xs
xsm
sm
md
lg

มายาตวัน ตอนที่ 12

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


มายาตวัน ตอนที่ 12

เขตต์ตวันเดินมานั่งข้างๆมัทนาแทนเอกชัย มัทนาวางตัวไม่ถูกเล็กน้อย เขินไปหมด เขามองเธอด้วยสายตาอ่อนโยน
“ขอบใจเธอมากนะมัท”
มัทนาช้อนตาขึ้นมองเขตต์ตวันที่มีสีหน้าจริงใจ ซาบซึ้งใจ
“ที่หวังดีและทำเพื่อผมมาจนถึงวันนี้”
มัทนายิ้มตอบอย่างปลื้มใจแต่ก็เขินเกินกว่าจะสบตากับเขานานไปกว่านี้ ได้แต่หลบสายตาไปมา

ตอนเช้าวันจันทร์ มัทนารีบร้อนออกมาจากบ้าน
“เสร็จแล้วค่ะ”
เธอหันไปหน้าบ้านชะงักไปเล็กน้อยที่เห็นเอกชัยยืนยิ้มรออยู่หน้าประตูรั้ว เอกชัยกระเซ้า
“ผิดหวังเหรอที่ผมมารับ”
“เปล่าค่ะ”
มัทนายกมือไหว้
“สวัสดีค่ะคุณเอก”
“ไอ้ปอนไม่ว่าง วันนี้มีผ้าลายสั่งพิเศษเข้ามา ต้องไปดูด้วยตัวเองเลยวานผมมารับมัทไปส่งแทน”
“มัทไปเองก็ได้ ไม่มีอะไรแล้วล่ะค่ะ”
“ประมาทไม่ได้เด็ดขาด พวกเรามีบทเรียนมาแล้ว”
เอกชัยเดินไปเปิดประตูรถให้มัทนา
“พนันกันมั้ย ไม่เกิน 10 นาที ไอ้ปอนต้องโทรมาเช็ค”
“มัทไม่พนันกับคุณเอกแล้วล่ะค่ะ กลัวโดนโกงอีก”
มัทนาค้อนใส่ เอกชัยงงเล็กน้อย
“เราเคยพนันอะไรกันเหรอ”
“ก็ที่เล่นหมากรุกกันไงคะ”
“ยังจำได้อีกเหรอะ”
“แพ้แล้วหนี ทำไมมัทจะจำไม่ได้คะ”
“ไม่ได้หนี ปอนมันเข้ามาขัดจังหวะพอดี”
“นั่นแหละฉวยโอกาส”
“โอเค ผมติดพนันอะไรเอาไว้”
มัทนาเข้าไปนั่งในรถพร้อมตอบ
“ชุดดวงตาตวันที่มัทอยากได้”
“รอคอลเล็กชั่นใหม่ไม่ดีกว่าเหรอ ผมแอบเห็นชุดนึงนะ เหมาะกับมัทมากเลย”
“เหรอคะ งั้นก็ได้ค่ะ คุณปอนว่ามัทไม่เซ็กซี่พอกับคอลเล็กชั่นดวงตาตวัน”
“ถึงไม่เซ็กซี่ แต่มัทก็เหมาะกับชุดใหม่นี่จริงๆ นะ ผมแอบเห็นมาแล้ว”
เอกชัยมองหน้ามัทนาอย่างมีเลศนัย
“แล้วมัทจะแปลกใจ”
เอกชัยยักคิ้วพร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนปิดประตูรถแล้วเดินไปขึ้นฝั่งคนขับ มัทนามองตาม สีหน้างงๆ ปนติดใจสงสัย

มีคณา สาระวารีกำลังดื่มกาแฟ กินขนมเมาท์กับเพื่อนนักข่าวที่ห้องกาแฟ
“ไม่เชื่อพี่ก็ถามมี่เค้าสิ เมื่อวานเค้าเพิ่งไปเยี่ยมมัทที่บ้านมา” สาระวารีบอก
เพื่อนพนักงานหันมองมีคณา
“จริงเหรอคะพี่มี่”
“จริงจ้ะ พยาบาลพิเศษคนเดียวกันเป๊ะ เอ๊ะ ต้องเรียกว่าบุรุษพยาบาลสิ” มีคณายิ้มๆกับสาระวารี
พนักงานสาวน้อยสาวใหญ่แอบกิ๊วก๊าวกันไปมา
“ยังงี้นะ โดนยิงกลางหัวใจก็ไม่ตาย” สาระวารีบอก
ทุกคนหัวเราะกันครืน
มัทนากระแอมกอดอกหน้าหงิกมองเพื่อนทั้งสอง มีคณารีบหุบยิ้ม ก้มหน้าอมยิ้ม
“อายุยืนจังเลยนะน้องสาวพี่”
“ไม่ต้องเลยเม้าท์น้อง พี่มี่ก็เป็นไปกะเค้าด้วย”
“ตกลงพบรักระหว่างรบจริงๆเหรอน้องมัท” พนักงานคนหนึ่งถาม
มัทนาอายจนพูดไม่ออก สาวๆในห้องส่งเสียงแซวดังกิ๊วก๊าว
พนักงานคนที่สองเดินมาตาม
“มัท มาพอดีเลย บอกอเรียกแน่ะ”
มัทนาเขินปนอายรีบเดินไปเลย ท่ามกลางเสียงแซวกิ๊วก๊าวไล่หลังไป

ภายในห้องไชยวัฒน์
“คุณได้รับบาดเจ็บเพราะปฏิบัติหน้าที่ สมควรจะขึ้นเงินเดือนให้”
มัทนาดีใจ ยกมือไหว้
“ขอบคุณค่ะ บอกอใจดีจังเลย”
“ยังไม่ใช่เดี๋ยวนี้”
“อ้าว...”
“ปลายปีได้แน่นอน ไม่ต้องเป็นห่วง”
มัทนายิ้มออก ไชยวัฒน์แอบกระเซ้า
“ถ้าไม่ลาออกไปแต่งงานซะก่อนนะ”
“บอกออ้ะ พี่วารีกับพี่มี่ต้องมาเมาท์อะไรให้ฟังแน่ๆ เลยอย่าไปเชื่อนะคะบอกอ สองคนนั่นพูดต้องหารสิบ”
ไชยวัฒน์ยิ้มถาม
“ต้นฉบับผมล่ะ”
“เดี๋ยวมัทขอแก้ตอนท้ายอีกนิดหน่อย รับรองได้ภายในชั่วโมงนี้แน่นอน”
ไชยวัฒน์ยิ้มคาดหวัง
“บทสัมภาษณ์ออกไปต้องฮือฮาแน่ๆ หนังสือบันเทิงเล่มอื่นต้องเต้นเป็นเจ้าเข้า ไม่มีใครเคยได้บทสัมภาษณ์ของเขตต์ตวันมาก่อนเลยนะ” ไชยวัฒน์ยิ้มสะใจ
“บอกออย่าลืมสัญญาที่ให้ไว้กับมัทนะคะ”
“เรื่องย้ายไปโต๊ะข่าวการเมืองน่ะเหรอ”
มัทนาตื่นเต้น
“ค่ะ”
“ผมไม่ลืมแน่นอน แต่ช่วยสอนงานเด็กใหม่ให้ก่อนได้มั้ย แล้วค่อยย้ายไปทำข่าวการเมืองกับธนพงษ์”
มัทนายิ้มแย้ม ตื่นเต้นดีใจ
“ได้สิคะบอกอ ขอบคุณมากค่ะ”

ตอนกลางวัน ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อเจ้าประจำ สามทหารเสือสาวเดินเข้ามาในร้าน เจ๊นิดลวกก๋วยเตี๋ยว ยิ้มแย้มกระเซ้าไป
“มากันแล้ว เกิร์ลกรุ๊ปของเจ๊ ไม่เห็นมาพร้อมหน้าพร้อมตากันนานแล้วนะเนี่ย”
“ช่วงนี้งานเยอะค่ะเจ๊ ขึ้นเหนือลงใต้ไปคนละทิศละทางเลย” มีคณาบอก
“เหมือนเดิมทุกคนนะเจ๊ ยังจำได้รึเปล่าคะ” มัทนาบอก
“จำขึ้นใจเลยล่ะจ้ะ เดี๋ยวพิเศษให้” เจ๊นิดยกมือขึ้นป้องปาก

“เฉพาะเส้นนะ” เจ๊นิดขำชอบใจตัวเอง

สาระวารีทำหน้าดุใส่
“มัวแต่ฝอยอยู่นั่นล่ะ เร็วๆ เลย รอนานทุกที จะเปลี่ยนร้านกินแล้ว”
“อู๊ย กลัวแล้วจ้ะ ใจเย็นๆ ไปนั่งดื่มน้ำก่อนไปหนูวารี”
เจ๊นิดค้อนใส่งอนๆ แล้วรีบหันไปลวกเส้นต่อ สามสาวเดินไปนั่งคุยกันที่โต๊ะหนึ่งพร้อมคุยกันไป มีสาระวารีที่ดูเหม่อๆ ระหว่างเพื่อนคุยกัน
“แล้วตกลงบทสัมภาษณ์มัทจะออกเมื่อไหร่” มีคณาถาม
“บอกอบอกให้รอกระแสข่าวคลิปหลุดนี่ซาไปก่อน แกกลัวไม่เป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์”
“ก็จริงนะ บทสัมภาษณ์ออกไปตอนนี้จะแรงไม่สมกับที่มัทเหนื่อย”
มีคณาพูดพลางเหล่มองสาระวารีที่ดูเหม่อๆ
“แต่ก็น่าจะบอกก่อนอุตส่าห์รีบเขียนเกือบตาย”

มีคณาตบโต๊ะหน้าสาะวารี ๆ สะดุ้งเล็กน้อย
“ใจลอยไปไหนยะ”
“เปล่า”
มีคณาหน้าตายกระเซ้า
“บอกอก็ไม่น่าให้งานแทรกตอนนี้ คนรักเค้าเลยอดกลับตราดไปพร้อมกันเลย”
สาระวารีเจอเพื่อนแขวะ
“ ยัยมี่ มีแฟนแล้วปากเก่งขึ้นเยอะนะยะ”
“อย่าไปพูดแบบนี้ที่อื่นนะวารี”
สาระวารียิ้มลอยหน้าลอยตาไปมา มัทนาขำๆ ก่อนมองหน้าพี่ๆ แล้วเลื่อนมือสองข้างไปจับกุมมือเพื่อนรุ่นพี่ทั้งสองเอาไว้
“ดีใจจังที่ได้กลับมาเจอกันอีก มัทคิดถึงพี่ๆ จังเลย”
มีคณายิ้มเอ็นดูเลื่อนมือไปขยี้หัวมัทนาเบาๆ สาระวารีแกล้งแขวะ
“ไปหวานใส่พระเอกเธอเถอะย่ะ”
มัทนาเขินมาก หยิกแขนสาระวารีแทน อมยิ้มเขินๆไปมา
“พี่วารีอ้ะ”

ผ่านเวลามาจนถึงเช้าวันหนึ่ง ที่แผงหนังสือ... หนังสือพิมพ์สยามสาร โปรยหัวตัวโตประมาณ “ exclusiveสัมภาษณ์พิเศษครั้งแรกและครั้งเดียว – เขตต์ตวัน-จากมายาสู่ตวัน” ลูกค้าถึงขั้นต้องต่อคิวซื้อหนังสือพิมพ์กันเลยทีเดียว
เยาะวิ่งหน้าตาตื่น ทะเล่อทะล่ามาหาคนขาย
“จะขายดีไปไหนเนี่ย...สยามสารเล่มนึงค่ะ”
“ต่อคิวเลยครับ หมดแล้วหมดเลย”
เยาะหันมองคิวแล้วร้อง
“อั้ยย่ะ”
เยาะรีบไปแทรกคิวคนอื่นเอย่างเนียนๆ แบบหน้าด้านๆ เยาะโดนลูกค้าคนอื่นตาขวางใส่และดันออกไป จนเยาะต้องไปต่อคิวสุดท้ายอย่างร้อนใจ
“จะเหลือพอถึงฉันมั้ยเนี่ย คุณลิซ่าเล่นงานตายแน่ๆ เลย”
เยาะชะเง้อมองที่แผงอย่างลุ้นๆ

ลลิสานั่งจิบน้ำส้ม อ่านแมกกาซีนอยู่ที่เก้าอี้ริมสระว่ายน้ำ เยาะรีบร้อนวิ่งมาหาลลิสา
“เกือบไม่ได้แน่ะค่ะคุณลิซ่า หมดตั้งหลายแผงเลยนะคะ แสดงว่าคุณปอนยังฮอตอยู่เหมือนเดิมนะคะ” เยาะยิ้มปลาบปลื้ม
ลลิสาหน้าหงิก
“จะให้ฉันอ่านได้รึยัง โฆษณาอยู่นั่นล่ะ”
เยาะยิ้มแหยๆ ส่งหนังสือพิมพ์สยามสารให้
“นี่ค่ะ”
ลลิสารับไปอ่านที่หน้าปกก่อนที่จะเปิดหาอ่านต่อเนื้อด้านใน
“ถ้ามันเขียนดี คุณปอนต้องปลื้มมันมากขึ้นอีกนะคะ คุณลิซ่า”
ลลิสาตาเขียวใส่เยาะ เยาะค่อยสงบลงนั่งจ๋อยๆ ไป

บ่ายแก่ๆ ลลิสานั่งเซ็งหงุดหงิดอยู่ที่ห้องประชุม มีเยาะคอยบีบนวด
“นี่จะประชุมกันมั้ยเนี่ย หรือว่ามัวแต่ปลาบปลื้มชื่นชม กระแสข่าวกันไม่เลิก”
เยาะบีบนวดไหล่ ต้นแขนลลิสาไป
“คุณเอกกับคุณบุษย์รับโทรศัพท์จนหูชาไปหมดแล้วล่ะค่ะ”
“คุณปอนล่ะ”
“ยิ้มหน้าบานทั้งวัน โทรชมแม่นั่นซะยกใหญ่น่าหมั่นไส้ที่สุดเลยค่ะ” เยาะว่า
ลลิสามีสีหน้าเจ็บใจปนหมั่นไส้ตาม ชลบุษย์เดินยิ้มแย้มเปิดประตูเข้าห้องประชุมมา
“วันนี้ยกเลิกประชุมนะ ขอโทษที ลืมโทรบอกเธอคนเดียว” ชลบุษย์มีสีหน้าแอบกวนอยู่ในที
“นี่เธอจงใจแกล้งฉันใช่มั้ย รู้ก็รู้ว่าฉันมีธุระต่อ”

ชลบุษย์โยนหนังสือบันเทิงลงกลางโต๊ะ ชลบุษย์ยิ้มๆ
“ฝีมือเธอใช่มั้ย”
ลลิสาหน้าหงิก
“พูดเรื่องอะไร”
“ก็ข่าวโจมตีมัทนาว่าไปนอนกับคุณปอนแลกกับข่าวสัมภาษณ์น่ะสิ กล้ามากนะ”
ลลิสาตกใจ
“ฉันไม่ได้ทำนะ” ลลิสาหยิบหนังสือพิมพ์มากางอ่าน
เยาะแอบสอดส่องอ่านอยู่ด้านหลัง
“สมน้ำหน้า สะใจจริงๆ” ชลบุษย์สะแหยะยิ้มสะใจ

มัทนาวิ่งร้องไห้ฝ่าวงเพื่อนๆ พนักงานที่จับกลุ่มคุยกันกับข่าวลือกระแสแรง ทุกคนหันมองตามมัทนาไปด้วยความรู้สึกเห็นใจ เธอยกมือปาดน้ำตาวิ่งเข้าห้องน้ำไป

มัทนาร้องไห้ให้สุด กะร้องไห้ครั้งเดียว แล้วสูดหายใจลึก ฮึดสู้ขึ้นมา หยิบโทรศัพท์มือถือมากดโทรออก ด้วยสีหน้าโกรธจัดไม่พอใจ
“พี่กบ มัทเองนะคะ...พี่กบทำกับมัทยังงี้ได้ยังไง” เธอนิ่งฟังก่อนโต้กลับไป
“มัทไม่โง่นะคะ พี่กะขายข่าวโหนกระแส ทำร้ายพี่น้องร่วมวงการแบบนี้ได้ยังไง”
อีกฝ่ายพยายามแก้ แต่มัทนาโกรธมาก ใส่กลับเป็นชุด
“มันไม่ใช่แค่มัท แค่สยามสารที่เสียชื่อ พ่อแม่มัทล่ะ ท่านเป็นอาจารย์นะคะ”
อีกฝ่ายตัดสายทิ้งไป... ฮัลโหล ๆ
พนักงานเข้ามาตามในห้องน้ำ
“มัท บอกอให้ไปพบ”
“ขอบคุณค่ะ”
มัทนาถอนใจอย่างหัวเสียเดินออกไปจากห้องน้ำ

ไชยวัฒน์เรียกมัทนามาคุยด้วยความเห็นใจ
“ทำใจให้สบาย อย่าคิดมาก คนมันอิจฉาก็ทำกันยังงี้แหละ ยิ่งฉบับนั้น เค้าพยายามขอสัมภาษณ์คุณตวันมานานแล้ว ขนาดบุกเข้าบ้านมีเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาลก็ยังไม่ได้เรื่อง แต่มัทเป็นนักข่าวน้องใหม่แท้ๆ กลับทำสำเร็จ เค้าก็ต้องเจ็บใจ ต้องพาลเป็นธรรมดา”
ไชยวัฒน์ยักไหล่พร้อมถอนใจเซ็งๆ
มัทนาน้ำตาคลอๆ อยากจะร้องไห้
“ฝากบอกคุณตวันด้วย ว่าอย่าไปปะฉะดะกับพวกนั้น อยู่เฉยๆ ดีกว่า เดี๋ยวจะยิ่งฉาว ต่อความยาวสาวความยืดไปกันใหญ่”
มัทนาพยักหน้าเห็นด้วย

เขตต์ตวันสวมแว่นดำเดินหน้าเครียดเข้ามาที่ล็อบบี้สยามสาร เอกชัยเดินตามมาติดๆ พนักงานและผู้คนที่ล็อบบี้แอบแตกตื่น....นักข่าวมีโทรตามกัน มีแอบถ่ายรูปใส่มือถือ
เอกชัยเดินไปติดต่อที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ก่อนจะพาเขตต์ตวันไปทางลิฟท์
ลิฟท์เปิดออก ช่างภาพของสยามสารออกมาจากลิฟท์ 2 คน
“ขอถ่ายรูปนะครับคุณตวัน”
เขตต์ตวันไม่ตอบอะไร รีบตามเอกชัยเข้าไปในลิฟท์ ช่างภาพทั้งสองคนกดชัตเตอร์รัวเก็บภาพต่อเนื่องแฟลชกระจายจนลิฟท์ปิดไป

ภายในห้องไชยวัฒน์
“ผมจะจัดการฟ้องให้เองในฐานะที่ชื่อเสียงของนักข่าวและหนังสือของเราได้รับความเสียหาย”
มัทนาไม่สบายใจนัก
“จะดีเหรอคะ ไหนบอกอเคยบอกว่าแมลงวันไม่ตอมกันเองไงคะ”
“แต่ผมไม่ใช่แมลงวัน ไม่เคยคิดว่าการทำข่าวเหมือนแมลงวันตอมเม็ดทุเรียนซักที มัทเองก็เฉยไว้ก่อน อย่าไปสนใจ อย่าไปกังวลอะไร ไม่มีใครในโลกหรอกที่ไม่เคยโดนนินทาว่าร้าย ดูคุณตวันสิ เจอหนักหนากว่าเธอตั้งเท่าไหร่”
มัทนาคิดตาม
“เราต้องไม่ไปหวั่นไหว ไม่เก็บมาใส่ใจ ไม่ทุกข์ร้อนกับความไม่จริง ปล่อยให้คนพูดร้อนปากร้อนใจตายไปเองดีกว่า”
มัทนายกมือไหว้
“สาธุ”
ไชยวัฒน์ยิ้มๆ โทรศัพท์บนโต๊ะดังขัดขึ้นพอดี เขายกหูโทรศัพท์รับ ฟังแล้วยิ้มๆ ก่อนตอบกลับไป “ขอบใจมาก”
หลังวางหูแล้ว เขาบอกกับมัทนาว่า
“คุณตวันมารอพบเธอที่ห้องรับรอง”
มัทนายิ้มดีใจมาก
“รีบไปพบเค้าสิ”
“ค่ะ”
มัทนารีบออกไปจากห้องไชยวัฒน์

ภายในห้องรับรองแขก ที่สยามสาร เขตต์ตวันยิ้มๆ
“ก็พูดเกินไป”
มัทนาหน้าแหยๆ
“มัทสร้างความเดือนร้อนให้หลวงพ่อกับคุณรึเปล่าก็ไม่รู้”
“พวกเราชินแล้วล่ะ ห่วงแต่เธอนั่นล่ะ”
“มีคนแท็กข่าวบ้าๆ นี่เข้าเฟซบุ๊กมาให้อ่าน ผมแทบจะปามือถือทิ้ง กำลังจะไปลุยสำนักพิมพ์อยู่แล้ว ดีนะไอ้ปอนมันห้ามไว้ทัน..ลิฟท์มาแล้ว...” เอกชัยบอก แล้วเดินนำเข้าไปกดลิฟท์รอ
เขตต์ตวันและมัทนาเดินคุยกันและตามเข้าลิฟท์ไป
“ตกเป็นข่าวครั้งแรก รู้สึกเป็นไงมั่ง”
มัทนาย่นจมูกหน้าเหมือนเด็กจ๋อยๆ
“แย่ที่สุดเลยค่ะ ไม่รู้พ่อกับแม่ได้อ่านรึเปล่า”
เขตต์ตวันยกมือขึ้นวางบนหัวมัทนาพาเข้าลิฟท์ไป เข้าใจความรู้สึก
ประตูลิฟท์ปิดไป

เวลาต่อเนื่องมา มัทนาเดินคุยกับเขตต์ตวันอยู่ที่ล็อบบี้สยามสาร พนักงานที่ผ่านไปมาก็แอบมองๆ มัทนามีสีหน้าเกรงใจ
“ต่อไปมัทคิดว่า มัทคงไม่รบกวนให้คุณปอนไปรับ ไปส่งมัทอีกแล้วล่ะค่ะ”
เขตต์ตวันชะงักไป
“ทำไมล่ะ รังเกียจหรือว่ารำคาญ”
“ไม่ใช่ทั้งสองอย่างแหละค่ะ มัทเกรงใจ”
เขตต์ตวันจ้องหน้ามัทนา
“ผมเคยบอกคุณครั้งนึงแล้วที่ภูเก็ต แต่คุณคงจำไม่ได้ งั้นผมจะทวนให้คุณฟังอีกที ผมทำทุกอย่างตามความพอใจของผม ไม่ใช่จำใจเพื่อรักษามารยาท หรือทำไปเพื่ออยากได้หน้า หรือเกรงใจอะไรทั้งนั้น”
“แต่มัทเป็นห่วงคุณ ไม่อยากให้หนังสือพิมพ์ฉบับอื่น ขุดคุ้ยเรื่องคุณมาโจมตีมากกว่านี้”
เขตต์ตวันยักไหล่
“ผมไม่สนใจซะอย่าง ใครจะมาทำอะไรผมได้”
เขตต์ตวันจ้องหน้ามัทนา
“คุณจำผู้ชายผอมๆ ที่เอาของมาขายผมที่บ้าน แล้วถูกฆ่าตายในบ้านเช่าได้มั้ย”
มัทนาสีหน้าย้อนนึก
“จำได้ค่ะ”
“มันชื่อไอ้เปลว เป็นคนของไอ้เชษฐ์ นอกจากจะเป็นคนพาผู้หญิงไปขายแล้วยังเป็นเซียนย่องเบา”

เขตต์ตวันบอกเล่าต่อ
“ไอ้เชษฐ์วางแผน มันลงมือ ได้ไข่มุกชุดนึงจากญี่ปุ่น มีค่ามหาศาล ของมาขึ้นที่ภูเก็ต ไอ้เปลวทรยศจะเอาของมาขายผม ไอ้เชษฐ์ใช้เวลาหลายวันปล่อยให้เปลวคิดว่ามันหนีรอด”

มัทนาย้อนนึกถึงเหตุการณ์วันนั้น เขตต์ตวันขับรถกลับมาทางซอยเข้าบ้านเห็นรถตำรวจจอด มีผู้คนพลุกพล่าน ทั้งเขตต์ตวันและมัทนาต่างรู้สึกแปลกใจ พร้อมๆ กับเอกชัยตื่นขึ้นมา สีหน้าตาตกใจกวาดตามอง
“เกิดอะไรขึ้นวะ”
มัทนาเพ่งมองไปที่บ้านเช่าที่ชายขี้ยาพัก มีเจ้าหน้าที่ขนศพคลุมผ้าออกมา
“มีคนตายด้วยค่ะ”

“พอไอ้เปลวตายใจไม่ทันระวังตัว ผลก็ออกมาอย่างที่คุณเห็น ไอ้เปลวถูกฆ่าตายอย่างทารุณแบบจับมือใครดมไม่ได้”
มัทนาหน้าเจื่อนๆ แอบกลัวๆ อยู่เหมือนกัน
“งานมันสะอาด ไม่มีร่องรอย รู้ยังงี้แล้วคุณยังจะวางใจไม่ให้ผมตามรับตามส่งอีกเหรอะ”
มัทนาหน้าจ๋อยๆไป
“ผมไม่แคร์พวกปากหอยปากปูนั่นหรอก เพราะเรารู้อยู่ว่ามันไม่ใช่ความจริง คุณเดือดร้อนเพราะผม ผมต้องให้ความคุ้มครองคุณอย่างดีที่สุด”
มัทนายังเกรงใจ
“คุณก็มีงานแฟชั่นต้องดูแล ถ้าลำบากจริงๆ มัทอาจจะขอความช่วยเหลือจากตำรวจก็ได้”
เขตต์ตวันขำๆ
“ตำรวจเค้ามีงานล้นมืออยู่แล้ว แล้วเวลาทำงานคุณถึงสามทุ่มสี่ทุ่ม ตำรวจเค้าคงไม่ใจดีพาคุณไปเลี้ยงข้าวต้มก่อนส่งกลับบ้านหรอก”
เขตต์ตวันยิ้มกระเซ้า ส่งสายตาเอ็นดู มัทนาเขิน ๆ เห็นเอกชัยขับรถมาจอดเทียบหน้าตึกพอดี มัทนารีบเลี่ยง เดินนำออกไปก่อนเลย
“ คุณเอกมาแล้วค่ะ”
เขตต์ตวันยิ้มๆ เดินตามออกไป

เอกชัยขับรถมาส่งเขตต์ตวันและมัทนาที่หน้ารั้วบ้าน...เขานั่งหน้าข้างเอกชัย
“ซักทุ่มครึ่ง ฉันแวะมารับ” เอกชัยบอก
“เออ”
“เร็วไปก็บอกนะโว้ย”
เขตต์ตวันตาดุๆ ใส่เอกชัยก่อนจะลงจากรถไป มัทนายกมือไหว้
“ขอบคุณค่ะคุณเอก”
“ดูแลเพื่อนพี่ให้ดีๆล่ะ ถ้าดื้ออนุญาตให้จับตีก้น”
มัทนาเขิน
“คุณเอก”
เอกชัยขำๆ มัทนารีบลงไปจากรถ เอกชัยบ๊าย บาย ยิ้มแย้ม ขับรถออกไป มัทนาเดินมาหยุดที่ประตูรั้ว สีหน้าแอบกังวลใช้ความคิด
“กลัวใช่มั้ย”
“ค่ะ ไม่รู้ว่ารู้ข่าวกันรึยังนะคะ”
“พ่อแม่คุณเป็นอาจารย์นะ รับรองว่ามีเหตุผลพอที่จะไม่เชื่อเรื่องไร้สาระพวกนั้นหรอก จะให้ผมช่วยอธิบายให้ก็ได้นะ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ถ้าพวกเค้าสงสัยอะไร มัทจะเป็นคนตอบเอง ตกลงมั้ยคะ”
“โอเคครับ”
มัทนาสูดหายใจลึก รวบความกล้าก่อนจะไขกุญแจรั้วบ้าน

เขตต์ตวันและมัทนากำลังคุยกับวาสิฏฐีและพ่อที่โซฟารับแขก
“วันนี้สิฏฐีได้อ่านข่าวตลกๆ ของพี่ตวันกับพี่มัทด้วยค่ะ เพื่อนๆ หัวเราะกันใหญ่เลย บอกว่าพวกเล่มอื่นอิจฉาไม่ได้สัมภาษณ์ เลยกัดพี่ตวันแหลก”
เขตต์ตวันหันมองมัทนาแล้วยักไหล่
“เห็นมั้ย อย่าคิดแทนคนอื่น”
มัทนาจ๋อยไปเล็กน้อย หันมองพ่อ
“พ่อได้อ่านข่าวมั้ยคะ”
“เพื่อนพ่อเอามาให้อ่าน”
มัทนาสีหน้ากังวลๆ
“แล้วพ่อว่าไงคะ” มทันารอฟังสีหน้าลุ้นๆ
“จะว่าไง พ่อก็บอกเค้าไปว่าอย่าไปเชื่อเอานิยมนิยายอะไรกับพวกข่าวบันเทิงเลย ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าให้อ่านเพื่อความบันเทิง จะไปจริงจังอะไร พวกนี้จริงส่วนเดียวเขียนได้เป็นสิบส่วน”
มัทนาอึ้ง เสียงขึ้นสูงถามพ่ออย่างอารมณ์เคือง
“งั้นตลอดเวลาพ่อก็เหมาว่ามัทเชื่อถือไม่ได้ใช่มั้ยคะ”
เขตต์ตวันหลุดหัวเราะออกมา มัทนาเผลอหันไปตาเขียวใส่ ศกุนตลาเดินหน้านิ่งมาหา
“คุณแม่ให้มาเชิญที่โต๊ะทานข้าวเลยค่ะ อาหารจะเสร็จแล้ว”

“ขอบคุณครับ” เขตต์ตวันส่งยิ้มเป็นมิตรให้ศกุนตลา เธอฝืนยิ้มมารยาทให้นิดเดียวแล้วไม่สบตาเดินเลี่ยงกลับออกไป

มายาตวัน ตอนที่ 12 (ต่อ)

เขตต์ตวันรู้สึกติดใจสงสัยมากกับความรู้สึกของศกุนตลาที่มีต่อตัวเขา สีหน้าท่าทางเธอแปลกๆ ที่เขามาทุกครั้ง เหมือนระแวง ไม่ไว้ใจอะไรซักอย่าง

หน้าตึกสยามสารตอนสายในหลายวันต่อมา มัทนากำลังสอนงานพนักงานใหม่อยู่
“นี่เป็นเบอร์ติดต่อหน้าบันเทิงเล่มอื่นๆ น้องจดเอาไว้ให้หมดเลย แล้วพี่จะค่อยๆ พาไปแนะนำตัวให้รู้จัก”
โทรศัพท์โต๊ะทำงานมัทนาดังขึ้น เป็นสายภายใน มัทนากดรับสาย
“มัทนาค่ะ”
ไชยวัฒน์น้ำเสียงซีเรียส
“ผมเอง...อย่าเพิ่งตกใจนะมัท”
“อะไรอีกคะบอกอ เกริ่นแบบนี้มัทไม่ชอบเลย”
“มีทางไกลจากตราดเรื่องวารี เดี๋ยวผมโอนสายให้คุยนะ”
มัทนาหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจปนร้อนใจอย่างบอกไม่ถูก

มัทนาเข้ามานั่งคุยกับไชยวัฒน์ในห้อง หน้าซีดๆ ยังตกใจกับข่าวที่ได้รับไม่หาย มัทนาน้ำตารื้นๆ
“มัทไม่อยากจะเชื่อเลย”
ไชยวัฒน์ถอนใจออกมา สีหน้าเครียดๆ ด้วยความเป็นห่วง ยังตกใจไม่หายเหมือนกัน
“บอกอคะ มัทขอลาพักร้อนไปตราดวันนี้เลยได้มั้ยคะ”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”
มัทนายิ้มดีใจ
“ผมก็กะจะสั่งให้มัทไปอยู่แล้ว เสียดายผมทิ้งงานทางนี้ไปไม่ได้ ไม่งั้นจะไปพร้อมกันเลย งั้นมัทก็กลับไปเก็บเสื้อผ้าเลย เดี๋ยวผมเซ็นเบิกค่าใช้จ่ายให้”

มัทนายกมือไหว้
“ขอบคุณค่ะบอกอ งั้นมัทไปเลยนะคะ” มัทนารีบลุกไป
“เดี๋ยวมัท...ผมขอสั่งคุณ สั่งเด็ดขาดเลยนะ ถ้ามีข่าวคืบหน้าอะไร โทรบอกผมทันที ผมต้องการรู้ข่าวทุกระยะไม่ว่าจะดีหรือว่าร้าย” ไชยวัฒน์สีหน้าขรึมลง
มัทนาซึมตาม
“ค่ะบอกอ”
“ไปได้แล้ว ระวังตัวด้วย”
มัทนารีบเดินเร็วออกไปจากห้อง

มัทนารีบร้อนกลับมาที่โต๊ะทำงานเก็บข้าวของแล้วก็กดโทรศัพท์มือถือหาเขตต์ตวันเอาโทรศัพท์แนบหูไประหว่างรอสาย เธอเก็บของใส่เป้ไปอย่างรีบร้อน

โทรศัพท์มือถือตวันเปิดแบบสั่นเอาไว้ เขตต์ตวันอยู่ในห้องประชุมกับเอกชัยและทีมงาน เขาไม่ได้นั่งที่โต๊ะ กำลังลุกไปดูข้อมูลจากโน้ตบุ๊กทีมงาน เขตต์ตวันและเอกชัยมีสีหน้าช่วยกันตัดสินใจอะไรบางอย่าง ไม่ทันได้สังเกตโทรศัพท์มือถือ

มัทนากำลังพิมพ์ข้อความในline ส่งกลับไปหาเขตต์ตวัน
“มัทกลับบ้านแล้ว ไม่ต้องมารับนะคะ”

ผ่านเวลาพักใหญ่ มัทนาเปลี่ยนชุดใหม่ ทะมัดทะแมงเตรียมเดินทางไปต่างจังหวัด เธอสะพายกระเป๋าใส่สัมภาระและวิ่งรีบร้อนตึงตังลงบันไดบ้านมา
มัทนาทิ้งเป้โครม วิ่งไปฉวยกระดาษโน้ตที่โต๊ะโซฟา เอาปากกาเขียนบอกพ่อกับแม่ประมาณว่า
“มัทไปเยี่ยมพี่วารีที่ตราดนะคะ ถึงแล้วจะโทรหา”
มัทนาวิ่งเอากระดาษโน้ตไปแปะตู้เย็นก่อนที่จะวิ่งไปฉวยกระเป๋ามาสะพายแล้วรีบร้อนวิ่งออกจากบ้านไป

มัทนาเดินก้มหน้าก้มตาไปปากทางเข้าหมู่บ้านเพื่อเรียกแท็กซี่ ไม่คาดคิดรถคันหนึ่งเลี้ยวปาดเข้าขวางหน้า มัทนาตกใจร้องลั่นก่อนจะเงยมองพบว่าเป็นเขตต์ตวัน เขารีบลงจากรถมาต่อว่า
“ตกใจหมดเลยคุณปอน มัทเกือบช็อคตายแน่ะ”
เขตต์ตวันทำหน้าดุ
“ทำไมไม่รับสาย ผมเป็นห่วงมากรู้มั้ย”
“ก็มัทรีบมากนี่คะ”
เขามองกระเป๋าใส่ของ
“นี่จะออกไปไหน”
“มัทจะไปตราดค่ะ”
“ไปทำไม”
“คุณษมาโทรมาบอกว่าพี่วารีได้รับอุบัติเหตุ ได้ยินว่าถังน้ำมันหรือโรงเก็บเรืออะไรนี่ล่ะค่ะระเบิด พี่วารีอาการสาหัส”
เขตต์ตวันตกใจมาก
“มัทพยายามติดต่อพี่สาวพี่วารี แต่ไม่รับสายเลย สงสัยกำลังอยู่บนเครื่อง มัทต้องรีบไปแล้วล่ะค่ะ” มัทนาท่าทางรีบร้อน
เขตต์ตวันสวนไปทันที
“ผมไปด้วย”
มัทนาอึ้งไป
“คุณจะไปได้ยังไง คุณต้องทำงาน งานแฟชั่นใกล้จะโชว์แล้วนะคะ”
“ช่างหัวมันเถอะ ยังไงมันก็ต้องเลื่อนอยู่แล้ว เสียเวลาแค่ 3-4 วันไม่เสียหายอะไรหรอก เรื่องคุณสำคัญกว่า”
มัทนามองหน้าเขตต์ตวันอึ้งๆ ด้วยความซึ้งใจ
“ขึ้นรถสิ” เขตต์ตวันเปิดประตูรถให้

มัทนาเดินไปขึ้นรถอย่างว่าง่าย เขตต์ตวันรีบวิ่งไปขึ้นรถ มัทนามองตามด้วยความรู้สึกซึ้งใจมากที่ห่วงใยเธอขนาดนี้ เขตต์ตวันถอยรถตั้งลำแล้วขับออกไปจากหมู่บ้านทันที

บ่ายต่อเนื่อง เขตต์ตวันขับรถไปจอดรอจังหวะเลี้ยวอยู่หน้าปากซอยบ้านมัทนา เธอถามเขาเรื่องการเลื่อนงาน
“ทำไมคุณต้องเลื่อนงานแฟชั่นโชว์ออกไปด้วยคะ”
เขตต์ตวันมีสีหน้าเหนื่อยใจ
“มีแบบเสื้อสองชุดที่เตรียมไว้ปิดโชว์หายไป”
มัทนาแปลกใจ
“หายไปได้ยังไงคะ”
“ผมคิดว่าเกลือเป็นหนอน”
“มีคนจงใจขโมยไปเหรอคะ”
เขตต์ตวันพยักหน้ารับ
“ตอนคอลเล็คชั่นดวงตาตวัน ก็หายไปสองชุด แต่ไม่ใช่ชุดปิดโชว์แบบคราวนี้นะ แล้วรู้อะไรมั้ย ก่อนวันเปิดโชว์ไม่กี่วัน แบบพวกนั้นถูกผลิตมาวางขายเป็นพันชุดในตลาดขายส่ง”
“แบบเดียวกันเลยเหรอคะ”
“ใช่ ต่างที่คุณภาพและราคา ผมกับเอกยังมืดแปดด้าน ว่าใครทรยศเรา คนที่รู้ว่าเราเก็บแบบไว้ที่ไหนมีแค่ไม่กี่คน และทุกคนก็เชื่อใจได้ทั้งนั้น”
“จากที่มัทเคยอ่านนิยายสืบสวนมานะคะ คนที่น่าเชื่อถือที่สุดคือคนที่น่าสงสัยมากที่สุด”
เขตต์ตวันสีหน้าจริงจัง
“ไอ้เอกแน่ๆ”
มัทนาหัวเราะออกมา เขาก็ขำๆ ก่อนจะได้จังหวะเลี้ยวรถออกไปจากซอย
“แวะไปเอาเสื้อผ้าผมที่คอนโดเดี๋ยวนะ” เขตต์ตวันบอก

ผ่านเวลา เขตต์ตวันจอดรถเข้าซองที่จอดรถ จะรีบลงจากรถ
“รอแป๊บนึง” เขตต์ตวันจะลงจากรถไป
“คุณน่าจะอยู่ออกแบบเสื้อชุดใหม่ที่นี่มากกว่า”
เขตต์ตวันชะงักไปเล็กน้อย
“งานคุณสำคัญกว่า งานแฟชั่นโชว์ก็จะเริ่มอยู่แล้ว อย่าเสียเวลาไปกับมัทเลยค่ะ”
เขตต์ตวันจ้องหน้ามัทนา ยืนยันสั้นๆ
“ผมจะไปกับคุณ”
มัทนาเห็นความดุและเอาจริงกับคำที่พูดของเขาก็ไม่กล้าหืออือ แต่แอบกลัวอยู่เหมือนกัน
“อยู่ที่นี่ก็ไม่มีความหมายอะไร คุณไม่เคยได้ยินเหรอ ทำงานศิลปะให้ดีต้องมีแรงบันดาลใจ ตอนนี้ผมต้องการมันอย่างมากซะด้วย”
มัทนายิ้มรับอย่างเข้าใจ
“กดล็อกรถให้ดีล่ะ”
เขตต์ตวันลงไปจากรถแล้วรีบเดินไปเข้าตึกคอนโดฯ
มัทนาขยับตัวไปกดล็อกแล้วมองตามตวันไป ยิ้มปลื้ม ลึกๆก็แอบดีใจที่มีเขาเดินทางไปตราดด้วย

กลางคืนวันหนึ่ง เชนกำลังส่องไข่มุกคัดพิเศษที่เพิ่งได้มาใหม่อย่างพออกพอใจอยู่ในห้องทำงาน
ลูกน้องยกแก้วไวน์เข้ามาเสิร์ฟ
เชนเหลือบตามอง
“มัทนากลับมาบ้านรึยัง”
“ยังเลยครับ”
เชนไม่พอใจ
“ไปทำไมตั้งหลายวัน”
“ไอ้ตวันก็ยังไม่กลับครับ”
เชนมีสีหน้าเกลียดชัง
“คงมีความสุขกันมากล่ะสิ”
ลูกน้องเสิร์ฟไวน์ไป
“ให้คนเฝ้าเอาไว้ มันกลับมาเมื่อไหร่ รีบรายงานฉันทันที”
เชนสีหน้านิ่งอย่างใช้ความคิดเตรียมแผนการร้ายเอาไว้ แล้วสะแหยะยิ้มมุมปากออกมา

เขตต์ตวันขับรถกลับจากตราดมาถึงหน้าบ้านมัทนาตอนกลางคืนวันรุ่งขึ้น เธอหลับอยู่ที่เบาะข้าง เขาหันไปมองยิ้มอย่างเอ็นดู
“ถึงบ้านแล้วครับ”
มัทนายังหลับไม่รู้เรื่อง เขาแกล้งกระแอมเสียงดัง มัทนาสะดุ้งตื่นขึ้นมามองดูว่าอยู่ที่ไหน เขตต์ตวันยิ้มกระเซ้า
“หลับสบายมั้ย”
มัทนารีบแก้ตัว
“ฉันไม่ได้หลับนะคะ แค่ปิดตาเฉยๆ”
“นี่ถ้ามีแข่งปิดตามาราธอน ผมว่าคุณต้องชนะเลิศแน่นอน”
มัทนาทำหน้าโกรธใส่
“กลับเข้าบ้านเถอะครับ ผมไม่ลงไปด้วยนะดึกแล้ว ไม่อยากรบกวนคุณพ่อคุณแม่”
“ค่ะ”
มัทนายกมือไหว้ ซาบซึ้งใจมาก
“ขอบคุณมากนะคะ ถ้าคุณไม่เอะใจขึ้นมา พี่วารีต้องแย่แน่ๆ เลย”
เขตต์ตวันมองหน้ามัทนา เหมือนห้ามใจไว้ไม่อยู่ เอื้อมมือมาจับมือมัทนาที่พนมไหว้เอาไว้ เธอช้อนตามองเขา ทั้งคู่สบตากันนิ่ง

เขตต์ตวันค่อยๆ หอมแก้มมัทนาเบาๆ ก่อนจะสบตากันระยะใกล้ ทำท่าเหมือนจะห้ามใจไม่อยู่ จะจูจุ๊บปากบางๆของสาวน้อยตรงหน้า มัทนาเองก็นิ่งไม่ได้ขัดขืน

แต่เจ้ากรรม...ศกุนตลาเปิดประตูโถงบ้านออกมาซะก่อน เขตต์ตวันรีบผละตัวออกห่างจากมัทนา ปล่อยมือ เธอรีบหลบตา อายจนหน้าแดง ร้อนผ่าวไปทั้งตัว
“รีบเข้าบ้านเถอะ”
“ค่ะ”
มัทนาจะลงจากรถ
“มัท”
“คะ” มัทนาหันไปมอง
“พรุ่งนี้ไม่ผมก็เอกจะมารับคุณไปทำงาน”
มัทนาจะอ้าปากค้าน เขตต์ตวันแย่งพูด
“การที่มันปล่อยให้เราอยู่สบายๆ มาเป็นอาทิตย์ ไม่ได้หมายความว่ามันจะหยุดนะ เพราะฉะนั้นอย่าเสี่ยง อย่าดื้อ ทำตามที่ผมสั่ง”
“เจ้าค่ะท่านผู้นำ”
มัทนาแกล้งย่นจมูกใส่แล้วลงไปจากรถ เขตต์ตวันตามไปช่วยหยิบเป้ที่ท้ายรถให้ ศุกนตลาจับตามองตวันจากมุมมืดด้วยสีหน้าแววตาไม่ไว้ใจ

มัทนาเดินเอาเป้มาทิ้งในห้องนอน ทันทีที่หย่อนก้นนั่งลงบนเตียง วาสิฏฐีก็วิ่งพรวดเข้ามาในห้องนอนมัทนาทันที วาสิฏฐียิ้มหน้าเป็นถาม
“เป็นไงมั่งพี่”
มัทนาเปิดเป้ รื้อของพร้อมตอบไป
“พี่วารีก็ดีขึ้นแล้วล่ะ ลุกนั่งทานอาหารเองได้แล้ว”
“เค้าไม่ได้ถามถึงพี่วารี เค้าอยากรู้เรื่องความคืบหน้าของตัวกับพี่ตะวันตะหาก”
วาสิฏฐียิ้มทะเล้น มัทนาชะงักไปเล็กน้อย แอบอมยิ้ม
“ไปอยู่บนเกาะมีแต่น้ำกับฟ้ามาตั้งเป็นอาทิตย์ น่าจะมีอะไรคืบหน้ามั่งแหละ รึว่ายังต้วมเตี้ยมเหมือนเจ้าเต่าคาเมะกับโอชิ”
มัทนาตอบปัดไปแบบเขินๆ หน้าเปื้อนยิ้ม
“ก็ไม่มีอะไรนี่ พี่ไปเฝ้าคนเจ็บนะ วันๆ ก็นั่งเฝ้าพี่วารี”
“ไม่เชื่อ หอมแก้มกันยัง”
มัทนาเสียงแหลมสูงมาเลย
“บ้า พูดอะไรของเธอ”
“ไม่ต้องปิดบังเค้าหรอก เค้าไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ”
มัทนาหน้าขรึมลงเล็กน้อย
“ไม่รู้สิ ถึงวันนี้พี่ยังไม่แน่ใจเลยว่าเค้าคิดกับพี่ยังไง เค้าไม่เห็นเคยพูดอะไรเลย”
“เรื่องแบบนี้ต้องให้พูดด้วยเหรอพี่มัท ชีวิตจริงไม่ใช่นิยายนะคะ จะต้องได้ฟังพระเอกพูดบอกรักนางเอกจากปากถึงจะเข้าใจ นี่เห็นกันตัวเป็นๆ ทั้งสีหน้าแววตา ทั้งการกระทำ แค่นี้ยังไม่พออีกรึไง”
“ไม่รู้เหมือนกัน พี่คงโง่มั้ง มองไม่ออก ไม่อยากคิดไปเองคนเดียว” มัทนาสีหน้าหวั่นใจ
วาสิฏฐีค้อนใส่พี่สาว
“ที่พี่ตวันเค้ามารับมาส่งพี่ทุกวัน อุตส่าห์ไปเป็นเพื่อนพี่ถึงตราด อยู่ดูแลพี่เป็นอาทิตย์ ทั้งๆที่งานแฟชั่นโชว์ก็จะเริ่มอยู่แล้ว แค่นี้ยังแสดงให้รู้ไม่พออีกเหรอคะ ว่าเค้าแคร์พี่มัทมากขนาดไหน”
มัทนายังไม่มั่นใจอยู่ดี
“เค้าทำตามหน้าที่ ต้องรับผิดชอบ”
“หน้าที่อะไรไม่ทราบ เจอพี่ตวันครั้งต่อไปฝากถามหน่อยนะคะ ว่าจะรับผิดชอบพี่สาวสิฏฐีไปทั้งชีวิตรึเปล่า”
มัทนาค้อนใส่วาสิฏฐี
“พูดจาแก่แดด”
เสียงเคาะประตูขัดจังหวะก่อนที่ศกุนตลาจะเปิดเข้าห้องมาสีหน้าร้อนใจ ศกุนตลายิงคำถามทันที ร้อนใจ
“มัทจำเรื่องคนไข้ของพี่ที่เคยเล่าให้ฟังก่อนไปภูเก็ตได้มั้ย”
มัทนาจำไม่ได้
“คนไข้ไหนคะ”
“ก็คนที่คุณตวันเป็นเจ้าของไข้ไง”
มัทนามีสีหน้าย้อนคิด …

ศกุนตลาถอนใจบางๆ ออกมาก่อนเล่า
“เมื่อ 4-5 เดือนก่อนมีคนไข้พิเศษมานอนที่ตึกพี่ คุณตวันเป็นเจ้าของไข้ ออกค่ารักษาให้หมดแล้วก็มาเยี่ยมบ่อยมาก แต่พอเค้ากลับไป คนไข้พี่ก็เอาแต่ร้องไห้ ถามอะไรก็ไม่ตอบ สภาพจิตใจก็ย่ำแย่ หัวหน้าพี่เลยขอไม่ให้เค้ามาเยี่ยมอีก ป้องกันไม่ให้เค้ามาพูดจาอะไรสะเทือนใจคนไข้”
“คนไข้ผู้หญิงหรือผู้ชายคะ”
“ผู้หญิง หน้าตาสะสวยเชียวล่ะ เห็นน้องๆ เค้าบอกว่าเคยเป็นนางแบบ พี่ก็ไม่ค่อยรู้จัก รู้สึกจะชื่อ … ดูสิจำไม่ได้ซะแล้ว ชื่อติดอยู่ริมฝีปากนี่ล่ะ”
“แล้วเค้าป่วยเป็นอะไรมาเหรอคะ”
ศกุนตลาอึดอัดใจเล็กน้อยที่พูดพูดความลับคนไข้
“มัทห้ามพูดไปนะเค้ามารักษาอาการติดยาจ้ะ”
“ติดยาเหรอคะ”

ศกุนตลาบอก
“พี่นึกชื่อคนไข้นางแบบคนนั้นออกแล้ว”
มัทนาถามอย่างอยากรู้
“ชื่ออะไรคะ”
“ชลบุษย์”
มัทนาอึ้งไป นึกไม่ถึง
“มัทรู้จักเธอมั้ย”

มัทนาเงียบไป มีสีหน้าติดใจสงสัย อยากรู้รายละเอียดประเด็นนี้ขึ้นมา

บ้านมัทนาตอนเช้าวันรุ่งขึ้น เอกชัยนั่งรออยู่ที่โซฟารับแขก พิงศีรษะกับโซฟาหลับตาพักอยู่ไปมา
มัทนาเดินลงมาจากชั้นบน เห็นเอกชัยหลับตาพักอยู่ เธอเดินมาเบาๆ ย่องมาหา ไม่อยากรบกวน แต่ไม่วายซุ่มซ่ามเตะอะไรซักอย่าง เอกชัยสะดุ้งตื่นขึ้นมา มัทนายิ้มเจื่อน
“โทษทีค่ะ”
“ลงมานานรึยังครับ”
“เดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ เหนื่อยมากเหรอคะ” มัทนาสีหน้าเป็นห่วง
“ชินแล้วล่ะ”
“ที่จริงไม่ต้องมารับมัทก็ได้”
“ยังไงก็ไม่ได้ ผมกับปอนกังวลเรื่องไอ้เชษฐ์มาก”
“ตอนนี้เค้าเงียบๆ ไปแล้วนี่คะ อาจจะเลิกตอแยแล้วก็ได้”
“ไม่มีทาง คนอย่างมันผูกใจเจ็บ ผมรู้จักนิสัยมันดี ช่วงนี้มันเงียบเกินไป มันต้องคิดทำอะไรอยู่แน่ๆ ถึงได้กบดานเงียบขนาดนี้” เอกชัยพูดพลางขมวดคิ้ว เครียด
“คิดมากพอๆ กับคุณปอนเลย”
เอกชัยส่ายหน้าไม่เห็นด้วย
“มัทยังไม่รู้จักมันดีพอ...ทุกทีตอนใกล้เปิดการแสดง มันต้องก่อกวนสารพัด ขู่วางระเบิดในงานก็เคยมาแล้ว”
มัทนาตกใจ
“จริงเหรอคะ ไม่เห็นเคยได้ยินข่าวเลย”
“ผมมีวิธีปิดข่าวชั้นหนึ่งก็แล้วกัน ไว้คุณเลิกเป็นนักข่าวเมื่อไหร่ จะเล่าให้ฟัง ผมซีเรียสนะ มันเงียบ เหมือนทะเลก่อนมีพายุ ทางที่ดีที่สุด คุณอย่าประมาทเด็ดขาด” เอกชัยเน้นหนักแน่นด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ต้องห่วงฉันหรอกค่ะ คุณปอนให้ปืนฉันไว้ป้องกันตัวแล้วล่ะ”
“อย่าลืมวิธีใช้ซะล่ะ”
มัทนาทำท่าประกอบพร้อมพูดไป
“มือเหยียดตรง ตามองนิ่ง มืออย่าสั่น เวลาขู่ เสียงต้องไม่สั่นด้วย”
เอกชัยขำๆออกมา
“น่ากลัวมาก”
“คุณเอกอ้ะ มัทเสียเซลฟ์หมด”
เอกชัยหยิบเอกสารวันแถลงข่าวมายื่นให้
“อ้ะ เอกสารแจกงานแถลงข่าว ผมเก็บเอาไว้ให้”
มัทนารับไปเปิดดู
“ไม่มีบัตรเชิญสื่อมวลชนแนบมาด้วยเหรอคะ”
“คนอื่นมี แต่ของคุณพิเศษ เจ้าปอนมันเตรียมไว้ให้แล้ว”
มัทนาย่นจมูก
“บัตรพิเศษไม่อยากได้ อยากเข้าไปดูงานหลังเวทีมากกว่า จะอนุญาตมั้ยคะ”
“ได้ แต่ต้องไปคนเดียวนะ แล้วก็ห้ามพกกล้องไปด้วย”
“ตกลงค่ะ ถือว่าให้สัญญากับมัทแล้วนะ”
เอกชัยยื่นมือมาเช็คแฮนด์ มัทนาเช็คแฮนด์ด้วยแล้วดึงเอกชัยขึ้นมา
“รีบไปได้แล้วค่ะ เดี๋ยวมัทมีประชุมไ
เอกชัยกอดคอมัทนาพาเดินออกไปจากบ้าน ท่าทางสนิทสนมคุ้นเคย

เวลากลางวัน มัทนาและมีคณานั่งคุยงานกับไชยวัฒน์ที่ห้องทำงาน เขานั่งเกาคางไปมา สีหน้าใช้ความคิด
“น่าสนใจนะ อาจจะเอามาทำข่าวก็ได้”
มัทนาแปลกใจ
“เรื่องพี่วารีเนี่ยนะคะ”
“ไม่ใช่ จะหาเรื่องให้วารีมาฉีกอกผมรึไง”
“แล้วเรื่องอะไรเหรอคะบอกอ”
“ก็เรื่องสมุนไพรน่ะสิ ตอนนี้มี่มีข่าวอะไรอยู่ในมือมั่งล่ะ”
“ก็กำลังตามเรื่องที่สถานทูตญี่ปุ่นขอให้ตำรวจไทยเร่งสืบคดีโจรกรรมไข่มุกดำน่ะค่ะ”
ไชยวัฒน์พยักหน้ารับทราบ
“งั้นเอาเรื่องนี้ไปทำด้วย ลองคุยกับพวกหมอ หาตัวอย่างสมุนไพรพิษที่มันเห็นง่ายๆรอบตัวเรานี่แหละ มันจะได้ช็อกคนอ่านดี”
“ค่ะ”
ไชยวัฒน์ส่งแผ่นข่าวแจก3-4ใบให้มัทนา
“ส่วนนี่งานของคุณ ไม่ต้องอะไรมากมาย พาเด็กใหม่ไปงานแล้วคุมให้เขียนข่าวซุบซิบสั้นๆก็พอ”
“ค่ะบอกอ” มัทนารับแผ่นข่าวไปดูผ่านๆ
ไชยวัฒน์นึกได้ หยิบแผ่นข่าวมาอีกใบ
“เอ้อ งานแฟชั่นตวัน คิดว่าเป็นหน้าที่ของเธอนะ”
มัทนายิ้มแย้ม เสียงสดใส
“เรื่องนี้แน่นอนอยู่แล้วค่ะ”
“ไม่มีอะไรแล้ว ไปทำงานกันได้”
ไชยวัฒน์หันไปทำงานหน้าจอคอมฯต่อ มีคณาและมัทนาลุกขึ้นจะเดินออกไปจากห้อง มีคณาจับมือมัทนาไว้
“ไปทานข้าวด้วยกันนะ พี่มีเพื่อนจะแนะนำให้รู้จัก”
มัทนาเหล่มองสีหน้ามีคณาอย่างสงสัย

ผ่านเวลาซักครู่ มีคณาเคาะประตูห้องรับรองแขกก่อนเปิดเข้าไป มัทนาเพ่งมองเข้าไปด้วยสีหน้าอยากเห็น สารวัตรหิรัณย์กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในห้อง เขาค่อยๆ ลดหนังสือพิมพ์ลง พร้อมส่งยิ้มหล่ต้อนรับ
มัทนากระซิบมีคณา
“หล่อเลยอ้ะ”
มีคณาหยิกแขนมัทนาเล็กน้อยให้สำรวมอาการ เธอปั้นหน้าปกติ แนะนำมัทนา
“นี่สารวัตรหิรัณย์”
มัทนายิ้มแป้น ยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะ”
หิรัณย์ยิ้มแย้มรับไหว้
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ มัทได้ยินชื่อมาตั้งนาน เพิ่งจะได้เจอตัวจริงวันนี้เอง... มัทก็คิดในใจ เอ๋ ผู้ชายลักษณะยังไงนะ ที่เอาชนะใจพี่มี่ได้”
มีคณาเขินจัด หยิกแขนมัทนาบิด
“โอ๊ย ๆ”
หิรัณย์อมยิ้มไปมา มีคณารีบตัดบท

“นี่น้องมัทนาที่เคยเล่าให้ฟังไงคะ”

มายาตวัน ตอนที่ 12 (ต่อ)

หิรัณย์ยิ้มแย้มบอก
“แฟนคุณเขตต์ตวัน”
มัทนายิ้มค้างไปเลย เพราะอายมากที่ถูกทักแบบนั้น มีคณาแอบอมยิ้มสมน้ำหน้า หิรัณย์ขยิบตาให้มีคณา ประมาณช่วยเอาคืนแก้เขินให้ มัทนาจะหยิกเอวมีคณาคืน ฝ่ายเพื่อนรู้ทัน รีบเบี่ยงตัวหลบ
“ไปทานข้าวกันเถอะค่ะ”
มีคณาเดินนำออกไปก่อน มัทนาฉีกยิ้มให้หิรัณย์ก่อนรีบตามมีคณาออกไป เธอทั้งเขินปนอาย
หิรัณย์ยิ้มๆ ลุกเดินตามออกไปอีกคน

ผ่านเวลาเล็กน้อย ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อ เจ๊นิดมายืนคุยประชิดโต๊ะมัทนา มีคณา และหิรัณย์
เจ๊นิดมองสารวัตรหิรัณย์ ไม่วางตา
“ไม่บอกเจ๊ไม่รู้เลยนะคะเนี่ยว่าเป็นตำรวจดูไม่เหมือนเลยค่ะ”
หิรัณย์ยิ้มแย้ม
“เหมือนคนร้ายมากกว่าใช่มั้ยครับ”
“อุ๊ย ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่”
เจ๊นิดโลมเลียด้วยสายตาแล้วบอก
“สูงโปร่ง ยิ้มหวาน เคราเขียวๆ ยังเงี้ย หล่อเหมือนนายแบบเลยค่ะ”

มีคณาและมัทนายิ้มชำเลืองมองหน้ากัน
“งั้นอย่าบอกใครนะครับว่าผมเป็นตำรวจ ความลับราชการ”
เจ๊นิดยกมือปิดปาก
“เจ๊ไม่พูดหรอกค่ะ เสียลูกค้าหมด”
มัทนาแซว
“ปกติไม่เห็นเจ๊เคยมาเทกแคร์ลูกค้าถึงโต๊ะยังงี้เลยนะคะ”
เจ๊นิดค้อนใส่มัทนา
“หนูมัท ขายเจ๊ซะแล้ว”
เจ๊นิดหันไปยิ้มหวาน ชม้ายชายตาหิรัณย์ แล้วเดินอารมณ์ดีกลับไปทำก๋วยเตี๋ยวต่อ
“อิ่มแล้ว ไปล่ะ”
หิรัณย์มีคณาขำๆ มองหน้ากัน
“อาทิตย์นี้พี่มี่มีข่าวอะไรอ้ะ” มัทนาดูดน้ำเปล่าไป
“เรื่องคดีฆ่ากันที่โคราช ส่งต้นฉบับไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”
“เรื่องที่เมียใช้ขวานจามหัวสามีน่ะเหรอคะ”
มีคณาสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา
“จ้ะ ตัวผู้หญิงทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ส่วนผู้ชายกินเหล้า ติดพนัน ติดผู้หญิงครบสูตรเลย”
หิรัณย์เข้าใจความรู้สึกของมีคณา เธอเล่าไปด้วยสีหน้าเจ็บช้ำแทน ดูชิงชังผู้ชายมาก
“งานการไม่ทำ ให้เมียหาเลี้ยง เมาแล้วซ้อมลูกเมีย นี่ลูกชายเพิ่งช้ำในตายไปหยกๆ นะ วันเกิดเรื่องก็เมาเตะเมียตกบันได ตัวเมียทนไม่ไหวเลยเอาขวานไปจามเข้าให้”
มีคณาส่ายหน้าอย่างระอา ก่อนชำเลืองไปมองหิรัณย์
หิรัณย์จ้องตามีคณา ยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เหมือนต้องการให้มั่นใจ
“ผู้ชายไม่ได้เลวทุกคนยังงั้นนะครับคุณมี่ ยังมีอีกมากที่เป็นสามีที่ดี รักให้เกียรติและทะนุถนอมภรรยาของเค้าอย่างดี” หิรัณย์จ้องตามีคณาไม่ละสายตา
มีคณาก็มองตาหิรัณย์นิ่ง มัทนาอมยิ้มเหล่มองทั้งคู่
“จะให้มัทย้ายไปนั่งโต๊ะอื่นเมื่อไหร่ก็บอกนะคะ” มัทนากระเซ้า
มีคณาและหิรัณย์ต่างอมยิ้มเขินๆ ละสายตาออกจากกัน มัทนายิ้มปลื้มชื่นใจ มีความสุขไปด้วยที่มีคณาได้เจอผู้ชายที่เข้าใจอย่างหิรัณย์

ในเวลาต่อมา ทั้งสามคนเดินคุยกับเข้ามาที่ล็อบบี้สยามสาร
“ที่จริงอาทิตย์นี้พี่ว่าจะไปเยี่ยมวารีอยู่เหมือนกันนะ แต่บังเอิญ สถานทูตญี่ปุ่นเร่งเรื่องคดีไข่มุกขึ้นมา พี่ตามเรื่องนี้อยู่ เลยไม่อยากทิ้งไป”
“ตกลงฝีมือคนไทยเหรอคะ งามหน้าอีกแล้ว...”
มัทนาฉุกคิดเรื่องที่เขตต์ตวันเล่าเรื่องเปลวให้ฟัง
“เอ๊ะ เรื่องนี้เกิดนานรึยังคะ”
“น่าจะเป็นเดือนแล้วมั้ง ไข่มุกเกรดระดับส่งประกวดงานอัญมณีนานาชาติที่ญี่ปุ่นเลยนะมัท ราคาไม่ต้องพูดถึง”
“แล้วหายไปได้ยังไงคะ”
“หายตอนเอาไปทำเรือน ลือกันว่าเป็นความร่วมมือระหว่างคนไทยกับแก๊งยากูซ่า” หิรัณย์บอก
“เห็นว่าลักลอบเข้าไทยทางภูเก็ต ใช่มั้ยคะสารวัตร” มีคณาถาม
“ครับ น่าแปลกที่มาถึงภูเก็ต ก็หายไปแบบไร้ร่องรอย มีเสียงลือว่ามุกอาจจะถูกลักลอบเอาออกไปโดยไม่ผ่านเมืองไทย”
มัทนามีสีหน้าคิดทบทวน
“แต่หลายคนก็เชื่อว่าไข่มุกยังอยู่ในเมืองไทย อาจจะตกอยู่ในความครอบครองของเศรษฐี หรือ ผู้มีอิทธิพลบางคน แต่ที่ชัวร์ๆ ตอนนี้ก็คือคนที่เชื่อว่าเป็นคนโจรกรรมไข่มุกกลายเป็นศพไปแล้ว”
มัทนาสีหน้าใช้ความคิด เชื่อมโยงเรื่องกับที่รู้มาจากเขตต์ตวัน
“มัทก็ไปอยู่ภูเก็ตมา ได้ข่าวเรื่องไข่มุกนี่มั่งมั้ย” มีคณาถาม
“มัทเพิ่งมารู้เรื่องที่กรุงเทพนี่ล่ะค่ะ แต่ตอนไปทำข่าวมัทก็ได้ไข่มุกมาชุดนึงเหมือนกันนะคะ ซ้วยสวย เสียดายของปลอม ไม่งั้นมัทคงกลายเป็นเศรษฐีไปแล้ว” มัทนาขำๆ
“งั้นเดี๋ยวผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
มัทนายิ้มแบบรู้ทัน
“งั้นมัทขึ้นไปก่อนนะพี่มี่ เผื่ออยากจะลากันเป็นการส่วนตัว”
มีคณาตีแขนมัทนาเบาๆ มัทนายิ้มๆ ยกมือไหว้หิรัณย์
“สวัสดีค่ะ”
หิรัณย์รีบรับไหว้
“เจอกันครั้งแรก มัทให้ผ่านค่ะ แล้วเจอกันอีกนะคะ”
มัทนายิ้มกระเซ้ามีคณาแล้วรีบเดินไปทางลิฟท์
มีคณายิ้มเขินรีบตัดบท
“อย่าไปถือสาเลยนะคะ ฉันไปส่งที่รถค่ะ”

มีคณายังเขิน เดินนำทิ้งระยะไปก่อน หิรัณย์รีบเดินตามไปติดๆ มัทนามองตามทั้งคู่ ยิ้มแย้มชอบใจ เอาใจช่วย

เวลาเย็น เชนนั่งอยู่มุมด้านในของร้านอาหาร ณ โรงแรมแห่งหนึ่ง เขากำลังคุยกับนักธุรกิจชาวญี่ปุ่นมร.เท็ตสึ เชนกำลังรินชาเขียวร้อนเติมให้มร.เท็ตสึ ขณะรอทานอาหาร
“ขอบคุณครับ”
เสียงโทรศัพท์มือถือเชนดังขัดขึ้น
“ขอโทษนะครับ”
มร.ทัตสึผงกหัวรับก่อนจิบชาร้อนไป เชนกดรับสาย
“ว่าไง”
“ผมเห็นนักข่าวมัทนาเดินเข้าโรงแรมมาครับ”
เชนแปลกใจ
“แน่ใจว่าจำไม่ผิดตัว”
เชนฟังพร้อมฉุกคิด
“กันเอาไว้ก่อน ฉันจะออกไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”
เชนกดตัดสาย บอกลูกค้า
“ผมขอออกไปพบเพื่อนเดี๋ยวนะครับคุณเท็ตสึ”
เชนรีบลุกเดินออกไป สีหน้าแววตาร้ายๆ มีแผนการ

มัทนาสะพายเป้เดินมาตามล็อบบี้จะผ่านหน้าร้านอาหารที่เชนอยู่ ลูกน้องเชนที่คอยคุ้มกันอยู่หน้าร้านเดินปรี่เข้าไปขวางหน้า
“ขอโทษครับ คุณมัทนาใช่มั้ยครับ”
มัทนามีสีหน้าท่าทางระวังตัว
“ค่ะ ขอโทษนะคะ ฉันรีบ”
มัทนาจะรีบเดินหนี ลูกน้องรีบตามมาขวาง
“เดี๋ยวสิครับ”
“ฉันไม่รู้จักคุณ ถอยไปนะ ไม่งั้นฉันจะตะโกนดังๆเลย”
“มัทนา”
มัทนาหันไปมองเห็นเชนยืนยิ้มแย้มอยู่หน้าร้านอาหาร
“คุณเชน” มัทนารีบเดินมาหาเชน
“พนักงานผมทำให้มัทตกใจรึเปล่า”
มัทนาหันมองพนักงาน
“นิดหน่อยค่ะ”
เชนแอบทำหน้าน้อยใจ
“เดี๋ยวนี้เจอตัวยากน่าดูนะครับ คุณตวันประกบตลอดเลย”
มัทนายิ้มๆ
“เดทกันอยู่เหรอ”
มัทนาตกใจ เขิน ตอบปัดพัลวัน
“อุ๊ย เปล่าค่ะ ไม่ใช่นะคะ”
เชนยิ้มไม่ต้อนต่อ ตัดบท
“แล้วมาทำอะไรครับเนี่ย”
“แวะมาหาคุณตวันน่ะค่ะ”
มัทนาชะงักไป ได้แต่ฉีกยิ้มแหย เหมือนขว้างงูไม่พ้นคอไงไม่รู้ เชนแปลกใจปนร้อนใจ
“คุณตวันมาทำอะไรที่นี่เหรอ”
“แฟชั่นโชว์มีปัญหานิดหน่อย พอเลื่อนวันก็เลยไม่ได้ห้อง ต้องย้ายมาโรงแรมนี้แทนน่ะค่ะ”
เชนหน้าตาร้อนใจปนกังวลขึ้นมา กลัวเจอกัน ความจะแตกซะก่อนเวลาอันควร
ไม่คาคคิดชลบุษย์และเยาะเดินถือถุงใส่ขนมผลไม้เครื่องดื่มมาเต็ม 2 มือมาเลี้ยงทีมงานเข้า
โรงแรมมา ชลบุษย์หยุดกึก หน้าซีดเผือด ก้าวขาไม่ออก มือไม้อ่อน ถุงหลุดมือ
“ว้าย หมดกัน” เยสะรีบก้มลงเก็บ บ่นไป
“ ให้เยาะถือซะก็สิ้นเรื่อง บอกแล้วว่าหนักๆ ก็ไม่เชื่อ”
เชนหันมาเจอหน้าชลบุษย์ก็ตกใจ แต่รีบทำหน้าตาดุใส่ทันที เยาะเก็บของขึ้นเสร็จเงยหน้ามองไปเห็นเชน สีหน้าคุ้นๆ มัทนาหันตามสายตาเชนเห็นชลบุษย์และเยาะ
“อุ๊ย มัทอยู่กับใครคะคุณบุษย์ เยาะคุ้นหน้าจังเลยค่ะ”
เยาะพยายามนึก ชลบุษย์ลากเยาะเดินตัวปลิว ก้มหน้าก้มตาเดินไปอย่างเร็ว
“ไปเร็วๆเข้า”
เยาะถลาไปตามแรงลาก
“อั้ยย่ะ ช้าๆ ค่ะ อุ๊ย จะรีบไปไหนคะคุณบุษย์”

เชนหน้าบึ้งตึง แววตาโหดมองตามชลบุษย์ไป มัทนาแอบมองสายตาเชน รู้สึกขนลุกชอบกล

ชลบุษย์ลากเยาะมาถึงหน้าลิฟท์อย่างเร็วและแรง
“นี่เยาะนะคะ ไม่ใช่ไอ้ด่างไอ้จุด ลากซะหัวทิ่มหัวตำ”
ชลบุษย์ตวาด
“หยุดพล่ามซะทีได้มั้ย”
เยาะนึกได้ ตาเบิกโพลง เสียงดัง
“อ๋อ เยาะจำได้แล้วค่ะ ผู้ชายคนนั้นแฟนยัยมัทนาที่ภูเก็ตค่ะ”
ชลบุษย์หน้าตาตกใจ รีบตวาดทันที
“เงียบเดี๋ยวนี้เลยนะ หยุดสาระแนเรื่องคนอื่น ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น”
“ทำไมล่ะคะ”
“ไม่ต้องถาม ถือว่าแกไม่เห็นผู้ชายคนเมื่อกี้กับมัทนา ถ้าแกไม่อยากเดือดร้อน เข้าใจมั้ย”
“ไม่เข้าใจ แต่ไม่พูดก็ได้ค่ะ”
“ดี เอาของขึ้นไปให้หมดเลย”
ชลบุษย์ยัดของทั้งหมดใส่มือเยาะ แล้วกดลิฟท์ดันเยาะเข้าไปในลิฟท์ ชลบุษย์สีหน้าเครียดปนกลัว ยืนดักรอมัทนาอยู่หน้าลิฟท์อย่างกระวนกระวาย

เชนรีบตัดบทอย่างรีบร้อน
“มัทตามสบายเถอะ ผมต้องรีบไปธุระต่อ อีก 2-3 วันผมจะโทรไปหา แล้วกินข้าวกัน”
เขายิ้มให้แล้วรีบเดินเข้าไปในร้านอาหาร มัทนามองตามอย่างงงๆ เล็กน้อย ก่อนจะเดินไปทางลิฟท์

มัทนาเดินมาทางลิฟท์ก็ชะงักเมื่อเห็นชลบุษย์ดักรออยู่ ชลบุษย์เสียงแข็งถาม
“เธอมาทำอะไร”
“จะมาหาคุณปอนน่ะค่ะ”
ชลบุษย์ปั้นหน้านิ่ง หลอกถาม
“ผู้ชายคนเมื่อกี้เป็นใคร”
“อ๋อ...คนรู้จักน่ะค่ะ”
ชลบุษย์สีหน้าแววตาอ่อนลงเล็กน้อย เหมือนลึกๆ อารมณ์ลูกผู้หญิงด้วยกันก็แอบห่วง
“ระวังตัวไว้ด้วย”
มัทนามีสีหน้างงๆ จะตีความว่าไม่พอใจ ข่มขู่ตนก็ได้ มัทนาจะกล่าวถามต่อ ลิฟท์เปิดเอกชัยออกมาซะก่อน เลยขัดการสนทนาไป
“อ้าวมัท มาได้ยังไงเนี่ย”
ชลบุษย์รีบเลี่ยงไม่อยากต่อความยาว สะบัดหน้าพรืดเดินขึ้นลิฟท์ไปเลย เอกชัยหันมองตามชลบุษย์ไปเล็กน้อย
“เผอิญมัทมาทำข่าวแถวนี้ก็เลยแวะมาหาพวกคุณเลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปรับมัทที่สยามสาร”
“ก็ดี ปอนอยู่ห้องจัดเลี้ยงชั้น 2 ขึ้นไปได้เลย ผมทำธุระแป๊บนึงก่อน เดี๋ยวตามขึ้นไป”
“ค่ะ”
เอกชัยเดินไปกดลิฟท์ให้มัทนา รอส่งเข้าลิฟท์ไปก่อน

เชนสวมแว่นดำเดินนำมร.ทัตสึออกมาจากร้านอาหารสีหน้าเครียดมาตำหนิเสียงเบาแต่เข้มกับลูกน้อง ลูกน้องอีกคนตามประกบมร.ทัตสึออกมา
“แกเช็คยังไง ไม่รู้รึไงว่าไอ้ตวันมันย้ายมาจัดงานแฟชั่นโรงแรมนี้”
ลูกน้องแหยปนกลัว
“ผมไม่ทันได้เช็กว่ามันย้ายโรงแรมน่ะครับ”
“ไม่ได้เรื่องเลย”
ลูกน้องจ๋อยสนิท เชนหันไปปั้นยิ้มให้มร.เท็ตสึ
“ขอโทษจริงๆนะครับคุณเท็ตสึที่ต้องย้ายร้านกระทันหันแบบนี้”
เอกชัยเดินมาทางล็อบบี้จากด้านใน เห็นเชนช่วงหันมาพูดกับมร.เท็ตสึ เอกชัยตกใจ ตะโกนเรียก
“ไอ้เชษฐ์”
เชนเหลือบตาไปมองอย่างตกใจ รีบบอกลูกน้อง
“กันมันเอาไว้”
เชนรีบเดินเร็วออกไปจากโรงแรมทันที
ลูกน้องรีบกันมร.เท็ตสึตามไปติดๆ
รถหรูของเชนมาจอดเทียบรอที่หน้าประตูทางเข้าโรงแรมอยู่แล้ว เอกชัยวิ่งตามมาอย่างอยากเจอหน้า
ลูกน้องเชนวิ่งมากระแทกอย่างหนักจนเอกชัยล้มไปกับพื้นล็อบบี้ ผู้คนก็ตกใจ ลูกน้องรีบเข้าทำไปช่วยแต่จับเอกชัยกดพื้น
“ขอโทษทีครับ”
เอกชัยแข็งขืนจะลุก ลูกน้องล้วงมือไปกระชับปืนใต้แจ็คเก็ตสูทให้เห็น เอกชัยรีบหยุดท่าที ยอมจำนน ได้แต่เหลือบตามองไปทางหน้าโรงแรม
เชนเดินขึ้นรถไปอย่างสบายๆ ลูกน้องเชนรีบวิ่งตามออกไปขึ้นรถอีกคัน...

เอกชัยลุกมามองตามรถเชนที่เล่นออกไปอย่างลอยชาย เขามีสีหน้าร้อนใจปนไม่สบายใจ รีบวิ่งกลับไปทางลิฟท์ทันที เพื่อจะไปบอกข่าวเขตต์ตวัน

เยาะเอาผลไม้มาเสิร์ฟลลิสาที่กำลังลองชุดเดินแบบอยู่ในห้องแต่งตัว
“คุณลิสาคะ เยาะเจอใครรู้มั้ยคะ”
ลลิสาเซ็งปนรำคาญ
“อะไรของเธออีกนังเยาะ”
“เยาะเจอแฟนนังมัทค่ะ มันตามมาหากันถึงกรุงเทพเลยนะคะ”
ลลิสาหยุดชะงักไป
“เอ๊ะ หรือว่าเป็นคนกรุงเทพเหมือนกัน ใช่แล้ว มันปลอมตัวไปนี่นา” เยาะคิดเอง สรุปเอง
ลลิสาปาดมือไปบิดแขนเยาะ เยาะร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บและตกใจ ลลิสาดุ ดูขึงขัง
“แกอย่าไปแส่เรื่องคนอื่นนักเลยน่ะ “
“เยาะแค่เล่าให้คุณลิสาฟังเฉยๆ”
“น่ารำคาญ เรื่องไม่เป็นเรื่อง”
เยาะจ๋อยสนิท
“ฉันเตือนแกด้วยความหวังดีนะนังเยาะ อย่าไปสาระแนเรื่องคนอื่นถ้าฉันไม่สั่ง ไม่ยังงั้นแกจะเดือดร้อน จำเอาไว้”
ลลิสาสีหน้าแววตาดุๆ ก่อนหันไปลองชุดต่อ เยาะบ่นพึมพำ
“พูดเหมือนคุณบุษย์เลย กะอีแค่แฟนนังมัท จะเดือดร้อนอะไรนักหนา”
เยาะถอนใจ แต่ไม่เข้าใจ

เวลาหัวค่ำ เขตต์ตวันนั่งอยู่ที่โซฟารับแขก มัทนายกกาแฟร้อนกับขนมฝีมือแม่มาเสิร์ฟ
“กาแฟเข้มปรี๊ดจะได้ตาสว่างถึงเช้าเลยค่ะ”
“ขนาดนั้นเลยเหรอะ”
“คุณปอนทำงานหนักนอนน้อยมาหลายวันแล้ว เดี๋ยวขับรถแล้วหลับใน”
“จะตาแข็งนอนไม่หลับถึงเช้ามากกว่า”
“ไม่ดีเหรอคะ จะได้ทำงานได้เยอะๆ...ขนมใหม่นะคะคุณแม่เพิ่งทำวันนี้เอง”
“ทานด้วยกันสิ”
“เดี๋ยวอ้วนค่ะ”
ศุกนตลาในชุดพยาบาลกลับเข้าบ้านมา สีหน้านิ่งๆ ยกมือไหว้เขตต์ตวัน เขารับไหว้ยิ้มแย้ม
ศกุนตลาปั้นยิ้มมารยาทคืน
“ทานอะไรมารึยังคะพี่นก”
“เรียบร้อยแล้วจ้ะ”
ศกุนตลาเดินขึ้นชั้นบนไปเลย เขตต์ตวันไม่สบายใจ ตัดสินใจพูด
“ท่าทางพี่สาวคุณคนนี้ไม่ค่อยชอบขี้หน้าผมเท่าไหร่นะ”
มัทนาฝืนยิ้มๆ
“คิดมากรึเปล่าคะ”
“ไม่หรอก เหมือนระแวงๆ ผมอยู่”
มัทนาถอนใจออกมา
“ที่จริงก็นิดหน่อยน่ะค่ะ”
“นั่นไง ผมว่าแล้ว เล่าให้ฟังหน่อยสิ ผมอยากรู้ ถ้าเป็นคนอื่นผมไม่แคร์หรอกนะ แต่นี่เป็นคนในครอบครัวของคุณ”
เขตต์ตวันมองตามัทนาสีหน้าแววตาจริงใจ เธอแพ้สายตา ยอมพูด แต่ลึกๆก็อยากรู้
“จริงๆ มันเป็นความลับของคนไข้ แต่พี่นกเป็นห่วงมัท ก็เลยเล่าให้ฟัง...พี่นกเคยดูแลคุณบุษย์ตอนเธอป่วย”
เขตต์ตวันนิ่งไปอย่างนึกย้อนตาม แล้วพอจะเข้าใจ
“พอคุณไปเยี่ยม คุณบุษย์ก็อาการทรุด ร้องไห้ไม่เลิก สุขภาพจิตย่ำแย่ จนคุณหมอขอร้องไม่ให้คุณไปเยี่ยมเธออีก”
“ที่แท้ก็เรื่องนี้เอง”
เขตต์ตวันถอนหายใจออกมา

ในอดีต เวลากลางวันของวันหนึ่ง ชลบุษย์แต่งตัวออกงานสวยเด่นมาก ในยุครุ่งเรือง เธอกำลังโพสท์ท่าให้ช่างภาพถ่ายรูปอยู่หน้าห้องจัดเลี้ยง ตอนมาในงานหนึ่งๆ

“ช่วงที่บุษย์มาเป็นนางแบบให้ตวัน เธอก็เริ่มเป็นที่จับตาของสื่อ แต่ถือว่าคราวซวยที่ต้องมารู้จักกับมัน”
ขณะที่ชลบุษย์โพสท์ท่าฉีกยิ้มให้สื่อ สายตาพลันเลยไปเห็นเชน หล่อเด่นเข้าตา เชนจับตามองชลบุษย์อยู่อย่างไม่วางตา เธอหลงเสน่ห์เชนแต่แรกเห็น แต่ก็ยังวางฟอร์ม กวาดยิ้มไปทางอื่น เชนค่อยๆ เดินเข้ามาหาชลบุษย์ใกล้ขึ้นทุกที

“ไม่ใช่สิ มันจงใจมาหาบุษย์มากกว่า” เขตต์ตวันพูดด้วยน้ำเสียงเกลียดชัง

ผู้จัดการกำลังพาตัวชลบุษย์ออกไป เชนรีบเดินปรี่ตามมาประชิด
“ขอโทษครับคุณบุษย์”
ชลบุษย์หันมามอง เชนส่งกระดาษโน้ตที่พับอย่างดีให้ ผู้จัดการชิงรับไว้ให้แทนก่อนรีบพาชลบุษย์ไป “ขอบคุณค่ะ”
ชลบุษย์ไม่วายหันมายิ้มหวานให้เชนก่อนเดินจากไป

สายวันหนึ่ง ชลบุษย์นอนหลับอยู่บนเตียงในห้องพักของโรงแรม ม่านของห้องพักถูกเปิดกว้างออก แสงสาดเข้ามา ชลบุษย์รู้สึกตัวตื่น ลืมตามอง
“มอร์นิ่งครับ”
ชลบุษย์ยิ้มหวานให้เชนที่เดินมาหา ชลบุษย์ขยับตัวขึ้นนั่ง เชนเดินมานั่งข้างๆ แล้วหอมแก้ม ชลบุษย์กอดเชนด้วยความรู้สึกทั้งรักทั้งหลง

“บุษย์ไม่รู้ตัวเลยว่าถูกแอบถ่ายภาพอนาจารไว้แบล็คเมล์ และความรักความหลงที่มีให้มัน ก็ไม่ใช่ของจริง แต่เป็นเพราะติดยามากกว่า”

มายาตวัน ตอนที่ 12 (ต่อ)

จนในคืนนหนึ่ง ชลบุษย์มีอาการลงแดง อยากยาจนดิ้นทุรนทุรายอยู่กลางโถงบ้านเขตต์ตวัน เอกชัยพยายามจับตัวเอาไว้ ไม่ให้ทำร้ายตัวเอง ชลบุษย์กรีดร้องราวคนสติแตก
“ไอ้ปอน เร็วๆ ไม่ไหวแล้ว”
เขตต์ตวันวิ่งออกมาพร้อมเชือกเส้นโตจะเอามาจับชลบุษย์มัดพาไปหาหมอ เอกชัยเสียหลักล้มไปกับชลบุษย์ที่โซฟา แต่เอกชัยยังจับชลบุษย์ไว้ไม่ยอมปล่อย
ชลบุษย์กัดหมอนอิงงับเอาไว้ ร้องไห้ออกมาด้วยความทรมาน เขตต์ตวันรีบเข้ามามัดมือชลบุษย์ไพล่หลัง เขามีสีหน้าสงสารเห็นใจ
“อดทนหน่อยนะบุษย์”
ชลบุษย์กัดหมอนอิงร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างทรมานมาก

เย็นวันหนึ่ง เขตต์ตวันมาเยี่ยมชลบุษย์ที่ห้องพักผู้ป่วย เธอนั่งเงียบน้ำตาไหลต่อเนื่อง

“ผมพาบุษย์ไปหาหมอเสริมก่อนจะพาตัวมารักษาต่อที่กรุงเทพไ

ศกุนตลาที่เตรียมอาหารเย็นให้ชลบุษย์อยู่แอบชำเลืองมองตวันอยู่เนืองๆ
“เธอไม่ต้องคิดมากนะบุษย์ ไม่อยากเดินแบบแล้วก็ไม่เป็นไร บริษัทเรามีงานอย่างอื่นให้ทำอีกตั้งเยอะแยะ” เขตต์ตวันเลื่อนมือไปจับมือชลบุษย์เอาไว้
“ฉันไม่มีวันทอดทิ้งเธออยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวนะบุษย์”
ชลบุษย์มองหน้าเขตต์ตวัน น้ำตาไหลต่อเนื่อง

มัทนารับฟังแล้วถอนหายใจออกมา มีสีหน้าชิงชังไปด้วย
“เพื่อนคุณนี่ร้ายกาจที่สุดเลย ตายไปต้องกลายเป็นเปรต ไม่ได้ผุดได้เกิด”
เขตต์ตวันยิ้มออกมา
“ขอบคุณมากนะที่เชื่อผม แล้วก็ฝากบอกพี่สาวคุณด้วย ว่าตอนนี้คนไข้พิเศษคนนั้นยังสบายดี แต่ผมก็ไม่เข้าใจนะ ทำไมบุษย์ต้องหดหู่ ร้องไห้ไม่หยุด หลังจากผมกลับไปด้วย ทั้งที่ผมก็รับปากว่าจะดูแลเค้าอย่างดี”
“แต่มัทพอจะเข้าใจค่ะ ความอับอายและรู้สึกด้อยค่าในสายตาคนที่เรารักมันเจ็บปวดมากแค่ไหน”
เขตต์ตวันเงียบไป คิดตามอย่างเข้าใจ ก่อนจะเลื่อนมือไปจับกุมมือ จ้องตามัทนา
“คุณจะไม่มีวันต้องรู้สึกแบบนั้นเด็ดขาด”
มัทนายิ้มปลื้มใจ จับตามองตวัน รอฟังว่าเขาจะพูดอะไรต่ออีกอย่างใจจดใจจ่อ
เสียงดังก้องในความคิดของมัทนา
“แล้วไงคะ พูดต่อสิคะ เอาแบบชัดๆ ให้มัทมั่นใจ ไม่ต้องตีความเลยยิ่งดีค่ะ”
เขตต์ตวันส่งตาหวานมองมัทนา พร้อมจะพูดต่อ มัทนาจ้องตา รอฟังแทบจะกลั้นใจ
“งั้นผมกลับก่อนนะ”
มัทนาอึ้ง ยิ้มค้างไป แอบถอนใจออกมาก่อนจะปั้นยิ้มคืนกลับไป

ตอนสายวันหนึ่ง มัทนานั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะ โทรศัพท์โต๊ะดังขัดขึ้น มัทนาเอื้อมมือไปยกหูมารับ
“โต๊ะข่าวบันเทิงค่ะ”
ชลบุษย์ดัดเสียงเตือน
“อย่ายุ่งกับผู้ชายคนนั้น ถ้าไม่อยากตกนรกทั้งเป็น”
“คุณเป็นใคร ต้องการอะไร” มัทนาถาม
มีคณาเดินมาหามัทนาเห็นคุยโทรศัพท์หน้าขึงขังอยู่ ก็มองดูด้วยความแปลกใจ
“เธอไม่จำเป็นต้องรู้ รู้แต่ว่าฉันโทรมาเตือนด้วยความหวังดี จำเอาไว้ ถอยห่างจากเค้า ไม่ยังงั้นเธอจะต้องเสียใจ”
“เธอพูดถึงใคร ฉันไม่เข้าใจ”
ปลายสายวางไป
“ฮัลโหลๆ บ้าจริงๆ” มัทนากระแทกหูวางไปด้วยความหงุดหงิด
“ใครโทรมาเหรอมัท”
“ไม่รู้เหมือนกันพี่มี โทรมาขู่ไม่ให้มัทยุ่งกับผู้ชายคนนั้น คนไหน ก็ไม่บอก”
“ผู้หญิงโทรมาใช่มั้ย”
“ค่ะ ดัดเสียงด้วย เสียงคุ้นมากๆเลย” สีหน้ามัทนาใช้ความคิดก่อนนึกออก
“อ๋อ นึกออกแล้ว ต้องเป็นคุณบุษย์แน่ๆ เลย เลขาของคุณตวันน่ะค่ะพี่มี่”
มีคณายิ้มๆ
“งั้นก็สงสัยพวกเลขาหวงเจ้านาย เห็นมัทสนิทกับคุณตวันก็เลยอิจฉา หาเรื่องมากวนประสาทมัทเล่น”
มัทนาอายๆ รีบปฏิเสธ
“จะมาอิจฉามัททำไมคะพี่มี่”
มีคณายิ้มล้อเลียน
“นั่นน่ะสิ จะมาอิจฉาเรื่องอะไรดีน๊า”
“พี่มี่อ้ะ”

มีคณาขำๆ ยื่นมือไปขยี้หัวมัทนาเอ็นดู มัทนาก็แอบเขินไปมา

นาฬิกาผนังในห้องทำงานไชยวัฒน์ บอกเวลา 4 โมงเย็น เขากำลังตรวจต้นฉบับจากจอคอมพิวเตอร์ ก่อนจะหันไปมองเครื่องแฟกซ์ที่กำลังมีคนส่งเอกสารมาให้ ไชยวัฒน์ยิ้มแย้มเลื่อนเก้าอี้ไปหยิบแฟกซ์มาอ่าน
อ่านแล้วหน้าก็เริ่มเปลี่ยนยิ้มจางเป็นเจื่อน และกลายเป็นเครียดไปในที่สุด

มัทนาเดินกลับมาที่โต๊ะทำงานหลังจากไปห้องน้ำมา พนักงานคนหนึ่งกำลังรับโทรศัพท์ออฟฟิศที่โต๊ะทำงานมัทนา
“น้องมัทมาแล้วค่ะ ซักครู่นะคะเลขาคุณตะวันโทรมาจ้ะมัท” พนักงานส่งหูโทรศัพท์ให้
มัทนางงเล็กน้อย
“ขอบคุณค่ะ”
มัทนารับหูมาพร้อมบ่นพึมพำ
“จะมาไม้ไหนอีก”
มัทนาคุยโทรศัพท์ สีหน้าสงสัยปนระแวง
“มัทนาพูดค่ะ”

ชลบุษย์คุยโทรศัพท์มือถืออยู่ที่เบาะหลังรถคันหนึ่ง สีหน้าดูหวาดกลัว ท่าทางดูเกร็งๆ
“คุณตวันให้โทรมาบอกว่า ขอยกเลิกนัดที่จะไปรับเธอตอนทุ่มนึง คุณตวันติดธุระสำคัญ ให้เธอกลับบ้านได้เลย ไม่ต้องคอย”
“แล้วคุณเอกล่ะค่ะ” มัทนาบอก
“ไม่ว่างเหมือนกัน ไปรับคุณไม่ได้ทั้งสองคน”
ชลบุษย์แอบมีสีหน้าเป็นห่วง
“กลับบ้านคนเดียวระวังตัวด้วยนะคะ”
มือถือของชลบุษย์ถูกกระชากแย่งไปจากมือผู้ชายคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ชลบุษย์สะดุ้งเฮือก
“ฮัลโหล ฮัลโหล”
มัทนาวางหูโทรศัพท์ไป สีหน้างงๆ ปนสงสัย แต่ก็ยักไหล่ ไม่ได้แคร์อะไร ไม่ได้กลัวอะไร มัทนามานั่งลงที่โต๊ะ ทำงานของเธอต่อไป

บริเวณลานจอดรถ คอนโดฯ เขตตวัน ชลบุษย์นั่งสีหน้าหวาดกลัว หันมองไปที่เชนที่นั่งยิ้มพอใจอยู่ที่เบาะหลังรถข้างๆ
“เธอทำได้ดีมาก”
ชลบุษย์กลัวจนตัวสั่น
“ฉันไปได้รึยัง”
เชนขำๆลงคอ
“จะรีบไปไหนล่ะ อยู่คุยกันเดี๋ยวสิ”
ชลบุษย์กลัวจนน้ำตาจะไหลก้มหน้างุด
“ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณแล้ว”
เชนลูบผมชลบุษย์เบาๆ
“ไม่ต้องกลัวน่า เธอไม่ได้ทำอะไรผิดนี่นา หรือคิดจะไปบอกไอ้ปอนมัน”
ชลบุษย์ละล่ำละลักด้วยความกลัว
“ไม่พูดหรอกค่ะ บุษย์ไม่พูดเด็ดขาด”
“ ดีมาก” เชนชอบใจขำลงคอด้วยน้ำเสียงชวนขนลุก
ชลบุษย์กลัวจนสติแตก มือไม้สั่นจะเปิดประตูรถออกไป
“ฉันไปล่ะนะ”
เชนตวาดลั่น
“ฉันยังไม่อนุญาตให้แกไป”
เชนกดหน้าชลบุษย์แนบบี้ไปกับกระจกหน้าต่างรถ เธฮกรีดร้องออกมาทั้งร้องไห้ หวาดกลัวฝังใจสุดชีวิต เยาะที่แอบมองอยู่จากมุมหนึ่งของลานจอดรถคอนโด สีหน้าตกใจปนกลัว หันหลังกลับจะหนี ไม่คาดคิดชนกับลลิสาที่ยืนมองอยู่ เยาะร้องลั่นเสียงหลงด้วยความตกใจ
ลลิสาจ้องเยาะหน้านิ่ง
“ฉันเตือนเธอแล้วใช่มั้ยว่าอย่าแส่เรื่องคนอื่นให้มากนัก”
เยาะหน้าซีดเผือดกลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ

มีคณาสีหน้างงๆ เดินมาหามัทนาที่โต๊ะ
“บอกอล่ะ”
“อ้าว มาถามอะไรมัทล่ะคะพี่มี่”
“ก็บอกอเค้าให้พี่มาหาที่โต๊ะมัท บอกมีข่าวใหญ่จะแจ้ง”
“ยังไม่เห็นเลยค่ะ”
ไชยวัฒน์เดินหน้าเครียดเข้ามา
“ขอโทษที่ให้รอนาน”
สองสาวหันไปมอง ไชยวัฒน์ยื่นกระดาษแฟกซ์ให้อ่าน
“เอาไปอ่านกันซะ เตรียมทิชชู่เอาไว้ด้วย”
สองสาวสบตากันอย่างงงๆ มีคณารับแฟกซ์มาจากไชยวัฒน์แล้วเอาไปอ่านกับมัทนา ทั้งคู่อ่านแฟกซ์ไปอึดใจก็มีสีหน้าตกใจ ไม่อยากเชื่อ
“ไม่จริงหรอกค่ะ มัทไม่เชื่อ”
“ถ้าวารีจะลาออกจริงๆ ก็ต้องปรึกษากับพวกเราก่อน”
“ที่ไม่ปรึกษาเพราะวารีคงกลัวตัดใจทิ้งเธอสองคนไม่ได้น่ะสิ คุณษมาเลยช่วยจัดการแทน สงสัยเค้าจะกลัววารีเปลี่ยนใจด้วยล่ะ รีบแฟกซ์ด่วนมาเลย”
มัทนาสีหน้าจ๋อยๆ
“แล้วบอกออนุมัติไปรึยังคะ”
“ยังหรอก รอให้หายป่วยกลับมาคุยกันอีกทีก่อน แต่ก็คงต้องเซ็นให้แหละ”
“ก็ต้องยังงั้นล่ะค่ะ”
ไชยวัฒน์อมยิ้ม เหล่มอง 2 สาวพลางกระเซ้า
“แต่ผมมีลางสังหรณ์ว่าจะไม่ได้เซ็นอนุมัติลาออกแค่ใบเดียวน่ะสิ อาจจะต้องเปิดรับนักข่าวใหม่ถึง 3 คน”
มีคณาและมัทนารู้ว่าโดนแซว พยายามเก็บอาการทำไม่รู้ไม่ชี้ แต่ก็ดูเก้อเขินมีพิรุธ มีคณารีบชิ่ง
“มี่ขอตัวไปทำงานต่อนะคะ”
โทรศัพท์โต๊ะมัทนาดังขึ้น ไชยวัฒน์อยู่ใกล้สุดรับแทนให้
“คุณมัทเหรอ ผมเชนนะ เปิดมือถือสั่นไว้รึไง ไม่ยอมรับสายผมเลย”
ไชยวัฒน์นิ่งอึ้งไปเหมือนจำเสียงได้
“มัท ได้ยินผมรึเปล่า”

ไชยวัฒน์รีบยื่นโทรศัพท์ออฟฟิศให้มัทนาไป

เชนคุยโทรศัพท์มือถือที่มุมตึกแห่งหนึ่ง เขาหน้านิ่ง แต่พูดน้ำเสียงยินดี คุยมือถือ
“นึกว่าจะไม่ยอมรับสายผมซะแล้ว”
“มัทรีบเคลียร์งานก็เลยปิดเสียงมือถือไว้น่ะค่ะ”
เชนหน้านิ่งแต่เสียงออดอ้อน
“วันนี้ว่างมั้ยครับ ไปทานข้าวเย็นด้วยกันนะ อย่าบอกนะว่านัดกับคุณตวันอีกแล้ว” หลังส่งเสียงออกออ้อนแล้ว ประกายสายตาก็แข็งๆ เหมือนมีแผนการ เขารอฟังคำตอบอยู่
“วันนี้มัทว่างพอดีเลยค่ะ”
เชนสะแหยะยิ้มพอใจออกมา
“ผมดีใจจังเลย งั้นอีกซักพัก ผมไปรับที่ทำงานนะครับ”
เชนฟังปลายสายแล้วหน้านิ่งๆ แววตาแข็ง สีหน้าดุดัน มีแผนการร้ายในใจ

มัทนาวางหูโทรศัพท์ลงแป้น ไชยวัฒน์มองหน้ามัทนาด้วยสายตามีคำถาม สีหน้าไม่สบายใจนัก
“ใครโทรมาเหรอ”
“เพื่อนน่ะค่ะบอกอ เค้าจะมารับไปทานข้าวเย็น”
“เพื่อนคนนี้เสียงคุ้นหูผมมากนะ เหมือนเคยได้ยินมาก่อน ชื่ออะไรเหรอ ผมรู้จักรึเปล่า”
“ชื่อเชน ครอส ค่ะ มัทคิดว่าบอกอไม่เคยรู้จักหรอกค่ะ”
ไชยวัฒน์สีหน้ามั่นใจ
“แต่ถ้าผมจำเสียงไม่ผิดนะ ซึ่งก็ไม่เคยผิดอยู่แล้วล่ะ เพื่อนคนนี้ของมัทเป็นคนเดียวกับผู้หวังดีที่โทรมาบอกผมเรื่องเขตต์ตวัน”
มัทนาอึ้ง
“จริงเหรอคะบอกอ”
“มัทก็รู้ว่าหูผมจำเสียงแม่นขึ้นชื่อแค่ไหน..บอกอหูหมาถึงผมจะไม่ชอบสมญานี้นักก็เถอะ”
“มัททราบค่ะ แทบจะไม่เคยพลาดเลย ยิ่งจับผิดพนักงานยิ่งเป๊ะ”
ไชยวัฒน์ยิ้มพอใจ ก่อนพูดต่อ
“ถ้าไม่ใช่ เค้าก็ต้องเป็นคนที่มีเสียงเหมือนผู้หวังดีของเราคนนั้นมากๆ”
มัทนาเงียบกริบ คิดร้อยเรื่องราวต่างๆไปในใจ ถึงกับหน้าเครียดไปทันที ชักหวาดหวั่นใจขึ้นมา

มัทนาเก็บโต๊ะทำงานไป สีหน้าเคร่งเครียดใช้ความคิด เสียงความคิดดังก้อง
“ผู้หวังดีน่าจะคือนายเชษฐ์”
มัทนาหยุดเก็บของ ถอนใจ พูดพึมพำออกมา
“หรือเชนกับเชษฐ์ จะเป็นคนเดียวกัน นี่เราถูกหลอกใช้เหรอเนี่ย”
มัทนาคิดลังเลไปมาก่อนจะส่ายหน้าต่อต้าน
“ ไม่น่าเป็นไปได้ บอกออาจจะพลาดครั้งนี้ครั้งแรกก็ได้”
โทรศัพท์มือถือมัทนาเรียกเข้า มัทนาสะดุ้งเฮือก

เชนที่นั่งรอมัทนาอยู่ที่ล็อบบี้ ยิ้มแย้มให้ก่อนจะลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นมัทนาที่เดินสะพายเป้เข้ามาหา
“ไปกันเถอะครับ ผมมีเวลาไม่มากนัก”
มัทนามองหน้าเชน เสียงในหัวยังคิดไม่หยุด
“คุณคือศัตรูตัวร้ายของคุณปอนจริงๆเหรอ”
เชนจ้องหน้ามัทนา ปั้นยิ้ม
“เป็นอะไรรึเปล่า ท่าทางคุณเหมือนไม่ค่อยสบาย”
มัทนาฝืนยิ้ม
“เปล่าค่ะ”
“งั้นไปกันเลยนะ”
“ค่ะ”
“เอาเป้มาผมช่วยถือ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”

มัทนากระชับเป้แน่นติดตัว เดินนำออกไปก่อน เชนมองตาม รู้สึกแปล่งๆ เหมือนกัน

คนขับรถหน้าเหี้ยมรีบวิ่งลงมาเปิดประตูรถรอทันทีที่เห็นมัทนาและเชนมาถึง
มัทนาเดินนำมาก่อนเห็นเงาสะท้อนเชนจากกระจกรถ เห็นสายตาเชนมองมาที่เธอด้วยหน้าตาโหดเหี้ยม แววตาดุดัน สีหน้าแบบคนประสงค์ร้าย มัทนาผงะไปเล็กน้อย ชักลังเลที่จะขึ้นรถ
สารวัตรหิรัณย์มาถึงสยามสารไล่เลี่ยกัน เห็นมัทนาพอดี หิรัณย์จะตรงเข้าไปทักทาย เชนรีบกดมัทนาเข้ารถไปและปิดประตูตามทันที เชนสั่งคนขับ
“รีบออกรถเร็วเข้า”
คนขับรีบไปขึ้นรถพร้อมๆกับเชนเดินก้มหน้าก้มตาอย่างเร็วอ้อมไปขึ้นรถ ขมคอยเปิดประตูรถให้เชนก่อนจะรีบปิด แล้วเดินไปนั่งหน้าข้างคนขับด้วยท่าทางระแวดระวัง
หิรัณย์มองตามอยู่ห่างๆ รถติดฟิล์มดำมากจนมองไม่เห็นมัทนาในรถ
อึดใจรถก็แล่นออกไป หิรัณย์มองตามไป รู้สึกติดใจสงสัยบางอย่างตามสัญชาตญาณตำรวจ

มีคณากำลังนั่งทำงานอยู่ โทรศัพท์มือถือดังขัดขึ้น มีคณาดูเบอร์โชว์ส่ายหน้าออกมาแบบอมยิ้มเอ็นดู “อย่าบอกนะว่าอยู่ที่ล็อบบี้” มีคณาถอนใจแต่ก็กดรับ
“สวัสดีค่ะสารวัตร”
“ผมอยู่ที่ล็อบบี้นะ”
มีคณายิ้มๆ อารมณ์ประมาณนึกอยู่แล้ว
หิรัณย์คุยโทรศัพท์มือถือ สีหน้าร้อนใจอยู่ที่ล็อบบี้
“คุณมี่รู้มั้ยว่าคุณมัทออกไปกับใคร”
“คุณเชนค่ะ”
“เค้าเป็นใครเหรอครับ”
“เพื่อนรู้จักกันที่ภูเก็ตน่ะค่ะ”
หิรัณย์ดูกังวล
“ไว้ใจได้แค่ไหนครับ”
“ทำไมถามแบบนี้ล่ะคะ”
“ผมสังหรณ์ใจแปลกๆ “
มีคณาชักเป็นห่วง เพราะเชื่อเซนส์หิรัณย์
“แล้วตอนนี้มัทอยู่ไหนคะ”
“ออกไปกับเค้าแล้ว คุณมีเบอร์คุณเขตต์ตวันมั้ย”
“มีค่ะ มัทให้ไว้เผื่อฉุกเฉิน”
“งั้นรีบโทรหาเค้าเดี๋ยวนี้เลยนะครับ”
มีคณา รีบค้นหาเบอร์โทรศัพท์จากในเครื่องทันทีด้วยความร้อนใจเป็นห่วงมัทนา

ในรถเชนเงียบกริบ เชนหน้านิ่ง ไม่มีรอยยิ้มใจดี เหมือนเดิมให้ได้เห็น มัทนาสัมผัสความอึดอัดได้
“นี่เราจะไปไหนกันเหรอคะ”
เชนหน้านิ่ง เสียงนิ่งบอก
“บ้านเธอ”
“บ้านมัท ไปทำไมคะ”
เชนหันมองหน้ามัทนา เสียงแข็ง ตาดุ
“ฉันต้องการไข่มุกดำของฉันคืน”
มัทนานิ่งไป ชักเข้าเค้าที่สงสัย
“มันเป็นมุกแท้ใช่มั้ยคะ”
เชนสะแหยะยิ้ม
“ฉันดีใจที่เธอยังพอมีสมองคิดอยู่บ้าง”
เชนหัวเราะชอบใจออกมา มัทนาเห็นท่าไม่ดีแน่ๆ จะเปิดประตูรถหนีลงไป เชนกระชากแขนมัทนาเข้ามาหาตัว
“คิดจะหนีเหรอะ ไม่มีทางซะหรอก”
มัทนาพยายามดิ้นรน เชนหน้าตาโหดขึ้นทันที จับมัทนารวบตัวไว้ แรงๆ กระแทกกดกับเบาะ เขาพูดเสียงดังลั่นรถ
“ฤทธิ์มากนักนะ ฉันบอกให้อยู่เฉยๆไงล่ะ อยากตายใช่มั้ย”
มัทนาตกใจแต่พยายามจะเอาตัวรอด ดิ้นรนกับแรงเฮือกสุดท้าย เธอแผดเสียงดัง
“ช่วยด้วย”
เชนล้วงปืนออกมาจากอกเสื้อ ใช้ด้ามปืนและสันมือกระแทกเต็มแรงเข้าที่ท้องมัทนาจนเธอจุก เงียบเสียงไป
“ถ้าไม่เงียบ ฉันจะยิงแกทิ้งเดี๋ยวนี้เลย”
มัทนาน้ำตารื้นขึ้นมาด้วยความเจ็บตัว เจ็บใจและกลัว
“เอาโทรศัพท์มือถือของแกมาให้ฉัน”
มัทนายังชักช้า เชนตวาดเสียงเกรี้ยวกราด
“เอามาเร็วๆ”

มัทนาล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีนส์ ส่งให้เชน เขากดปิดโทรศัพท์แล้วส่งเครื่องไปให้ขมลูกน้องที่นั่งหน้าเก็บเอาไว้ มัทนาตกใจจนหน้าซีด ดูหวาดกลัวมาก

จบตอนที่ 12

อ่านต่อตอนที่ 13 (ตอนอวสาน) พรุ่งนี้เวลา 09.30น.
กำลังโหลดความคิดเห็น