เสือสั่งฟ้า 2 พยัคฆ์ผยอง ตอนที่ 2
คืนนั้นเมื่อกล้ากลับถึงบ้าน กล้าดับไฟหน้ารถ เข็นเข้าบ้าน แต่จู่ๆ ก็เข็นไม่ไป กล้างงว่าติดอะไร
“ติดอะไรวะ”
เสียงเด็กหัวเราะคิกคัก กล้าหันไปเห็นรักดึงมอเตอร์ไซด์กล้าอยู่ รักเป็นเด็กตัวดำไว้จุก ใส่โจงกะเบนแดงปะแป้งขาว
“เฮ้ย ไอ้หนู ลูกใครเนี่ย” รักแลบลิ้นใส่ มีหินก้อนเล็กปามาถูกหลังกล้า “โอ๊ย” กล้าหันไป เห็นยมซึ่งเป็นเด็กตัวขาวใส่โจงแดงเหมือนกัน วิ่งไปหลบหลังต้นไม้ “แกล้งผู้ใหญ่แบบนี้ไม่ดีนะ”
กล้าหันมาที่หลังรถ รักหายไป ยมก็หายไป เสียงหัวเราะดังมาจากข้างบน กล้าเงยหน้าขึ้นเห็น รัก ยมนั่งหัวเราะ แลบลิ้นปลิ้นตาอยู่บนกิ่งไม้
“ลงมา ไอ้หนู เดี๋ยวตกลงมาแข้งขาหัก” รัก ยมหันมองหน้ากันแล้วพร้อมใจกันกระโดดลง “อย่า”
กล้าวิ่งเข้าไปรับ แต่ปรากฏไม่มีรักยม กล้างง มองรอบตัว รู้แล้วว่าเป็นผี รักหายตัววับมาขี่หลังกล้าเอามือปิดตา ยมแว่บมาเกาะขา กล้าสลัดไม่หลุด กล้าตั้งสติ หลับตา ว่าคาถาปลุกตะกรุดทันที
“นะโมพุทธายะ มะอะอุ ยะธาพุทโมนะ อุอะมะฯ”
ทันใดตะกรุดสามกษัตริย์ที่กล้าห้อยคอไว้ก็เรืองแสงจ้าขึ้นทันที
“โอ๊ย”
รักและยมกระเด็นจากตัวกล้าไปนอนร้องครวญคราง
“พ่อช่วยด้วยๆ”
จุกวิ่งออกมา ถือขวดน้ำมันจันทน์
“ไอ้รัก ไอ้ยม”
รักยมกลายเป็นควันเป็นสายวิ่งไปที่ขวดน้ำมันปรากฏเป็นตุ๊กตามัดติดกันอยู่ในขวด
“นึกว่าใครมาเล่นพิเรนทร์ น้าจุกนี่เอง”
จุกวางขวดรักยมไว้บนหิ้งเล็กๆ ภายในบ้าน มีถาดขนมนมเนยและธุปจุดไว้
“อยู่นี่ก่อน ยังไม่ต้องไปเล่นซนที่ไหน นะลูกพ่อ ไว้ให้แม่กับพี่เค้าเข้านอน เขาจะเรียกให้ออกมาเฝ้าบ้านนะ”
กล้ามองเซ็งๆ
“ถึงขนาดให้ผีมาเฝ้าบ้านเลยเหรอเนี่ย แม่เค้าคิดยังไง แล้วนี่พี่จวนไปไหน”
“พี่เต็นให้ลาพัก เจ้ากล้า อย่าดูถูกนะ ผีนี่แหละ ทั้งเก่ง ทั้งขยัน ว่านอนสอนง่าย แถมยังไม่ต้องเสียเงินจ้าง แต่น้าดีใจนะที่เอ็งยังไม่ลืมคาถาปลุกตะกรุดสามกษัตริย์ อย่างน้อยก็ป้องกันตัวได้”
“จากผีเท่านั้นแหละน้า ชีวิตคนธรรมดานี่เค้าไม่ใช้กันหรอกแล้วนี่แม่ไปไหน”
“ไปหยิบดวงเอ็งมาให้น้า พรุ่งนี้น้าต้องไปขอฤกษ์บวชให้เอ็ง”
“บวช อะไรกันน้า ทำไมผมไม่รู้เรื่อง”
กระเต็นเข้ามาพร้อมแผ่นดวง
“แม่ก็กำลังจะบอกแกอยู่นี่ แม่อยากให้แกบวชซักพรรษาหนึ่ง”
“ฮ้า บวช ล้อเล่นหรือเปล่าแม่”
“ฉันเป็นเพื่อนเล่นแกเหรอ อะ นี่ดวงกล้า” กระเต็นส่งแผ่นดวงให้จุก
“เดี๋ยวๆ แม่ ทำไมอยู่ดีดีก็จะให้ผมบวช ทำไมไม่ถามกันก่อน”
“อ้าว ก็แกตั้งใจจะบวชอยู่แล้วตั้งแต่เรียนจบ แต่พ่อแกมาป่วยซะก่อน ตอนนี้แกเบญจเพสพอดี บวชตอนนี้เหมาะแล้ว”
“ตอนนั้นน่ะใช่ แต่ตอนนี้”
“ตอนนี้ทำไม”
“อ๊ะๆ ไอ้กล้าหลานน้า หรือว่าเอ็งอยากเบียดก่อนบวชวะ” คำถามจุกแทงใจดำกล้า
“ใช่ที่ไหนละน้าก็ ผมเป็นห่วงงานที่อู่”
“แค่สามเดือนอู่จ่าลุยไม่เจ๊งหรอก มีปัญหาอื่นรึเปล่า” กระเต็นมองหน้าลูกชาย
“ก็...เปล่าครับ”
“งั้นก็ไปลางานซะ แม่อยากให้บวชวันเข้าพรรษาที่จะถึงนี่เลย” กล้าอึ้ง
กล้ากลับเข้าห้องแล้วนั่งเซ็งคิดถึงราชาวดี กล้าถอนใจเฮือกลงไปนอนก่ายหน้าผากมองเพดาน ส่วนที่ห้องรับแขกจุกกำลังคุยกับกระเต็นเรื่องกล้า
“ท่าทางกล้ามันไม่อยากบวชนะพี่ บังคับมันจะดีเหรอ”
“ยังไงกล้าก็ต้องบวช ไม่ว่ามันจะอยากหรือไม่อยาก แกก็รู้เหตุผลนี่”
“ฉันน่ะรู้ ว่าหลวงพ่อหาญดูไว้ว่าดวงเจ้ากล้าแรงมาก ถ้าไม่เป็นเจ้าคนนายคนก็ต้องกลายเป็นโจร โดยเฉพาะต้องระวังตอนเบญจเพศ เคราะห์จะหนัก ไม่ถึงตายก็ต้องพลัดที่นาคาที่อยู่”
“แต่กล้ามันไม่เคยเชื่อ ไอ้ลูกคนนี้มันมั่นใจในตัวเองมากไป”
“เค้าเรียกว่ารั้นนั่นแหละ ช่วยไม่ได้ เชื้อมันมี” กระเต็นมอง จุกรีบบอก “แหม ฉันหมายถึงผู้การเพชรน่ะ ไม่ใช่พี่หรอก”
“ถ้ามีจริงก็ดีซิ” กระเต็นรู้อยู่แก่ใจว่ากล้าไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของเธอ
“อะไรนะ”
“ไม่ต้องพูดมาก ไอ้จุก เอ็งมีหน้าที่จัดการงานบวชหลานให้สำเร็จให้ได้แล้วกัน”
“ไม่ต้องห่วง พี่ได้เกาะชายผ้าเหลืองเจ้ากล้าขึ้นสวรรค์แน่ๆ”
กระเต็นดูเป็นกังวล
เช้าวันรุ่งขึ้นกระเต็นใส่บาตรหน้าบ้านแล้วนั่งลงไหว้พระ พระสวดให้พร ยะถาสัพพี...กระเต็นเทน้ำที่กรวดแล้วลงที่โคนต้นไม้
“ขอบุญกุศลนี้จะส่งผลให้เจ้ากรรมนายเวรของกล้าทั้งชาติก่อนและชาตินี้อย่าได้ตามจองเวรกล้าเลย
ขอให้หลวงพ่อหาญจับตัวคนร้ายได้ด้วยเถอะ”
อีกด้านหนึ่งที่ป่าริมน้ำตก หาญนั่งสมาธิเพ่งหาทิว ขณะนั้นทิวสลบอยู่ใต้น้ำแต่แล้วจู่ๆ ก็มีจระเข้พุ่งเข้ามาแล้วอ้าปากงับ หาญสะดุ้งลืมตา
หาญวิ่งลัดเลาะตามริมน้ำตกไปเพื่อตามร่องรอยของทิว จนไปทะลุบึงใหญ่กว้างมีถ้ำอยู่ตรงกลางไกลออกไป
หมอกควันคลุมอยู่ หาญชะงักนึกย้อนไปในอดีตสมัยวัยรุ่นยังเป็นนักเรียนนายร้อย
หาญกับยิ่งยศ เดินป่าจนมาเจอถ้ำที่อยู่กลางน้ำ
“เฮ้ย ไอ้หาญ เอ็งดูถ้ำนั่นซิวะ ข้าว่าต้องใช่แน่ๆ”
“วังพยัคฆ์”
“ใช่ มันต้องเป็นวังพยัคฆ์ในตำนานที่มีขุมสมบัติฝังอยู่ ในที่สุดเราก็หามันจนเจอ เข้าไปเถอะ”
“เดี๋ยว ไอ้ยิ่ง พ่อปู่บอกว่า ถ้ำนี้มีวิญญาณร้ายของขุนโจรสิงสู่ สมบัติข้างในก็ได้มาด้วยการปล้นฆ่าเราไม่ควรเข้าไป”
“แต่เรามีวิชาอยู่กับตัวจะกลัวอะไรวะ จะได้มีโอกาสลองของด้วย เอ็งไม่อยากรู้เหรอว่าในถ้ำจะมีสมบัติจริงมั้ย”
หาญลังเล ยิ่งยศเอาตะกรุดที่ห้อยคอขึ้นอมแล้วกระโดดลงน้ำไปไม่ฟังเสียง
“ไอ้ยิ่ง รอด้วย”
หาญเอาตะกรุดมาอมบ้างแล้วกระโจนตาม
ยิ่งยศกับหาญเดินใต้น้ำไปอย่างรวดเร็ว เห็นปลาว่ายผ่าน เป็นฝูง แล้วก็ชะงักเมื่อเห็นฝูงจระเข้ว่ายกันอยู่ที่ปากถ้ำ ทั้งคู่ตกใจทะลึ่งขึ้นผิวน้ำ
ยิ่งยศตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งตามด้วยหาญ ทั้งคู่หอบกันแฮก
“เอ็งเห็นเหมือนข้ามั้ยวะ”
“เห็น ยังอยากจะเข้าไปอีกมั้ย ไอ้ยิ่ง”
“ผีน่ะ ข้าไม่กลัว แต่ถ้าเป็นไอ้เข้ ข้านึกคาถาไม่ออกขอไปถามพ่อปู่ก่อนว่ะ”
“ข้าก็ว่างั้น”
ทั้งคู่มองหน้าแล้วหัวเราะกันเสียงดังในความปอดของตัวเอง
หาญนึกถึงอดีตแล้วคิดว่าทิวคงไม่รอด
“หรือว่าไอ้ทิวถูกไอ้เข้จัดการไปแล้ว”
วันต่อมาที่อู่ซ่อมรถจ่าลุย จ่าลุยตกใจเมื่อกล้ามาลาออก
“ลาออก” จ่าลุยวางมือจากการซ่อมรถ “ทำไมล่ะ คุณกล้าไม่พอใจอะไรลุงรึเปล่า งานที่นี่หนักไปใช่มั้ย”
“เปล่าหรอกครับลุงจ่า ผมต้องบวชให้แม่พรรษานึง”
จ่าลุยโล่งอก
“โธ่ เล่นเอาตกอกตกใจหมด ลุงยินดีด้วย คุณกล้าจะได้เป็นลูกผู้ชายเต็มตัวซะที เรื่องมงคลอย่างนี้” จ่าลุยยกมือไหว้ท่วมหัว “ลุงขออนุโมทนาด้วยนะ นี่ถ้าวิญญาณท่านผู้การรับรู้คงจะปลื้มใจมาก”
“ขอบคุณครับลุง”
“จ่าลุย ส่วนเรื่องงานก็ไม่ต้องลาออกหรอก ลุงอนุญาตให้ลาบวชตั้งแต่วันนี้ไปเลย”
“แต่”
“ไม่ต้องแต่ ลุงเปิดอู่นี้ได้ เพราะท่านผู้การเพชรช่วยเหลือ อู่นี้ก็เหมือนของคุณกล้า ไว้สึกเมื่อไหร่ ค่อยกลับมาทำงานที่นี่ต่อ ลุงยินดีรับคุณกล้าเสมอ”
“ขอบคุณลุงจ่ามากครับ งั้นผมถือโอกาสนี้ขอขมาที่ผมเคยล่วงเกินลุงจ่าไว้”
กล้ากราบขอขมาจ่าลุย จ่าลุยยิ้มปลื้ม
“ลุงอโหสิให้ทุกอย่าง ตั้งใจบวชเรียนนะ” เสียงโครมเหมือนอะไรตก จ่าลุยหันไปแต่ไม่มีคน “เฮ้ย ใครลับๆ ล่อๆอยู่ตรงนั้นวะ ออกมาเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวพ่อยิงตับทะลุไม่รู้จัก จ่าลุยปืนโตซะแล้ว”
นุกูลออกมา
“ชอบคุยอยู่เรื่อย โตจริงรึเปล่าก็ไม่รู้”
“ไอ้นุ เดี๋ยวเถอะ ทำไมยังไม่ไปเรียนอีก สายป่านนี้”
“พ่อก็ บ่นเหมือนผมเป็นเด็กไปได้”
“หนอย ก็เอ็งมันได้เรื่องซักอย่างมั้ยน่ะ ถ้าเอ็งได้ครึ่งของคุณกล้าเค้าข้าจะไม่บ่นซักคำ”
กล้ากับนุกูลกำลังลงเรือข้ามฟาก กล้าสังเกตเห็นว่านุกูลไม่สบายใจ
“ไม่เอาน่า ลุงแกก็บ่นไปงั้นแหละพี่น่ะอิจฉาแกจะตาย อยากมีพ่อมาบ่นมาว่าก็ไม่มีแล้ว”
“ผมไม่ได้เซ็งเรื่องพ่อ”
“อ้าว”
“ก็พี่เล่นหนีไปบวชตั้งพรรษานึงจะให้ผมสบายใจได้ไง”
“เฮ้ย อะไรวะ มีแต่คนเค้ายินดีที่พี่จะบวช เอ็งมาอารมณ์ไหนเนี่ย”
“พี่ก็รู้ ชีวิตผมขาดพี่เหมือนขาดใจ ใครจะคอยเป็นกุนซือ ให้ผมล่ะ สิ้นเดือนนี้ก็จะสอบแล้วด้วย”
“พี่หูฝาดไปรึเปล่าวะ ไอ้นุสนใจเรื่องเรียนกับเค้าด้วยเว้ย”
“โธ่พี่ ไม่สนได้ไง พอเกรดไม่ดีพ่อก็ไล่เตะผมอีก คนก็บอกแล้วจะเรียนช่างศิลป์ บังคับให้ผมเรียนช่างยนต์ตามพี่อยู่ได้ แล้วที่สำคัญที่สุด...” นุกูลมองกล้าเว้าวอน “พอพี่ไปบวช ใครจะช่วยผมจีบงามตา โอ๊ย ผมต้องแห้วแน่ๆ” กล้าขำ
“เรื่องเรียน แกคงต้องพึ่งตัวเองแล้วหวะ แต่เรื่องผู้หญิงด้านได้อายอด ท่องเอาไว้ ผู้หญิงเค้าชอบผู้ชายที่มั่นใจ
เมื่อรักก็บอก แมนๆ ไปเลย เชื่อพี่”
กล้าตบบ่าให้กำลังใจนุกูล แต่นุกูลกลับกลืนน้ำลายเหนียวคอ ไม่มั่นใจ
เมื่อกล้ากับนุกูลมาถึงสหวิช โป้งยื่นกีต้าร์ให้นุกูล
“กีต้าร์พร้อมครับ”
ป๋องยื่นเสื้อสูทสีขาวในมือให้
“สูทอย่างเท่ก็พร้อมครับ”
เปี๊ยกยื่นดอกกุหลาบสีแดงสดให้
“และที่สำคัญที่สุด จดหมายและดอกกุหลาบแทนความในใจก็พร้อมเช่นกันครับ”
“แต่ผมยังไม่พร้อม” นุกูลบอก กล้าต้องเข้าไปกระตุ้น
“เราเด็กช่าง อย่าป๊อดสิวะ ไป”
งามตากับนงคราญเดินมาตามทาง กลุ่มกล้าแอบมอง นุกูลใส่สูทแล้วดอกไม้กับจดหมายเสียบที่กระเป๋าเสื้อ
คะนึงนิจนั่งหันหลังร้อยลูกปัดอยู่แถวนั้น
“ไปเลย ทำอย่างที่ซ้อมไว้นะ ร้องท่อนแรกจบก็ยื่นดอกไม้กับจดหมายให้เลย”
นุกูลพยายามสูดหายใจ เดินสะพายกีต้าร์ออกไปที่นงคราญกับงามตา พอถึงก็โพสต์ท่า งามตามองนุกูลหัวจดเท้า แล้วเท้าเอว
“มาขวางทางทำไมเนี่ย”
“แล้วดูแต่งตัว จะไปเล่นตลกคาเฟ่ไหนจ๊ะ”
นุกูลลืมทุกอย่าง วิ่งกลับไปหากล้าที่แอบดู
“อ้าว เฮ้ย อะไรวะ ไอ้นุ”
“ผมลืมเนื้อเพลงมันขึ้นว่าอะไรนะพี่”
“ไอ้ฟายเอ๊ย”
“แอบมองไปเจอ...ฉับพลันนั้นเธอ” เปี๊ยกร้องให้ฟัง
“ไม่ทันแล้ว เอาจดหมายกับดอกไม้ให้เลย”
กล้าบอกแล้วหยิบดอกไม้กับจดหมายออกมายัดใส่มือนุกูล
“ผมกลัว งามตามต้องด่าแน่ พี่ช่วยผมหน่อยนะ”
นุกูลเอายัดใส่มือกล้าแทน
“อะไรของแกวะ”
งามตากับนงคราญเดินมา
“เซ็งไอ้ทึ่มนี่จริงๆ เป็นพี่กล้าหน่อยไม่ได้”
นงคราญเห็นพวกกล้าที่อยู่หลังต้นไม้
“งาม นั่นพี่กล้า”
“อย่ามาล้อฉันเล่นนะ”
“พี่กล้าจริงๆ”
งามตามองไปกล้ามองมาพอดี จดหมายกับดอกไม้อยู่ในมือกล้า นุกูลแอบหลังกล้า ผลักกล้าออกไป กล้าจำต้องเดินมาหางามตา
ขณะนั้นราชาวดีกับดวงใจเดินมาหาคะนึงนิจ
“รอนานมั้ยนิจ ขอโทษนะอาจารย์ปล่อยช้า”
“ไม่เป็นไรหรอก เราก็เพิ่งถึง แวะไปซื้อลูกปัดที่พาหุรัดมา”
“นี่เธอสองคนไปคุยในโรงอาหารมั้ย ฉันหิวแล้ว”
เสียงกรี๊ดงามตาดังเข้ามา ทั้งหมดมองไป
งามตาวิ่งไปหากล้าแล้วหยิบดอกไม้กับจดหมายมา ราชาวดีกับคะนึงนิจ ดวงใจ เดินเข้ามามอง นักศึกษาคนอื่นที่เดินผ่านหยุดมอง
“พี่กล้า งามตาตกลงค่ะ”
“เอ่อ เดี๋ยวนะครับ คือ”
“พี่กล้าไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น สำหรับเราสองคนมันคือบุพเพสันนิวาส งามตารู้ตั้งแต่วันแรกที่เจอพี่แล้วว่าพี่คือคนที่งามตารอมาทั้งชีวิต” พวกนุกูลอึ้ง
“เวรแล้วไอ้นุ”
“โอ๊ย งามตาดีใจที่สุดในโลก ทุกคนรู้ไว้นะ พี่กล้า จีบฉัน”
งามตากอดแขนกล้าชูจดหมายกับกุหลาบให้คนดู ราชาวดีอึ้งไป คะนึงนิจก็อึ้งเหมือน
“บ้าที่สุด พี่กล้า ไปตกหลุมยัยงามหน้าได้ไง” ดวงใจบ่น คะนึงนิจจำกล้าได้
“ตกลงพี่กล้านั่นเค้าเป็นใครเหรอ” ดวงใจชิงตอบ
“เป็นรุ่นพี่ศิษย์เก่าที่ป๊อบปูล่าที่สุดในหมู่สาวๆ หล่อ แมน แฮนด์ซั่ม แต่ตอนนี้เจ้าชู้ไม่เลือกด้วย อ๋อ ที่แท้วันก่อนก็มาจีบยัยงามตา นี่เอง ตาต่ำจริงๆ”
คะนึงนิจจี๊ด หมั่นไส้ขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ
“ไม่เอาน่า ดวง มันไม่ใช่เรื่องของเรา”
ราชาวดีบอก งามตาหันมาเห็นราชาวดีที่ยืนอึ้งอยู่ก็ได้ทีกอดแขนลากกล้ามา กล้าเห็นราชาวดีก็ตะลึง“รู้ไว้ซะด้วยว่าต่อไปนี้พี่กล้าเป็นของฉัน”
“งามตา มันไม่ใช่”
“นิจไปกินข้าวกันดีกว่า”
ราชาวดีเดินไปกล้ามองตาม คะนึงนิจสบตากล้าแล้วตามราชาวดีไป ดวงใจมองกล้าละห้อยก่อนจะตามเพื่อนไป งามตาเชิดคิกคัก นงคราญเสียดายกล้าและนึกอิจฉางามตา
กล้านั่งหน้าเครียดอยู่ร้านข้าวแกงข้างทาง
“พี่กล้า ผมขอโทษ แต่พี่จะไม่ชอบงามตาแน่นะ”
“ไอ้นุยังมีหน้ามาพูดอีกเหรอ แกทำให้พี่กล้าซวยรู้มั้ยอุตส่าห์ครองโสดมาตั้งนาน เสร็จยัยงามซะได้” ป๋องต่อว่านุกูล
“แกพูดเกินไป ยังไม่ถึงขนาดนั้น”
“แต่งามตาดีใจมาก แสดงว่างามตาต้องชอบพี่ แล้วผมจะทำไงดี”
“แต่พี่ไม่ได้ชอบงามตา พี่มีคนที่ชอบอยู่แล้ว”
“ใครพี่” ป๋อง โป้ง เปี๊ยกถามออกมาพร้อมกัน
“ชื่อราชาวดี อยู่แผนกการเรือน”
“ราชาวดี”
“ไชโย พี่กล้ามีแฟนแล้ว เพราะฉะนั้นงามตาก็เป็นของผมเหมือนเดิม” นุกูลบอกอย่างดีใจ
“เฮ่ย ยังๆ เค้ายังไม่รู้จักพี่ด้วยซ้ำ พี่ชอบเค้าฝ่ายเดียว”
“อ้าว”
“ที่สำคัญ ตอนที่งามตาประกาศว่าพี่จีบเค้าราชาวดีก็เห็นด้วย”
“ฮ้า”
ป๋อง โป้ง เปี๊ยกชี้หน้านุกูล
“เพราะแกคนเดียวไอ้นุ”
“เออ ฉันมันเลว ฉันมันไม่เอาไหน”
รองเท้าคอนเวิร์สลอยมาหล่นกลางวง ดังโครม พวกกล้าลุกกันกระจาย
“อะไรวะเนี่ย”
ทั้งหมดหันไปปรากฎเป็นพวกโจ๊กและแก๊งเดิมที่ยังมีร่องรอยฟกช้ำดำเขียวกับเพื่อนไทกนกเพิ่มอีกเป็นโขยง
“ไอ้โจ๊ก จะหาเรื่องอีกเหรอวะ วันก่อนยังไม่เข็ดหรือไง” นุกูลถาม
“ไม่เกี่ยวกับเอ็ง ไอ้แหย แต่ข้ากับเพื่อนข้าคาใจกับลูกพี่เอ็งมากกว่า”
“ขอร้องนะ อย่าหาเรื่องกันเลย ฉันกับพวกนายถึงอยู่ต่างสถาบัน เราก็เป็นเพื่อนกันได้”
“สหวิชเป็นได้แค่เบ๊ของไทกนกเว้ย” โจ๊กยกขาเหยียบเก้าอี้ขวางหน้า “ใส่เกือกให้ข้าก่อน แล้วข้าจะปล่อยพวกเอ็งกลับไป”
“มันจะมากไปแล้ว”
กล้าตบบ่าปราม
“ได้ ถ้าฉันใส่ให้เรื่องทั้งหมดจะเลิกแล้วแล้วต่อกัน” กล้าบอกแล้วเดินไปหยิบรองเท้าวางให้ กล้าทำท่าจะใส่
“ไอ้เลวเอ๊ย” นุกูลกระโดดถีบโจ๊ก
“เฮ้ย อย่าไอ้นุ”
กล้าร้องห้ามแต่ไม่มีใครฟังใครแล้ว สองฝ่ายเข้าลุยกัน กล้าเลยต้องสู้ ผู้คนแตกตื่นวี๊ดว้าย กล้าพยายามซัดพวกไทกนกให้กระเด็นกันไป นุกูลถูกซัดที่ไหล่ที่บาดเจ็บทรุดลงไป คนนึงจะเอาไม้ทีเหล็กฟาดนุกูล กล้าเอาเก้าอี้รับ แล้วถีบกระเด็นไปก่อนจะขยุ้มเสื้อนุกูล
“หนีก่อน เฮ้ย” กล้าตะโกนบอกพวกเปี๊ยก “ออกไปจากตรงนี้ อย่าให้คนอื่นเดือดร้อน เร็ว”
กล้าลากนุกูลวิ่งออกไป พวกโจ๊กตามไปสามคน
เปี๊ยก ป๋อง โป้ง ออกวิ่งไปอีกทาง ไทกนกที่เหลือตาม
กล้าลากนุกูลมาตามตรอกทะลุโกดังไม้ริมน้ำ นุกูลเจ็บแขน
“มันหยามพี่ขนาดนี้ ทำไมต้องหนีมัน”
“ไอ้นุ ชาวบ้านเค้าไม่เกี่ยวอะไร เค้าไม่ควรต้องมาโดนลูกหลง แกก็เหมือนกัน ไหล่ยังไม่หายดี กลับบ้านไปซะ”
“ฉันไม่ทิ้งพี่หรอก”
“ดูสภาพแกซะก่อน แกอยู่พี่จะแย่ ไป”
“พี่กล้า”
“ถ้าไม่ไป ตัดพี่ตัดน้อง”
นุกูลจำต้องวิ่งไปทางหนึ่งโจ๊กกับพวกวิ่งตามมาพอดี
“ทำไมวะ พอเห็นพวกข้ามากกว่าก็วิ่งหางจุกตูด ไม่แน่จริงนี่หว่า”
“ตอนนี้ แกสี่ฉันหนึ่ง ถ้าฉันชนะ แกต้องสาบานว่าจบ”
“ได้ จบก็จบ”
โจ๊กเข้าลุย กล้าคว้าเอาไม้แถวนั้นสู้กับพวกโจ๊กจนหมอบกันหมดเหลือโจ๊กที่สะบักสะบอม
“สิ่งที่แกทำ มันไม่ได้ช่วยให้ศักดิ์ศรีไทกนกดีขึ้น แต่มันทำให้สถาบันที่แกรักเสื่อมเสียที่ผลิตนักเรียนอันธพาลอย่างพวกแกออกมา”
กล้าโยนไม้ทิ้งเดินไป โจ๊กลุกขึ้นควักปืนลูกซองไทยประดิษฐ์ออกมา
“มึงเจ๋ง มึงเหนียวนักใช่มั้ย งั้นเจอลูกซองหน่อยเถอะมึง”
กล้าหันมามองตกใจ โจ๊กยิงเปรี้ยง กล้าผงะตกน้ำตูม เสียงนกหวีดดังมาโจ๊กตกใจหันไปจึงเห็นตำรวจสอง”นายวิ่งเข้ามา นุกูลตามมาด้วย โจ๊กวิ่งหนี ตำรวจตามโจ๊กไปนายหนึ่งอีกนายเข้ารวบตัวพวกที่สลบอยู่ “จับมันให้หมดเลยครับ” นุกูลมองหากล้า “แล้วพี่กล้า ไปไหน พี่กล้า”
ที่ผิวน้ำยังมีพรายน้ำ ผุดขึ้นมา
ที่บ้านกล้า กระเต็นเปลี่ยนดอกไม้รูปเพชร มือปัดถูกแจกันตก รักโผล่มากระซิบ
“แม่จ๋าแม่ มีผู้ชายมาหา”
กระเต็นตื่นตัว หยิบปืนที่วางไว้เหน็บเอว
รถสุพจน์จอดอยู่หน้ารั้วบ้าน สุพจน์กับนุกูลอยู่หน้ารั้วกดออดถี่ๆ ยมนั่งมองอยู่บนต้นไม้ กระเต็นเดินออกมามอง
“ใครน่ะ”
“ผมเองครับ สุพจน์”
“คุณพจน์” กระเต็นรีบวิ่งไปเปิดประตูเลยเห็นนุกูลยืนอยู่ข้างๆ สีหน้าไม่ดี มือกุมไหล่ “สวัสดีค่ะ อ้าวนุว่าไง ทำไมมาด้วยกันได้”
นุกูลยกมือไหว้กระเต็น
“คุณเต็นทำใจดีดีนะครับ” สุพจน์บอก กระเต็นใจหาย
“มีอะไรคะ”
“พวกเด็กไทกนกมันมาหาเรื่องพี่กล้ากับพวกผมครับ แล้วพี่กล้าเค้า...”
“ทำไม กล้าเป็นอะไร บอกมาซินุ เร็ว”
“กล้าถูกยิงตกลงไปในแม่น้ำ ตอนนี้ยังหาตัวไม่เจอครับ” สุพจน์บอกต่อ
“อะไรนะ”
“ผมผิดเองครับคุณน้า พี่กล้าห้ามแล้ว แต่ผมก็ไม่ฟัง ผมขอโทษ” นุกูลบอกอย่างสำนึกผิด
“กล้าอยู่ที่ไหน ฉันจะไปหาลูก”
กระเต็นพุ่งไป สุพจน์จับไว้
“เดี๋ยวครับ ใจเย็นก่อน นักประดาน้ำกำลังทำงานอยู่แล้ว”
“ไม่ ฉันต้องไปช่วยลูก ปล่อย”
กระเต็นอัดเข่าใส่สุพจน์จุกลงไปนอน นุกูลตาโต กระเต็นวิ่งไปเปิดรถสุพจน์ที่คากุญแจไว้ ติดเครื่องถอยปราดออก พอเอาหน้ารถพุ่งไปก็เจอมอเตอร์ไซด์กล้าขับมาขวางพอดี ต่างคนต่างเบรก กระเต็นมองตกใจ สุพจน์กับนุกูลเห็นกล้าเป็นคนขับมาก็งงเต้ก
“พี่กล้า”
“กล้า” กระเต็นรีบลงจากรถ “นี่แกเป็นยังไงบ้าง เจ็บยังไงตรงไหน”
“ไม่เป็นไรหรอกแม่ แค่เกือบชน แล้วแม่รีบไปไหนน่ะ อาพจน์หวัดดีครับ ไอ้นุ แกก็มากะเค้าด้วย”
“พี่ไม่ได้ถูกยิงเหรอ”
“ยิง ใครยิงใครครับ”
ทั้งหมดเข้ามานั่งในห้องรับแขก
“นายโจ๊ก นักเรียนไทกนกที่ถูกจับให้การว่าเป็นคนยิงกล้าตกน้ำ” สุพจน์บอก
“มันโม้แล้วละอา ผมลากไอ้นุออกมาแล้วก็แยกย้ายกันวิ่งหนี ผมหลบอยู่แถวนั้นพักหนึ่งแล้วก็ไปเอารถกลับมานี่แหละ”
“จริงเหรอพี่กล้า”
“จริงซิวะ ฉันจะไปหลอกแกทำไม ดูซิ ฉันมีแผลถูกยิงหรือเปล่า”
นุกูลลูบดูไม่มี กระเต็นมองสงสัย
“แล้วไอ้โจ๊กนั่นมันจะบอกว่ายิงแกทำไม ในเมื่อมันต้องติดคุก”
“พวกนี้ก็อยากจะโชว์ว่าเจ๋งเท่านั้นละครับ มันไม่ได้คิดอะไรมากหรอก”
“ค่อยโล่งใจหน่อย ไม่งั้นวิญญาณพ่อกล้าคงมาหักคออาแน่อุตส่าห์ฝากฝังกล้าไว้ก่อนตาย...งั้นขอผมโทรหาลูกน้องหน่อยนะครับ” สุพจน์บอกกับกระเต็น
“เชิญค่ะ” สุพจน์ไปที่โทรศัพท์ กระเต็นจึงหันมาถามย้ำกล้า “กล้าแกไม่ได้โกหกใช่มั้ย”
“โธ่แม่ ผมจะบวชอยู่ไม่กี่วันนี้แล้วจะไปเสี่ยงทำไม”
“แต่แม่จำได้ว่าแกไม่ได้ใส่เสื้อตัวนี้ออกจากบ้านนะ”
“อ๋อ มันเปื้อนผมเลยถอดทิ้ง ซื้อตัวใหม่มาใส่”
กระเต็นดูเสื้อที่เก่ามากอย่างสงสัย กล้ายิ้มใสซื่อ
“ผมดีใจที่สุดเลยที่พี่ไม่เป็นอะไร”
เสือสั่งฟ้า 2 พยัคฆ์ผยอง ตอนที่ 2 (ต่อ)
กระเต็นเดินมาส่งสุพจน์กับนุกูลที่รถ นุกูลไหว้สวัสดีแล้วขึ้นรถ
“มีอีกเรื่องที่ผมอยากจะบอกคุณเต็น ไอ้ทิวมันแหกคุกออกมาแล้ว แต่ผู้ใหญ่ให้ผมปิดข่าวเพราะปีนี้เป็นปีมงคล กำลังมีงานฉลองกรุงไม่อยากให้คนแตกตื่น”
“ฉันรู้แล้วละค่ะ”
“ฮะ คุณเต็นรู้ได้ยังไงครับ”
“มันมาที่นี่ โชคดีทีมีคนมาช่วยไว้” สุพจน์ตกใจ
“แล้วทำไมคุณเต็นถึงไม่แจ้งผมครับ”
“แจ้งแล้วคุณทำอะไรได้คะ ขนาดที่คุกมีผู้คุมตั้งเท่าไหร่มันยังแหกมาได้”
“ผมจะให้ลูกน้องมาคุ้มกันที่นี่”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันมีคนเฝ้าแล้ว”
“ไหนครับ ผมไม่เห็นเลย”
กระเต็นหันไปเห็นรักยมนั่งอยู่บนรั้ว
“ไม่เห็นน่ะแหละค่ะ ดีแล้ว”
กระเต็นเดินกลับเข้าบ้าน สุพจน์มองระแวงๆ รีบขึ้นรถ
กล้าเดินกลับเข้ามาในห้อง กล้าถอนใจ ถอดเสื้อก้มมองหน้าอกที่มีรอยแดงช้ำที่คอห้อยตะกรุดสามกษัตริย์ กล้านึกถึงเหตุการณ์ตอนที่เห็นปืนในมือโจ๊ก กล้าจึงว่าคาถาปลุกตะกรุด กระสุนวิ่งจากกระบอกปืนเข้าเจาะหน้าอกกล้า ตะกรุดเรืองแสงวาบ กล้ากระเด็นตกน้ำ
เมื่อตกลงน้ำกล้าพยายามดำน้ำหนีไปให้ไกลจุดที่ถูกยิง กล้าโผล่ขึ้นมาที่ท่าน้ำเล็กๆ อีกฟาก มีเรือชาวบ้านจอดอยู่และมีราวตากเสื้อยืด กล้าปีนขึ้นเรือจับดูตรงที่โดนยิงเห็นเสื้อขาดมีรอยไหม้ของกระสุน กล้าเงยหน้ามองเห็นเด็กหญิงนั่งบนเรือมองตาโตตกใจ
“ชู้ว์ ไม่ต้องตกใจ พี่ว่ายน้ำเล่นน่ะ แล้วถูกปลามันกัดเสื้อขาด” กล้าหยิบเอากระเป๋าตังค์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง เอาแบงก์ยี่สิบชื้นๆ ส่งให้ “พี่ขอเสื้อบนราวตัวหนึ่งนะ”
กล้าดึงเสื้อยืดออกจากราว
กล้าเข้ามาที่ห้องพระแล้วนั่งหน้าพระพนมมือ
“เพราะตะกรุดของหลวงปู่ กับคาถาที่พ่อสอน ผมถึงรอดมาได้ ขอบพระคุณมากครับ ผมจะบวชเพื่ออุทิศผลบุญทั้งหมดหลวงปู่กับพ่อ แต่ระหว่างที่ผมบวช ขอให้ช่วยคุ้มครองแม่ด้วยนะครับ”
กล้ากราบ กระเต็นแอบฟังอยู่หน้าประตู ยิ้มพอใจ
ที่วังพยัคฆ์ ทิวที่บาดเจ็บสาหัสนอนสลบอยู่ ทิวนอนอยู่ในโพรงถ้ำที่มีหินย้อยบนเพดานถ้ำ น้ำหยดหล่นลงสัมผัสใบหน้าทิว ทิวที่นอนสลบอยู่ค่อยๆ รู้สึกตัว ทิวพยุงตัวลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก มองรอบๆ ด้วยความแปลกใจ เมื่อรู้ว่าตัวเองอยู่ในถ้ำ และแล้วก็เห็นจระเข้หมอบนิ่งอยู่ ทิวผงะ แต่ก็ตั้งสติได้ จ้องมองจระเข้ แสยะยิ้ม
“เขี้ยวของแกคงทำอะไรข้าไม่ได้ละซิ แกถึงได้คาบข้ามาไว้ที่นี่”
ทิวจ้องตาจระเข้ พึมพำคาถา จระเข้หันหลังว่ายลงน้ำไป ทิวลุกขึ้น
ทิวมองไปรอบๆ เห็นเศษซากโครงกระดูกมนุษย์กองทับถมกันอยู่นับสิบกอง สภาพผุกร่อนไปตามกาล
มีโครงกระดูกโครงหนึ่งนั่งพิงๆ หิน ที่หัวกะโหลกมีดาบอาคมปักคาเอาไว้กลางกระหม่อม มีโครงกระดูกชายอีกสองโครงนอนอยู่ มียันต์เก่าๆ ขาดเปื่อย ติดเอาไว้ที่กะโหลก
เสียงภูตผีปีศาจหวีดหวิวจนดูน่ากลัวแล้วก็มีเสียงดังจากกระโหลกที่มีดาบอาคมปัก
“ปลดปล่อยวิญญาณข้า”
ทิวผงะออก
“เอ็งเป็นใคร”
“ข้าคือขุนโชติ ข้าถูกสะกดวิญญาณไว้”
“ข้าช่วยเอ็ง แล้วข้าจะได้อะไร”
“ข้าจักให้ทุกอย่างที่เอ็งต้องการ”
ทิวตัดสินใจถอนดาบ ถ้ำเกิดสะเทือนเลื่อนลั่น ทันใดนั้นก็มีลำแสงพวยพุ่งออกมาจากในหัวกะโหลกใบนั้น
หาญเดินถือเทียนมนต์เข้าที่ถ้ำวังพยัคฆ์ หาญสังเกตเห็นท้องฟ้ามืดมนทันทีทันใดเกิดความกังวลรีบบริกรรมคาถาแล้วหยดลงบนน้ำ ที่ผิวน้ำเกิดเป็นฟองเดือดขึ้นมาทั่วไป
“ข้าไม่ได้คิดฆ่าพวกเจ้า ข้าเพียงใช้เทียนมนต์ระเบิดน้ำ ให้เจ้าเปิดทางให้ข้าเท่านั้น”
จระเข้ผุดขึ้นมาตามผิวน้ำเพราะร้อน จระเข้คลานขึ้นบก หาญยิ้มแล้วว่าคาถาอีกครั้ง ชูเทียนไปข้างหน้า เห็นน้ำแหวกเป็นสองข้าง หาญเดินไปตรงกลาง
ภายในถ้ำเห็นดวงวิญญาณลอยขึ้นจากกะโหลกขุนโชติ
“ฮ่ะๆๆๆๆๆ ขอบใจ เอ็งเป็นใคร”
“ข้าชื่อทิว ข้าช่วยเอ็งแล้ว เอ็งต้องช่วยข้าฆ่าศัตรูของข้า”
“ตกลง แต่ยังมิใช่ตอนนี้”
ดวงวิญญาณของขุนโชติพุ่งเข้าสิงทิวทันที
หาญเดินมาถึงหน้าปากถ้ำที่มีหินปิดไว้ หาญชูเทียนไปไฟวิ่งไประเบิดปากถ้ำเลื่อนออก หาญเดินเข้าไป
หาญโผล่เข้ามาในถ้ำที่บรรยากาศขลัง น่ากลัว เท้าหาญเหยียบเจอกองกระดูก หาญตกใจ หาญชูเทียนมองเห็นรอยเลือดของทิวหยดอยู่ บนเนินปรากฎว่าหัวกะโหลกทั้งสามหายไปแล้ว หาญมองร่องรอยอย่างแปลกใจ
หาญนั่งลงพยายามเพ่งสมาธิหาทิว แต่ภาพที่เข้ามากลับเป็นภาพกล้าสู้กับโจ๊กและถูกยิงตกน้ำ
“กล้า”
หาญตกใจ
กล้าขับมอเตอร์ไซด์มาจอดที่หน้าบ้านราชาวดีโดยมีนุกูลซ้อนท้ายมาด้วย
“บ้านนี้เหรอ” กล้าถามนุกูล
“ใช่พี่”
“แกเข้าไปซิ เดี๋ยวพี่รอ”
“ผมไม่เข้าหรอก พี่นั่นแหละต้องเข้า”
“ฉัน? เข้าไปทำไมวะ” กล้าทำหน้าแปลกใจ
“อ้าว ก็นี่ละ บ้านน้องราชาวดี”
“ฮะ”
“ผมกะพวกไอ้ป๋อง ไปสืบมาให้เรียบร้อย พ่อน้องเค้าเป็นครูสอนวาดรูปที่เพาะช่างชื่อครูเริง แม่เป็นครูสอนรำแต่ตายไป แล้วน้องเค้ายังไม่มีแฟน พี่ลุยได้เลย”
“ลุยอะไร ไอ้บ้า ฉันกับเค้ายังไม่รู้จักกันเลย”
“ก็ผมถึงพาพี่มาที่นี่ไง ผมอยากไถ่โทษที่ทำให้พี่เดือดร้อน ทั้งเรื่องงามตา แล้วก็เรื่องไอ้โจ๊กด้วย ถ้าพี่สมหวังกับน้อง ผมจะดีใจมาก” นุกูลบอกแล้วกดออด
“ไอ้นุ”
“โชคดีพี่”
กล้าโมโหไล่เตะนุกูล
“ไอ้บ้า ไอ้”
ครูเริงเปิดประตูออกมา
“มาหาใคร”
กล้าอึ้ง แล้วก็ยกมือไหว้ครูเริง
“ผมมา มาหาครูครับ”
ราชาวดีกลับจากการเรียนเข้าบ้านมากับคะนึงนิจและดวงใจ เห็นครูเริงหันหลังยืนคุยกับกล้าอยู่
“พ่อคะ”
ครูเริงหันมอง
“อ้าว กลับมากันแล้วเหรอ”
ราชาวดี คะนึงนิจและดวงใจ ยกมือไหว้ครูเริง ครูเริงรับไหว้แล้วขยับออกราชาวดีจึงเห็นเป็นกล้ายืนยิ้มให้อยู่ ก็อึ้ง หน้าแดงขึ้นมาทันที คะนึงนิจกับดวงใจมองหน้ากัน ไม่คิดว่ากล้าจะบุกมาถึงบ้าน
“พี่เค้ามาขอเรียนวาดรูปน่ะ เห็นว่าสนใจมานานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้เรียน”
กล้ายกมือไหว้
“ขอบคุณครับครู ผมจะตั้งใจเรียน ไม่ให้ครูผิดหวัง”
“ขอให้จริงเถอะ...แล้วนี่รู้จักกันรึยัง เห็นว่าเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนเราไม่ใช่เหรอ กล้านี่ราชาวดี ลูกสาวครูเอง แล้วก็ดวงใจ เพื่อนที่มาช่วยสอนรำให้เด็กๆ ส่วนนั่นคะนึงนิจ แม่ค้าสาวนักสู้ คนนี้เขาอยากเข้าศิลปากร เป็นลูกศิษย์ยามเย็นของครู”
ราชาวดี คะนึงนิจ ดวงใจยกมือไหว้กล้า กล้ารับไหว้ พลางส่งยิ้มให้ราชาวดีจนราชาวดีเขิน
“วดีไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ เดี๋ยวเด็กๆ จะรอ”
พูดจบราชาวดีก็เดินอายเลี่ยงเข้าบ้านไปอย่างเร็ว ดวงใจตามไปอย่างตื่นเต้น คะนึงนิจมองๆ เหล่ๆ เพราะเห็นสายตากล้าที่มองราชาวดี
“กล้า ตามครูมา เดี๋ยวจะเราจะเริ่มเรียนกันเลย”
ครูเริงเดินไปทางหลังบ้าน คะนึงนิจมองงง
“ครู ห้องวาดรูปอยู่ทางนี้ค่ะ”
ครูเริงไม่ฟัง
ดวงใจตามราชาวดีมาที่ห้องด้วยท่าทางตื่นเต้น
“ทำไมพี่กล้าถึงมาขอเรียนกับลุงเริงได้ แปลกมากเลยหรือว่าเค้ามาจีบวดี”
“เราก็เห็นพร้อมกันว่าเค้าจีบใคร อย่าเพ้อเจ้อน่าดวง รีบนุ่งโจงเร็ว นักเรียนจะมาแล้ว”
ราชาวดีหยิบผ้าขึ้นมา
“วดี นี่มันผ้าห่ม”
“ขอโทษ”
ราชาวดีรีบไปหยิบโจงในตู้มาให้ ดวงใจมองๆ
ครูเริงพากล้ามาที่ตุ่มน้ำหลังบ้านแล้วยื่นถังให้
“อะไรครับ” กล้าถามอย่างสงสัย
“ก็ถังไง ตักน้ำในตุ่มนี้ไปรดต้นไม้รอบบ้านๆ ให้ครบทุกต้น”
“ฮะ”
“ก่อนเรียนวาดรูป เธอต้องรดน้ำต้นไม้ กวาดใบไม้ แล้วก็ทำงานที่ครูสั่งให้เสร็จก่อน มีปัญหามั้ย”
“ไม่ครับ ไม่มี”
กล้ารีบคว้าถังมาตักน้ำ ครูเริงเดินออกไป
กล้าตักน้ำมารดต้นไม้ ชะเง้อชะแง้จนเห็นราชาวดีกับดวงใจกำลังสอนเด็กหญิงสามสี่คนรำละครอยู่ที่ลาน กล้ามองไม่วางตาแล้วทำเป็นรดน้ำไปใกล้ๆ คะนึงนิจโผล่มาแอบมองอีกมุม
ราชาวดีสอนรำไปก็รู้ว่ากล้าแอบมองก็พยายามหลบตา แต่ก็มีสบตาบางครั้ง ดวงใจสังเกตอยู่ตลอด มีสะกิดแต่ราชาวดีทำเป็นไม่สนใจ ราชาวดีสอนท่าอายให้เด็ก หมุนตัวเจอกล้ามองพอดีก็ชะงัก หมุนต่อไป กล้ายิ้มเคลิ้ม
คืนนั้นระหว่างอยู่ในห้องกล้านั่งท่องบทสวดมนต์เตรียมตัวบวช แต่ไม่มีสมาธิ ใจลอย เห็นแต่หน้าราชาวดี กล้าตัดสินใจไปหยิบวิทยุมาตั้ง เอาเทปเปล่าใส่แล้วหยิบกีต้าร์มาเล่นเพลงกดอัด
วันต่อมาเมื่อมาบ้านราชาวดี กล้าหาที่จะวางเทปไว้ให้ราชาวดี
“รดน้ำต้นไม้เสร็จแล้วเหรอคะ พี่กล้า”
กล้าหันไป เห็นคะนึงนิจยืนกอดอกมองอยู่ กล้าทำไม่รู้เรื่อง
“ยังจ้ะ พอดีพี่ยังไม่เจอครูก็เลยจะเข้ามากราบครูก่อน”
“ครูยังไม่กลับค่ะ ฝากนิจไว้ให้ดูแลพี่”
“เหรอจ๊ะ งั้นพี่ไปทำงานนะ”
กล้าเอาเทปซ่อนไว้ข้างหลัง รีบเดินไปทางหลังบ้าน คะนึงนิจมอง สงสัย ไม่ไว้ใจ
กล้าเดินเข้ามาในห้องวาดรูป เหงื่อซ่ก มองผ่านหน้าต่างออกไปเห็นราชาวดีเดินมาเตรียมสอนเด็กๆ ตบมือให้เด็กๆ มายืนเข้าแถวรำ คะนึงนิจเข้ามาในห้องวาดรูปมองตามสายตากล้าจึง เริ่มเก็ต คิดจะแกล้ง หยิบขาตั้งรูป ย้ายที่ไปบังกล้าตรงหน้าต่าง
“ขอโทษนะคะพี่ ตรงนี้มันสว่างกว่า” กล้ายิ้มฝืนๆ
“เราก็ไม่เคยเจอกันมาก่อน ทำไมรู้สึกนิจจะไม่ค่อยชอบ หน้าพี่เลย”
“เราน่ะเหรอไม่เคยเจอกัน แน่ใจ?”
“จริงเหรอครับ ที่ไหน”
คะนึงนิจเซ็งที่กล้าจำไม่ได้
“ก็เจอกันที่สหวิชตอนที่พี่กล้ากำลังขอความรักสาวไงคะ”
“นั่นน่ะเป็นเรื่องเข้าใจผิด พี่ไม่ได้จีบงามตา”
“แล้วแบบไหนที่เรียกว่าจีบ แบบที่มาแกล้งขอเรียนวาดรูปเพื่อใกล้ชิดสาวเนี่ยเหรอ”
“โธ่ แย่จริง นี่พี่ก็ทำให้นิจเข้าใจผิดด้วยเหรอ ขอโทษจริงๆ พี่ไม่ได้คิดอะไรกับนิดเลยนะ”
“นี่” กล้าหันไปวาดรูป คะนึงนิจหยิบแก้วน้ำที่ไว้ล้างพู่กันขึ้นมาแล้วทำเดินไปชนกล้าเข้า “อุ๊ย”
คะนึงนิจแกล้งทำน้ำหกใส่กล้า กล้าหลบไม่ทัน เสื้อเปียก
“เฮ้ย”
คะนึงนิจพูดจิกๆ สะใจมาก
“ขอโทษนะคะพี่กล้า อย่าเข้าใจผิด นิดไม่ได้แกล้ง”
คะนึงนิจยิ้มทำไม่รู้ไม่ชี้ ครูเริงเข้ามา
“อ้าว เสื้อไปโดนอะไรเข้า”
“ผมไม่ทันมอง เลยทำกระป๋องน้ำหกใส่ตัวเองครับ” คะนึงนิจอึ้งไปนิดที่กล้าไม่ใส่ร้ายตัวเอง “ผมขอไปห้องน้ำซักครู่นึงนะครับ”
กล้าเดินไป
กล้าเดินมาเจอราชาวดีที่หน้าห้องน้ำ ทั้งคู่ชะงักกัน
“เอ้อ พี่กล้า”
“ราชาวดี”
ราชาวดีเห็นเสื้อกล้าเปื้อน
“เสื้อพี่?”
“พี่ซุ่มซ่ามเองน่ะครับ”
“เดี๋ยววดีไปหยิบเสื้อมาให้เปลี่ยนดีกว่าค่ะ มีเสื้อใหม่ๆ ของพ่อที่ซื้อมายังไม่ได้ใช้”
“เดี๋ยวครับ พี่อยากอธิบายเรื่องที่พี่ให้ดอกไม้งามตา”
“แต่มันไม่เกี่ยวกับวดีนี่คะ”
“เกี่ยวซิ ใครจะเข้าใจผิดพี่ไม่สนใจ ขอให้น้องวดีเข้าใจถูกเป็นพอ”
กล้ายังไม่ทันพูด ดวงใจเดินหิ้ววิทยุมา
“วดีๆ อยู่ไหนน่ะ” ดวงใจเห็นกล้าก็ชะงัก “พี่กล้า”
ที่ห้องวาดรูปคะนึงนิจกำลังฟ้องครูเริงเรื่องกล้า
“ครูคะนิจว่านายกล้าคนนี้เค้าไม่ได้ตั้งใจจะมาเรียนจริงจังหรอก”
“หึ ถ้าเป็นอย่างงั้น เค้าก็ทนได้ไม่นานหรอก ไม่ต้องห่วง”
“จะไม่ห่วงได้ยังไงคะ นิสัยเจ้าชู้ ไม่น่าไว้ใจแบบนี้”
“ทำไม เค้าทำอะไรนิจเหรอ หรือที่เสื้อนายกล้าเปื้อนเมื่อกี๊เพราะเค้าลวนลามนิจ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะครู”
ครูเริงลุกออกไป
ครูเริงกับคะนึงนิจเดินมาที่ลานซ้อมเห็นเด็กๆ นั่งเล่น เดินเล่น ดวงใจอยู่ด้วย
“ดวงใจ วดีล่ะ”
“อยู่กับพี่กล้าค่ะ”
ครูเริงหน้าเครียดขึ้นมาทันที
ครูเริงเดินเข้ามาที่โรงรถกับคะนึงนิจจึงเห็นกล้าหันหลังก้มดูอะไรบางอย่างกับราชาวดี
“วดี” กล้ากับราชาวดีหันมา “ทำอะไรกัน”
“คือ”
“ตกลงเธอตั้งใจมาเรียนวาดรูปหรือมาทำอะไรกันแน่”
“พ่อ มันเรื่องอะไรกันคะ”
“นั่นซิ ครูไม่พอใจผมเรื่องอะไรครับ”
“เธอรู้อยู่แก่ใจ ห้องวาดรูปอยู่โน่นแล้วเธอมาทำอะไรตรงนี้”
“วิทยุมันเสียพี่กล้าเลยมาซ่อมให้”
ดวงใจที่เดินตามมารีบสนับสนุน
“จริงค่ะครู มันกินเทป ซ้อมกันไม่ได้ พี่กล้าเลยอาสาดูให้”
ครูเริงอึ้งไป เพิ่งเห็นวิทยุกับกล่องเครื่องมือที่วางอยู่ คะนึงนิจละอายใจ
คืนนั้นที่แผงขายของตลาดนัด คะนึงนิจนั่งจัดของอยู่ที่แผงแบกะดิน เป็นแผงขายของกระจุกกระจิกแนวอาร์ตๆ พวกรูป โปสการ์ด สร้อยลูกปัด คะนึงนิจคิดเหม่อใจลอยแล้วก็พยายามสลัดความคิด
“โอ๊ย ตาบ้านั่นจะคิดยังไงก็ไม่เห็นต้องสนใจ เราทำเพราะหวังดีต่อเพื่อน เราไม่ผิด” ลูกค้าเข้ามา คะนึงนิจเปลี่ยนอารมณ์ยิ้มแย้มคุยกับลูกค้าหญิง “โปสการ์ดมีหลายแบบนะคะ วาดเองทั้งหมด จะซื้อแบบเป็นชุดหรือว่าซื้อแยกก็ได้ค่ะ”
ลูกค้าหยิบๆ แล้ววาง เปลี่ยนไปดูสร้อยลูกปัดแทน คะนึงนิจไม่ละความพยายาม ขายต่อ
“สร้อยพวกนี้ก็ทำเองค่ะ รับรองไม่มีของใครเหมือนแล้วก็ไม่เหมือนใคร จะซื้อไปให้เพื่อนหรือว่าใส่เองก็สวยดี นะคะ ขายไม่แพง แค่ 3 บาทเองค่ะ”
ลูกค้าลองหยิบสร้อยเส้นต่างๆ ขึ้นมาทาบแขน คะนึงนิจรออย่างอดทนและใจเย็น
“ยัยนิจ” คะนึงนิจมองตามเสียง เห็นภูมินทร์เดินเข้ามาหยุดที่แผงพร้อมกับคมและลูกน้อง 1 คน “รู้ไหมว่าพี่เป็นห่วงเราแค่ไหน?”
คะนึงนิจทำเป็นไม่รู้จัก
“ขอโทษนะคะ คุณคงจำคนผิดแล้วล่ะค่ะ” ลูกค้ามองๆ แล้วเลือกของต่อ คะนึงนิจทำเป็นไม่สน คุยกับลูกค้าต่อ “ถ้าซื้อ 3 เส้น แถมให้อีกเส้นไปเลยก็ได้ค่ะ”
ภูมินทร์มองน้องสาวอย่างโมโห
“ไม่รู้จักใช่ไหม ได้”
ภูมินทร์พังแผง รื้อข้าวของกระจายทันที
“ว้าย”
ลูกค้าร้องอย่างตกใจ แล้ววิ่งหนีไป คะนึงนิจรีบห้าม
“หยุดนะ อย่า”
ภูมินทร์ไม่สนใจ ทั้งเหยียบ ทั้งเตะข้าวของของคะนึงนิจ ผู้คนเริ่มมุงดูมากขึ้นเรื่อยๆ
“พี่ภู นิจบอกให้หยุด”
ภูมินทร์หยุด มองน้องสาวด้วยความโมโห
“ทีนี้ยอมรู้จักกันแล้วสินะ”
คะนึงนิจหน้าเครียด
รถภูมินทร์จอดอยู่ที่ท่าน้ำโดยมีลูกน้องเฝ้าอยู่ ส่วนภูมินทร์ยืนคุยกับคะนึงนิจริมน้ำ
“ไม่มีทาง ยังไงนิจก็ไม่ยอมกลับแน่ๆ ถ้าพี่ภูจะกลับก็กลับไปคนเดียว นิจไม่ไป”
คะนึงนิจพูดเสียงแข็ง ภูมินทร์ไม่เข้าใจน้องสาว
“ทำไมล่ะนิจ บ้านของเราก็มี ทำไมต้องมาอยู่ที่นี่ มาขายของมาเช่าอพาร์ตเม้นต์อยู่คนเดียวแบบนี้ มันอันตราย รู้ไหม”
“ใครว่านิจอยู่คนเดียว ที่นี่นิจมีเพื่อน มีครูสอนศิลปะที่นิจรัก ทุกคนดีกับนิจ จริงใจกับนิจ ไม่เหมือนใครบางคน ที่เอาแต่บังคับนิจ”
“เอาล่ะๆ พี่ยอมแล้ว ถ้านิจอยากจะอยู่ที่นี่ อยากจะเรียนศิลปะก็เรียน พี่จะฝากให้เอง แล้วก็ไม่ต้องไปอยู่ที่ไหน พักอยู่ที่นี่” ภูมินทร์ควักเอากระดาษแผ่นเล็กๆ มีที่อยู่บ้านออกมายื่นให้ “พี่ซื้อบ้านหลังนี้เอาไว้ให้นิจอยู่แล้ว จะได้ไม่ต้องไปขายของเป็นยาจก เป็นวณิพกแบบนั้นอีก”
“ไม่มีทาง นิจยอมเป็นขอทาน ยอมขายของข้างถนน ดีกว่าจะใช้เงินสกปรกของพี่ภู”
“เงินมันก็คือเงิน จะได้มายังไงมันไม่ใช่เรื่องของเธอ เธอไม่ชอบก็ทำไม่รู้ไม่เห็นซะ”
“จะให้นิจทำเป็นไม่รู้ว่าพี่ภูค้าไม้เถื่อน ค้าสัตว์ป่า เดินยิ้มร่า มีความสุข ทั้งที่พี่ชายของตัวเอง กำลังทำสิ่งที่เลวร้ายนะเหรอ...ไม่มีทาง จำไว้นะพี่ภู นิจจะไม่กลับ จนกว่าพี่ภูจะหยุด” คะนึงนิจกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เธอมองพี่ชายด้วยความเจ็บปวดใจ ก่อนจะเดินออกไป คมกับพวกเข้าขวาง “ได้ ถ้าอยากได้ตัวนิจกลับไปนักก็เอาศพกลับไปแล้วกัน”
คะนึงนิจวิ่งไปกระโดดปีนราวทำท่าจะพุ่งลงแม่น้ำ
“อย่า พวกแกถอยออกไป บอกให้ถอย”
คมกับลูกน้องถอย คะนึงนิจลงจากราววิ่งหนีหายไป
“ตามมั้ยครับพ่อเลี้ยง” คมถามภูมินทร์
“ไม่ต้อง ปล่อยไปก่อน”
“แต่ถ้าคุณนิจไม่ยอมกลับจริงๆ เราจะทำไงได้ละครับ”
“ก็ให้มันรู้ไปว่าถ้าไม่มีใครให้ที่พัก ยัยนิจจะอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
คมกับสมุนเข้ามาที่เคาน์เตอร์กระเต็น ขณะนั้นสมพรกำลังดูบัญชี
“คะนึงนิจ ไพรพญา พักอยู่ห้องไหน”
คมถามสมพร
“คนเข้าพักเยอะแยะ จำไม่ได้หรอก เป็นญาติกันรึไง”
“เฮ้ย ขึ้นไปค้นดูมันทุกห้อง” คมหันไปสั่งลูกน้อง
“ไม่ได้นะ ห้ามขึ้นไป”
สมพรจะขวาง แต่โดนคมเหวี่ยงกระเด็น
“อยากตายรึไง”
คมเปิดปืนที่ซ่อนไว้ที่เอวให้ดู สมพรกลัว ทันใดประตูลิฟต์เปิดออกกระเต็นออกมา
“อะไรกันสมพร”
“คนพวกนี้ เค้าจะขึ้นไปค้นห้องของเราค่ะคุณนาย...มันมีปืนด้วย” สมพรกระซิบบอกแต่กระเต็นไม่กลัว
“ฉันเป็นเจ้าของที่นี่ พวกนายจะขึ้นไปทำไม”
“เราต้องการหาตัวผู้หญิงชื่อคะนึงนิจ ไพรพญา ถ้าไม่อยากเดือดร้อน ก็ไปเอาตัวมาให้เรา”
“ทุกคนที่พักที่เป็นแขกของเรา ไม่ใช่นักโทษ ที่เราจะไปลากตัวมาให้ใครก็ได้”
“นี่ป้าคงไม่รู้มั้งว่าพูดอยู่กับใคร หลีก”
“ป้าอีกแล้ว!ทำไมชอบลำดับญาติกันนักวะ สมพรไปโทรแจ้งตำรวจว่ามีคนบุกรุก”
ลูกน้องคมตะปบโทรศัพท์แล้วกระชากสายขาด โดยสมพรยังไม่ทันยกหู
“คงโทรไม่ติดแล้วละ ป้า”
คมพยักหน้าให้ลูกน้อง แล้วจะเดินอาดๆ ไปที่ลิฟต์ กระเต็นกระโดดถีบลูกน้องคมจนเซไป ลูกน้องอีกคนปรี่เข้ามา โดนกระเต็นต่อยร่วง คมชักปืนยิงใส่ เปรี้ยง! สมพรกรี๊ดร้องด้วยความตกใจ แต่หาญเข้ามาขวางเมื่อไหร่ไม่รู้ ยกมือกันกระสุนไว้ กระสุนหยุดอยู่กลางอากาศแล้วตกลงกับพื้น
กระเต็นตกใจมากที่เห็นหาญ คมยิงอีก ปรากฎแชะๆๆๆ ยิงไม่ออก
“ปืนมีไว้ป้องกันตัว ไม่ใช่รังแกผู้หญิง”
คมพุ่งเข้าทำร้ายหาญ หาญหลบและเตะ หลบแล้วต่อย คมกับลูกน้องสู้ไม่ได้ ผู้คนเริ่มวิ่งจากอพาร์ตเม้นต์มาดู
“ไสหัวไป”
คมเห็นคนเยอะนึกแค้น แต่ต้องหนี ลูกน้องตาม หาญเห็นคนมุงดูก็ว่าคาถาแล้ววาดมือไปที่ไทยมุง ไทยมุงกับสมพรเป็นนะจังงัง
“ไม่ต้องห่วง เข้าไปข้างในก่อน เดี๋ยวมนต์คลายทุกคนก็จะจำอะไรไม่ได้”
หาญบอกแล้วดึงกระเต็นเข้าไปในอพาตเม้นท์
หาญลากกระเต็นเข้ามาในมุมลับตา
“ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย กระเต็น”
“หลวงพ่อหาญ เอ่อไม่ใช่ พ่อหาญใช่มั้ยคะ”
“ใช่ พ่อเอง”
“ทำไมพ่อถึงหนุ่มขนาดนี้ เอ๊ะ หรือ แก ไอ้ทิว แกใช้วิชานารายณ์แปลงรูปปลอมเป็นพ่อหาญ”
กระเต็นตั้งการ์ดทันที
“ไม่ใช่ นี่พ่อจริงๆ พ่อสึกออกมาแล้วขอให้กายทิพย์ของหลวงปู่ทำพิธีอมฤตเทวาให้พ่อกลับมาหนุ่มอีกครั้งเพื่อจัดการไอ้ทิว”
กระเต็นมองแบบสำรวจ ค่อยวางใจขึ้น
“พ่อหาญ” หาญพยักหน้า “ไม่น่าเชื่อเลย นี่หนูกับกล้า ทำให้พ่อเป็นห่วงถึงกับต้องกลับมาเป็นฆราวาสเชียวเหรอคะ หนูต้องบาปหนาแน่”
“พ่อหมดบุญเอง ไม่ใช่ความผิดของเอ็งหรอก อีกอย่างเอ็งก็รู้ว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องทิวเท่านั้นที่ต้องเป็นห่วง”
ทั้งคู่มองกัน ต่างคนต่างรู้เรื่องกล้าเป็นลูกโจร กระเต็นพยักหน้า
“แล้วพ่อเจอตัวไอ้ทิวมั้ยคะ”
“เจอ เราสู้กันตกหน้าผา พ่อเพ่งจิตเห็นว่าไอ้ทิวถูกจระเข้คาบไป เลยตามมันจนไปถึงวังพยัคฆ์”
“วังพยัคฆ์คืออะไรคะ”
“ที่ซ่อนสมบัติของขุนโจรในตำนานเมื่อร้อยปีก่อน ที่ไม่เคยมีใครเข้าไปได้ เพราะต้องฝ่าฝูงจระเข้กินคน และอาจจะถูกวิญญาณร้ายเล่นงาน พ่อใช้เทียนมนต์ระเบิดน้ำไปถึงที่นั่นแต่ไม่พบไอ้ทิว พ่อเห็นในนิมิตว่ากล้ากำลังตกอยู่ในอันตราย เลยรีบกลับมา”
“กล้าไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ มีเรื่องต่อยตีกับพวกวัยรุ่นชอบลองของเหมือนเคย”
“งั้นก็เป็นไปได้ที่ไอ้ทิวอาจจะตายอยู่ในวังพยัคฆ์”
ขณะนั้นทิวซึ่งถูกขุนโชติสิงเอาเสื้อตัวเองหอบกระดูกเดินโซเซอยู่กลางป่าพร้อมมีดอาคมที่ปักกะโหลกจน
ถึงบึงน้ำศักดิ์สิทธิ์ ทิวโยนกระดูกลงไปแล้วเอามีดอาคมเชือดที่แขน เพื่อให้เลือดไหลลงบ่อก่อนบริกรรมคาถา
เลือดในบ่อวนเป็นสายแล้วซึมหายลงไปผนึกในกระดูก
ทิวทรุดลงกระอักเลือด ดวงวิญญาณขุนโชติออกจากร่าง พุ่งลงไปที่บ่อน้ำ ทิวที่หายใจรวยรินมองไปที่บ่ออย่างตื่นตะลึงเมื่อเห็นขุนโชติค่อยๆ โผล่ พ้นผิวน้ำ รอยสักเพียบ นุ่งเตี่ยวสีเข้ม ขุนโชติเดินขึ้นมา
“เอ็งสิงร่างข้า เพื่อให้ข้าเอากระดูกของเอ็งมาที่นี่ แล้วยังเอาเลือดของข้ามาชุบชีวิตเอ็ง เอ็งมันตระบัดสัตย์”
“ข้า ขุนโชติ พูดคำไหนคำนั้น แต่หากข้าเป็นเพียงวิญญาณไหนเลยจักทำตามคำสัตย์ที่ให้ไว้ได้ ข้าจึงจำต้องอาศัยเลือดของคนมีวิชาอาคมที่แก่กล้าเช่นเอ็ง ช่วยให้ข้าฟืนคืนชีพ”
ทิวโมโหจะทำร้ายขุนโชติ รวบรวมพลังจะปล่อยกสิณไฟ แต่ปรากฏว่าทำไม่ได้ กระอักเลือดออกมา
“กำลังของเอ็งลดถอยลงแล้ว เอ็งทำอะไรข้าไม่ได้ดอก”
“ข้าอุตส่าห์ทนทุกข์อยู่ในคุก ฝึกวิชาเพื่อล้างแค้นศัตรูข้า แต่เอ็ง เอ็งทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง”
“บอกมาศัตรูของเจ้าคือคือผู้ใด ข้าจักสังหารพวกมันเอง”
“นังกระเต็น เมียผู้การเพชร ไพรีพ่าย และลูกหลานมันทุกคน” น้ำเสียงทิวอ่อนแรงเต็มที่ “ข้ารับปาก ศัตรูของเอ็งต้องตายทุกคน เอ็งจงไปรอพบมันเถิด ไอ้ทิว”
ขุนโชติเอามือจิกกะโหลกทิวแล้วพึมพำคาถา รอยสักของทิวหายเข้ามาในตัวขุนโชติ ทิวตาเหลือกขุนโชติบิดคอทิว ทิวตาย
“ข้าจำเป็นต้องเอาอาคมในตัวเอ็งมาเพิ่มกำลังให้ข้า อโหสิให้ข้าด้วย” ขุนโชติหันไปทางบ่อน้ำ “ไอ้ดำ ไอ้ไท เอ็งคืนร่างแล้วใช่หรือไม่”
เสือดำ เสือไทยืนพ้นน้ำขึ้นมา
“พี่โชติ”
“ฟ้าเข้าข้างพวกเราจึงส่งคนที่มีวิชาผู้นี้มาช่วย ให้เราฟื้นคืนชีพ ครานี้ไอ้หลวงณรงค์มันจักต้องชดใช้”
อดีตยุค ร.5 ขุนโชติและพวกกำลังฟันอยู่กับตำรวจ ตำรวจฟันพวกขุนโชติไม่เข้า เสือดำใช้หน้าไม้ เสือไทใช้ขวาน ขุนโชติ ฟันตำรวจตาย เสียงปืนดังปัง ปัง ปัง สมุนสองคนล้มลง
“ไอ้จ้อย ไอ้เทียน”
เสือดำประคองจ้อยขึ้นมาดูแผล
“มันใช้กระสุนลงอักขระ”
ขุนโชติหันไป หลวงณรงค์ลดปืนลง...หลวงณรงค์ก็คือหาญแต่มีหนวดและสวมเครื่องแบบตำรวจภูธรสมัยร.5
“ข้า หลวงณรงค์ฤทธิ์โยธา ผู้ช่วยผู้บังคับกองตระเวน รับพระราชโองการจากพระพุทธเจ้าหลวง ให้มากำหราบโจรชั่วเช่นเอ็ง ขุนโชติ ตามข้ากลับไปรับโทษเถิด”
“ไม่มีทาง”
ขุนโชติกำทรายที่พื้นขึ้นมา ร่ายคาถา เป่ามนต์ แล้วซัดออกไปกลายเป็นกระสุนไฟนับร้อยพุ่งเข้าโจมตีตำรวจ ล้มตาย หลวงณรงค์หลับตาร่ายคาถาเป่ามนต์ลงบนดาบอาคมจะเห็นดาบเรืองแสงขึ้น หลวงณรงค์ตวัดดาบออกไป เป็นคลื่นพลังที่กระจายออก ทำลายกระสุนไฟของขุนโชติหมดสิ้น สมุนโจรบางคนถูกอานุภาพ ร่างระเบิดไปด้วย สะเก็ตถูกเสือดำกับเสือไทบาดเจ็บ
“ข้าไม่เกรงอาคมเอ็งดอกไอ้ขุนโชติ จงยอมแพ้และ มอบตัวซะ”
ขุนโชติสีหน้าเครียด รู้ว่าหลวงณรงค์มีอาคมแกร่งกล้ากว่าตน
“ไอ้เสือถอยกลับวังพยัคฆ์”
ขุนโชติสั่งการลูกน้อง
ที่วังพยัคฆ์มีหีบสมบัติจำนวนมากวางซ้อนกันที่ผนังถ้ำด้านหนึ่ง ขุนโชติวิ่งเข้ามา เสือไทประคองกับเสือดำเข้ามาในสภาพสะบักสะบอม เสียงปืนดังมาจากด้านนอกเป็นระยะกับเสียงสู้รบ
“พี่โชติ พวกข้างนอกคงต้านไว้ไม่ไหวแล้ว อาคมไอ้หลวงณรงค์มันกล้าแข็งมาก เราสู้มันไม่ได้”
“พี่โชติหนีไปเถิดพี่ ข้าสองคนจะยันตำรวจเอาไว้เอง”
“ข้าขุนโชติ หากจะต้องตายก็ขอตายเยี่ยงเสือ เอ็งหนีไปเถิด”
“ไม่ ข้าไม่ทิ้งพี่เด็ดขาด”
เสือคนหนึ่งกระเด็นเข้ามานอนตาย เสือดำเสือไทกระโดดเข้าขวางกระสุนระดมยิงเข้ามา ทั้งคู่ถูกกระสุนทรุดลง
“ไอ้ดำ ไอ้ไท”
พวกกองตระเวนถือปืนเล็งมา เสือดำเปลี่ยนจากหน้าไม้ชักดาบที่สะพายวิ่งเข้าหา หลวงณรงค์กระโดดเข้ามาเสียบกระบี่อาคมเข้าท้อง เสือดำเงื้อค้างชักดาบออก เสือดำกระอักเลือดล้มลง เสือไทแค้นวิ่งเข้าใส่ถูกหลวงณรงค์ฟันล้มลงตายอีกคน
“ไอ้ขุนโชติ เอ็งหนีไม่รอดดอก”
“ข้า ขุนโชติ ไม่มีทางสยบให้พวกเอ็ง”
พวกตำรวจตอกดินปืนยิงใส่เข้าไปอีก ขุนโชติจ้องเป๋งว่าคาถาพึมพำ กระสุนเฉียดร่างขุนโชติไป ตำรวจชุดสองยิงใส่แต่ยิงไม่ออก ขุนโชติกระโดดเข้าฟันตำรวจล้มตายไม่ทันตั้งตัวแล้วก็เข้าบุกฟันหลวงณรงค์ ทั้งคู่สู้กัน ขุนโชติฟันถูกหลวงณรงค์ไม่เข้า หลวงณรงค์ฟันถูกขุนโชติไม่เข้าเหมือนกัน
“วิชาอาคมเอ็งแก่กล้านัก กระบี่อาคมของข้ายังไม่ระคายผิว เสียดายที่เอ็งใช้วิชาไปในทางชั่ว”
“เอ็งไม่ต้องพูดให้มากความ วันนี้ข้าขุนโชติ จะเอาเลือดของเอ็งเซ่นสังเวยวิญญาณสหายข้า”
ขุนโชติ รุกไล่ หลวงณรงค์ทำเป็นเพลี่ยงพล้ำเอาแต่รับแล้วถอยไป เพื่อส่งสัญญาณให้ตำรวจที่รออยู่เหวี่ยงแหคลุมขุนโชติ หลวงณรงค์กระโดดเข้ามา ฟันร้อยหวายขุนโชติทรุดลงแล้วก็ฟันข้อมือจนดาบร่วงจากมือ ตำรวจอยู่สองด้านถือเชือกวิ่งล้อมมัดขุนโชติอย่างรวดเร็ว ขุนโชติพยายามท่องอาคม
“แหนี้แช่ด้วยระดูสตรี เอ็งมิพักต้องเสียเวลาท่องบ่นอาคมดอก”
“เอ็งมันไอ้หมาลอบกัด”
“ขอเพียงปราบโจรร้ายเยี่ยงเอ็ง จักใช้อุบายอย่างใดก็ไม่สำคัญ จงก้มหน้ารับโทษทัณฑ์เถิด”
“ข้าขอสาบาน จักตามจองล้างเอ็งไปทุกชาติ ไอ้หลวงณรงค์”
หลวงณรงค์เงึ้อกระบี่สองมือเสียบลงกลางหัวขุนโชติ หลวงณรงค์ว่าคาถาเป่าพรวดลง
“ในเมื่อเอ็งมิยอมสำนึก ข้าจักสะกดวิญญาณเอ็งแลสหายโจรของเอ็งให้ทนทุกข์อยู่ ณ ที่แห่งนี้ มิมีวันได้ไปผุดไปเกิด” หลวงณรงค์ควักเอายันต์มาแปะบนหัวดำและไท “ขนสมบัติทั้งหมดกลับไป”
หลวงณรงค์กระชากเครื่องรางของขุนโชติกับดำและไทมาเก็บไว้
กลับมาปัจจุบัน ขุนโชติกลับมาที่วังพยัคฆ์ ขุนโชติกำมือแน่นที่เห็นสมบัติหายไปพร้อมเครื่องราง
“พวกตำรวจมันเอาทั้งอาวุธ เครื่องราง สมบัติของเราไปหมด”
“กูจักตามไปกุดหัวมัน เอาของของกูคืนมา”
“ข้าสองคนพร้อมไปเหยียบพระนครให้ราบแล้วพี่”
“ไอ้หลวงณรงค์กับตำรวจที่พระนครจะได้เห็นฤทธิ์ของข้า ขุนโชติ”
เสือสั่งฟ้า 2 พยัคฆ์ผยอง ตอนที่ 2 (ต่อ)
บนเวทีในห้องอาหารของโรงแรมหรู ราชาวดีและเพื่อนๆ กำลังร่ายรำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติชม ที่โต๊ะ
ด้านหน้าสุดเป็นภูมินทร์นั่งชมอยู่ด้วยความประทับใจ มีคมยืนประกบข้างหลัง
ภูมินทร์เห็นราชาวดีร่ายรำด้วยลีลาอ่อนช้อยงดงาม แขกต่างชาติพอใจการแสดง ลุกเอาเงินทิปไปยื่นให้กับราชาวดี ภูมินทร์ตามไป ส่งซองใส่เงินที่เตรียมไว้ให้ราชาวดีบ้าง ราชาวดีส่งยิ้มหวานให้
“ขอบคุณค่ะ”
ราชาวดีรับซองเงินมา เหน็บไว้กับชายพก แล้วรำต่อ ภูมินทร์จ้องมองอย่างหลงใหลไม่ละสายตา
ห้องแต่งตัวหลังเวที ซองกระดาษถูกแกะออก เป็นธนบัตรใบละ500 หลายสิบใบ ดวงใจกับเพื่อนๆ ต่างดี๊ด๊า ช่วยกันนับ
“โอ้โห แขกคนนี้ทิปหนักจัง เงินเป็นหมื่นเลยมั้งเนี่ย”
“ทิปเยอะขนาดนี้ มันแปลกๆ อยู่นะ” ราชาวดีสงสัย
“แหม คิดมากน่ะวดี เค้าชอบใจที่พวกเรารำ เค้าก็ให้รางวัล แต่ที่จริงอาจจะถูกใจเธอคนเดียวมากกว่า เห็นมองเธอตานี้ไม่กระพริบเลย ทั้งหล่อทั้งรวย ชักอยากรู้จักแล้วสิ” ราชาวดีครุ่นคิด ดึงเงินจากเพื่อนๆ มาเก็บใส่ซองแล้วออกไป “เดี๋ยวสิ จะทำอะไรน่ะวดี วดี”
ดวงใจกับเพื่อนๆ มองตาม เสียดาย
โต๊ะหน้าเวทีที่ภูมินทร์เคยนั่ง ราชาวดีถือซองใส่เงินเข้ามามองหา แต่ภูมินทร์กลับไม่อยู่แล้ว
“หาฉันอยู่เหรอ” ราชาวดีหันกลับไปตามเสียง เห็นภูมินทร์ยืนรออยู่ ยิ้มอย่างผู้ชนะ “คิดไว้แล้วว่าเธอต้องมา ฉัน พ่อเลี้ยงภูมินทร์”
“ราชาวดีค่ะ”
“นั่งก่อนสิ”
ภูมินทร์นั่ลง คมเลื่อนเก้าอี้ให้ราชาวดีนั่ง
“ขอบคุณค่ะ เมื่อกี้คุณบอกว่ารู้ว่าฉันจะมา”
ภูมินทร์มั่นใจว่าเงินมัดใจราชาวดีได้
“เธอจะมาขอบคุณฉันไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ค่ะ” ราชาวดีมองซองเงินในมือตัวเอง ก่อนส่งคืนให้ ภูมินทร์แปลกใจ “ฉันเอาเงินมาคืนคุณ จำนวนมันมากเกินไป ฉันคงรับเอาไว้ไม่ได้หรอกค่ะ”
“แต่ฉันพอใจที่จะให้” ภูมินทร์สบตาราชาวดี “เป็นรางวัลสำหรับการร่ายรำ และความงดงามของเธอ”
ราชาวดีเข้าใจความหมายดี
“ขอบคุณนะคะสำหรับคำชม แต่ฉันขอรับรางวัลเป็นแค่เสียงปรบมือก็พอค่ะ ขอตัวนะคะ”
ราชาวดีวางเงินไว้บนโต๊ะ แล้วเดินกลับเข้าห้องแต่งตัวไป คมไม่พอใจจะตามไปจัดการ
“ผมจะพาตัวกลับมาขอโทษนายเองครับ” แต่ภูมินทร์ห้ามไว้
“ไม่ต้อง ม้าพยศอย่างนี้สิถึงจะถูกใจฉัน ทั้งท้าทายและคู่ควร”
ภูมินทร์มองตามราชาวดียิ่งประทับใจและอย่างเอาชนะ
คืนนั้นราชาวดีกลับเข้าบ้านมาแบบเหนื่อยๆ แล้วเธอก็เห็นเทปกระจายตกจากตะกร้า เลยเข้าไปจัดเรียงเทปคาสเซ็ทเพลงสำหรับการรำในตะกร้าให้เป็นระเบียบ แล้วราชาวดีก็เห็นตลับเทปอันหนึ่งไม่มีปก แตกต่างไปจากของตัวเองที่มีปกเรียบร้อย ราชาวดีหยิบขึ้นมาดู
“ไม่ใช่ของเรานี่”
ราชาวดี เห็นจดหมายฉบับเล็กๆ พับสอดไว้จ่าหน้าเขียน “ สำหรับน้องวดี ” ราชาวดีแปลกใจ รีบเปิดอ่าน
“น้องวดีครับ” เสียงกล้าดังขึ้น
อดีตก่อนหน้านี้ กล้านั่งอยู่บนเตียงเกากีต้าร์เป็นเพลงรักครั้งแรก
“พี่ทำแบบนี้อาจจะดูไม่เหมาะสม แต่อย่าโกรธพี่เลยนะครับ”
ดวงใจกับราชาวดีกำลังสอนเด็กๆ รำ กล้าเดินผ่านโต๊ะวางวิทยุแต่ไม่มีใครสนใจ
“ถ้าไม่ได้ทำอะไรซักอย่างพี่คงคลั่งตาย พี่ไม่อยากให้น้องวดีเข้าใจพี่ผิด เพราะน้องวดีเป็นคนสำคัญที่สุดของพี่ ตั้งแต่ที่พี่ได้เห็นน้องบนเวทีในวันงานสหวิช ในสายตาพี่ก็มองไม่เห็นใครอีกเลย”
กล้าหยิบตลับเทปออกมาจากกระเป๋ากางเกง ตัดสินใจ
“ทั้งหมดที่พี่รู้สึก อยู่ในเทปม้วนนี้นะครับ”
กล้ารีบแอบวางเทปของตนซ่อนไว้ในตะกร้าเทปทันที
เทปคาสเซ็ทหมุนอยู่ในวิทยุ เสียงกล้าร้องเพลงรักครั้งแรกดังขึ้น
“แอบมองไปเจอ ฉับพลันนั้นเธอก็เหม่อมองสบสายตา
เธอต้องอุรา ให้ฉันคิดรักเธอใน แรกเราพบกัน
ใจตรงกับใจ..สายตาที่บอก คิดยืนยันแอบรักเมื่อวันก่อน”
ราชาวดีนั่งอมยิ้ม เขิน
“เกิด..เป็นความรัก ความรักเมื่อแรกเจอ
จิตใจละเมอติดยังฝังตรึง ความรักมันเรียกร้อง
ทุกเวลาให้ฝันถึงวันก่อน...อยากบอกเธอ...รักครั้งแรก”
ราชาวดียิ้มอย่างมีความสุข เข้าใจความรู้สึกกล้า จึงรู้สึกหวั่นไหวในใจ ขณะนั้นประตูห้องเปิดออก คะนึงนิจหอบสัมภาระกลับมาจากขายของ ไม่ได้สนใจอะไร ราชาวดีตกใจ รีบกดปิดเทป คะนึงนิจวางของแล้วเห็นราชาวดีหน้าแดงอยู่ก็งง
“วดี เป็นอะไรรึเปล่า ทำไมหน้าแดงจัง”
ราชาวดีซ่อนจดหมายไว้ข้างหลัง
“แดงเดิงอะไรนิจ เปล่าซะหน่อย” ราชาวดีรีบเปลี่ยนเรื่อง “ทำไมวันนี้นิจกลับเร็วจัง รึว่าขายไม่ดี ?”
คะนึงนิจนั่งลงบนเตียง หมดแรง
“ก็พอได้แหละวดี ยังไงเราก็จะส่งตัวเองเรียนตามความฝันให้ได้” คะนึงนิจมองไปที่วิทยุเทป “ขอฟังเพลงแก้
เครียดหน่อยนะ”
“ไม่ได้” ราขาวดีตะครุบวิทยุเอาไว้
“ทำไมไม่ได้ล่ะ”
ราชาวดีรีบกดเทปออกมา แก้ตัว
“วิทยุมันไม่ค่อยดี เมื่อกี้เราลองเปิดดู ยังกินเทปอยู่เลย”
“ไหนว่า ตาพี่กล้านั่นซ่อมให้แล้วไง เฮอะ ที่แท้ฝีมือก็งั้นๆ”
“ทำไมนิจถึงไม่ชอบพี่กล้าล่ะ นิจคิดว่าเค้าเป็นคนไม่ดีเหรอ”
คะนึงนิจชะงัก รีบกลบเกลื่อน
“ก็...ไม่ใช่อย่างงั้น แค่เราไม่อยากไว้ใจใครง่ายๆ คนหน้าตาดี ไม่ใช่คนดีเสมอไป”
“แต่คนหน้าตาดี ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นคนชั่วไม่ใช่เหรอ การกระทำเป็นเครื่องพิสูจน์”
คะนึงนิจนึกถึงการที่กล้ามาจีบราชาวดีแล้วหมั่นไส้
“แต่คนบางคนทำดี ก็เพื่อหวังผลตอบแทนนะ เพราะฉะนั้นวดีไม่ควรหลงเชื่อใครง่ายๆ” ราชาวดีมองคะนึงนิจ แปลกใจที่เห็นคะนึงนิจใส่อารมณ์ คะนึงนิจรู้ตัว แกล้งง่วง “ฮ้าว ง่วงจัง รีบไปอาบน้ำดีกว่าจะได้นอนซะที”
คะนึงนิจรีบคว้าผ้าขนหนูจากราวผ้า แล้วเดินออกจากห้องไป
ราชาวดีมองเทปคาสเซ็ทของกล้า ลังเลใจ
ที่บ้านกระเต็นเวลานั้น กล้ากำลังท่องบทขานนาคอยู่ในห้องพระ สีหน้ากล้าดูเป็นกังวลใจ
“อุกาสะ วันทามิ ภันเต, สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต...”
กล้าเปิดหนังสือแล้วก็ชะงัก ในหนังสือสวดมนต์ กลายเป็นหน้าราชาวดี กล้าปิดหนังสือถอนใจ จ้องพระพุทธรูปในห้องสูดหายใจรวมรวบสมาธิ แล้วเริ่มใหม่
“อุกาสะ วันทามิ ภันเต, สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต, มะยา กะตัง ปุญญัง สามินา อะนุโมทิตัพพัง,”
หาญอยู่นอกห้อง มองกล้าผ่านประตูที่แง้มอยู่ แล้วตรงเข้าไปที่ประตู ประตูเปิดกว้างออก กล้ารู้สึกถึงลมที่ปะทะตัว กล้าเหลียวไปมอง แต่ไม่เห็นอะไรที่ผิดปกติ กล้าหันกลับมาท่องต่อ“สามินา กะตัง ปุญญัง มัยหัง, ทาตัพพัง สาธุ สาธุ
อะนุโมทามิ ฯ”
มุมหนึ่งใกล้ประตู จะเห็นหาญมีใบพลูเหน็บหูกำบังกายอยู่ในร่างใสๆ มองกล้าด้วยความรู้สึกสบายใจ หาญหันกลับจะเดินออก แต่พลาดไปโดนห่อธูปที่วางอยู่ข้างๆ หล่นลงมากล้าหยุดท่อง ดุทันที คิดว่าเป็นรักยม
“รัก ยม บอกแล้วว่าอย่ามาวิ่งเล่นในนี้”
หาญรีบเดินออกจากประตูไป กล้าเห็นประตูเปิดออกอีกเล็กน้อยจึงส่ายหัวเอือม
“ซนจริงๆ”
กระเต็นรออยู่หน้าบ้าน หาญปรากฎตัว เอาใบพลูที่เหน็บหูออก
“กล้าเป็นหนุ่มขึ้นมาก...”
“เสียดายถ้ากล้าได้เจอคุณพ่อ กล้าต้องดีใจมากแน่ๆ เลยค่ะ”
“พ่อไม่อยากจะทำให้กล้าต้องเสียสมาธิ การที่พ่อสึกออกมาแถมยังอยู่ในรูปลักษณ์แบบนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมาอธิบายกัน”
กระเต็นคิดได้
“ก็จริงค่ะ ถ้ากล้ารู้เรื่องไอ้ทิว กล้าไม่ยอมอยู่เฉยแน่ ถึงตอนนั้น เรื่องที่เรากลัวคงจะหนีไม่พ้น”
“อย่าเพิ่งกังวล ถ้าเราพยายามทำให้ดีที่สุด มันต้องไม่เกิดพ่อจะพักอยู่ที่ห้องเช่าของกระเต็น ช่วยดูแลกล้า จนกว่าจะถึงวันบวช”
“ขอบคุณนะคะ พ่อหาญ”
“รัก ยม”
“จ้ะ” รัก ยมปรากฎตัว
“เฝ้าบ้านนี้ไว้ให้ดี ถ้าเกิดอะไรขึ้น ต้องรีบไปบอกข้ากับกระเต็น เข้าใจมั้ย”
“จ้ะ ปู่หาญ”
“ที่สำคัญห้ามบอกกล้าว่าเจอปู่หาญเด็ดขาด”
“จ้ะ”
รักกับยมพูดจบก็ยิ้มแล้วหายวับไป
วันต่อมาที่แผงพระ ท่าพระจันทร์ จุกทวนคำพูดชี้นุกูล
อยากได้พระขุนแผน” จุกชี้ป๋อง โป้ง เปี๊ยก “ส่วนพวกเธอขออะไรก็ได้ที่เป็นมหาอุด”
นุกูล ป๋อง โป้ง เปี๊ยก พยักหน้ารับพร้อมกัน จุกแกล้งทำเป็นเครียด มองเหมือนจะไม่ให้แต่ดีดนิ้วเปาะ
“เซียนจุก ยินดีให้บริการหลานๆ อยู่แล้ว” นุกูล ป๋อง โป้ง เปี๊ยก ยิ้มชอบใจ จุกหยิบพระขุนแผนให้นุกูล “นี่เลยพระขุนแผนสุพรรณองค์นี้ใครได้ไว้บูชา รับรองสาวรักสาวหลง”
นุกูลดีใจ ยิ้มใหญ่ ป๋องแย่งไปดูบ้าง
“แล้วของพวกผมล่ะครับน้าจุก” เปี๊ยกถาม
“ใจร้อนจริงๆ เอานี่ ตะกรุดไม้ไผ่ตัน”
“แค่ไม้ไผ่ธรรมดาๆ เนี่ยนะน้า”
“เฮ้ย ธรรมดาอะไร ระดับเซียนจุกแล้ว ธรรมดาไม่มี มีแต่ไม่ธรรมดา “
“แล้วมันไม่ธรรมดายังไงล่ะน้า”
จุกทำเรียกเด็กๆ เข้ามาสุมหัว แล้วพูดกระซิบ
“เคยได้ยินชื่อเสือหาญไหม เสือในตำนานน่ะ” พวกเด็กๆ พยักหน้ารับ
“เสือหาญ ก็หลวงปู่หาญที่เป็นปู่ของพี่กล้าใช่ไหมน้า”
“ฉันนี่แหละ ลูกศิษย์วัดรุ่นแรกของหลวงพ่อหาญ”
ป๋องกระซิบกับเปี๊ยก
“เด็กวัดนี่เค้านับรุ่นกันด้วยเหรอวะ”
เปี๊ยกกระซิบกลับ
“นั่นสิ”
“น้าจุก แล้วมันเกี่ยวอะไรกับของที่น้าให้พวกผมดูกันล่ะครับ” นุกูลถามอย่างแปลกใจ
“เอ๊า...ก็ตะกรุดที่พวกเธอถืออยู่ในมือนั่นน่ะ หลวงพ่อหาญปลุกเสกกับมือเลยเชียวนะ ท่านเสกแล้วก็มอบให้น้าเก็บเอาไว้ คิดแล้วก็ยังขนลุกไม่หาย ตอนปลุกเสกตะกรุดงี้เรืองแสง วาบๆ ฟ้าฝนตกสามวันสามคืนตลอดพิธี คิดดูละกันว่ามันจะขลังแค่ไหน”
นุกูล ป๋อง โป้ง เปี๊ยก มองตะกรุดไม้ไผ่ตันในมือจุก ตาโต
“งั้นฉันขอเหมาตะกรุดพวกนี้ได้ไหม”
เสียงหาญดังขึ้น จุกชะงัก เสียงคุ้นหู แล้วค่อยๆ หันมองไปตามเสียงพอเห็นหาญเดินเข้ามา
จุกอึ้งที่เป็นหาญ แถมยังหนุ่มอีก จึงตกใจอ้าปากค้าง พูดไม่ออก นุกูล ป๋อง โป้ง เปี๊ยก มองท่าทางของจุกด้วยความแปลกใจ
“พวกเธอยังเด็กอยู่แท้ๆ ทำไมไม่ตั้งใจร่ำเรียน ให้สมกับพ่อแม่ออกเงินส่งเสียเลี้ยงดู มาสนใจอะไรกับของ
พวกนี้”
หาญต่อว่าพวกเด็กๆ
“อ้าวพี่ ถามจริง พี่มายุ่งอะไรด้วยวะ”
จุกตะกุกตะกักห้าม
“อะ อะ ไอ้ ป๋อง ยะ อย่า ไปเถียง สิ วะ”
หาญยังยืนมองจุกนิ่ง สายตาตำหนิ จุกรู้ตัวรีบเก็บแผงทันที พลางบอกเด็กๆ
“ไม่ขายแล้วๆ เป็นเด็กเป็นเล็กรีบพากันกลับไปอ่านหนังสือที่บ้านไป”
“อ้าวน้า ก็ไหนน้า...”
“ไปเหอะน่า ไป”
นุกูล ป๋อง โป้ง เปี๊ยก จำต้องออกไปกันแบบงงๆ
จุกยังตื่นเต้นไม่หายกับการปรากฎตัวของหาญ
“มหัศจรรย์ๆ ที่สุด ไม่นึกเลยว่า พิธีอมฤตเทวาจะมีจริง หลวงพ่อ เอ๊ย น้าเสือหาญกลับมาหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวเหมือนเดิม ถ้าไม่เห็นกับตา ฉันคงไม่เชื่อ”
“ถ้าข้าไม่เห็นกับตา ก็คงไม่เชื่อเหมือนกันว่าเอ็งจะเป็นได้ถึงเพียงนี้” หาญบอก จุกอ้อมแอ้มเถียง
“โธ่น้า ฉันไม่เคยย้อมแมว เอาพระเก๊ ของเก๊มาขายเลยนะ ตะกรุดไม้ไผ่ตันนั่น น้าก็เสกให้ฉันไว้จริงๆ นี่นา”
“แล้วเอ็งเพิ่มเรื่องอภินิหารพวกนั้นทำไม เรื่องมันเกินจริงทั้งนั้น เอ็งทำไปเพราะความโลภ โลภที่อยากจะได้เงินของคนอื่น” จุกจ๋อย หาญดุต่อ “ข้าไม่อยากให้ผู้คนต้องมาลุ่มหลงกับเรื่องพวกนี้ มันไม่ใช่ทางออกของการพ้นทุกข์เลยซักนิด”
“เออ แล้วตกลงน้าเจอเจ้ากล้ารึยัง มันต้องทึ่งมากแน่ๆ”
“คนที่กล้าควรยึดถือเป็นตัวอย่าง ควรเป็นเพชรพ่อของมันไม่ใช่เสืออย่างข้า ที่ข้ามาหาเอ็งก้เพื่อกำชับเรื่องนี้ อย่าบอกให้กล้ารู้ว่าข้ากลับมา ปราบพวกไอ้ทิวได้ ข้าจะกลับไปบวช ไม่มาวุ่นวายกับทางโลกอีก”
“สาธุ ฉันอนุโมทนาล่วงหน้า” ทันใดเสียงผู้คนร้องกรี๊ด วี้ดว้าย ดังเข้ามา หาญกับจุกมองไป เห็นชาวบ้านวิ่งกันมา “เฮ้ย มีอะไรกันน่ะ”
“เด็กช่างกลมันยกพวกตีกันอีกแล้ว”
หาญวิ่งสวนผู้คนมา เห็นเบิ้มกับเพื่อนรุมตีนุกูล ป๋อง โป้ง เปี๊ยกอยู่ พวกนุกูลไม่ทันตั้งตัวพยายามเตะต่อยสู้คืนด้วยมือเปล่า แต่พวกเบิ้มเหนือกว่าเพราะมัทั้งมีด ท่อนเหล็ก ไม้ทีบ้าง ไม้หน้าสาม นุกูลสู้เบิ้มไม่ไหววิ่งหนีไปในซอย เบิ้มตาม หาญว่าคาถานะจังงัง วาดฝ่ามือไป ทั้งสองฝ่ายชะงักค้าง แล้ววิ่งตามเบิ้มไป
นุกูลวิ่งเข้าซอยมาเจอซอยตัน นุกูลจำต้องหันมาเผชิญหน้ากับเบิ้ม
“หนีไม่พ้นหรอก แกต้องชดใช้ที่ทำให้ไอ้โจ๊กถูกตำรวจจับ”
“ไอ้โจ๊กมันมาหาเรื่องพวกฉันก่อน แกก็เหมือนกัน ถ้าแกทำร้ายฉัน แกก็ต้องติดคุก”
“กูไม่กลัว”
เบิ้มกำลังจะง้างมีดฟัน จู่ๆ หาญก็เคลื่อนตัวอย่างเร็วมาขวางไว้
“หยุด ทำไมพวกเอ็งต้องทำร้ายคนไม่มีทางสู้ด้วย”
เบิ้มชะงักนิดนึง แล้วด่า
“ถอยไป มึงไม่เกี่ยว”
“แต่สิ่งที่เอ็งทำอยู่มันไม่ถูกต้อง”
“ย้าก” เบิ้มโมโหฟันมีดไปที่หาญ
หาญยืนนิ่ง ปากหาญว่าคาถาตีไม่ถูก แทงไม่เข้า เบิ้มฟันมีดเข้าไปที่ตัวหาญเต็มๆ แต่ตัวหาญเรืองแสงวาบขึ้น เนื้อตัวเหมือนมีอะไรลื่นๆ เคลือบอยู่ เบิ้มฟันแล้ว ลื่นพรวดออก ฟันทีไรก็เหไปทุกครั้ง เบิ้มเซ มองหาญงงๆ
“หยุดซะเดี๋ยวนี้ ข้าไม่อยากทำร้ายพวกเอ็ง”
นุกูลอึ้งกับสิ่งที่เห็น จุกวิ่งเข้ามาดึงตัวออกไปหลบมุมอยู่ข้างๆ เบิ้มกำมีดแน่น โมโห ไม่สนใจคำพูดหาญ ปรี่เข้าแทงหาญเต็มๆ ที่ท้อง กะเข้าแน่ๆ แต่มีดลื่น ไม่เข้าตัวหาญ เบิ้มเซไป
นุกูลมองหาญตาโต ตะลึง
เบิ้มไม่ยอมหยุดตวัดมีดฟันซ้ำเข้าอีก ควาวนี้หาญกำมือขึ้นเป่าคาถา แล้วสะบัด มีคลื่นพลังงานปัดมีดร่วงลงจากมือเบิ้ม เบิ้มอึ้ง งง นุกูลมองหาญตาไม่กระพริบ
ขณะนั้นกลุ่มสหวิชและไทกนกที่โดนคาถานะจังงัง มนต์เริ่มคลาย แต่ละคนงงตัวเอง เบิ้มวิ่งออกมา หาญตาม“หยุด”
เบิ้มหยุดเหมือนโดนสะกด เกรงบารมี
“มหาอำนาจ” จุกบอก
“ตอบข้ามา พวกเอ็งสู้กันทำไม?” หาญถาม
“เพื่อศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย สหวิชมันหยามหน้าไทกนก พวกข้าต้องเอาคืน” เบิ้มบอก
“หยามหน้ายังไง มันย่ำยีลูกเมียเอ็ง เหยียดหยามพ่อแม่ ปล้นชิง ทำร้ายเอ็งรึ”
“เปล่า”
“เด็กสมัยเนี้ย แค่เหยียบตีนกันมันก็ตีกันปางตายแล้วพี่” จุกตะโกนบอก
“งั้นพวกเอ็งก็ไม่รู้จักหรอกว่าชายชาตรีที่แท้เป็นยังไง” พวกเบิ้มมองหน้ากัน งงๆ “ศักดิ์ศรีของลูกผู้ชาย คือปกป้องคนที่อ่อนแอกว่าและยินยอมเสียสละชีวิตเพื่อรักษาความถูกต้อง แบบนี้ซิถึงจะมีทั้งเกียรติทั้งศักดิ์ศรี ต่างกับพวกเอ็งที่เข่นฆ่ากันด้วยเรื่องไร้สาระ อวดศักดากันเหมือนหมาข้างถนน ที่เอ็งทำไม่ได้เรียกว่าความกล้าหาญ แต่มันแสดงความเป็นสัตว์ป่า”
จุกกับนุกูล ป๋อง โป้ง เปี๊ยก ฟังอย่างตั้งใจ
“ด่าเราด้วยนี่หว่า”
“กลับไป ตั้งหน้าตั้งตาเรียนตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ได้แล้ว”
หาญวาดมือคลายมนต์ เบิ้มกับพวกอึ้ง ถูกด่าหน้าชา แค้น
“ไอ้ปากเสีย กูจะสั่งสอนมึง” เบิ้มวิ่งไปล้วงระเบิดจากเพื่อนคนหนึ่งที่สะพายย่ามอยู่ “พวกเราหลบโว้ย”
แล้วเบิ้มก็ขว้างระเบิดไปที่หาญที่วิ่งตามมา ระเบิดดังตูมที่ตัวหาญ พวกเปี๊ยกกับเบิ้ม หมอบ จุกกับนุกูลอยู่ไกล กระโดดหมอบเหมือนกัน
ควันจางลง หาญยังยืนอยู่ ระเบิดไม่ระคายผิว ทุกคนตะลึง
“เป็นไปได้ไง”
“นี่ละ คงกระพันชาตรีของแท้ ไอ้หนู” จุกบอกกับนุกูล เบิ้มกับเพื่อนหนีกันกระจาย
จุกวิ่งไปหาหาญ พวกนุกูลยังอ้าปากค้าง “ยอดไปเลยพี่”
ในถ้ำวังพยัคฆ์ ขุนโชติร่ายคาถา กรีดฝ่ามือตัวเอง ใช้เลือดป้ายที่เปลือกตาแล้วหลับตาทำสมาธิ
โรงตีดาบในอดีต เปลวไฟในเตาเผากำลังลุกโชน ขุนโชติคีบเหล็กร้อนสีแดงฉานออกมาตีขึ้นรูป เหล็กร้อนที่ถูกตีเป็นดาบสองเล่มถูกจุ่มลงในอ่างน้ำ ควันโขมง
ขุนโชติยังนั่งอยู่ที่เดิม เพ่งกสิณหาอาวุธตัวเอง โดยมีเสือดำกับเสือไทนั่งคอยอยู่เงียบๆ
ดาบทั้งสองเล่มในมือขุนโชติกวัดแกว่งไปมา ดาบถูกตีจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว ขุนโชติบริกรรมคาถา แล้วเป่ามนต์ลงบนดาบคู่ กรีดเลือดที่แขนตัวเอง ให้ไหลลงบนดาบทั้งสองเล่ม เลือดขุนโชติไหลไปรวมกันอยู่ในอักขระที่สลักไว้บนดาบ อักขระกลายเป็นสีเลือด เรืองแสง
ขุนโชติลืมตาขึ้น เสือดำกับเสือไทรีบมาหา
“ข้ารู้แล้วว่าอาวุธคู่กายของพวกเราอยู่ที่ใด”
ภายในพิพิธภัณฑ์ทุ่งพระกาฬ ขุนโชติ เสือดำและเสือไท ปรากฎตัวขึ้นจากการย่นระยะทาง ทั้งหมดมองรอบๆ พิพิธภัณฑ์
“ที่นี่รึ”
“ใช่แล้ว”
ภายในห้องจัดแสดงของพิพิธภัณฑ์ เป็นการแสดงพวกวิถีชีวิตของคนพื้นบ้าน มีพวกเสื้อผ้า อุปกรณ์ประกอบการดำเนินชีวิต พระพุทธรูป รูปปั้น ที่ดาบประจุพรายในมือตำรวจถูกชักออกจากฝัก จะเห็นอักขระสีเลือดเด่นชัด
ร.ต.อ.กำลังสอบปากคำเจ้าหน้าที่ 2 คน
“ดาบนี้เหรอ ที่ว่าหายไปเล่มนึง แล้วคุณรู้มั้ยว่ามันหายไปตอนไหน”
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งท่าทางมีพิรุธ
“ผมก็ไม่ทราบครับ เมื่อวันก่อนยังเห็นอยู่เลย มารู้ว่าหายก็ตอนที่ท่าน ผอ.สั่งให้เช็ควัตถุโบราณทั้งหมด
เย็นนี้เองครับ”
ตำรวจจ้องเจ้าหน้าที่ด้วยความสงสัย
“ดาบโบราณล้ำค่าแบบนี้ ในตลาดมืดคงราคาหลายแสนสินะ” เจ้าหน้าที่ทั้งสองได้แต่หลบตา ไม่ตอบอะไร
“สงสารก็แต่ไอ้โจรที่เอาไป ของเก่าแก่เป็นร้อยปีอย่างนี้ วิญญาณเจ้าของเขาคงห่วงน่าดู เอาล่ะ ผมจะไปคุยกับท่านผอ.ต่อ” ตำรวจส่งดาบคืนให้ “ห้องนี้ก็อย่าเพิ่งเปิดให้ใครเข้าชมจนกว่าผมจะอนุญาต”
ตำรวจเดินออกไป เจ้าหน้าที่มองตาม
“เอาไงดีวะ เกิดถูกจับได้ขึ้นมาจะทำยังไง”
เจ้าที่บอกกับเพื่อนอย่างร้อนตัว
เจ้าที่รีบหลบมาที่มุมโทรศัพท์ แล้วรีบหมุนโทรศัพท์หาใครบางคน
“ฮัลโหลเสี่ยเหรอครับ พวกผมคงต้องเว้นช่วงส่งของให้เสี่ยไปก่อน ตำรวจเพิ่งกลับไปเมื่อกี้เอง ผมไม่อยากเสี่ยง”
ทันใดด้านหลังเจ้าหน้าที่ทั้งสอง ขุนโชตินำเสือดำกับเสือไทโผล่มา เจ้าหน้าที่หันมาเห็นพอดี
“พวกแกเป็นใครวะ เข้ามาได้ยังไง”
“ข้าคือขุนโชติ แห่งทุ่งพระกาฬ ข้ามาเอาดาบประจุพรายของข้าคืน”
“ฮ่ะๆๆ ถ้าแกเป็นขุนโชติ ข้าก็ขุนแผนละวะ ไปเลย ออกไปข้างนอก ที่นี่ปิดแล้ว”
เจ้าหน้าที่ดึงกระบองที่เอวออกมาดันพุงขุนโชติ ขุนโชติจับ
“ข้าขอถามอีกคำ ดาบของข้าอยู่ไหน”
“ขวานของข้า”
“หน้าไม้ของข้าด้วย”
เจ้าหน้าที่มองขุนโชติ เสือดำ เสือไทอย่างตื่นๆ คิดว่าน่าจะเป็นผี
“ปล่อยนะโว้ย เฮ้ยไอ้ชิด ยืนทื่อทำไม ช่วยจัดการมันซิวะ”
“จัดการยังไง”
“ไปตามตำรวจมา”
“แต่นี่มันผีชัดๆ มันมาทวงอาวุธของมัน”
“ผีบ้าบออะไร ฉันไม่เชื่อ ปล่อย”
ขุนโชติปล่อยกระบอง เจ้าหน้าที่เงื้อฟาด ขุนโชติว่าคาถามหาอุต กระบองถูกเนื้อหักเป็นสองท่อน เจ้าหน้าที่ถึงกลับผงะ เสือไทพุ่งเข้าหักคอเจ้าหน้าที่ตาเหลือก
“นี่คือโทษที่เอ็งบังอาจทำร้ายพี่โชติ”
เจ้าหน้าที่อีกคนตะลึงจะหนี เสือดำคว้าคอไว้
“ช่วยด้วยโจรปล้น”
“ข้าไม่ได้มาปล้น ข้ามาเอาของของข้าคืน”
เจ้าหน้าที่พาขุนโชติ เสือดำและเสือไทเข้ามาในห้องจัดแสดง ขุนโชติเห็นภาพวาดหลวงณรงค์ฤทธิโยธาอยู่ที่ผนังห้องมีดอกไม้สักการะ
“ไอ้หลวงณรงค์! เหตุใดจึงมีภาพไอ้หลวงณรงค์อยู่ที่นี่” เจ้าหน้าที่กลัวตายจนฉี่ราด “ที่ข้าถามไม่ได้ยินรึ”
“ค...คือห้องนี้เป็นห้องรวบรวมประวัติของท่านหลวงณรงค์ที่อดีตทำคุณความดีให้จังหวัด ด้วยการกำจัดชุมโจรทุ่งพระกาฬจนหมดสิ้น”
“แล้วไอ้หลวงณรงค์มันอยู่ที่ใด พาข้าไปหามัน”
เจ้าหน้าที่ยังไม่ทันตอบ เสือไทไปที่ตู้เก็บอาวุธ ตะโกนออกมา
“อยู่ที่นี่จริงๆ”
เสือไทถีบกระจกแตก คว้าเอาขวานออกมา เสือดำคว้าหน้าไม้ ขุนโชติตามไปดูดาบ ขุนโชติต่อยกระจกหยิบดาบออกมา
“ดาบของข้า ใยเหลือเล่มเดียวอีกเล่มหนึ่งอยู่ที่ใด”
“ห...หายไปแล้วครับ”
ขุนโชติโมโหที่ดาบเหลือเพียงเล่มเดียว ตวัดปลายดาบจ่อคอหอยเจ้าหน้าที่
“หายไปได้ยังไง”
เจ้าหน้าที่ถึงกับเข่าทรุด ยกมือไหว้ท่วมหัวลนลาน
“ผมผิดไปแล้ว พวกผมขโมยดาบไปขาย ท่านอโหสิให้ผมเถอะครับ อย่ามาหลอกมาหลอนกันเลย ผมจะทำบุญอุทิศไปให้”
“ดาบของข้าเอ็งยังกล้าเอาไปขายกิน”
ขุนโชติฟันร่างเจ้าหน้าที่ด้วยความโมโห จนร่างขาดเป็นสองท่อน เสือดำห้ามไม่ทัน
“พี่ฆ่ามันเสียแล้ว เราจักรู้ได้อย่างไรว่าหลวงณรงค์มันอยู่ที่ใด”
“มันคงอยู่ที่พระนครนั่นแหละวะ เราบุกไปกุดหัวมันคืนนี้กันเลยเถิดพี่”
ขุนโชติจ้องภาพวาดของหลวงณรงค์ด้วยความโกรธแค้น
“ข้าจักเอาเลือดหัวเอ็ง มาล้างตีนข้า ไอ้หลวงณรงค์”
ขุนโชติตวัดดาบฟันภาพวาดหลวงณรงค์จนขาดเป็นเสี่ยง
เสือสั่งฟ้า 2 พยัคฆ์ผยอง ตอนที่ 2 (ต่อ)
วันต่อมาที่บ้านภูมินทร์ในกรุงเทพฯ คมถูกภูมินทร์ต่อยจนหน้าหัน
“บัดซบ งานง่ายๆ ก็ทำไม่ได้”
“ผมกลับไปที่อพาร์ทเมนท์นั่น แต่คุณนิจ หายไปแล้ว”
“เรอะ คราวก่อนก็เจอคนมีวิชามาขวาง จนต้องหนีหัวหดกลับมา คราวนี้น้องฉันกลับหายไปซะเฉยๆ ตกลงฉันจะ จ้างสวะอย่างแกไว้ทำซากอะไรวะ”
เสี่ยไพบูลย์เดินเป๋ เข้ามาพอดี
“เปล่าประโยชน์น่ะพ่อเลี้ยง น้องสาวพ่อเลี้ยงไม่ได้กลับไปที่อพาร์ทเมนท์นั่นหลายวันแล้ว” เสี่ยไพบูลย์เหลือบมองคม เยาะเย้ย “หึหึ แต่คนของผมก็สืบหาที่อยู่ใหม่ของคุณนิจมาจนได้”
เสี่ยไพบูลย์ส่งกระดาษพับในมือให้ ภูมินทร์รับมาเปิดดูเป็นแผนที่บ้านครูเริง ภูมินทร์หันมองคมที่ไม่ได้เรื่อง
คมหลบตา เจ็บใจที่ถูกเสี่ยไพบูลย์หักหน้า
“ผมไม่รู้จะตอบแทนเสี่ยยังไงดี ที่เป็นธุระหาบ้านหลังนี้ให้ แล้วยังช่วยสืบเรื่องยัยนิจให้อีก”
“แหม น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า จะต้องตอบทงตอบแทนอะไรกันว่าแต่พ่อเลี้ยงจะให้ผมช่วยพาน้องสาวกลับมาให้เลยมั้ย”
“ไม่เป็นไรครับ ผมรบกวนเสี่ยมากแล้ว คงถึงเวลาที่ผมต้องจัดการกับน้องสาวคนนี้ขั้นเด็ดขาดเสียที” ภูมินทร์ส่งแผนที่ต่อให้กับคม “แกรู้ใช่มั้ย ว่าต้องทำยังไง”
คมรีบรับแผนที่มา
“ครับนาย ผมจะไม่ให้พลาดอีก”
คมรีบออกไป ภูมิทร์มองตามไป เห็นลูกน้องเสี่ยไพบูลย์ถือกล่องไม้ลักษณะยาวๆ อยู่ด้านหลังจึงสงสัย
“เสี่ยคงไม่ได้มาหาผมแค่เรื่องนี้”
เสี่ยไพบูลย์ชอบใจที่ภูมินทร์รู้ทัน
“ผมเป็นพ่อค้าก็ต้องขายสินค้าจริงมั้ย”
ลูกน้องเอากล่องไม้มาวางตรงหน้า ภูมินทร์เปิดดูเห็นเป็นดาบไทยโบราณที่ด้ามและฝักดาบแกะลวดลายสวยงาม พอชักดาบออกจากฝัก จะเห็นอักขระสีแดงเลือดเป็นแนวยาวตลอดเล่ม ภูมินทร์เห็นแล้วอยากได้ทันที
“นี่คือดาบประจุพราย ถูกตีขึ้นในสมัยพระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ห้า เป็นของขุนโจรนามกระเดื่องในยุคนั้น ทำจากเหล็กน้ำพี้บริสุทธิ์ทั้งเล่ม ผมรับรองว่าหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว”
“งาม งามแท้ๆ เสี่ยไปได้มาจากไหน”
“ฮ่าๆๆๆความลับครับ เป็นความสามารถเฉพาะตัวน่ะ พ่อเลี้ยง” ภูมินทร์รู้ทันทีว่าของได้มาอย่างไม่ซื่อ “ที่จริงดาบนี้เป็นดาบคู่ เสียดายที่ตอนนี้เอาออกมาได้แค่เล่มเดียว”
“ถึงเล่มเดียวผมก็ซื้อ”
เสี่ยไพบูลย์พอใจที่ปล่อยของได้อีก ภูมินทร์จ้องมองดาบด้วยความชื่นชม
ที่สหวิช งามตาฉีกจดหมายของนุกูลทิ้ง รู้สึกทั้งเสียหน้าทั้งโมโห
“พี่กล้านะพี่กล้า”
“แล้วแกจะเอายังไงต่อไปล่ะงาม ในเมื่อพี่กล้าเค้าไม่ได้จีบเธอ แต่เขาเป็นพ่อสื่อให้นายนุกูล” นงคราญถามเพื่อน
“ฉันประกาศให้ทั้งโรงเรียนรู้ไปแล้วว่าพี่กล้าจีบฉัน ยังไงเค้าก็ต้องเป็นของฉัน คอยดู”
ที่มุมหนึ่ง นุกูลเดินกล้าๆ กลัวๆ เข้ามาหางามตา
“งะ งามตา อะ อ่าน จดหมายของเรา...รึยัง”
งามตาลุกขึ้น เดินปรี่ไปที่นุกูล
“ทำไมฉันต้องอ่าน นายสำคัญอะไรนักหนา คนอย่างนายมันก็แค่พวกไอ้จ๋อย ไอ้จืด ที่คอยเดินตามลูกพี่ คิดได้ยังไงว่าฉันจะลดตัวลงไปควงด้วย ฮะ” นุกูลถูกด่าเป็นชุดก็อึ้งพูดไม่ออก นงคราญหยิบจดหมายที่พื้นให้งามตา งามตายัดใส่มือนุกูล “เอาคืนไป”
นุกูลมองจดหมายที่ถูกฉีก น้ำตาซึม
“งาม”
“แล้วก็อย่าสะเออะมายุ่งกับฉันอีก เพราะต่อไปนี้ ฉันจะคบกับพี่กล้า จำไว้”
“ไม่จริง เป็นไปไม่ได้”
“ทำไม ทำไมจะเป็นไปไม่ได้”
“ก็พี่กล้ามีแฟนแล้วน่ะสิ”
“อะไรนะ”
งามตาเครียด
เย็นวันนั้นที่บ้านราชาวดี ราชาวดีนั่งซ่อมชุดที่ใส่รำอยู่เงียบๆ ที่หน้าบ้านงามตากดกริ่งรัว ราชาวดีได้ยินเสียงกริ่งที่ดังรัว ก็รู้สึกแปลกใจ รีบเดินไปที่หน้ารั้วบ้านทันที
พอมาถึงรั้วบ้าน ราชาวดีเห็นพวกงามตาก็แปลกใจ เปิดประตูรั้ว งามตาพาพวกเดินรุกเข้าบ้านทันที ราชาวดีไม่ทันตั้งตัว ระแวงถอยหลังหนี
“งามตา พวกเธอมีอะไร”
งามตายิ้มโหด
“มีสิ มีมากซะด้วย”
งามตาพูดจบก็ตบราชาวดีทันทีฉาดใหญ่ ราชาวดีหน้าหัน จับหน้าเจ็บ แต่ยังข่มใจ
“เธอทำแบบนี้ทำไม ฉันไปทำอะไรให้เธอ”
งามตาไม่สน ส่งซิกให้เพื่อน เพียงพิศ จิตราปรี่เข้าไปล็อคแขนทั้งสองข้างของราชาวดี ราชาวดีดิ้น “ฉันบอกแล้วใช่มั้ย ว่าอย่ายุ่งกับของของฉัน”
“ของอะไรของเธอ ฉันไม่รู้เรื่อง ปล่อย”
งามตาตบเปรี้ยง
คะนึงนิจนั่งวาดรูปอยู่ที่ห้องวาดรูปได้ยินเสียงเอะอะก็เดินไปที่หน้าต่างจึงเห็นงามตากับพวกกำลังรุมตบราชาวดีอย่างสะใจ คะนึงนิจรีบวิ่งออกไปทันที
ราชาวดีถูกผลักลงพื้น สภาพสะบักสะบอม แก้มแดงเพราะถูกตบ
“จำไว้ ห้ามยุ่งกับพี่กล้าของฉันอีก”
“พวกเธอทำเกินไปแล้ว แค่ผู้ชายคนเดียวทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ เราเป็นเพื่อนกันนะ”
“ไม่ต้องมาทำเป็นคนดี เธอมันชอบแทงข้างหลังฉันตลอดเรื่องอื่นไม่ว่า แต่เรื่องพี่กล้า ฉันไม่ยอม สาบานเดี๋ยวนี้ว่าจะเลิกยุ่งกับพี่กล้า” ราชาวดีลุกขึ้น
“ไม่ ฉันไม่สาบานเพราะฉันไม่เคยทำอย่างที่เธอกล่าวหา แล้วพวกเธอก็ออกไปจากบ้านฉันได้แล้ว”
“ได้ ถ้าอยากลอง” งามตาจะตบราชาวดีหลบแล้วผลัก “พวกเรา จัดการ”
พวกงามตาปรี่เข้าหาราชาวดี แต่แล้วจู่ๆ น้ำก็ถูกสาดโครมเข้ามาที่งามตาและพวก งามตากับพวกอึ้ง ดมน้ำที่ดำมาก คะนึงนิจยืนถือถังน้ำอยู่ โมโหมาก
“นังบ้า แกๆ เอาน้ำอะไรมาสาดฉัน”
คะนึงนิจยกถังจะปาขู่
“พวกน้ำเน่าอย่างเธอ มันก็เหมาะกับน้ำถูกพื้นในถังนี่แล้วล่ะ”
“แก” งามตาจะเข้าไปเล่นงานคะนึงนิจ คะนึงนิจคว้าจอบที่พิงไว้ขึ้นมา
“ทำไม รึว่าอยากจะโดนของแข็ง ฮะ อย่าคิดนะว่าฉันไม่กล้า”
งามตาอึ้งๆ กลัวๆ
“ฝากไว้ก่อนเถอะ”
งามตากับพวกรีบวิ่งหนี ชนกับครูเริงที่เดินเข้ามา งามตาไม่ขอโทษ ครูเริงมองตามงงๆ แต่พอหันกลับมาเห็นสภาพราชาวดีก็ตกใจมากจึงรีบวิ่งเข้าไปช่วยคะนึงนิจประคองราชาวดี
“วดีเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงเป็นแบบนี้”
ราชาวดีไม่ตอบ กลัวกล้าเดือดร้อน คะนึงนิจทนไม่ไหว
“เรื่องนี้ครูถามพี่กล้าเอาเองจะดีกว่าค่ะ”
“นายกล้า เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับนายกล้าด้วย”
ครูเริงเครียด ต้องการคำตอบ
ขณะนั้นกล้าเปิดประตูรั้ว เดินเข้าไป กล้าเดินเข้าบ้านพลางมองหาราชาวดีแล้วก็เห็นราชาวดีอยู่ที่มุมหนึ่ง
“น้องวดี”
กล้าเห็นราชาวดีหันกลับมามองตนก็รีบยิ้มตอบ แต่พอก้าวเท้าเดินเข้าไปหาราชาวดีกลับเดินหนีไป กล้างง จะตาม แต่ครูเริงโผล่มาขวางไว้
“เธอมาที่นี่ทำไม”
“ผมเอ่อ ผมก็จะมาเรียนวาดรูปไงครับครู”
“นี่เธอยังกล้าพูดแบบนี้อีกเหรอ” กล้างง “เธอดูถูกศิลปะ ฉันไม่ต้องการมีลูกศิษย์จอมปลอมแบบเธอ
กลับไปได้แล้ว แล้วไม่ต้องมาเหยียบที่นี่อีก”
กล้าอึ้งทำไมเป็นแบบนี้ไปได้
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับ”
คะนึงนิจเข้ามากั้นไว้ ไม่พอใจกล้า
“แทนที่จะเสียเวลาอยู่ที่นี่ พี่น่าจะไปปรับความเข้าใจกับแฟนพี่มากกว่านะ”
“แฟนพี่ ใครกัน พี่ไม่มี”
“พอเถอะ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เชิญเธอออกไปได้”
ครูเริงตัดบท กล้างงมาก แต่ความเข้มของครูเริงทำให้ต้องออกไป
ราชาวดีมาแอบมองกล้าทางหน้าต่าง กล้าเดินออกไป คะนึงเดินเข้ามาหาราชาวดี
“วดีชอบนายคนนี้เหรอ”
ราชาวดีไม่กล้าบอกความจริงกับเพื่อน
“ไม่ใช่นะนิจ เราไม่ได้คิดอะไรกับพี่กล้า”
คะนึงนิจโกรธที่กล้าเจ้าชู้
“งั้นก็ดีแล้วละ คนเจ้าชู้แบบนี้ ยุ่งด้วยมีแต่จะเจ็บตัวเจ็บใจไม่คุ้มหรอก” ราชาวดีฝืนยิ้ม “จ้ะ เราเชื่อนิจ”
กล้าเดินกลับออกมายังรถมอเตอร์ไซด์ที่จอดอยู่
“แฟนเหรอ ใครวะ หรือว่า...”
ที่อู่จ่าลุย จ่าลุยกำลังตรวจตรารถลูกค้าและสั่งงานช่าง กล้าขี่มอเตอร์ไซด์เข้ามา
“อ้าวกล้า ทำไมมานี่ได้ละ”
“อ๋อ พอดีมาธุระแถวนี้น่ะครับ เลยแวะมาดูเผื่อมีปัญหาอะไร”
“โอย ไม่มีๆ กล้าไปเตรียมตัวบวชให้สบายใจเถอะ”
กล้ามองหานุกูล แต่ไม่เห็นตัว
“ไม่เป็นไรครับ ไหนไหนมาแล้ว รอเจอกับนุดีกว่า”
“ไอ้นุมันบอกว่าวันนี้มันต้องอยู่ฝึกงานค่ำหน่อย”
“เอะ แต่ผมไปที่สหวิชก็ไม่เจอ”
“หะ นี่มันโกหกอีกแล้วเหรอ ไอ้ลูกเวร หนอย คงไปสำมะเลเทเมากับเพื่อนเลวๆละซิ”
กล้ารีบแก้ตัวให้นุกูล
“อ๋อ รู้แล้ว ผมไปหาบนตึก แต่นุมันฝึกอยู่ในโรงซ่อมเลยไม่เจอกัน ไม่เป็นไรครับ แล้วผมค่อยมาใหม่” กล้าไหว้จะออกไป นึกแผนอะไรได้ “ผมขอใช้โทรศัพท์หน่อยได้มั้ยครับ”
“เอาสิ ตามสบาย”
กล้าโทรศัพท์หากหระเต็นที่บ้าน
“อะไรกัน ก็ลาบวชแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมยังต้องทำงานอีก”
“พอดีเป็นรถลูกค้าประจำของผมน่ะครับ รถที่ซ่อมไปมันมีปัญหา ผมคงกลับดึกหน่อย”
“เดี๋ยวซิกล้า ฮัลโหลๆ”
กระเต็นต้องวางหู ไม่ค่อยวางใจ
ที่ข้างรั้วบ้านราชาวดี กล้าขี่มอเตอร์ไซด์เข้ามาจอดแล้วดับเครื่อง กล้ามองไปที่ห้องราชาวดีเห็นว่าปิดไฟมืด
กล้าจึงตัดสินใจปีนเข้าบ้าน ไปที่หน้าประตู สีหน้าเครียด ลังเล เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ในอดีต
กล้ามองเพชรพนมมือแล้วเป่าไปที่กุญแจมือที่ใส่ตัวเองไว้ กุญแจร่วงลง
“พ่อ พ่อทำได้ยังไง”
“นี่เป็นคาถาสะเดาะกุญแจ”
“น่าสนุกจัง สอนผมบ้างซิครับ”
“นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นสนุก ถ้าพ่อสอนให้กล้าต้องรับปากว่าจะใช้ต่อเมื่อจำเป็น และไม่ใช้ไปในทางชั่วเด็ดขาด”
“ผมสัญญาครับ”
“ลองว่าตามพ่อ นะมะพะทะ ปะชะนะ สังสะยัง มะพะทะนะ คะชะสาธัง”
กลับมาปัจจุบัน กล้าพนมมือ ว่าคาถาต่อ
“สัมมา คะมะมัง เอหิ อาโปอิสะรัง พะทะมะนะ คะระปุญญังมะโหระตัง” ที่กลอนประตูค่อยๆ เลื่อนออกเองช้าๆ “ทะนะมะพะ สะระนิจจามะนิจจะตัง”
ประตูระเบียงเปิดออก กล้าที่เดินเข้ามาอย่างเงียบๆ ท่ามกลางความมืดสลัวในห้อง ตรงไปที่เตียง กล้าเรียกราชาวดีเบาๆ
“วดีๆ พี่เอง”
แต่กลับกลายเป็นคะนึงนิจในชุดนอนที่ตื่นขึ้นมา คะนึงนิจตกใจตกใจที่กล้ามาอยู่ในห้อง
“นี่นาย”
“ทำไมเป็นเธอ”
กล้าตกใจที่เป็นคะนึงนิจไม่ใช่ราชาวดี คะนึงนิจทำท่าจะโวยวาย กล้ารีบเข้าไปปิดปากไว้
“นิจ! อย่าร้องนะ พี่แค่อยากจะมาคุยกับราชาวดีให้รู้เรื่องว่าทำไมครูเริงโกรธพี่ พี่ไม่ได้มีเจตนาร้าย”
คะนึงนิจหยุดดิ้นรน กล้าเลยปล่อยมือออกจากปาก แต่ยังล็อคตัวไว้
“ไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่แอบปีนเข้ามาในห้องนอนวดีเนี่ยนะ คนดีๆ ไม่มีใครเค้าทำกันหรอก นี่ถ้าฉันไม่มาค้างที่นี่ คงไม่ได้เห็นว่านายร้ายกาจขนาดไหน”
“ใช่ สิ่งที่พี่ทำอาจจะผิด แต่ถ้าพี่ไม่ทำแบบนี้ พี่ก็อาจจะไม่ได้พบหน้าวดีอีก นิจช่วยบอกพี่หน่อยได้มั้ยว่าเมื่อกลางวันมันเกิดอะไรขึ้น”
“ได้ ปล่อยฉันก่อนซิ”
กล้าค่อยๆ ปล่อย คะนึงนิจถือตอนกล้าเผลอถองลำตัวกล้า แล้ววิ่งไปหยิบร่มของราชาวดีมาฟาดกล้า
“โอ๊ย”
คะนึงนิจฟาดครั้งที่สอง กล้ารับได้ ยื้อแย่งกัน
ขณะนั้นครูเริงกำลังนั่งวาดรูปอยู่ในห้องทำงาน ตรงหน้าต่างที่แง้มอยู่มีควันสีขาวลอยเข้ามา สักพักครูเริงก็ค่อยๆ คอพับ สลบไปไม่รู้เรื่อง พู่กันในมือครูเริงหล่นลงพื้น
ประตูตู้เย็นถูกเปิดออก ราชาวดีในชุดนอนก้มหยิบขวดน้ำดื่มแล้วปิดตู้ โถงชั้นล่างจึงมืดมิด คมพุ่งเข้าหาราชาวดีทางด้านหลัง เอายาสลบโปะจมูก ราชาวดีพยายามดิ้น
“ปล่อยนะ ปล่อย”
ราชาวดีดิ้น ใช้ขวดน้ำพลาสติคในมือทุบ คมปัดทิ้ง พยายามกอดแขนไว้ไม่ให้ดิ้นจนทำให้สร้อยข้อมือที่คะนึงนิจร้อยให้ขาดหล่นพื้น ราชาวดีเหลือเท้าถีบตู้เย็นอย่างแรง ไปกระแทกกับภาพวาดที่แขวนอยู่บนผนัง ของบนตู้เย็นหล่นกระจาย ภาพวาดขนาดใหญ่ร่วงลงมากระแทกที่พื้นจนเกิดเสียงดัง
ขณะนั้นกล้ายังยื้อแย่งร่มกับคะนึงนิจอยู่ แล้วก็ชะงักเพราะได้ยินเสียงดังมาจากข้างล่าง กล้าเอะใจ สบตาคะนึงนิจ
“เสียงอะไร?”
“วดีกับครูอยู่ข้างล่าง”
ราชาวดีสลบนิ่งไป คมรีบเอาถุงผ้าคลุมหัวทันทีโดยที่คมไม่เห็นหน้าราชาวดี ลูกน้องอีกสองคนช่วยกันอุ้มร่าง
ราชาวดีออกไปนอกบ้าน
กล้ากับคะนึงนิจรีบร้อน วิ่งลงบันไดมาชั้นล่าง คะนึงนิจรีบเปิดไฟทันทีแล้วก็ตกใจ เพราะข้าวของกระจัดกระจาย เฟรมรูปหล่นอยู่ที่พื้น ประตูบ้านเปิดอยู่ เห็นสร้อยข้อมือของราชาวดีหล่นอยู่ที่พื้น คะนึงนิจหยิบขึ้นมาดู
“สร้อยข้อมือนี้ นิจร้อยให้วดีเอง” ทั้งสองเป็นห่วง แยกกันหา “วดีๆๆ”
เสียงสตาร์ทรถดังมาจากถนน กล้ารีบตรงไปที่ประตูบ้านแล้วกล้าก็เห็นรถพวกคมแล่นออกไป กล้าตกใจวิ่งออกไปทันที คะนึงนิจรีบตาม
กล้าวิ่งตามออกมานอกบ้าน ตะโกนเรียก
“วดีๆ”
รถพวกคมลับตาไป กล้ารู้ว่าตามไม่ทัน รีบกระโดดขึ้นมอเตอร์ไซค์
“ฉันไปด้วย”
คะนึงนิจกระโดดซ้อน กล้าบิดมอเตอร์ไซค์ตาม
รถของคมแล่นมาตามท้องถนน แล้วเลี้ยวเข้าไปในซอยๆ นึง สักพักจะเห็นกล้ากับคะนึงนิจขี่มอเตอร์ไซด์ตะบึ่งไล่มา เลี้ยวตาม แต่แล้วกล้าก็ต้องเบรค เพราะข้างหน้าเป็นสี่แยก แต่รถของคมกลับหายไป
“บ้าจริง มันหายไปไหนแล้วเนี่ย”
“ซ้าย ไปทางซ้าย” คะนึงนิจบอก
“รู้ได้ยังไงว่าพวกมันไปทางนั้น”
“ไม่ต้องถามได้ไหม รีบทำตามที่บอกเถอะน่า ไปสิ”
กล้ารีบเลี้ยวรถตามไปทันที
ที่ห้องโถงบ้านภูมินทร์ ดาบประจุพรายของขุนโชติถูกชักออกจากฝัก ภูมินทร์กำลังใช้ผ้าเช็ดคมดาบด้วยความชื่นชมอักขระสีเลือดบนดาบ เปล่งประกายขึ้นแว้บนึง ภูมินทร์แปลกใจ คิดว่าตัวเองตาฝาด ทันใดคมก็เข้ามารายงาน“ผมได้ตัวคุณนิจมาแล้วครับพ่อเลี้ยง”
ภูมินทร์รีบเก็บดาบไว้บนแท่นวาง
“ไหน น้องสาวฉันอยู่ไหน”
ลูกน้องช่วยกันอุ้มร่างราชาวดีที่มีถุงผ้าคลุมหัวไว้ เข้ามาวางบนโซฟา คมดึงถุงผ้าออก เป็นราชาวดีที่สลบอยู่ ภูมินทร์ถึงกับอึ้ง
“วดี” ภูมินทร์โมโห ตวาดคม “ฉันให้แกไปจับตัวยัยนิจ แล้วนี่แกไปเอาตัวราชาวดีมาทำไม ฮะ ไอ้ปัญญาอ่อน”
คมรีบแก้ตัว
“ผมไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้อยู่ที่บ้านนั้นด้วย ผมจะรีบไปจับตัวคุณนิจมาใหม่เดี๋ยวนี้เลยครับ แต่ว่า ไหนๆ
นายก็ชอบผู้หญิงคนนี้อยู่แล้ว ผมว่า...”
ภูมินทร์หันขวับ มองดุ คมชะงัก
“หยุดปากพล่อยๆ ของแกเลยนะ ฉันไม่สิ้นคิดขนาดฉุดผู้หญิงมาทำเมียหรอก ไสหัวไปไหนก็ไป”
คมรีบหลบออกไป ภูมินทร์มองราชาวดีที่ยังสลบไสล ครุ่นคิด
ที่รั้วหลังบ้านภูมินทร์มีเวรยามเดินผ่านไป สักพักจะเห็นกล้ากับคะนึงนิจปีนกำแพงรั้วเข้ามา วิ่งไปหลบที่ข้างตัวบ้าน
“วดีต้องถูกพามาที่นี่แน่”
“ดูเธอจะมั่นใจมากเลยนะ” กล้าถามอย่างสงสัยแล้วมองไปทางหน้าบ้าน เห็นรถคันที่ลักพาตัวราชาวดีจอดอยู่
“รถนั่น เธอรู้ได้ยังไงว่าวดีอยู่ที่นี่?”
คะนึงนิจอ้ำอึ้ง
“เอาน่า ยังไม่ต้องสงสัยตอนนี้ได้มั้ย หาตัววดีให้เจอก่อน”
คะนึงนิจเดินหนี แต่กล้ารีบดึงให้หลบ เพราะกล้าเห็นภูมินทร์อุ้มราชาวดีขึ้นบันไดไป กล้าเป็นห่วงจะตาม
“จะไปไหน”
“ไม่เห็นรึไงว่า วดีอยู่ในอันตราย”
กล้ารีบออกจากที่ซ่อน หาทางเข้าบ้าน
“เฮ้ย ยกมือขึ้น” ยามตัวสูงใหญ่เล็งปืนมาทางกล้า กล้าชะงัก ยกมือเหนือหัว “แกเป็นใครวะ”
คะนึงนิจโผล่มาด้านหลังยามพร้อมท่อนไม้ ฟาดเต็มแรงจนท่อนไม้หัก แต่ยามไม่สะท้าน หันมอง เห็นคะนึงนิจยกสองมือขึ้นทำท่ายอมแพ้ ยิ้มแหยๆ กล้าเลยฉวยโอกาสซัดยามจนสลบ คะนึงนิจรีบเก็บปืนมาพกไว้ กล้าจะบุกเข้าไปในบ้านต่อ คะนึงนิจดึงกล้าไว้ พยักเพยิดให้มองตาม
ภูมินทร์อุ้มราชาวดีเข้ามาในห้องแล้ววางราชาวดีลงบนเตียงนอน ถอดเสื้อแจ๊คเก็ตตัวเองห่มให้ มองใบหน้าราชาวดีด้วยความหลงใหล จนเผลอเอามือลูบเส้นผม ราชาวดีที่ค่อยๆรู้สึกตัว เห็นภาพชัดขึ้นๆ จนเห็นว่าภูมินทร์จ้องมองตนอยู่ก็ตกใจ สะดุ้งตัวขึ้น มองรอบๆ กลัวมาก
“ฉันอยู่ที่ไหน”
ภูมินทร์ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“ที่นี่คือบ้านของฉันเอง”
ราชาวดีจำเหตุการณ์ได้ หนีไปที่มุมห้อง แจ๊คเก็ตของภูมินทร์หล่นพื้น
“คุณ ฉันเจอคุณที่โรงแรม คุณจับตัวฉันมาทำไม” ราชาวดีเพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองอยู่ในชุดนอน รีบกอดอกแน่นด้วยความกลัว “อย่าทำอะไรฉันนะ”
“เธอไม่ต้องกลัว ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอก”
ราชาวดีนึกถึงตอนที่ภูมินทร์ไปหาที่โรงแรม รู้ว่ามีอิทธิพล
“ฉันจะไว้ใจคุณได้ยังไง ปล่อยฉันกลับไปเถอะ ขอร้องล่ะ ฉันสัญญาว่าจะไม่แจ้งความ ไม่เอาเรื่องอะไรทั้งนั้น”
“วดี เธอฟังฉันก่อนนะ มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด เอาเป็นว่าฉันจะไปส่งเธอที่บ้าน แล้วจะอธิบายทุกอย่างให้ฟัง”
ภูมินทร์สบตา แต่ราชาวดียังไม่ไว้ใจ “ฉันเป็นลูกผู้ชายพอที่จะรับผิดชอบในสิ่งที่ฉันทำ”
ภูมินทร์หยิบแจ๊คเก็ตที่หล่นพื้น จะตามไปคลุมไหล่ให้ ราชาวดีอยู่มุมห้อง ไม่มีทางหนี ก้มหน้า กลัว ทันใดภูมินทร์ก็ถูกกระชากจากข้างหลัง เป็นกล้าที่เงื้อหมัดชกภูมินทร์ เซไป ราชาวดีเห็นกล้า โผเข้าไปกอดด้วยความดีใจ
“พี่กล้า”
กล้ากอดตอบ เป็นห่วงมาก
“ไม่เป็นไรนะวดี พี่มาช่วยแล้ว”
ภูมินทร์มองภาพที่ทั้งสองคนกอดกัน เจ็บแปลบในใจ เสียหน้า
“แก ไอ้กล้า เข้ามาในบ้านฉันได้ยังไง”
“ผมก็ตามมาช่วยวดีไง คิดไม่ถึงเลยว่าคุณจะเป็นคนเลวได้ขนาดนี้”
“แกบุกรุกบ้านฉัน ยังกล้ามาด่าฉันอีกเหรอ”
ภูมินทร์ตรงไปที่ลิ้นชัก จะหยิบปืนออกมา
“เก็บปืนซะดีกว่าพี่ภู”
ภูมินทร์ชะงัก มองตามเสียง จึงเห็นคะนึงนิจอยู่หน้าระเบียง เล็งปืนขู่
“ยัยนิจ”
คะนึงนิจขึ้นนกปืน ท่าทางเอาจริง ภูมินทร์จึงยอมทิ้งปืนแต่โดยดี
“นิจผิดหวังกับพี่จริงๆ วดีเป็นเพื่อนนิจ พี่ยังคิดจะทำเรื่องต่ำช้าอย่างนี้อีก เมื่อไหร่พี่จะหยุดทำเรื่องเลวๆ ซะที”
ภูมินทร์รีบปฏิเสธ กลัวราชาวดีเข้าใจผิด
“ฟังก่อนซิ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด พี่ให้คนไปจับตัวนิจมา แต่มันจับผิดตัว พี่ไม่มีเจตนาร้ายกับเพื่อนของนิจเลย”
“ส่งคนไปจับนิจเนี่ยนะ ไม่มีเจตนาร้าย ถามจริงๆ เถอะ พี่ภูใช้เป็นแต่วิธีสกปรกเท่านั้นใช่มั้ย”
“นิจ”
“เธอรู้จักพ่อเลี้ยง” กล้ามองคะนึงนิจอย่างแปลกใจ
“นิจเป็นน้องสาวฉัน แกไม่เกี่ยว”
“พี่กล้าพาวดีออกไป” ภูมินทร์จะตาม คะนึงนิจเล็งปืน มือสั่น “อย่าขยับนะพี่ภู นิจยิงจริงๆ”
“คะนึงนิจ จะมากไปแล้ว ฉันเป็นพี่แกนะ”
“ยกมือขึ้น”
กล้าพาราชาวดีลงมาที่โถงด้วยความระมัดระวัง เจอกับพวกคมที่เข้ามาพอดี
“ไอ้กล้า จับมันไว้” คมสั่งลูกน้อง
“หยุด”
ทุกคนชะงัก เมื่อเห็นคะนึงนิจจี้ภูมินทร์เป็นตัวประกันเข้ามา คะนึงนิจเอาปืนดันเอว ภูมินทร์เก็ท “ถอยไป” ลูกน้องทำตามคำสั่ง “นิจ ใจเย็นๆ ยังไงพี่ก็ไม่ทำอะไรนิจกับเพื่อนอยู่แล้ว”
“ไม่ นิจไม่เชื่อ วางปืน” ภูมินทร์พยักหน้าให้คม คมค่อยๆ วางปืนลงพื้น ลูกน้องทุกคนค่อยๆ ทำตามคม
“แล้วก็ถอยออกไป อย่าตุกติกนะ”
คะนึงนิจเผลอมองแต่พวกคม ขยับกระบอกปืนออกห่างจากเอวภูมินทร์ ภูมินทร์ฉวยโอกาส แย่งปืน สะบัดคะนึงนิจล้มไป กล้ารีบเตะปืนจากมือภูมินทร์กระเด็น ภูมินทร์พุ่งเข้าต่อยกล้า สองคนแลกหมัดกัน ราชาวดีประคองคะนึงนิจหนีไปหลบที่มุม
กล้าต่อยภูมินทร์เซถลาไปชนแท่นวางดาบประจุพรายล้มลง ภูมินทร์ปาดเลือดที่ไหลออกมา จ้องกล้าแววตาแค้น
“แกกล้ามาเหยียบจมูกฉันถึงถิ่น ถ้าวันนี้แกรอดออกไปได้ อย่าเรียกฉันว่าพ่อเลี้ยงภูมินทร์”
ภูมินทร์โมโหชักดาบ ง้างฟันกล้า แต่กล้าเบี่ยงหลบทัน คว้าเก้าอี้ขึ้นบัง ดาบฟันฉับจนเก้าอี้ขาดสองท่อน
กล้าม้วนตัวมุดไปใต้โต๊ะอาหาร ทันใดปลายดาบก็ทะลุโต๊ะลงมา เฉียดหน้ากล้าไปหวุดหวิด ภูมินทร์อยู่บนโต๊ะ ลากปลายดาบไล่เข้าหากล้า กล้ากลิ้งตัวหลบออกมาจากใต้โต๊ะ เตะตัดขาภูมินทร์จนล้ม
ภูมินทร์ไม่ยอมแพ้ ตวัดดาบพุ่งเข้าหา กล้าจวนตัวใช้สองมือประกบรับดาบไว้ สองคนออกแรงดันกัน
แววตาภูมินทร์กร้าว เหมือนขาดสติ คุมตัวเองไม่ได้ ราชาวดีกับคะนึงนิจได้แต่มองลุ้น คะนึงนิจห่วงกล้า คว้าของใกล้มือปาใส่ภูมินทร์ ภูมินทร์เบี่ยงหลบกล้าจึงได้โอกาสถีบภูมินทร์กระเด็นไป คว้าโต๊ะตัวเดิมทุ่มใส่ ภูมินทร์ใช้ดาบฟันโต๊ะแตกกระจุย ภูมินทร์ยิ่งฮึกเหิมกับพลังของดาบ
จังหวะนั้นภูมินทร์เห็นอักขระสีเลือดบนดาบเรืองแสงขึ้นแว้บนึง กล้าฉวยโอกาสที่ทุกคนเผลอ ดึงสองสาวหนีออกไปนอกบ้าน
ติดตาม "เสือสั่งฟ้า 2 พยัคฆ์ผยอง" ตอนที่ 3