ปีกมาร ตอนที่ 4
ทางด้านผจงจิตซึ่งเดินทางล่วงหน้ามาก่อน เข้ามายืนรอที่สถานีปลายทางและกำลังรอให้รถไฟเข้าเทียบชานชาลา สักครู่ศลัยลาก้าวลงมา
“ส่งกระเป๋ามาซี ฉันช่วยถือ”
“ไม่ต้องหรอก รอนานมั้ย”
“สักครึ่งชั่วโมง รถเสียเวลาไปเกือบยี่สิบนาทีนะ ไป..เราต้องนั่งรถไปอีกไกล ฉันเอารถของหน่วยมารับ จอดอยู่ทางโน้น”
ศลัยลา และผจงจิตเดินออกไป ลายสือเพิ่งจะลงมาจากรถไฟ มองตามศลัยลาไปด้วยแววตาขบขัน
ไม่นานต่อมา ที่หน่วยโบราณคดีภาคอีสาน ศลัยลาถือกระเป๋าเข้ามากับผจงจิต เห็นมีกิจกรรมของค่ายพักแรม ต่างๆ ผู้คนใส่ผ้าพันคอบ้าง เสื้อหนาวบ้าง เพราะอากาศเย็น
“ที่นี่กลางคืนอากาศเย็นจัดนะ ศลัย แล้วมันก็เงียบ ก็ดีเหมือนกันนะ เธอจะได้ถามตัวเองให้แน่ คนเราน่ะ...เวลามีอารมณ์ เหตุผลมันก็วิ่งหนี เรื่องครอบครัวเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เธอตัดสินใจอะไรต้องสุขุมรอบคอบ” ผจงจิตเตือนอย่างห่วงใย
“ถ้าฉันได้ลูกคืนมา ฉันจะเลี้ยงลูกยังไงนี่ ฉันไม่เคยเลี้ยงลูกเลยนะ”
“นั่นแหละปัญหาละ เป็นแม่น่ะ..ต้องชนะคนอื่นอยู่แล้ว แต่คุณมีงาน ภูฉายเขาก็มี คุณแม่เขาถึงยังไงก็รักหลาน ชั่วดีถี่ห่างก็ยังเป็นหลานเป็นย่า”
“ฉันกับภูคงไปกันไม่รอด มันเหมือนตุ๊กตากระเบื้องที่แตกแล้ว ถึงสานได้เนื้อมันก็ไม่เหมือนเก่า”
ผจงจิตโอบไหล่อย่างปลอบโยน
“เธอถึงต้องการเวลาไงล่ะ”
ศลัยลาสบสายตาของผจงจิต พยักหน้าอย่างเข้าใจ
ที่พักนักศึกษาด้านนอก อาจารย์อังเดร ลายสือ ผลึกและนักศึกษาทั้งกลุ่ม กำลังปรึกษางานกันเงียบๆ ผลึกนั่งดื่มน้ำพักเหนื่อย ลายสือถือกระเป๋าเข้ามา
“อ้าวไอสือ มาแล้วหรอ”
ผลึกทักทายสายสือ เสมือนเจ้าถิ่น
“นี่ เอ็งรู้มั้ยที่นี่นะกลางวันร้อนยังกับรามสูรเอาขวานมาจามหัว กลางคืนก็เย็นเจี๊ยบเสียจนยะเยือกหมดไปทั้งตัว ดีนะ...ได้ไอ้นี่...ไอ้เพื่อนแท้”
ผลึกเอาเอาเหล้าขาวให้ลายสือดู ไม่ให้อังเดรเห็น
“มันไม่ขัดคอ...มันไม่อ้อแอ้...ไม่กวนตีน...ไม่งี่เง่า มันเมาเป็นเพื่อนทั้งคืน..เชื่อกูเต๊อะ!”
ลายสือทำหน้างง ผลึกคุยต่อ
“ก็หมู่บ้านที่นี่น่ะเงียบเป็นบ้า หลังตะวันตกดินชาวบ้านดับตะเกียงนอนกันทั้งหมู่บ้าน แมวขโมยเลยกลายเป็น แมวหง่าวว่ะ จะมีก็แต่สาวๆกองโบราณคดี ฝั่งโน้นที่พอจะแก้ขัด ได้เท่านั้น แต่แก่ว่ะ”
ลายสือมองไปทางที่ผลึกบอกเห็นศลัยลา ลายสือยิ้มเหมือนมีอะไรบางอย่างในใจ
ส่วนที่กรุงเทพฯ สภาพบ้านเงียบเหงา ภูฉายเปิดประตูเข้ามากวาดตามองไปรอบๆ
อย่างเคว้งคว้าง คิดถึงครั้งที่ยังมีศลัยลาอยู่
เข็มก้าวเข้ามา
“คุณภู”
“คุณศลัยโทร. มาบ้างหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ เอ้อ...คืนนี้คุณภูจะค้างที่นี่มั้ยคะ เข็มจะได้ปิดประตูรั้ว”
"ฉันจะค้าง"
ภูฉายพยักหน้าบอกเศร้าๆ เข็มเดินออกไปแล้ว ภูฉายเดินมาหยุดหน้ารูปแต่งงาน หยิบขึ้นมาจ้องมองด้วยความรู้สึกปวดร้าวใจ
ส่วนศลัยลาและผจงจิตอยู่ที่บ้านพักเจ้าหน้าที่แล้ว ศลัยลาเดินห่มผ้าคลุมไหล่ผืนสวย ห่อตัวเพราะอากาศที่หนาวเย็น ยินเสียงดนตรีพื้นบ้านอีสาน มีเสียงแคนนำ ดังแว่วๆ เข้ามาเบาๆ ผจงจิตเดินสวนทางเข้ามา ด้วยท่าทีหนาวเหน็บ
“โอ้ย ไม่ไหว มีพวกเล่นรอบกองไฟทางโน้นแน่ะ”
ศลัยลาทัก “หนาวนะ”
“งั้นรีบไปอาศัยไออุ่นจากกองไฟโน่น ฉันจะเข้าไปอยู่ในโปงของฉันแล้วนะ”
ผจงจิตเดินขึ้นบ้านพัก ศลัยลาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า คิดถึงภูฉายจับใจ
เช่นเดียวกัน ภูฉายนั่งอยู่บนเตียงนอนในห้องนอน ที่ครั้งหนึ่งเคยมีศลัยลา ภาพสุดท้ายของภูฉายและศลัยลาที่จากกันที่สถานีรถไฟ
ภูฉายซบหน้ากับฝ่ามืออย่างปวดร้าว โทรศัพท์ดังขึ้น ภูฉายผวาเข้ามารับสายด้วยความดีใจ
“ศลัย”
ปรากฏว่าไม่ใช่คนที่ภูฉายรอสาย สลักกระแทกเสียงใส่โทรศัพท์อย่างโกรธจัด
“ไม่ใช่ .. นี่แม่เอง..แม่..ไม่ใช่นังศลัยลาหรอก อ้อ..นี่แกกลับไปนอนบ้าน ไปรอโทรศัพท์เมียแกซีนะ แกไม่ได้ห่วงแม่ที่ต้องเลี้ยงลูกแกทั้งวันทั้งคืนเลยนะภู เอาเถอะ..อีกหน่อยเมียแกก็มาแย่งตาหนูคืนไปจากฉันแล้วนี่ แกจะมาเห็นความสำคัญอะไรกับอีแก่หัวหงอกนี่ล่ะ ฮึ”
สลักกระแทกโทรศัพท์ลง หันไปค้อนละมัยระบายอารมณ์
“หมั่นไส้ หายใจหายคอเป็นนังศลัยลานัก”
บริเวณกองไฟหน้าที่พักของนักศึกษาฝึกงาน มือแคนกำลังเป่าแคนอยู่ในกลุ่มของผลึกและเพื่อนนักศึกษา ลายสือนั่งอยู่อีกมุม มองเงียบๆ
ศลัยลาเดินเข้ามายืนอยู่มุมหนึ่ง ลายสือเห็นศลัยลาและจำได้
“คุณ...เฮ้..ผมจำคุณได้ เราเคยพบกันบนรถไฟไงครับ ผมเห็นคุณ..เอ้อ..”
“ค่ะ ฉันจำได้ ไม่รู้ว่าขอบคุณคุณหรือยังสำหรับผ้าเช็ดหน้า”
แววตาศลัยลาแปลกใจ ท่าทีไว้ตัว เพราะอายุมากกว่าลายสือ
“ผมเสียใจด้วยนะ ที่ผู้ชายคนหนึ่งทำให้คุณร้องไห้”
แววตาของศลัยลาวาวววับด้วยไม่พอใจ
“ไม่เป็นไรค่ะ ผู้ชายที่คุณว่าน่ะ..สามีของฉันเอง”
สองคนต่างสบสายตากันและกันนิ่งนาน
เช้าวันต่อมาภาษิตนั่งกินขนม พลางอ่านตำราเตรียมสอบ นวลนภาก้าวเข้ามา สีหน้าอย่างกังวลกับปัญหาของศลัยลา
“ศลัยนี่แปลก ไปถึงแล้วข่าวคราวก็ไม่ส่งมาบอกกันบ้าง”
“คุณแม่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เขาไปกันเป็นโครงการใหญ่ เพื่อนผมไอ้สือกับไอ้ผลึกมันถูกส่งไปฝึกงานที่นั่น”
“ภูฉายก็ไม่เคยโทร.มาเลย ไม่รู้ตาหนูเป็นยังไงบ้าง”
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ คุณนายสลักแกคงเลี้ยงถนอมเหมือนไข่ทิ้งไข่ขว้าง สมใจละ..ตอนนี้ได้เลี้ยงทั้งลูกทั้งหลาน!”
นวลนภาเอ็ด “พูดเข้า แกน่ะดีแต่ค่อนคุณสลักเขา”
“คนแบบนี้เป็นพวกมีปัญหาทางจิต เคยถูกทอดทิ้งมาก่อนเลยทนให้ลูกหลานลืมไม่ได้ เหมือน...เหมือน...ใครนะ เพื่อนพี่ศลัยท่านทนายใหญ่นะครับ..นั่นน่ะ..แววเริ่มปรากฏ”
“แววอะไร”
“แววขึ้นคาน!”
ภาษิตหมั่นไส้เพียรภมร พูดประชด
ด้านเพียรภมรกำลังนำตัวราตรีลูกความขึ้นศาลในคดีฟ้องหย่าสามี รถยนต์คันหนึ่งแล่นเข้ามาจอด ทนายฝ่ายจำเลยนำตัวทวัสลงมา
ทวัสวิ่งมาดึงแขนราตรี แสร้งคร่ำครวญอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร
“คุณ...ผมรักคุณนะ ผมไม่ได้ตั้งใจทำร้ายคุณ คุณก็รู้นี่...ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”
ทนายห้าม “คุณทวัสครับ อย่าครับ เรากำลังเป็นคู่ความกันนะ”
“คุณไม่ต้องยุ่ง คุณเป็นทนาย แต่นี่เมียผม..เมียที่ให้ผมทุกอย่าง เมียที่สร้างผมจากคนข้างถนน ผมเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาได้ผมจะอกตัญญูเมียผมด้วยการหย่าหรือ...ไม่..ผมทำไม่ได้จริงๆ คุณ...”
จากนั้นค่อยๆ ทรุดตัวลงกอดขา ซบหน้าร้องไห้
“อย่าทิ้งผมไป..ผมจะมีชีวิตอยู่ได้ยังไง ถ้าผมไม่มีคุณคอยจุดเทียนส่องทางให้...คุณลืมแล้วหรือ เราเคยสัญญาว่าจะอยู่ร่วมกันใช้ชีวิตอย่างผัวเมียจนกว่า…”
“จนกว่าลูกความของฉันจะหมดเนื้อหมดตัวใช่มั้ย!” เพียรภมรต่อให้
“คุณไม่เข้าใจ...ผมไม่ได้ตั้งใจทำร้ายเมียผมนะ มัน...มันเป็นเหตุสุดวิสัย ผมหึง..ผมหวงเมียผม”
เจอการแสดงชุดใหญ่ท่าทีของราตรี เริ่มลังเลเพราะยังเหลือความรักอยู่ในจิตใจ
“เตือนลูกความของคุณ ปล่อยลูกความของฉันเดี๋ยวนี้!” เพียรภมรบอกทนายอีกฝ่าย
“คุณทวัสครับ ไปสู้กันในศาลดีกว่าครับ”
“ไม่...เรื่องของผมกับเมีย ศาลจะมารู้ตื้นลึกหนาบางได้ยังไง คุณ...ให้ผมกราบคุณผมก็ทำได้นะ ผมรักคุณ...ชีวิตผมขาดคุณไม่ได้...ผมขอร้อง...ผมขอร้องนะ...ผมรักคุณ ผมขาดคุณไม่ได้จริงๆ”
เพียรภมรมองหน้าลูกความเป็นเชิงบังคับ ราตรีหลบสายตาของเพียรภมร ดึงตัวสามีเข้ามากอด ร้องไห้โฮ
“ฉันก็รักคุณค่ะ ฉันรักคุณ”
เพียรภมรกระอักกระอ่วนสุดขีด
เวลาต่อมาเพียรภมรเดินเข้ามาหยุดหน้าบ้านเช่า ได้ยินเสียงฉวีกับ สุเทพ ผัวใหม่ทุบตีกัน
“บอกว่าไปเล่นไพ่ก็ไม่เชื่อ ทีเอ็งล่ะ..ไปนอนค้างในซ่องทั้งคืน ข้ายังไม่พูดสักคำ เงินทองของมีค่าเท่าไหร่ ก็เอาไปหมด เอ็ง..ไอ้…”
“นี่แน่ะ..นี่..ปากดีนักนะ พูดคำด่าคำยังงี้จะเจริญได้ไงวะ มีเมียอย่างเอ็งถึงต้องนอนตกงานอยู่นี่!”
“ไอ้..ช่วยด้วย..ช่วยด้วย…”
ฉวีวิ่งหนีผัวใหม่ออกมาหน้าบ้าน ผัวใหม่วิ่งตามมา จะตบฉวี
ต่างชะงักเมื่อเห็นเพียรภมรยืนมองอยู่ด้วยแววตาแข็งกระด้าง
ฉวีอีกอัก “เอ้อ..อ้อ..”
“เออ สิ้นเดือนแล้วนี่หว่า เอาเงินมาให้ใช่มั้ย”
“อย่าไปให้มันนะ ต้องให้แม่..แม่เป็นแม่ของเอ็ง ส่วนไอ้นี่น่ะมันเป็น…”
“อยากเจ็บตัวอีกหรือนังหวี”
“หยุดนะ ..ถ้าแกไม่หยุด ฉันจะเอาแกเข้าคุก” เพียรภมรเสียงเข้ม
สุเทพค่อยๆ ลดมือลง เยาะๆ เพียรภมร
“งั้นก็ถามแม่เอ็งซะ ว่ามันจะยอมให้ผัวอย่างข้าเข้าไปนอนในกรง หรือว่า...มันจะยอมให้เงินผัวดีๆ”
เพียรภมรหันไปจ้องมองแม่ ฉวีหน้าเจื่อนๆ เพราะยังรักผัวใหม่อยู่
“เอ้อ..อ้า…”
เพียรภมรเปิดประตูอพาตเมนท์เข้ามา วางกระเป๋าเอกสารลงอย่างอย่างแรง เพียรภมรเกรี้ยวกราดโกรธ ที่ลูกความอ่อนแอ
“ทำไม..ผู้หญิงถึงได้เหมือนกันหมด จะขี้แพ้เหมือนกันทั้งโลกหรือยังไง..!”
ขณะเดียวกัน อังเดร และนักศึกษาและนักโบราณคดี อยู่ที่ไซต์งาน ศลัยลานั่งทำงานอยู่กับโครงกระดูกมนุษย์โบราณที่ฝังอยู่ในดิน กำลังใช้แปรงปัดๆ ฝุ่นอย่างเบามือ เพื่อรักษาสภาพของธรรมชาติไว้อย่างเดิม ลายสือเดินเข้ามานั่งใกล้ๆ
“มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ”
“คุณอยากช่วยหรือ”
“เป็นโครงกระดูกที่ค่อนข้างสมบูรณ์ ฟันยังอยู่ครบทุกซี่ เจ้าของโครงกระดูกต้องเป็นคนร่างสูงใหญ่ ทำงานหนัก มีช่วงแขนขาที่แข็งแรง คนโบราณตายตามวัยเพราะไม่ต้องต่อสู้กับโรคใหม่ๆ ที่หมอต้องวิ่งตามเชื้อโรค” ลายสือบอกอย่างแตกฉาน
“คุณก็เลยอยากเกิดเป็นเชื้อโรคซีนะ มันไม่มีรักชอบเกลียดชังนี่”
ลายสือจ้องมองศลัยลาด้วยความสนใจ โดยที่ศลัยลาไม่รู้ตัว
ศลัยลามีลักษณะเป็นผู้ใหญ่กว่า อันเป็นลักษณะพิเศษที่ทำให้ลายสือรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่เข้าใกล้ เพราะลายสือเป็นคนขาดแม่
“คุณรู้ได้ไง”
“เพราะเชื้อโรคมันคงจะมีธรรมชาติของมันเอง เหมือนที่เรากำลังหาคำตอบในอดีต ว่าคนยุคเก่าๆ เขามีความเป็นอยู่ มีวัฒนธรรมยังไง”
“แล้วคุณก็พยายามเข้าใจสรรพสิ่ง แม้แต่...เชื้อโรค ถ้าคุณทำได้ยังงั้นคุณคงจะไม่ต้องร้องไห้ขี้มูกโป่ง!”
ศลัยลาชะงัก มองหน้าลายสือ แววตานิ่งขรึมลง
“คุณยังเด็กมากนะ หนุ่มน้อย คุณยังไม่เข้าใจชีวิตเหมือนอย่างที่ฉันเข้าใจ”
แววตาลายสือวาบขึ้น ด้วยไม่พอใจ จ้องหน้า ขู่เข้ม
“อย่าเรียกผมยังงี้นะ”
“ทำไม”
“เพราะคำว่าหนุ่มน้อยของคุณน่ะ มันทำให้เลือดหนุ่มของผมเดือดพล่าน ผมไม่ชอบให้ผู้หญิงท้าทาย โดยเฉพาะ...ผู้หญิงแก่ๆ อย่างคุณ!”
ลายสือผละไปด้วยความโกรธเอามากๆ ศลัยลามองตามด้วยความแปลกใจ โกรธอะไรขนาดนี้!
อ่านต่อหน้า 2
ปีกมาร ตอนที่ 4 (ต่อ)
ฟากภูฉายยืนมองลูกน้อยอย่างเหงาเศร้า ละมัยนั่งพับผ้าอ้อมอยู่ สลักเดินเข้ามา ทักทายน้ำเสียงอ่อนโยน
“ไปอาบน้ำเสียซีภู เดี๋ยวจะได้กินข้าวกับแม่”
“ผมไม่ได้ข่าวศลัยเลยนะครับ แม่”
สลักแดกดันทันที “คงจงใจจะทำให้แกหัวปั่นน่ะซี ถือว่ามีความเป็นเมียเป็นเครื่องต่อรอง แกอย่ายอมเชียวนะภูฉาย ไอ้ความคิดเรื่องเอาลูกไปเลี้ยงเอง ก็คงโคตรเง่าทางโน้นคิด เงินตั้งหมื่นห้าค่าเลี้ยง ใครไม่อยากได้ก็โง่ละ”
ภูฉายไม่ตอบโต้ใดๆ หันมาทางละมัย “มัย ตาหนูอาบน้ำยัง”
“ยังค่ะ”
“ไปเตรียมน้ำอุ่นไว้นะ ฉันจะอาบน้ำให้ลูก
“ค่ะ” ละมัยรับคำ
“ไปเร็ว ไปอาบน้ำกับพ่อนะลูกนะ”
ภูฉายอุ้มลูกออกไป สลักมองตาม สีหน้าน้อยใจ พึมพำเบาๆ
“ดูซี พอมีลูกก็ลืมแม่!”
ท้องฟ้ายามเย็นมืดครึ้ม บอกว่าอีกไม่นานพายุฝนคงตกหนัก ยินเสียงแคนแผ่วมาไกลๆ ศลัยลาเดินลงมาจากบ้านพัก กำลังจะออกไปยังหลุมขุด แต่ง ชะงักเมื่อเห็นลายสือ
“มีอะไรหรือคุณ”
“ฝนทำท่าจะตก ผมว่าวันนี้คงต้องงดงานขุด-แต่ง”
ศลัยลามองไปยังท้องฟ้า
“ฉันว่าคงไม่ ฟ้าฝนที่ไหนๆ ก็เอาแน่ไม่ได้”
“คุณ...คุณ...”
ศลัยลาเดินออกไปไม่เหลียวหลัง ลายสือมองตาม พลางส่ายหน้าเซ็งๆ
“ไม่ฟังเลย”
ที่บริเวณหลุมขุดแต่ง ซากโบราณคดี ฝนฟ้าเทกระหน่ำ พายุฝนเริ่มโหมแรง ผู้คนพากันวิ่งหาที่หลบฝน ศลัยลารีบเก็บข้าวของ ก่อนวิ่งเข้าไปหลบในซอกปรักพังของโบราณสถาน และชนเข้ากับลายสือซึ่งวิ่งเข้ามาเช่นกัน
“ผมบอกแล้วว่าฝนจะตกคุณก็ไม่เชื่อ”
“ใครจะไปนึกว่าคุณเป็นเทวดา รู้ฟ้ารู้ฝน”
“เสื้อของผม...”
ลายสือถอดเสื้อแจ๊คเก็ตตัวเองส่งให้ศลัยลา
“ไม่ต้อง ฉันไม่ใช่คนกระหม่อมบาง”
“เรื่องเจ็บป่วยน่ะ มันไม่เกี่ยวกับใครกระหม่อมหนา ใครกระหม่อมบางหรอก มันอยู่ที่ภูมิต้านทาน”
ศลัยลาจำต้องรับเสื้อ ด้วยท่าทีทะนง ลายสือกำชับ
“ใส่ซะ ผู้หญิงมีหน้าที่ต้องรับความช่วยเหลือจากผู้ชาย ใส่เสื้อกันหนาวกันลม คุณจะได้ไม่เป็นหวัด”
ศลัยลามองหน้าลายสือนิ่งๆ ก่อนยอมสวมเสื้อ
“แล้วคุณล่ะ”
“ผม…”
ลายสือยิ้มหยิ่งๆ
“สะ..บาย!”
ลายสือกลับมาถึงห้องพัก ก็นอนคลุมโปงเพราะเริ่มมีอาการไข้หวัด ส่งเสียงจาม อยู่ในโปงผ้าห่ม
“ฮาด..เช้ยยย”
ผลึกเปิดประตูเข้ามา มองด้วยความสงสัย
“สือ..สือโว้ย ลายสือ เป็นอะไรวะ นอนคลุมโปงทำไม”
ลายสือค่อยๆ โผล่ออกมาจากโปง มีไข้ตัวร้อน ใบหน้าร่วงโรย
“ไอ้สือ ไม่สบายหรือวะ มา..ให้พ่อจับตัวหน่อย เฮ้ย..ตัวร้อนเป็นไฟเลยว่ะ สงสัยจะเป็นหวัดสายพันธ์ใหม่ ฉันจะไปหายาให้แก”
“เฮ้ย ไม่ต้อง”
“ทำไมวะ”
“ฉันแค่มีไข้เพราะโดนฝนเมื่อเย็น นอนพักเดี๋ยวก็หาย ไม่เป็นไรหรอก”
“แกแน่ใจนะ”
ลายสือพยายามฝืนยิ้ม
“ฉัน...ไม่เป็นไร”
วันต่อมาศลัยลาทำงานขุดแต่งอยู่ที่หลุมหนึ่ง มองไปยังนักศึกษา เห็นอาจารอังเดรและผลึกที่ทำงานอยู่กลางโบราณสถาน ศลัยลานิ่วหน้าด้วยความแปลกใจที่ไม่เห็นลายสือ
ที่แท้ลายสือนอนซมเพราะพิษไข้อยู่ในห้องพักคนเดียว ศลัยลาเปิดประตู หยุดยืนอยู่ภายนอก ก่อนก้าวเข้ามาในห้องพร้อมเสื้อแจ๊คเก็ตของลายสือ
“คุณ ฉันเอาเสื้อมาคืน เป็นอะไร ไม่สบายหรือ”
ศลัยลาก้าวเข้ามา แตะมืออังที่หน้าผากของลายสือ
“ตัวร้อนนี่ นี่คงจะเป็นเพราะตากฝนเมื่อวาน กระหม่อมไม่ค่อยหนาเลยนะเราน่ะ นี่..ฉันเอาหายาแก้ไข้มาให้ ฉันวางไว้ที่นี่นะ นี่น้ำ”
ศลัยลาขยับจะก้าวออกไป ลายสือคว้ามือของศลัยลาไว้ ริมฝีปากสั่นสะท้านเพราะพิษไข้
“คุณรู้ได้ยังไง”
“ฉันไม่เห็นคุณที่หลุมขุดแต่ง ก็เลยคิดว่าคุณคงไม่สบาย ลุกขึ้นมากินยา”
ลายสือชักสีหน้า ไม่พอใจ “ไม่ต้อง ผมไม่ตายง่ายๆ หรอก”
“ฉันรู้ คนมีกรรมมีเวรน่ะ ต้องทุรนทุรายทุกข์ทรมาณก่อนตาย ปล่อยมือฉัน...ฉันจะเอายาแก้ไข้ให้กิน”
ลายสือยังคงจับมือศลัยลา
“ลุกขึ้น!”
ลายสือลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆ
“แล้วกินยานี่ทุกสี่ชั่วโมง เดี๋ยวฉันจะให้เขาต้มข้าวให้ พอเหงื่อออก คุณจะดีขึ้น”
ศลัยลาบังคับให้ลายสือกินยา ดื่มน้ำก่อนจัดการให้นอนลง ห่มผ้าให้ด้วยกิริยาที่อบอุ่น ดุเข้มเหมือนคนเป็นแม่
“พักผ่อนมากๆ นะ”
ศลัยลาเดินออกไป ลายสือมองตามไปด้วยความประทับใจ
ที่สำนักงานทนายความของเพียรภมรในกรุงเทพฯ เวลานั้น เพียรภมรนั่งทำงานอยู่ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เพียรภมรรับสาย
“สำนักงานทนายความค่ะ..ค่ะ...ฉันกำลังพูดสายอยู่”
สีหน้าเพียรภมรเริ่มตื่นตระหนก
“ฉันจะไปเดี๋ยวนี้!”
เพียรภมรวางสายลง คว้ากระเป๋า วิ่งออกไปอย่างรีบร้อน
ไม่นานต่อมา ภายในคฤหาสน์หลังใหญ่โต บรรดาไทมุงกำลังมุงดูสภาพศพที่ถูกซ้อมจนยับเยินของราตรี ตำรวจกันผู้คนออกไป เพื่อชันสูตรพลิกศพ เพียรภมรวิ่งแทรกผู้คนเข้ามา ถามเจ้าหน้าตำรวจอย่างตกใจ
“เกิดอะไรขึ้นกับลูกความของฉัน”
“ถูกซ้อมครับ มีคนได้ยินลูกความของคุณทะเลาะกับสามีเรื่องทรัพย์สิน แล้วก็พบศพของลูกความของคุณสภาพอย่างที่คุณเห็น”
สีหน้าแววตาของเพียรภมร ทั้งสยดสยองและตื่นตระหนก
“คุณพระช่วย..!”
ฟากฉวีนุ่งกระโจมอกอยู่ในบ้านเช่า กำลังหยอกเอินกับผัวใหม่ จี้เอวกันเล่นไปมา
“ไอ้บ้า เล่นอะไรก็ไม่รู้ ยิ่งบ้าจี้อยู่ด้วย ไม่เอา ทำเป็นหนุ่มๆ สาวๆ ไปได้ใกล้จะคลานเข้าโลงแล้วนะ”
“ของพรรค์นี้มันไม่เกี่ยวกับโลงหรอก ใครเขาพูดถึงโลงกันตอนนี้ล่ะ”
เพียรภมรก้าวเข้ามา สีหน้าแววตาเย็นชา ท่าทีเฉยเมย ฉวีชะงัก รีบกระชับปมผ้าถุง
“แก มาก็ไม่ให้สุ้มให้เสียงเลยนะ”
“ลูกสาวใช่มั้ย คนที่เป็น…”
สุเทพถามพร้อมกับมองเพียรภมร ด้วยกิริยาหยาบคาย
“เป็นทนาย อย่าไปมองท่านยังงั้นนะ เดี๋ยวท่านฟ้องข้อหาหมิ่นประมาท มีอะไร”
“หนูแค่แวะมาดูแม่ ว่าแม่เป็นอะไรหรือเปล่า”
“สบายดี ตอนนี้กำลังข้าวใหม่ปลามัน มาก็ดีแล้วมีเงินมั่งมั้ย”
“หนูให้คนเอาเงินมาให้แม่แล้วตอนต้นเดือน”
สุเทพแทรกขึ้น “เฮ้ย หมดไปตั้งนานแล้ว เงินแค่สามพันจะให้ใช้ทั้งเดือนเลยหรือยังไง”
นัยน์ตาเพียรภมรวาวโรจน์ “ถ้าอยากใช้เงินทีละมากๆ ก็ทำงานหาเงินเองซี จะทำตัวเป็นแมงดาเกาะหลังผู้หญิงทำไม”
เพียรภมรมองอย่างเกลียดชัง ก่อนเดินออกไป
“ด่า ยังงี้มันด่านี่หว่า” สุเทพเข่นเขี้ยว
“ต๊ายตาย...นี่มันบังอาจด่าพ่อเลี้ยงต่อหน้าแม่เชียวเรอะ เรียนสูงไปละมั้ง มันเลยไม่เห็นหัวพ่อแม่”
ฉวีตะโกนด่าตามหลัง
“นังลูกเนรคุณ!”
เพียรภมรเดินเร็วๆ มายืนพิงรถยนต์หลับตานิ่งๆ เพื่อสะกดกลั้นอารมณ์ขมขื่นเมื่อเห็นสภาพชีวิตของแม่ที่เลวลงเหมือนเดิม ภาษิตเดินผ่านมา ชะงักมองเพียรภมร ถามซื่อๆ
“เป็นอะไรหรือเปล่าคุณ ไม่สบายหรือ มาทำอะไรแถวๆ นี้”
“เปล่า...ฉันไม่ได้เป็นอะไร”
เพียรภมรขึ้นรถยนต์ขับออกไป
“ท่านทนายใหญ่มาทำอะไรในสลัมนี่”
สีหน้าแววตาของภาษิตเต็มไปด้วยความแปลกใจปนสงสัย
ฝ่ายภูฉายนั่งหลับอยู่บนเก้าอี้โยก เฝ้าลูกจนหลับไปทั้งที่ยังอยู่ในชุดทำงานสลักเดินเข้ามา
“โถ น่าสงสารจริงจริ๊งลูกแม่ เมียก็เที่ยวระริกระเริงรื่น ไปไหนต่อไหน ปล่อยให้ผัวเลี้ยงลูกอยู่กับแม่ ภู..ภู”
ภูฉายสะดุ้ง ตื่นมางงๆ
“ศลัยหรือ”
สลักเปลี่ยนสีหน้า น้ำเสียงกระด้างใส่
“ไม่ใช่ นี่แม่เอง แกนี่เพ้อพกใหญ่แล้วนะ เดี๋ยวก็โดนบิดพุงหรอก ไป...ขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เดี๋ยวจะได้กินข้าวกับแม่”
“เอ้อ...”
"ไม่ต้องไปคิดถึงแม่ศลัยลาหรอก ไม่รู้แม่นั่นมีเวลาคิดถึงลูกผัวบ้างหรือเปล่า”
“แต่ศลัย…”
“ไปอยู่ไกลๆ สวมเขาให้แกบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ เมียแกไม่เห็นคุณค่าในตัวแก ทั้งที่แกเป็นคนดี เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ รักลูกรักเมียยังงี้ จะเอายังไงกับลูกของฉันอีก จริงมั้ยภู”
“เอ้อ…”
ภูฉายหันไปสบสายตาละมัย
“แม่ถามว่าจริงมั้ย”
สลักคาดคั้น น้ำเสียงเข้ม ภูฉายรับคำเสียงอ่อยๆ
“ครับ..แม่”
สลักเยื้อนยิ้มด้วยความพอใจ
อ่านต่อหน้า 3
ปีกมาร ตอนที่ 4 (ต่อ)
ทางด้านศลัยลาก้าวออกมาหยุดยืนมองทัศนียภาพแปลกตาของดินแดนที่ราบสูงเบื้องหน้า ลายลือก้าวตามมาเอ่ยทัก
“อากาศดีนะครับ”
“หายดีแล้วหรือคนกระหม่อมหนา”
“ถ้าไม่ได้ยาแก้ไข้ของคุณ คงนอนยาวอีกหลายวัน ขอบคุณนะครับ”
“คุณก็ออกมาตากน้ำค้างทำไมทั้งที่เพิ่งสร่างไข้”
ลายสือมีแววตาอ่อนโยนลง “ผมอยากไปเดินเล่นกับคนแก่อย่างคุณ”
“แล้วไปกับคนแก่อย่างฉัน คุณจะได้อะไร”
“อย่างน้อย..ผมคงจะได้ความรู้เรื่องการครองเรือน ผม…”
แววตาลายสือฉายแววล้อเลียน ศลัยลาชะงัก มองหน้าลายสือด้วยสีหน้าเย็นชา
“ชีวิตไม่ใช่ของเล่นนะ คุณต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตแต่งงาน!”
“แหม ผมคงจะไม่อวสานชีวิตหนุ่มเร็วยังงั้นหรอก ผมจะแต่งงานก็ต่อเมื่อ ชีวิตผมพร้อม”
“ใครๆ ก็แต่งงานตอนพร้อมทั้งนั้นแหละ อย่างฉันไง พร้อม..แต่ตอนนี้กำลังม้วนเสื่อ!”
“ผมเสียใจด้วย”
“ช่างมันเถอะ!”
ศลัยลาไหวไหล่ แล้วเดินออกไปลายเสือมองตามไป จังหวะนี้ผลึกคลานขึ้นจากหลุมขุดแต่งใกล้ๆ ทำเสียงดักคออย่างรู้ทัน
“รู้นะ...คิดอะไรอยู่!”
ลายสือหันกลับมามองผลึก ก่อนเดินหนีไป ผลึกมองตามไป สีหน้าเครียดเคร่ง ทั้งหนักใจ และกังวล
เวลาผ่านไปเป็นเย็นย่ำ ศลัยลาทำงานอยู่ในหลุมขุดแต่ง ทีมอังเดรและนักศึกษาทำงานอยู่มุมหนึ่ง ลายสือก้าวเข้ามาหยุดยืนมองศลัยลาเงียบๆ
“มีอะไร”
“ผมเพิ่งนึกได้ว่า...ผมคงทำให้คุณเจ็บปวด...เรื่องที่…”
“ชื่ออะไรเราน่ะ”
“ลายสือครับ...อย่าถามความหมายของชื่อนี้เลย แต่รับรองจะเป็นชื่อของนักโบราณคดีชื่อดังในอนาคต” ศลัยลายิ้มขำๆ “คุณยิ้มทำไม..อย่าบอกว่าคุณเอ็นดูความฝันของผมนะ
“ฉันนับถือคนที่มีความฝัน เพราะความฝันเป็นแรงส่งให้ประสพความสำเร็จอวยพรให้คุณเป็นให้ได้อย่างที่คุณหวังก็แล้วกัน”
“แล้วคุณจะไม่ถามหรือว่าทำไม..ผมต้องดิ้นรนรู้ชื่อศลัยลาของคุณ”
“คิดว่าไม่”
ศลัยลามองสบสายตาลายสือ เห็นแววตาของลายสืออ่อนโยนลง ศลัยลาผละไป ลายสือมองตาม เริ่มปรากฏรอยยิ้มในดวงตา
ระหว่างนี้ ผลึกค่อยๆ ย่องอ้อมต้นไม้ออกมา ทำท่าทางทรงภูมิเหมือนผู้คงแก่เรียน
“เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อนลูก ลูกรักของพ่อ โน่น....พ่อจะชี้ให้ลูกดูอะไรสักอย่าง เงยหน้าขึ้น...น่าน...ยางง้านลูก...เห็นมั้ยนั่นดอกอะไร”
“ดอกอะไร”
“ดอกงิ้ว!”
ลายสือมีสีหน้าหงุดหงิดรู้ว่าหนุ่มอ้วนดำด่า ผลุนผลันออกไป ผลึกเข่นเขี้ยวมองตามไป สีหน้าเยาะๆ
“ฮึ สอนไม่ฟัง..สั่งไม่จำ!”
คืนนั้นภูฉายนั่งรับประทานอาหารอย่างเนือยๆ สลักชำเลืองมองอย่างห่วงใย
“ภู กินไม่ลงหรือลูก”
“ศลัยคงลำบากเรื่องอาหารการกินนะครับ ไปอยู่อีสาน ศลัยเป็นคนกินอาหารยาก” ภูฉายเอาแต่พูดถึงเมีย
สลักแดกดันตามประสา “อ้อ เป็นห่วงเมีย ไม่รู้เมียแกเขาจะเป็นห่วงแกหรือเปล่านะ...นี่ถ้าพ่อแก...เขาเป็นคนรักลูกรักเมียเหมือนอย่างที่แกรัก...”
น้ำเสียงของสลักเริ่มเครือไปด้วยความสะเทือนใจ
“แม่คงไม่ต้องลำบากดิ้นรนเลี้ยงแกมาคนเดียวยังงี้หรอก ถึงจะไม่อดมื้อกินมื้อเพราะแม่มีสมบัติเก่า มีค่าเช่ากิน แต่แม่ก็โดดเดี่ยวนะ หันไปทางไหนก็พึ่งใครไม่ได้เลย..แม้แต่...”
ภูฉายปลอบ “แม่ครับ..ผม..ผมเสียใจ...ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้แม่ร้องไห้”
“ช่างเถอะ...อีกหน่อยฉันก็คงจะร้องไห้จนชินไปเอง แกรักลูกรักเมียก็ดีแล้วละ รักมากๆ เถอะ ไม่ต้องเหลือความรักให้แม่หรอก แม่ทนได้!”
สลักทิ้งช้อน ร้องไห้ออกไปจากโต๊ะอาหาร ภูฉายรีบตามไป
“แม่ครับ”
ละมัยยืนทำหน้าเซ็งโครตๆ
“เฮ้อ..!”
ขณะนั้นผจงจิต อังเดร นักศึกษา และเจ้าหน้าที่โบราณคดีทำงานอยู่ที่หลุมขุดแต่งอยู่มุมหนึ่ง ลายสือและศลัยลาต่างทำงานอยู่ใกล้ๆ กัน ลายสือชำเลืองมองศลัยลาบ่อยๆ จนเธอรู้ตัว
“พบคุณอีกแล้ว เอ๊ะ หรือว่าโลกมันแคบ ไม่ได้กว้างอย่างที่เขาว่ากัน”
“ไม่ใช่เหตุบังเอิญหรอกครับ แต่ผมแหกขี้ตาตื่นตั้งแต่ตีห้าก็เพราะ...ผมอยากพบคุณ”
ศลัยลาฉงน “พบฉัน” แล้วจ้องหน้าเด็กหนุ่ม “กลับไปใช้น้ำยาบ้วนปากเสียบ้างนะ”
ลายสืองงบ้าง “ทำไมครับ”
“มันจะได้ดับกลิ่นปาก ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเลยนะ เราน่ะ”
ศลัยลายิ้มหยันนิดๆ แล้วเดินหนีไป ผลึกรีบคลานเข้ามายุ
“เจ็บมั้ย..ถ้าเป็นกูละก็..ป่านนี้กูกลับไปกินนมยูเอชทีแบบกล่องแล้วละ ฮึ”
ลายสือมองตามศลัยลาด้วยสีหน้า แววตาหงุดหงิด
ศลัยลา เดินเล่นอยู่ในทุ่งหญ้า ลายสือตามมา
“ผมก็ไม่รู้ว่าทำไม...ผมไม่เคยทำยังงี้กับผู้หญิงแปลกหน้าหรอกนะ ผมคงทำตัวเป็นไอ้บ้าสักพักนึงน่ะ หวังว่าคงไม่นาน...ผมหวังยังงั้น เชื่อเหอะ”
“ฉันจะเชื่อคุณ และ..เพื่อเห็นแก่ไอ้บ้าคนหนึ่ง ฉันต้องทำตัวเป็นอีบ้าไปด้วยซีนะ”
ลายสือมองศลัยลาอย่างลึกซึ้ง
“คุณเป็นผู้หญิงที่น่ารักมาก สามีคุณเขาน่าจะรู้นะ”
“ค่ะ เขารู้ เมื่อก่อนเขาทำตัวเป็นไอ้บ้าได้น่ารักอย่างคุณนี่แหละ...แต่เวลานี้....เรากลายเป็นมนุษย์พันธุ์ “บ้าลำโพง” น่าเสียดายนะ”
ศลัยลาเดินออกไป ลายสือมองตามไป ก่อนที่จะขยับก้าวเดินตามไป
ผลึกโผล่พรวดขึ้นมาจากดงหญ้า
“เดี๋ยวก่อนไอ้สือ..โธ่เอ๊ย..ไปซะแล้ว..ไอ้..ไอ้..ไอ้บ้าลำโพง!”
ทางด้านนวลนภาเดินลงมาจากตึก กำลังจะขึ้นรถยนต์ภาษิตตามมา บ่นอย่างไม่เต็มใจ
“โธ่ ไปทำไมกันครับ ถ้าคุณนายสลักกระแทกกระทั้นคุณแม่ล่ะ ผมไม่ใช่กำแพงนะ กำแพงมันไม่มีความรู้สึก แต่ผมเป็นมนุษย์!”
“ก็ทนให้ได้ซี เห็นแก่ภูฉายเขา ฉันก็อยากไปเสียที่ไหน แต่ฉันเป็นห่วงตาหนู”
“แล้วทำไมต้องบังคับให้ผมไปด้วย” ภูษิตบ่นไม่เลิก
“แกจะได้ขับรถให้แม่ไงล่ะ เฮ้อ..แม่จะพึ่งพามั่งไม่ได้หรอก..นี่ขนาดยังแบมือขอเงินแม่อยู่นะ ทีแม่คุณละก็...ถึงไหนถึงกัน!”
“เอ้า ไปก็ได้ นี่เห็นแก่พี่ศลัยนะครับ ผมถึงเหยียบบ้านนั้น ไม่ยังงั้น...”
“ไปเถอะน่ะ”
นวลนภาตัดบทอย่างรำคาญ ทั้งสองนั่งรถยนต์ออกไปจากบ้าน
สลักชำเลืองมองนวลนภาอย่างดูถูกดูแคลน อาโอกาสพูดประชดเสมอ ภาษิตยืนใกล้ๆ เตียงของหลาน พร้อมกับนวลนภา
“ฉันน่ะ...ได้เดือนละหมื่นห้าก็จริง แต่ไม่ได้สุขสบายอย่างที่คุณคิดหรอกนะ เลี้ยงเด็ก..มันต้องอดหลับอดนอน น้ำหนักฉันลดลงตั้งหลายกิโลแล้ว ความดันก็..เดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำ วันๆเหนื่อยแทบขาดใจ แม่ศลัยลาคงคิดว่าเลี้ยงลูกเป็นกิจกรรมสนุกละซี ถึงได้คิดจะขอหย่าภูฉาย แล้วเอาลูกไปเลี้ยงเอง!”
“ฉันว่าเรื่องหย่านี่มันเป็นเรื่องที่เขาต้องตัดสินใจกันเอง ฉันเชื่อว่าเขาอาจจะปรับความเข้าใจกันได้” นวลนภาบอก
สลักเสียงดังลั่น “โฮ้ย..ความเข้าใจน่ะมันไม่ใช่ความถี่ภาคเอเอ็ม เอฟเอ็มนะ คุณคิดว่ามันปรับกันได้ง่ายๆหรือ”
ภาษิตแดกดัน “ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะยากอะไรนี่ครับ เพียงแต่...มันต้องตัดมือ...มือที่สามออกไป”
นวลนภาดุปราม “ภาษิต!”
“ต๊าย นี่ลูกชายคุณคิดว่าฉันเป็นมือที่สาม ยุให้ผัวเมียเขาแยกกันหรือ”
ละมัยสาวใช้เข้ามา
“มื้อกลางวันจะป้อนอะไรน้องหนูคะ”
“โจ๊กที่เหลือไง..อ้อ...นมในตู้เย็นที่แช่ไว้เมื่อวานน่ะ เอาไปแช่น้ำอุ่นไว้นะเดี๋ยวจะบูด” สลักบอก
นวลนภาแปลกใจ “เอ๊ะ ทำไมเอานมเหลือๆ ให้เด็กกินล่ะคะ”
“ทิ้งทำไมเสียดาย..ไม่ใช่พวกมือห่างตีนห่างเหมือนบางคนนี่ ไอ้พวกเฟ้อๆ ทิ้งนั่นทิ้งนี่ ทำเป็นโก้อยู่ไม่นานหรอก เดี๋ยวก็ไม่มีจะกิน!”
นวลนภาและภาษิตสบสายตากันอย่างอดทน
คืนนั้นภูฉายสวมชุดนอน เดินลงมาในสภาพของคนที่นอนไม่หลับ สลักเดินตามลงมา
“ภู นั่นแกยังไม่นอนอีกหรือ”
ภูฉายสดุ้งเบาๆ ด้วยนิสัยเกรงกลัวแม่
“แม่ครับ ผมรักศลัย ผมก็พยายามแล้วที่จะ...ไม่นึกถึงศลัยลาสักสองสามนาที แต่..แต่มันก็...”
“คิดถึงแม่ซี...คิดถึงแม่ให้มาก แกยังมีแม่อยู่...ไม่มีเมียก็ไม่ได้หมายความว่าแกจะไม่เหลือใครในชีวิต แม่รักแกนะ...ภู แม่รักแก…”
สลักดึงภูฉายเข้ามากอดไว้ พึมพำเบาๆ
“ครับ....แม่”
สีหน้าแววตาของสลักเปลี่ยนเป็นยิ้มอย่างพอใจ
อ่านต่อหน้า 4
ปีกมาร ตอนที่ 4 (ต่อ)
วันต่อมาผลึกทำงานอยู่กับอาจารย์อังเดรและเพื่อนนักศึกษาโบราณคดีคนอื่นๆ อยู่ที่หลุมขุดแต่ง ลายสือเดินเข้ามา ด้วยท่าทีเหงาๆ อังเดรถามอย่างเป็นห่วง
“เป็นอะไร ลายสือ”
“อย่าไปสนใจมันเลยครับ อาจารย์ อาการมันกำลังเพียบหนัก” ผลึกบอกอย่างโมโห
“ไม่สบายหรือ โคม่ามั้ย” อังเดรถาม
“มันเข้าขั้นต้องส่งห้องดับจิตครับ โรคบ้าลำโพง รักษาไม่หาย ต้องปล่อยให้มันบ้า” ผลึกว่า
“ยุ่งอะไรด้วยล่ะ” ลายสือด่า
“กูต้องยุ่ง มึงมีเพื่อนเอาไว้ทำไม”
“ที่แน่ๆ กูไม่ได้มีเพื่อนเอาไว้ทำพ่อ”
ลายสือผละออกไป ผลึกเดินตามไป โกรธจัด ตะโกนอย่างหัวเสีย
“พ่อมึง..มึงก็ไม่แยแสเพราะถือว่ามีครอบครัวใหม่แล้วลืมมึง..เพื่อน..มึงก็ไม่เคารพ งั้นมึงมีพ่อกับเพื่อนเอาไว้ทำไมโว้ยย”
อังเดรเข้ามาห้าม ท่าทีสุภาพมาก
“อย่ากัดกัน..ไม่ดี..การกัดเป็นปฏิกิริยาของสัตว์เดรัจฉาน สำหรับมนุษย์ต้องไอ้นี่ มีด ขวานไม่ก็..ปืน”
ผลึก ลายสือนิ่งอึ้งไปเพราะรู้ว่าอังเดรกำลังเตือนสติทั้งสองด้วยการประชด
ขณะที่ลายสือเดินออกมาล้างหน้านอกบ้านพักนักศึกษา ผลึกตามออกมาพยายามวางท่าเป็นผู้ใหญ่
“ไอ้สือกูมีเรื่องจะพูดกับมึง”
“เรื่องอะไร”
“คุณศลัยลาน่ะ...เกือบๆ จะรุ่นคุณพี่ที่เคารพนะโว้ย ข้อสำคัญเป็นแตงเถาที่กำลังจะโรยลา ค้างคาน แต่มึง....”
ลายสือขัดขึ้ “มีบุหรี่มั้ย”
“ไม่มี กูเลิกสูบบุหรี่ตั้งแต่เพื่อนฝูงหันไปสูบบุหรี่ตราขอ...มึงไม่ต้องบ่ายเบี่ยงเลี่ยงหลบ กูต้องเตือนมึงด้วยความหวังดีเพราะกูเป็นเพื่อน”
“ก็ไม่ใช่พ่อไม่ใช่หรือ”
“ผู้หญิงคนนั้นน่ะ...มีลูกมีผัวแล้วนะ”
“รู้”
ลายสือพูดโดยไม่มองหน้า แล้วลุกเดินออกไป ผลึกมองตามไป อย่างหงุดหงิด และไม่เข้าใจในตัวลายสือ
“รู้...รู้ทั้งรู้ทำไมยัง..โธ่...ไอ้สือ”
ที่บ้านพักเจ้าหน้าที่ศลัยลาแต่งตัวทะมัดทะแมง เตรียมออกไปทำงาน ผจงจิตเข้ามาชื่นชมในรูปร่างของศลัยลาที่ยังงดงาม เปล่งปลั่ง
“ศลัย..ขนาดเพิ่งคลอดลูกมาไม่กี่เดือน รูปร่างยังเหมือนสาวๆ อยู่เลย เขาว่า...ผู้หญิงที่กำลังจะเป็นม่ายมันมีสิ่งบอกเหตุคือ...”
“อะไร”
“สวย!” เพื่อนสาวบอก
สีหน้าของศลัยลาสลดลงทันที
ขณะเดียวกันภูฉายอุ้มลูกที่กำลังร้องไห้จ้าเพราะปวดท้อง สลักลนลานจนทำอะไรไม่ถูก
“โอ๋ อย่าร้องนะลูกนะ ลูกรักของพ่อ อย่าร้อง...อย่าร้องลูก พ่ออุ้มอยู่นี่ไง”
“เป็นอะไรฮึ ร้องตั้งแต่เช้าแล้ว..ตาหนู..ตาหนูของย่าเป็นอะไรลูก”
ละมัยบอก “น้องหนูปวดท้องหรือเปล่าคะ”
สลักด่า “จะปวดได้ยังไง แกไม่รู้อะไรชอบออกความเห็นนัก”
“ก็…” ละมัยจะบอก
ภูฉายขัดขึ้น “อย่าร้องนะลูกนะ เดี๋ยวพ่อร้องเพลงให้ฟัง”
“เฮ้อ..เลี้ยงเด็กนี่มันลำบากนะ คราวนี้รู้หรือยังว่าเด็กคนหนึ่งน่ะกว่าจะโตขึ้นมาได้แม่เหนื่อยยากแค่ไหน” สลักสบโอกาส
“คุณนายคะ คือว่า…”
“ไป ภู เอาตาหนูขึ้นไปนอนที่ห้องของแม่ก็ได้ ไปเถอะร้องไห้เดี๋ยวก็เงียบเองสมัยแกเป็นเด็กแกก็ร้องจนหลับ”
“ครับ...แม่”
ภูฉายอุ้มลูกออกไป สลักรีบตามแจไปละมัยมองตามสีหน้าละเหี่ยใจ
“ร้องจนหลับ มิน่าคุณภูถึงได้พูดเป็นอยู่คำเดียว ครับ...แม่”
ฟากศลัยลานั่งท้าวคางเหงาๆ อยู่ที่หน้าต่างบ้านพัก ลายสือหิ้วกระติ๊บข้าวเหนียวมาส่งให้ ยิ้มเป็นมิตร
“ข้าวเหนียวครับ”
“ไปเอามาจากไหน”
“ไม่ต้องห่วงที่มาที่ไปหรอกครับ ของมาดี คุณเป็นไงบ้าง”
ศลัยเดินไปอีกทางดูเศร้าๆ
“ฉันก็สบายดีนี่ ทำงานในร่ม”
“ผมไม่อยากเห็นคุณต้องเศร้า เพราะยังคิดถึงเขาอยู่”
“ดูคุณจะละลาบละล้วงเรื่องของฉันเกินเด็กไปหน่อยนะ หนุ่มน้อย ขอบใจสำหรับข้าวเหนียวกระติ๊บนี้”
ศลัยลายิ้มๆ ก่อนหิ้วกระติ๊บข้าวเหนียวเดินหายเข้าห้องไป ลายสือมองตามผลึกวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา
“เฮ้ย ไอ้สือ เห็นกระติ๊บข้าวเหนียวของกูมั้ยวะ กูเพิ่งขอมาจากคนงาน เอาแขวนไว้ใต้ต้นไม้ แว้บเดียวแค่หันไปจกปลาแดกจากไหเท่านั้นเองว่ะ พอเงยหน้าขึ้นก็..ก็..หรือ..หรือว่า..มึง..มึง...”
ลายสือยิ้มๆ เดินออกไป ผลึกมองตามไปอย่างแค้นเคือง
ศลัยลาหิ้วกระติ๊บเข้าวเหนียวเข้ามาในบ้านพัก เปิดออก แล้วดึงเนื้อเค็มออกมาจากกระติ๊บข้าวเหนียว ยิ้มอย่างขบขันเมื่อนึกถึงลายสือ
“ขอบใจนะ..หนู!”
รุ่งเช้าสลักเดินลงบันไดอย่างอ่อนเพลีย นอนไม่เต็มอิ่ม ภูฉายเตรียมตัวไปทำงาน
“โอย แม่หน้ามืดเลย เมื่อคืนตาหนูกวนเสียจนแม่นอนไม่หลับ นี่แม่ศลัยไปนานแค่ไหนแล้วนี่”
“สามอาทิพย์แล้วละครับ”
“ไปตั้งสามอาทิตย์ โทร.ก็ไม่โทร.ถึงแก ทำเหมือนตัดแกขาดแล้วนะ แต่แกซียังโง่!”
“ผม...เอ้อ…”
“ถ้ารักศลัยลานัก ทำไมไม่ตามไปบ้านเชียงล่ะ”
“ศลัยไปราชการ ผมไม่ต้องการให้ใครตำหนิศลัย ถ้าผมตามไป”
ท่าทีสลักแอบโล่งอก เสียงอ่อนลง
“คิดได้ยังงั้นก็ดี งั้นก็เลิกปั้นหน้าจะเป็นจะตายให้แม่เห็นได้แล้วละ ไว้กลับมาค่อยคุยเรื่องหย่า”
ภูฉายอุทาน “หย่า”
“ยังไงก็ต้องพูดกันให้รู้เรื่อง ฉันจะเอาตาหนูไว้” สลักบอก
“ถ้าถึงขั้นแยกทาง ศลัยลาคงจะไม่ยอม”
“ฉันก็ไม่ยอม ฉันเลี้ยงหลานมากับมือ ศลัยลาเป็นผู้หญิงสมัยใหม่ ดีแต่เก่งเรื่องนอกบ้าน จะมารู้อะไรกับเรื่องเลี้ยงลูก ไปอยู่ไกลตาแก...แกรู้ได้ยังไง…”
สลักค้างคำ ก้าวเข้ามาใกล้ๆ หูของภูฉาย
“...ว่าศลัยลาจะไม่มีชู้!”
สีหน้าแววตาของภูฉายดูร้อนรน
ด้านเพียรภมรหิ้วของกิน ก้าวเข้ามาหยุดยืนหน้าประตูบ้านเช่าก่อนเปิดเข้ามา มองหาฉวี
“แม่..แม่อยู่มั้ย”
ฉวีอยู่ในสภาพบักโกรกบอบช้ำ ถูกซ้อมหนัก เดินโผเผออกมา
“แม่เป็นอะไรน่ะ” เพียรภมรตกใจ
“มัน...มัน…”
“มันทำร้ายแม่ใช่มั้ย มันอยู่ไหน”
ฉวีร้องไห้
“มัน...มันไปแล้ว ก่อนไปมันเตะ มันต่อย มันตีแม่จนกระอักเลือด มันเอาเงินไปหมด มีสร้อยอยู่สองสลึงมันก็เอาไปด้วย”
เพียรภมรแค้น “แล้วรู้มั้ย มันอยู่ที่ไหน”
“เห็นมันบอกว่า..มันจะไปทำงานที่ท่าเรือ!” ฉวีบอก
ที่บริเวณท่าเรือคลองเตยเวลานั้น เต็มไปด้วยเรือขนส่งสินค้า คนงานขวักไขว่ และบรรยากาศดูเถื่อนๆ สุเทพนั่งกินเหล้าอยู่กับคนงานท่าเรือ
“เฮ้ย เต็มที่โว้ย เรื่องเงินไม่ต้องห่วง เรามีเอทีเอ็มอยู่กับตัวจะกลัวอะไร จิ๊กๆๆๆ เดี๋ยวเงินก็ไหลมาเทมา”
เพียรภมรนำตำรวจเข้ามาชี้หน้าสุเทพ
“นี่ค่ะ..ไอ้คนนี้แหละ ที่มันทำร้ายร่างกายแม่ฉัน”
“ไป ไปแก้ข้อหาที่สถานีตำรวจ” ตำรวจบอก
“เฮ้ย จับข้าทำไมวะ..เรื่องของผัวเมีย ตำรวจไม่เกี่ยว” สุเทพโวยวาย
“ฉันเป็นทนาย ผู้หญิงคนนั้นเป็นแม่ฉัน ฉันจะเอาแกเข้าคุกให้ได้!”
สุเทพมีสีหน้า แววตาตื่นตระหนก
เจ้าหน้าที่ตำรวจนำสุเทพผัวของฉวีเข้ามาในห้องคุมตัว
“เฮ้ย จะเอายังไงกันวะ นี่มันเรื่องผัวเมียนี่หว่า นังหวีล่ะ”
“แกอยากรู้มั้ย ว่าแม่ฉันอยู่ที่ไหน”
“ที่ไหน”
“โรงพยาบาล..แกได้เห็นแม่ฉันแน่ ตอนที่แม่มาชี้ตัวแก!”
เพียรภมรยิ้มเยาะ ก่อนเดินตามตำรวจออกไป สุเทพมองตามด้วยสีหน้าและแววตาหวั่นๆ
ฉวียังบอบช้ำนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล เพียรภมรเปิดประตูเข้ามา ยืนมองฉวีด้วยความรู้สึกสะเทือนใจที่เห็นแม่ถูกทำร้าย แต่กลบเกลื่อนไว้ด้วยสีหน้าเฉยเมย
“แม่เป็นยังไงบ้าง”
“ยังเจ็บ...”
“หนูลากตัวไอ้กระจั๊วนั่นเข้าห้องขังไปแล้ว พอแม่ค่อยยังชั่ว แม่ต้องไปชี้ตัวมันที่สถานีตำรวจ”
“ชี้ ชี้ทำไม” ฉวีออกอาการหวั่นๆ
เพียรภมรบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เราจะเอาผู้ชายโฉดชั่วพวกนี้เข้าคุก ถ้าไม่มีเจ้าทุกข์ เราจะกวาดล้างผู้ชายเฮงซวยให้หมดโลก...ไม่ได้”
“แต่ว่า…” ฉวีอิดออด
“แม่จะต้องให้ความร่วมมือ!”
แม่ลูกจ้องหน้ากัน แววตาของเพียรภมรบังคับอยู่ในที
อ่านต่อตอนที่ 5