมอไม่เอา เนตรสิตางศุ์เลยต้องเอาอมยิ้มมาอมเสียเอง

หมอวรวรรธขี่พาเนตรสิตางศุ์มาถึงชายหาด หมอจอดรถ เธอลงมายืนชู 2 มือขึ้นอย่างสดชื่นมองไปที่ทะเลอย่างดีใจ

"ถึงแล้ว คิดถึงทะเลที่สุดเลยค่า"
"ใช่ซิ คิดถึงทะเล แต่ไม่คิดถึงคนพามา"
วรวรรธถอดหมวกกันน็อกลงจากรถเดินไปที่ชายหาดอย่างงอนๆ เนตรสิตางศุ์รีบเดินตามมาง้อ
"หมออ่ะ จะงอนไปถึงไหนกัน เนตรง้อตั้งแต่กรุงเทพจนถึงที่นี่ เมื่อยไปหมดแล้วนะ"
"ก็วันนี้ผมตั้งใจพาเนตรมาที่นี่เพราะ...เพราะ..."
วรวรรธไม่หยุดพูดต่อเพราะจะลองดูว่าเนตรจำวัดเกิดเขาได้ไหม เนตรสิตางศุ์ทำไม่รู้
"เพราะอะไรคะ...วันนี้เป็นวันสำคัญอะไรของหมอเหรอคะ"
วรวรรธโกรธจริง
"นี่เนตรไม่รู้จริงๆเหรอห่ะ"
"ก็หมอไม่บอก เนตรจะไปรู้เหรอ หมอบอกเนตรมาดิ วันนี้วันอะไรเหรอ"
"ช่างเถอะ...จะวันอะไรก็ช่าง"
หมอวรวรรธงอนเดินหนีไม่ยอมบอก เนตรสิตางศุ์เดินตามหลังมา
"บอกมาเถอะหมอ"
"ไม่บอก"
"บอกหน่อยนะ...นะๆๆ"
"ก็บอกแล้วไงว่าไม่บอก"
"ไม่บอกใช่ไหม งั้นเนตรจะโดดลงทะเล"
หมอวรวรรธทำเป็นไม่สน....
"ถึงลงทะเลก็ไม่บอก..ไม่สน"
วรวรรธหยุดเดิน แต่ทำใจแข็งไม่หันกลับไปมอง แม้จะไม่มีเสียงเนตรสิตางศุ์ตอบโต้มา
"คุณอย่ามาขู่ผมเลย"
ทุกอย่างยังคงเงียบ
"เนตร...เนตร"
วรวรรธชะงัก ตกใจ หันกลับไปแต่ไม่เห็นเนตรอยู่ตรงนั้นแล้ว
"คุณเนตร! คุณเนตร"
หมอวรวรรธใจไม่ดี รีบวิ่งไปที่ทะเล แต่ไม่พบเนตรสิตางศุ์
"คุณอยู่ไหน คุณเนตร! อย่าเล่นอย่างนี้นะ ผมยอมบอกแล้ว คุณเนตร"
เสียงเนตรสิตางศุ์ร้องเพลงลอยมาตามลม วรวรรธหันไปมองพบเนตรร้องเพลงอยู่บนชายหาดแล้วเต้นพรีเซนต์อย่างสวยงามน่ารัก หมอตกตะลึง อึ้ง ซึ้งสุดๆ
เนตรสิตางศุ์ร้องเพลงจบ เข้ามาหาหมอ ยื่นการ์ดให้หมอ
"แฮปปี้เบิร์ธเดย์ค่ะหมอ"
วรวรรธซึ้ง เสียงสั่น ปลื้มใจ น้ำตาคลอ
"ผมนึกว่าคุณ..."
"นึกว่าเนตรลืมลืมได้ไงคะ...เปิดการ์ดดูสิคะ"
หมอวรวรรธเปิดการ์ดออกดู เป็นการ์ดที่เนตรวาดรูปการ์ตูนเป็นตัวเองและหมอวรวรรธน่ารักๆ พร้อมคำอวยพร
วรวรรธอ่านการ์ด
"ขอให้หมอไม่เจ็บไม่ไข้ การงานก้าวหน้าและ...มีเนตรอยู่ในใจคนเดียว"
วรวรรธมองหน้าเนตรสิตางศุ์ รอยยิ้มของเธอที่ทำให้เขาสดชื่นเสมอ ทั้งคู่กอดกัน
"ผมจะแน่วแน่ และ มั่นคง กับความรักของเราตลอดไป"

ภายในห้องพักพิเศษในโรงพยาบาล ณัฐเดชนั่งมองสุพิชชาที่ยังนอนหลับอยู่บนเตียง ในสภาพที่เห็นทำให้เขาครุ่นคิดหลายอย่างในสมอง เธอขยับตัวค่อยๆ รู้สึกตัวตื่นขึ้น เขามีสีหน้าโล่งอก...แต่ยังคงนั่งมองนิ่ง เธอลืมตาขึ้นมองไปรอบๆห้อง แล้วตามาหยุดที่เขา
"พี่ณัฐ! ทำไมพี่มาอยู่กับพีช"
"พีชจำอะไรไม่ได้เลยเหรอ"
สุพิชชายันตัวลุกขึ้นนั่ง ยกมือจับหัว
"จำอะไร..ทำไมพีชต้องจำอะไร พีชไม่อยากจำอีกแล้ว พีชอยากลืม"
"พีช..ร่วมมือหน่อยสิครับ เพื่อตัวของพีชเองนะ เท่าที่จำได้ครั้งสุดท้าย พีชทำอะไร อยู่ที่ไหน ลองคิดซิ"
ณัฐเดชพูดเหมือนกำลังสอบสวนคนที่ตัวเองรักมากกว่าสอบสวนโจร เธอคิด
"เอ่อ...พีชจำได้ว่า มันเบื่อ มันไม่มีอะไรทำ พีชก็เลยไปเดินช้อปปิ้งที่ห้าง แล้ว..แล้วพีชก็รู้สึกอึดอัด เพราะคนเยอะมาก มีแต่คนๆๆ ทุกคนมากับเพื่อน หรือแฟนของเค้า แม้แต่คนหน้าตาทุเรศๆ เค้าก็มีคนที่หน้าตาอุบาทว์พอๆ กันมาเดินจูงมือ..ถือกระเป๋าให้"
เธอหัวเราะออกมาแบบขำจริงๆ ณัฐเดชรู้สึกอึ้ง ใจหายวาบด้วยความเวทนา
"ตลกที่สุดเลย พีชก็เลยถามตัวเองว่า นี่เรามาทำอะไรที่นี่เหรอ เรามาทำอะไรที่นี่ แล้วพีชก็หายใจไม่ออก พีชอยากออกไปข้างนอก ไปให้พ้น ไปสูดอากาศ พีชต้องไปสูดอากาศ แล้วหลังจากนั้น พีชก็จำอะไรไม่ได้แล้วค่ะ"
สุพิชชาหันมายิ้ม ใสซื่อ หัวเราะเบาๆ ขำๆ ณัฐเดชมองอึ้ง ยิ่งเธอเล่าแบบขำๆ ใสๆ ไม่สงสารตัวเอง ไม่ฟูมฟาย ก็ทำให้เขายิ่งเศร้ามากขึ้น เขาลุกขึ้นตัดสินใจ หยิบขวดยาเล็กๆในกระเป๋าแจ็คเก็ต ยื่นมาตรงหน้า
"พี่เจอยากดประสาทแล้วก็ยานอนหลับนี่อยู่ในกระเป๋าพีช พีชกินเข้าไปกี่เม็ดล่ะ"
สุพิชชาตกใจ
"แล้วพี่มายุ่งอะไรกับพีช เอาของพีชคืนมา"
สุพิชชาเอื้อมมือมาแย่ง ณัฐเดชถอย ไม่ยอม เธอถึงกับลงมาจากเตียง พยายามแย่งยา แล้วจะล้ม จนเขาต้องเก็บยาใส่กระเป๋ากางเกง แล้วประคองกอดไว้
"ปล่อยค่ะ"
สุพิชชาร้องไห้
"พีชเป็นเจ้าของโรงพยาบาล คุณพ่อก็เป็นหมอ พีชน่าจะรู้ว่า ยาพวกนี้มันอันตราย"
สุพิชชาสวน
"พีชไม่มีคุณพ่อแล้ว พี่หยุดพูดถึงท่านเสียทีได้ไหม ตอนนี้พีชไม่มีใครทั้งนั้น พีชต้องแข็งแกร่ง พีชต้องอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง ตนคือที่พึ่งแห่งตน คนอื่นไม่เกี่ยวเข้าใจนะคะ ว่าคนอื่นไม่เกี่ยว"
สุพิชชาจ้องหน้าณัฐเดชแล้วร้องไห้ออกมา ยิ่งทำให้เขารู้สึกสงสารเห็นใจ ยิ้มขมขื่น
"นี่เหรอ อยู่ได้ด้วยตัวเอง นี่เหรอ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน พีชใช้ยาอันตรายเป็นที่พึ่งต่างหาก"
"แล้วพี่ณัฐมาเดือดร้อนอะไรด้วย เราต่างคนต่างอยู่ค่ะ ต่างคนต่างไป ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน"
"พีชคิดว่าเราเป็นเพื่อนกัน เป็นพี่น้องกัน ไม่ได้เหรอ"
"พีชไม่ต้องการเพื่อน ส่วนพี่ณัฐ ก็มีน้องเป็นของตัวเองอยู่แล้ว"

สุพิชชาทิ้งตัวลงนอนหันหลังให้ เขาเดินเปิดประตูออกจากห้องไปด้วย.สีหน้าเจ็บปวด สุพิชชาเปลี่ยนมายิ้มร้าย...ก้าวแรกของการแก้แค้นได้เริ่มขึ้นแล้ว

รีสอร์ตติณห์ ที่กาญจนบุรี ติณห์กำลังคุยโทรศัพท์มือถือกับเอเย่นต์ต่างชาติที่จะนำลูกค้า VIPเดินทางมาพักผ่อนที่รีสอร์ต ระหว่างนั้นทนายสมชาติเดินถือแฟ้มเข้ามาในห้อง
 
ติณห์พูดเป็นภาษาอังกฤษ ใจความว่า
"ใช่ครับ บริการรถรับส่งจากสนามบินถึงที่พัก มีอาหารเช้าให้ทุกวันและจัดปาร์ตี้เลี้ยงอำลาให้ในคืนที่จะเดินทางกลับวันรุ่งขึ้น ถ้าสนใจเข้าไปดูที่เว็บไซต์ของเราได้เลยครับ ใช่ครับ... สวัสดีครับ"
ติณห์กดวางสายแล้วยก 2 มือดีใจร้อง "วู้!" ทนายสมชาติยก 2 มือดีอกดีใจไปด้วย
"วู้! เจ้านายแฮปปี้ ลูกน้องก็แฮปปี้ วันนี้เอเจนซี่ติดต่อเข้ามากี่รายแล้วล่ะครับ คุณติณห์"
"อืม..."
ติณห์ทำเป็นนับนิ้ว 10 นิ้ว ทนายสมชาติมอง ทำหน้าฮู้หูตาม แต่ติณห์กลับยกนิ้วชี้ขึ้นมา 1 นิ้ว
"Only one!"
"รายเดียว! ปัดโธ่... จะดีใจให้เส้นยึดทำไม"
"ไม่เอาทนายสมชาติ...อย่าเป็นโรคมากซีครับ"
"โลภมากครับ ไอ้เป็นโรคมากน่ะ มันพวกชอบมั่วแล้ว"
"โอเค้ โลภมาก"
"คร้าบ... งั้นก็ช่วยเซ็นเช็คค่าแรงให้บริษัทซิกส์เซนส์ด้วยนะครับ เลยสิ้นเดือนมาหลายวันแล้ว"
"What? แล้วทำไมไม่บอก คุณรีบเอาไปให้คุณณินเดี๋ยวนี้เลย ไปซี...ไปเร็ว" ติณห์รีบเซ็น
"คร๊าบๆ...เร่งไปเดี๋ยวนี้แหละคร๊าบ"
ทนายสมชาติรีบเปิดประตูเดินออกจากห้อง พอปิดประตูก็ต้องสะดุ้ง เมื่อพบมิรันตียืนเท้าเอวรออยู่หน้าห้อง
"คุณผู้หญิง"
"ในมือน่ะ เช็คอะไร เอามาให้ฉันดูซิ"
"เอ่อ คือ..."
มิรันตีไม่ฟัง คว้าเช็คไปจากมือสมชาติไปดู พอเห็นเป็นชื่อญาณินเท่านั้น สีหน้าก็ตึงขึ้นมาทันที

โต๊ะริมสวน ญาณินกำลังนั่งทำงานหน้าเคร่งเครียดอยู่ เบญจาหน้าตาตื่นเข้ามาหา
"พี่ณิน... ต้องมีเรื่องแน่ๆเลยค่ะ"
"หือ มีเรื่องอะไรเบญจา"
"ไม่รู้ซีคะ แต่หนูเห็นแม่คุณติณห์กำลังตรงดิ่งมาที่นี่"
สีหน้าที่ยิ้มของญาณินเปลี่ยนมาสงบนิ่ง พร้อมรับมือ ก่อนจะหันไปทำงานต่อ
"ไม่มีอะไรหรอกน่าเบญจา แม่คุณติณห์ ไม่ใช่ยักษ์ใช่มาร จะกลัวอะไร"
"เธอว่าอะไรนะ"
ญาณินกับเบญจาหันมองไป เห็นมิรันตีเดินเข้ามา ญาณินลุกขึ้นยิ้มให้
"ปล่าวค่ะคุณแม่ ณินกำลังบอกเบญจา เอ่อ..."
มิรันตีสวน
"ชิ!คุณแม่ ฟังแล้วขยะแขยง ทำไมไม่เรียกฉันว่า นังยักษ์มิรันตีล่ะ หรือเรียกนางมารอย่างที่สมองเธอคิด"
ญาณินยิ้มสู้
"คุณแม่สวยสง่าน่ารักขนาดนี้ สมองเล็กๆ ของณินไม่บังอาจคิดกับคุณแม่อย่างงั้นหรอกค่ะ"
"สมองเธอน่ะ มันไม่ได้เล็กหรอก แต่มันเป็นสมองที่ฉลาดแกมโกง ใช้ความเป็นผู้หญิงมาล่อให้ลูกชายที่อ่อนต่อโลกของฉันติดกับ แล้วมอมเมาซ้ำด้วยเรื่องไสยศาสตร์บ้าบอ หลอกเอาผลประโยชน์จากลูกชั้น เช่น เช็ค5แสนใบนี้ไงล่ะ"
มิรันตีปาเช็คในมือ ญาณินกับเบญจามองเช็คที่ปลิวลงไปนอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้น
ญาณินพึมพำในใจ
"ไม่โกรธ ไม่โกรธ มองเขาด้วยความเมตตา เราต้องไม่โกรธ"
ขณะที่เบญจาก้มลงจะเก็บเช็ค
"ใครใช้ให้หล่อนหยิบห่ะ นังเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้า"
เบญจาชะงัก หยุดเก็บ ระหว่างนั้น แมลงวันอาคมตัวหนึ่งบินกระพือปีกหึ่งวนอยู่สูงกว่าหัวมิรันตีบริเวณด้านหลัง มิรันตีที่กำลังอ้าปากด่าปาวๆ
"ยัยเด็กเอ๋อนี่อีกคน ถูกเค้าขับรถชนเกือบตาย ยังจะทำตัวเป็นลูกแหง่ตามติดแจยัยแม่มดนี่อีก"
ขณะที่พูดมาถึงตอนนี้ แมลงวันอาคมตัวนั้นก็บินพุ่งเข้าปากมิรันตีไปทันที
"อ็อก!"
มิรันตีหยุดพูดกึก .มือจับลำคอ รู้สึกเหมือนมีอะไรพุ่งเข้าสู่ลำคอ ทำให้แสบแห้งร้อนไปทั้งคอ จนไอโขกออกมา ญาณินเห็นอย่างนั้นก็ตกใจ ถาม
"คุณแม่คะ เป็นอะไรไปคะ"
"คอฉัน...ทำไมมันเป็นอย่างงี้ แสบร้อนไปหมด"
มิรันตีไอมากขึ้น ติณห์กับทนายสมชาติกึ่งเดิน กึ่งวิ่งมาแต่ไกล ขณะที่ญาณินรีบรินน้ำในเหยือกบนโต๊ะใส่แก้วยื่นให้มิรันตี
"ทานน้ำก่อนซีคะคุณแม่ จะได้ดีขึ้น"
มิรันตีรับแก้วน้ำมาจะกิน สายตามิรันตีมองเข้าไปในแก้วน้ำ เห็นเป็นเส้นผมและซี่ฟันอยู่ในนั้นมิรันตีตกใจแทบช็อก ปล่อยแก้วตกพื้น เพล้ง !
"อร๊าย! กะๆ แกเอาอะไรมาให้ฉันกินเนี่ย นังโรคจิต"
ติณห์ที่เดินตามมาทัน ตกใจ
"Mom! เกิดอะไรขึ้นครับ"
"แฟนแก มันจะฆ่าฉันน่ะซิ อ็อก!"
ยิ่งด่า มิรันตีก็ยิ่งเจ็บคอ เธอรีบหันเดินจับคอที่แสบร้อนไป
"Mom!"
"ไม่เป็นไรคะ ท่าทางแม่คุณจะไม่สบาย ฉันจะไปดูท่านหน่อย"
พูดแล้วญาณินก็เดินไป ติณห์จะห้าม แต่ไม่ทัน
"เอ่อ...ยะๆ ยังจะตามไปอีกเหรอครับนั่น"
"นั่นซิคะ เดี๋ยวก็โดนอีกหรอก รีบตามไปซีคะพี่ติณห์"
ติณห์ถอนใจอย่างหนักใจ

มิรันตีเดินจับคอมา แล้วอาการแสบร้อนในคอก็หายเป็นปลิดทิ้ง
"โอ๊ย...มันต้องเอาสารพิษอะไรมาพ่นใส่คอชั้นแน่ๆ อ๊าก เอ๊ะ ไม่ปวดแสบปวดร้อนในคอแล้ว พอห่างนังนั่นมาอาการก็หาย มันยังไงกันเนี่ยะ หรือว่า..ในบ้านมันมีสารเคมีอะไรที่ชั้นแพ้ พวกกัมมันตภาพรังสีหรือเปล่า"
"ดีขึ้นแล้วหรือคะคุณแม่"
มิรันตีถึงกับสะดุ้งหันไปเห็นญาณินตามมาอยู่ข้างๆ
"ว้าย! มายก็อต ยังจะตามมาอีก จะฆ่าฉันให้ได้หรือไง ไปให้พ้นนะ"
"ณินเป็นห่วงคุณแม่นะคะ อาการคุณแม่แปลกๆนะค่ะ ต้องเกิดอะไรขึ้นสักอย่าง"
"ก็หล่อนนั่นแหละผิดปรกตินังแม่มด อร๊าย!"
พอด่าญาณินอีก คราวนี้มิรันตีปวดบิดท้องจนตัวงอทรุดลงกับพื้น
"คุณแม่!"
วิญญาณหลวงพิชัยภักดีกับโกลเดนเบบี๋โผล่มา…
"นังมิรันตีมันสำออยอะไรอีกละนั่น"
"ไม่ใช่แล้วนะคะคุณตา แบบนี้มันของจริงแล้วค่ะ"
มิรันตีร้องลั่นราวกับถูกอะไรทิ่มแทงในท้องเป็นระยะ
"โอ๊ย โอ๊ย โอ๊ย"
"เป็นอะไรไปคะคุณแม่...คุณแม่"
"เจ็บ เจ็บเหลือเกิน เจ็บจะตายอยู่แล้ว แกไปไกลๆ ไป๊ อย่ามายุ่งกับฉัน"
มิรันตีผลักญาณินกระเด็นแล้วก็ร้องครวญครางยิ่งกว่าเดิม
ติณห์ ทนายสมชาติ เบญจาที่ตามมา ตกใจ รีบวิ่งเข้ามาดู
"Mom! เป็นอะไรไป"
"อยู่ๆคุณแม่ก็ปวดท้องขึ้นมาอีกน่ะค่ะ"

"โอ๊ย...ใครมันเอามีดมาแทงไส้ฉัน ปวดเหลือเกิน แอร๊ย"
 
อ่านต่อหน้า 3

สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 3 (ต่อ)

วิญญาณหลวงพิชัยภักดีบอก

"เจ้ย! เจ็บแบบนี้...มันดูทะแม่งๆชอบกล"
"หนูจะลองช่วยดูนะคะคุณตา"
"เอ็งช่วยได้เหรอ"
"หนูวิเคราะห์สาเหตุได้แล้ว ลูกสาวคุณตาน่ะแก่แล้ว โรคเลือดจะไปลมจะมา หนูช่วยได้"
ว่าแล้วโกลเดนเบบี๋ก็เสกคาถา เสียงจริงจัง
"โอม...ลมเพลมพัด เหนือใต้ออกตก ดินน้ำลมไฟ เทพเทวาจงมาปกปักรักษา จงหายๆๆๆ..พ่วง!"
ลมอิทธิฤทธิ์ของโกลเดนเบบี๋พุ่งปะทะเข้าไปที่ตัวมิรันตี แทนที่จะหาย กลับไปกระตุ้นให้ของวิชาที่แมลงวันอาคมนำเข้าไปอยู่ในท้องของมิรันตีต่อต้าน จนมิรันตีงกรีดเสียงร้องลั่นออกมา
"แอร๊ย...ติณห์ ช่วยแม่ด้วย เอามันออกไปจากท้องแม่ที"
"What? เอาอะไรออกจากท้องเหรอมัม…อาการมันเป็นยังไงมัม"
"แม่ไม่รู้! รู้แต่ว่ามีอะไรแหลมๆอยู่ในท้องแม่ มันทิ่มไส้แม่ตรงนั้นที ตรงนี้ที"
ญาณินได้ยินอย่างนั้นมือกุมหมับไปที่แขนมิรันตีแน่น แล้วหลับตาใช้ญาณพิเศษในตัวเธอตรวจสอบ จนพบบางสิ่งที่แปลกปลอมเคลื่อนไหวอยู่ในตัวมิรันตี คิ้วญาณินขมวด
มิรันตีหันมาเห็นญาณินแล้วตกใจ พยายามดึงแขนออก
"แล้วแม่นี่ทำอะไร มาจับแขนฉันไว้ทำไม ปล่อยฉันนะ"
อยู่ๆส่งแปลกปลอมในตัวก็เคลื่อนที่หนีพลังญาณินทันที
"อร๊าย...มันย้ายไป ย้ายมา ช่วยแม่ด้วยติณห์ แม่เจ็บจะตายอยู่แล้ว"
สมชาติบอก
"ลำไส้อักเสบ ไส้ติ่ง ไม่ก็มดลูกแน่ๆครับ รีบส่งโรงพยาบาลเถอะครับ คุณติณห์"
"ไป...คุณไปเตรียมรถ ผมจะอุ้มมัมไปเดี๋ยวนี้เลย"
ญาณินลืมตาขึ้น
"โรงพยาบาลช่วยอะไรคุณแม่คุณไม่ได้หรอก"
"ทำไม"
ญาณินกำลังจะอธิบาย
"แม่คุณ"
อยู่ๆ เบญจาก็ร้องขึ้นอย่างตกใจสุดขีด
"อร๊าย"
"เย้ย! อย่าบอกนะว่าปวดท้องขึ้นมาอีกคน"
"ดะๆๆดูนั่นซีคะ ดูที่ต้นคอคุณมิรันตี!"
ทุกคนมองไปยังต้นคอมิรันตี เห็นตะปูที่หงิกงอโผล่อยู่ใต้ผิวหนังมิรันตี ทุกคน แม้แต่วิญญาณหลวงพิชัยภักดีกับโกลเดนเบบี๋ ตกใจแทบช็อก
ญาณินเองก็มองไปที่ตะปูอาคมสีหน้าตะลึง...มิรันตีเจอคุณไสย์จริงๆ
"โอ้ว....มายก็อต!" ติณห์อุทาน
มิรันตีเห็นถึงกับประสาทเสียเพราะมองไม่เห็นเหมือนคนอื่น
"อะไร...ที่คอฉันมีอะร้าย...แอร๊ย"
มิรันตีตื่นกลัวตกใจ จนเป็นลมสลบไป
"Mom…mom!"

ภายในบ้านไตรรัตน์ สุคนธรสและไตรรัตน์เดินลงบันไดมาจากชั้นบนมายังโถงบ้าน ทั้งคู่จะออกไปนอกบ้าน
"นี่...ชั้นไม่ไปได้ไหม นายไตวาย"
"ไม่ได้! สัญญาแล้วไงว่าวันนี้เรา 2 คนจะไปออกเดทกัน เดินจูงมือช้อปปิ้ง กินข้าว ดูหนังฟังเพลงกัน 2 ต่อ 2 เพื่อให้ชีวิตคู่หลังแต่งงานของเราหวานยิ่งๆ ขึ้นไปไงจ๊ะที่รัก"
"แต่ว่า..."
"ห้ามแต่! สัญญาต้องเป็นสัญญา"
ไตรรัตน์พูดพลางเลื้อยเข้าหาสุคนธรส ทำหน้าลามก
"เอ... หรือว่าเรา ไม่ต้องออกไปเดทย้อมใจกันข้างนอก กลับขึ้นไปเดทกันในห้องนอนดีกว่า"
"กลางวันแสกๆเนี่ยะนะ อี่ย์...ไม่เอา ไปๆ จะไปไหนก็ไป"
สุคนธรสเดินออกไป
"จะหนีไปไหน!"
ไตรรัตน์ตามไปช้อนตัวสุคนธรสขึ้นอุ้ม
"อร๊าย...จะทำอะไร"
เจ๊หญิงกับเสี่ยจำเริญที่แอบฟังอยู่ตลอดโผล่ออกมาจากมุมบ้าน
"อาตี๋น้อย คึกจริงๆนะเสี่ย"
ทั้งคู่เห็นไตรรัตน์กำลังเดินอุ้มสุคนธรสไปที่รถ
"ช่าย... ขนาดเดินยังต้องอุ้ม อีแบบนี้ ไม่เกินปีนี้ เราต้องได้อาตี๋น้อยจูเนียร์มาอุ้มแน่ๆ"
"อาตี๋น้อยจูเนียร์คนเดียวไม่พอ ต้องอาหมวยด้วย มีทีเดียวเป็นแฝด 2 คนไปเลย"
"เอ้อ... ดีๆๆ ไม่ต้องแย่งกันเลี้ยง"

ไตรรัตน์อุ้มสุคนธรสเดินมาที่รถ
"เนื้อหนังก็ไม่ค่อยจะมี ทำไมตัวหนักยังงี้"
"ทำไม...แค่นี้บ่น อยากอุ้มนักไม่ใช่เหรอ อุ้มไปส่งให้ถึงรถเลยดิ นะคะที่รักขา อย่าเพิ่งหมดแรงข้าวต้มซะก่อนล่ะ คืนนี้จะอดไม่รู้ด้วย"
"ไม่มีทางหรอกจ้ะแม่หมอจ๋า เพราะผมจะเริ่มบิ้วอารมณ์ตั้งแต่ตอนนี้เลย"
ทั้งคู่มาถึงรถพอดี พร้อมๆกับมือถือของสุคนธรสดังขึ้น เขาวางเธอลงขณะกำลังค้นมือถือในกระเป๋าสะพาย ไตรรัตน์รีบเปิดประตูรถ ก่อนเธอจะกดรับมือถือ เขาแย่งมือถือมาจากมือ
"นายไตวาย เอามือถือชั้นมา"
"ผมไม่ให้คุณรับ ขืนดู ขืนรับ แล้วเป็นเพื่อนคุณโทร.มา คุณก็ต้องไปช่วยเพื่อนคุณอีก
"ก็ทุกคนรักชั้นนี่นา นี่เอามานะ"
"แล้วผมไม่รักคุณหรือไง ที่ผมทำทุกอย่างนี้ก็เพราะผมรักคุณนะ ถึงยอมทำตัวเป็นคนเห็นแก่ตัวแบบนี้"
ไตรรัตน์เอามือถือเธอใส่กระเป๋ากางเกงทั้งที่มือถือยังคงดังอยู่
"เฮ้ย...นี่ถ้าไม่คืนมือถือชั้นมา ชั้นไม่ไปกับนายแน่"
ไตรรัตน์หันหลังให้
"ไม่คืน"
"ไม่คืนใช่มั้ย...ได้"
สุคนธรสกระโดดขึ้นขี่หลังไตรรัตน์ แล้วรัดคอให้หายใจไม่ออก
"อ๊อก...คุณ ผมหายใจไม่ออก"
"ก็ชั้นจะให้นายหายใจไม่ออกไง...นายไตวาย"
"ว้าย...ทำอะไรกันน่ะ"
ไตรรัตน์กับสุคนธรสตกใจ มองเห็นเป็นเคที่ แฟนเก่าของไตรรัตน์ยืนอยู่กับแม่ทิพย์
"เคที่"
สุคนธรสแอบทำหน้าเซ็ง
"ต๊ายพ่อไตร ไหนว่าแต่งงงแต่งงานไปเรียบร้อยแล้วไง นี่ยังมีกิ๊กมาอาละวาดที่บ้านอยู่อีกเหรอ"
สุคนธรสอ้าปากค้าง แทบกรี๊ด
"ใครบอกว่าฉันเป็นกิ๊ก"
เคที่ขำ
"กิ๊กที่ไหนกันคะคุณแม่ นั่นแหละค่ะ เมียของไธรซ์เค้า"
"อ้าวเหรอ"

สุคนธรสยังคงเกาะหลังไตรรัตน์อยู่

มิรันตีนอนโอดโอยอยู่บนโซฟาในรีสอร์ต ติณห์ให้ดมยาดมอยู่ เบญจาคอยบีบนวดให้ ทนายสมชาติเดินเอาผ้าเย็นชุบน้ำมาให้ติณห์ประคบหน้าผากมิรันตี

"คุณญาณินยังติดต่อคุณรสไม่ได้เหรอครับ"
ติณห์กังวลมาก
"ยังเลยครับ"
เบญจาถาม
"มีวิธีอื่นที่จะช่วยคุณแม่ได้ไหมค่ะ พี่ติณห์ คุณแม่ปวดจนหน้าซีดมาแล้วค่ะ"
ติณห์ร้อนใจ ลุกขึ้นเดินไปหาญาณินที่ยืนอยู่หน้าประตู เธอพยายามโทร.หาสุคนธรส วิญญาณหลวงพิชัยภักดียืนคอยลุ้นอยู่ด้วย
"คุณณิน...ผมจะพามัมไปโรงพยาบาลก่อนนะ"
"ไปโรงพยาบาลเขาก็ช่วยอะไรไม่ได้ เชื่อชั้นเถอะ ชั้นจะลองโทรหาคนอื่นดู เผื่อเขาจะติดต่อยัยรสได้"
"แต่มัมจะไม่ไหวแล้วนะครับ ปวดจนช็อกไปรอบนึงแล้ว"
"ชั้นไม่ไหวแล้ว ชั้นจะไปโรงพยาบาล ติณห์...ลูกอย่าไปเชื่อมัน"
ติณห์อยากช่วยแม่ แต่ก็เชื่อมั่นในตัวญาณินทำให้กระอักกระอ่วน
"คือ...โรงพยาบาลยังฉีดยาแก้ปวดให้มัมได้นะคุณญาณิน"
สมชาติบอก
"แต่ก่อนจะทำอะไร หมอเขาต้องตรวจให้พบสาเหตุก่อนนะครับคุณติณห์ ถึงจะฉีดยาให้ได้"
มิรันตีชี้ไปที่ญาณิน
"จะบ้าไปกันใหญ่แล้ว มันนั่นแหล่ะทำให้ชั้นเป็นแบบนี้ โอ๊ย..."
"โอเคๆ คุณรีบติดต่อคุณรสเถอะ ผมจะรออีก 5 นาทีนะคุณณิน"
พูดจบ ติณห์รีบพุ่งไปดูแลมิรันตีต่อทันที ญาณินตั้งสติได้ รีบกดโทรศัพท์หาสุคนธรสต่อ
"โอย...ทำไมยังไม่กลับมาอีกนะ นังหนู" หลวงพิชัยภักดีบ่นฮุบ
พูดไม่ทันจบ โกลเดนเบบี๋แว๊บโผล่มาทันที
"เจอแล้วคุณตา เจอพี่รสแล้ว"
"เออ...อยู่ไหนล่ะ รีบบอกแม่ญาณินเร็ว"
"ค่ะ"
ว่าแล้วโกลเดนเบบี๋ก็รีบวิ่งไปหาญาณิน
"โธ่ไอ้ติณห์ นั้นก็แม่ นี่ก็คู่รัก ทำไมอุปสรรครักของแกมันเยอะขนาดนี้น้า"

ภายในบ้านไตรรัตน์ กระเป๋า Hermes หลากสีราวสิบใบวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ ต่อหน้าเจ๊หญิงกับเสี่ยจำเริญที่นั่งมองตาปริบๆ เช่นเดียวกับสุคนธรสกับไตรรัตน์ที่ไปไหนไม่ได้ต้องมานั่งรับแขก
"ถึงกับเงียบไปเลย ฮี่ๆๆ เห็นไหมลูกเคที่ ม่ามี้บอกแล้วว่ากระเป๋าเนี่ยจะต้องถูกใจคุณพี่หญิงมาก จริงมั้ยคะ" ทิพย์บอก
"เอ่อ...แหม คุณแม่เคที่มาจากเมืองนอกมาเยี่ยมทั้งที ไม่น่าต้องลำบากลำบนซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมมาฝากถึงขนาดนี้เลย" เจ๊หญิงบอก
"หา...ซื้อมาฝาก! ก็หมดตัวน่ะซีคะ"
เจ๊หญิงกับเสี่ยจำเริญงงกับคำพูดของทิพย์
"อ้าว...งั้นนี่ขนมาเยอะแยะทำไม" จำเริญถาม
ไตรรัตน์ถาม
"อย่าบอกนะครับว่าจะเอามาขายแม่ผม"
"โอ๊ะๆๆ ไม่นะไธร์ก็ พูดซะม่ามี้เคที่เป็นแม่ค้าร้านตลาดไปได้ ไม่ได้เอามาขายหรอกค่ะ แค่เอ่อ..."
"แค่เอามาจำนำ" ทิพย์บอก
"จำนำ!"
สุคนธรสหลุดโพล่งออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
"ฮ่ะๆๆ กระเป๋าสีแปร๋นแล๋นแบบนี้ เค้าจำนำกันได้ด้วยเหรอคะ"
"นี่หนู! หนูคงเคยชินกับการใช้กระเป๋าผ้าถูกๆ แบกะดินแบบนั้น ไม่เคยใช้กระเป๋าแบรนเนมล่ะซิ ดูนี่...ใบนี้ ทำจากหนังจระเข้น้ำเค็ม จากค็อกโคไดฟาร์มชื่อดังจากเขตโซนร้อนของประเทศอ็อสเตรเลี้ยเลยนะ ระดับดาราฮอลีวู้ดเค้าใช้กัน ใบล่ะ 3ล้าน"
"3 ล้าน! เงินขนาดนี้ไถ่ชีวิตโคกระบือได้เป็นฟาร์มเลย"
เจ๊หญิงกับเสี่ยจำเริญพยักหน้าเออออ เห็นด้วย
เสียงมือถือสุคนธรสที่ไตรรัตน์ยึดไว้ดังขึ้นพอดี เขาเลยรีบควักให้เพื่อตัดบท ไม่อยากให้มีเรื่องกัน
"เอ่อ...คุณๆๆ โทรศัพท์คุณ ผมว่าคุณรีบๆ ออกไปรับเถอะนะ พวกเพื่อนคุณคงมีธุระด่วน เพื่อนที่ดีไม่ควรเมินเฉยเวลาเพื่อนต้องการ จิงป้ะ"
สุคนธรสแอบกระซิบ
"แหม...ทียังงี้ล่ะไล่ให้รับโทรศัพท์ กลัวชั้นนั่งกันท่าแฟนเก่าคุณหรือไง"
"โธ่...ไม่ใช่อย่างงั้น"
"ไม่อยากให้อยู่ ไม่อยู่ก็ได้ หนูขอตัวออกไปรับโทรศัพท์ก่อนนะคะ"
สุคนธรสหันไปยิ้มให้เสี่ยจำเริญกับเจ๊หญิงก่อนลุกเดิน กดรับสายเดินพูดออกมาจากห้อง
"ฮัลโหล... ขอโทษอ่ะ ที่เพิ่งรับ ฉันยุ่งๆอยู่ หา... อะไรนะ แม่นายติณห์โดนของ"
ญาณินยืนพูดสายอยู่นอกระเบียง ตามองเข้าไปในห้องที่มิรันตียังคงนอนลมใส่ครึ่งหลับครึ่งตื่น โดยมีเบญจาช่วยติณห์กับทนายสมชาติคอยบีบนวด ให้ดมยา ปฐมพยาบาล ทั้งยังมีวิญญาณหลวงพิชัยภักดีกับโกลเดนเบบี๋วนเวียนอยู่อย่างเป็นห่วง
ญาณินคุยโทรศัพท์กับสุคนธรส
"ก็ปวดท้องลงไปนอนตัวบิด ร้องโวยวายว่า มีอะไรแหลมๆแทงไส้ ฉันก็เลยแตะที่ตัวท่าน แล้วลองสวดแผ่เมตตา ไล่ของออกจากตัวท่านดู ปรากฏว่า...มีตะปูโผล่มาจากไหนไม่รู้ มาตุงอยู่ที่ต้นคอท่าน!"
สุคนธรส มีสีหน้าตกใจ
"ทำไมอยู่ดีๆ คุณแม่ไปโดนพวกเล่นไสยดำที่ไหนเสกตะปูเข้าท้องได้ล่ะ แล้วที่เจ๊ไปแผ่เมตตา ไล่มันอ่านะ แทนที่จะช่วย ตะปูมันกลับขยับเคลื่อนที่หนีเตลิดเปิดเปิงไปทั่วร่าง แต่จะไม่ยอมออกจากร่าง รู้ไหม"
"ตอนนี้มันโผล่มาตุงที่คอให้เห็นชัดๆเลยล่ะ เราจะดึงออกมาได้ไหม"
"อย่านะเจ๊! ตะปูนั่นมาจากของต่ำ อาจจะเป็นตะปูตอกฝาโลงหรือหน้าผากศพมาก่อน ถ้าอยู่ๆเจ๊ไปดึงมันออก มันจะยิ่งหนี วิ่งทิ่มแทงไปทั่วตับไตไส้พุงเลย แล้วฉันก็มั่นใจนะว่า ในตัวแม่คุณติณห์คงไม่ได้มีตะปูแค่ตัวเดียวหรอก อาจมีเป็นกำมือเลย"
"ห่ะ! แล้วจะทำไง ตอนนี้แม่คุณติณห์นอนหมดสภาพอยู่บนเตียง สะลึมสะลือเหมือนโดนยาสั่ง แกรีบมาได้ไหมรส รีบมาช่วยเอาของออกที"
"กว่าฉันจะไปถึงเมืองกาญจน์ แม่นายติณห์อาจจะดวงไม่แข็งพอจะทนคุณไสยได้ แล้วไอ้ตะปูมันอาจจะวิ่งฝังตัวเข้าในกระดูก หมดทางเอาออกทีนี้ล่ะ แม่นายติณห์อาจจะตายภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง เจ๊นั่นแหละที่จะต้องเป็นคนทำพิธีเอาตะปูออกจากตัวแม่นายติณห์!"
"งั้นว่ามา…จะให้ฉันทำยังไง"

ไตรรัตน์เดินตามออกมา เห็นสุคนธรสยังคุยโทรศัพท์หน้าจริงจังอยู่ เขาถอนใจเดินอ้อนเข้ามา
"โห... อะไรเนี่ย ยังคุยไม่เสร็จอีกเหรอ จะทำลายสถิติโลกกันหรือไง พอแล้วที่รัก เลิกคุย เราไปออกเดทกันดีกว่า ไปๆๆ"
"ไม่!"
สุคนธรสหันไปพูดมือถือต่อ
"เจ๊เตรียมข้าวของนะ"
ไตรรัตน์โวย
"อะไรเนี่ย อยู่ๆ ก็ไปไม่ได้อีกแล้ว!"
สุคนธรสบอกญาณิน
"แป๊บนะเจ๊"
สุคนธรสหันมาพูดกับไตรรัตน์
"นี่...โตจนหมาเลียก้นไม่ถึงแล้วนะ อย่าเอาแต่ใจได้ไหม นายไตวาย"
"ถ้าผมเอาแต่ใจ! แล้วอย่างคุณเรียกว่าอะไร คนไม่มีหัวใจ ใช่ไหม"
"หยุดเลยนะ! เดี๋ยวปั๊ดเหนี่ยว"
สุคนธรสเงื้อกำปั้นจะชก ไตรรัตน์โดดถอย
"ฮัลโหล เจ๊ ทำตามที่ฉันบอกทุกขั้นตอนเลยนะ มีปัญหา รีบโทรหาฉัน ถ้าได้ตะปูออกมาจากตัวคุณมิรันตีแล้ว ห่อผ้ายันต์ไว้ แล้วรีบเอามาให้ฉันทันที"

ไตรรัตน์ได้ยิน พลอยตกใจ หน้าตื่นไปด้วย

ที่โต๊ะหมู่บูชา มีธูปเทียน ของเซ่นไหว้ มีสายสิญจน์กั้นเป็นคอกโดยรอบ ญาณินนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่หน้าโต๊ะหมู่บูชา เบญจากำลังสะบัดผ้าขาวปูลงกลางวง โกลเดนเบบี๋แลบลิ้นเสียปากมองอาหารเซ่นไหว้อย่างอยากกิน

"ของดีๆทั้งนั้น น่ากินจังเลย"
โกลเดนเบบี๋ยื่นมือจะหยิบ แต่คุณหลวงใช้ไม้เท้าตีมือ
"กินไม่ได้นังหนู! ของพวกนี้ไว้เซ่นเจ้าป่า เจ้าเขา เจ้าที่เจ้าทางให้มาช่วยทำพิธีเอาตะปูเสกออกจากตัวนังลูกสาวฉัน"
"เรา2คนก็เป็นหนึ่งในนั้นนะคุณตา"
"ก็อย่าห่วงแต่กินเลยน่า มาช่วยหนูญาณินกันก่อน"
"ก็ได้!" โกลเดนเบบี๋หันไปมองผลไม้แล้วบอก
"รอเค้าก่อนนะน้องแอ็ปเปิ้ล น้ององุ่น น้องส้ม"
ติณห์และทนายสมชาติอุ้มร่างมิรันตีที่หมดเรี่ยวหมดแรงจากบ้านเดินเข้ามา
"จะพาแม่ไปไหน โอ๊ย แม่เจ็บเหลือเกิน เจ็บปวดไปทั้งตัว" มิรันตีครวญคราง
"อดทนอีกนิดนะครับมัม"
ญาณินลืมตาขึ้น ลุกขึ้นยืน
"วางคุณแม่คุณลงนั่งบนผ้าครับ แล้วช่วยจับตัวไว้ให้อยู่นิ่ง"
"มันจะทำอะไรแม่! ไม่เอา...อย่านะติณห์ อย่าให้มันมาทำอะไรปัญญาอ่อน บ้าบอคอแตกกับแม่นะ"
"คุณญาณินกำลังจะช่วยมัมน่ะครับ มัมอยู่นิ่งๆ เดี๋ยวมัมก็จะดีขึ้นนะครับ"
ติณห์กับทนายสมชาติช่วยกันจับมือและขามิรันตีไว้ให้นั่งนิ่งๆไม่ดิ้น
"ไม่นะ...พวกแกบ้าไปแล้ว น่าเกลียด น่าขยะแขยงที่สุด ปล่อยฉัน...ปล่อย!"
สมชาติบอก
"เบญจามาช่วยกันอีกแรงเร็ว"
"หนูกลัว...หนู"
"จังหวะนี้หยุดกลัวก่อน มาช่วยกันจับคุณผู้หญิง"
เบญจาตัดใจเข้าไปช่วยจับมิรันตีแบบกล้าๆกลัวๆ
หลวงพิชัยภักดีบอก
"ปัดโธ่...แหกปากร้องอยู่ได้ ไปนังหนู...ไปช่วยปิดปากมันที"
"เยสเซ่อร์!"
โกลเดนเบบี๋หายตัวไปนั่งคร่อมตัก แล้วใช้มือปิดปากมิรันตีไว้ มิรันตีอ้าปากจะโวยวาย แต่ไม่มีเสียงออกมา
"แม่หนูญาณิน เริ่มพิธีได้เลย"

ญาณินเดินไปจุดธูปกำใหญ่ ยกมือไหว้แล้วปากก็เริ่มท่องบทสวดคาถาที่สุคนธรสบอก หยิบดอกบัวจากแจกันออกมาวนรอบควันธูป แล้วเดินท่องตรงมาที่ด้านหลังมิรันตีที่ถูกติณห์ ทนาย และเบญจาจับตรึงอยู่ เธอท่องบทสวดเรียกของ พร้อมกับวนควันธูปไปที่เหนือหัว รอบตัวมิรันตี ควันคลุ้งไปหมด มิรันตีหวาดกลัวมาก แต่ขยับตัวและร้องไม่ได้
"คุณหลวง!"
ญาณินเรียก...ทำเอาทนายสมชาติ เบญจา ติณห์ หันมองกันเลิ่กลั่ก ขณะที่วิญญาณหลวงพิชัยภักดีโผล่มายืนข้างๆญาณิน
"บอกมา จะให้ฉันช่วยอะไร"
"ทันทีที่เห็นตะปูมันขยับ คุณหลวงเอาดอกบัวนี่นาบไว้ แล้วมันจะหลุดออกมาเลย คุณหลวงเป็นพ่อ พ่อย่อมมีบารมีพอที่จะช่วยลูก แต่ระวังห้ามใครแตะต้องเด็ดขาด เพราะจะโดนอาคมมันเข้าตัว ต้องเอาผ้ายันต์ห่อตะปูเหล่านี้ไว้เท่านั้นและห้ามตกพื้นเด็ดขาด"
"ปกติฉันเป็นคนเห็นเลือดไม่ได้ แต่เอาวะ...วันนี้เป็นไงเป็นกัน"
"จะไม่มีเลือดอะไรทั้งนั้นค่ะ"
หลวงพิชัยภักดีรับดอกบัวไป ทุกคนเห็นดอกบัวลอยเองได้ ทนายสมชาติตกใจแทบช็อก เช่นเดียวกับเบญจาที่ทำเป็นตกใจ อ้าปากค้าง จากนั้นญาณินก็เริ่มสวดและเป่าควันไปที่ตะปูที่โผล่ตุงอยู่หลังคอมิรันตี
มิรันตีสะดุ้งเฮือก เนื้อตัวสั่น ก้มมองเนื้อตัวตัวเอง ตะปูที่กระจายอยู่ภายในทั่วร่างกายกำลังเคลื่อนที่
"อะไรมันเคลื่อนไปมาอยู่ในตัวชั้น!"
ญาณินสวดเร็วขึ้นๆๆๆ ตะปูที่ตุงอยู่ค่อยๆขยับให้เห็นไปมา ติณห์ที่มองอยู่ตกใจ
"ห่ะ...ตะ...ตะปูมันขยับได้"
ตะปูมันขยับถอยหน้าถอยหลังเร็วขึ้น
"คุณหลวง...ตอนนี้เลย"
วิญญาณหลวงพิชัยภักดีตั้งจิตนิ่ง ใช้ดอกบัวนาบทาบทับลงไปตรงที่ตะปูที่ตุงอยู่ หัวตะปูโผล่ออกมาทะลุฉึก ผ่านดอกบัว แล้วคุณหลวงก็ใช้มือหยิบตะปูดึงผ่านดอกบัว ปรากฏมีด้ายสีแดงติดออกมา ตามมาด้วยตะปูหงิกงอๆ ที่ร้อยด้ายเป็นพวง ติดออกมาราว 6 - 7 ดอก ลอยออกมาจากคอมิรันตี ระหว่างที่ดึงตะปูออกมา มิรันตีร้อง "โอ๊ย" ลั่นด้วยความเจ็บปวดทรมานจนคอพับ ช็อก สลบไปคาตักติณห์
"มัม....มัม"
มิรันตีไม่เห็นตะปูเลยสักตัวเดียว
บรรยากาศโดยรอบปั่นป่วนทันที มีลมพัดแรงและเสียงปีศาจกรีดร้องไปทั่ว ติณห์ ทนายสมชาติ เบญจาตะลึงมอง
โกลเดนเบบี๋บอก
"โอ้โห...ยาวเฟื้อยเลย"
เมื่อตะปูทั้งหมดหลุดออกมาทั้งหมดแล้ว วิญญาณหลวงพิชัยภักดีก็เป็นลมล้มตึงลงไปทันที
ก่อนตะปูจะร่วงตกพื้น โกลเดนเบบี๋รีบลอยตัวเอาผ้ายันต์ไปรองตะปูทั้งหมด
"อ้าวคุณตา ลมใส่ไปอีกคนซะแล้ว"
"มัม...มัม!"
"ตะปูน่าจะออกมาหมดแล้วล่ะ คุณแม่คุณคงต้องพักผ่อนอีกเป็นวัน"
ติณห์ยิ้มให้อย่างปลื้มใจ
"ขอบคุณมากคุณณิน"

ติณห์ประคองร่างมิรันตีไว้ ญาณินปักกำธูปลงบนพื้นทรายที่กองพูนไว้ แล้วรับผ้ายันต์ที่ห่อตะปูพร้อมด้ายทั้งหมดใส่ห่อไว้

ภายในบ้านไตรรัตน์ ที่ห้องรับแขก เจ๊หญิงกับเสี่ยจำเริญโพล่งเสียงดัง
 
"5 ล้าน !"
เจ๊หญิงกับเสี่ยจำเริญหันมามองหน้าทิพย์ค้าง
"จำนำกระเป๋าทั้งหมดนี้ในราคา 5 ล้าน นี่คุณทิพย์...ชั้นจะเอากระเป๋าไปทำอะไรมากมายขนาดนี้ ธรรมดาชั้นก็ไม่ค่อยใช้..."
เสี่ยจำเริญสะกิดเจ๊หญิงให้ใจเย็นลง เจ๊หญิงหยุดพูดทั้งๆ ที่หงุดหงิดไม่หาย
"นะคะคุณพี่ พอดีทิพย์ไปซื้อที่สร้างบ้านไว้แถวเชียงใหม่ 20 ล้านน่ะค่ะ ทางโครงการเค้าก็เพิ่งจะมาบอกว่าต้องโอนเงินไปมัดจำก่อน5ล้าน"
"เอ่อ ไม่ใช่ว่าคุณแม่ไม่มีเงินนะคะ แต่แหม... คุณแม่ก็เพิ่งจะบินมาถึงเมืองไทยวันนี้ กว่าจะติดต่อให้ทางแบงค์ที่อเมริกาโอนเงินมาให้ก็หลายวันอยู่ คุณแม่กลัวที่จะหลุดน่ะค่ะ"
แม่ลูกพูดสอดรับกันไม่มีช่องว่างให้คนอื่นอ้าปากพูดโต้ตอบ
"ไม่ต้องกลัวหรอกลูก หลุดแน่ๆ ถ้าเราไม่รีบโอนเงินไปจอง มีคนมันจ้องจะแย่งซื้อตัดหน้าเราอยู่แล้ว"
ทิพย์พูดเสร็จก็ยกบอร์ดที่มีรูปที่ดินแปะอยู่ให้ทุกคนดูเพื่อความสมจริง
"ไม่ได้นะคะคุณแม่ อย่ายอมให้หลุด ที่ตรงนั้นต่อไปเจริญ ต้องมีราคาเป็น 100 ล้านแน่ๆ เลยค่ะ บั้นปลายชีวิตของคุณแม่ จะได้กลับมาสบายที่บ้านเกิดเสียที" เคที่บอก
ทิพย์เล่นละครบีบน้ำตา
"ใช่ แม่คิดถึงเมืองไทยเหลือเกิน อยากจะกลับมาตายที่นี่ ก็หวังว่าคุณพี่หญิงกับคุณพี่จำเริญจะช่วยทำให้ความฝันของคนเป็นแม่คนนึงเป็นความจริงได้กลับมาอยู่ข้างๆ ลูกสาวที่ถูกลูกชายคุณทิ้ง หนีไปแต่งงานกับผู้หญิงอื่น"
เจ๊หญิงกำลังจะเถียง แต่ไม่ทัน
"ไม่เอาค่ะคุณแม่! อย่าไปรื้อฟื้น เคที่เห็นไธรซ์มีความสุข เคที่ดีใจแล้ว ฮือ"
2 แม่ลูกกอดกันร้องไห้ราวกับจะตายในวันนี้ เสี่ยจำเริญหน้าตาเคลิ้ม ใจอ่อน เจ๊หญิงอ่อนใจ

เวลากลางคืน ที่กองถ่าย เป้ย ซองซู ป๋อง ต่างซ้อมบทกัน โดยป๋องอ่านแทนจุนจี และบล็อกกิ้งกันอยู่ รอบๆ เห็นกล้อง วางมุมไว้รอบๆ ไฟจัดเสร็จแล้ว แต่ยังมีขยับๆบ้าง
พงษ์ศักดิ์ซ้อมบทเป็นตัวละครที่จุนจีเล่นกับซองซู
"ซังวู นายอยากจะทำงานที่นี่ก็ทำ แต่ชั้น..คงพอแค่นี้"
ซองซูบอก
"จีโฮ นายใจเย็นๆสิ ถ้าไม่ทำงานนี้ นายจะอยู่ที่นี่ได้ไง กระเป๋าตังค์พวกเราถูกขโมยไปหมดแล้วนะ แล้วนายก็ติดต่อให้คนที่เกาหลีรู้ไม่ได้ ว่านายแอบมาเมืองไทย"
"งานเด็กเสิร์ฟในร้านอาหารเนี่ยนะ เราเป็นใคร... แกบ้าไปแล้วเหรอ"
"แต่นายจะสืบหาพ่อแม่ไม่ใช่เหรอ จะมีอะไรได้เจอคนเยอะเท่าเป็นเด็กเสิร์ฟอีกวะ"
"แต่จะให้ชั้นเป็นลูกจ้างของยัยคุณหนูนิสัยเสียคนนี้เหรอ"
ทันใด เป้ยเดินเริดๆเชิดๆเข้ามา พร้อมกับอ่านบท
"ใครคือคุณหนูนิสัยเสีย"
ซองซูรีบพินอบพิเทา
"มิส...ไอม์ซอรี่ ขอโทษครับ คุณหนู คุณหนูอย่าไปถือสาไอ้จีโฮมันนะครับ มันไม่ค่อยรู้ภาษาไทยน่ะครับ ก็เลยใช้คำผิดๆ ที่จริง มันตั้งใจจะพูดว่า คุณหนูคนสวย"
พงษ์ศักดิ์อก
"คุณหนูคนสวยเหรอ แหวะ"
"นายคิมจีโฮ นายแหวะใส่ชั้นเหรอ นายมันโรคจิต!"
"ไอ้จีโฮ"
ซองซูโดดปิดปากพี่ป๋อง แล้วซองซูก็หลุดจากบท หันไปมองทางชั้นลอย
"ขอโทษนะ พี่ป๋อง เมื่อไหร่คุณชายปาร์คจะลงมาซะทีล่ะ"
เป้ยหลุดมา เป็นงุงิ เสียสติ
"จริงด้วยๆๆ เค้าอยากซ้อมกะพี่ปาร์คนี่นา เค้าอยากชี้หน้าพี่ปาร์ค แล้วพูดว่า..นายคิมจีโฮ นายแหวะใส่ชั้นหรอ..นายมันโรคจิต..กิสสส..ฟิน ฟินที่สุด!"
ซองซูบอก
"ไม่รู้ปลื้มเข้าไปได้ไง คนนิสัยแบบนี้ ไม่ยอมมาซ้อมกะคนอื่น เดี๋ยวคอยดู พอถ่ายจริงก็เล่นไม่ได้"
"อย่ามาว่าพี่ปาร์คจุนจีนะ"
"ทำไม ผมจะว่า ไอ้ปาร์คจุนจีเลว ไอ้ปาร์คจุนจีห่วยแตก ไอ้ปาร์คจุนจีไม่มีมารยาท"
"ตัวเองนั่นแหละ นายซองซูขี้อิจฉา นายซองซูเป็นได้ก็แค่พระรอง นายซองซูจอมจุ้น"
"จอมจุ้น แปลว่าอะไร"
"พอๆๆเถอะครับ คุณเป้ย คุณซองซู มาซ้อมต่อเถอะครับ"
"ในเมื่อไอ้พระเอกมันไม่ยอมซ้อม แล้วทำไมพระรองต้องมาซ้อมด้วย"
ลีจองกุ๊ก ปาร์คจุนจีเดินลงบันไดมาจากชั้นลอยของร้านอาหาร จุนจีใส่ชุดเป็นบทบาทในละครแล้ว กำลังเดินไปที่ฉากโดยมีพวกช่างหน้า-ผม-เสื้อผ้าคอยเดินตามจัดนั่นจัดนี่ให้ตลอดเวลา เหมือนแมลงวันแมลงหวี่
"เพราะพระเอกของผม..เล่นได้ทันที โดยไม่ต้องซ้อมน่ะสิครับ" ลีจองกุ๊กบอก
ทุกคนมองอึ้ง
"จะเอาหรือยังล่ะครับ ผมพร้อมแล้ว" จุนจีบอก

เป้ยมอง แทบละลาย ซองซูเมิน แหวะ!
 
อ่านต่อหน้า 4

สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 3 (จบตอน)

ผู้กำกับฯพยายามบรี๊ฟฉากที่จะถ่ายให้จุนจีฟัง เป้ย ซองซู ต่างประจำตำแหน่งคนละมุม พร้อมแสดง

ผู้กำกับฯบอก
"จุนจีครับ ตัวละคร คิมจีโฮ พระเอกของเรื่อง เค้าเป็นคนมีนิสัยหยิ่ง ทะนง เขาค้นพบว่า จริงๆแล้วเขาไม่ใช่ลูกแท้ๆของพ่อแม่มหาเศรษฐีชาวเกาหลี แต่เขาเป็นคนไทย ที่ถูกเก็บไปเลี้ยง เขาก็เลยตัดสินใจชวนเพื่อนรัก ฮันซังวู มาตามหาพ่อแม่ที่แท้จริงที่เมืองไทย"
"เรื่องพวกนี้จุนจีทราบตั้งแต่ก่อนรับงานแล้ว คุณผู้กำกับเร่งถ่ายจะดีกว่านะครับ เพราะจุนจีไม่ทำงานหลังสามทุ่มนะครับ" ลีจองกุ๊กบอก
"หา นี่มันทุ่มนึงแล้ว"
ผู้กำกับฯรีบหันไปเร่งทีมงาน
"เอ้า ทุกฝ่ายพร้อมหรือยัง"
แต่แล้วอยู่ๆ มีเสียงพิมพ์พิลาศดังแทรกเข้ามา
"ฉันต้องการความยุติธรรม!"
จุนจีสะดุ้ง เงย ปึ้ง! หันไปมองที่ซองซู
ซองซูพูดดังๆกับผกก. ตามองมาทางปาร์คอย่างเหวี่ยงๆ
"ถ้าอยากได้พระเอกที่ทำงานถึงเที่ยงคืน ก็บอกได้นะคุณผู้กำกับฯ เปลี่ยนตอนนี้ก็ยังทันนะครับ" จุนจีอึ้งๆ หันมามองหาที่มาของเสียง... ไม่ใช่เสียงเป้ยแน่ !!
เป้ยทำท่าให้กำลังใจน่ารักๆ
"สู้ๆค่ะ ปาร์คจุนจี"
จุนจีมองข้ามไหล่เป้ยไปยังตัวประกอบชุดพนักงาน 4-5 คน แต่เบื้องหลังในหมู่คนเหล่านั้นมีร่างพิมพ์พิลาศยืนปะปนอยู่
พิมพ์พิลาศสีหน้าซีดเผือด..จ้องเป๋ง
"ความยุติธรรม!"
จุนจีผงะ! จะมองให้ชัดๆเต็มๆตา แต่ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ ไม่มีพิมพ์พิลาศตรงบริเวณนั้นแล้ว ลีจองกุ๊กจับบ่า เรียก
"จุนจี"
จุนจีตกใจ ไม่ทันตั้งตัว สะบัดแรง
"เฮ้ย!"
จุนจีเห็นว่าคือลีจองกุ๊กก็งง สับสนในตัวเอง จุนจีหันกลับไปมองหาพิมพ์พิลาศอีกครั้ง แต่ไม่เจอ
"มองหาอะไร"
จุนจีเดินพุ่งไปที่จุดๆนั้น เพื่อมองหาให้แน่ใจ แต่ก็ไม่เห็นอะไร เขาเริ่มเครียด ลีจองกุ๊กเดินตามมาถาม
"มีอะไรหรือเปล่า"
"ยังจำบทไม่ได้แล้วทำฟอร์มล่ะสิ หึๆๆ เรื่องท่องบทภาษาไทยน่ะ มันเป็นเรื่องยาก พวกนักร้องขายหน้าตาน่ะ ทำไม่ได้หรอก" ซองซูว่า

จุนจียืนอยู่ในฉากพร้อมถ่ายทำ ยังคงมองไปรอบๆ แล้วก็สะดุดตากับเป้ยที่ยืนอยู่ด้านหนึ่งนอกฉาก พอเห็นจุนจีมองมา เป้ยก็โบกมือน่ารัก เขาเมินจากเป้ย หมกมุ่นแต่เรื่องพิมพ์พิลาศ
"เราคงตาฝาดไปเอง"
จุนจีเดินกลับไปยืนข้างซองซู
"โอเค ผมพร้อมแล้ว เริ่มเลย"
ซองซูเข้ามากระซิบ
"จุนจี ถ้านายไม่ชอบละครเรื่องนี้ ก็อย่าแกล้งทำลายมัน ถอนตัวซะ"
"ชั้นไม่ได้แกล้งใคร นายไม่รู้อะไรก็อย่าจุ้น!"
"จุ้น... จุ้นแปลว่า"
ผู้กำกับฯสั่ง
"พร้อมนะครับ...ห้า สี่ สาม สอง..แอกชัน"
ทันใด จุนจี ซองซู เข้าบททันที
จุนจีลากซองซูมา
"ซังวู นายอยากจะทำงานที่นี่ก็ทำ แต่ชั้น..คงพอแค่นี้"
"จีโฮ นายใจเย็นๆสิ ถ้าไม่ทำงานนี้ นายจะอยู่ที่นี่ได้ไงกระเป๋าตังค์พวกเราถูกขโมยไปหมดแล้วนะ แล้วนายก็ติดต่อให้คนที่เกาหลีรู้ไม่ได้ ว่านายแอบมาเมืองไทย"
"งานเด็กเสิร์ฟ ในร้านอาหารเนี่ยนะ เราเป็นใคร แกบ้าไปแล้วเหรอ"
"แต่นายจะสืบหาพ่อแม่ไม่ใช่เหรอ จะมีอะไรได้เจอคนเยอะ เท่าเป็นเด็กเสิร์ฟอีกวะ"
"แต่จะให้ชั้นเป็นลูกจ้างของยัยคุณหนูนิสัยเสียคนนี้เหรอ"
ทันใด เป้ยเดินเริดๆเชิดๆเข้ามา
"ใครคือ..."
ทั้งคู่หันไปมองตามเสียงเป้ย แต่ภาพที่จุนจีหันไปเจอกลับกลายเป็นพิมพ์พิลาศ
"จักร !"
จุนจีหยุดกึกทันที พยายามจ้องแต่พบว่า พิมพ์พิลาศหายไปแล้วเป็นเป้ยที่ยืนอยู่แทน จุนจี มองผ่านไปด้านหลังเห็นเป็นพิมพ์พิลาศยืนอยู่
"จักร!"
จุนจีตกใจ รีบหันกลับมาจ้องซองซู นึกว่าซองซูพูด
"นายเรียกชั้นว่าอะไรนะ"
ซองซูงง
"อะไร..ก็จีโฮไง ชั้นไม่ผิดนะ"
"คัท!"
สิ้นเสียงคำว่า “คัท” ทีมงานทุกฝ่ายลุกพรึ่บเข้าไปรุมจุนจี ซับหน้า เติมหน้า ซับเหงื่อที่แขน เซ็ตผม ดื่มน้ำ...ราวผึ้งแตกรัง
"จุนจี..ตกใจอะไรครับ ฉากนี้ง่ายที่สุดแล้ว บทพูดก็สั้นๆ เอาใหม่นะ ทุกฝ่ายประจำที่" ผู้กำกับฯบอก
สิ้นคำว่า “ประจำที่”...ทีมงานทุกฝ่ายก็ผละจากจุนจี วิ่งปรู๊ดกลับไปนั่งประจำที่ของตน
ซองซูข่มๆจุนจี
"ตั้งใจเล่นหน่อยสิ"
"ห้า สี่ สาม สอง แอกชัน!"
บทสนทนาของจุนจีกับซองซูดำเนินมาถึงบทที่เป้ยเดินเชิดเข้ามา
"ใครคือ คุณหนูนิสัยเสีย"
แต่จุนจีกลับได้ยินเป้ยเรียกว่า “จักร” ด้วยน้ำเสียงของพิมพ์พิลาศ จุนจีหยุดกึก
ซองซูรีบเล่นต่อไป ไม่อยากเทก
"มิส..ไอม์ซอรี่..ขอโทษครับ คุณหนู คุณหนูอย่าไปถือสาไอ้จีโฮมันนะครับ มันไม่ค่อยรู้ภาษาไทยน่ะครับ ก็เลยใช้คำผิดๆ ที่จริง มันตั้งใจจะพูดว่า..คุณหนูคนสวย"
จุนจีจะเล่นต่อไป แต่พิมพ์พิลาศมายืนข้างๆจุนจี ในระยะประชิด
"จักร!"
จุนจีหันขวับไปตามทิศที่มาของเสียง แต่ไม่พบอะไร ทีมงานทุกคน รวมทั้งเป้ย อึ้งๆกับอาการของเขา ทุกคนยกมือมาประสานไว้กลางอกแบบช่วยลุ้นๆให้เขาเล่นต่อไปจนรอด ผู้กำกับฯ กำวิทยุสื่อสารแน่น ทำท่าอยากจะเขวี้ยงระบายอารมณ์ ลีจองกุ๊กอึ้ง ห่วงใย กังวลว่าเป็นอะไรอีก
จุนจียืนผงะอยู่ที่เดิม แต่แล้วพิมพ์พิลาศก็ปรากฏตัว คราวนี้มารอบทิศทาง ด้านนั้นที ด้านนี้ที รอบตัวจุนจี กลับไปกลับมา เรียกชื่อย้ำซ้ำๆ
"จักรๆๆๆๆ"
จุนจีหันกลับไปกลับมาตามทิศทางของเสียง เดี๋ยววนซ้าย เดี๋ยววนขวา พร้อมๆกับมีอาการปวดหัวหน้ามืด แล้วในที่สุด จุนจีก็วูบทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้น
"โอ๊ย!"
ผู้กำกับฯ และทีมงานทุกคนตะลึง ลุกยืนพรวดพร้อมกัน..พรึ่บ!
"เฮ้ย!" ทีมงานร้องอย่างตกใจ

พิมพ์พิลาศหายไปแล้ว จุนจีที่นั่งคุกเข่า มือกุมหัวอยู่ ตั้งสติได้ ปรับลมหายใจให้กลับมาในจังหวะที่ปกติ ค่อยๆลดมือลงแตะที่หูตัวเอง รู้สึกเหมือนมีอะไรไหลออกมา เขาดูมือตัวเองพบว่า มีเลือดที่มือ

ทีมงานทุกคนตกใจ ยกมือทาบอกพร้อมกัน..พรึ่บ!

"ฮ้า!"
จุนจีเครียด กังวลว่าเกิดอะไรขึ้นกับตน! แล้วทันใด พิมพ์พิลาศยืนอยู่ตรงหน้าจุนจี
"ฉันต้องการความยุติธรรม!"
ลีจองกุ๊กเป็นคนเดียวที่เหลือบมองจอมอนิเตอร์ เห็นว่ามีร่างผู้หญิงยืนอยู่หน้าจุนจี โดยหันหลังให้กล้อง
"เฮ้ย!"
ลีจองกุ๊กมองอีกที แต่ไม่เห็นแล้วก็รู้สึกสยองกับเหตุดังกล่าว

บริเวณกองถ่าย ที่ชั้นลอยบนร้านอาหารนั้น ลีจองกุ๊กรู้เรื่องจากจุนจี ทั้งอึ้งและงง
"นายได้ยินเสียง"
จุนจีพยักหน้า
"เสียงผู้หญิงมีอายุ"
"เรียกชื่อไทยของชั้น...จักร"
"คนที่รู้จักชื่อนี้ของนาย มีแค่ไม่กี่คนไม่ใช่เหรอ"
ที่หน้าต่างร้านอาหารชั้นลอยนั้น มือผู้หญิงสูงอายุทาเล็บแง้มม่านหน้าต่างเฝ้าดูทั้งคู่คุยกัน จากตรงนั้น
ลีจองกุ๊กสรุปได้เองแบบสยองๆ
"ใช่ใครสักคนที่ชั้นคิดเอาไว้ในใจ..มั้ย"
จุนจีรู้ว่า วิญญาณนั้นคือพิมพ์พิลาศ แต่ไม่อยากพูดถึง เก็บคำเอาไว้ เขาพยายามปั้นเรื่องให้เป็นวิทยาศาสตร์
"ชั้นว่าต้องเป็นเพราะร่างกายชั้นยังไม่หายดี ยังแข็งแรงไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ พอต้องมาทำงานกลางแจ้ง..ปัญหาในช่องหูมันก็เลยกำเริบ"
"ใช่ๆๆ นายแค่หูแว่ว วันนี้นายไม่ต้องถ่ายแล้ว ชั้นจะไปบอกผู้กำกับให้"
ทันทีที่ลีจองกุ๊กหันหลังให้จุนจี ก็ทำหน้าสยอง เพราะในใจคิดว่าต้องเป็นเสียงผีพิมพ์พิลาศแน่ๆ แต่ไม่อยากพูดต่อหน้าจุนจี
"คิดเอาไว้ว่าใช่ ต้องใช่แน่ๆ มันเป็นอะไรที่พูดยาก ต้องให้เธอแก้"
ลีจองกุ๊กรีบวิ่งปรู๊ด ลงบันไดไป
เป้ยแอบข้างบันไดจนลีจองกุ๊กพ้นไป เป้ยจึงโผล่ แล้วย่องเดินขึ้นบันไดชั้นลอยมา เห็นจุนจีนั่งเครียด เธอเสนอหน้าแทนความห่วงใยสุดๆ
"คุณจุนจี..อาการเป็นยังไงบ้างค่ะ เป้ยเอาวิตามินบีมาให้ทานค่ะ จะช่วยบรรเทาอาการที่หูได้...นี่ค่ะ"
"ขอบคุณ วางไว้ แล้วก็ลงไปได้แล้ว"
เป้ยวางยาไว้แล้วทำท่าจะออกไป แต่เห็นจุนจีเครียดเลยเข้าไปบีบนวดที่บ่าให้
"คุณทำอะไร"
"นั่งเฉยๆค่ะ อย่าเครียด สบายๆ ผ่อนคลายๆ แล้วอาการก็จะดีขึ้น เชื่อเป้ยนะคะ เป้ยเคยเรียนนวดมาก่อน"
เป้ยเอาสองมือถูๆๆกัน ให้เกิดความร้อน แล้วจะใช้อุ้งมือประกบที่หูสองข้าง จุนจีลุกและหลบทันที
"เฮ้ย จะทำอะไร"
"จะทำยังงี้ไงคะ"
เป้ยถูมือแล้วประกบหูตัวเอง
"ความอุ่นของฝ่ามือ จะช่วยให้หูของคุณผ่อนคลาย ฮ้า... ผ่อนคลายจัง มาค่ะ มาลองดู"
เป้ยตื๊อจะประกบหูจุนจีให้ได้ จุนจีหลบ ปัดป้อง ไม่ยอมให้เข้าถึงหู
"ไม่ต้องๆ ผมจะผ่อนคลายมาก ถ้าคุณให้ผมอยู่คนเดียว"
"แต่...เป้ยหวังดีนะคะ"
"ขอบคุณมาก แต่ออกไป พลีส"
"เขินอ่ะดิ กลัวเป็นข่าวอ่ะดิเป้ยเข้าใจค่ะ อ่ะเคร ไปก็ได้"
เป้ยยิ้มแย้มน่ารัก แล้วออกไป จุนจีเครียด เซ็ง

บริเวณหน้ารถโอบี ที่ดูมอนิเตอร์ หน้าร้านอาหาร ลีจองกุ๊กกำลังพนมมือศอกกางๆ ก้มหัว ขอโทษๆๆ ทุกครั้งที่ลีจองกุ๊กโค้งขอโทษ ผู้กำกับและทีมงานก็โค้งรับทุกที
"ต้องขอโทษด้วยนะครับ ขอโทษครับๆๆ"
"ไม่เป็นไรครับๆๆ" ผู้กำกับฯโค้งรับๆๆ
"ขอบคุณที่เข้าใจนะครับ ถ้าอย่างนั้น ผมขออนุญาตพาจุนจีไปหาหมอก่อนนะครับ"
ลีจองกุ๊กเดินจะกลับไป แต่พอดีว่าผ่านมุมหนึ่ง เห็นพวกช่างหน้า-ผม-เสื้อผ้ายืนจับกลุ่มคุยกันอยู่แบบซุบซิบๆ
"อาการจุนจีเหมือนถูกผีตามรังควานเลย" พงษ์ศักดิ์บอก
ลีจองกุ๊กได้ยินชื่อ หยุดกึก ถอยกลับมาฟัง
ช่างแต่งหน้าบอก
"หนูไม่ได้ตามจุนจีนะ"
"พี่หมายถึงผีจริงๆ ไม่ใช่ผีขนุน ไอ้อาการประหลาดๆ หาคำอธิบายไม่ได้แบบนี้ พี่เคยเจอมาแล้ว...เกือบเอาชีวิตไม่รอด โชคดีที่มีรุ่นน้องมาช่วยเอาไว้"
"รุ่นน้องแกปราบผีได้เหรอ"
"ปราบไม่ได้ แต่ช่วยได้ เพราะรุ่นน้องกลุ่มนี้สื่อสารกับวิญญาณได้ เขาบอกว่าวิญญาณหรือผีที่ยังวนเวียนไม่ไปผุดไปเกิด ก็เพราะรอการปลดปล่อยจากอะไรบางอย่าง พวกเขาก็แค่สื่อสารกับวิญญาณเหล่านั้นว่าต้องการอะไร แล้วก็ไปทำให้ แค่นี้เอง"
ลีจองกุ๊กโผล่เข้ามาร่วมวงหน้าเครียดเหมือนไม่พอใจ พวกพงษ์ศักดิ์กับบรรดาช่างทั้งหลายหน้าเหวอไปตามๆกัน เพราะกลัวโดนตำหนิว่าเมาท์ พวกช่างต่างรีบแยกย้ายเดินหนี ทิ้งให้พงษ์ศักดิ์เผชิญหน้ากับลีจองกุ๊ก
"รุ่นน้องของคุณอยู่ที่ไหนครับ"

เช้าวันใหม่ ที่บริษัทซิกซ์เซนส์ อินทีเรีย จำกัด ติณห์ ญาณิน ไตรรัตน์ สุคนธรส กรรัมภา ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ ญาณินหยิบห่อผ้ายันตร์ออกมา ข้างในมีตะปูพันด้าย
"ใช่อย่างที่รสสันนิษฐาน... มีคนเล่นของ ทำไสยดำใส่คุณมิรันตี"
ไตรรัตน์ถามติณห์
"มันคือใคร และต้องการอะไร"
ติณห์ส่ายหัว
"หมอสมคิดกับกำนันพงษ์ถูกทำพิธีถอนอาคมไปหมดแล้ว...มันจะมีใครอีก"
สุคนธรสบอก
"แก้ม...แกลองสัมผัสหน่อย เผื่อจะรู้ว่าใครเป็นคนทำ"
กรรัมภาสงสัย
"จับตะปูอาคมเนี่ยนะ"
"ก็จับแต่ผ้ายันต์สิจ๊ะ มันจะสื่อถึงตัวตะปูเอง"
กรรัมภามองทุกคน
"เอา...จับก็จับ"
ญาณินพยักหน้าให้มั่นใจ กรรัมภาถอดถุงมือ แล้วตั้งใจ ยื่นมือไปสัมผัสผ้ายันต์ ทุกคนลุ้นๆเผื่อจะได้เบาะแส ภาพแวบเข้ามาในหัวกรรัมภา เหมือนจอทีวีตอนสัญญาณล่ม
"ฮ้า..."
"อะไร ยัยแก้ม"
กรรัมภาไม่ตอบ หันไปมองติณห์และญาณินที่เป็นกังวลอยู่ กรรัมภาจึงตัดสินใจลองดูอีกครั้ง เธอตั้งสมาธิ แล้วสัมผัสผ้ายันต์อีกครั้ง สัมผัสพิเศษของเธอทะลุความมืดนั้นออกไปไม่ได้เหมือนเจอทางตัน กรรัมภาทึ่งสุดๆ ถอยไกลไม่รู้ตัว
"เหมือนทีวีตอนจอดับเลย เหมือนสัญญาณที่เกี่ยวกับสิ่งนี้ โดนอะไรรบกวน หรือคนที่ทำ มันสามารถกลบร่องรอย หรือตัดตอนไม่ให้ใครสืบค้นได้"
"ถ้าเป็นแบบที่แก้มว่า แปลว่าคนที่ส่งสิ่งนี้มา มันไม่ใช่หมอผีธรรมดา มันเก่งกล้ามาก"
"มากกว่าคนที่เราเคยเจอมาอีกเหรอ" ติณห์ถาม

สุคนธรสพยักหน้า ทุกคนหน้าซีด สยอง

บริเวณหลังบ้านบริษัทฯ ก้องฟ้าขุดหลุมเสร็จ สุคนธรสบริกรรมคาถาใส่ห่อของนั้น ก่อนจะวางห่อนั้นลงในหลุม เธอรับขวดน้ำมนต์ของหลวงลุงจากไตรรัตน์ ท่องคาถา แล้วราดน้ำลงไปในหลุมนั้น
 
น้ำมนต์ที่เทลงไปเกิดเดือดปุดๆแล้วเกิดควันจางๆลอยออกมา เสมือนของนั้นสลายหายกลายเป็นควันไปแล้ว จนกระทั่งน้ำมนต์ที่เทลงไปนั้นหมด
"ชั้นทำลายของสกปรกนี้แล้ว มันจะไม่สามารถให้โทษแก่ใครได้อีก ก๊องกลบเลย"
ก้องฟ้ารีบทำตามสั่ง
"โหย...พี่รสนี่ จอมขมังเวทย์เหนือเมฆตัวจริงเลยอะ"


รีสอร์ตติณห์ เวลากลางวัน วันเดียวกัน มิรันตีเดินสะโหลสะเหลออกมาจากห้องพักชั้นบน หลังฟื้นจากสลบที่ถูกเอาของออกมาจากตัว เธอเรียกหาลูก
"ติณห์...ติณห์อยู่ไหนลูก"
มิรีนตีเดินลงมาตามหา แต่ไม่เจอใครเลย หางตาเห็นเงาอะไรแว่บผ่านไป ก็รีบหันไปมอง แต่ไม่เห็นอะไร มิรันตีแปลกใจ แล้วอยู่ๆมีเสียงมีดกระทบเขียง เหมือนมีใครหั่นอะไรบางอย่างอยู่ในห้องครัว
"ติณห์..ติณห์หรือเปล่า"
ไม่มีเสียงตอบ มิรันตีเดินตามเสียงเข้าไป พอเข้าไปใกล้ครัว เสียงมีดหั่นก็ดังชัดขึ้นๆๆ แต่พอเธอโผล่หน้าเข้าไปในครัว กลับไม่พบอะไร ครัวว่างเปล่า มิรันตีฉงน
"อ้าว ก็..."
เสียงใสๆของเบญจาทักมาจากด้านหลังมิรันตี
"ตื่นแล้วเหรอคะ"
มิรันตีตกใจ
"ว้าย!"
"เบญจาเองค่ะ"
มิรันตีโล่งอก ตั้งสติได้
"เธอ ใครสั่งใครสอนให้โผล่มายังกับผียะ"
"เบญจา...เพิ่งไปจ่ายตลาดมา จะเอามาทำอาหารเช้าให้คุณทานค่ะ"
"เพิ่งจ่ายตลาดเหรอ แล้วทำไมชั้นได้ยินเสียง... สงสัยจะหูฝาด แล้วลูกชายชั้นอยู่ไหน"
"พี่ติณห์กับพี่ณินเข้ากรุงเทพไปตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ"
"ติณห์เข้ากรุงเทพ"
"ค่ะ เห็นว่าจะไปปรึกษาเพื่อนที่เชี่ยวชาญเรื่องคุณไสยเรื่องของคุณน่ะค่ะ แล้วเรื่องที่มีคนเล่นของเสกตะปูเข้าท้องคุณ เป็นเรื่องจริงใช่มั้ยคะ"
"ไร้สาระ เสกตะปูบ้าบออะไร นังนั่นก็แค่เล่นมายากลตบตาทุกคน"
"แต่พี่ณินเอาตะปูออกมาจากตัวคุณจริงๆนะคะ"
"เหลวไหล ถ้าเธอเชื่อ ก็ไปอยู่กับมันไป"
"ไม่ค่ะๆๆ อย่าไล่หนูกลับไปอยู่คนเดียวเลย หนูกลัวผี หนูไหว้ล่ะค่ะ ให้หนูอยู่ที่นี่กับคุณจนกว่าพี่ณินจะกลับมานะคะ จะให้หนูอยู่ข้างนอกก็ได้ หนูสัญญาว่าจะไม่กวนใจ ไม่สร้างความรำคาญ แต่ให้หนูอยู่กับคุณนะคะ"
เบญจาไหว้ ขอร้องสุดๆ มิรันตีมองเหยียด

ทั้งหมดประชุมกันอยู่ที่บริษัท ซิกส์เซนส์ ก้องฟ้านั่งเล่นคอมฯอยู่
"แล้วพวกคุณจะทำยังไงต่อไป" ไตรรัตน์ถาม
"ตราบใดที่เรายังไม่รู้ว่าไอ้คนที่ส่งของนี้มาคือใคร ต้องการอะไร เราต้องระมัดระวังตัวเองให้มาก จะประมาทไม่ได้" ญาณินบอก
"แม่ผมมีศัตรูที่ไหน ท่านเพิ่งมาเมืองไทยครั้งแรก ในรอบสิบกว่าปีนะครับ"
สุคนธรสถาม
"ท่านทำอะไรที่ขัดผลประโยชน์กับใครไหมคะ"
"จะให้ตอบตามตรงไหม"
"ค่ะ"
"ท่านขัดผลประโยชน์กับผม ญาณิน และแกรนด์ปาไงล่ะ ขัดเต็มๆ"
"แต่พวกเราไม่ได้ทำนะคะ คุณหลวงก็เปล่า"
"หรือว่า...คนที่ทำ จงใจ ที่จะให้ท่านเข้าใจว่า พวกเธอเป็นคนทำ" สุคนธรสว่า
ไตรรัตน์เสริม
"นั่นสิ แล้วใครล่ะ ที่คิดจะเสี้ยมให้พวกนายแตกกัน เพื่ออะไรบางอย่าง"
ญาณินกับติณห์มองหน้ากัน แล้วพูดออกมาพร้อมกัน
"ไม่มีนะ!"
"มองในแง่ร้ายสุดๆ แกอย่าโกรธชั้นนะไอ้ฝรั่ง หรือว่าแม่นายจะแกล้งทำตัวเอง" ไตรรัตน์บอก
ติณห์จ้องไตรรัตน์
"พูดแบบนี้ หมายความว่าไง"
"เอ่อ ก็...แม่คุณอาจจะไม่ชอบลูกสะใภ้...อยากจะทำให้คุณกะเจ๊เลิกกันไง" กรรัมภาบอก
ติณห์และญาณินต่างผวากอดกัน
"ไม่มีทาง!"
แล้วสองคนก็ดีใจที่ใจตรงกัน มองหน้า ส่งสายตาซึ้ง
"ญาณิน..ขอบคุณนะครับ ที่คุณจะไม่ทิ้งผม"
"ติณห์...ขอบคุณนะคะ ที่คุณจะหนักแน่น ไม่หวั่นไหว"
ไตรรัตน์กับสุคนธรสมองๆ อย่างอิจฉา
"แหม...หวานจริงนะ"
"ทำไมพวกเธอใจตรงกันจังเลยล่ะ" สุคนธรสถาม
"ทำไมนายท่าทางเหมือนอิจฉาเราล่ะ" ติณห์ถาม
ไตรรัตน์ สุคนธรสมองหน้ากัน แล้วต่างรีบฉีกยิ้ม ปฎิเสธ ก้องฟ้าดูจอคอมฯ แล้วพบข่าวปาร์คจุนจี
"ปาร์คจุนจีล้มกลางละคร ถ่ายต่อไม่ไหว หามส่งโรงพยาบาลด่วน !"
กรรัมภาหันมองขวับ...ร้องกรี๊ดเสียงดัง
กรรัมภาก้มมาอ่าน
"จริงเหรอ โห...พวกคนกองถ่ายใจร้าย จุนจียังไม่หายดีก็ใช้งานไม่ให้ได้พัก..ชั้นต้องทำอะไรปลอบใจจุนจี"
กรรัมภาวิ่งเข้าบ้าน

ทันใดมีเสียงคนกดกริ่งที่หน้าบ้านดังมา ทั้งหมดหันไป

พงษ์ศักดิ์กำลังกดกริ่ง แล้วหยิบนามบัตรมาดูเทียบชื่อบริษัท
 
"บริษัทซิกซ์เซนส์ ที่นี่แหละครับ"
เจ้าที่ปรากฎกายบอก
"ลูกค้าเหรอ แหม บริษัทนี้มันดึงดูดแต่ลูกค้าผู้ชายจริงๆ...อ้อ ที่นี่ อาหาร เครื่องดื่ม สัตว์เลี้ยง นำเข้าไปได้ อย่างเดียวที่เข้าไม่ได้คือ สิ่งมีชีวิตที่อดีตเคยเป็นคน..ห้ามเข้า!"
ก้องฟ้าเดินออกมา มองเจ้าที่แบบตำหนิๆ
"เอาอีกแล้ว น้า เป็นยามทำไมไม่เปิดประตูรับเค้าล่ะ โห่ อู้งานตลอดๆ เปิดเองก็ได้วะ"
ก้องฟ้ารีบฉีกยิ้มไปเปิดประตูรั้ว
"บริษัทซิกซ์เซนส์อินทีเรีย สวัสดีครับ"
พงษ์ศักดิ์มองงงๆ ที่ก้องฟ้าคุยคนเดียว ลีจองกุ๊ก ก้าวลงมาจากรถ
"อันนยองฮาเซโย"
ก้องฟ้างง
"คนเกาหลีเหรอ...เอ่อ อ้อ...ซารังเฮโย"
ก้องฟ้าทำท่าหัวใจแทนคำตอบ

เจ้าที่แว๊บเข้ามาทำท่าป้องปาก ส่งเสียงดังเอคโค่ไปทั้งบ้าน เหมือนเสียงพิธีกรงานวัด
"ท่านผู้มีอุปการคุณโปรดทราบ มีลูกค้ามา1รายแล้วครับ!"
เนตรสิตางศุ์ถือถาดขนมวิ่งเข้ามา กรรณาวิ่งมาจากอีกห้อง สุคนธรส ญาณินเดินเข้ามาจากหน้าบ้านด้วยกัน
"ลูกค้ามา!"
เจ้าที่บอก
"เอ้า รีบทำผักชีโรยหน้าเร็วๆ ก่อนลูกค้าจะนึกว่าที่นี่เป็นโรงงานคัดแยกขยะ"
ในขณะที่คนอื่นรีบตาลีตาเหลือกจัดบ้าน กรรัมภาเดินโทรศัพท์เข้ามา ง่วนกับการเช็กข่าวของจุนจี
"จุนจีป่วยหนัก...แต่ไม่ได้ไปโรงพยาบาล อ้าว แล้วจุนจีไปไหน"
สุคนธรสพยายามจะเคลื่อนโต๊ะเก้าอี้ให้เข้าที่
"ยัยแก้ม หยุดเรื่องปาร์คจุนจีแล้วมาช่วยกันก่อน"
"จุนจีเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้ ชั้นไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรทั้งนั้น"
กรรัมภาแยกไปโทรศัพท์อีกด้าน หันหลังให้พวกสาวๆ
"ยัยแก้มนี่เยอะมากขึ้นทุกวัน คราวที่แล้วเนตรยังไม่ได้คิดบัญชีเลยนะ"
ก้องฟ้ารีบจ้ำเข้ามา
"ลูกค้ามาแล้วคร้าบ"
"เฮ้ย...ยังเก็บของไม่เสร็จเลย" ญาณินบอก
พงษ์ศักดิ์เดินเข้ามา
"ว่ายังไงจ้ะสาวๆ จำรุ่นพี่คนนี้ได้หรือเปล่า"
4 สาวโพล่งพร้อมกัน
"พี่ป๋อง!"
"โธ่ พี่ป๋อง เราก็นึกว่าลูกค้าจริงๆ" ญาณินบอก
"ก็ลูกค้าจริงๆน่ะสิ ดูสิ ว่าพี่พาใครมา"
ลีจองกุ๊กเข้ามาโค้ง
"อันนยองฮาเซโย"
4 สาวโค้งรับ
"สวัสดีค่ะ"
"คนมีปัญหาไม่ใช่ผมนะครับ แต่คือคนนี้"
ลีจองกุ๊กหันไป เพราะนึกว่าจุนจียืนข้างหลังตน แต่ปรากฏว่าจุนจียังยืนอยู่ด้านหน้าทางเข้า ไม่ยอมเข้ามา
"อ้าว..เข้ามาสิ"
ลีจองกุ๊กกวักมือเรียก จุนจียืนเซ็งๆ ใส่แว่นกันแดด สวมหมวกปิดบังตัวเองตามปกติของซุปตาร์
"นี่ไม่ใช่โรงพยาบาล นายพาชั้นมาที่นี่ทำไม"
พวก 4 สาวมองตามไป คุ้นหน้าจุนจี แต่จำไม่ได้
เนตรศิตางศุ์บอก
"เอ๊ะ...คุ้นๆ เนตรว่าเนตรเคยเห็นเกาหลี 2 คนนี้นะ"
"ใช่ๆๆ ชั้นก็คุ้นมากๆ" กรรณาบอก
ก้องฟ้าบอก
"เหมือนปาร์คจุนจีเลยเนอะ พวกเกาหลีก็เงี้ย ทำหน้าพิมพ์เดียวกันหมดทั้งประเทศแหละ"
อยู่ๆกรรัมภาก็เดินโทรศัพท์ออกมา ท่าทางรีบร้อน
"เคๆๆ จะรีบไป"
กรรัมภาวางสายแล้วบอกเพื่อน
"นี่ พวกแก...ชั้นขอตัวนะวันนี้ จะไปตามหาหัวใจ"
กรรัมภาเดินไปเก็บของ ก้มหยิบกระเป๋าส่วนตัว ไม่ได้สนใจพวก 4 สาว เธอเดินแหวก จะออกไป แต่แล้วต้องชะงัก เพราะเห็นจุนจียืนอยู่กับลีจองกุ๊ก แม้จุนจีจะสวมแว่นกันแดด แต่กรรัมภาก็รับรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่าคือใคร กรรัมภายืนช็อก อ้าปากค้าง ตัวแข็งเป็นรูปปั้น
แล้วทันใด จุนจีถอดแว่นกันแดดออก กรรัมภาเห็นหน้าจุนจีอยู่ตรงหน้า ถึงกับตัวสั่น ปากสั่น อยากจะกรีดร้อง แต่ไม่มีเสียงใดหลุดออกมา แล้วก็รีบกลับหลังหัน..ขวับ!
"เป็นอะไรยัยแก้ม"
"จะ...จุน...จุนจี ปาร์คจุนจี"
เนตรสิตางศุ์จำจุนจีได้ทันที ยกมือปิดปากแบบไม่อยากเชื่อ ตะลึงงัน จุนจีเดินเข้ามาหยุดที่ด้านหลังแก้ม
"นายจะให้ชั้นมาพบผู้หญิงพวกนี้เหรอ"

กรรัมภาได้ยินเสียง ขนคอลุกชัน สติแตก เผลอร้อง "อร๊าย!" แล้วหอบของทั้งหมดวิ่งหนีไปหลังบ้าน จุนจีมองตามไปอย่างงงๆ ว่าเธอคนนั้นเป็นอะไร พวกสาวๆ ยิ้มแหะๆ กลบเกลื่อน
 
อ่านต่อตอนที่ 4
กำลังโหลดความคิดเห็น