คุณสามี(กำมะลอ)ที่รัก ตอนที่ 1
ยามเช้าบนดอยสวยม่อนแจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ พิมภา สาวนักการตลาด มือขวาสำคัญของ บริษัท Naree หันสีหน้าท่าทีรำคาญนิดๆ ที่กำลังถูกนันทิกานต์ เพื่อนซี้คู่หูขาลุยถ่ายรูปในหลายส่วน
“หนึ่ง สอง”
พิมภาหันหน้าหนี นันทิกานต์ก็ยังพยายามจะตามถ่ายรูปพิมภาอีก แม้ว่าพิมภาจะหันหน้าหนีอีกก็ตาม
“ยิ้มหน่อยสิไอ้พิม จะได้ส่งไปสอพลอให้ท่านประธานดูว่าเรามาทำงานจริง”
จบคำของนันทิกานต์ พิมภาหันมายิ้มสวยใส่กล้องแล้วโพสท่าสวยงามมากจนราวกับเป็นนางแบบมืออาชีพ
พิมภาแต่งชุดกึ่งกิโมโนถือกล่องของขวัญเก๋ ๆ อยู่ด้วย
ชุดกึ่งกิโมโนแบบสมัยใหม่นี้ เป็นเสื้อแขนกิโมโนสีแดงลวดลายลายดีไซน์เป็นดอกซากุระดอกย่อมสำหรับสวมทับกับเสื้อด้านใน ความยาวทิ้งชายมีคลุมแค่เข่าเพื่อความทะมัดทะแมง ซึ่งชายนี้ไว้สำหรับทับส่วนที่เป็นกางเกงรัดรูปแบบสามส่วนในสีเดินกัน เพื่อความคล่องตัวในการเดินเหินของสาวสมัยใหม่ รองเท้าเป็นแบบสายหนีบในแนวเกี๊ยะญี่ปุ่น บนศีรษะนำช่อดอกไม้มาร้อยเป็นที่คาดผม
นันทิกานต์ลดกล้องลงมองอย่างเซ็ง ๆ
“เยอะแล้วไอ้พิม แค่ให้ยิ้มไม่ได้ให้เยอะ”
พิมภายิ้มรับบอก
“ระดับพิมภาน้อย ๆ ไม่ เยอะ ๆ จัดไป”
“ที่จัดมาเนี่ยจัดว่าเยอะมาก หลงประเทศหรือเปล่าจ๊ะ”
พิมภามองกลับแล้วว่า
“แกน้อยมากเลยนะไอ้แนนเชียงใหม่ปลายฝนล่อโอเวอร์โค้ทยังกับสององศาแถวเทือกเขาหิมาลัย”
“ฉันน่ะแต่งตัวสากล แต่แกน่ะเปิดตาดูหน่อยนี่มันบนดอยนะยะไม่ใช่ฮอกไกโด ไม่จัดกิโมโนเต็มยศเลยล่ะ”
“สมองเท่าขี้หูมดจริงๆ เลยแกนี่ เราเป็นตัวแทนบอสมาร่วมยินดีกับลูกค้าชาวญี่ปุ่น แกจะให้ฉันแต่งชุดฮาวายเต้นฮูลาฮูล่ายินดีกับเขาหรือไง แล้วก็นี่ เข้ากับชุดเลยมะ” พิมภาพูดพลางชี้ไปที่ผม
นันทิกานต์ชักโมโห
“นี่แกเด็ดดอกนางพญาเสือโคร่งตอนขึ้นดอยเมื่อวานมาเหรอ ยัยพิมนี่มันสมบัติชาตินะ”
“บ้าหรือไง สวยมีมโนธรรมอย่างฉันไม่เลวทำลายธรรมชาติหรอกน่า ฉันเก็บที่มันหล่นๆ มาใช้ย่ะ”
พิมภามองนาฬิกาแล้วตกใจบอก
“เก้าโมงครึ่ง ตาย ๆ มิสเตอร์ไดซุเกะจะถ่ายวีดีโอพรีเซ้นต์งานแต่งเสร็จประมาณสิบโมง รีบไปเร็วแก ต้องไปเดินหาอีก”
“เขาถ่ายกันบนนี้ไม่ใช่เหรอค่อยๆ หาก็ได้” นันทิกานต์บอก
“พูดไม่คิด ดอยนี้มันตั้งกี่สิบไร่ คิดว่าหาเจอง่ายๆ เหรอไง”
“ก็โทรถามสิยะ”
“เออ...จริง”
พิมภารีบรื้อ ๆ พยายามหาแต่หาไม่เจอ พิมภาหยิบกระเป๋าตังค์ออกมาไว้บนพุ่มไม้ข้างๆ
“เร็วสิแก” นันทิกานต์ว่า
“ก็รีบอยู่”
พิมภาบอกพลางเร่งรีบค้นจนเจอนามบัตรแล้วหยิบมือถือมากดโทรออก
“สวัสดีค่ะ เรียนสายมิสเตอร์ไดซุเกะค่ะ”
พิมภานิ่งฟังอยู่ครู่หนึ่งแจ้งไปว่า
“อ้อ ทีมงาน สวัสดีค่ะ ดิฉันจะมาพบมิสเตอร์ไดซุเกะค่ะ ไม่ทราบว่าถ่ายวีดีโอกันอยู่บริเวณไหนคะ”
พิมภาฟังโทรศัพท์ไปแล้วหันมากวักมือให้นันทิกานต์เดินตาม ทั้งคู่เดินออกไป แต่ลืมกระเป๋าตังค์พิมภายังวางไว้บนพุ่มไม้
ที่มุมสวยอีกมุมหนึ่งของดอยม่อนแจ่มในเวลาเดียวกัน น้ำค้างจากดอกไม้สวยหยดลงที่หน้าผากของฤชวี (ริด-ชะ-วี) เขาสะดุ้งเงยหน้ามองแล้วยิ้มน่ารักก่อนจะยกกล้องถ่ายรูปแบบใช้ฟิล์มถ่ายภาพดอกไม้ก่อนจะหันกล้องไปอีกทางเพื่อเก็บบรรยากาศภาพวิวสวยบนดอยสูง ฤชวีถ่ายภาพแล้วหยิบสมุดขึ้นมาจด
ฤชวี วัย 30 เป็นทายาทมหาเศรษฐีที่ดินในจังหวัดเพชรบูรณ์ เขาเป็นนักเขียนนวนิยายระดับเบสท์เซลเลอร์ เขาเป็นหนุ่มหน้าใส ผู้รักอิสระ หัวใจอบอุ่น บุคลิกเซอร์สะอาด อารมณ์ดีขี้เล่น หุ่นสะท้านใจสาว เจ้าชู้ถึงขั้นกระล่อน
“กระซิบรักในสายลม...” ฤชวีครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วพึมพำกับตัวเองก่อนมองไปรอบๆและลงมือจด
“ อืม...เน่าไปไหมเนี่ย...เปิดบทแรกบนดอยสูง ท่ามกลางทะเลหมอก...ต้องฝึกพรรณาโวหารอีกเยอะนะเรา เก็บภาพท่าจะง่ายกว่า”
ฤชวีนั่งมอง ๆแล้วยกกล้องขึ้นเก็บภาพ
“พระเอกมาจากมุมนี้ แล้วเดินถ่ายรูปมาตามทางเดิน จนกระทั่งถึงทางแยกแล้ว...”
ฤชวีชะงัก ยกกล้องเล็งไปอีกทางที่เป็นมุมทางลาดที่เขายืนอยู่สูงกว่า ผ่านกล้องถ่ายรูปเขาเห็นพิมภากำลังเดินขึ้นบันไดทางลาดขึ้นมา
ใบหน้าของพิมภาสวยหวานกำลังเลี้ยวจากพุ่มไม้เดินตรงมาทางฤชวี เขายืนมองเธอด้วยสายตาอึ้งตะลึง พิมภาเดินมองหาแล้วหันมาทางฤชวี พิมภายิ้ม
ฤชวีลดกล้องลงแล้วพึมพำราวเพ้อ
“ ซากุระ...งาม...”
ฤชวียืนตะลึงกับรอยยิ้มของพิมภา แล้วยิ่งตะลึงที่เห็นว่าเธอกำลังเดินตรงเข้ามาหาตัวเอง พิมภาเดินมาหยุดตรงหน้าฤชวีแล้วยิ้มมากขึ้น
“ขอโทษนะคะ”
ฤชวียิ้มตอบทำอะไรไม่ถูก
“ครับ”
“ขอทางหน่อยค่ะ.”
“หะ”
พิมภายิ้มแล้วชี้ไปทางด้านหลังฤชวี เขาหันกลับไปมอง เห็นที่ปลายทางเดินมีกองถ่ายวิดีโอเล็ก ๆ ที่ช่างภาพกำลังตั้งกล้อง และเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่แต่งชุดแต่งงานกำลังเตรียมจะถ่ายวีดีโอ
ฤชวีรีบขยับหลบให้
“เชิญครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
พิมภารีบเดินไป นันทิกานต์วิ่งตาม
“รอด้วย”
นันทิกานต์วิ่งผ่านหน้าฤชวีตามพิมภาไป เขามองตามด้วยสายตาเคลิบเคลิ้มมาก
สองสาวเดินเข้ามาตรงมุมที่ไดซุเกะกับวาณีกำลังนั่งบนเก้าอี้เก๋ๆ ถ่ายวีดีโอพรีเซนต์ พิมภากับนันทิกานต์ยืนดูอยู่ข้างกล้อง ทีมงานยิงคำถาม
“พูดถึงความประทับใจที่มีต่อเจ้าสาวค่ะ”
ไดซุเกะพูดไทยไม่ชัด
“เอ๋เป็นผู้หญิงที่น่ารักสดใส ครั้งแรกที่ได้เห็นเขา ผมก็รู้เลยว่าเขาเป็นอีกครึ่งชีวิตที่หายไป เมื่อเราคบกันผมก็ได้รู้ว่า เขารักผมมากจนผมคิดว่าคงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา”
ไดซุเกะพูดด้วยความรู้สึกที่รักมาก เอ๋ฟังแล้วมีปาดน้ำตาซาบซึ้ง
“อื้อหือ..ซาบซึ้งน้ำตาจะไหลว่ะแก” นันทิกานต์บอก
พิมภารู้สึกซึ้งเหมือนกันแต่ฟอร์ม“อือ”
ไดซุเกะกับเอ๋มองหน้ากันอย่างตื้นตันพูดไม่ออก ไดซุเกะซังโยกหัวเอ๋เบาๆ อย่างเอ็นดู
“ไดซุเกะซังเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย ดูแลและใส่ใจเอ๋มาก การที่ผู้หญิงคนหนึ่งได้อยู่กับคนที่รักเรา และเราก็รักเขา เอ๋เชื่อว่านั่นคือความสุขค่ะ”
ไดซุเกะน้ำตาไหลจนต้องปาดน้ำตา สองคนมองหน้ากันหัวเราะให้กันที่ห้ามน้ำตาแห่งความตื้นตันไว้ไม่ได้ เอ๋ขยับเข้ากอด ไดซุเกะโอบตอบด้วยความรัก เอ๋ซุกหน้ากับอกชายคนรักชาวญี่ปุ่นและพยายามจะห้ามน้ำตาไว้ แต่ไม่เป็นผล
พิมภาปาดน้ำตาที่รินไหล เป็นจังหวะนันทิกานต์หันมาเห็นพอดีก็แซว
“ถึงกับน้ำตาร่วงเลยเหรอเพื่อน”
“ก็ซึ้งอ่ะ”
นันทิกานต์โอบไหล่พิมภาแล้วบอก
“กลับไปแกก็ต้องถ่ายวีดีโองานแต่งของแกเหมือนกันนี่ งานตัวเองไม่น้ำตาแตกยิ่งกว่าเหรอยะ”
เพื่อนรักเห็นพิมภาทำหน้าเซ็งแล้วบอก
“ไอ้พิม ฉันว่าแกยกเลิกงานตอนนี้ยังทันนะ ไอ้พี่เอกเนี่ย ฉันว่า...”
พิมภายกมือปิดปากนันทิกานต์
“หยุดเลยไอ้แนน ฉันตัดสินใจไปแล้วใครก็เปลี่ยนไม่ได้”
นันทิกานต์พยายามจะพูด ปากที่ถูกปิดไว้ ได้แต่ร้อง “อื้อ...อื้อ”
ไดซุเกะกับเอ๋ลุกขึ้นหลังจากที่ถ่ายวิดีโอพรีเซนต์เสร็จแล้ว พิมภารีบเดินเข้าไปหาไดซุเกะทันที
“สวัสดีค่ะ ดิฉันพิมภาเป็นตัวแทนจากบริษัทNaree คุณสุกัญญาติดธุระด่วน เลยให้ดิฉันนำของขวัญมาร่วมยินดีกับมิสเตอร์ค่ะ”
ไดซุเกะยิ้มรับ พิมภายิ้มรับให้กับว่าที่คู่บ่าวสาวทั้ง 2 คน
“ยินดีด้วยนะคะ การได้พบคนรักที่ดีนับเป็นของขวัญที่วิเศษมากค่ะ”
“เอ๋เชื่อว่าผู้หญิงทุกคนจะมีของขวัญของตัวเอง แค่ว่าเขาจะมาเร็วหรือช้าน่ะค่ะ”
“ค่ะ ก็หวังว่าจะไม่ช้ามาก” พิมภาตอบแบบขำๆ
ฤชวีมองมาเห็นพิมภายิ้มสวยก็รีบลั่นชัตเตอร์เก็บภาพทันที เสียงมือถือดัง ฤชวีซึ่งสวมสมอทอล์คอยู่รีบกดรับ
“ผมอยู่ที่เชียงใหม่ ถ้าถามทั่ว ๆ ไปผมสบายดี แต่ถ้าถามถึงงาน ผมมาถ่ายรูปเก็บไปใช้ในนิยายเรื่องใหม่ มาสถานที่จริงตามหาแรงบันดาลใจ”
ภายในสำนักพิมพ์ที่กรุงเทพฯ ในเช้าเวลาเดียวกัน กิ่งแก้ว บรรณาธิการหนังสือกำลังใช้ไอแพดดูแบบร่างบู๊ธการจัดหนังสือโชว์ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ
“อย่าหานานนักนะต้น อีกสามเดือนจะมีสัปดาห์หนังสือแล้ว กิ่งอยากได้หนังสือของต้นมาเป็นเบสท์เซลเลอร์ให้หนังสือกิ่งสักหน่อย”
“สามเดือน กิ่งครับ สมองผมไม่ใช่ก๊อกน้ำนะ เปิดปุ๊บจะได้ไหลปั๊บ” ฤชวีบอก
“เรื่องที่แล้วต้นใช้เวลาสองเดือนเองนะกิ่งจำได้”
“นั่นมันนิยายกึ่งสารคดีนะกิ่ง แต่นี่มันเรื่องรัก ๆ ผมไม่มั่นใจว่าสมองจะแล่น”
“ต้นก็หาแฟนสักทีสิจะได้เขียนเรื่องรัก ๆ ได้ลื่นปรื้ด ลื่นปรื้ดสักที หามาตั้งหลายปีแล้ว หาเจอหรือยัง”
ฤชวีมองที่พิมภาแล้วบอก
“ก็...น่าจะเจอแล้วนะ”
พิมภากับนันทิกานต์ยืนดูภาพถ่ายที่ไดสุเกะกับเอ๋จูงมือกัน บังเอิญเสียงท้องนันทิกานต์ดันร้อง โครก! จึงหันมองพิมภาที่ยังมองทางว่าที่คู่บ่าวสาวอย่างคิดหนัก
“ไอ้พิม ของก็มอบเสร็จแล้วจะยืนดูอะไรอีก ไอ้พิม”
“ฉันกำลังศึกษาไว้เป็นข้อมูลเดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันก็ต้องไปถ่ายวีดีโอเหมือนกันรอแป๊บได้ป่ะ”
“ฉันหิวจนลมขึ้นแล้วนะแก”
“อีกนิดน่า”
“ถ้าฉันหิวอีกนิด ลมจะออกทางอื่น ไม่รับประกันความเหม็นในรถนะเว้ย”
“เอางี้ แกไปซื้ออะไรที่ร้านค้าสวัสดิการรองท้องก่อนไป”
นันทิกานต์แบมือ
“งบบริษัทนี่”
ฤชวีที่กำลังคุยกับกิ่งแก้วและยกกล้องถ่ายรูปไปด้วยแต่ฟิล์มเกิดหมด
“กิ่ง...ผมเปลี่ยนฟิล์มแป๊บนึงนะ”
ฤชวีก้มลงจัดการเปลี่ยนฟิล์ม
พิมภาส่ายหน้าเซ็งๆ เปิดกระเป๋าสะพายจะหยิบกระเป๋าเงิน แต่พอล้วงแล้วไม่เจอก็ชะงักแล้วยกกระเป๋าขึ้นมาพลางควาน ๆ ๆ ค้นๆ ๆ ด้วยท่าทางตื่นตกใจมาก
“อะไร เป็นอะไรต้องทำหน้าชะนีตื่นไฟขนาดนั้น”
“ไอ้แนน กระเป๋าตังค์ฉัน....หาย”
นันทิกานต์อุทาน
“รวย ๆ ๆ”
“รวยที่ไหน ซะ...” พิมภาจะกำลังจะพูดว่า ซวยสิแก แต่นันทิกานต์รีบปิดปากเพื่อนไว้
“ อย่าพูดคำไม่ดี ชีวิตจะเป็นตามคำพูด”
นันทิกานต์พูดประดยคสวยๆแล้วก็โวยวายขึ้นทันที
“ในกระเป๋ามีเงินกับบัตรที่ฉันฝากแกไว้ด้วยนะยัยพิม แกเห็นกระเป๋าครั้งสุดท้ายที่ไหนนึกเร็วแกนึก”
นันทิกานต์เขย่าพิมภาอย่างสุดตัว
“โอ้ย เขย่าจนสมองไปกองตาตุ่มแล้ว ขอคิดก่อนได้ไหม”
พิมภาคิด ๆ แล้วรีบวิ่งไป นันทิกานต์ก็วิ่งตามไป ฤชวีเปลี่ยนฟิล์มเสร็จเรียบร้อย จะลุกขึ้นจะยกกล้องถ่ายก็ชะงักที่ไม่เห็นพิมภาแล้ว เขาส่ายสายตามองหา
“ไปไหนแล้ว”
ฤชวีรีบออกเดินตามหาในทันที
ระหว่างที่ฤชวีเดินตามหา กิ่งแก้วที่รอสายอยู่นานก็พูดขึ้น
“ยังเปลี่ยนฟิล์มไม่เสร็จอีกเหรอต้น ต้น”
ฤชวีรู้สึกตัว
“ฟิล์มน่ะเปลี่ยนเสร็จแล้ว แต่ผมกำลังเดินหาเค้าอยู่”
“เค้าเหรอ ผู้หญิงหรือผู้ชายจ๊ะ”
“ผู้หญิง”
“คิดไม่ออกเลยว่าผู้หญิงแบบไหนน้าที่โดนใจนายฤชวี ถึงกับต้องเดินหา...แบบนี้ต้นก็ไม่ใช่เก้งกวางแล้วสิ”
“กิ่ง ไหงยัดข้อหาให้ผมแบบนั้นล่ะ”
ฤชวียิ้มขำ ๆ แล้วเดินออกไปอีกทาง
ฤชวีเข้ามามองหา กิ่งแก้วยังพยายามจะคุยเรื่องงาน
“ก็ประมาณ...กระซิบรักในสายลม” ฤชวีบอก
“เชยได้ใจมาก เนื้อเรื่องจะยุงชุมขนาดไหน”
“ก็แบบพระเอกพบกับนางเอกบนกันบนดอยสูงแบบบังเอิญ แล้วพระเอกก็ไม่รู้จักชื่อนางเอก แต่เก็บช่อซากุระที่ประดับผมเธอก็เลยตั้งชื่อเธอว่าซากุระ”
“ไม่น่าเชื่อว่าต้นจะมาแนวหวานแบบนี้ด้วยนะ”
“ได้ หวานก็พอได้นะ”
ฤชวียังคงส่ายสายตามองหาพิมภา แล้วสายตาของเขาก็เหลือบไป เห็นกระเป๋าเงินของพิมภาที่ลืมวางทิ้งไว้บนพุ่มไม้ เขาเดินไปหยิบขึ้นมาดู
“ของใครเนี่ย”
“มีอะไรเหรอต้น” กิ่งแก้วถาม
“ผมเจอกระเป๋าเงิน น่าจะเป็นของผู้หญิงคงลืมไว้”
“เดี๋ยวเขาคงกลับมาเอาล่ะมั้ง ลองเปิดดูบัตรข้างในก่อนสิจะได้คืนถูกคน”
ฤชวีตัดสินใจเปิดกระเป๋าดูเพื่อหาบัตรประชาชน แต่พอเปิดปั๊บเห็นตรงช่องที่ใส่รูปเป็นรูปของตรีวิญสมัยอายุสัก 17อยู่ในกระเป๋า
“เจอบัตรไหมต้น”
“กำลังหาอยู่ แป๊บนะกิ่ง”
พิมภาวิ่งนำนันทิกานต์มาทันเห็นฤชวีกำลังค้นกระเป๋าตัวเองก็ชะงัก นันทิกานต์เดินชนเข้าเต็มที่
“ไอ้พิม หยุดทำ...”
นันทิกานต์จะถามว่า หยุดทำไม แต่โดนพิมภาปิดปาก พิมภาส่งสัญญาณให้มองตาม นันทิกานต์มองตามตกใจ เอามือออก พูดได้ยินกันสองคน
“เฮ้ย มันกำลังจะค้นเอาตังค์แล้วแก”
“วอนซะแล้ว” พิมภาว่าแล้วก็ถอดรองเท้าเกี๊ยะออกมา ส่งยิ้มร้ายกับนันทิกานต์ที่ยิ้มตอบบอก
“จัดไป”
ฤชวีพยายามค้นจนเห็นขอบบัตรประชาชน เขาจะดึงบัตรประชาชนออกมา แต่เป็นจังหวะที่ลมพัดแรงจนใบไม้เล็ก ๆ ปลิวไปทั่ว เขาเงยหน้ามองตามใบไม้ปลิวที่ถูกแรงลมอุ้มปลิวมาอยู่ตรงหน้า
ทันใดนั้น สายตาของฤชวีก็เห็นเกี๊ยะญี่ปุ่นข้างหนึ่งลอยเข้ามาในสายตาพุ่งผ่านหน้าฤชวีไป เขามองตามทิศทางที่รองเท้าเกี๊ยะพุ่งผ่านไป เห็นเกี๊ยะกระแทกฝังเข้าไปในต้นไม้ที่อยู่ถัดไป เขาลองใช้มือดึงๆ ปรากฎว่าติดแน่นมาก
“เฮ้ย” ฤชวีร้องเบาๆ อย่างประหลาดใจ
กิ่งแก้วยังอยู่ในสายพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“มีอะไรแหรอต้น”
“มีเกี๊ยะลอยมาปักต้นไม้ มัน...”
พูดยังไม่ทันจบ เสียงพิมภาก็ณ้อง “ไฮ้” ดังขึ้น
ฤชวีหันมองตามเสียงก็เห็นเห็นเกี๊ยะอีกข้างที่พุ่งมาอย่างเร็วและแรง เขาตกใจ ร้องเสียงดังลั่น
“เฮ้ย”
ร้องยังไม่ทันสิ้นเสียง เกี๊ยะข้างนั้นพุ่งเข้าปะทะหน้าผากฤชวีจนหงายหลังลงไปกองกับพื้น
พิมภากับนันทิกานต์วิ่งเข้ามา
“คิดจะขโมยกระเป๋าฉันเหรอ ไอ้เลว”
ฤชวีเริ่มตั้งสติได้ร้องบอก
“เดี๋ยวๆ ๆ ผมไม่ใช่ขโมย”
พิมภาเห็นฤชวีถอยหลังจึงว่า
“ยัง ๆ ยังคิดจะหนี”
พิมภาตรงเข้าขยับชุดตัวเองแล้วเหวี่ยงเตะเข้าเป้าของเขา
“โอ๊ก”
ฤชวีจุกทรุดพยายามยกมือห้ามบอก
“ผมไม่ใช่ขโมย”
“หลักฐานคาตาเนี่ย”
“มือเท้ามีทำไมไม่หางานทำ ขโมยเขากินน่ะไม่อายหรือไง มีศักดิ์ศรีบ้างไหม เป็นมิจฉาชีพ ขโมยเงินนักท่องเที่ยวแบบนี้ หากินกับความลำบากของคนอื่น ทำลายชื่อเสียประเทศทุเรศที่สุด”
พิมภาจับคอเสื้อฤชวีเขย่า ๆ ๆ จนหัวของเขาโขกกับต้นไม้ ก่อนจะกระชากกระเป๋ามาจากมือฤชวี
พิมภาเข้ามาหยิบกระเป๋าเงินมาเช็กดูข้าวของ นันทิกานต์ถามขึ้น
“ครบไหม ดีนะที่เรากลับมาทัน”
พิมภาพยักหน้าตอบนันทิกานต์
“ผมไม่ได้ขโมยจริงๆ นะครับ” ฤชวียืนยัน
“หุบปาก ไปแก้ตัวกับตำรวจก็แล้วกัน ช่วยกันลากตัวไปหาเจ้าหน้าที่อุทยาน จับนอนคุกให้เข็ดเลยแนน ไป”
นันทิกานต์กระชากฤชวีให้ลุกจะเดิน เขาพยายามอธิบายเต็มที่
“ผมไม่ได้ขโมยจริงๆ คุณลืมไว้...”
“ยังจะโกหกอีก”
“จริงๆ นะครับ ผมเก็บได้ที่พุ่มไม้โน่น”
พิมภายิ้มเหยียดบอก
“ตลกเลย ตั้งแต่มาถึงนี่ ฉันไม่ได้หยิบกระเป๋าเงินออกจากกระเป๋าสะพาย ฉันหยิบแต่นาม...”
พิมภาพูดแล้วก็ชะงักเพราะนึกได้ ทั้งสองสาวหันมามองหน้ากันแล้วโพล่งขึ้นพร้อมกัน
“เฮ้ย...ลืม”
ฤชวียิ้มประมาณว่าจำได้แล้วใช่ไหม? พิมภากับนันทิกานต์เริ่มหน้าเสีย นันทิกานต์มองกล้องที่เขาสะพายอยู่ที่คอ
“ไอ้พิม แกก็น่าจะดูให้ดีก่อน คุณคนนี้ห้อยกล้องราคาหลายหมื่นจะสนใจกระเป๋ากิ๊กก๊อกของแกทำไม”
พิมภาหันขวับมายังนันทิกานต์ประมาณว่า อ้าว..โบ้ยกันซะงั้น พอหันกลับมาเจอฤชวีส่งยิ้มให้
พิมภายกมือไหว้ยอมรับผิด
“ขอโทษนะคะที่ฉันเข้าใจคุณผิดแล้วก็...”
นันทิกานต์ยิ้มแหยก่อนรีบบอกพิมภา
“มือหนักไปหน่อย ขอโทษค่ะ รีบไปเถอะ อายเค้า”
นันทิกานต์วิ่งไปหยิบเกี๊ยะของพิมภา อันที่กระแทกหน้าฤชวีมาให้เพื่อน พิมภาวางเกี๊ยะลงพื้นสวมแล้วจะหันไปหาเกี๊ยะข้างที่ติดที่ต้นไม้ แต่ปรากฎว่าเกี๊ยะหายไปแล้ว
“อยู่นี่ครับ”
พิมภาหันไป ฤชวียิ้มสดใสคุกเข่าวางเกี๊ยะลงตรงหน้าพิมภา
“รองเท้าครับ”
พิมภาอึ้งๆ
“ขอบคุณค่ะ”
พิมภาสวมรองเท้าโดยมีฤชวีคุกเข่าอยู่ตรงหน้ายิ้มให้
นันทิกานต์พูดกับตัวเอง
“อั๊ยย่ะ...ไอ้พิม ยังกับนางซินเลยเว้ย”
พิมภาเห็นที่หน้าผากของฤชวีเป็นรอยดำ ๆ ที่เกิดจากเกี๊ยะปะทะหน้า
“หน้าผากคุณเปื้อนน่ะค่ะ”
ฤชวีเผลอเอามือปาดแต่ปาดไม่ถูกที่สักที พิมภาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดให้
“ขอโทษนะคะ”
ฤชวีมองพิมภาอย่างเคลิบเคลิ้มแล้วยิ้มค้าง
“เช็ดตรงนี้นะคะ”
“ครับ”
นันทิกานต์มองอาการเคลิ้มของฤชวี)แล้วว่า
“โดนลูกตบเกี๊ยะแกจนสติฟั่นเฟือนไปแล้ว”
“ครับ”
พิมภากับนันทิกานต์ร้อง”เฮ้ย” ขึ้นพร้อมกัน
สองสาวมองอาการของฤชวีที่เคลิ้มด้วยความงงแล้วตัดสินใจหยิกแขนเขาอย่างแรง
“ขอโทษนะคะ”
ฤชวีสะดุ้งร้อง
“ โอ้ยๆ คุณหยิกผมทำไมครับ”
“ยังมีสติ ถ้าคุณไม่เป็นอะไรแล้วเราขอตัวก่อนนะคะ”
“ครับ”
พิมภากับนันทิกานต์ยิ้มให้ฤชวีแล้วจะเดินไป จู่ๆ พิมภาก็ชะงักหันมาหาฤชวีอีกครั้ง ฤชวีชะงัก เธอยิ้มอย่างรู้สึกผิดบอก
“ฉันต้องขอโทษจริง ๆนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
ฤชวียกผ้าเช็ดหน้าในมือมาเช็ดที่หน้าผากแก้เขิน ทำตัวไม่ถูก นันทิกานต์รีบดึงพิมภาเดินเร็วๆ ไปด้วยความอาย เขามองผ้าเช็ดหน้าของพิมภาในมือ
“คุณครับ...ผ้าเช็ดหน้า”
ฤชวีหันไปไม่เห็นพิมภากับนันทิกานต์ในสายตาแล้ว เขาตัดสินใจเดินไปตามหา
ลานจอดรถในเวลาต่อมา พิมภากับนันทิกานต์มาถึงรถญี่ปุ่นคันเล็กที่เช่ามาขับรายวัน ข้างรถมีสติ๊กเกอร์เล็ก ๆ speed rent a car ทั้งคู่ขึ้นรถ พิมภานั่งฝั่งคนขับ ก่อนเสียงมือถือจะดังขึ้น พิมภากดรับ
“สวัสดีค่ะพี่เอก พิมขึ้นเครื่องไฟล์ทบ่ายสองค่ะ ถึงกรุงเทพฯก็คงสักบ่ายสามค่ะ”
เอกพลลงจากรถหรูอย่างเท่ กำลังจะเดินเข้าร้านอาหาร
“ถ้างั้นผมจะไปรอที่สนามบินตอนบ่ายสามนะครับ เราจะได้เลยไปถ่ายวีดีโอกันเลย แล้วจะได้ไปดูห้องจัดเลี้ยงด้วยว่าคุณชอบไหม”
พิมภาสีหน้าเฉยเมยมากบอหเสียงนิ่ง
“ก็ได้ค่ะ”
“พิม คืนนี้มาดินเนอร์ที่ห้องผมไหม”
พิมภารีบตัดบท
“พิมเหนื่อยมากเลย ไว้กลับไปแล้วค่อยคุยกันนะคะ สวัสดีค่ะ”
พิมภากดวางสาย เอกพลนั่งลงอย่างแค้น
“กล้าตัดสายฉันเหรอ ถ้าไม่คิดว่าเธอมีประโยชน์นะ พิมภา”
ปราสินีเดินเข้ามากอดเอกพลจากด้านหลัง มือของปราสินีลูบไล้ที่อก
เอกพลยิ้มใช้มือจับมือปราสินีขึ้นมาจูบขณะยิ้มร้ายในสีหน้า
คุณสามี(กำมะลอ)ที่รัก ตอนที่ 1 (ต่อ)
ตรงบริเวณลานจอดรถ เวลาเช้า พิมภาวางมือถือลงกระเป๋าอย่างเซ็งๆ แล้วหันมาหานันทิกานต์
“เดี๋ยวเอารถไปคืนบริษัทรถเช่าแล้วก็ไปเก็บกระเป๋าที่โรงแรมเลยนะ”
พิมภาพูดจบก็สตาร์ทรถจะขับออกไป ที่ด้านข้างรถ ฤชวีกำลังวิ่งมาที่ลานจอดรถและมองหา เขาเห็นเธอที่ขับรถออกไป
“คุณครับ..คุณ” ฤชวีวิ่งตาม
วินาทีที่รถเลี้ยวจะออกไปอีกทาง ฤชวีมองปราดสายตาเห็นสติกเกอร์ที่ติดข้างรถว่าเป็นรถเช่า เขารีบวิ่งไปทางรถสองแถวที่จอดอยู่อีกมุม
“เข้าตัวเมืองด่วนเลยครับ”
ฤชวีรีบขึ้นรถ สองแถวขับออกไป
ในเวลากลางวัน รถเช่าของพิมพาจอดที่อยู่ที่หน้าบริษัทเช่ารถ พิมภากับนันทิกานต์เดินออกมาจากบริษัทฯ เพื่อรอรถสองแถว พิมภาสีหน้าเซ็ง
“หน้าแกร่าเริงสมกับเป็นคนใกล้จะแต่งงานมาก ๆ ไอ้พิม ถ้ามันไม่รู้สึกวี้ดวิ้วกับเขา แล้วแกจะแต่งงานกับพี่เอกทำไมวะ บอกตรง ๆนะ ฉันว่าตาพี่เอกนี่ไม่ค่อยเวิร์กไงไม่รู้วะ สังหรณ์ตะหงิด ๆ” นันทิกานต์บอก
“เขาเป็นที่ปรึกษาทางการตลาดที่คร่ำหวอดในวงการเครื่องสำอาง หน้าตาก็โอเค เดินด้วยก็ไม่อายใคร ฐานะก็ใช้ได้คงไม่มาเดือดร้อนเงินฉัน”
นันทิกานต์พูดอย่างรู้ทัน
“เพราะแกจะไม่ยอมควักน่ะสิ”
“เกินไป ฉันจ่ายตามที่มันสมควร ฉันกับพี่เอกคบกันมาสามปี ฉันว่ามันก็ได้เวลาแล้วนะ”
“แต่แกไม่ได้รักนี่”
“ไม่จำเป็นต้องรัก ฉันจะสามสิบแล้วนะ ถ้าขายออกก็ต้องคว้าไว้ก่อน ถ้าฉันต้องโหนคาน ยัยลัลนามันต้องเหยียบฉันจมทะลุแกนโลกแน่ คนอย่างพิมภาฆ่าได้ หยามไม่ได้”
“การอยู่อย่างคนอยากเอาชนะมันจะทำให้แกเป็นผู้ชนะจริงเหรอวะพิมแกรออีกนิด อาจจะได้เจอผู้ชายแสนดีที่ทำให้แกรักเขาหมดหัวใจก็ได้นะเว้ย”
“ชีวิตจริงมันไม่มีหรอกผู้ชายแสนดีน่ะ มันมีแต่ในละครทีวี”
รถสองแถวีกคันหนึ่งวิ่งมาจอด พิมภากับนันทิกานต์ขึ้นรถ รถแล่นออกไปขณะที่ฤชวีวิ่งเข้ามามองหาสองสาว เขาเห็นรถคันที่พิมภาขับจอดอยู่ ฤชวีรีบเข้าไปในบริษัทเช่ารถในทันที
ฤชวีเข้ามาในบริษัทฯมองหาไม่เห็นพิมภาก็ตรงไปหาพนักงานเพื่อสอบถาม
“ขอสอบถามหน่อยครับ รถคันที่จอดอยู่หน้าบริษัท ผู้เช่าชื่ออะไร ติดต่อได้ที่ไหนครับ”
“ต้องขอโทษด้วยนะคะ เราไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลของลูกค้าได้จริงๆ ค่ะ”
“คือผมเก็บของ ๆ คุณผู้หญิงได้น่ะครับ”
“ถ้างั้น...ฝากทางเราไว้ไหมคะ เราจะโทรแจ้งให้จะสะดวกกว่า”
“ขอบคุณครับ”
ฤชวีสีหน้าเซ็งจำต้องเดินออกไปนอกออฟฟิศอย่างหมดหวัง พลันขาของเขาก็กระตุกเพราะเสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือ เขารีบล้วงโทรศัพท์มือถือออกมา
“ครับ กิ่ง”
ภายในห้องทำงานที่สำนักพิมพ์ในเวลากลางคืน กิ่งแก้วสีหน้าร้อนรนมากพูดเสียงรัวใส่ฤชวีทันที
“ต้นเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“กิ่งใจเย็นๆ แค่เรื่องเข้าใจผิด มีบู๊นิดหน่อย”
กิ่งแก้วตกใจ
“แล้วต้นเป็นอะไรหรือเปล่า”
“ผมปลอดภัย แต่...”
“แต่อะไร”
“แต่ผมเจอคนที่ฟ้าส่งมาให้แล้วนะกิ่ง”
“ใครเหรอต้น” กิ่งแก้วพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
เครื่องบินลงจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิในเวลาบ่าย ภายในรถ เอกพลประจำหน้าที่คนขับ พิมภานั่งที่นั่งข้างคนขับ นันทิกานต์นั่งอยู่ด้านหลัง
เอกพล ที่ปรึกษาการตลาดสุดฮอตของเมืองไทยถามกับพิมภา
“เหนื่อยไหมครับ”
นันทิกานต์จงใจกวน
“ที่สุดล่ะค่ะพี่เอก เดินกันจนทั่วดอย ทำงานไม่หยุดไม่หย่อนเลย”
“แล้ว...”
“อาหารก็อร็อย..อร่อย ไหมพี่”
นันทิกานต์ยื่นถุงแคบหมูทีเปิดแล้วให้ แถมยังหยิบมาเคี้ยวกวนๆ ใส่จนเอกพลรำคาญ
“คุณแนนครับ ผมถามพิมน่ะครับ”
“แนนตอบก็เหมือนพิมตอบล่ะค่ะ เราเพื่อนรักกันมาก พี่เอกไม่ค่อยมีใครคบ ไม่มีเพื่อนก็คงไม่คุ้นน่ะค่ะ”
เอกพลหน้าตึง พิมภารีบห้ามทัพด้วยการเปลี่ยนเรื่องทันที
“จะรีบไปถ่ายวีดีโอไม่ใช่เหรอคะ รีบไปเถอะค่ะ”
“ครับ”
เอกพลไม่วายส่งสายตามองนันทิกานต์อย่างแค้นเคือง
ส่วนนันทิกานต์ลอยหน้าลอยตาหัวเราะไม่มีเสียงใส่อย่างสะใจ
ยามบ่าย ที่มุมสวนสวยของโรงแรม เอกพลเดินนำพิมภาซึ่งเปลี่ยนชุด แต่งหน้าเรียบร้อยแล้วเข้ามา ช่างแต่งหน้าตามมาจับ ๆ ตรงมุมที่ถูกจัดเป็นซุ้มที่นั่งสวย ๆ นันทิกานต์เดินตามมา เอกพลพูดกับทีมงาน
“พร้อมแล้วครับ”
“เชิญครับ นั่งที่กลางซุ้มนะครับ” ทีมงานบอก
เอกพลกับพิมภานั่งลงที่ซุ้ม
ทีมงานเริ่มบันทึกเทป
“พูดถึงความประทับใจที่มีต่อกันครับ เริ่มที่เจ้าบ่าวก่อนนะครับ”
เอกพลมองกล้องแล้วยิ้ม
“พิมเป็นผู้หญิงที่สวยและเก่ง สมบูรณ์แบบที่สุดที่ผมเคยเจอ และพิมจะเป็นภรรยาที่ผมจะเดินเคียงข้างด้วยความภูมิใจ”
เอกพลหันไปยิ้มกับพิมภาที่ฉีกยิ้มอย่างฝืนมาก
“เจ้าสาวล่ะครับ”
“พิมชอบคนเก่งค่ะ พี่เอกเป็นคนเก่งมีความสามารถ เป็นผู้ชายแบบที่พิมชื่นชมค่ะ”
นันทิกานต์สะดุ้งที่พิมภาจบดื้อๆซะอย่างนั้น
“ซับหน้าหน่อยครับ” ทีมงานบอก
พิมภาลุกออกมา เอกพลยังนั่งอยู่ที่เดิม ช่างแต่งหน้าเข้ามาซับหน้าพิมภาให้แล้วเดินไปซับหน้าเอกพล
นันทิกานต์รีบเข้ามาประกบพิมภา
“ฟังแล้วน้ำตาจะไหลเลยแก”
“จริงเหรอ”
“ไม่จริงหรอก สายตาแกแห้งแล้งที่สุดอ่ะพิม แกกับพี่เอกเหมาะที่จะแต่งงานกันม๊ากมาก พูดแต่เก่ง หล่อ สวย ไม่มีใครพูดว่ารักสักคน”
พิมภาสวนขึ้นทันที
“ก็ฉันไม่ได้ระ (รัก)”
พิมภาคิดได้แล้วชะงักคำพูดอยู่แค่นั้น นันทิกานต์ชี้หน้าอย่างจับผิด
“แอะ แอะ ยอมรับแล้วใช่ไหมว่าแกไม่ได้รักไอ้พี่เอกนี่”
“ฉัน”
“พิม”
ทุกคนหันตามเสียงเห็นปราสินี เพื่อนรักลายครามร่วมมหาวิทยาลัย เจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด ถือน้ำสองแก้วเข้ามาหาพิมภา
“มะนาวโซดาของพิมจ๊ะ”
พิมภาดีใจถาม
“ ปลา มาด้วยเหรอ”
“พี่เอกบอกว่าพิมจะมาถ่ายวีดีโอ ปลาก็เลยมาเป็นกำลังใจจ๊ะ”
พิมภากอดปราสินี
“ปลาน่ารักที่สุดเลย ช่วงปิดยอดแท้ๆ ยังเป็นห่วงพิมอีก”
“ห่วงกับอยากรู้อยากเห็นมันไม่เหมือนกันนะแก ต้องแยกแยะ” นันทิกานต์พูดขึ้นอย่างรู้ทัน
“แนนชอบพูดเหมือนปลาไม่ห่วงพิมเลย” ปราสินีบอก
พิมภาปกป้องพลางซบกอดปราสินีทันที
“ชาติก่อนแนนมันคงเป็นไก่ล่ะมั้ง ชาตินี้ถึงชอบจิก ๆ ๆ คนไม่มีทางสู้อย่างเรา”
ปราสินีซบตอบแล้วบอก
“นั่นสิ ผู้หญิงอ่อนแออย่างเราจะสู้ใครได้เนอะ”
“โถ ๆ ๆ แม่สาวน้อยผู้บอบบาง บอบบางเป็นช้างถึกทั้งคู่เลย ว่าแต่แก้วโน้นของไอ้พิม แก้วในมือแกก็ของฉันใช่มะ” นันทิกานต์ทำท่าจะคว้า
ปราสินียกแก้วหลบ
“แก้วนั้นของเจ้าสาว แก้วนี้ก็ต้องของเจ้าบ่าวสิจ๊ะ”
ปราสินีเดินไปหาเอกพล
“คาปูชิโนเย็นของพี่เอกค่ะ”
เอกพลยิ้มรับแก้วน้ำจากปราสินี
“ขอบคุณครับ”
มือเอกพลแตะโดนมือปราสินีที่ยิ้มเขินและมองขาอย่างอายๆ
ปราสินีหันมาหาพิมภา
“พิมจ๊ะ เรื่องดอกไม้ในงาน ปลาจัดการให้เรียบร้อยแล้วนะ”
“นี่...ยัยแนนดูไว้ เพื่อนตัวอย่างมันต้องแบบนี้” พิมภาบอก
“ใช่สิ แกเล่นใช้ให้ยัยปลาจัดการเรื่องงานแต่งทุกอย่างเหลืออย่างเดียวที่ไม่ให้ทำ” นันทิกานต์ว่า
“อะไร”
“เป็นเจ้าสาวซะเองไง แต่ป่านนี้ยังไม่มีแฟน อีกไม่นานคงโหนคานเป็นเพื่อนฉันมั้ง”
“บ้าแล้วแก สวย ๆ อย่างปลาไม่มีทางโสดหรอก ฉันคอนเฟิร์ม...เนอะ”
ปราสินียิ้มให้พิมภา นันทิกานต์มองปราสินีอย่างไม่ค่อยชอบใจ
“งั้นมั้ง”
นันทิกานต์เดินออกไป พิมภารีบตาม ปราสินีมองตามอย่างกังวล
นันทิกานต์เดินอย่างเซ็งๆ ออกไป พิมภารีบตามมาดึงไว้
“ไอ้แนน แนน ปลามันทำอะไรให้แก แกถึงชอบกัดมันนัก”
“ใช่สิ ฉันมันหมานี่ กัดไม่เลือก แต่ฉันก็ไม่ลอบกัดใคร”
“แนน ฉันกับปลาเป็นเพื่อนกันมาตั้งเจ็ดแปดปีแล้วนะ ฉันไม่เห็นว่าปลามันจะเคยร้ายกับใครเลย”
นันทิกานต์เสียงสูงบอก
“นั่นสิ เพื่อนที่คบแค่ปีสองปีอย่างฉันน่ะมันร้าย มันไม่ดี”
“มันสวยมาก” พิมภารีบต่อทันที
“ตรงข้อนี้ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ พิม เอ็นดูเขาระวังเอ็นเราขาดนะแก ฉันว่ายัยปลามันกลิ่นตุๆ”
“ที่แกได้กลิ่นน่ะ กลิ่นตัวแกมั้ง”
“เป็นไปได้ เว้ย ยัยพิม..ยัยปลาน่ะ”
พิมภายกมือห้าม
“ปลาก็เพื่อน แกก็เพื่อน ฉันเชื่อใจทั้งคู่ โอเคมะ”
“แปลว่าอย่าสร้างปัญหา รับทราบ”
“ฉันเหนื่อยแล้วก็อยากกลับไปวางแผนงานพรีเซนต์ในที่ประชุมพรุ่งนี้ด้วย กลับบ้านกันดีกว่าไป”
พิมภาลากนันทิกานต์เดินไป เพื่อนซี้เดินตามด้วยสายตาเป็นห่วงพิมภามาก
รถเอกพลเข้ามาจอดที่คอนโดฯ พิมภาในเวลากลางคืน
“พิมจ๊ะ แล้วเรื่องที่จะเสนอผมเป็นคอนเซาท์ให้ทางNaree ไปถึงไหนแล้วจ๊ะ”
“บอสบอกว่าหลังแต่งงานให้พาพี่เอกเข้าไปคุยที่บริษัทค่ะ วันนี้ขอบคุณมากนะคะ พี่เอก”
พิมภาจะลงจากรถ แต่เอกพลดึงไว้แล้วจะกอดหอม พิมภาตกใจ
“พี่เอก”
“มะรืนนี้เราจะแต่งงานกันแล้ว ขอพี่ชื่นใจหน่อยนะ”
“อย่าค่ะพี่เอก อย่าค่ะ”
แต่เอกพลไม่ยอมหยุด สิ้นเสียงพิมภาผลักเอกพลสุดแรงจนหัวกระแทกกระจก โป๊ก!
“โอ้ย!”
เอกพลถึงกับมึน นั่งงงอยู่
“พี่เอก พิมไม่ได้ตั้งใจ ก็พิมบอกแล้วว่าอย่า ยังไงเราก็ต้องแต่งงานกันอยู่แล้ว”
พิมภาเปิดประตู
“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง”
พิมภาเดินลงไป เอกพลยังนั่งมึนเสียศูนย์มองตามด้วยสายตาแค้น อาฆาต
“นังตัวแสบ ให้แต่งงานก่อนเถอะ”
ภายในห้องพิมภา บนคอนโดฯ ทันทีที่เธอปืดประตูห้อง ก็รีบเอากระดาษมาเช็ดคอ เช็ดหน้า
“แต่งงานแล้วก็ต้องเจอแบบนี้ตลอดใช่ไหมเนี่ย...ทำไมมันไม่เคลิ้มหวานเหมือนในหนังนะ” พิมภาพูดกับตัวเองพลางทำท่าขนลุกซู่
พิมภานึกถึงคำพูดของนันทิกานต์เมื่อตอนกลางวัน
“ไม่จริงหรอก สายตาแกแห้งแล้งที่สุดอ่ะพิม แกกับพี่เอกเหมาะที่จะแต่งงานกันม๊ากมาก พูดแต่เก่ง หล่อ สวย ไม่มีใครพูดว่ารักสักคน”
พิมภาพูดสวน
“ก็ฉันไม่ได้ระ (รัก)”
พิมภ่คิดได้แล้วชะงัก นันทิกานต์ชี้หน้าอย่างจับผิด
“แอะ แอะ ยอมรับแล้วใช่ไหมว่าแกไม่ได้รักไอ้พี่เอกนี่”
“ฉัน”
พิมภาทิ้งตัวลงนั่งอย่างเครียด ๆ ก่อนจะมองไปที่ชุดเจ้าสาวที่ใส่หุ่นตั้งอยู่กลางห้อง
เสียงตึง ! ดังจากหน้าห้องทำให้พิมภาชะงักหันมองตามเสียง
ผัวเมียห้องตรงข้ามกำลังทะเลาะกันเอาเป็นเอาตายที่ตรงทางเดิน
“คุณจะไปไม่ได้นะ ฉันไม่ให้ไป”
“ผมจะไปหาใครก็เรื่องของผม ปล่อย”
“ฉันเป็นเมียนะ”
“เขาก็เมียเหมือนกัน”
ฝ่ายเมียเข้าไปทุบรัวตีฝ่ายชายร้อง “เลว ๆ ๆ”
ฝ่ายผัวปัดป้องร้องโวยวาย ผัวสะบัด
“โธ่เว้ย ! บอกให้หยุดไง”
พิมภายืนอึ้งๆนึกถึงตัวเอง ไม่รู้จะเอาไงดี
เสียงระฆังเล็ก ๆ ดัง เหง่ง! ทั้งพิมภากับคู่ผัวเมียชะงักหันไปตามเสียง
ภาณุวัฒน์ พ่อของพิมภา อดีตนายตำรวจวัย 50 หน้าเหี้ยมแต่ยิ้มอิ่มบุญ ใส่ชุดแนวขาว ปฏิบัติธรรมเดินเข้ามา พิมภาเห็นแววว่ามีเรื่องแน่ ก็ร้องบอก “พ่อ อย่า”
ภาณุวัฒน์เดินหลบพิมภาเข้าไปหาฝ่ายผัวสอนธรรมะ
“กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี การเว้นจากการประพฤติผิดในกามทั้งหลายจะนำความสงบสุขมาสู่ครอบครัว”
“นี่พวกคุณมายุ่งอะไรด้วย นี่เธอไปตามใครมา มันใช่เรื่องไหม” ฝ่ายผัวถามเมีย
พิมมาลา แม่ของพิมภาในวัย 48 ก็เดินเข้ามาอีกคน แถมยังจ้องฝ่ายผัวด้วยสีหน้าดุ พลางพูดด้วยน้ำเสียงสั่งสอนอย่างจริงจัง
“ภรรยาคุณไม่ได้ตามเรามา แต่เราทนเห็นผู้หญิงถูกทำร้ายจิตใจไม่ได้”
“แม่..ไม่ใช่เรื่องของเรานะแม่” พิมภาบอก
“มันเป็นเรื่องของลูกผู้หญิงด้วยกัน แล้วแม่ก็ยอมไม่ได้ที่คนเป็นสามีจะขโมยของ ๆ ภรรยาตัวเองไปให้ผู้หญิงอื่น”
ฝ่ายเมียหันมองแล้วถาม
“นี่แกขโมยของฉันเหรอ”
“พูดมั่วอะไรวะ ใครขโมยอะไร”
“สายสร้อยทองที่ห้อยอยู่ตรงกระเป๋ากางเกง เป็นสร้อยลายดอกไม้แบบที่ผู้ชายไม่ใส่ ท่าทางร้อนรน เหงื่อแตกเป็นลักษณะของคนที่ปิดบังความผิด” พิมมาลาบอก
มือถือในมือผัวสั่นตื้ด...ตื้ด พร้อมมีไฟกระพริบ พิมมาลาพูดกับภรรยา
“ปกติปิดเสียงโทรศัพท์ไหม”
“ไม่ค่ะ”
“ปิดเสียงแสดงว่าไม่ต้องการให้ภรรยาอารมณ์เสียจนรู้ตัว ทำเนียน ๆ เอาใจ แต่คงใกล้จะได้เวลานัดก็เลยใช้วิธีเสียงดังโวยวายหาเรื่องออกไปข้างนอก”
“เฮ้ย” ฝ่ายผัวร้องขึ้นอย่างสงสัยว่า รู้ได้ยังไง
ภัทรพล พี่ชายพิมภา วัย 35 ปี เจ้าของธุรกิจค้าพลอยโผล่มาตรงกลางระหว่างภาณุวัฒน์กับพิมมาลาอีกคน
ทั้งภานุวัฒน์กับภัทรพลต่างพูดในประโยคเดียวกัน
“แสดงว่าเป๊ะ!”
ฝ่ายเมียพยายามจะเข้าไปล้วงกระเป๋าผัวเป็นการใหญ่
“เอาของฉันคืนมานะ”
“พี่ชายแต่งงานแล้วต้องจำไว้นะครับว่า รักเมียต้องอดทน ต้องเป็นคนเคารพเมีย รักเมียต้องส่งเสีย อย่าให้เมียต้องสงสัย รักเมียต้องรักเดียว อย่าได้เที่ยวไปรักใคร รักเมียต้องทำใจ ถึงอย่างไรเธอก้อเมีย”
ฝ่ายผัวยิ่งอารมณ์ขึ้นเพราะจะรีบไป
“มันเรื่องของผม พวกคุณไม่เกี่ยว”
“ฉันไม่ให้ไป เอาของฉันคืนมา”
“ปล่อยนะอีแก่ เหี่ยวเก่าอย่างแกไม่เอาหรอกโว้ย”
พิมภาที่หมายจะเข้ามาห้ามก็อารมณ์ขึ้นเลย
“เฮ้ย คุณ พูดงี้กับเมียได้ยังไง”
“คุณเกี่ยวอะไรด้วย อีแก่นี่มันเมียผม ผมจะพูดยังไงก็ได้”
“อ้าว ๆ กดขี่ข่มเหงมันต้องโดน”
พิมภาจะปรี่เข้าไป แต่ภัทรพลเข้ามาขวาง
“ไอ้พิมอย่า...”
“เราไม่ควรใช้กำลังนะพิม มันไม่ถูกต้อง” ภาณุวัฒน์บอก
“แต่ผู้ชายแบบนี้มันเอาไว้ไม่ได้หยามเมียได้ไง”
ฝ่ายผัวพยายามสะบัดมือเมียแล้วบอก
“ยิ่งกว่าหยามก็ทำได้ ปล่อยสิวะ”
“ไม่”
ผัวตบเมียผัวะ!
“เฮ้ย!” พิมภาร้องขึ้น
ผัวมองด้วยสีหน้าเย้ย ๆถาม
“มีอะไรไหม”
ภาณุวัฒน์เสียงเข้ม
“มี”
ผัวหันไปถาม
“ลุงจะทำ...”
พูดยังไม่ทันจบประโยค ภาณุวัฒน์ก็เปลี่ยนสีหน้าอย่างโหดต่อยผัวะ!
“อย่าใช้กำลังกับผู้หญิง จำไว้ อย่าใช้กำลัง”
ภาณุวัฒน์ต่อยรัวเป็นชุด ทุกคนตะลึงยืนมอง พิมภารู้สึกตัวก่อนใคร รีบบอก
“ช่วยกันห้ามสิแม่ พี่พล”
พิมมาลากับภัทรพลรู้สึกตัวเข้าไปช่วยกันแยกออกอย่างชุลมุน
ภายในห้อง พิมภาอยู่ในสภาพกระเซอะกระเซิงพอประมาณ
“พ่อนะพ่อ เมื่อไหร่พ่อจะเลิกเห็นเรื่องชาวบ้านเป็นงานของเราสักที”
“บำบัดทุกข์ บำรุงสุขมันเป็นหน้าที่ของพ่อ” ภาณุวัฒน์บอก
“แต่พ่อเกษียณแล้ว ถ้าเกิดไปเจอพวกบ้าๆ จะทำยังไง” พิมภาถาม
“ทำเป็นพูดดี แกเริ่มก่อนใครเลยไอ้พิม” ภัทรพลว่า
“เอ้า รังแกผู้หญิงนี่ พิมไม่ทนหรอกนะ”
ภาณุวัฒน์,ภัทรพล,พิมมาลาพูดขึ้นพร้อมกัน
“ก็เหมือนกัน”
พิมภาเถียงไม่ออก
“แกเป็นลูก แกยังขนาดนี้ แล้วพ่อ แม่กับพี่ชายแกจะทนได้ยังไงจริงไหม” พิมมาลาว่า
“แล้วนี่ยกกันมาหมดแบบนี้ทำไมไม่บอกพิมก่อนจะได้จัดห้อง”
“จัดห้อง...”
พิมมาลาพูดก่อนมองไปเห็นสภาพห้องที่ไม่เป็นระเบียบ รกพอสมควร
“ฉันนึกไม่ออกเลยว่าห้องแกจะจัดให้มันสะอาดยังไง แล้วไอ้แฟนขี้เต๊ะของแกมันรู้ไหมเนี่ยว่า เรื่องงานบ้าน แกไม่ได้เรื่องเลย” ภัทรพลถาม
“ก็จ้างแม่บ้านก็สิ้นเรื่อง”
ภัทรพลตกใจมากถาม
“แกจะจ่ายเงินจ้างแม่บ้าน”
“เงินพี่เอกเขาไม่ใช่เงินฉัน มาพี่พลช่วยฉันเก็บห้องหน่อย”
“ไม่ต้องหรอก แม่เขาเช่าห้องข้างๆ แกไว้แล้ว ไม่อยากตัวคันเพราะนอนห้องแก”
“เวอร์ได้อีกน่ะพี่พล”
“พิม แน่ใจแล้วเหรอลูก พ่อว่าลูกน่าจะคิดดีๆ อีกทีนะ” ภาณุวัฒน์ว่า
“พ่อมะรืนนี้พิมจะแต่งกับเขาอยู่แล้ว คิดใหม่ก็ไม่ทันแล้ว”
“พิม...เชื่อแม่นะ คนที่ฉาบทุกอย่างด้วยแบรนด์เนมจนเกินจำเป็น แสดงว่าเขาพยายามกลบเกลื่อนปิดบังเนื้อแท้ที่ไม่สวยงามอยู่ แม่รู้สึกว่าเขาไม่เหมาะกับลูกหรอกนะ”
“ขี้เต๊ะก็เท่านั้น ดูมันไม่จริงใจ แปลก ๆ” ภัทรพลบอก
“พ่อว่ายกเลิกดีกว่า”
“ไม่จ๊ะ” พิมภายืนยัน
ภาณุวัฒน์เสียงดุ
“พิม”
พิมภาบีบน้ำตาบอก
“พ่อจ๋า ให้พิมตัดสินใจเรื่องนี้เองเถอะนะพ่อนะ นะจ๊ะพ่อ”
ภาณุวัฒน์แพ้ทางลูกสาวบอก
“จ๊ะ ๆ ตามใจ”
ทั้งพิมมาลากับภัทรพลมองภาณุวัฒน์อย่างเซ็งที่หลงกลพิมภาอีกแล้ว
“ดึกแล้ว พิมต้องทำงานต่อ มีประชุมเช้าด้วย พิมไปนอนก่อนนะจ๊ะพ่อจ๋าแม่จ๋า”
พิมภาเดินชิ่งหนีเข้าห้องไปทันที
“นึกว่าจะแน่” พิมมาลาว่า
“ก็พ่อ..สงสารลูก”
พิมมาลานึกเซ็งบอก
“ให้มันแต่งไป ดื้ออย่างยัยพิมมันต้องเจอบทเรียนถึงจะเข็ด”
“กว่าจะได้บทเรียน มันจะได้ไม่คุ้มเสียน่ะสิแม่” ภัทรพลว่า
ภาณุวัฒน์ พิมมาลา ภัทรพลมองหน้ากันพร้อมถอนหายใจโดยไม่ได้นัดหมาย
บ้านมิ้นท์ ที่กรุงเทพฯ ฤชวีเปิดตู้เย็นหยิบน้ำส้มออกมาเทใส่แก้วแล้วเดินมานั่งที่หน้าโต๊ะรับแขก ซึ่งมีโน้ตบุ๊กตั้งอยู่ ในจอเป็นงานนิยายที่ฤชวีพิมพ์พิมพ์อยู่
“คุณเป็นซากุระน้อยๆ ที่บานในใจผม”
ฤชวีหยุดพิมพ์จะหยิบน้ำส้มมาดื่มอีก แต่สายตาสะดุดที่ผ้าเช็ดหน้าที่ถูกพับวางไว้อย่างดี เขายิ้มเคลิ้มนึกถึงรอยยิ้มของพิมภา แทนที่จะพิม์งานต่อ เขากลับกอดหมอนเขินๆ และยิ้มอย่างประทับใจ
“เป็นครั้งแรกที่ผมไม่สนว่ามันจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน ขอแค่ให้ทุกเวลามีคุณอยู่ข้าง ๆผมก็พอ”
ฤชวีเอามือแตะที่ผ้าเช็ดหน้า
“ถ้าได้เจอกันอีกครั้ง ผมจะไม่พลาดอีกแน่ๆ”
มิ้นท์ อาร์ตไดเร็กเตอร์บริษัทโฆษณา วัย 23 น้องสาวของฤชวี ชะโงกหน้ามาข้างๆเขาแล้วถาม
“พลาดอะไรเหรอพี่ต้น”
“ก็พลาด”
ฤชวีหันมาเห็นหน้ามิ้นอย่างเซอร์โทรมก็ชักสติกลับมาทันที
เฮ้ย! มิ้นท์ เข้ามาตอนไหน มาเงียบๆ พี่ช็อกตายทำไง”
มิ้นท์วางกระเป๋าลงแล้วบอก
“ทำศพสิพี่ ถามไม่คิด นี่พี่กลับมาจากอเมริกาเมื่อไหร่ ไม่เห็นบอกกันมั่งเลย”
“สองอาทิตย์แล้ว”
“สองอาทิตย์ แล้วคุณย่ารู้หรือเปล่าเนี่ย”
“ไม่รู้หรอก พี่กลับมาปุ๊บก็ตรงไปเชียงใหม่เลย ทำงานน่ะ แต่แกห้ามบอกคุณย่าเด็ดขาดนะว่าพี่กลับมาแล้ว”
“โอ้ย! ระดับคุณย่าชุติภาของเราน่ะ กระดิกนิ้วสองที ก็ตามพี่เจอแล้วนี่ก็โทรจิกมิ้นท์ถี่มาก เห็นว่าเล็งสาวไว้ให้พี่ต้นคนนึง”
“ก็สาเหตุนี้ล่ะที่พี่พยายามหลบท่านอยู่ พี่ต้องรีบทำงานแล้วก็ไม่อยากปวดหัวไปดูตัวกับใคร”
มิ้นท์ยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าพิมภาขึ้นมาอย่างรู้ทันพร้อมทำเสียงล้อเลียน
“เพราะเจ้าของผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ใช่ป่ะ ...เป็นครั้งแรกที่ผมไม่สนว่ามันจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน ขอ
แค่ให้ทุกเวลามีคุณอยู่ข้าง ๆผมก็พอ”
“พี่เขียนนิยายอยู่”
“เหรอ งั้นผ้าเช็ดหน้าผืนนี้มิ้นท์ขอนะ”
“ไม่ได้” ฤชวีรีบคว้ามาผ้าเช็ดหน้ากลับมา
“ฮ่าๆ ๆ ฤาษีต้นกล้าตบะจะแตกแหะ อยากรู้จริงๆ ว่าเจ้าของผ้าเช็ดหน้าผืนนี้หน้าตาเป็นยังไง”
“สวยมาก”
“โว้ว...เป็นใคร อยู่ที่ไหนอ่ะพี่ แนะนำให้น้องรู้จักมั่งดิ”
“เจอกันที่เชียงใหม่ เข้าใจผิดกันนิดหน่อยพอเคลียร์ได้ เขาก็รีบไปเลยไม่ได้ถามชื่อ”
มิ้นท์ผิดหวังแทนบอก
“ ว้า...แห้วสิพี่ชาย”
“ไม่หรอก พี่เชื่อว่าเราต้องได้เจอกันอีก”
“ขอให้ได้ขอให้โดนพี่ มิ้นท์ไปนอนก่อนนะพรุ่งนี้มีกองถ่ายโฆษณาตัวใหม่ ต้องไปประกบใกล้ชิด”
“ไปเถอะ แต่อย่าลืมห้ามบอกคุณย่าเด็ดขาดนะ”
มิ้นท์มองฤชวีแล้วแกล้งมองไปด้านหลังทำตาโตตกใจ
“คุณย่า”
ฤชวีตกใจรีบหันไปทันที แต่ไม่เห็นมีใคร
“เจ้ามิ้นท์”
“คุณย่าจริง ๆ”
มิ้นท์เดินเข้าไปใกล้รูปคุณย่าชุติภาที่แขวนอยู่แล้วว่า
“สวัสดีค่าคุณย่า”
มิ้นท์ยิ้มทะเล้นแล้วรีบคว้ากระเป๋าวิ่งขึ้นห้องไป ฤชวีมองตามอย่างเอ็นดูพลางมองภาพคุณย่าชุติภา แล้วยกมือไหว้
“ผมขอเวลาทำงานก่อนนะครับคุณย่า”
ฤชวีหันมาฮึดพิมพ์นิยายต่ออย่างมีพลัง
คุณสามี(กำมะลอ)ที่รัก ตอนที่ 1 (ต่อ)
เช้าวันใหม่ เสียงนาฬิกาปลุกดังลั่น พิมภาเด้งตัวขึ้นมาจากเตียงกดดับเสียงทันที เสียงนาฬิกาอีกเครื่องดังในห้องน้ำ เธอลุกเดินไปที่ห้องน้ำโดยที่ไม่ลืมตา
ในห้องน้ำ พิมภาก้าวเข้ามายืน ทันใดนั้นเสียงนาฬิกาดังมาจากรอบด้าน ภายในห้องน้ำนาฬิกาวางเต็มไปหมด พิมภาสะดุ้งรู้สึกตัวมองนาฬิกาบอกเวลาเจ็ดโมงสี่สิบห้า
พิมภาหันมองตัวเองในกระจก
“สิบห้านาที”
พิมภาหันควับหากระจก ตู้เสื้อผ้าในห้อง พิมภากรีดนิ้วดึงชุดออกมา
พิมภาเปิดประตูออกมา เห็นที่โต๊ะอาหารพิมมาลา ภัทรพล ภาณุวัฒน์นั่งอยู่ที่โต๊ะกันอย่างพร้อมหน้า
พิมมาลาชูขนมปังแซนวิช
“ประชุมตอนเช้าใช่ไหมแม่” ภัทรพลถาม
“อืม”
ทุกคนนั่งทานกันต่ออย่างเคยชิน
ในเวลาต่อมา รถสปอร์ตคันเก๋ของพิมภาแล่นอยู่บนถนนมุ่งหน้าไปบริษัทNaree เธอสวมแว่นกันแดดเก๋ ๆพลางมองนาฬิกาในรถ เห็นว่าเป็นเวลาเจ็ดโมงห้าสิบแล้วจึงเร่งความเร็ว
รถเก๋งคันเก๋อีกคันแล่นมาจี้ด้านหลังและขึ้นมาตีคู่ พิมภาหันมองรถข้างๆ รู้เลยว่าเป็นลัลนา วัย 27 มือซ้ายของนักการตลาดที่บริษัทฯ
“คิดจะแซงฉันเหรอ ไม่มีทาง”
พิมภาเหยียบคันจนเร่งสุดตัว
ภายในรถอีกคัน ลัลนาใส่แว่นกันแดดสุดเก๋ยิ้มเหยียดแล้วเหยียบสุด ๆ รถสองคันวิ่งด้วยความเร็วตีคู่กันไปอย่างไม่มีใครยอมใคร
เวลาเช้า ปราสินีเดินเข้ามาเห็นกลุ่มพนักงานกรูกันออกมาที่หน้าบริษัท Nareeนันทิกานต์เดินออกมาด้วย
“แนน” ปราสินีเรียก
ซูซี่ สาวใหญ่วัย 40 คู่หูลัลนา แต่งเต็มแต่งเวอร์แบบไม่ดูสังขารวิ่งพรวดมาชนปราสินีอย่างจัง
“พี่ซูซี่ มันเจ็บนะคะ”
“อ้าวก็พี่ไม่เห็นหัวน้องปลานี่จ๊ะ มายืนเกะกะทำไมล่ะ”
ซูซี่รีบไปรวมกลุ่มกับพนักงานที่ยืนใกล้นันทิกานต์ที่ยืนรออย่างใจจดจ่อ ปราสินีมองอย่างน้อยใจ โดดเดี่ยวไม่มีใครสนใจสักนิด
รถพิมภากับลัลนาวิ่งเข้ามา พนักงานฮือฮา
“มาแล้ว”
พิมภาแซงรถลัลนามาปาดจอดที่หน้าบริษัทเอี๊ยด! รถลัลนามาจอดต่อด้านหลัง เอี๊ยด!
ประตูรถทั้งสองคันเปิดออกมาพร้อมกัน พิมภากับลัลนาก้าวขาลงมาจากรถ พนักงานสีหน้าชื่นชม
“แม่เจ้า”
พิมภากับลัลนาเดินอ้อมหน้ารถตัวเองจะเข้าบริษัท ทั้งคู่แต่งตัวกันสวยงาม พิมภาเก๋ตามแฟชั่นสไตล์สาวเท่ห์ ในขณะที่ลัลนาจะแนวเน้นอกตูม แบ๊วสายพันธุ์เกาหลี ทั้งสองคนเดินเข้ามาที่ประตูราวกับเดินแคทวอล์คมาที่ประตู รปภ.เปิดประตูให้ ทั้งคู่ชะงักที่ประตูทางเข้าที่เปิดเพียงด้านเดียวและเข้าได้ทีละคน
พิมภากับลัลนาต่างเหลือบมองกันด้วยหางตา สองคนจะก้าวพร้อมกัน ลัลนาพูดเสียงดัง
“หลีกทางให้ฉันก่อนดีไหมจ๊ะพิม กระเป๋าเซิ่นเจิ้นของเธอมันเกะกะฉันน่ะ”
ลัลนาหันควับสายตาจิก พิมภาหน้าเชิด
“นั่นไง น้องลัลของพี่ฮุคขวาตรง”
ซูซี่พูดพลางมองนันทิกานต์อย่างเย้ยๆ นันทิกานต์มองพิมภาอย่างเอาใจช่วย คนอื่นมองลุ้นเหมือนเชียร์มวย พิมภายิ้มไม่สะดุ้งสะเทือน ทำตาซื่อใส่
“ให้ฉันเข้าก่อนดีกว่าเผื่อนมที่เธอไปอัพจากคัพเอเป็นคัพอี มันเกิดระเบิดขึ้นมา ซิลิโคนมันจะได้ไม่กระเด็นเปื้อนหน้าฉัน”
ลัลนาผงะ พิมภายิ้มเชิดหน้าเล็กน้อย
“อัปเปอร์คัท! 555” นันทิกานต์ว่า
“บอสใช้ให้ไปมอบช่อดอกไม้ให้ลูกค้า นี่มันเมเนเจอร์หรือแมสเซ็นเจอร์จ๊ะ”
ลัลนาหันควับหวังว่าพิมภาจะเจ็บ แต่พิมภากลับดีดนิ้วใส่จมูกลัลนา
“อ๊าย ยัยพิม เดี๋ยวมันเบี้ยวนะยะ” ลัลนาว่า
“ลืมไปว่า ไม่มีของจริงบนหน้าแม้แต่ชิ้นเดียว กรีดตาสองชั้น ทำคาง ทำจมูก สักคิ้ว ฉีดปาก บิ๊กอาย น่าจะทำที่ตัวเพิ่มอีกอย่างนะ”
ลนามองไม่พอใจแต่ไม่ถาม
“ทำอะไรคะ” ซูซี่ว่า
“ลอกกาวที่มือน่ะ เกาะคานแน่นเหลือเกิน”
ลัลนาโกรธบอก
“ใครจะคันอย่างเธอ ต้องมี...(ผัว) เพราะกลัวขึ้นคาน”
พิมภายิ้มตอบ
“ก็ถ้าจะให้ดักดานแบบเธอทำไม่ได้จริงๆ”
ทุกคนปรบมือเฮ ลัลนามองพิมภาอย่างแค้น สองคนจ้องหน้าไม่ยอมกัน
เสียงมือถือของพิมภาดัง พิมภากดรับ
“ค่ะ ท่านประธาน เรามีประชุมแปดโมงค่ะ”
นันทิกานต์มองนาฬิกาแล้วตกใจ
“แปดโมงแล้ว”
ลัลนากับพิมภามองหน้ากันแล้วรีบพุ่งเป็นจรวดเข้าไปในบริษัททันที พนักงานคนอื่นๆ พากันวิ่งไปที่แผนกตัวเองอย่างอลหม่าน
ปราสินีเดินเข้าออฟฟิศ แต่แยกตัวไปจากกลุ่มของพิมภาเดินขึ้นบันไดไปอีกทาง
สองสาวเดินผ่านจอทีวีขนาดใหญ่ที่มีนางแบบพูดสโลแกน Naree ความสวยสำหรับหญิงสาวเช่นคุณ ...ตามด้วยภาพเครื่องสำอาง Naree
ประตูห้องประชุมเปิดออก พิมภากับลัลนาก้าวเข้ามาในห้องแล้วเดินเข้าไปประจำที่นั่งของตนเอง ลัลนานั่งอยู่ฝั่งซ้ายมือของประธานบริษัท ส่วนพิมภานั่งด้านขวามือ
นันทิกานต์อุ้มโน้ตบุ๊กเดินเชิด ๆ เข้ามาลงนั่งที่ข้างพิมภา ทีมของพิมภาที่ประกอบด้วยหญิงสอง ชายหนึ่งลงนั่งในลำดับถัดไป
ซูซี่ตามเข้ามาพร้อมกับแฟ้มและชาร์ตวางไว้ที่ด้านหลัง ทีมของลัลนาประกอบด้วยผู้หญิงสามคนตามเข้ามานั่งถัดจากซูซี่
ลัลนามองทีมฝั่งพิมภาไม่เห็นมีเอกสารใด ๆ ก็ยิ้มเยาะ
“โล่งขนาดนี้ คงมาประชุมแบบกลวง ๆ สิท่า”
พิมภามองยิ้มๆแล้วโต้กลับ
“จัดพร็อพมาแน่นขนาดนี้คงกลัวฉันล่ะสิ ทำนานไหมล่ะ”
“ชิล ๆ”
ซูซี่แทรกขึ้นมาเชียว
“โอ้ย ทั้งคืนเลยล่ะจ๊ะ พี่ล่ะเหนื๊อย เหนื่อย บอกว่าจะพักก็ไม่ยอม ก่อนมายังอ๊วกแตกอ๊วกแตน โรคกระเพาะถามหา”
ลัลนารู้สึกเสียหน้ากับคำสอพลอ
“พี่ซูซี่”
ลัลนาเสียหน้ามองแค้นพิมภาที่ยิ้มเยาะอยู่
ปราสินีถือแก้วกาแฟเดินมาที่หน้าห้องวิจัย ภายในบริษัท นิคมเปิดประตูออกมาสีหน้าดีใจมาก
“คุณปลา” นิคมทักทาย
“สวัสดีจ๊ะ นิคม ปลาเอากาแฟมาฝาก นี่นิคมไม่ได้กลับบ้านกี่วันแล้ว”
“สามวันแล้วครับ เพิ่งทำสินค้าตัวอย่างแป้งพัฟวิ้งตัวใหม่เสร็จน่ะครับ”
“เหรอจ๊ะ ถ้าเป็นฝีมือวิจัยของนิคม แป้งจะต้องคุณภาพดีแน่”
“แป้งตัวนี้ถ้าวางตลาด แบรนด์อื่นต้องอึ้งแน่”
“ดีขนาดนั้น ปลาอยากลองใช้จัง”
“ได้สิครับ รอแป๊บเดียวนะครับ”
นิคมรีบเข้าไปเอาแป้งพัฟตัวอย่างมาให้ปราสินี
“คุณปลาได้ทดลองใช้คนแรกเลยนะครับ”
“ขอบใจจ๊ะ”
“คุณปลาครับ กลางวันนี้ว่างไหมครับ”
“พอดีปลามีประชุมน่ะค่ะ นี่ก็ต้องรีบไปแล้วแล้วเจอกันนะ”
ปราสินีเดินสวย ๆเนียน ๆ ออกไป ทิ้งนิคมให้มองตามตาละห้อย
ภายในห้องประชุม พิมภายิ้มเยาะพูดข่มลัลนา
“ก็ฉีดให้มันน้อย ๆหน่อยสิ พวกกลูตาไธโอน ซิลิโคนน่ะ จะได้มีเนื้อที่ในสมองมาทำงานบ้าง”
“ฉันฉีดแค่จมูก นม สะโพกย่ะ ไม่ใช่สมอง” ลัลนาพูดแล้วก็นึกได้ เพราะทุกคนหันมามองเป็นสายตาเดียว จนเธอต้อง “อุ๊บ!” จากนั้นก็โยนลูกถามกลับพิมภา
“ยัยพิมทำเป็นว่าคนอื่น หล่อนไม่ฉีด ไม่เติมหรือตัดแต่งพันธุกรรมหน้าบ้างรึไงย่ะ”
พิมภาหัวเราะแล้วขยับไปยืนข้างลัลนา
“โทษนะจ๊ะลัล เทียบหนังหน้าแล้วถามทุกคนสิว่าหน้าเธอหรือว่าฉันที่ตัดแต่งพันธุกรรมมากกว่ากัน”
ทุกคนแม้กระทั่งซูซี่ต่างชี้ไปที่ลัลนาทันที
“พี่ซูซี่”
“ก็หนังหน้ามันฟ้องน่ะจ๊ะ” ซูซี่บอก
ทุกคนในห้องขำกันอย่างออกนอกหน้า ลัลนาโกรธ โมโหหยิบแฟ้มเขวี้ยงใส่ พิมภาหลบวูบเป็นจังหวะเดียวกับที่สุกัญญา ประธานบริษัทฯ วัย45เปิดประตูเข้ามาพอดี ทุกคนตกใจ
“ท่านประธาน”
สุกัญญายกมือขึ้นรับไว้อย่างเหมาะเหม็ง ทุกคนอึ้งกันไปสามวิ
“ท่านประธาน สวัสดีค่ะ” ลัลนาพูดขึ้น
พิมภาตกใจไม่แพ้กันหันมา
“สวัสดีค่ะท่านประธาน”
สุกัญญามองแฟ้มในมือ
“เกิดอะไรขึ้น” สุกัญญาถาม
“เอ่อ..พิมเขาถามลัลเรื่องงาน ลัลก็เลยส่งแฟ้มให้เขาดูน่ะค่ะ”
“ลักษณะเมื่อกี้ไม่น่าเรียกส่งนะ น่าเรียกเขวี้ยงใส่หน้ากันมากกว่า นี่คงไม่ได้ทะเลาะกันอยู่ใช่ไหม”
สุกัญญาพูดพลางมองหน้าพิมภากับลัลนา ซูซี่พูดแทรกทันที
“ใช่ค่ะ”
ลัลนาปิดปากซูซี่ทันที
“พี่ซูซี่เขาหมายถึงว่าใช่ค่ะ เราไม่ได้ทะเลาะกัน เราแค่ปรึกษางานกันใช่ไหมจ๊ะพิม”
พิมภารีบรับลูกทันที
“ใช่ค่ะ ปรึกษากัน เราเป็นพนักงานบริษัทเดียวกัน ก็ต้องรักกันสิคะ เราสามัคคีกันเพื่อnaree จริงไหม”
พิมภากับลัลนาท่องสโลแกนขึ้นพร้อมกัน
“ Naree ความสวยสำหรับหญิงสาวเช่นคุณ”
สุกัญญายิ้มโล่ง
“เห็นแบบนี้พี่ก็โล่งใจมีข่าวลือแว่วมาเข้าหูพี่บ่อยๆ ว่าลัลกับพิมไม่ถูกกัน”
พิมภากับลัลนารีบปฏิเสธบอก
“ไม่จริงค่ะ ไม่จริง รักกันจะตาย”
สุกัญญายิ้มแล้วมองทั้งคู่ก่อนพูดนิ่มๆ
“ดีแล้วล่ะจ๊ะ เพราะพี่เกลียดที่สุดคือพนักงานทะเลาะกันเอง มันทำลายความเป็นยูนีคของNaree ถ้าใครทะเลาะกันนะ พี่จะยื่นซองขาวให้ทั้งคู่เลย”
ทั้งสองสาวอึ้งไปสามวิ ก่อนจะหัวเราะกลบเกลื่อนถามทีเล่นทีจริงว่า
“เหรอคะ”
ปราสินีเดินเข้ามาที่โต๊ะทำงานแล้วมองแป้งพัฟวิ้งตัวอย่างในมือแล้วเก็บใส่กระเป๋าอย่างรีบเร่ง แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก
“เย็นนี้เจอกันที่เดิมนะคะ”
ปราสินียิ้มๆ มองนาฬิกาที่บอกเวลาแปดโมงยี่สิบ เธอรีบหยิบสมุดแล้วเดินออกไปทันที
ภายในห้องประชุม พิมภารีบเปลี่ยนเรื่องเบนความสนใจเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง
“ท่านประธานคะนี่ก็สายแล้วเราเริ่มประชุมกันดีไหมคะ”
“ก็ดีจ๊ะ”
“ท่านประธานคะ ลัลมีแผนกระตุ้นยอดขายมานำเสนอ พี่ซูซี่คะ”
ซูซี่รีบหยิบชาร์ตขึ้นมาวาง ขยับแฟ้มเอกสารเปิดจะหยิบแจก ทั้งงุ่มง่ามและช้ามาก
ลัลนาหน้าเสียเข้าไปใกล้ซูซี่
“ลัลสั่งให้ทำเป็นสไลด์มาไม่ใช่เหรอ”
“พี่ทำไม่เป็นน่ะจ๊ะ”
ซูซี่ยิ่งลนจนแฟ้มหล่นเอกสารกระจาย
“โอ้ย หกตกกระจาย”
ลัลนาหน้าเสียมองทางสุกัญญาที่เริ่มขมวดคิ้ว พิมภาได้โอกาสปาดหน้าลัลนาลุกขึ้นบอก
“ระหว่างรอลัลเขาเตรียมเอกสาร ท่านประธานลองฟังแผนของพิมก่อนไหมคะ”
“พิมเตรียมอะไรมาเหรอ ไม่เห็นมีเอกสาร” ลัลนาว่า
พิมภายิ้มแล้วดีดนิ้ว นันทิกานต์ที่เดินไปรอที่สวิทช์ไฟก็ปิดไฟดับลง พิมภากดที่โน้ตบุ๊กที่จอโปรเจคเตอร์ขึ้นเป็นชาร์ตยอดขาย
“จากการที่ท่านประธานมอบหมายให้พิมไปเป็นตัวแทนที่เชียงใหม่ พิมก็ใช้เวลาว่างไปสำรวจตลาดในเชียงใหม่ พบว่ากลุ่มลูกค้าของนารีเป็นวัยทำงานห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนของวัยรุ่นมีเพียงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ อีกสามสิบเปอร์เซ็นต์ถูกเฉลี่ยให้กับแบรนด์สินค้าต่างชาติ พิมมองว่าถ้าเราดึงกลุ่มวัยรุ่นให้หันมาใช้สินค้าของเรา ส่วนแบ่งการตลาดของเราจะเบียดแบรนด์ต่างชาติได้อย่างแน่นอน”
“พิมจ๊ะ พิมต้องทำการบ้านหน่อยนะเพราะกลุ่มวัยรุ่นกำลังซื้อต่ำนะ” ลัลนาว่า
“ลัลเข้าใจผิดแล้วจ๊ะ เพราะจากข้อมูลที่พิมไปสำรวจจากแบรนด์อื่น วัยรุ่นมีพลังเงียบ และมีกำลังซื้อมหาศาลมากกว่าวัยทำงานด้วยซ้ำ”
“แล้วพิมมีแผนว่ายังไง” สุกัญญาถาม
พิมภายิ้มบอก
“พรีเซ็นเตอร์สำคัญมากค่ะ วัยรุ่นเป็นวัยที่ตามกระแส ถ้าเราเลือกพรีเซ็นเตอร์ที่ได้รับความนิยมในแง่ตัวอย่างเรื่องความสวยความงาม ยอดขายต้องเพิ่มขึ้นแน่นอน”
“น่าสนใจ” สุกัญญาบอก
“ในส่วนของลัล”
สุกัญญามองไปรอบๆก็เห็นเก้าอี้ข้างนันทิกานต์ว่างอยู่ตัวหนึ่งจึงพูดขึ้น
“ก่อนจะประชุมเรื่องต่อไป พี่มีเรื่องจะประกาศ นี่มากันครบหรือยัง ทีมของพิมยังมาไม่ครบอีกเหรอ”
“เอ่อ”
ลัลนากับซูซี่มองยิ้มเย้ยๆ
“น้องพิมทำไมคนในทีมไม่ตรงต่อเวลาแบบนี้ แย่นะคะ” ซูซี่ว่า
พิมภาเครียดพูดไม่ออก
“คือ”
ปราสินีรีบวิ่งเข้ามาที่หน้าห้องประชุม ภายในห้อง พิมภากระซิบกับนันทิกานต์
“ปลาหายไปไหนเนี่ย”
นันทิกานต์ได้แต่ส่ายหน้า
“ว่าไงล่ะพิม” สุกัญญาถาม
“คือ...”
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ปราสินีรีบเข้ามา
“ขอโทษค่ะที่มาช้า”
สุกัญญาจำปราสินีไม่ได้จริงๆก็ถาม
“เธอเป็นใคร”
ปราสินีหน้าเสียบอก
“ปลา ผู้ช่วยคุณพิมไงคะ”
“ทำไมพี่ไม่คุ้นเลย”
ลัลนาเห็นพิมภามองปราสินีด้วยความเป็นห่วงก็จวกใส่ซะ
“ท่านประธานคะ ปราสินีอยู่ที่นี่มาสองปีแล้วนะคะ เข้ามาทีไรท่านประธานก็จำไม่ได้สักที”
“โทษทีพี่จำคนจากผลงานน่ะจ๊ะ” สุกัญญาบอก
“แสดงว่างานของน้องปลาไม่น่าจดจำ จนไม่ใส่ใจจำเลยใช่ไหมคะ” ซูซี่บอก
สุกัญญามองด้วยสายตาตำหนิซูซี่แล้วพูดขึ้น
“พวกปากมากส่อเสียด พี่ก็จำนะคะ”
ซูซี่รีบปิดปาก อุ๊บ!สุกัญญาถาม
“ทำไมคุณถึงเข้าห้องประชุมสาย”
“ปลาไปหยิบเอกสารมาให้คุณพิมน่ะค่ะ”
สุกัญญาหันมาทางพิมภาเป็นเชิงถามว่าจริงไหม พิมภามีสีหน้างงนิดหน่อยแล้วเปลี่ยนเป็นตอบรับอย่างฉับไว
“ใช่ค่ะ พิมขอให้ปลาไปหยิบให้เอง”
“ไปนั่งสิ ที่วันนี้พี่เรียกประชุมทีมการตลาดของพิมกับลัลอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เพราะพี่มีเรื่องจะแจ้งให้ทุกคนทราบ”
ไฟในห้องดับพรึ่บ! ด้านหลังของสุกัญญามีจอโปรเจคเตอร์เลื่อนลงมาพร้อมกับภาพบนจอฉายขึ้น เป็นภาพแผนที่โลกทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภาพโลโก้Naree กระจายขึ้นจนเต็มพื้นที่ประเทศไทยทุกจังหวัด
“ตอนนี้Naree มียอดการขายสูงที่สุดในไทย อย่างที่ทุกท่านทราบว่า บริษัทได้ขยายสาขาไปทั้งเวียดนาม ฟิลิปปินส์ จีน เกาหลี และประเทศที่เป็นเป้าหมายล่าสุดในปีหน้านี้คือ ญี่ปุ่น”
ภาพกระแทกเข้าที่แผนที่ประเทศญี่ปุ่น จากนั้นตามด้วยภาพซากุระและของกินขึ้นชื่อ ทุกคนมองภาพแล้วเหม่อคิดเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับงานไปแล้ว ยกเว้นพิมภากับลัลนาที่จ้องมองบนแผนที่อย่างมุ่งมั่น สุกัญญาตบโต๊ะ ทุกคนสะดุ้งเรียกสติคืน
“การขยายสาขาในญี่ปุ่น พี่ต้องการทีมงานที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถเพื่อเจาะตลาดเครื่องสำอางญี่ปุ่น โดยพี่จะคัดเลือกจาก...”
ทุกคนนิ่งฟัง
“ทีมมาร์เก็ตติ้งที่จะทำตัวเลขยอดขายสินค้าให้Nareeได้ทะลุสิบล้านภายในเวลาหนึ่งปี”
ทุกคนยกเว้นพิมภากับลัลนาโพล่งขึ้นพร้อมกัน
“สิบล้าน”
พิมภากับลัลนาลุกขึ้นพร้อมกับอก
“ตกลงค่ะ”
คนอื่นๆ ยกเว้นสุกัญญาร้อง “เฮ้ย!” ขึ้นพร้อมกัน
พิมภาพูดอย่างฮึกเหิม
“Naree ความสวยสำหรับหญิงสาวเช่นคุณ มันช่างเป็นงานที่ท้าทายที่สุดเลยค่ะท่านประธาน”
ลัลนาไฟแรงไม่แพ้กัน
“ลัลจะดันNareeให้มียอดขายทะลุสิบล้านให้ได้”
“พี่ขอเสริมอีกนิดนะ หัวหน้าทีมจะได้ก้าวสู่ตำแหน่งหัวหน้าสาขาที่ญี่ปุ่น ส่วนทีมที่ได้รับคัดเลือกจะได้ขึ้นเงินเดือนสองเท่าจากฐานเงินเดือนปัจจุบัน พร้อมโบนัสหกเดือนก่อนย้ายไปญี่ปุ่น”
ทุกคนลุกขึ้นทันที ยกเว้นปราสินี
“Naree ความสวยสำหรับหญิงสาวเช่นคุณ สู้”
ทีมทั้งสองฝ่ายมองกันอย่างไม่ยอมแพ้ พิมภากับลัลนาปรายตามองกันอย่างประกาศศึก สุกัญญามองท่าทีหึกเฮิมของทั้งสองฝ่ายอย่างพอใจ
“ถ้าทุกคนเข้าใจแล้วพี่ขอจบการประชุมแค่นี้ อ้อ..พิม งานพรุ่งนี้แล้วใช่ไหม”
“ค่ะ...เชิญทุกคนไปร่วมงานแต่งงานของพิมด้วยนะคะ ลัลด้วยนะจ๊ะ”
ซูซี่กระซิบบอกลัลนา
“ยัยพิมมันเย้ยน้องลัลค่ะ ว่ายังขึ้นคานหาผัวไม่ได้”
ลัลนาหันขวับถลึงตาใส่ซูซี่ที่หลบตาทำเมินไปทางอื่นทันที
พิมภายิ้มเย้ยมองลัลนาที่จ้องกลับด้วยความแค้น
ภายในห้องทำงาน พิมภาสีหน้าระรื่นนั่งลง นันทิกานต์ตามเข้ามา
“สะใจจริงๆ แกเห็นหน้ายัยลัลไหม ตอนฉันชวนมางานแต่ง ตาจะถลนมานอกเบ้า”
“คงเจ็บที่คานของแกหักก่อน”
พิมภาสีหน้าดูไม่ได้ดีใจเลย
“ก็คงงั้น”
นันทิกานต์พูดอย่างเป็นห่วง
“เปลี่ยนใจยังทันนะพิม งานยังไม่เริ่ม ไม่มีอะไรผูกมัดแกได้”
“นี่ฉันหรือแกที่จะเป็นคนแต่งกันแน่ ระแวงไม่เลิก คนดี ๆ เข้ามาฉันจะลังเลทำไมล่ะแนน วันนึงฉันก็ต้องแต่งงาน ถ้าไม่แต่งตอนนี้แล้วถ้าไม่มีใครพลาดเข้ามาอีกล่ะ”
“ ไม่มีใครเข้ามาแกก็ออกไปตามหาสิพิม ตอนนี้แกน่ะเป็นถึงมือขวาของบริษัทเครื่องสำอางที่มาแรงที่สุดในตอนนี้ แกสวย แกมีทุกอย่างทั้งความสามารถ ฐานะก็ดี อย่างแกไม่มีทางได้โสดหรอก เชื่อฉันเถอะ ล้มเลิกตอนนี้ก็ยังทันนะ อยู่กับคนที่แกไม่รักมันไม่มีความสุขหรอก”
“ฉันเดินหน้าแล้วไม่เคยถอยหลัง แกเลิกพูดเรื่องนี้เถอะ หลังแต่งงานเสร็จฉันจะทุ่มเต็มที่เพื่อตำแหน่งหัวหน้าสาขาที่ญี่ปุ่น”
“พิม”
“ในฐานะที่แกเป็นหัวหน้าฝ่ายขาย แกไปทำสรุปมาทีว่าไตรมาสแรกยอดขายของบริษัทเรา เป็นยังไงบ้าง ฉันขอก่อนเย็นนี้ ถ้าช้าฉันจะรายงานคุณสุว่าแกไม่มีประสิทธิภาพ อาจมีผลกับโบนัสปลายปีนี้”
“หะ”
พิมภามองนาฬิกา
“แกเหลือเวลาอีก ห้าชั่วโมงกับอีกสิบนาที”
“โอเค ๆ ไปเดี๋ยวนี้”
นันทิกานต์รีบวิ่งออกจากห้องไป เสียงมือถือพิมภาดัง เธอรับด้วยสีหน้าเซ็ง
“ค่ะ พี่เอก ทานข้าวเหรอคะ พิมกำลังยุ่งน่ะค่ะ คงไม่สะดวก แล้วเย็นนี้ก็มีนัดกับที่บ้านด้วย พี่เอกพักเถอะค่ะ พรุ่งนี้ต้องไปเตรียมตัวที่งานแต่เช้า”
พิมภากดวางสายสีหน้าสับสนคิด ๆ เธอบอกตัวเองให้พยายามบิ้วท์
“คนอย่างพิมภาเดินหน้าไม่มีวันถอยหลัง”
ในเวลาเดียวกัน ฤชวีนั่งพิมพ์งานอยู่กับโน๊ตบุ๊กอย่างมุ่งมั่น ที่หน้าบ้าน มิ้นท์ขับรถเข้ามามาจอด และเปิดประตูวิ่งลงจากรถอย่างลนลาน หน้าตาตื่น
เสียงโทรศัพท์บ้านดัง มิ้นท์ยิ่งมือไม้สั่น
“อย่ารับสายนะพี่ต้น อย่า”
ฤชวีมองโทรศัพท์แล้วลุกขึ้นไปยกโทรศัพท์ไร้สายขึ้นมาจะกดรับ มิ้นท์วิ่งเข้ามาตะโกนลั่น
“อย่ารับ”
ฤชวีชะงัก มิ้นท์รีบพุ่งเข้ามาแย่งโทรศัพท์ไปกดรับทันที
“สวัสดีค่ะ บ้านมินตราค่ะ คุณย่า สวัสดีค่ะ” มิ้นท์ทำเสียงตื่นเต้น
ฤชวีมีสีหน้าตกใจมากพยายามบอกน้องสาวว่าอย่าบอกนะว่าอยู่ที่นี่
“ทำไมหอบ...อ๋อ มิ้นท์วิ่งออกกำลังกายอยู่น่ะค่ะคุณย่า อยากแข็งแรง อะไรนะคะ พี่ต้นเหรอคะ ไม่เห็นติดต่อมานี่คะ คงยังทำงานเพลินอยู่ที่อเมริกามั้งคะ... กลับมาแล้ว! คุณย่ารู้ได้ยังไงคะ สืบจากสายการบิน..แหมอย่างกับเชอร์ล็อคโฮมเลย”
ฤชวียกมือไขว้เป็นกากบาท ปิดตาปิดหู ไม่รู้ไม่เห็น
“พี่ต้นไม่ได้ติดต่อมาเลยค่ะคุณย่า จริงๆ ค่ะ ถ้าพี่ต้นติดต่อมามิ้นท์จะบอกพี่ต้นให้ไปหาคุณย่าทันทีค่ะ ค่ะคุณย่า สวัสดีค่ะ”
มิ้นท์วางสายแล้วทิ้งตัวลงบนโซฟาบ่นฮุบ
“โอย...เกือบตาย”
“ถ้ามิ้นท์กลับมาไม่ทันพี่ตายแน่ แล้วนี่มิ้นท์รู้ได้ยังไงว่าคุณย่าจะโทรมา” ฤชวีถาม
“ก็มิ้นท์ไปพบลูกค้า ที่บริษัทโทรมาว่าคุณย่าติดต่อมือถือมิ้นท์ไม่ได้ แล้วถ้ามิ้นท์ไม่ได้เข้าบริษัท คุณย่าจะกระหน่ำโทรมาที่บ้านเพราะรู้ว่ามิ้นท์ชอบหนีบริษัทเอางานมาทำที่บ้านน่ะสิ ดีนะที่ไหวตัวทันเพราะถ้าคุณย่ารู้ว่ามิ้นท์ช่วยปิดบัง บ่นชาตินี้ยันชาติหน้าเลยล่ะพี่ต้น”
“พี่ว่าบ้านนี้ก็ไม่ปลอดภัยแล้วคงต้องหาที่ใหม่ ไว้พรุ่งนี้พี่ไปคุยกับพี่กิ่งเรื่องงานใหม่ให้เรียบร้อยแล้วพี่คงต้องหาเซฟเฮ้าส์ของพี่เองซะแล้ว”
มิ้นท์ยกนิ้วให้ฤชวีอย่างเห็นด้วยกับความคิด ฤชวีมีสีหน้าคิดหนัก
ภายในคอนโดฯ เวลากลางคืน พิมภาเปิดประตูเข้ามาแล้วชะงักที่เห็นบนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารที่จัดเต็ม
ภาณุวัฒน์กับภัทรพลช่วยกันยกจานช้อนส้อมออกมาวาง
“หิวไหมพิม วันนี้แม่เขาทำของโปรดลูกทุกอย่างเลยนะ” ภาณุวัฒน์บอก
“มีผัดผักความห่วงใย ไข่ความอาทร” ภัทรพลบอก
พิมภายกแกงจืดออกมา
“แล้วอันนี้ล่ะภัทร”
“ซุปค่าน้ำนมครับแม่ เป็นไงซาบซึ้งมะ”
“อืม...”
ภาณุวัฒน์ ภัทรพล พิมมาลามองหน้ากัน
“ทำไมพิมมันนิ่งจังเลยแม่” ภัทรพลบอก
“เป็นอะไรหรือเปล่าพิม” พิมมาลาถาม
“คงตื่นเต้นจะได้แต่งงานมั้งคะแม่”
“ดูออกเลยนะเนี่ยว่าอยากแต่งมาก” ภัทรพลบอก
“พิม พ่อว่า”
“พิมหิวแล้วทานข้าวกันเถอะค่ะพ่อ แม่ พี่ภัทร กินกันนะคะ”
ทุกคนลงนั่งบนโต๊ะ ภาณุวัฒน์ตักกับข้าวให้พิมภา ทุกคนพยายามเฮฮา แต่พิมภากินอย่างพยายามฝืนยิ้มมากๆ
ภายในห้องนอน พิมภานั่งเหม่อมองออกไปนอกระเบียงพลางถอนใจเฮือก พิมมาลาเข้ามาวางมือบนศีรษะของพิมภาอย่างห่วงใย
“ยังไม่นอนอีกเหรอลูก เดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่สวยนะ”
พิมภากอดเอวพิมมาลา
“แม่ พิมจะต้องมีความสุขใช่ไหมแม่”
“พิมรู้ไหมว่าความสุขอยู่ที่ไหน”
“อยู่ที่เราได้ทุกอย่างอย่างที่ต้องการมั้งคะ หน้าที่การงาน คนรัก พิมกำลังจะมีทุกอย่างแต่ทำไมพิมถึง...”
“ไม่มีความสุขใช่ไหม ก็ความสุขมันอยู่ที่ใจ พิมถามตัวเองบ้างไหมว่าพรุ่งนี้พิมจะแต่งงาน แต่ใจพิมอยากแต่งด้วยจริงๆ หรือเปล่า”
“แต่งกันไปก็คงมีความสุขเองแหล่ะค่ะ พิมภาเลือกซะอย่างต้องดีอยู่แล้ว”
พิมมาลามองอย่างรู้นิสัยว่าห้ามไปก็เท่านั้น
“ชีวิตเรา เราต้องเลือกเอง ลูกเข้าใจถูกแล้ว แต่ถ้าพิมเลือกแล้ว พิมก็ต้องยอมรับผลที่จะตามมาด้วย พิมรู้ใช่ไหม”
“รู้ค่ะแม่ มันต้องดีค่ะแม่ มันจะต้องดีแน่นอน คนอย่างพิมภาเดินหน้าแล้วไม่มีวันถอยหลัง”
พิมมาลานั่งลงข้างๆ พิมภา
“ไม่ว่าผลมันจะเป็นยังไงก็ตาม แม่ พ่อ พี่ภัทรจะอยู่เคียงข้างพิมเสมอนะลูก”
พิมภากอดแน่น
“พิมรักแม่จัง”
“แม่ก็รักพิมนะ”
พิมภากอดแม่อย่างหาหลักทางใจ พิมมาลากอดตอบ แต่สีหน้าแอบกังวลว่าต้องไม่รอดแน่ๆ แต่ก็จนปัญญาจะพูดเพราะพิมภาดื้อเกินกว่าจะเปลี่ยนใจง่าย ๆ
คุณสามี(กำมะลอ)ที่รัก ตอนที่ 1 (ต่อ)
เช้าวันใหม่ พิมภากำลังนอนสบายในห้อง เสียงนาฬิกาปลุกดังลั่น พิมมาลาเปิดประตูเข้ามาในห้องเดินเข้าไปใกล้ลูกสาวแล้วยกฉาบขึ้นตีประกบเสียงดัง จนพิมภาสะดุ้งตกใจเด้งตัวขึ้นมานั่ง
“แม่...นี่มันวันหยุดนะ”
“ใช่ แล้วก็เป็นวันแต่งงานด้วย”
“แต่งงาน ใครแต่ง..แต่งกับใครหรือแม่”
พิมภางัวเงียแล้วนึกได้... “แต่งงาน!”
พิมภารีบพรวดพราดวิ่งไปเข้าห้องน้ำ พิมมาลามองตามแล้วบ่นๆ
“มันจะรอดไหมเนี่ย”
ภายในห้องแต่งตัวของโรงแรม พิมภากำลังนั่งให้ช่างแต่งหน้าให้ ปราสินีเข้ามาพร้อมกาแฟสองแก้ว
“พิม กาแฟไหม”
“ไม่ล่ะ ปลาไม่ควรกินมากนะกาแฟน่ะ กินมากหน้าจะเหี่ยว” พิมภาเตือน
ปราสินีถึงกับหน้าเสีย
“พิม”
พิมภายิ้มกอดปราสินี
“พิมแซวเล่นน่ะ กินวันละแก้วก็เป็นยา แต่มากไปมันไม่ดี”
“จ๊ะ...”
ปราสินีหันมองชุดเจ้าสาวที่แขวนอยู่ นันทิกานต์เข้ามาพอดี
“สวัสดีเจ้าสาว ไหนดูสิ โอ้โห สวยไม่บันยะบันยัง สวยไม่เกรงใจใคร สวยทนสวยนาน สวยด้าน...”
พิมภารีบยกมือห้าม
“หยุดแค่นั้น ก่อนความสวยของฉันจะซวยเพราะปากแก”
“ว้าย!” เสียงร้องของปราสินีดังขึ้น
ทุกคนหันไปมองเห็นปราสินียืนตกใจอยู่หน้าชุดเจ้าสาว พิมภาลุกไปนันทิกานต์ตามไป โบว์ที่เอวของชุดเจ้าสาวเลอะกาแฟเป็นด่างดวง
“เฮ้ย!”
“ขอโทษนะพิม กาแฟมันร้อน ปลาตกใจก็เลยหลุดมือ”
“หลุดมือแน่เหรอ” นันทิกานต์ถาม
“แนน มันหลุดมือจริงๆ นะ”
“พอแล้วไม่ต้องทะเลาะกัน เปื้อนแค่นี้เอง”
“รอยมันขนาดนี้แกจะแก้ยังไง จะไปเอาชุดใหม่จากไหนทัน งานจะเริ่มอีกไม่กี่ชั่วโมงแล้วนะ”
พิมภามองด้วยสีหน้าเครียด ปราสินีมองสีหน้านิ่งๆ ออกจะติดยิ้มนิด ๆ พิมภามองเห็นดอกกุหลาบที่จัดอยู่ในห้องแล้วบอก
“ฉันมีวิธี”
ในเวลาต่อมา ชุดเจ้าสาวตรงจุดที่มีรอยเปื้อนของกาแฟ มีดอกกุหลาบขาวมาเย็บปิดบังรอยด่างไว้
“โอ้ย เก๋กู๊ดว่ะแก”
ปราสินีมองด้วยสีหน้าเครียด พิมภาเห็นสีหน้าเพื่อนก็ปลอบ
“ไม่ต้องกังวลนะปลา ยังไงพิมก็ได้แต่งอยู่ดี”
พิมภายิ้มจริงใจ
“จ๊ะ”
“แนนหยิบสมุดเซ็นอวยพรให้ปลาเอาลงไปข้างล่างทีสิ อยู่ในกล่องข้างหลังนั่นน่ะ”
นันทิกานต์หยิบสมุดเซ็นชื่อส่งให้ปราสินีแล้วบอก
“ถึงไม่ใช่งานตัวเองก็ทำให้เต็มที่นะจ๊ะ”
ปราสินีหน้าเจี๋ยมเจี้ยมเอื้อมมือรับสมุดไป
ที่ห้องทำงานของบรรณาธิการในสำนักพิมพ์ ฤชวีรับต้นฉบับสามแผ่นคืนมาจากกิ่งแก้ว
“หวานมากจนไม่น่าเชื่อเลยว่าเป็นพล็อตเรื่องของต้น ต้นเริ่มเขียนได้เลยนะ”
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ปอ เลขากิ่งแก้ว ถือถาดกาแฟเข้ามาพร้อมกับแก้วนมถั่วเหลือง
“กาแฟของบ.ก. นมถั่วเหลืองของคุณต้นค่ะ”
“ขอบคุณครับ คุณปอครับ ของฝากจากเชียงใหม่ครับ”
ฤชวีพูดพลางหยิบถุงลูกพลับให้ ปอยิ้มกว้างรับของฝาก
“ขอบคุณนะคะ ที่คุณต้นนึกถึงอุตส่าห์ซื้อมาฝาก”
“ผมให้คุณรปภ. คุณแม่บ้าน ฝ่ายอาร์ต ฝ่ายบัญชีไปหมดแล้วครับ เหลือแต่ของคุณปอถุงสุดท้ายนี่ล่ะครับ”
ปอหุบยิ้มเดินออกไปอย่างเซ็ง
“พี่กิ่ง ผมพูดอะไรผิดเหรอครับ”
“ผิด ต้นน่ะผิดที่หล่อและดีจนพนักงานที่นี่จะใจแตกเพราะต้นกันหมดแล้วและเพราะต้นเป็นคนดี พี่ขอให้งานนี้เสร็จในสามเดือน” กิ่งแก้วบอก
ฤชวีเหวอไปในทันที คิดนิดๆแล้วหยิบชุดกระโปรงเด็กชาวเขาสำหรับเด็กเล็กน่ารักขึ้นมากาง
“ของฝากจากเชียงใหม่ครับ”
“น่ารักจังเลยต้น”
ฤชวียิ้มประจบบอก
“ก็ ผมรู้ว่าผมจะได้หลานสาว ถ้าหลานใส่ชุดนี้ต้องน่ารักมากแน่ๆเลย พี่กิ่งว่าไหมครับ”
“ขอบใจนะจ๊ะ”
กิ่งแก้วจะรับ แต่ฤชวีไม่ปล่อยมือ บรรณาธิการสาวสงสัย... “หืม”
ฤชวียิ้มถาม
“หกเดือนได้ไหมครับ”
“แต่ว่า”
ฤชวียิ้มอ้อนบอก
“นะครับพี่แก้ว”
“โอเค หุบยิ้มได้แล้ว ว่าแต่สาวที่บอกว่าฟ้าส่งมาให้หน้าตาเป็นยังไงเหรอ”
ฤชวียิ้มบรรยาย
“ตาโต ปากสวยได้รูป จมูกโด่ง ผิวเขาละเอียด ขาวแก้มชมพูเหมือนกลีบดอกซากุระ”
“น่าเสียดายนะที่คลาดกันไป” กิ่งแก้วว่า
“แต่ผมก็หวังนะครับว่าจะได้เจออีก คราวนี้ผมจะไม่ยอมให้พลาดเลย”
“ต้น..เขียนนิยายมากไปแล้วนะพี่ว่าเพ้อเชียว ไป เที่ยงแล้วไปกินข้าวฉลองนิยายเรื่องใหม่ของคุณฤชวีกัน”
ฤชวียิ้มรับลุกขึ้นตามกิ่งแก้วไป กิ่งแก้วเปิดประตูลง
บริเวณหน้าห้องจัดเลี้ยง พิมภากับเอกพลรับแขกอยู่หน้างานด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ภาณุวัฒน์ช่วยยืนรับแขกอยู่ด้วย ปราสินีนั่งรับแขกที่มาเซ็นชื่ออวยพรและมองคู่บ่าวสาวอย่างเจ็บแค้น นันทิกานต์วิ่งแตกตื่นเข้ามากระซิบพิมภา
“ไอ้แนนแกเจอผีมาหรือไงต้องทำหน้าแตกตื่นขนาดนั้น” พิมภาถาม
“ยิ่งกว่าผีอีก ยัยกิมจิมหาภัยมา”
สีหน้าของพิมภาจิกร้ายทันที เธอหันไปเห็นลัลนา คู่ปรับเดินนำหน้ามา ผมเป็นลอน แต่งตัวราวหลุดจากแคตตาล็อกเกาหลี ชุดเวอร์เหมือนขึ้นเวทีคอนเสิร์ต ตามหลังมาด้วยซูซี่ซึ่งติดผมด้วยที่ติดผมเป็นกระต่ายตัวใหญ่เยอะแบบไม่ดูสังขารตัวเองเลยว่ามันไม่เหมาะ
“ยินดีด้วยนะจ๊ะพิม” ลัลนาเดินเข้ามาบอก
พิมภายิ้ม
“ไม่คิดเลยว่าเธอจะกล้ามา กลัวเธอจะแสลงใจน่ะ” พิมภาพูดด้วยสีหน้ายิ้ม
ลัลนาเข้าจับมือพิมภาอย่างเป็นมิตรบอก
“เพื่อนร่วมงานจับผู้ชายสำเร็จทั้งที ฉันก็ต้องมาแสดงความยินดีสิจ๊ะ”
พิมภาหน้าตึงแต่ยังยิ้ม
“จะมาดูเป็นตัวอย่างฉันก็ไม่ว่าหรอกจ๊ะ แต่จะได้เอาไปใช้เมื่อไหร่ล่ะ ทำงานกันมาสี่ห้าปีไม่เห็นมีใครมาพาลงจากคานสักที...กระต่ายน่ารักนะ”
พิมภาพูดแล้วหันไปมองทางซูซี่แล้วยิ้ม ซูซี่รับลูกพลางโพสท่าสวยทันที
“หน้าตาไม่ดีจริง แต่งแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ”
“ที่จริงพี่ซูซี่ไม่น่าสวยโชว์เดี่ยวนะคะน่าจะให้ลัลเขาสวยกับพี่ด้วย” พิมภาบอก
ซูซี่พาซื่อ
“จริงสิ รู้งี้หากระต่ายคู่ดีกว่า”
“อย่างลัลไม่น่าติดกระต่ายบนหัวนะคะ ติดชะนีเป็นตัวดีกว่า จะได้มาหาผัว ๆ ๆในงานฉันไง”
ซูซี่คิด ๆ แล้วพูดขึ้น
“อ๋อ...น้องพิมบอกว่าน้องลัลหาผัวไม่ได้น่ะคะ”
“พี่ซูซี่”
ซูซี่หลบตาเมินไปทางอื่น ลัลนากับพิมภาจับมือกันแต่มือบีบกันเกร็งจนสั่น สีหน้ายังยิ้มสู้สุดชีวิต ภาณุวัฒน์พูดกับนันทิกานต์
“สองคนนี้เขาเป็นเพื่อนกันจริงหรือเปล่า พ่อว่าอีกนิดเดียวจะกระโดดขบหัวกันแล้วนะนั่น”
“ถ้าไม่ติดว่าคนเยอะก็กระโดดเตะก้านคอกันไปแล้วล่ะค่ะคุณพ่อ” นันทิกานต์บอก
สุกัญญาเดินเข้ามาพอดี
“พิม ลัลนา”
พิมภากับลัลนาปล่อยมือออกจากกันทันที
“สวัสดีค่ะบอส ขอบคุณนะคะที่มาร่วมงาน” พิมภาว่า
เอกพลรีบเสนอหน้าทันที
“สวัสดีครับคุณสุกัญญา ขอบคุณนะครับที่มาร่วมงาน”
“มือขวาแต่งงานทั้งที ดิฉันไม่พลาดหรอกค่ะ”
“เชิญในงานเลยนะคะ แนน...พาบอสเข้าไปข้างในนะ”
นันทิกานต์พาสุกัญญาเดินเข้าไป พิมภาส่งเบา แค่ให้ลัลนาได้ยิน
“ผัว ๆ ๆ”
ลัลนามองพิมภาอย่างแค้น ๆ พิมภายิ้มเยาะยักคิ้วข้างนึงใส่ ลัลนาจำต้องเดินเข้าไป พิมภายิ้มสะใจ
ภายในงาน ภัทรพลรับเครื่องดื่มจากบริกรส่งให้พิมมาลา
“ดื่มน้ำเย็นๆ ก่อนครับแม่ วิ่งวุ่นไปมาเดี๋ยวเป็นลมกันพอดี”
“เดี๋ยวต้องออกไปยืนเป็นเพื่อนพ่อแกหน่อยเดี๋ยวจะบ่นแย่ พล งานนี้สาว ๆ เพียบเลยนะลูกไม่เข้าตาแกบ้างเลยเหรอ”
“ไม่เห็นมีใครสามสิบแปด ยี่สิบสี่ สามสิบหก ตาแบ๊วอย่างที่ผมชอบสักคน”
“แกก็ลดสเปกสาวให้มันน้อยลงมาหน่อยสิ แม่ล่ะกลัวว่านามสกุลเราจะด้วนที่แกจริงๆ”
“ผู้ชายอกสามศอกอย่างผม แพ้ผู้หญิงอกสามสิบแปดครับแม่ ถ้าไม่มีผู้หญิงที่ใช่ ผมยอมเหี่ยวแห้งตายดีกว่า”
พิมมาลาถอนใจแล้วบอก
“หรือเราจะสิ้นตระกูลเพราะแกจริงๆ”
ภัทรพลยิ้มขำกอดพิมมาลาอย่างล้อ ๆ ภัทรพลมองไปทางประตูแล้วชะงัก เมื่อลัลนาเดินเด้งหน้าอกดึ๋ง สะโพกบิดซ้ายขวา ตาแบ๊วเข้ามาเข้ามาในงาน ภัทรพลอึ้งจ้องไม่วางตา
ลัลนามองประสานสายตากับภัทรพลพอดี เมื่อเห็นเขาสนใจก็สะบัดผม ทำเซ็กซี่ใส่เล็กน้อย ภัทรพลรู้สึกถูกตาต้องใจจนขนลุกซู่
ลัลนาเดินไปตรงกลุ่มที่นันทิกานต์กับสุกัญญายืนอยู่
นันทิกานต์เดินแยกมา
“เดี๋ยวผมไปหาของกินนะครับแม่”
ภัทรพลรีบตรงไปหานันทิกานต์
“แนน”
นันทิกานต์ชะงัก ภัทรพลลากนันทิกานต์ออกไป
บริเวณมุมหนึ่งที่หน้างาน ภัทรพลดึงนันทิกานต์เข้ามาถาม
“แนน ผู้หญิงที่อึ๋ม ๆ ผมลอน ตาแป๋วๆ เป็นใครน่ะ”
“อึ๋มๆ ผมลอน ตาโต สะโพกเด้งๆ ทำหน้าแบ๊วตลอดเวลาใช่ไหมพี่”
“ใช่ๆ คนนั้นแหล่ะ ชื่ออะไร”
“ลัลนา..ทำไม อย่าบอกนะว่าพี่ปิ๊งยัยนั่น” นันทิกานต์ตอบแล้วนึกได้
“ทำไม เขาเป็นใคร”
“ยัยลัลนาเป็นพนักงานออฟฟิศเดียวกับไอ้พิม ตำแหน่งmarketing manager คู่แข่งกับไอ้พิมเลยเวลาสองคนนี้เข้าห้องประชุมทีไรนะพี่จิกกันจนเลือดสาดทุกที”
“ขนาดนั้นเชียว”
“ก็ตัวแม่ทั้งคู่ แข่งกันทุกอย่างทั้งแต่งตัว หน้าที่การงาน..ถ้าพี่คิดจะจีบยัยลัล ไอ้พิมมันต้องเชือด แล่เนื้อเถือหนังพี่แน่ๆ”
ภัทรพลสีหน้าสยอง พิมภาเข้ามาด้านหลัง
“พี่พล”
ภัทรพล,นันทิกานต์ร้องตกใจ “เฮ้ย”
พิมภาสะดุ้งด้วยความตกใจ
“สองคนนี้ตกใจอะไรนักหนา”
“แกมายืนตรงนี้นานหรือยัง” ภัทรพลถาม
“ก็มาตอนเรียกพี่นี่แหล่ะ”
นันทิกานต์เบาๆ กับภัทรพล
“งั้นก็ไม่ได้ยิน”
“ได้ยินอะไร” พิมภาถาม
นันทิกานต์กับภัทรพลมองหน้ากัน
“ก็เสียงท้องฉันน่ะสิ มันร้องตลอดเลย จนพี่พลบ่นเนี่ย”
“อ้าวฉันว่าจะให้แกไปห้องน้ำเป็นเพื่อนหน่อย ไม่ไหวล่ะสิ”
“ไหว ๆ ไป ๆ “ นันทิกานต์ว่าแล้วหันไปเบาๆ กับภัทรพล
“ไม่อยากให้โลกแตกอย่าเพิ่งให้มันรู้เลยพี่”
พิมภาเดินไปเห็นนันทิกานต์ไม่เดินตามหันมาเรียก “แนน”
“ไปแล้ว ๆ”
นันทิกานต์รีบเดินตามพิมภาไป ภัทรพลมองตามอย่างคิดหนัก
กิ่งแก้วเดินนำฤชวีเข้ามาที่หน้าโรงแรม
“วันนี้ทานข้าวโรงแรมเลยเหรอครับพี่ ไม่ได้หักจากค่าเขียนผมใช่ไหม”
“เป็นไอเดียที่ดี ไป”
ทั้งคู่เดินผ่านรถเปิดประทุนตกแต่งด้วยช่อดอกไม้ที่วางประดับหลังรถ ฤชวีมองอย่างสนใจ
“อยากแต่งบ้างล่ะสิ” กิ่งแก้วแซว
“ถ้าเป็นคุณซากุระก็ไม่แน่นะพี่”
“พี่ล่ะอยากเห็นคุณซากุระของต้นจริงๆ ว่าจะสวยขนาดไหน”
“น้องๆ นางฟ้าเลยล่ะครับ”
“พอแล้ว เดี๋ยวพี่จะเลี่ยน ทานข้าวไม่ลง”
ฤชวียิ้มขำ ๆ
“เดี๋ยวผมขอไปล้างมือก่อนนะครับพี่แก้ว เดี๋ยวผมตามไป”
กิ่งแก้วเดินไปทางหนึ่ง ฤชวีเดินแยกไปทางห้องน้ำ
พิมภาเดินออกมาจากห้องน้ำแต่ชุดแต่งงานเกี่ยวกับบานพับประตูข้างขวา พิมภาชะงัก
“แนน..ชุดมัน”
นันทิกานต์ก้มลงดูแล้วบอก
“ชุดมันเกี่ยวบานพับน่ะแก อยู่นิ่ง ๆ เดี๋ยวฉันแกะให้”
นันทิกานต์นั่งลงช่วยแกะ พิมภาก้มหน้าดู
ฤชวีเดินเข้ามาจากทางเดินด้านซ้ายมือ เห็นทั้งคู่กำลังช่วยกันแกะชุด ฤชวีจะเดินเข้าไป นันทิกานต์แกะเสร็จพอดี
“ออกแล้ว”
ฤชวีได้ยินอย่างนั้นก็เดินเข้าห้องน้ำชายไป
นันทิกานต์ลุกขึ้น พิมภาหันกลับมาและเดินออกไปจากห้องน้ำ
ฤชวีกำลังยืนล้างมือ เห็นนันทิกานต์จูงมือพิมภาเดินผ่านหน้าประตูห้องน้ำชาย เมื่อเขาหันไปทางประตูหน้าห้องน้ำก็เห็นแค่ชายกระโปรงชุดเจ้าสาวที่ผ่านตาไป
ฤชวีพยายามไล่ความรู้สึกแปลก ๆ ออกไปแล้วหันไปล้างมือ
ภายในห้องจัดเลี้ยง พิมภาเอกพลยืนรออยู่เวที ปราสินีอยู่ในกลุ่มคนกลางห้องจัดเลี้ยงกับสุกัญญาและลัลนา นันทิกานต์ขึ้นไปบนเวทีที่มีเจ้าหน้าที่เขตยืนรออยู่พร้อมกับใบทะเบียนสมรส
“สวัสดีแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ดิฉันนันทิกานต์ รับหน้าที่พิธีกรในงานวันนี้และในเวลาอันเป็นมงคลนี้ก็ถึงพิธีการสำคัญที่เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวจะได้ผูกพันกันอย่างเป็นทางการ ขอให้ทุกท่านร่วมเป็นพยานในการจดทะเบียนสมรสของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวค่า”
พิมภาและเอกพลเดินขึ้นเวที
ทุกคนมีสีหน้ายินดียกเว้นปราสินีที่มองด้วยสีหน้าผิดหวัง เสียใจ และลัลนาที่สีหน้าหมั่นไส้สุดขีด
“ขอเชิญเจ้าสาวเซ็นชื่อค่ะ”
พิมภาลังเลนิด ๆ
“พิม เซ็นสิครับ”
พิมภามองเอกพลและมองแขกเหรื่อแล้วลงมือเซ็นชื่อเรียบร้อย
“คราวนี้ถึงคิวเจ้าบ่าวเซ็นค่ะ”
เอกพลจับปากกากำลังจะเซ็น ทันใดนั้นไฟในห้องจัดเลี้ยงก็ถูกดับพรึ่บ ! ทุกคนตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทันใดนั้นก็มีภาพขึ้นที่จอโปรเจคเตอร์ เสียงวี้ดว้ายดังขึ้น
พิมภากับเอกพลหันไป บนจอเป็นภาพเอกพลกับเหมียวกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงจนค่อย ๆ ถอดเสื้อผ้า
ซูซี่กับลัลนาหัวชนกันทันที
“น้องลัลคะ ผู้หญิงในจอพี่มองยังไงหน้าก็ไม่เหมือนยัยพิมเลยนะคะ”
พิมภาอึ้งหันขวับมองเอกพล
ทันใดนั้นไฟสว่างพรึ่บ!
เหมียวใส่ชุดคลุมท้องก้าวเข้ามากลางห้อง
“พี่เอก”
เอกพลตกใจเรียก “เหมียว”
“ดีนะที่ยังจำเมียตัวเองได้”
ทุกคนในงานตกใจ
ลัลนา,ซูซี่ร้อง “เมีย” ขึ้นพร้อมกัน
“ใช่ ฉันเป็นเมียของพี่เอก แล้วเด็กในท้องก็เป็นลูกของพี่เอก”
ลัลนา,ซูซี่เลิกลั่กบอก “ลูก”
เหมียวหันมาใส่พิมภา
“ผู้หญิงหน้าด้าน ไม่มีปัญญาหาผู้ชายหรือไงถึงต้องมาแย่งผัวคนอื่นเขา อาผัวฉันคืนมา”
เอกพลหน้าซีด พิมภายืนตะลึง ทุกคนหันมองบนเวทีเป็นตาเดียวกัน
“พี่เอกมาหาเมียเดี๋ยวนี้”
“ไม่จริง แกโกหก ฉันต่างหากที่เป็นเมียพี่เอก”
ทุกคนหันขวับไปที่ปราสินีที่แหกปากตะโกนอย่างสติแตก
ภายในห้องอาหาร ฤชวีกับกิ่งแก้วรวบช้อนส้อม
“ทานของหวานไหม”
“ไม่ครับพี่”
กิ่งแก้วกำลังจะหันไปเรียกพนักงานเสิร์ฟเพื่อเช็คบิล
พนักงานเสิร์ฟในห้องจัดเลี้ยงวิ่งเข้ามาหาพนักงานเสิร์ฟในห้องอาหารบอก
“พี่ๆ งานแต่งที่ห้องจัดเลี้ยงน่ะ ตีกันใหญ่แล้วพี่ มีผู้หญิงท้องโย้มาประกาศว่าเป็นเมียเจ้าบ่าว โอ้ยตบกันกระจายเลย”
“พี่เป็นเจ้าสาวก็ไม่ยอมต้องตบ”
“แต่คนตบไม่ใช่เจ้าสาวน่ะสิพี่ เป็นเมียอีกคนของเจ้าบ่าว”
“เมียน้อยสองคนเลยเหรอ”
ฤชวีมองหน้ากับกิ่งแก้ว
“น่าสงสารเจ้าสาวนะ เจอแบบนี้ในวันที่น่าจะเป็นวันที่ดีที่สุดวันหนึ่งของผู้หญิง” กิ่งแก้วบอก
ฤชวีมีสีหน้ารู้สึกเห็นใจไม่แพ้กัน
“แล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้าง เคลียร์กันหมดยัง”
พนักงานเสิร์ฟห้องอาหารถาม
ส่วนภายในห้องจัดเลี้ยง ปราสินีตบหน้าเหมียวดังผัวะ!จนล้มคว่ำ
“จำไว้นังแมวขโมย พี่เอกน่ะของฉัน” ปราสินีบอก
“ของแกน่ะแค่ผัว แต่ของฉันน่ะพ่อของลูกย่ะ”
ทั้งปราสินีกับเหมียวตบกันเมามันส์ไม่สนใจ ไม่แคร์สายตาใครๆ เลย ซูซี่ถือโทรศัพท์ขึ้นถ่ายคลิป พลางกระซิบกับลัลนา
“แมวกับปลาแย่งกัน แล้วเจ้าสาวจะทำยังไงคะน้องลัล”
ลัลนาหันมองพิมภาที่ยังยืนอยู่บนเวทีกับเอกพล พิมภายืนนิ่งมากจนน่ากลัว
เอกพลที่ยืนข้างๆ มองสถานการณ์ข้างล่างแล้วคิดจะเอาตัวรอด รีบขยับใกล้ขอบเวทีด้านหนึ่งเพื่อพูดกับพิมภา
“พิม อย่าไปเชื่อนะ พี่ไม่ได้มีอะไรกับสองคนนั้นจริง ๆ”
“แล้วภาพบนจอ เขาตัดต่อเอาหน้าพี่เอกไปใส่ด้วยใช่ไหม”
“นั่นสิ พวกโรคจิตชัด ๆ เอาภาพพี่ไปตัดต่อแบบนี้ ผู้หญิงคนนี้ต้องสติไม่ดีแน่ๆ พิมคิดดูสิจ๊ะ ผู้หญิงสติดีคนไหนจะเอารูปมาประจานตัวเองให้ดูแย่แบบนี้”
ไม่ทันขาดคำ พิมภาก็วาดมือฟาดผัวะ! เข้าที่หน้าเอกพลจนร่างเจ้าบ่าวลอยละลิ่วลงจากเวที ลงมากระแทกพื้นนอนหงายอยู่ ทุกคนในงานตกใจ เหมียวกับปราสินีที่กำลังตบตีกันถึงกับชะงัก
“ ขวาตายซ้ายสลบออกลายแล้วเว้ย” ภัทรพลบอก
เอกพลประคองตัวลุกขึ้น พิมภาก็ปรี่ลงมาจากเวที แล้วก็ตามเข้าไปกระชากคอเสื้อเอกพลแล้วตบรัวแบบหนักหน่วง จนเอกพลมึนตึบในบัดดล
“พี่ไม่รู้จัก ทั้งคู่ พี่ไม่”
“ฉันกินข้าวไม่ได้กินหญ้า ไอ้ตอแหล” พิมภาบอก
พิมภาตบสุดมือแล้วเหวี่ยงเอกพลให้พุ่งจนหัวปักเค้กล้มกระจาย
เหมียวและปราสินีอึ้งต่างร้อง “พี่เอก” ขึ้นพร้อมกัน
และที่ยิ่งอึ้งกว่าเมื่อเห็นพิมภากำลังเดินตรงเข้ามา พิมภาพูดด้วยน้ำเสียงโกรธมาก
“ปลา”
ปราสินีกลัวลนลาน
“พิมจ๋า..ปลา”
พิมภาเงื้อมือ ปราสินีหลับตาปี๋ด้วยความกลัว ทุกคนมองลุ้นแต่พิมภาชะงักมือไว้
พิมภากำมือแน่นหันขวับมาหาผู้หญิงอีกคน หมียวสะดุ้ง พิมภาเดินเข้า เหมียวถอยหลังกรูด ฝ่ายเจ้าสาวยกมือชี้ เหมียวร้อง “ว้าย”
“ขอบใจนะที่ทำให้ฉันตาสว่าง ส่วนผัวเธอไปตกลงกันเอง เข้าใจไหม”
เหมียวพยักหน้าแบบสุดแรงซ้ำ ๆ ด้วยความกลัว และรีบยกมือไหว้
“ขอบคุณค่ะพี่”
เหมียวรีบชิ่งวิ่งหนีออกไปทันที
พิมภากระชากคอเสื้อของเอกพลโยนไปกองกับปราสินี
“อยากได้ก็เอาไป”
พิมภาแค้นสุดๆ กระแทกส้นสวยกระทืบลงไปที่ยอดอกเอกพลเป็นการปิดท้าย ทุกคนอุทานอย่างหวาดเสียวแทน พิมภาหน้าเชิดเดินกลับขึ้นไปบนเวทียื่นมือตรงหน้านันทิกานต์ เพื่อนซี้รีบส่งไมค์ให้
พิมภาปากยิ้มแต่ตานิ่งบอก
“ดิฉันขอขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่านที่เสียสละเวลามาร่วมงานในค่ำคืนนี้ ถ้าหากมีข้อบกพร่องประการใดดิฉันต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี่ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ”
พิมภายิ้มหวานแล้วเดินหน้าเชิดเดินลงจากเวทีสวย ๆ เดินผ่านหน้าแขกเหรื่อ ออกไปจากห้องไปอย่างไม่สะทกสะท้าน
นันทิกานต์ได้สติรีบดึงทะเบียนสมรสจากเจ้าหน้าที่มา
“งานเลิกแล้ว ทะเบียนใบนี้ขอนะคะ”
นันทิกานต์รีบเก็บทะเบียนลงกระเป๋าแล้วรีบวิ่งตามพิมภาไปทันที
พิมมาลากับภัทรพลจะตามพิมภาไป แต่ชะงักที่เห็นภาณุวัฒน์ไม่ได้ตามมากลับด้วย แต่ตรงไปหาเอกพล
“ภัทร พ่อเขาไปโน่นแล้ว รีบไปจับไว้เร็ว” พิมมาลาบอก
ปราสินีประคองเอกพล
“พี่เอก พี่เอก”
ภาณุวัฒน์ก้าวเข้ามา ปราสินีเงยหน้ามองตกใจ
“คุณพ่อ”
ภาณุวัฒน์หน้าอย่างโหดบอก
“ถอยไป”
ปราสินีทิ้งเอกพลรีบคลานถอยไปทันที เอกพลเบี่ยงหน้าหันไปทางภาณุวัฒน์ที่ทำท่าหักนิ้วเตรียมพร้อมจะต่อยผัวะ! อย่างมันมือ
“แกทำร้ายลูกฉัน”
ภัทรพลรีบเข้าไปดึงภาณุวัฒน์ที่ยกเท้าขึ้นถีบเอกพลจนหงายหลัง
“พอแล้วพ่อ เดี๋ยวมันตาย”
“พ่อ..ภัทร อย่าทำรุนแรงสิลูก เป็นยังไงบ้างพ่อเอก แม่ช่วยประคองนะ”
พิมมาลาพูดเสียงอ่อนโยนแล้วใช้มือจิกผมเอกพลให้ลุกขึ้น
“โอ้ย”
“เจ็บตรงไหนเหรอ มาแม่ดูให้ ลุกสิลูกลุก”
พิมามาลาพูดถามแล้วกระชากผมหนักกว่าเดิม
“คุณแม่คะ”
ปราสินีจะเข้ามา พิมมาลา ภาณุวัฒน์ ภัทรพลหันขวับมาตวัดสายตาใส่ ปราสินียกมือไหว้อัตโนมัติแล้วบอก
“ตามสบายเลยค่ะ”
ทั้งสามพ่อแม่ลูกหันไปมองเอกพลที่สีหน้าตื่นกลัว แหกปากร้องลั่น
ฤชวีกับกิ่งแก้วกำลังเดินลงบันไดกลางมายังส่วนของล็อบบี้ กิ่งแก้วพูดขึ้น
“แล้วเรื่องเซฟเฮ้าส์ ต้นอยากได้แบบไหนล่ะ บ้านต่างจังหวัดไหมของคุณตาพี่ก็ว่างๆ อยู่นะ หรือว่าจะเอาแบบชายทะเลมีคอนโดของสามีพี่ซื้อไว้ก็บรรยากาศดีนะ จะได้ปั่นงานให้พี่เร็วขึ้น”
“รู้สึกได้เลยครับว่าเป็นความช่วยเหลือที่มีผลประโยชน์แอบแฝง”
“ก็นิดนึง”
ทั้งสองคนเดินมาจนถึงส่วนที่พักบันได
“พิม”
เสียงนันทกานต์ดังขึ้น ฤชวีกับกิ่งแก้วหันไปเห็นพิมภาในชุดเจ้าสาวกำลังเดินเร็วมาที่บันได
พิมภากำลังจะก้าวลงแต่ดันเหยียบชายกระโปรงด้านหน้า จนเสียหลักจะหน้าคว่ำถลาลงมา นันทิกานต์ตกใจร้องเรียก “ไอ้พิม”
ปฏิกิริยาของฤชวีฉับไวเอื้อมมือออกรับร่างของพิมภาอัตโนมัติ ร่างของพิมภาพลิกหงายลงอ้อมแขนฤชวีอย่างเหมาะเหม็งพอดี ฤชวีตะลึงพึมพำ
“ซากุระ”
พิมภาไม่ได้สนใจมองรีบลุกขึ้นยืนบอก
“ขอบคุณนะคะ”
พิมภาพูดจบก็ยกชายกระโปรงรีบวิ่งลงบันไดไป นันทิกานต์รีบวิ่งตามไป
“พิม..รอด้วย”
ฤชวีรีบตามไปจนกิ่งแก้วงงต้องรีบวิ่งตามไปอีกคน
“ต้นจะไปไหน ต้น”
ด้านหน้าตรงมุมรถสำหรับคู่แต่งงานของพิมภาจอดอยู่ พิมภาวิ่งไปขึ้นรถแล้วสตาร์ทรถออก นันทิกานต์รีบกระโดดขึ้นที่นั่งข้างคนขับ หน้าทิ่มลงไปที่เบาะ พิมภาออกรถเอี๊ยด!
ฤชวีวิ่งออกมารีบวิ่งตามรถ
“เดี๋ยวก่อนครับคุณ เดี๋ยวก่อน!”
รถพิมภาแล่นหายไป ฤชวีหยุดวิ่งมองตามด้วยความเสียดาย กิ่งแก้วที่พยายามรีบตามมา
“ต้น ต้น”
ฤชวีหันมาเห็นกิ่งแก้วที่กำลังพยายามรีบเดินมา
“อย่าวิ่งครับพี่กิ่ง”
ฤชวีรีบกลับมาหากิ่งแก้ว
“วิ่งตามเขาทำไม รู้จักเขาเหรอ”
“เจ้าสาวคนนั้น...เขาเป็นคนที่ฟ้าส่งมาน่ะครับ”
“เจ้าสาวที่งานแต่งล่มเนี่ยเหรอ”
ฤชวีพยักหน้าหันมองตามไปรู้สึกเป็นห่วงพิมภามาก
ติดตาม คุณสามี(กำมะลอ)ที่รัก ตอนที่ 2 เวลา 17.00 น.