The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 1
บริเวณริมถนนใจกลางเมืองกรุงอันแสนวุ่นวายยามนั้น ญาณิน สาวสวยน่ารักดวงตาใสแป๋วแต่งตัวเซอร์สไตล์สาวโบฮีเมี่ยน ยืนครุ่นคิดในใจอยู่เพียงลำพัง
“สัมผัสที่หกไม่ใช่สิ่งที่ใครอยากจะมี ก็มีได้ มันคือพรสวรรค์ที่จัดสรรค์มาสู่บุคคลที่ถูกเลือกแล้วเท่านั้นแม้เราจะไม่ต้องการ และพยายามปฏิเสธมันสักเท่าใด ก็ไม่สามารถจะหนีพ้น ..มันมา..พร้อมกับภารกิจอันยิ่งใหญ่ ที่แท้แล้วพวกเรา...คือผู้รับใช้...และผู้เสียสละ..มิใช่ผู้ที่จะได้รับผลประโยชน์อันใดทั้งนั้น”
ระหว่างนั้นบนท้องถนนยังคงเต็มไปด้วยความจอแจ เสียงรถราและผู้คนดังอื้ออึง ญาณินยืนอยู่บนฟุธบาทหน้าศูนย์การค้าใหญ่ใจกลางเมือง ท่ามกลางผู้คนพลุกพล่านและการจราจรที่วุ่นวายสับสน
ญาณินมองดูผู้คนที่สัญจรไปมา ไล่สายตาไปมองรถราที่แล่นขวักไขว่บนท้องถนน ทุกอย่างปกติ ญาณินค่อยๆ หลับตาลงแล้วคิดในใจ
“หน้าที่ในการช่วยเหลือ ปลดปล่อย นำพาพวกเขาให้ พ้นทุกข์ เป็นอิสระจากบ่วงพันธนาการใดๆ ในโลกนี้ เพื่อไปสู่โลกหน้าอันสุขสงบ”
ในเวลาเดียวกัน ณ ห้องเรียนทำอาหาร คมมีดถูกกรีดลงไปบนชิ้นเนื้อสดๆ จนเห็นเลือดสีแดงไหลซึม ก่อนจะถูกนำไปใส่ลงในกระทะร้อนฉ่า มะเขือเทศเข้มข้นในกระป๋องถูกเทใส่ในกระทะสีแดงข้นดั่งเลือด นักเรียน 5-6 คนกำลังง่วนอยู่หน้าเตาของตัวเอง
เนตรสิตางศุ์ สาวน้อยในชุดหวานน่ารักเหมือนตุ๊กตากำลังทำซอสพาสต้าอยู่ด้วยใบหน้าอ่อนโยนและมีความสุข เนตรสิตางศุ์หยิบมะเขือเทศขึ้นมาเตรียมจะผ่า เธอมองหามีดแต่ก็หาไม่เจอ แล้วสายตาก็เหมือนเหลือบเห็นอะไรแว่บๆ ผ่านหลังไป เนตรสิตางศุ์เหลียวมองตาม
เด็กชายคนหนึ่งถือมีดเอาไว้ในมือ แล้ววิ่งหลุดออกไปนอกห้อง เนตรสิตางศุ์ตกใจรีบเดินตามไป
“เอามีดมานะ! มันอันตราย!”
เนตรสิตางศุ์วิ่งออกมาจากห้องเรียนแล้วมองหา เธอเห็นเด็กชายคนนั้นถือมีดวิ่งลับมุมทางเดินไป เนตรสิตางศุ์รีบไล่ตามไป เด็กชายวิ่งลงบันไดไปถึงชั้นล่าง มีคนเดินสวนขึ้นมา 2-3 คน
“หยุดวิ่ง มันไม่ใช่ของเล่นนะ..ใครก็ได้จับเด็กคนนั้นที” เนตรสิตางศุ์ตะโกนลั่น
คนที่เดินสวนขึ้นมามองเนตรสิตางศุ์อย่างงงๆ
เด็กชายวิ่งมาถึงด้านหนึ่งซึ่งเป็นทางตัน เด็กชายจะวิ่งกลับ แต่เนตรสิตางศุ์วิ่งเข้ามาดักไว้ เด็กชายจนมุม
“เอามีดคืนพี่มา”
เนตรสิตางศุ์สืบเท้าก้าวเข้ามาหา
เด็กชายถอยหนีพร้อมทั้งถือมีดยั่ว
“เล่นของมีคมมันอันตรายนะคะ” เนตรสิตางศุ์บอก
เนตรสิตางศุ์ก้าวเข้าไปหา เด็กชายถอยจนหลังติดกำแพง
“ไม่มีทางไปแล้ว ขอมีดคืนนะคะ”
เนตรสิตางศุ์ก้าวเข้าไปหาแล้วจะเข้าไปแย่งมีด แต่ยังไม่ถึงตัว ปรากฏว่าเด็กชายก้าวถอยหลังจนทะลุหายเข้าไปในกำแพง เหลือแต่มีดหล่นลงพื้น เนตรสิตางศุ์อึ้ง เธอหันกลับมาเห็นคนแถวนั้นมองเธออย่างงงๆ
ในขณะที่ผู้คนเดินจับจ่ายใช้สอยตามร้านค้าข้างถนนใกล้ตึกออฟฟิศในเวลากลางวัน พ่อค้าขายซีดีเปิดเพลงเสียงดังเร้าใจ ป่าวประกาศเชิญชวน
“ใครอยากเห็นผี เชิญทางนี้..แผ่นแท้ไม่ขาย แผ่นผีล้วนๆ” พ่อค้าตะโกนลั่น
กรรณากำลังยกลังหนังสือหนักเทใส่แผงกองๆหนังสือมือสอง เธอมีท่าทางเหนื่อยอ่อน กรรณาปาดเหงื่อที่หน้าผากแต่แล้วอยู่ๆก็เกิดเสียงหวีดแหลมดังแทรกขึ้นมา กรรณาสะดุ้งเพราะรู้ว่าเป็นเสียงของอะไร
“เพ่ๆๆ..เปิดเสียงดังอีกหน่อยได้ปะค้า” กรรณาบอกพ่อค้า
”จัดไป”
กรรณาหันกลับมาที่แผง เธอจะยกลังหนังสือเทใส่แผงอีก แต่เห็นหนุ่มออฟฟิศคนหนึ่งกำลังยืนเลือกหนังสืออยู่ หนุ่มออฟฟิศคนนั้นยิ้มให้แล้วอ้าปากถามอะไรบางอย่าง แต่เสียงที่กรรณาได้ยินกลับเป็นเสียงคลื่นแทรกซ่าๆ สลับกับเสียงหวีดแหลม กรรณาแสบหูแล้วทำหน้าเหยเก
“คุณครับ..เป็นอะไรครับ” หนุ่มออฟฟิศถาม
”เย้ย..เจ๊ย” กรรณาเอามือปิดหู “ได้ยินแระๆ..พอๆๆ ไม่ไหวแล้วอ่า”
”คุณ..เป็นอะไรของคุณครับ หนังสือนี่ลดกี่เปอร์เซ็นต์ครับ”
กรรณาตะโกนลั่น “หา..ค่า..ลดห้าสิบเปอร์เซ็นต์ค้า”
หนุ่มออฟฟิศยืนเลือกหนังสือต่อไป โดยมีคนอื่นๆ เข้ามาเลือกซื้อด้วย กรรณาหันไปจ้องหนุ่มออฟฟิศที่เดินไปเดินมาพลางพยักหน้ารับรู้และรับฟังเสียงที่มาบรรยายให้ฟัง เสียงซ่ายังคงดังไม่หยุด และดังวนเวียนรอบๆ หูกรรณา มีเงารางๆ ของวิญญาณเข้ามาพูดข้างหูซ้ายทีขวาทีสลับไปมา กรรณาพยายามอดทนทั้งๆ ที่รู้สึกรำคาญ
“อือ อือ อือ เข้าใจแระๆ ๆ เบาๆ ๆ ไม่ต้องตะโกนด๋ายป้ะ?”
หนุ่มออฟฟิศเลือกหนังสือ2-3เล่มแล้วยื่นให้กรรณา
“เท่าไหร่ครับ ถุงไม่ต้องนะครับ”
กรรณายืนจ้องหน้าเขา
“คุณครับ..” หนุ่มออฟฟิศเรียกซ้ำ
กรรณายกมือขึ้นชี้หน้าแล้วจ้องตาเป๋ง “เพ่..เพ่ควรจะแต่งงานได้แล้วนะ”
หนุ่มออฟฟิศงง กรรณาจ้องหน้าแล้วพูดต่อ “พ่อของเพ่ เค้าอยากเห็นเพ่เป็นฝั่งเป็นฝา..กับคุณ..เหม่เหม๋..แฟนของเพ่..แล้วเค้าก็ไม่โอ..ที่เพ่จะซื้อบ้านแถวรามอินทรา เค้าอยากให้เพ่กลับไปดูแลบ้านที่เพ่เกิดที่เชียงใหม่มากกว่า...ช่าย..”
“พ่อ..” หนุ่มออฟฟิศทิ้งหนังสือทันที “คุณ..รู้ได้ยังไง..บ้า..บ้าชัดๆ”
หนุ่มออฟฟิศมองกรรณาอย่างรังเกียจแล้วเดินหนีไป คนที่กำลังเลือกหนังสืออยู่ต่างก็พากันมองมาอย่างรังเกียจแล้วรีบเดินหนีออกไป
กรรณายืนกอดอกแล้วยักไหล่ด้วยความเซ็งก่อนจะพูดกับตัวเอง
“กระซิบกันจังๆ กระซิบแต่เรื่องส่วนตัวล้วนๆ ทีรางวัลที่หนึ่งที่เหนิ่งเจ็ดตัวตรงๆ อ่า..เคยมากระซิบกานบ้างป่าวเน้..เฮ้อ..”
ที่โรงเรียนสอนเต้นแห่งหนึ่ง นักเรียนเต้นหญิง 3-4 คนกำลังเต้นคัพเวอร์เกิร์ลกรุ๊ปเกาหลีอยู่ ทุกคนเต้นพร้อมเพรียง สวย สง่า เซ็กซี่ จนกระทั่งกลุ่มเต้นแปรแถวออกเผยให้เห็นว่ากรรัมภาก้าวขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งบล็อกกิ้งอันโดดเด่น
ครูให้จังหวะพร้อมกับมองกรรัมภาอย่างชอบใจ
“ดีมาก...ทุกคนเต้นได้ดีมาก ดีกว่าต้นฉบับซะอีก” ครูชม
“แก้มเต้นเป็นยังไงบ้างคะครู” กรรัมภาถาม “พอจะใช้ได้บ้างไหมคะ” กรรัมภาถามอย่างถ่อมตัวเหมือนนางเอกในหนังเกาหลีทั้งๆ ที่ตัวเองเต้นเก่งสุดๆ
“กร…เริ่ดที่สุด น่ารักมาก…เอ้อ กร เพื่อนครูเป็นโคลีโอกราฟเฟอร์ให้หนังมิวสิเคิลเกาหลีอยู่ เธอสนใจอยากไปลองออดิชั่นมั้ย”
“หนังเกาหลี ที่จะมาถ่ายเมืองไทย ที่..ปาร์คจุนจี..เป็นพระเอกใช่มั้ยคะ..อร๊าย... เขินจังๆๆ ปาร์คจุนจีคือไอดอลของแก้มเองค่ะ..บ้าๆๆ ดีจัยจังๆๆๆๆ” กรรัมภาเผลอจับมือครู “ขอบคุณมากนะคะครู ครูเป็นคนดีมาก”
ทันใด กรรัมภามองเห็นภาพครูสอนเต้นคนนั้นใช้มือนั้นผลักหญิงสาวคนหนึ่งลงไปที่เตียง หญิงสาวพยายามขัดขืน ครูตบหน้าหญิงสาวเต็มแรง จากนั้นภาพเก่าๆ ของครูที่เคยตบหญิงสาวมาเป็นสิบๆ คนก็ย้อนมาราวกับสายน้ำไหล
กรรัมภาถึงกับผงะ ด้วยความตกใจเธอถึงกับเผลอตบหน้าครูแล้วด่าออกมา
“ไอ้ซาดิสต์!!”
อีกมุมหนึ่งของกรุงเทพฯ ถ้วยกาแฟส่งควันร้อนระรวยบางเบาพร้อมกลิ่นหอมกรุ่นลอยฉุยขึ้นมา สุคนธรสกำลังสูดกลิ่นของกาแฟถ้วยนั้นอยู่ คนงานมากมายเข้ามาล้อมรอบพร้อมกับพูดต่อรอง
“คุณรสค้าบ วันนี้สิ้นเดือนแล้วนะค้าบ”
“รสไม่ใบ้หวยค่ะ” สุคนธรสบอกปัด
“โธ่ คุณรส…นะค้าบๆๆๆๆ”
สุคนธรสเดินหนีกลุ่มคนงานไป แต่แล้วอยู่ๆ เธอก็ชะงัก พวกคนงานดีใจนึกว่าเธอจะให้เลขเด็ด แต่สุคนธรสกลับทำจมูกฟุดฟิดเพราะได้กลิ่นอะไรบางอย่าง
สุคนธรสเดินหาที่มาของกลิ่นนั้น จนกระทั่งจับทิศทางของกลิ่นได้
“ซวยแล้วดิ…” สุคนธรสบ่นออกมา
สุคนธรสกำลังจะเดินตามกลิ่นนั้นไป แต่อยู่ๆ เจ้านายก็เข้ามาขวาง
“รส...จะไปไหน ลูกค้ามารอนานแล้ว เค้าจะคุยกับแกเรื่องแบบบ้าน เค้าอยากให้แก้ไขนิดหน่อย”
“ลูกค้า...ให้เค้ารอไปก่อนนะคะ ตอนนี้ รสกำลังมีเรื่องด่วนค่ะ เรื่องคอขาดบาดตายด้วย” สุคนธรสทำจมูกฟุดฟิดต่อ
“รส...รส...เป็นอะไรไปน่ะเธอ” เจ้านายถาม
สุคนธสทำท่าเหมือนหมาที่ทำจมูกฟุดฟิดๆ ดมหากลิ่น เธอวิ่งวนรอบตัวเจ้านาย แล้ววิ่งผ่านไปทันที
“เฮ้ย แกจะไปไหน ยัยรส” เจ้านายรีบวิ่งตาม
ลูกค้าสาวสวยคนหนึ่งกำลังเดินตรวจดูสถานที่ไปรอบๆ อีกมุมหนึ่งบริเวณไซด์งาน ทันใดนั้นเองน๊อตของแผ่นไม้กระดานที่ใช้กันเศษหินเศษฝุ่นไม่ให้หล่นมาเบื้องล่างกำลังคลายตัวออก
สุคนธรสเดินตามกลิ่นนั้นไปเร็วรี่ เธอรีบเดินเร็วขึ้นๆ จนกลายเป็นวิ่งในที่สุด ในขณะที่น็อตก็กำลังคลายตัวออกเรื่อยๆ ลูกค้าสาวกำลังเดินตรงไปยังบริเวณใต้ไม้แผ่นนั้น และเดินมาจนใกล้จะถึงใต้แผ่นไม้แผ่นนั้นอยู่รอมร่อ
สุคนธรสวิ่งตามกลิ่นมาถึงแล้วรีบตะโกนเรียก “คุณคะ!!!”
ลูกค้าสาวชะงักแล้วหยุดเดินแล้วหันกลับมามองสุคนธรส
“อย่าเดินไป คุณกำลังมีอันตราย”
“คะ?” ลูกค้าทำท่าเหมือนว่าไม่ได้ยิน
“อย่าเดินไป..กลับมาเดี๋ยวนี้”
“ค่ะ” ลูกค้าจะเดินต่อ
สุคนธรสตกใจ เธอนึกขึ้นได้จึงรีบก้มลงเก็บหิน ในขณะที่น็อตกำลังคลายตัวออก จนแผ่นไม้หลุดร่วงออกมา สุคนธรสเขวี้ยงหินไปโดนหัวลูกค้าพอดี ลูกค้าหยุดกึกแล้วกุมหัวด้วยความเจ็บก่อนจะหันมามองสุคนธรส แผ่นไม้หล่นลงมาเฉียดหลังลูกค้าไปเพียงนิดเดียว
สุคนธรสดีใจ กระโดดเหยงๆ ร้อง “เยส...” อย่างดีใจ
ลูกค้าสาวยืนช็อก ทุกคนในบริเวณนั้นช็อกแล้วหันมามองสุคนธรสเพราะคิดว่าเธอบ้าไปแล้ว
สุคนธรสรู้สึกตัวว่าตกเป็นเป้าสายตา หยุดกระโดดแล้วทำหน้าเจื่อนๆ จ๋อยไปในที่สุด
ญาณินกำลังเอาเซ็ตเครื่องประดับที่ทำจากหินสีซึ่งมีทั้งสร้อยคอ แหวน กำไล และต่างหูมาวางใส่ในตู้โชว์ภายในร้านขายเครื่องประดับอย่างมีความสุข ทันใดนั้นก็มีเสียงเด็กชายดังขึ้น
“ช่วยด้วย..ช่วย..ด้วย..”
ญาณินหันไปมองตามเสียง เธอเห็นวัยรุ่นชายในสภาพถูกไฟคลอกทั้งตัวยืนอยู่ โดยที่ไฟนั้นไม่สามารถดับได้ เขาได้แต่ร้องครวญครางโดยไม่ขยับปากในลักษณะที่ทุกข์ทรมานและน่าเวทนา ญาณินเห็นดังนั้นก็ถึงกับผงะ
“ช่วยผมด้วย…แม่ผม…แม่..”
ซองเสนอราคาถูกยื่นมาวางบนโต๊ะตรงหน้าคุณหญิงสุดไฮโซซึ่งเป็นแม่ของชายวัยรุ่นคนนั้น
“ซองเสนอราคาครับคุณหญิง” นักธุรกิจชายบอก
คุณหญิงรับซองมาเปิดดู ข้างในซองมีเอกสารต่างๆ เธอเปิดดูผ่านๆ
“ถ้าคุณหญิงช่วยให้บริษัทผมชนะการประมูลราคาสร้างถนนเส้นนั้น ผมรับรองว่าจะไม่ทำให้คุณหญิงผิดหวังครับ” นักธุรกิจบอก
คุณหญิงเปิดไปเรื่อยๆ จนเจอเช็คเงินสดแทรกอยู่ เมื่อดูดีๆ พบว่าเช็คนั้นมีมูลค่ายี่สิบล้านบาทถ้วน คุณหยิงพูดออกมา “อืม..ไม่น่ามีปัญหาอะไร”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเรียกญาณินดังขึ้นจากทางด้านหลัง
“คุณ..คุณ..”
ญาณินนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานออกแบบ เธอเพิ่งได้สติตื่นจากภวังค์จึงกำลังงงๆมึนๆกับภาพที่ตัวเองเพิ่งเห็น ญาณินเงยหน้ามองเจ้าของเสียงที่เรียกก็พบว่าคือคุณหญิงไฮโซคนนั้นนั่นเอง
ญาณินผงะ “คุณ...”
“เป็นอะไร จ้องหน้าชั้นยังกับเห็นผี..ได้ยินที่ชั้นถามมั้ย” คุณหญิงถาม
“คะ..?”
“คุณพร เจ้านายเธออยู่มั้ย ไปตามมาพบชั้นที”
พรรีบวิ่งออกมาจากด้านในร้าน “คุณหญิงแอ๋ว สวัสดีค่ะ..เอ่อ คนนี้ ญาณินเป็นดีไซเนอร์คนใหม่ของพรเองค่ะ..แต่เครื่องเพชร คอลเลคชั่นที่พรส่งรูปให้คุณหญิงดู..ไม่ใช่ฝีมือคนนี้นะคะ..เป็นดีไซน์จากยุโรปค่ะ” พรพูดโกหก “รอสักครู่นะคะ เดี๋ยวพรไปเอามาให้ชม”
พรเดินกลับเข้าไปด้านในร้าน
ญาณินจ้องหน้าคุณหญิงอย่างลังเลใจ “เอ่อ..”
“จ้องหน้าชั้นทำไม” คุณหญิงถาม
“เอ่อ” ญาณินพูดออกมาแบบตัดสินใจได้ “คุณผู้หญิงมีลูก..ลูกชายอายุประมาณสิบสามสิบสี่ปี..เค้าเพิ่งเสียชีวิตไปแล้ว”
“นี่..นี่..ทะ ทะ เธอ..” คุณหญิงตกใจจนปากสั่น
ญาณินนิ่งแล้วตัดสินใจพูดต่อ
ญาณินมองคุณหญิง ทีแรกเธอเห็นเป็นคุณหญิง แต่พอหลับตาเธอกลับเห็นภาพจิตของตัวเองหลุดออกจากร่าง พอญาณินมองข้ามไหล่คุณหญิงไปเธอก็เห็นวัยรุ่นชายที่ถูกไฟคลอกจากอีกมิติปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง จิตของญาณินเดินทะลุคุณหญิงผ่านเข้าไปมิตินั้น จิตญาณินเดินไปดูเด็กคนนั้นใกล้ๆ เธอสบตาและสื่อสารกันทางความรู้สึก
จิตของญาณินกลับเข้าร่าง และกลับมามองคุณหญิง โดยที่วัยรุ่นชายคนนั้นหายไปแล้ว
ญาณินจับมือคุณหญิงพร้อมทั้งมองอย่างขอร้อง “คุณหญิงคะ..ลูกชายคุณหญิง เค้าอยากให้คุณหญิงหยุดทำบุญให้เค้า เพราะเงินที่คุณหญิงหามาได้จากการโกงกิน หรือคอรัปชั่น มันเป็นเงินบาป ไม่บริสุทธิ์..เงินที่คุณหญิงใช้ทำบุญไปให้กับลูกชาย มันจึงร้อนดั่งไฟประลัยกันต์ เผาผลาญเค้าให้ทุกข์ทรมาน ไม่รู้จักจบจักสิ้น”
ญาณินพูดไม่ทันจบ คุณหญิงก็ตบหน้าเธอดังฉาด
“แก..นังปีศาจ..แกไม่ใช่คน!!!” คุณหญิงพูดด้วยตาแดงกำ่
ญาณินอึ้งและรู้สึกเจ็บปวด คุณหญิงเริ่มกลัว เธอแตกตื่นแล้ววิ่งถอยหนีไป
พรถือถาดเครื่องเพชรออกมาทันเห็นคุณหญิงตบญาณินพอดีก็ตกใจ
“คุณหญิง..เดี๋ยวค่ะคุณหญิง..” พรหันมาต่อว่าญาณิน “แกไปพูดอะไรกับคุณหญิง..แกรู้มั้ยว่าเค้ากำลังจะซื้อเครื่องเพชรราคาสิบล้าน..แกเป็นบ้าอะไร ห๊า!!”
ตกดึก ญาณินทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ในร้านคาเฟ่อย่างสุดเซ็ง
“เฮ้อ..”
สุคนธรสที่นั่งอยู่ก่อนแล้วก็มีอาการคล้ายๆกัน เธอมองหน้ากับญาณินแบบพอจะเดาเรื่องของอีกฝ่ายได้ ก่อนจะพูดเรื่องของตัวเองออกมาคล้ายต้งการบอกว่าเรื่องของตนน่าสมเพชกว่า
“ชั้นถูกไล่ออก เพราะ...” ญาณินเริ่มพูด
สุคนธรสพูโขัดทันที “ชั้นช่วยให้คนรอดตาย แต่ชั้นกลายเป็นนังแม่มดในสายตาของเจ้านาย”
สุคนธรสกับญาณินต่างก็มีน้ำตาคลอ ทั้งสองแปะมือกันแบบละเหี่ยๆ ใจแล้วถอนหายใจ
“เราเสมอกัน..” ทั้งสองพูด
“ร้องไห้ง่ายๆ” สุคนธรสพูด
“กับเรื่องเดิมๆ” ญาณินพูดต่อ
เนตรสิตางศุ์กับกรรัมภาเดินเข้ามาในร้านพร้อมกัน กรรัมภาถือถุงช้อปปิ้งมาเต็มสองมือด้วยท่าทางร่าเริง ทั้งสองก้าวมาลงนั่งร่วมโต๊ะด้วย
“เนตรต้องเปลี่ยนที่เรียนทำอาหารอีกแล้ว” เนตรสิตางศุ์เล่า
สุคนธรสพูดข่ม “แต่ชั้นกับญาณินกลายเป็นปีศาจแม่มดหมอผีในสายตาเจ้านาย แล้วก็โดนไล่ออก”
“อ้าว!!” เนตรสิตางศุ์ร้องออกมา
กรรัมภาท้าวสะเอวแล้วส่ายหน้า “พวกหล่อนเลิกเล่นเกมใครน่าสงสารที่สุดชนะ! ซะทีได้มั้ยฮะ?..ใครจะมองเรายังไงก็ช่าง..อย่าได้แคร์ เริ่ดๆเชิ่ดๆเข้าไว้”
กรรณาลากตระกร้ารถเข็นที่มีถุงกระสอบปุ๋ยลายสายรุ้งเข้ามาในร้าน “ใครจะไปเชิดเก่งเท่าแกล่ะยัยแก้ม ยัยลูกคุณหนูไฮโซเซเลบริตี้ เธอมันไม่ต้องทำมาหาเลี้ยงชีพอยู่แระนี่ อยากได้อะไร เธอก็รูดปื๊ดๆแล้วให้พ่อแม่จ่าย”
“กรรณา เธอแหละ” กรรัมภาพูด “เลิกดูถูกคนรวยซะทีได้มั้ย ถึงชั้นจะรวย ชั้นก็คนนะ”
พนักงานเดินเข้ามาพูดกับกรรณา “คุณครับ ที่นี่ห้ามเข้ามาขายของนะครับ”
“อ่าวๆๆ..ถึงชั้นจะจนชั้นก็คนเหมือนกันเน้.. เพ่มาเป็นลูกค้านะน้อง..ไม่ได้มาขายของ ป้าดดดแหล่วๆๆๆ...” กรรณาบ่น
พนักงานงงที่เจอกรรณาวีนใส่
ญาณินพูดกับพนักงาน “พวกเราเป็นเพื่อนแก๊งเดียวกันค่ะ แตกต่างแต่ไม่แตกแยกไงคะ”
กรรัมภาพูดกับพนักงานกึ่งประชด “น้ำส้มคั้นมา 5 แก้วดีกว่านะคะ”
พนักงานขอโทษขอโพยแล้วเดินไป
ญาณินหันกลับมาพบว่าพวกเพื่อนๆแต่ละคนนั่งกันอย่างห่อเหี่ยวก็พูดกับเพื่อนๆ
“พอๆๆๆ เลิกคิดมาก เราไม่ใช่ตัวประหลาด เราไม่ได้ฆ่าใครตาย เรามีแต่ช่วยคน ช่วยผะ..” ญาณินจะพูดว่าผี แต่ก็ยั้งปากทัน “เอ่อ..ช่วยอดีตคน..ให้มีความสุข พ้นทุกข์ เพราะมันคือภารกิจที่คนมีบุญเท่านั้นถึงจะได้รับ เราต้องภาคภูมิใจสิ”
เพื่อนทุกคนยังคงห่อเหี่ยวอยู่แล้วก็บ่นออกมา “มีบุญเนี่ยนะ”
“เฮ้อ มีแต่พวกเราเท่านั้นที่เข้าใจกัน” เนตรสิตางศุ์บอก
ทุกคนรับพร้อมกัน “ช่าย”
ทุกคนนั่งอย่างห่อเหี่ยวแล้วก็นิ่งเงียบกันไป แล้วอยู่ๆ ทุกคนก็หันมาพูดพร้อมกัน
“นึกออกแล้ว!!!”
“ในเมื่อทำงานกับคนอื่นแล้วมีปัญหา เราก็มาทำกับคนที่เข้าใจกันและกัน” ญาณินบอก
“เราจะมีกิจการของพวกเราเอง!!!” ห้าสาวพูดพร้อมกัน
กลุ่มสาวเฮลั่นแล้วก็กรี๊ดกร๊าดดีใจที่ใจตรงกัน ทุกคนร่าเริงดีใจจนโต๊ะอื่นหันมามอง
กรรณาพูดเบาลงเพราะเกรงใจโต๊ะอื่น “แล้วเราจะทำกิจการไรอะ”
“ร้านอาหาร” เนตรสิตางศุ์บอก
4สาวพูดพร้อมกัน “ไม่!!!!”
“ทัวร์เกาหลี” กรรัมภาพูดขึ้น
4สาวพูดพร้อมกัน “ไม่!!!!”
“ต้องเป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนสนใจและมีความรู้” กรรณาบอก
“บริษัทออกแบบและตกแต่งภายใน” ญาณินเสนอ
ทุกคนพูดออกมาแทบจะพร้อมกัน “ตกลง เห็นด้วย”
ทั้ง 5สาวดีใจกันสุดๆ จนผู้คนภายในร้านหันมามองกันหมด 5สาวชะงักแล้วมองสวนกลับไปที่คนในร้าน
“มองอะไรคะ- มีปัญหาไรปะ- อะไรไม่ทราบ” ทั้งห้าสาวถาม
หกเดือนผ่านไป ณ รีสอร์ทของติณห์ที่จังหวัดกาญจนบุรี แสงแดดยามเช้าส่องลอดใบไม้ลงมากระบตัวบ้านบนเนินเขาของติณห์ บรรยากาศยามเช้าเงียบสงบๆ แต่แล้วอยู่ๆก็มีเสียงคนงานกลุ่มนึงตะโกนลั่นป่า
ติณห์ที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จยังไม่ได้สวมเสื้อรีบถือเสื้อเดินออกมาที่ระเบียง เขามองไปยังทิศทางของเสียง ที่เป็นสถานที่ก่อสร้างรีสอร์ทเบื้องล่าง ติณห์เห็นส่วนยอดของรถแบ็กโฮถูกยกสูงขึ้นมา
“อะเก๊น? อีกแล้วเหรอ” ติณห์ตกใจ
คนงาน2-3คนวิ่งหนีผ่านหน้าบ้านพักของติณห์ หัวหน้าคนงานวิ่งมาหยุดหน้าบ้านติณห์แล้วตะโกนลั่น
“ไม่เอาแล้วๆ ผีๆๆ ผีคนแก่ ดุยิ่งกว่าหมา เฮี้ยนที่สุด กรี๊ด”
ติณห์สั่งการด้วยความเด็ดขาด “ห้ามไปเด็ดขาด คุณซายน์คอนแทร็ค..เซ็นสัญญากะผมแล้ว ถ้าคุณทำงานไม่สำเร็จ คุณต้องเสียตัว!!!”
“ห๊า!! เสียตัว..เสียตัวกะคุณติณห์เนี่ยนะ” คนงานตกใจ
“เอ๊ย ไม่ใช่เสียตัว” ติณห์นิ่งคิดคำภาษาไทย “เสียตังค์ๆๆ ตังค์ มันนี่ คุณต้องจ่ายเงิน เงินๆ ..จ่ายเงินปรับ!!”
“อ้อ..เสียเงินค่าปรับก็ยอมล่ะครับ ดีกว่าหัวโกร๋นแบบนี้”
พูดจบพวกคนงานก็วิ่งหนีออกไปหมด
“เฮ้ย...หยุด!! Stop!!โว้ย...แล้วเมื่อไหร่รีสอร์ทไอจะสร้างเสร็จเนี่ย กอชชชช...”
เพนนีสวมรองเท้าส้นสูงสีแดงก้าวมาตามทางในบริเวณบ้านพักของติณห์ จนกระทั่งพบติณห์ที่ยืนรออยู่ที่สนามหญ้าด้านหลังบ้าน
“ติณห์!!!”
เพนนีสวมแว่นดำใหญ่ ชุดแส็คสีแดงสั้นเป็นเกาะอกเข้ารูป รองเท้าส้นสูงของเธอแหลมแดง ผมยาวทำสีหยักยาว เพนนีสวมหมวกปีกกว้างแดงทาปากแดงสดใบหน้าขาวผ่อง
“เพนนี..” ติณห์เรียก
เพนนีพูดอย่างห่วงใย “เพนนีได้ยินเสียงคนงานร้อง เจอผีคุณหลวงอีกแล้วสิ..เฮี้ยนจริงๆเลย..ติณห์เป็นอะไรหรือเปล่า..ไม่ต้องตกใจนะคะ โอ๋ๆๆ ขวัญเอ๋ยขวัญมา” เพนนีเข้ามากอด
“ผมโอเคเพนนี” ติณห์ดึงตัวเพนนีออกอย่างนุ่มนวล
“ติณห์” เพนนีเข้ามาคล้องแขนเขาไว้ “เพนนีว่าติณห์อย่านอนที่นี่อีกเลย มันอันตราย ติณห์ไปนอนที่รีสอร์ทคุณพ่อเพนนีเถอะนะ อยู่ติดกันนี่เอง”
“มันไม่มีอะไรหรอกเพนนี”
“ไม่มีได้ไงคะ คนงานกี่ชุดๆก็เผ่นแน่บ! ติณห์ยังจะไม่เชื่อเรื่องผีอีก”
“ไม่มีผี ไม่มีวิญญาณ โนไลฟ์ อาฟเตอร์เดธ..พอเราตายแล้วทุกอย่างก็จบ..ถ้ามีผีจริง ทำไมสองเดือนกว่าที่ผมกลับมาอยู่ที่นี่ ผมไม่เคยเจอ”
“ก็ติณห์ไม่มีเซ้นซ์ไง” เพนนีตอบ
“ผมไม่นอนเซ้นซ์ตังหาก..เพนนีก็อย่านอนเซ้นซ์..เหลวไหลไร้สาระ..ไปกับเค้าด้วยเลย ผมยังไม่เห็นหมาบ้านผมมันโดนผีหลอกหนีไปเลย”
ทันใดนั้น กำนันพงษ์ในชุดสุภาพและสะอาดสะอ้านก็เดินเข้ามา
“คนงานหนีไปอีกแล้วเหรอครับคุณติณห์”
“กำนันพงษ์”
“รายที่สี่แล้วนะครับ” กำนันพงษ์บอก
“ผมฝากกำนันไปบอกเค้าด้วย ถ้าไม่กลับมาทำงานให้เสร็จ ก็ต้องชดใช้ค่าเสียหายตามสัญญา..แล้วผมก็คงต้องรบกวนกำนันก็ช่วยหาผู้รับหมาคนใหม่ให้ด้วย”
“ผู้รับเหมาค่ะ” เพนนีช่วยแก้ให้
“ผู้รับเมา” ติณห์พูด
“เหมา”
“ช่างเถอะ!! หาให้ผมด้วยแล้วกัน”
“เรื่องเรียกค่าเสียหาย ไม่มีปัญหาครับ แต่เรื่องหาทีมผู้รับเหมาใหม่เนี่ย คงจะยาก” กำนันพงษ์บอก
“วาย? คุณคือผู้กว้างยาวในตำบลนี้ ไม่ใช่รึ”
“โธ่ ผู้กว้างขวางครับ..ไม่ใช่กว้างยาว..คุณติณห์ครับ..ผู้รับเหมาทั้งสี่เจ้าที่คุณจ้างมา เผ่นหนีไปเพราะโดนผีหลอกเหมือนกันหมด..ตอนนี้ ข่าวนี้ดังไปทั่วเมืองกาญแล้ว..คงไม่มีผู้รับเหมาคนไหน กล้าเข้ามาทำงานที่นี่อีก ให้ผมหาหมอผีมาก่อนดีกว่ามั้ย” กำนันพงษ์บอก
ติณห์งง “หมอผี?”
“ผมไม่ได้งมงายนะครับคุณติณห์..แต่..วิญญาณคุณหลวงพิชัยภักดี..คุณตาคุณติณห์ ..ท่านหวงที่ของท่านจริงๆ”
“ว้อท!!! คุณตาเหรอ” ติณห์เครียด “ไม่..ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับคุณตา มันคือการสะกดจิตหมู่ มันเป็นเรื่องไซโคโลจี้ทั้งนั้น”
ติณห์ถึงกับของขึ้น ทุกคนนิ่งเงียบ
The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 1 (ต่อ)
บ้านเรือนไทยโบราณสภาพเก่าคร่ำคร่าถูกทิ้งร้างอยู่ บริเวณรอบๆ มีเครื่องไม้เครื่องมือก่อสร้างที่ถูกทิ้งระเกะระกะ ติณห์เดินพุ่งตรงไปที่เรือนไทยหลังนั้นอย่างฉุนๆ
“ติณห์..ติณห์จะทำอะไร..” เพนนีที่เดินตามมาร้องถาม
“ไหนล่ะ..สิ่งที่พวกคนงานเห็น..อยู่ไหน..แกรนด์ปา แวร์อายู ..ผีคุณตา..ออกมาสิคุณตา”
“คุณติณห์ครับ ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่นะครับ” กำนันพงษ์เตือน
“ผมต้องการพิสูจน์ความจริง”
ติณห์เดินตรงดิ่งขึ้นไปบนเรือนทันที
ติณห์เดินขึ้นมาบนเรือนไทย เขาเดินขึ้นมาถึงชานบ้าน แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นรูปถ่ายขาวดำคุณหลวงพิชัยภักดีที่ติดเป็นประธานของบ้าน เพนนีกับกำนันพงษ์เดินตามเข้ามามอง
เพนนียกมือขึ้นพนม “หลวงพิชัยภักดี.. เพนนีขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ ที่มีประวัติว่าท่าน..โกงเงินของกองทัพญี่ปุ่น ตอนสงครามโลก..เพนนีไม่เชื่อหรอกนะคะ ติณห์ มันต้องไม่จริงแน่ๆ ที่ท่านฐานะดี ก็คงเพราะท่านทำธุรกิจเก่งมากกว่า คนมันอิจฉา มันก็หาเรื่องท่านเป็นธรรมดา..ติณณ์อย่าซีเรียสเลยนะ..”
ติณห์ทำหน้าไม่พอใจ เขากัดกรามอย่างเคร่งเครียด
“เค้าใส่ร้ายกันถึงขนาดว่า..คุณหลวงไม่ใช่แค่โกงญี่ปุ่น ท่านโกงเงินของชาติไทยด้วยแล้วพอท่านถูกจับได้..ท่านก็หนีปัญหาด้วยการ..” กำนันพงษ์จะเล่าต่อแต่เพนนีขัดขึ้น
“พอแล้วค่ะ กำนัน..ไม่เอา ไม่พูด..”
“ผมเห็นใจไงครับ..ว่าเรื่องมัวหมองนี้..ก็เลยทำให้ครอบครัวของคุณติณห์ทุกคน ต้องหนี ไปอยู่เมืองนอก..ไม่ติดต่อ ไม่รับข่าวสาร แล้วก็ไม่เคยมีใครกลับมาอีกเลย..ที่ดินริมน้ำทั้งหมดก็ถูกทิ้งร้าง เพิ่งจะมีคุณติณห์นี่แหละที่กล้าหาญ..กลับมาพัฒนา..ไม่สนคำนินทาใคร แจ๋วจริงเลย”
“ติณห์..อย่าคิดมากนะ” เพนนีปลอบ “ใครๆที่มีโอกาสเค้าก็ทุจริตคอรัปชั่นกันทั้งนั้นแหละ..มันเป็นเรื่องธรรมดาโลก ขอให้ลูกหลานมั่นใจเข้าไว้ ซักวัน คนก็ลืม คนไทยลืมง่ายจะตาย”
ทันใดนั้นหน้าต่างเรือนไทยก็ปิดกระแทกเสียงดังลั่น
“ว้าย!!!” เพนนีตกใจ
เพนนีกับกำนันพงษ์ถึงกับหน้าซีด
“ลมก็ไม่มี หน้าต่างปิดได้ยังไง” เพนนีกลัว
“เอ่อ ผมว่า กลับกันก่อนเถอะครับ เพื่อความปลอดภัย” กำนันพงษ์เสนอ
“ผีเกิดจากความคิดเราเองทั้งนั้น โนอิมเมจิ้น โนผี..ถ้าไม่จินตนาการ ก็ไม่มีผี” ติณห์บอก
“คุณติณห์.. คนงานทุกคนที่เคยมาทำงานที่นี่ เค้าพูดกัน..ว่าผีคุณหลวงท่านหวงที่ ท่านขู่อาฆาตทุกคนที่คิดจะรื้อทำลายบ้านของท่าน..แค่จะปลดรูปท่านลงจากผนัง ยังไม่มีใครทำได้เลย”
อยู่ๆก็เกิดลมพัดแรงขึ้นมา กำนันพงษ์หน้าซีดแล้วมองไปรอบๆ “เอ่อ ท่าไม่ดีแล้วล่ะ ผมไปก่อน แล้วมีอะไร..ก็โทรมาหาผมได้”
กำนันพงษ์รีบเดินออกไป ติณห์เดินเข้าไปที่รูปแล้วจะปลดรูปออก
“โอเค้..งั้นผมปลดรูปคุณตาออกเอง จะได้ไม่ต้องมีใครเดือดร้อนอีก”
ทันใดนั้นก็เกิดลมพัดแรง เครื่องเรือนทั้งบ้านสั่นกึกกักๆ ประตูหน้าต่างปิดกระแทกตึงตัง อยู่ๆผ้าม่านเก่าก็ถูกลมพัดสะบัดจนหลุดออกจากหน้าต่างแล้วปลิวมาคลุมหน้าเพนนีเอาไว้ เพนนีเสียหลักไปชนติณห์จนล้มไปด้วย
เพนนีล้มลุกคลุกคลานไปกับพื้น เธอพยายามดิ้นเพื่อสลัดผ้าม่านออก ผ้าม่านสะบัดไปฟาดผนังกระจกจนแตก กระจกแตกกระจายแล้วปลิวพุ่งเข้ามาหาตัวเพนนี
“เพนนี!!”
ติณห์พุ่งเข้าไปแล้วเอาตัวเองกันให้เพนนีอยู่ด้านหลัง เขายกมือขึ้นกันหน้าตัวเองไว้ เศษกระจกพุ่งมาบาดมือของเขาทันที
“โอ๊ย!!”
เลือดของติณห์ไหลหยดติ๋งๆๆ
“กรี๊ดดด...ติณห์!!..ไปค่ะ ไปจากตรงนี้ก่อนเถอะ..ไปๆๆ” เพนนีบอก
เพนนีกับติณห์รีบพากันออกไปจากเรือน ในขณะที่สายตาของใครคนนึงกำลังจ้องมองทั้งคู่อยู่
ป้าย “บริษัท ซิกธ์เซนซ์อินทีเรีย จำกัด” ตัวโต ป้าออถือตะกร้าจดหมายมายืนจังก้าต่อหน้า5สาวที่นั่งเรียงรายอยู่หน้าทีวีในออฟฟิศ
“ขอต้อนรับสู่ความจริงค่ะ” ป้าออหยิบกองจดหมายทวงหนี้สารพัดมาวางตรงหน้าทั้งห้าสาว “หนี้ประจำเดือนนี้..ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าแก๊ส ค่าเก็บขยะ ค่าอินเตอร์เน็ต ค่าเคเบิ้ลทีวี..สรุป เดือนนี้จะให้ป้าเอาอะไรไปขายดีค่ะ”
“ใจเย็นๆสิคะป้าออ เดี๋ยววันสองวันนี้ต้องมีลูกค้าจริงๆเข้ามาแน่ๆค่ะ” ญาณินบอก
“เฮ้อ..ตั้งแต่เปิดบริษัท คุณหนูก็พูดอย่างนี้มาตลอด..หกเดือนแล้วนะคะที่ไม่มีลูกค้าจริงๆ..เดือนนี้ให้ทีวีรับกรรมแล้วกันนะคะ” ป้าออเตรียมจะอุ้มทีวีไปขาย
“ไม่ๆๆๆๆ” ทั้งห้าสาวร้องห้าม
ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ในออฟฟิศก็ดังขึ้น
“ลูกค้า!!!..ลูกค้าแน่ๆ!!!!!” ญาณินดีใจ
5สาวรีบตั้งสติและคุมอารมณ์ ญาณินเป็นคนรับสาย
ญาณินพยายามปั้นเสียงให้เป็นปกติ “บริษัทซิกธ์เซ้นซ์อินทีเรีย รับออกแบบตกแต่งภายในสไตล์จิตวิญญาณทั่วราชอาณาจักรสวัสดีค่ะ”
หลังจากนั้น ลูกค้าก็เริ่มทยอยเข้ามาติดต่องานกับทั้งห้าสาว
สุคนธรสกำลังคุยงานกับลูกค้าซึ่งเป็นเสี่ยวัยกลางคน
“แฟนผมแกอยากจะแต่งบ้านใหม่ ให้โมเดิร์นๆ”
“ออกแบบบ้านโมเดิร์น..ว้าว..แนวถนัดเลยค่า” สุคนธรสบอก
“ป่าวคับ..ผมไม่ได้จะให้คุณออกแบบบ้าน”
ขณะเดียวกัน กรรณาก็กำลังคุยกับหญิงวัยกลางคน
“ลูกชายชั้น เค้าบอกว่าถ้าไม่ทำสระว่ายน้ำให้ เค้าก็จะออกไปว่ายน้ำข้างนอก”
“สระว่ายน้ำ..เจ๋ง!! รับรอง ว่าเท่โดนใจคุณเพ่สุดๆ” กรรณาบอก
“ชั้นไม่ได้จะให้คุณออกแบบสระว่ายน้ำ”
อีกฟากหนึ่ง กรรัมภากับเนตรตาโตเพราะคุณหญิงคนหนึ่งยื่นสร้อยเพชรเม็ดเป้งให้ดู
“ว้าว เริ่ดอลังมาก..ขายต่อมั้ยคะ” กรรัมภาถาม
“อะแฮ่ม” เนตรสิตางศุ์ปรามกรรัมภา “คุณอยากจะให้เราออกแบบตัวเรือนให้ใหม่ ใช่มั้ยคะ”
“เรามีนักออกแบบเครื่องประดับอยู่ด้วยค่ะ..ฝีมือระดับคาเทียร์ยังเขิน บุลการียังค้อน” กรรัมภาบอก
“ใครบอกว่าจะให้ออกแบบเรือนเพชร” คุณหญิงบอก
ขณะเดียวกัน ญาณินกำลังคุยโทรศัพท์กับลูกค้า “ใช่ค่ะซิกธ์เซ้นซ์แปลว่าสัมผัสที่หก..แล้วทำไมคะ?”
“เพชรนี้..ชื่อว่า ไดอะมอน ออฟ เด๊ด สปิริต” คุณหญิงลูกค้าคนนั้นเล่า “ว่ากันว่ามีวิญญาณผีสิงอยู่ในเพชร ใครที่สวมมันจะมีอันเป็นไป..แต่ชั้นจะใส่มัน!!”
ลูกค้าชายกลางคนพูด “เจ้าของเดิม..ภรรยาคนแรกของผม..เค้าไม่ยอมให้ผมแต่งงานใหม่ เค้ามาเข้าฝันผม บอกว่าจะราวีให้ผมและแฟนอยู่ไม่เป็นสุข..ผมเกลียดมัน!!”
“ลูกชายชั้น..เค้าออกไปว่ายน้ำในคลอง..แล้วก็หายไป ไม่กลับมาอีกเลย.. ฮือๆๆ” ลูกค้าหญิงร้องไห้
“ช่วยไล่ผีออกไปจากเพชรที” คุณหญิงบอก
“ช่วยไล่ผีอีแก่ไปผุดไปเกิดที” ลูกค้าชายพูด
“ช่วยพาวิญญาณลูกชายชั้นกลับบ้านที” ลูกค้าหญิงขอ
ญาณินนิ่งทนฟังอย่างอดกลั้นมานาน “ไล่ผี!!!!” ญาณินทำเสียงแข็ง “บริษัทเรารับทำแต่งานอินทีเรียเท่านั้น!!!” ญาณินวางหูโทรศัพท์ดังโครม
ทั้ง 5 สาวเสียงแข็งกร้าวแล้วพูดชัดเจนว่าจะไม่รับงานปราบผี
สาวๆ นั่งแกร่วอย่างหมดอาลัยอยู่ในออฟฟิศ
“เฮ้อ..แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายหนี้” สุคนธรสเซ็ง
“ป้าว่า..ไหนๆก็หนีไม่พ้นแล้ว ทำไมไม่รับจ้างไล่ผีเป็นเรื่องเป็นราวไปเลยล่ะคะ” ป้าออเสนอ
“ป้าออขา..ป้าเลี้ยงณินมาตั้งแต่เด็ก ป้าก็รู้ว่าณินเจอกับ..เรื่องพวกนี้มาทั้งชีวิตแล้ว ณินขอได้ใช้วิชาชีพที่เรียนกันมา..ไม่ต้องข้องเกี่ยวกับเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติบ้างเถอะค่ะ” ญาณินบอก
“ป้าเสนออย่างนั้น เพราะป้ารักคุณณินกับเพื่อนๆเหมือนลูกเหมือนหลาน..ถ้าไม่รัก..ต่อให้คุณพ่อของคุณณินหว่านล้อมยังไง ป้าก็ไม่ตามมาดูแลคุณณินที่นี่หรอก..คุณณินก็รู้ว่าป้ากลัว..เอิ่ม..กลัวนั่นแหละ”
ทันใดนั้นไฟที่บ้านก็กระพริบติดๆดับๆ
“ว้าย!!!” ป้าออกตกใจ
ในขณะที่พวก5สาวนั่งเฉยเพราะชินแล้ว
สุคนธรสพูดกับอากาศ “ยัยตัวร้าย..เล่นยังงี้ไม่ตลกนะ คนกำลังเครียดอยู่”
แล้วไฟก็กลับมาปกติตามเดิม
ทันใดนั้น กุมารทองก็ปรากฏขึ้นข้างหลังป้าออ เขาเข้ามาจี้เอวป้าออทันที
“ชะแว้ง!!!”
“กรี๊ด..” ป้าออเป็นลมแล้วทรุดฮวบ
กุมารทองเข้ามารับไว้ เขาประคองป้าออให้นอนลงสวยงาม “เฮ้อ ป้าคนนี้หนิ เมื่อไหร่จะชินซะทีนะ รู้จักกันมาตั้งเป็นเดือน หนูแหย่เล่นทีไร เป็นลมทู้กที”
“ยัยตัวแสบเอาอีกแล้ว ชั้นได้ยินนะ ว่าเธออยู่ตรงนั้น” กรรณาชี้ไป
กุมารทองค้อนแล้วทำท่าหมุนตัวหายวับไป
ญาณินหลับตา “ใช่เลย..แต่ตอนนี้ หายตัวไปที่..” ญาณินทำมือวนๆ
กุมารปรากฏขึ้นบนตักกรรัมภา “ชะแว้ง!!”
“อ๊าย ว้ายๆๆ” กรรัมภาเอามือคลำๆ แล้วจับได้ “อยู่ตรงนี้ กรี๊ด ใครมาเอาออกไปที ชั้นไม่เล่นนะ อี๊..แค่เด็กที่เป็นคน ชั้นยังสยองจะตาย แล้วนี่ เป็น เป็น..”
กุมารทองกระโดดไปบนโต๊ะ “ชะแว้ง!” กุมารทองวิ่งแล่บลิ้นหลอกทุกคนไปรอบๆ “เป็นผี..แล้วใครจะทำไม นี่แน่ะๆๆ แบร่ๆๆๆ”
“กุมารจ๋า พี่ยิ่งปวดหัวๆอยู่น้า..สุคนธรส..จัดการสมุนเธอที” ญาณินบอก
สุคนธรสทำจมูกฟุดฟิดๆๆ “ถ้าใครอยากได้ตุ๊กตาแมวคิตตี้รุ่นล่าสุด แบบที่เปลี่ยนชุดได้ ก็สลายตัวไปจากตรงนี้แล้วจะให้ตุ๊กตาคิตตี้แบบนั้นจริงๆด้วย”
“ต้องเอามาให้จริงๆน้า” กุมารทองบอก
“จริงที่ซู้ดดดด..แต่ต้องหายไปสามวันสามคืนเลยนะ ไม่ต้องโผล่มาน้า”
“ได้เลย หายหัวไปสามวันสามคืน แลกกะตุ๊กตาคิตตี้แบบเปลี่ยนชุดได้..ชะแว้ง!” กุมารทองหายตัวเป็นลมจากมุมนึงไปอีกมุม
ทุกคนส่ายหัว
ญาณินควักยาดมจากกระเป๋าถือมาแล้วเข้าไปประคองป้าออ ก่อนจะเอายาดมให้ดม “ป้าออๆ โอ๋ๆๆ ฟื้นนะคะ ยัยกุมารทองไปแล้วค่ะ”
ป้าออลืมตาขึ้นแล้วกระพริบตาถี่ๆ
กรรัมภาส่ายหน้าแล้วหันมาประชุมต่อ
“เอาล่ะๆๆ ทุกคน..ในสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างนี้ ให้ชั้นออกเงินให้ก่อนเถอะ หนี้บริษัทแค่เนี้ย ไม่ทำให้ชั้นเดือดร้อนหรอก” กรรัมภาเปิดกระเป๋าโชว์บัตรเครดิตเป็นแผง
ญาณินปล่อยตัวป้าออจนล้มลงไปอย่างเก่า “เราไม่ได้รังเกียจเงินของเธอนะแก้ม..แต่เราต้องยืนด้วยลำแข้งตัวเอง บริษัทเราต้องเลี้ยงตัวเองได้จริง ไม่งั้น ก็แปลว้าเราเจ๊ง ล้มเหลว”
“เจ๊จีจ้าพูดถูก พวกเราจะสปอยล์ตัวเองไม่ได้” สุคนธรสเห็นด้วย
“คิดซะว่ามันคือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไม่ได้หรอ.. แล้วเดือนหน้าค่อยว่ากันใหม่” กรรัมภาบอก
“เช้อ..คุณหนูแก้ม คนรวยก็เงี้ย..ความอดทนต่ำ” กรรณาแขวะ
“ชั้นแค่พยายามจะช่วยบริษัทนะ ยัยกรรณา” กรรัมภาบอก
“อ๋อเหรอ คุณหนูกรรัมภา”
“ทำไมพวกแกต้องรังเกียจความรวยของชั้นด้วยห่ะ”
“พวกเราไม่มีใครสนใจเงินเธอหรอกแก้ม จะรวยจะจน เราก็เป็นเพื่อนกัน เกิดวันเดือนปีเดียวกัน มีชะตากรรมเดียวกัน ที่ต้องมาเป็นแบบนี้” ญาณินบอก
“ถูกต้อง พวกเราต้องสามัคคีกันซิ สู้ๆ”
พูดจบสุคนธรสก็ยื่นมือออกมาให้ทุกคนประสานมือกัน
“เดี๋ยยว..แล้วยัยเนตรไปไหน” ญาณินถาม
ทันใดนั้นก็มีเสียงบึ้มดังมาจากในครัว สาวๆตกใจรีบมองไปในบ้าน ทั้งสี่เห็นควันโขมงเหมือนไฟไหม้ พวกสาวๆตกใจ
“ยัยเนตร!!!”
เนตรสิตางศุ์วิ่งฝ่าควันออกมาอย่างร่าเริง
“แค่กๆ..เค้กโกโก้อบภูเขาไฟเสร็จแล้ววววว น่ากินมากๆๆๆ”
“โอ๊ยยยยยย งานก็ไม่เข้า เงินก็ไม่มี แล้วยังมาระเบิดครัวบริษัทอีก..อะไรกันเนี่ย!!!!” ญาณินเซ็ง
ป้าออลุกขึ้นมาด้วยความตกใจโดยที่เธอยังคงดมยาดมอยู่
“ห๊า...ครัวของป้า!!”
อยู่ๆ ก็มีน้ำหยดลงใส่หน้ากรรณา
“น้ำอะไร..อย่าบอกนะว่า...”
เสียงท่อน้ำแตกดังสนั่นที่ชั้น2 ทุกคนช็อก
“ท่อน้ำแตก!!!!!”
ทุกคนรีบวิ่งไประงับสถานการณ์ เนตรสิตางศุ์ยืนงงๆ อยู่คนเดียว
ณัฐเดช ตำรวจหนุ่มกำลังวิ่งไล่คนร้ายด้วยสปีดเต็มที่ เขาสับฝีเท้าเร็วยิ่งกว่าเครื่องจักร ตำรวจอีก2-3นายวิ่งไล่ตามหลัง คนร้ายวิ่งหนีฝ่าคนไปอย่างไม่คิดชีวิต
ณัฐเดชวิ่งไล่มาจนประชิด คนร้ายวิ่งฉีกไปอีกทางแล้วกระโดดข้ามรั้วหมายจะเข้าไปในไซต์ก่อสร้าง แต่ณัฐเดชกระโดดข้ามรั้วตามแทบจะจังหวะเดียวกัน พอลงถึงพื้น ณัฐเดชก็ดึงแขนคนร้ายไว้ คนร้ายสะบัด แล้วหยิบมีดออกมาจะแทง ณัฐเดชผวาหลบ
คนร้ายวิ่งหนีเข้าไปในไซต์ก่อสร้าง ณัฐเดชไล่ตามแต่ก็ไม่ทัน คนร้ายหนีหายไปได้
ณัฐเดชมองหา “ไอ้ฆาตกร ชั้นรู้ว่าแกซ่อนอยู่แถวนี้ ออกมา”
ทันใดก็มีเสียงครืนๆ ดังมา ณัฐเดชหันไปมองก็เห็นว่าคนร้ายขับรถบดถนนพุ่งตรงมาที่เขา ณัฐเดชผงะ ตกใจแล้วรีบวิ่งหนี คนร้ายขับรถไล่บี้โดยกวาดทุกอย่างที่ขวางหน้าจนเรียบ คนร้ายหัวเราะด้วยความสะใจ
ณัฐเดชวิ่งหนีแล้วรอจังหวะเหมาะกระโดดปีนขึ้นที่สูงก่อนจะกระโจนมายืนบนหลังคารถ แล้วไต่มาโผล่ที่ด้านหลังคนร้าย เขากะจะเข้าล็อคแบบเงียบๆ
ทันใดนั้นเสียงมือถือของณัฐเดชก็ดังขึ้น คนร้ายได้ยินจึงหันมาเอามีดแทง ณัฐเดชหักมือคนร้ายจนมีดหล่น แล้วจึงล็อกคอคนร้ายเอาไว้ คนร้ายเหยียบคันเร่งตั้งใจจะให้รถพุ่งเข้าไปกระแทกกับผนัง
ณัฐเดชรู้ทันจึงกระชากคนร้ายออกห่างจากรถแล้วจับคนร้ายกดกับพื้น เขารีบกระชากกุญแจรถออกแล้วดับเครื่องรถ รถยังคงไหลเข้าไปหาตึก ณัฐเดชรีบดึงเบรกมือ รถหยุดสนิทห่างจากตึกแค่ไม่กี่นิ้ว ตำรวจคนอื่นๆเข้ามาช่วยจับคนร้ายไว้ ณัฐเดชลุกออกมาในสภาพสะบักสะบอม
“ผู้กอง..”
“ผมไม่เป็นไร..สบาย..ไม่ต้องห่วงๆ” ณัฐเดชบอก
มือถือณัฐเดชยังดังต่อเนื่อง ณัฐเดชหยิบมาดูแบบฉุนๆ
ติณห์โทรมาหาณัฐเดชจากบ้านพักในรีสอร์ท ในขณะที่เพนนีกำลังบีบนวดตัวเองอยู่ด้านหลัง
“เพื่อนกลับมาเมืองไทยทั้งที ไม่คิดจะต้อนรับกันหน่อยเหรอ”
ณัฐเดชใส่เป็นชุด “ไอ้บ้าๆๆ ..แกเกือบทำให้ชั้นตายแล้ว รู้ป่าววะ ว่าไงไอ้ฝรั่งขี้นก..รีสอร์ทแกเสร็จแล้ว.. จะตามชั้นไปเที่ยวงั้นหรือวะ”
“ณัฐเดช ชั้นต้องการความช่วยเหลือจากแก”
“คุยกับใครอยู่อ่ะติณห์..หมอผีหรือเปล่า ถ้าใช่ ก็เรียกมาเลย” เพนนีบอก
“ความช่วยเหลือ” ณัฐเดชงง “เกี่ยวกับเสียงแปร๋นๆของนังชะนีที่ชั้นได้ยินอยู่ตอนนี้หรือเปล่า”
“ณัฐเดช มีเรื่องบ้าบอคอแตกเกิดขึ้นที่นี่..เอ่อ..ชั้นก็อธิบายไม่ถูก.. เอาเป็นว่า..เรามีปัญหากับผี..ผีแกรนด์ปา”
“โทษทีๆๆ ..พี่ฝรั่งครับ ผมเป็นตำรวจ ผมจับคน ไม่ได้จับผีนะครับ”
“ฝรั่งรู้..ฝรั่งก็ไม่เชื่อว่าจะเป็นเรื่องวิตถารอย่างนั้น..ชั้นจะถามแก ว่าแกพอจะรู้จักผู้รับหมาบ้างมั้ย..ช่วยหามาออกแบบตกแต่งภายในรีสอร์ทให้ชั้นหน่อย แต่ขอพวกที่สติแข็งๆ ไม่เชื่อเรื่องผี ไร้สาระงี่เง่า มีมั่งมั้ย”
ณัฐเดชปิ๊งไอเดียทันที “ผู้รับเหมาตกแต่งภายในงั้นเหรอ!!”
ยามเย็นวันนั้น เมื่อณัฐเดชนำเรื่องมาบอก ทั้ง 5 สาวก็ดีใจ
“ตกแต่งรีสอร์ทเมืองกาญจน์ กรี๊ด”
“พี่ณัฐน่ารักที่สุดในโลก” เนตรสิตางศุ์กระโดดกอดพี่ชายของเธอแน่น
“พี่ณัฐคะ แก้มก็อยากจะกอดพี่ เพื่อแสดงถึงความขอบคุณเช่นกัน” กรรัมภาเข้ามากอดอย่างเนียนๆ
“กรรณก็เหมือนกันเน้..คุณเพ่” กรรณาเข้ามาใกล้แล้วเอามืดกดกล้ามแขนณัฐเดช “ขอกดไลค์ทีนะคะ”
ป้าออเข้ามากอดณัฐเดชด้วย “ขอบคุณนะพ่อณัฐ”
“ป้าออ” ทั้งห้าสาวปราม
“อ้าว..ป้าว่าป้าเนียนแล้วนะ ตกลง ทุกคนจับได้เหรอ ว้า ไม่เนียนจริงเลยเรา”
ทุกคนหัวเราะขำออกมา
“พี่ณัฐรู้มั้ยคะว่าเนี่ย เป็นงานตกแต่งจริงๆ ที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องภูติผีวิญญาณ งานแรกในรอบ6เดือนของพวกเราเลย” ญาณินบอก
“เจ๋งมากเพ่ !!มันจะเป็นงานที่ช่วยให้เรามีเงินใช้หนี้ และต่อลมหายใจบริษัทไปได้อีกเฮือกนึง” กรรณาว่า
“ไม่เสียแรงที่พวกเรายกให้พี่ณัฐเป็นฮีโร่ประจำกลุ่มมาตั้งแต่เรียน” สุคนธรสบอก
“ถ้าอายุสามสิบแล้ว แก้มยังหาแฟนไม่ได้ แล้วพี่ณัฐก็ยังไม่มีใคร..แก้มจะให้ผู้ใหญ่ไปสู่ขอนะคะ”
“เป็นเพื่อนกันก็พอแล้ว อย่ามาเป็นญาติกันเลยนะ” เนตรสิตางศุ์แขวะ
กรรัมภาแลบลิ้นใส่แก้เก้อ
“งานออกแบบรีสอร์ทริมแม่น้ำ..อย่างนี้ พวกหนูก็ต้องไปทำงานที่เมืองกาญน่ะสิ” ป้าออถาม
“คุมงานไป เล่นน้ำไป โว้ๆๆๆ แค่คิดก็สุโค่ยยยแล้ว” กรรณาดีใจ
“เราควรจะใส่กระโจมอก กางเกงขาสั้น หรือว่า วันพีซ ทูพีซ หรือต้องบิกีนี่เลย..” กรรัมภาคิด
“ว้าวๆๆๆ” เนตรสิตางศุ์ดีใจ
“ยัยเนตร..เราไม่ต้องดีใจกับเค้าด้วยเลย งานนี้พี่ตามไปดูแลเราไม่ได้..ก็แปลว่าพ่อกับแม่ไม่มีทางให้เราไปแน่” ณัฐเดชบอก
เนตรสิตางศุ์จ๋อย “โหย...พี่ณัฐอ่ะ”
“แล้วเราจะเริ่มงานเมื่อไหร่ดีคะพี่ณัฐ” ญาณินถาม
“เดี๋ยว..ใจเย็นๆ เพื่อนพี่ยังไม่ได้ตกลงจะจ้างพวกเรา..เย็นนี้เพื่อนพี่มันจะขับรถเข้ากรุงเทพ คงจะถึงค่ำๆ มันอยากให้พวกเธอไปคุยเลย แต่พี่ก็ไม่รู้ว่าว่างกันหรือเปล่า”
“ว่างค่ะ!!” ทั้งห้าสาวตอบพร้อมกัน
ณัฐเดชงงๆ พวกสาวๆ แสดงท่าทีว่าพร้อมมาก
ติณห์กำลังจะขึ้นรถ เพนนีวิ่งตามมา
“ติณห์คะๆๆ ติณห์จะไปไหน”
“ผมกำลังจะเข้ากรุงเทพ คุณมีอะไรหรือเปล่า”
“เพนนีไปด้วยค่ะ” เพนนีขึ้นไปนั่งในรถ
“เฮ้ เพนนี..ผมไปคุยธุระ..เรื่องรีสอร์ท แล้วก็จะแวะไปเจอเพื่อนเก่าของผมด้วย คุณจะไปทำไม” ติณห์ถาม
“เพนนีอยากไปดูแลติณห์ไม่ได้เหรอ เราเป็นแฟนกันนะ”
“เราเพิ่งรู้จักกันสองเดือนเองนะ”
“งั้น..เราก็กำลังคบหาดูใจกันอยู่” เพนนีอ้อน “ให้เพนนีไปด้วยนะ เพนนีเห็นติณห์เครียดเรื่องรีสอร์ท เพนนีอยากช่วย แต่ไม่รู้จะช่วยยังไง นอกจากคอยอยู่ข้างๆติณห์..ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม..แต่ติณห์อ้ะไม่เคยเก็ทเลย”
“โอเคๆ อยากไปก็ไป” ติณห์ตัดรำคาญ
ติณห์ขึ้นรถแล้วขับออกไป
รถของติณห์แล่นออกมาจากที่ดิน ชาย4คนขี่มอเตอร์ไซค์2คันไล่ตามไปห่างๆ
ป้าออยกอาหารมาวางที่โต๊ะในครัวที่ออฟฟิซซิกเซนส์
“มาๆๆๆ ทานกันให้อิ่ม ก่อนออกไปคุยงาน จะได้ไม่ต้องเสียเงินกินข้าวนอกบ้าน”
สุคนธรส กรรณา กรรัมภา ณัฐเดชเข้ามารุมดู
“ฝีมือป้าออใช่มั้ยครับ น่าทานจัง” ณัฐเดชชม
เนตรสิตางศุ์เดินถืออาหารอีกจานออกมา “ฝีมือเนตรค่ะ..ทุกคนต้องลองชิม เนตรคิดสูตรใหม่ รับรองว่าอร่อยไม่เหมือนใคร”
ทุกคนวงแตกทันที
“จะไปไหน ทานสิคะ” เนตรสิตางศุ์บอก
ญาณินส่งเสียงแสดงความขัดใจ “ทุกทีเลยๆๆๆ”
ทุกคนรีบชิ่งไปหาญาณินทันที
“ดูดวงอีกแล้วเหรอเจ๊จีจ้า” สุคนธรสเข้าไปถาม คนอื่นก็เข้าไปทักด้วย
“ถามว่า..งานที่เมืองกาญ เราจะได้ทำมั้ย ทำแล้วจะรุ่งมั้ย..แล้วก็เปิดได้ไพ่ใบนี้” ญาณินโชว์ไพ่เดอะเด๊ด “ไพ่มีเป็นสิบๆใบ ทำไมต้องจับได้แต่เดอะเด๊ดด้วย”
“ชั้นเห็นแกเปิดไพ่ทีไร ก็ได้ใบนี้ทุกที” กรรณาบอก
“ก็ชะตากรรมพวกเธอมันต้องเกี่ยวข้องกับวิญญาณ..ยังไม่ชินอีกเหรอ” ณัฐเดชว่า
“ใครจะไปชิน..พี่ณัฐไม่มีเซ้นซ์ก็พูดได้สิ” ญาณินบอก
“อย่าเครียดๆ..ลองชิมนมน้ำแดงสูตรใหม่ของเนตรก่อน รสต้มยำ” เนตรสิตางศุ์นำเสนอ
“นมน้ำแดงรสต้มยำ!!!” ทุกคนตกใจ
ทุกคนวงแตกอีก เนตรสิตางศุ์ไม่เข้าใจหันมาบอกญาณิน
“เจ๊จีจ้า ชิม...”
ญาณินรีบตัดบท “ชั้นต้องการความสงบ!!! ชั้นกำลังจะทำเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต” ญาณินหยิบไพ่ขึ้นมาสับ “ดูดวงเนื้อคู่..ไปทำงานที่เมืองกาญคราวนี้ ชั้นมีเกณฑ์จะได้เจอเนื้อคู่ตัวจริงเสียงจริงบ้างหรือเปล่า”
ญาณินเลือกไพ่ออกมา อยู่ๆมีเสียงเรียกป้าออดังมาจากประตูหน้าบ้านสลับกับเสียงกริ่งที่กดถี่ๆ
“เจ๊ออ..ยัยเจ๊อรวรรณ..ช่วยด้วยๆๆๆๆๆๆ”
ทุกคนตกใจจึงรีบวิ่งออกไป ญาณินทิ้งไพ่แล้ววิ่งไปดูโดยไม่ทันมองว่าไพ่ใบที่ปลิวหล่นพื้นนั้นเป็น เดอะเลิฟเวอร์
ทุกคนวิ่งออกมาที่หน้าบ้าน พ่อ แม่ชาวบ้านคู่หนึ่งพาลูกสาวที่มีอาการคลุ้มคลั่งแบบคนถูกของมายืนอยู่หน้าบ้าน
“ยัยแม้น ตาเกิด...มีเรื่องอะไร” ป้าออถาม
“ลูกสาวข้า ช่วยมันที มัน…เป็นอะไรไม่รู้” แม้นบอก
“ปล่อยกู!” ลูกสาวยายแม้นออกอาการคุ้มคลั่ง
“อาการอย่างนี้...มัน…” ญาณินเอ่ยขึ้น
สุคนธรสพูดต่อ “ผีเข้าชัดๆ”
“คุณหนูรส ช่วยเพื่อนป้าทีนะคะ...นะคะ” ป้าออร้องขอ
“เอ่อ ป้าออ ให้เพื่อนป้าพาลูกสาวไปหาหมอผีสิ พามาที่นี่ทำไม เราไม่รับจ้างไล่ผี” สุคนธรสปัด
“แต่คุณหนูรสช่วยได้...ป้ารู้ ช่วยเพื่อนป้าทีนะ มันมีลูกสาวคนเดียว สงสารมันเถอะค่ะ ป้าขอร้องล่ะ”
สุคนธรสมีท่าทีลังเล
“ช่วยได้ก็ช่วยไปเถอะรส ทำบุญ” ญาณินบอก
“เออๆ พาเข้ามาในบ้านก่อน…เนตร ขอสายสิญจน์ที” สุคนรสบอก
ป้าออเปิดประตู พ่อแม่กำลังจะพาลูกสาวเข้ามาในบ้าน แต่เดินมาแค่หน้าประตู หญิงสาวก็กรีดร้องแล้วกระเด็นออกห่างพร้อมกับส่งเสียงแหลมด้วยความเจ็บปวด จากนั้นเธอก็ไม่ยอมเข้า เธอดิ้นแรงแล้วผลักพ่อกับแม่จนกระเด็นไป สายสิญจน์พันอยู่บนรั้วรอบบริษัท
“กูไม่เข้า..ปล่อยกู”
“ต้องโดนของมาจริงๆ ถึงเข้ามาไม่ได้ เพราะบ้านนี้ ยัยรสลงอาคมป้องกันผีร้ายเอาไว้” กรรณาบอก
เนตรสิตางศุ์วิ่งออกมา “สายสิญจน์มาแล้ว” เนตรสิตางศุ์ส่งให้สุคนธรส
“ยัยเนตร ถอยมานี่” ณัฐเดชรีบดึงเนตรสิตางศุ์ออกห่าง
ณัฐเดชเข้าไปจับตัวหญิงสาวเอาไว้ไม่ให้ดิ้นหนี
สุคนธรสเดินไปตรงหน้าหญิงสาว ปากก็ท่องคาถาแล้วก็เอาสายสิญจน์พันรอบตัวลูกสาว ทีแรกหญิงสาวดิ้นทำท่าจะหนี แต่ณัฐเดชเข้าไปช่วยล็อกตัวเอาไว้ หญิงสาวกรีดร้องอย่างโหยหวน แล้วก็ส่งเสียงเป็นผู้ชาย
“อ๊าก...!”
หญิงสาวดิ้นไม่ยอมหยุด ทุกคนมองหน้ากัน
“มันไม่ยอมออก!!” ญาณินบอก
สุคนธรสตัดสินใจ “ใครก็ได้ขอเข็มหรืออะไรก็ได้แหลมๆ เร็ว...”
เนตรศิตางศุ์ดึงเข็มกลัดออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “นี่ๆ เข็มกลัด”
สุคนธรสรับมาแล้วท่องคาถาพร้อมเอาเข็มกลัดจิ้มนิ้วตนเองจนเลือดซึมออกมา1หยด สุคนธรสเอานิ้วจิ้มไปที่หน้าผากของหญิงสาวคนนั้นทันที
ทันใดนั้นหญิงสาวก็อ้วกออกมาเป็นของเหลวสีอิฐ แล้วก็ทรุดลงไปกองกับพื้น สาวๆผงะด้วยความสยดสยอง กลุ่มควันสีดำพุ่งออกจากร่างของหญิงสาว ควันกลุ่มนั้นเป็นรูปร่างของชายกำยำน่าเกลียดน่ากลัว ชายคนนั้นรีบวิ่งหนีออกไปแบบไม่คิดชีวิต
เนตรสิตางศุ์กรี๊ดแล้วเป็นลม
“ยัยเนตร!!!” ณัฐเดชตกใจ
The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 1 (ต่อ)
ป้าออกำลังแกว่งยาดมให้เนตรสิตางศุ์ที่นอนสลึมสลืออยู่ ณัฐเดชยืนอยู่ข้างๆ บ่นออกมา
“เป็นซะอย่างนี้ แล้วจะไม่ให้เป็นห่วงได้ยังไง”
กรรณาถือแก้วน้ำมาให้ พ่อกับแม่กำลังดูแลลูกสาวของตัวเองอยู่
“อ้ะ ดื่มน้ำหน่อยนะ น้อง น้ำมนตร์น้อง..ของหลวงตาของยัยสุคนธรส รับรองเจ๋ง” กรรณาบอก
“ไหวมั้ยคะคุณ เล่าให้พวกเราฟังได้มั้ย ว่าเกิดอะไรขึ้น ไปทำอะไรมา..ทำไมถึงไปถูกคนทำของใส่อย่างนี้” ญาณินบอก
“พวกเธอไปมีปัญหาอะไรกับใครเขาหรือเปล่า” ป้าออถาม
“คือ..ชั้น..ชั้นก็ไม่รู้ ชั้นไม่เคยมีปัญหากับใคร” ลูกสาวบอก
“ต้องมีแน่..แต่คุณอาจจะไม่รู้ตัว..คุณรู้หรือเปล่าว่าไอ้วิญญาณตนนั้น มันถูกส่งมา ให้เล่นคุณถึงตายเลยนะ” สุคนธรสพูด
“บางทีอาจจะเป็นเรื่องธุรกิจ ที่คุณเผลอไปขัดแข้งขัดขาใคร” กรรณาแสดงความเห็น
“หรือไม่ก็เรื่องหัวใจ มีใครแอบรักแฟนคุณ หรือไม่คุณก็เผลอไปแย่งสามีใครมาหรือเปล่า” กรรัมภาออกความเห็นบ้าง
“เรามันคนหาเช้ากินค่ำ ไม่ใช่ลูกหลานคนมีกะตังค์ จะได้มีเวลาคิดแต่เรื่องแย่งผัวแย่งเมียนะหนู” แม่ค้าน
ญาณินขำคิก “รู้สึกว่า จะโดนแกอยู่นะ”
กรรัมภาค้อนเล็กน้อยด้วยความไม่พอใจ
“คุณเคยไปข้องเกี่ยวกับพวกเล่นของบ้างหรือเปล่า..หรือมีใครที่คุณรู้จัก มีความรู้เรื่องไสยศาสตร์บ้างมั้ย” ณัฐเดชถาม
“อืม....มีแต่..ไปผูกดวงมา” แม่บอก
“คือ ชั้นอยากจะให้กิจการเจริญรุ่งเรือง” ลูกสาวเริ่มเล่า “แล้วเพื่อนก็แนะนำให้ไปสะเดาะเคราะห์ ชั้นก็ไป แต่สี่ห้าเดือนผ่านไป ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น มีแต่เรียกให้สะเดาะเคราะห์คอร์สสอง คอร์สสาม คอร์สนึงก็หลายพัน..แล้วพอชั้นคิดจะเลิก ร่างทรงก็บอกว่าชั้นเลิกไม่ได้ เพราะชั้นมีวิญญาณร้ายอาฆาตอยู่ ถ้าจะเลิกก็ต้องบูชาเครื่องราง ราคาเหยียบแสน..พอชั้นไม่เชื่อ ไม่บูชา พวกมันก็ขู่ว่าชั้นจะมีอันเป็นไป แล้วชั้นต้องซมซาน..กลับไปง้อมัน..”
“ปล่อยผีมาเล่นคุณ เพื่อให้คุณกลับไปบูชาเครื่องรางของเค้า..สำนักไหนเนี่ย” ญาณินงง
“สำนักทรงหมอสมคิด” คนเป็นพ่อตอบ
“สำนักทรงหมอสมคิด” สุคนธรสทวนคำ
“ทำแบบนี้มันแย่มาก พี่ณัฐไปจับพวกมันเลยค่ะ” เนตรสิตางศุ์บอกพี่ชาย
“เฮ้ย เรื่องไสยศาสตร์ ไม่ใช่หน้าที่ตำรวจ..ทำได้อย่างมากก็แค่เอาผิดโทษฐานหลอกลวงต้มตุ๋นประชาชน แต่ก็ต้องมีหลักฐานที่ชัดเจน”
“ไรเนี่ย..ตำรวจจัดการไม่ได้ โหวว..วังเวงอ่ะ” กรรณาบ่น
“ก็คงต้องเป็นหน้าที่เราแล้วล่ะ” สุคนธรสทำหน้าจริงจัง
ญาณินรีบวิ่งมากางแขนปรามเพื่อนๆที่กำลังของขึ้นเพราะจะไปสำนักหมอสมคิด
“เดี๋ยวๆๆๆๆ ถ้าเราไปสำนักหมอสมคิด แล้วเรื่องงานล่ะ..ค่ำนี้ เรามีนัดไปพบลูกค้าเรื่องตกแต่งรีสอร์ทเมืองกาญจน์นะ ลืมแล้วเหรอ”
“อีกชั่วโมงเดียวก็ถึงเวลานัดแล้ว” ณัฐเดชบอก
“พวกหลอกลวง ก็เหมือนพวกกระเป๋าก๊อปเกรดเอ เซินเจิ้น ชั้นรับไม่ได้” กรรัมภาไม่พอใจ
“เราโทรไปเลื่อนนัดลูกค้าได้มั้ย สำนักหลอกเงินคน ปล่อยไปไม่ได้หรอก” กรรณาเสนอ
“เพื่อนพี่เป็นฝรั่ง นัดเป็นนัด..เลือกเอา จะเอางานก็อยู่ จะไม่เอางานก็ไป” ณัฐเดชหันไปพูดกับเนตรสิตางศุ์ “แต่..พี่ไม่ให้เนตรไปสำนักหมออะไรนั่นเด็ดขาด”
“พี่ณัฐ...”
“พี่ถูกเรียกตัวให้กลับเข้าไปที่สำนักงานเดี๋ยวนี้..พี่ไปด้วยไม่ได้ เนตรก็ไปไม่ได้เหมือนกัน เข้าใจมั้ย”
“งั้นให้เนตรไปคุยงานรีสอร์ท” สุคนธรสบอก
“ให้เนตรไปไหนลำพังได้ไง” ณัฐเดชว่า
“โอ๊ย..เพ่ชายคนเน้เค้าหวงน้องสาวเจงๆ งั้นเนตรก็ไปกับเจ๊ณินแล้วกัน...เจ๊กับเนตรไปคุยงาน ส่วนพวกเราสามคนจะไปกำจัดมารสังคม ตกลงตามนี้นะ” กรรณาสรุป
สุคนธรสกับกรรัมภารับคำพร้อมกัน “ตกลง” จากนั้น สามสาวเดินออกไปทันที
“ชั้นยังไม่ได้บอกตกลงเลย!” ญาณินโวยวาย เซ็งสุดขีด
ญาณินขับรถมาตามถนนโดยมีเนตรศิตางศุ์คอยบอกทาง
“เดี๋ยวสี่แยกหน้า เลี้ยวซ้ายนะ เจ๊”
“แปลกเนอะ รถไม่ติด”
“เทวดาเดินผ่านมั้งคะ”
“อะไรนะ”
“เปล่า พูดเล่น มันเป็นจังหวะที่อยู่ๆ ทุกอย่างก็ลื่นไหลไร้อุปสรรคไง”
“แบบนี้ก็เป็นสัญญาณที่ดีสิ ว่างานที่เราจะไปทำคราวนี้ เราจะได้งาน ได้เงิน และประสบความสำเร็จ
เนตร ซา...ธุ” ญาณินยกมือพนม
สองสาวตื่นเต้น ดีใจ ยกมือ ชูนิ้วก้อยมาเกี่ยวกัน แล้วเขย่าไปมา
“รวยๆๆๆๆๆ”
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นรถสปอร์ตของติณห์แล่นมาตามถนน ด้านหลังมีรถมอเตอร์ไซด์2คันซิ่งแข่งกันมาแต่
ไกล… แล้วเร่งความเร็วมาตีคู่กัน ชายคนขับสวมหมวกกันน็อคหันมามองกันเหมือนให้สัญญาณ ก่อนจะเบิ้ลเครื่องขี่มาจ่อท้ายรถติณห์ ติณห์มองกระจกหลังอย่างแปลกใจ เพ็ญนภากำลังเล่นไอแพดอยู่ในมือเงยหน้าขึ้นมอง
“มีอะไรคะติณห์?”
ติณห์ไม่ทันตอบ มอเตอร์ไซด์ 2 คันก็ซิ่งตีจากกันมาขี่ยกล้อขนาบข้างรถติณห์ซ๊ายขวา ทำเอาทั้งติณห์และเพ็ญ
นภาอ้าปากค้าง…ชายสวมหมวกกันน็อคด้านติณห์...หันมาชี้นิ้วใส่หน้าติณห์
“จะหาเรื่องกันเหรอ”
แล้วมอเตอร์ไซด์ทั้งสองคันก็ยกล้อผ่านรถติณห์ไปปาดหน้ารถติณห์ไขว้กันในระยะกระชั้นชิด
“ว้าย!”
“ก้อชชช...”
ติณห์ตกใจหักพวงมาลัยหลบด้วยสัญชาตญาณ ทำให้รถเสียหลัก ติณห์คุมพวงมาลัยรถไม่อยู่...รถติณห์เสียหลักหมุนเคว้งอยู่กลางถนนจังหวะนั้นรถของญาณินแล่นมาพอดี
ญาณินกับเนตรศิตางศุ์เห็นรถติณห์หมุนเหวี่ยงอยู่ข้างหน้าก็ร้องกรี๊ดลั่นรถ
“อ๊ายยยย”
ติณห์บังคับรถเบรกหยุดอยู่กับที่ได้ก็หันไปถามเพ็ญนภาที่นั่งยึดเซฟตี้เบลท์ใจหายใจคว่ำอยู่
“คุณเป็นอะไรรึเปล่า...เพนนี?”
แล้วติณห์ต้องช็อคอีกครั้งเมื่อเห็นรถญาณินพุ่งเข้ามาหาด้านข้าง
“โอ้ววว..โน...”
ติณห์รีบดึงเพ็ญนภามากอดไว้ แต่ญาณินหักพวงมาลัยหลบ จนเฉี่ยวชนแค่ท้ายรถติณห์แล้วก็หยุดกึก
ญาณินเปิดประตูลงจากรถเดินจับเอวเคล็ดออกมาดูหน้ารถของตัวเองที่จูบอยู่กับท้ายรถของติณห์แล้วแทบ
กรี๊ดเมื่อเห็นหน้ารถคู่ชีพ ขณะที่เนตรศิตางศุ์นั่งตกใจหน้าซีดซืดยาดมจะเป็นลมอยู่ในรถ
“โฮ่ยรถฉัน! ดูดิ...ดั้งยุบหมดเลย จะหัดดริ๊ฟท์ก็ไปหัดในสนามสิยะ มากระชากดริ๊ฟท์กลางถนนสาธารณะได้ไง
ไอ้พวกลูกอาเสี่ยสมองกลวงเอ๊ย นี่แน่ะๆ”
สองมือญาณินยกชายกระโปรงยาวขึ้น เท้าเตะไปที่ท้ายรถติณห์ป๊าบๆ อย่างฉุน
“เฮ้ๆๆ คุณจะบ้าเหรอ? ...มาเตะรถผมทำไม!”
“ก็คุณ...เอ่อ...” ญาณินหันไปชี้หน้าจะด่าแต่แล้วต้องหยุดตะลึงค้าง เมื่อเห็นติณห์ที่กำลังเปิดประตูก้าวลงมา
จากรถ ศรรักปักอกทันที “อะ...อ่า...ใช่..เลย”
“หา...คุณว่าไงนะ”
“เอ่อ...ก็...คุณถามว่าไงล่ะคะ”
ติณห์เท้าเอว
“ผมถามว่าคุณมาเตะรถผมทำไม บ้าเหรอ”
“อ๋อ ! หรือว่าชั้นต้องไหว้ขอบคุณคุณที่คุณขับรถมาล่อให้ชั้นชนงั้นเหรอ”
“ล่อ...what?” ติณห์งง “ no no no no ผมไม่ได้ขอรถมาล่อคุณ”
ญาณินตาลุก
“กรี๊ด! ทะลึ่ง หยาบคาย”
“อะไร?”
“รถฉันเสียหายนะ ยังจะมาพูดจาสองแง่สองง่ามอีกเหรอ”
ติณห์งงโคตรๆ ชูสองนิ้วขึ้นมา
“ 2 ง่าม...ง่ามคืออะไร ทำไมถึงต้อง 2 ง่าม”
“นี่พูดกันไม่รู้เรื่องหรือคะ ติณห์”
เพ็ญนภาเปิดประตูรถลงมา ถามด้วยสีหน้าเอาเรื่อง ติณห์เข้าห้าม
“เพนนี...ผมจาระเจเองได้”
“เจรจา...โฮ้ย...ภาษาไทยไม่แข็งแรงอย่างคุณ อยู่เฉยๆ ไปค่ะดาร์ลิ่งค์ คนแบบนี้ ให้เพนนีจัดการดีกว่า..นี่เธอ
ถ้าจะเรียกร้องค่าเสียหายล่ะก็โทรเรียกประกันของเธอมาคุยกับฉัน...ม่ะ”
“เรียกประกันเหรอ...เอ่อ... ตายล่ะหว่า”
ญาณินหน้าจ๋อยเพราะรถไม่มีประกัน เนตรศิตางศุ์ได้ยินอย่างนั้นรีบลงจากรถมาช่วยทันที
“ไม่ทันแล้วๆ เจ้จีจ้ารีบไปกันเหอะ เดี๋ยวจะผิดนัดเจ้าของงานนะ” เนตรศิตางศุ์ขยิบตา ญาณินรีบดูนาฬิกา
“อ๊าย...ป่านนี้เค้ารอแย่แล้ว ไปๆ รีบไป”
“อ้าวเดี๋ยวซิ ไปไหนไม่ได้นะ เรียกประกันมาจ่ายค่าซ่อมรถให้ฉันก่อน”
“แหม...ไหนๆ ก็เสียหายกันทั้งคู่ ต่างคนต่างซ่อมก็แล้วกันนะคะคุณ”
“ใช่ แค่นี้เอง ขนจักกะแร้คุณคงไม่ร่วงหรอก รีบขึ้นรถเร็วเนตร ไปเร็ว”
ญาณินกับเนตรศิตางศุ์รีบขึ้นรถขับปรู๊ดออกมาเลยโดยมีเสียงเพ็ญนภาโวยวายตามหลัง
“นี่...ชนแล้วจะหนีเหรอ กลับมาเดี๋ยวนี้นะพวกเธอ…อย่าหนีนะ”
“อี่ย์ยัยปากแดง รวยแล้วยังเค็มอีก อิตาฝรั่งเท่เว่อนั่นไม่รุ๊ไปชอบได้ไง”
ญาณินขับรถและบ่นอย่างหงุดหงิด
“ฮั่นแน่...ปิ๊งเค้าแล้วล่ะซี?”
“อย่างญาณินน่ะเหรอจะปิ๊งใครง่ายๆ ไม่มีทาง เชอะ!”
ญาณินปฏิเสธทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แต่ใจนะแอบมอบให้เขาไปหมดแล้วโดยไม่รู้ตัว
มอเตอร์ไซค์ทั้งสองคันขี่เลี้ยวตามกันเข้ามาในซอยเปลี่ยวที่มีอาคารรกร้าง และรถโฟว์วิวติดฟิล์มมืดคันหนึ่งจอดซุ่มรออยู่ มอเตอร์ไซค์ทั้งสองคันขี่มาจอดหลังรถโฟว์วิว คนขี่คนหนึ่งลงจากมอเตอร์ไซค์เดินไปที่รถ กระจกรถถูกกดลง
“ผมจัดการตามที่สั่งแล้วครับนาย”
ไม่มีเสียงตอบจากชายลึกลับในรถ แต่มือยื่นซองน้ำตาลใส่เงินออกมายื่นให้ ชายคนขี่มอเตอร์ไซค์รับไป
“จะให้ผมเล่นมันอีกเมื่อไหร่ โทรมานะครับนาย…ผมจะรอ..”
ชายลึกลับรีโมตกระจกขึ้นแล้วรถโฟว์วิวก็เร่งเครื่องตีโค้งขับออกไป ชายคนขี่มอเตอร์ไซค์เปิดซองจับเงินฟ่อน
ราว1หมื่นออกมาจากซอง ชูให้เพื่อนอีกคนดูด้วยรอยยิ้มร่า
ที่หน้าตลาดใหญ่แห่วหนึ่งบรรยากาศคึกคักด้วยผู้คน ร้านรวงเรียงรายยาวสุดลูกหูลูกตา สุคนธรสเดินนำ
กรรณา กรรัมภาเข้ามาหยุดยืนมองป้าย “ตลาดหญิง-จำเริญ” สุคนธรสชูโพยในมือ
“เพื่อนป้าออจดมา ว่าเดินลอดป้ายตลาดหญิง-จำเริญไป...แล้วตรงไปประมาณ 300 เมตร แล้วเลี้ยวขวา...”
กรรณาชะงัก ตาโต ชี้มือไป
“ฮึ้ย!ก๋วยเตี๋ยวเป็ด”
กรรัมภาดึงแขนกรรณาไว้
“ยัยตะกละ เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อทัวร์ชิมอาหารตลาดสดนะยะ”
“อ๋อเหรอ ต้องชิมแต่อาหารจากเชฟ 5 ดาว ที่โฮเต็ลหรูเท่านั้น”
สุคนธรสยืนเซ็งมองทั้งสองปะทะคารมกันอยู่ตรงกลาง เลยจับหัวสองสาวชนกันซะเลย
“นี่แน่ะ! เรามากระชากหน้ากากไอ้หมอผีลวงโลก ไม่ใช่มาแฉกันเอง...เร็วๆ”
ว่าแล้วสองมือสุคนธรสก็คว้าแขนของเพื่อนทั้งสองดึงพาเดินไป จังหวะนั้นเซียนพระคนหนึ่ง หน้าตาคล้ำดำ
ราวโดนของ เดินถือกล่องใส่พระมาพอดี กรรัมภาที่ใส่ส้นสูงเกือบห้านิ้วเซไหล่ไปชนเข้ากับไหล่เซียนพระ
“ว้าย! ขอโทษค่ะ ขอโทษๆๆๆ”
“เฮ้ย”
กล่องใส่พระในมือเซียนร่วงลง แต่สุคนธรสรีบถลาไปยื่นสองมือรับไว้ทันก่อนกระแทกพื้น สุคนธรสเป่าปากโล่งใจ
“ฟิ้ววว...เกือบไป อึ๋ย”
สุคนธรสต้องชะงักงันทันทีเมื่อได้กลิ่นสาบของเจ้ากรรมนายเวรลอยฟุ้งขึ้นมาจากกล่องพระ สุคนธรสมองผ่านกล่องพลาสติกใสเห็นพระเครื่องอยู่ในกล่องหลายองค์. มองปร๊าดเดียวรู้ทันทีว่าเป็นของปลอม เซียนพระรีบเข้ามาคว้ากล่องไปจากมือสุคนธรสแล้วตาขวางใส่
“เอาคืนมา ไอ้พวกเด็กซุ่มซ่าม ถ้าพระเครื่องราคาเป็นล้านของฉันเสียหาย พวกเธอมีปัญญาจ่ายไหม”
เซียนพระด่าแล้วก็รีบเดินไป โดยมีกรรณาโวยตามไปด้วย
“อ่าว เพ่...ก็คนมันไม่เห็น ไม่ได้ตั้งใจ ก็ขอโทษแล้วไง”
“ชิ้ววว...อย่าเอะอะสิ ยัยกรรณ เดี๋ยวคนมอง” กรรัมภาบอก
“แต่ฉันได้กลิ่นของความชั่วร้าย จากกล่องพระเครื่องปลอมๆ ของอีตานั่นนะ” สุคนธรสบอก
“พระเครื่องปลอมหรอ?”
“กลิ่นของความชั่วร้ายดั้ว!”
พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ทรงพระประธานในมือเสี่ยจำเริญ เศรษฐีหน้าตาจีนที่สวมสร้อยพระหลายองค์กำลังส่องกล้องดูพระอยู่
“นี่แหละพระสมเด็จวัดระฆังของแท้ล้านเปอร์เซ็นต์ ของหายากเลยนะเสี่ย พวกเซียนพระเค้าเช่ากันในตลาดพระ องค์ล่ะเป็นล้านแต่ผมปล่อยให้เสี่ยแค่ 5 แสน” เซียนพระบอก
“ 5 แสนเหรอ...เอ่อ...”
“โธ่เสี่ยจะลังเลอะไร ได้ของดีขนาดนี้มาอยู่ในมือ หรือว่าเสี่ยไม่เชื่อใจผม”
“ไม่ช่ายอั๊วไม่เชื่อใจ”
“งั้นเอางี้ ผมลดให้เสี่ยแบบขาดทุน...3 แสนขาดตัว เสี่ยไม่ต้องต่อแล้วนะ”
เสี่ยจำเริญยิ้มออก
“ 3 แสนจริงๆ นะ งั้นอั๊วอ่า...”
เสี่ยจำเริญทำท่าจะตกลง แต่สุคนธรสเดินทำสะบิ้งเข้ามาหาโดยมีกรรัมภากับกรรณาเดินตามเข้ามาด้วย
“ป๋าขาาาา...”
เสี่ยจำเริญเงยหน้ามองงงๆ
“หือ...”
สุคนธรสนั่งลงข้างๆ บีบไหล่เสี่ยจำเริญแล้วรีบพูด
“แหม ป๋าขา...เผลอไม่ได้เชียว เห็นพระเป็นตาลุกทุกทีเลย ไหนๆ ให้หนูดูมั่งซี๊”
สุคนธรสรีบคว้าพระในมือเสี่ยจำเริญไปดู เซียนพระมองอย่างตกใจสุคนธรสหรี่ตาลงข้างหนึ่ง..บิดเอวกรีดนิ้วมองด้วยท่าดัดจริตม๊ากกทำเอากรรัมภากับกรรณาแอบขำเพื่อน
“ว้าวๆ พระสมเด็จวัดระฆังซะด้วย” เซียนพระยิ้มออก “เฮ่อ...แต่เสียดายที่มันเป็นของปลอม”
สุคนธรสวางพระลงบนโต๊ะพลางมองหน้าเซียนพระอย่างรู้ทัน เซียนพระถึงกับหน้าซีดตกใจ
“เอ่อ...เธอมารู้ได้ไงว่าพระฉันเป็นของปลอม อย่ามาใส่ร้ายกันซี้ซั้วนะเว้ย”
“นั่นสิหนู...ลื้อรู้ได้ไงว่ามันปลอม” เสี่ยจำเริญถามอย่างแปลกใจ
สุคนธรสเอียงซบไหล่เสี่ยจำเริญ
“แหมป๋าขาป๋า...ป๋าลืมไปแล้วเหรอว่าพ่อหนูเป็นใคร”
“เซียนป๋องที่ออกทีวีบ่อยๆ นั่นไงคะ พ่อของยัยนี่”
กรรัมภาบอก เซียนพระสะดุ้งหน้าซีดและต้องสะดุ้งตกใจตัวแข็งอีกครั้งเมื่อมือกรรัมภามาจับหมับลงที่บ่า แล้วกรรัมภาก็มองเห็นสิ่งที่เซียนพระก่อกรรมมา...สิ่งที่กรรัมภาเห็นเป็นภาพเซียนพระด้อมๆ มองๆ ที่บ้านหลังหนึ่งก่อนจะปีนเข้าบ้านไป
“พระนี่ก็ไม่ใช่ของเพ่ แต่เป็นของบ้านหลังใหญ่ที่มีรูปปั้นสิงโตสองตัวอยู่หน้าบ้าน เพ่ไปจิ๊กของของชาวบ้านมา จิงป่ะ”
จังหวะนั้นกรรณา ทำท่าเสียวฟัน อุดหู
“อึ๋ย...แล้วตอนนี้กำลังมีเจ้ากรรมนายเวรยืนรอจองเวรอยู่รอบๆ นี่เพียบเลย รอวันเอาคืนเพราะนายเคยไปปล้นฆ่าเค้ามาเยอะ”
“พวกแก...พวกแกมันปีศาจชัดๆ”
เซียนพระวิ่งปิดหูร้องขวัญเสียเตลิดออกจากร้านไป
เสียงสงบลง...สุคนธรสลุกขึ้นยืนถลกแขนเสื้อโวยกลับมาห้าวเหมือนเดิม
“อย่าให้เจออีกนะไอ้ 18 มงกุฏ แม่จะซัดให้น่วมเลย”
“สิบแปดมงกุฏเหรอ...อั๊วเกือบเสร็จมันหรือเนี่ย”
เสี่ยจำเริญมองพระในมืออย่างตกใจที่เกือบถูกหลอก
อีกด้านหนึ่งที่ห้องอาหารในโรงแรมหรู ญาณินกำลังนั่งรออยู่ที่โต๊ะอย่างร้อนใจ ขณะที่เนตรศิตางศุ์กำลังดูดน้ำสตอเบอรี่โยเกิร์ตปั่นในแก้วพลางมองอย่างชอบใจ
“ถ้าเปลี่ยนจากสตอเบอรี่มาเป็นสะตอ รสชาติมันจะเป็นยังไงนะ”
“อี่ย์...อย่ามาทำให้ชั้นกินก็แล้วกัน นี่เธอยังมีอารมณ์มาคิดค้นสูตรอาหารพิสดารอีกเหรอ ดูสิ เพื่อนพี่ณัฐยังไม่มาอีก นัดครั้งแรกก็ผิดเวลาเป็นชาติ ไหนว่าเป็นฝรั่งไง สงสัยจะลางไม่ดี”
ญาณินนั่งเท้าคางหน้ามุ่ย ขณะนั้นบริกรเดินนำชายหญิงคู่หนึ่งเข้ามาด้านหลัง
“นี่ครับ...โต๊ะที่คุณจองเอาไว้ เพื่อนคุณมารออยู่แล้วครับ”
“ซอรี่นะครับ ที่ผมมาช้าพอดีมีแอคซิเดนนิดหน่อย”
ญาณินตาวาวอย่างดีใจ ลุกขึ้นยืนหันไปส่งยิ้มให้
“อ๋อ ไม่เป็นไรค่ะ เชิญนั่ง ห่ะ!”
ญาณินต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นติณห์ยืนอยู่กับเพ็ญนภาเช่นเดียวกับติณห์ก็ช็อค ต่างคนต่างชี้
“คุณ/คุณ”
เนตรศิตางศุ์ลุกขึ้น
“คุณ...คือคุณติณห์เจ้าของรีสอร์ท...เพื่อนพี่ณัฐ”
“แล้วพวกคุณ...คือInterior designer จากบริษัทน้องสาวไอ้สารวัตรณัฐเดช ที่จะมารับงานเดคคอเรตรีสอร์ทให้ผม...โอโน้วววว”
“ไม่ต้องมาโนเลย ฉัน...มิสญาณิน เจ้าของบริษัทซิกซ์เซนส์...อินทีเรียแอนด์ดีไซน์ชื่อดัง สเตตัส...โสด...”
ญาณินยื่นมือมาจะให้จับ ติณห์ยื่นมือจะมาจับ เพ็ญนภารีบแถมาเอาตะโพกกระแทกติณห์เด้งไปแล้วเอาตัวมาขวาง
“ดังตรงไหน ไม่เคยได้ยินชื่อเลยบริษัทนี้ ติณห์คะ...ถ้าคุณจ้างยัยนี่ตกแต่งรีสอร์ทล่ะก็ คุณต้องโง่งี่เง่าสุดๆ แน่ๆ”
ญาณินแก้เก้อทำเป็นสะบัดมือไปมา แล้วกอดอกวางมาด
“ถ้าฉันรับทำงานให้พวกคุณ ฉันก็บ้าสุดๆ เหมือนกัน งานฉันออกจะล้นมือทำไม่หวาดไม่ไหว”
เนตรศิตางศุ์พยายามสะกิด เตือนสติ
“เจ๊”
“ไม่หวัดไม่ไหว แปลว่าอะไร แปลว่าไม่เป็นหวัด แล้วทำไม่ไหวรึไง พูดอะไร ไม่รู้เรื่อง” ติณห์ถาม
“นี่เป็นฝรั่งหรือสมองเพี้ยนกันแน่ เรามีนัดคุยกับโครงการ 200ล้านอีกนะ โปรเจคทูฮันเดร็ดมิลเลี่ยนบาท...ยูโหนววว...เชอะ ไปเถอะ...เนตร เดี๋ยวเค้าจะรอนาน”
“เดี๋ยว พวกเธอยังไปไหนไม่ได้ จ่ายค่าซ่อมรถที่เธอชนท้ายมาก่อน”
เพ็ญนภาแบมือญาณินควักเงินยัดใส่มือเพ็ญนภาไป 500 บาท
“เอาไป! ฝากจ่ายค่าน้ำบนโต๊ะด้วยนะคะ ที่เหลือไม่ต้องทอน ฉันให้ติ๊ปคุณ...บ๋ายบาย”
ญาณินจูงมือเนตรศิตางศุ์เดินออกไป เพ็ญนภายืนมองเงิน 500 ในมือแทบกรี๊ด
“ยัยบ้า...ฉันไม่ใช่บ๋อยน่ะ” เพ็ญนภาโยนเงินลงบนโต๊ะ “ติณห์ดูซิคะ ผู้หญิงหยาบคายไม่มีสมบัติผู้ดีพวกนี้น่ะเหรอคะที่คุณจะจ้างมาตกแต่งรีสอร์ท โนเทสต์มาก...เพื่อนคุณแนะนำมาให้คุณได้ไงกัน”
ติณห์อึ้ง ทึ่ง ฉุนที่นัดมาเสียเที่ยว
ส่วนที่ตลาดหญิง - จำเริญ สุคนธรสกับเพื่อนยังนั่งคุยอยู่กับเสี่ยจำเริญ
“เพราะอยากจะเช่าพระให้ลูกชายอั๊วแท้ๆ เกือบทำให้อั๊วถูกโต้มมม ขอบใจหนูทั้งสามคนมากๆ นะที่มาช่วยเตือนสติอั๊วเอาไว้ได้ทัน เมียอั๊วอีไปดูดวงให้ลูกชายมา หมอสมคิดทักว่าอาตี๋น้อย ลูกชายอั๊วกำลังมีเคราะห์”
“หมอสมคิดเหรอ?”
“ช่าย อั๊วะเลยอยากได้พระหนึ่งในเบญจภาคีมาให้อาตี๋ไว้ป้องกันตัว”
กรรัมภากับกรรณามองหน้ากัน
“เบญจภาคี...”
สุคนธรสมีสีหน้าครุ่นคิด เมื่อนึกถึงอดีตเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ขณะนั้นสุคนธรสยังเรียนอยู่มัธยมปลาย...เธอนั่งพนมมืออยู่ที่วัด น้ำตาคลอตา ข้างหลังสุคนธรสมีพวกเด็กวัดรุ่นราวคราวเดียวกันต่างนั่งสะอื้น ถัดออกไป เป็นญาติโยมแก่ นุ่งขาวห่มขาว เป็นพวกสมถะถือศีล ต่างนั่งสงบนิ่งรอเวลา หลวงปู่นั่งพิงอาสนะบนยกพื้นข้างๆ โต๊ะหมู่บูชา ที่นอนโดนจัดให้นั่งพิงฝาได้ มีเบาะรายล้อมเตรียมการสำหรับการนั่งตายแบบเข้าสมาธิแล้วทิ้งร่างไป
“กลัวอะไร เสียใจทำไม เวลานี้ ซักวันนึง ก็ต้องมาถึงทุกคน เหมือนๆ กัน” หลวงปู่บอก
“แต่พวกเรายังทำใจไม่ได้ขอรับ พวกเราทุกคน...ยึดหลวงปู่ เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร เป็นที่พึ่ง”
“ตนแล...เป็นที่พึ่งแห่งตน... พระพุทธเจ้าท่านว่านา อาตมาไม่ได้ว่า” หลวงปู่มองมาที่สุคนธรส “เข้ามาตรงนี้ซิ ไอ้หนูจมูกดี” สุคนธรสชี้ที่ตัวเอง ทุกคนหันมา พยักเพยิดให้เข้าไป “ก็ใครล่ะที่เกิดมา มีจมูกได้กลิ่นพระอาทิตย์ ได้กลิ่นพระจันทร์ ได้กลิ่นสีดำ ได้กลิ่นสีขาว...รู้ตัวแล้วก็เข้ามา” สุคนธรสคลานเข้าไป หยุดตรงหน้าหลวงปู่แล้วก้มกราบ “ข้ามีของจะฝาก...ให้เอ็ง...เอาไปส่งต่อ...ให้คนอื่นสักหน่อย”
พระเครื่องพระรอด กรุมหาวัน เมืองลำพูน ถูกวางลงตรงผืนพรมเบื้องหน้า สุคนธรสหยิบมาดู
“พระ?”
“พระรอด กรุวัดมหาวัน เมืองลำพูน...หนึ่งในเบญจภาคี ที่เซียนพระเค้านิยมกันนัก เชื่อกันว่า...ป้องกันให้แคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวงได้ดี เอ็งเก็บไว้ให้เจ้าของเค้าแทนข้าด้วย”
“เค้า...เค้าเป็นใครคะ หลวงปู่”
“พอถึงเวลานั้น...เอ็งก็จะรู้เอง...”
หลวงปู่ถอนใจแล้วเอนพิงเบาะ หลับตาลง
“แต่ว่า...”
สุคนธรสมองหน้าหลวงปู่แล้วอึ้ง ไม่กล้าพูดไรอีก หลวงปู่หายใจนิ่งลงๆๆ พวกญาติโยม เด็กวัด ร้องไห้กันแบบพยายามจะกลั้น ไม่ฟูมฟาย
สุคนธรสน้ำตาไหล มองดูพระในมือ แล้วก้มกราบหลวงปู่ด้วยความอาลัย
The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ตอนที่ 1 (ต่อ)
สุคนธรสชะงักอึ้งๆ คิดหนัก เอามือมากุมพระที่ห้อยคอตนอยู่ กรรัมภามาแกว่งมือต่อหน้าสุคนธรส
“ยัยรส! เป็นไรรึปล่าว”
สุคนธรสไม่ตอบ ปลดสร้อยคอที่เป็นเส้นเชือกสวยๆ ที่แขวนพระออกมายื่นให้เสี่ยจำเริญ
“นี่เป็นพระรอดกรุวัดมหาวัน เมืองลำพูน ฉันให้เสี่ยค่ะ”
“ห๋า...ให้...ให้ฟรีๆ หรือว่า...”
กรรัมภากับกรรณาก็ยืนงง
“ฟรีค่ะ มันอาจจะเป็นวาสนาของอาตี๋น้อยๆ ของเสี่ยก็ได้ ที่ทำให้รสได้มาช่วยเสี่ยในวันนี้ รับไปเถอะค่ะ แล้วให้อาตี๋น้อยแกแขวนติดตัวไว้ตลอดเวลาห้ามถอดเด็ดขาด ใครจะคิดไม่ดี ใครจะมาก็ทำร้ายแกก็จะทำไม่ได้ ฉันรับรอง”
สุคนธรสมั่นใจว่าตี๋น้อยคือเด็กเล็กๆ เสี่ยจำเริญซึ้ง น้ำตาคลอ
“ขอบคุณมากหนู อั๊วไม่รู้จะขอบคุณหนูยังไงดี”
“อย่าคิดมากเลยเสี่ย ฉันช่วยเสี่ยไม่ได้หวังอะไรตอบแทน โชคดีนะคะฉันลาล่ะ พอดีมีธุระสำคัญต้องไปจัดการ”
“เดี๋ยวๆๆหนู...ขอเบอร์ติดต่อไว้ได้ไหม๊ เผื่อวันหลัง อั๊วจะได้ตอบแทนมั่ง”
สามสาวหยุด หันมองหน้ากัน
ที่กองปราบปราม ณัฐเดชกำลังสั่งงานลูกน้อง 3-4 คน ทั้งหมดกระจายกันออกไปทำงานแล้วณัฐเดชก็นึกขึ้นได้ว่านัดไตรรัตน์เอาไว้...ยกนาฬิกาขึ้นดู
“บ้าเอ้ย...เกือบลืมไป”
เสียงมือถือดังขึ้นณัฐเดชหยิบขึ้นมาดูเห็นชื่อติณห์โทรมา
“ฮัลโหล...เป็นไงวะไอ้ฝรั่ง...คุยเรื่องตกแต่งรีสอร์ทกับคนที่ฉันนัดให้ เรียบร้อยแล้วใช่ไหม๊?”
ติณห์นั่งคุยโทรศัพท์อย่างหัวเสียอยู่ที่ห้องอาหารของโรงแรม
“ชีคือความยุ่งยาก ชีคือสงคราม ชีคือตัวร้ายกาจที่สุดในโลก”
ณัฐเดชหน้าเสีย
“เฮ้ย...อะไร้ ไอ้ฝรั่ง นั่นมันน้องสาวฉันกะเพื่อนน้องสาวฉันนะเว้ย ญาณินเป็นนักออกแบบที่มีฝีมือมาก ส่วนยายเนตรน้องชั้น...ก็เป็นเด็กดีสุดๆ เพราะพี่ชายมันอบรมมาดี”
“ไอม์ซอรี่นะ ฝรั่งเสียใจ ฝรั่งขอโทษ แต่...ยัยสองคนนั่นคงไม่เวิร์คหรอก”
“เฮ้ยๆๆๆ ใจเย็นๆ ก่อนซีวะไอ้ฝรั่ง เอางี้...พอดีฉันมีธุระสำคัญต้องรีบไปลงพื้นที่ ไว้เสร็จงานแล้วฉันจะรีบไปคุยกับแกที่คอนโด โอเค้?”
“คุยกะแกน่ะคุยได้ แต่ไงๆ ชั้นก็ไม่เอายัยญาณณินนินๆๆๆ อะไรนั่นแน่ๆ No Way!”
ติณห์โวยใส่หูแล้วก็วางสายไป
ณัฐเดชแสบแก้วหู…เขี่ยหู
“ไอ้บ้าเอ้ย...ตะโกนมาได้ ยัยญาณินไปก่อเรื่องอะไรอีกเนี่ยะ เฮ่ย...”
ณัฐเดชถอนใจแล้วรีบเดินไป
ที่หน้าสำนักหมอสมคิดมีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังแอบถ่ายรูปอยู่...เหล่าคุณนายไฮโซสาวกมีเงินของหมอสมคิดหลายคนเดินผ่านมา ชายหนุ่มรีบหยุดหันหลังให้ทำเป็นกดๆ เหมือนหาเบอร์โทรศัพท์ เหล่าคุณนายเดินผ่านไป ไตรรัตน์เหลียวมาถอดแว่นออกมองตามไป...เห็นด้านหน้าเต็มไปด้วยเหล่าสาวกชายหญิงที่ดูมีฐานะจำนวนมากกำลังทะยอยเดินเข้าไปในสำนัก
ไตรรัตน์หันมองหาณัฐเดชที่นัดไว้ แต่ไม่เห็นแม้แต่เงา ไตรรัตน์ก้มลงมองนาฬิกาอย่างร้อนใจขณะเดียวกันสุคนธรส กรรัมภาและกรรณาเดินเข้ามาหยุดมองสำนักอยู่ไม่ไกลจากไตรรัตน์นัก ทันใดนั้นกรรณาก็ได้เสียงครวญครางโหยหวนหลายๆ ภาษาเซ็งแซ่ดังมาจากสำนักทันที กรรณาสะดุ้งเฮือกผวาจับแขนกรรัมภา
“เป็นอะไรของแกยัยกรรณ?”
“ฉันได้ยินเสียง”
“เสียงอะไร?”
“คนหลายชาติ หลายภาษา แย่งพูดกันดังเอะอะโหวกเหวกโวยวายมาจากข้างใน”
เส้นของกลิ่นสีเน่าๆ หลายเส้น ลอยเป็นเกลียวออกมาเข้าจมูกสุคนธรส สุคนธรสทำจมูกฟุตฟิต กระซิบ
“เออ...จริงด้วยแฮะ กลิ่นความทุกข์ทรมาน...ของดวงวิญญาณหลายชนิดหึ่งเลยอ่ะ”
“แปลว่าไอ้หมอสมคิดนี่ก็เป็นหมอผีของจริงน่ะสิ ทุกคน...ชั้นเพิ่งนึกได้ ว่านัดกะคุณแม่ไว้ ไปล่ะ...บาย...”
กรรัมภาหันจะเดินหนี แต่สุคนธรสคว้าแขนดึงไว้ได้
“ถ้าเป็นหมอผีของจริง แล้วทำไมเอาวิชาความรู้มาหากินเบียดเบียนชาวบ้านแบบนี้ เรายิ่งต้องเข้าไปดูให้เห็นกะตาสิ”
ไตรรัตน์หันมาเห็นสามสาวยืนคุยกันอยู่ก็สะดุดตา โดยเฉพาะสุคนธรสที่ท่าทางจริงจัง กำลังดึงๆ เพื่อนสองคนให้เข้าไปกับตัวเอง ไตรรัตน์มองสุคนธรสหัวจรดเท้า...ยิ้มอย่างสมเพช แอบนินทา
“ว้าว...เอ๊าะๆ ใสๆ สวยๆ ทุกคน จะมาให้ไอ้หมอสมคิดมันทำเสน่ห์ให้รึไง หรือจะมาดูหมอ...อยากเจอเนื้อคู่ สาวๆ สมัยนี้งมงายชิบเป๋ง แย่ๆๆ”
สุคนธรสเหลือบมาเห็นไตรรัตน์มองด้วยสายตาดูแคลนก็ชักสีหน้าไม่พอใจแล้วแอบคิดในใจเช่นกัน
“ไอ้นี่ ท่าทางจะเป็นสาวกหมอผี หน้าตามีพิรุธเชียว ดูหน้าก็รู้ ว่านิสัยเลว”
ไตรรัตน์เห็นปากสุคนธรสด่าขมุบขมิบก็ส่ายหน้าไม่อยากไปแลกด้วย
“โหย... ยัยนี่ สงสัยจะมีปมด้อย จริงด้วย...หน้าอกแบ๊นแบน ก้นก็แฟบ แย่ๆๆ”
ไตรรัตน์เดินเชิดๆ กวนๆ ไป สุคนธรสเบ้ปากมองตาม
“ชิ ทำเป็นหยิ่ง โธ่...ไอ้สาวกหมอผี”
ภายในสำนักหมอผีสมคิด มีซุ้มพวกเครื่องรางของขลังวัตถุมงคลต่างๆ วางขาย...โดยเฉพาะแท่งหินรูปร่างประหลาด7สีที่วางขายเรียงรายอยู่ภายใน พร้อมป้ายบอกสรรพคุณ...ร่ำรวย แคล้วคลาด มหานิยม รักลุ่มหลง คงกระพัน รอดโรคา โชคลาภ...และที่สำคัญรูปปั้นคนหน้าหล่อเทพที่มีปีกมีเหล่าสาวกกำลังแออัดกันแย่งจ่ายเงินซื้อไปบูชา โดยมีหาญ กล้าและเหล่าสมุนในชุดดำคอยยืนควบคุมทุกจุด
“ตามคิวนะครับ ไม่ต้องแย่งกัน เดี๋ยวได้พบอาจารย์กันทุกคน เข้าแถวเดินตามเข้ามาเลยครับ”
“อย่าลืมล้างมือล้างหน้าด้วยควันกำยานศักดิ์สิทธิ์ของอาจารย์ ชำระล้างร่างกายให้สะอาดบริสุทธิ์ ก่อนเดินเข้าไปข้างในด้วยนะครับ”
ทุกคนทำตามอย่างเชื่อฟังและจริงจัง...เดินผ่านกระถางกำยานแกะสลักรูปยักษ์ขนาดใหญ่ มีควันสีแดงลอยอบอวลขึ้นมา ทุกคนจะยื่นมือไปโบกควันมาล้างหน้าและลูบไปทั่วตัวตบท้ายด้วยแตะผงสีแดงในถาดเงินขนาดใหญ่มาป้ายที่หน้าผากก่อนเดินผ่านม่านมู่ลี่เข้าไปด้านใน
ไตรรัตน์เดินช้าๆ แอบมองคนอื่นเข้าทำกัน ก่อนจะเดินมาเข้าแถว สุคนธรสมัวแต่ทุ่มเทกับการดึงกรรัมภากับกรรณาที่ต่างงอแง กระบิดกระบวน ไม่อยากเข้า เบียดแซงเข้ามาไม่ทันได้เห็นไตรรัตน์
“เร็วๆ ซี ยัยกรรณ เงี่ยหูฟังไรอยู่ได้ ยายแก้ม..ไม่ต้องวางแผนหนีเลย...ไปต่อแถวเร็วๆ”
สุคนธรสหันไป กระแทกไหล่ชนไตรรัตน์โดยบังเอิญ
“เฮ้ย”
แล้วสุคนธรสก็มายืนเข้าแถวก่อนหน้าไตรรัตน์โดยไม่ได้หันมามองเลย ไตรรัตน์เจ็บใจอยากจะต่อว่าขยับจะเข้าไปสะกิด
“นี่...ยัยหนูจอแบน...”
กล้ากับสมุนของสมคิดมองมา ไตรรัตน์หันไปเห็นไม่อยากมีเรื่องทำให้เสียแผน จำต้องเงียบ ไม่เอาเรื่อง
ขณะที่หาญกับกล้ามองมาที่สามสาวแล้วสะดุดตา แอบกระซิบคุยกัน
“สามสาวนั่นแจ๋วว่ะไอ้กล้า”
“วันนี้อาจารย์ได้งานแน่ ไอ้หาญหึๆ”
สามสาวมองไปรอบๆ เห็นการขายวัตถุมงคลและลูกศิษย์รวยๆ ขณะที่กรรณามีสีหน้าตกใจอีกครั้ง หันมองไปรอบๆ ได้ยินเสียง หวีดร้องโหยหวนดังระงม กรรณาหน้าซีดเผือด เอามือปิดหู กระซิบกับเพื่อน
“วิญญาณพวกนั้นกำลังเจ็บปวดทรมาน ไม่ไหวแล้ว” กรรณาหยิบ IPODมาครอบหูตัวเอง สุคนธรสทำจมูกขยุกๆ หน้าเผือดเศร้า
“กลิ่นน้ำตา เลือด กลิ่นความปวดร้าว กลิ่นความเศร้า...”
ไตรรัตน์สะกิดไหล่สุคนธรส
“นี่คุณ…คุ๊ณ! คุณน้องไม้อัดแผ่นเรียบ”
สุคนธรสหันขวับมา ปัดมือไตรรัตน์ ตาขวาง
“อะไรคุณ แต๊ะอั๋งฉันเหรอ?”
“หึ แตะอั๋งให้เมื่อยมือเหรอคับ แถวเค้าไปโน่นแล้ว ช่วยเดินเร็วๆ หน่อย”
“อ้าวคุณครับ มัวคุยอะไรกันอยู่ครับ เดินซีครับเดิน คิวข้างหลังยาวนะครับ”
สุคนธรสหน้าแตกรีบดันกรรัมภากับกรรณาเดินไป…โบกควันล้างมือล้างหน้า แตะผงเดินเหมือนคนอื่นๆทำ โดยมีหาญกับกล้าคอยจับตามองอย่างสนใจ สามสาวต้องส่งยิ้มหวานให้แล้วเดินแหวกมู่ลี่เข้าไปข้างในสำนัก
ไตรรัตน์มายืนจำใจปัดควันจากกระถางกำยานล้างมือล้างหน้า หลบสายตาหาญกับกล้าที่คอยมองจับตาดูทุกคนอยู่
สามสาวเดินเข้ามาในห้องรับแขกใหญ่ที่จัดโซฟาไว้ให้ลูกค้า ซึ่งภายในห้องมีคนมานั่งรอคิวกันอยู่เต็มห้อง...เป็นพวกระดับมีเงินทั้งนั้น
สามสาวนั่งลงที่เก้าอี้ยาวมุมหนึ่ง พลางมองสำรวจไปทั่วห้อง เห็นสมุนหมอสมคิดในชุดดำยืนอยู่ทุกจุด กรรณาสะกิดให้สองสาวมองไปยังรูปปั้นหน้าหล่อเทพ มีปีกขนาดใหญ่ที่ตั้งดำทะมึนอยู่ชั้นบน ไตรรัตน์เดินตามเข้ามา แล้วก็มานั่งลงที่โซฟาข้างหลังสามสาว สุคนธรสหันไปเห็นไตรรัตน์
“คนบ้า หน้าตายียวนกวนประสาทที่สุด”
สุคนธรสบ่นออกมาเบาๆ
“ใคร...ใคร” กรรัมภาหันซ้ายหันขวา อยากรู้อยากเห็น
“อื้อๆ”
สุคนธรสชี้บุ้ยใบ้ไปที่ไตรรัตน์ข้างหลัง สองสาวหันไปมองเห็นไตรรัตน์นั่งกอดอกหยักคิ้ว เก๊กๆ ดูอยู่ อย่างรู้ว่าถูกนินทา สองสาวสะดุ้งรีบหันหน้ากลับ
“ยัยต๊อง...เพ่รูปหล่อเค้ารู้นะว่าตะเองกำลังนินทาเค้าอยู่”
“เนี่ยะหล่อของเทอ อี๋...หน้าตาเสล่อจะตาย คนอะไรวะ เห็นหน้าแว่บแรกก็ไม่ถูกชะตาเลย”
หาญกับกล้าเดินเข้ามามองมาที่สามสาว สามสาวเลยหยุดพูดทำท่าสงบเสงี่ยม จังหวะนั้นมีชายแก่คนหนึ่งถูกสมุนหมอสมคิดหิ้วปีกออกมาจากห้องชั้นบน...ลูกสองคนที่นั่งรอกระวนกระวายอยู่รีบลุกขึ้นเข้าไปประคอง
“พ่อฉันเป็นไงคะ?”
“อาจารย์ไล่ผีออกให้แล้ว”
สองพี่น้องชายหญิงยิ้มออกมาอย่างดีใจ ชายคนหนึ่งรีบส่งซองใส่เงินให้หาญ
“นี่ครับค่าไล่ผี 3 หมื่น”
สามสาวได้ยินแอบมองหน้ากันหูผึ่ง หาญรับซองมาเปิดเช็คเงิน
“เอาล่ะ...กลับบ้านได้แล้วครับ พรุ่งนี้พ่อคุณก็จะกลับมาเป็นปรกติเหมือนเดิม แต่อย่าลืมแขวนสร้อยเส้นนั้นที่อาจารย์ให้ไปติดตัวไว้ตลอดเวลานะครับ ถ้าถอด...วิญญาณอาจจะกลับมาอีก”
ชายหญิงมองไปที่สร้อยหินรูปร่างประหลาดที่แขวนอยู่บนคอชายแก่
“ค่ะ ฉันจะให้พ่อแขวนติดคอไว้ ไม่ให้ถอดเลย กลับกันเถอะพ่อ”
ชายหญิงประคองชายแก่เดินออกไป
“คนต่อไป...เชิญคุณโสรดาครับ”
เศรษฐีนีคนหนึ่งที่นั่งก้มหน้าอยู่ ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมอง...เห็นใบหน้าหน้าตาหมองคล้ำตาลึกโหลราวโดนของ
“ไอ้กล้า...แกพาขึ้นไปหาอาจารย์สิ”
“เชิญครับ ตามผมมา”
กล้าเดินนำเศรษฐีนีขึ้นบันไดไปชั้นบน สามสาวและไตรรัตน์มองตาม...อยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
กล้าเดินมาส่งเศรษฐีนีที่หน้าห้องๆ หนึ่ง แล้วหยุดเปิดประตูให้ พูดยิ้มๆ เพราะรู้ดีว่าเศรษฐีนีถูกสมคิดปล่อยผีไปเข้า
“เชิญข้างในครับ อาจารย์รอช่วยคุณอยู่ในห้อง”
เศรษฐีนีที่มีอาการเหมือนคนครึ่งหลับครึ่งตื่นก้าวเข้าห้องไป...กล้าปิดประตู ปั๊ง! เสียงกังวาน
ภายในห้องเศรษฐีนียืนก้มผมยาวปรกหน้าอยู่ในห้องที่ดูวังเวง และขนลุกด้วยรูปปั้นสัมฤทธิ์ของเหล่าเทพและปีศาจในตำนาน ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“มา...เข้ามาหาข้า...นังผีร้าย”
ตัวของเศรษฐีนีสั่นเทาทันที…พร้อมเสียงครางของปีศาจก่อนจะเดินก้มหน้าลึกเข้าไปในห้องช้าๆ แหวกผ่านม่านตรงหน้าเข้าไปเห็นว่าเป็นห้องทำพิธีบูชายันต์ แล้วเศรษฐีนีก็หยุดเดินเมื่อเห็นร่างหมอผีสมคิดปรากฏอยู่ตรงหน้า
หมอผีสมคิดยืนหันหลังอยู่บนแท่นกลางห้อง หมอผีสมคิดหันมาพร้อมฝูงอีกาที่โผล่มาจากไหนไม่รู้บินเข้าใส่เศรษฐีนี...เศรษฐีนีเงยหน้าขึ้นเห็นว่าหน้าผี มันร้องกรี๊ดเมื่อถูกฝูงกาบินเข้าโจมตี
“กรี๊ดดดดด”
เสียงกรี๊ดของเศรษฐนีดังก้องออกมาทั่วสำนัก ทำเอาสามสาวและไตรรัตน์ตกใจ เหล่าคนที่มานั่งรอพากันยกมือไหว้ฮือฮาถึงความขลังมีวิชาของหมอผีสมคิด สามสาวมองหน้ากันเลิ่กลั่ก กรรณาเร่งเสียง Ipod กลบเสียงวิญญาณ สุคนธรสรีบเอาที่ปิดจมูกมาปิดทันที กรรัมภาบีบมือไปมา อึดอัด ลำบากใจ
ร่างเศรษฐีนีทรุดร่วงลงนอนหมดสติกองอยู่กับพื้น ข้างๆ มีขาวิญญาณยืนอยู่
“แกทำงานได้ดีมากไอ้หล้า ตอนนี้หมดหน้าที่ของแกแล้ว”
หมอผีสมคิดคว้าโถโลหะทรงคล้ายโกศใบหนึ่งจากหลายใบที่วางเรียงรายอยู่มาชูตรงหน้า ขาวิญญาณ
เดินผ่านร่างเศรษฐีนีที่นอนอยู่เข้าไปในโถ หมอผีสมคิดปิดฝาโถนั้นลง
เศรษฐีนีเดินลงจากชั้นบนด้วยอาการที่เปลี่ยนไป...หน้าตาปิ๊งปั๊ง สุคนธรส กรรัมภา กรรณามองจับจ้องไปที่เศรษฐีนีเป็นตาเดียว
“โหววว”
“ป้าดดด...ยังกะคนละคนเลยอ้า”
“ฉันว่าไอ้หมอผี มันต้องทำอะไรลามกแหงๆ” สุคนธรสเอาที่ปิดจมูกลง
ขณะที่ไตรรัตน์นั่งมองจับพิรุธเศรษฐนีอยู่ ณัฐเดชก็เดินเข้ามานั่งลงข้างๆ โดยที่ไม่ทันเห็นสามสาว
“สถานการณ์เป็นไงบ้างวะ” ณัฐเดชกระซิบถามไตรรัตน์
“โธ่ไอ้นี่...ไม่มาซะพรุ่งนี้เลยล่ะ”
“ตำรวจนะเว้ยไม่ใช่ไก่ทอด โทรปุ๊บจะได้มาส่งปั๊บ”
“ชิ้ว...เบาๆ ซิเว้ย มาเที่ยวประกาศอาชีพตัวเองได้ไง”
ณัฐเดชมองไปเห็น เศรษฐีนีกำลังควักเช็คออกมาเซ็นแล้วฉีกส่งให้หาญ
“นี่จ๊ะค่าไล่วิญญาณร้ายออกจากตัวฉัน1แสนบาท ฝากให้อาจารย์สมคิดด้วย”
สามสาวอ้าปากค้าง ไตรรัตน์กับณัฐเดชได้ยินก็ตะลึง
“ขอบคุณมากครับ ไอ้กล้า...ออกไปส่งคุณผู้หญิงหน่อย”
“เชิญครับคุณนาย”
กล้าเดินนำเศรษฐีนีออกไป
“ค่าไล่ผีอะไรวะตั้งแสนนึง?”
“ไม่งั้นสำนักนี้มันจะรวยเหรอ แม่ฉันก็คงโดนหลอกสูบเข้าไปเยอะเหมือนกัน”
“อาจารย์สมคิดมาแล้ว”
เสียงหาญขานดังก้องทำให้ทุกคนหยุด...เงียบกริบ...หันมองไปที่ระเบียงชั้นบนเป็นตาเดียว
หมอผีสมคิดเดินออกมามีเหล่าสมุนชุดดำตามประกบ เหล่าสาวกผู้เลื่อมใสต่างพากันยกมือไหว้ส่งเสียงฮือฮาราวกับเห็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ สุคนธรส กรรัมภา กรรณา ไตรรัตน์ ณัฐเดช เพ่งมองหมอผีสมคิดที่เพิ่งเคยเป็นครั้งแรกพร้อมกับต้องทำท่ายกมือไหว้ตามคนอื่นๆ ไปเพื่อไม่ให้เป็นพิรุธ
หมอผีสมคิดก้าวขึ้นยืนบนแท่นตรงระเบียงโบกมือให้ทุกคนที่มารอพบตรงกับรูปปั้นงูเห่าแผ่แม่เบี้ยขนาดใหญ่พอดี ทำให้หัวงูโผล่ขึ้นด้านหลังหมอสมคิดพอดี สามสาวเห็นแล้วต้องกลั้นขำไว้
“หัวงูนี่หว่า ฮ่ะๆๆ”
แต่สุคนธรสลืมตัวหลุดขำก๊ากออกมาคนเดียว ขณะที่ทุกคนเงียบกริบ หมอผีสมคิดหันขวับมามอง กรรัมภากับกรรณาตกใจรีบปิดปากสุคนธรส ขณะที่ทุกคนหันมามองสุคนธรสเป็นตาเดียว รวมทั้งไตรรัตน์และณัฐเดช...ณัฐเดชมองที่ด้านหลังสามสาวอย่างคุ้นๆ
“หัวเราะอะไร หลบหลู่ฉันเหรอ?”
หมอผีสมคิดชี้มือตะโกนมา
“เอ่อ...ปละปล่าวค่ะไม่ได้หลบหลู่ เพื่อนหนูมันผีเข้าค่ะอาจารย์” กรรัมภาบอก
สุคนธรสตกใจหันมามอง ไม่คิดว่าเพื่อนจะเล่นแบบนี้
“อ้าวยัยแก้ม ทำไมเล่นกันซะแล้ว”
“เธออยากโดนรุมกระทืบหรือไง ดูลูกน้องมันแต่ละคนสิ”
“นั่นดิ รีบทำผีเข้าเอาตัวรอดไปก่อน”
“เอางั้นเหรอ...เอ่อ...ฮ่ะๆๆๆไอ้เฒ่าหัวงู ล่อแล่ๆ”
สุคนธรสเลยจำต้องทำแกล้งหัวเราะเป็นผีเข้าต่อ พวกสาวกร้องฮือที่สุคนธรสว่าหมอผีสมคิดเป็นเฒ่าหัวงู
ณัฐเดชเพิ่งเห็นสามสาวชัดๆ ถึงกับตกใจ
“กรรมแล้วไง ยัยแก้ม ยัยกรรณ ยัยรส! หาเรื่องอีกแล้ว”
“ไอ้ณัฐ! นี่แกรู้จักยัยสาว3คนนั่นด้วยเหรอ?” ไตรรัตน์ถามอย่างแปลกใจ
“เออสิวะ แก๊งเดียวกะยัยเนตร น้องสาวฉันเอง”
“เหร๊อ! นี่น้องสาวแกมีเพื่อนเป็นสาวกหมอผีสมคิดด้วยเหรอวะ”
“สาวกที่ไหนกันวะ ยัยสามคนนั่นแกล้งแฝงตัวเข้ามาสืบเหมือนกับเรานั่นแหละ โธ่เอ้ย...กลายเป็นที่เดียวกันซะอีก”
สุคนธรสได้ทีว่าผีเข้า แอบหลอกด่าหมอสมคิดต่อ
“คุณเฒ่าหัวงูค่ะ นี่แต่งตัวยังกะจะไปเดินเล่นที่เขาดินเลย ฮ่าๆๆ”
สาวกครางกันฮือ...”
“ยัยรส...หยุดได้แล้ว”
สุคนธรส อ้าปากหวอก่อนจะพยักหน้าอย่างจำนนใจแล้วทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าร้องไห้ฟูมฟาย
“เป็นบ้างั้นรึ”
“เจ้าค่ะ มันเป็นอย่างนี่ละเจ้าค่ะ เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้ อาจารย์ช่วยมันหน่อยเถอะเจ้าค่ะ”
ร่างเศรษฐีนีทรุดร่วงลงนอนหมดสติกองอยู่กับพื้น ข้างๆ มีขาวิญญาณยืนอยู่
“แกทำงานได้ดีมากไอ้หล้า ตอนนี้หมดหน้าที่ของแกแล้ว”
หมอผีสมคิดคว้าโถโลหะทรงคล้ายโกศใบหนึ่งจากหลายใบที่วางเรียงรายอยู่มาชูตรงหน้า ขาวิญญาณ
เดินผ่านร่างเศรษฐีนีที่นอนอยู่เข้าไปในโถ หมอผีสมคิดปิดฝาโถนั้นลง
เศรษฐีนีเดินลงจากชั้นบนด้วยอาการที่เปลี่ยนไป...หน้าตาปิ๊งปั๊ง สุคนธรส กรรัมภา กรรณามองจับจ้องไปที่เศรษฐีนีเป็นตาเดียว
“โหววว”
“ป้าดดด...ยังกะคนละคนเลยอ้า”
“ฉันว่าไอ้หมอผี มันต้องทำอะไรลามกแหงๆ” สุคนธรสเอาที่ปิดจมูกลง
ขณะที่ไตรรัตน์นั่งมองจับพิรุธเศรษฐนีอยู่ ณัฐเดชก็เดินเข้ามานั่งลงข้างๆ โดยที่ไม่ทันเห็นสามสาว
“สถานการณ์เป็นไงบ้างวะ” ณัฐเดชกระซิบถามไตรรัตน์
“โธ่ไอ้นี่...ไม่มาซะพรุ่งนี้เลยล่ะ”
“ตำรวจนะเว้ยไม่ใช่ไก่ทอด โทรปุ๊บจะได้มาส่งปั๊บ”
“ชิ้ว...เบาๆ ซิเว้ย มาเที่ยวประกาศอาชีพตัวเองได้ไง”
ณัฐเดชมองไปเห็น เศรษฐีนีกำลังควักเช็คออกมาเซ็นแล้วฉีกส่งให้หาญ
“นี่จ๊ะค่าไล่วิญญาณร้ายออกจากตัวฉัน1แสนบาท ฝากให้อาจารย์สมคิดด้วย”
สามสาวอ้าปากค้าง ไตรรัตน์กับณัฐเดชได้ยินก็ตะลึง
“ขอบคุณมากครับ ไอ้กล้า...ออกไปส่งคุณผู้หญิงหน่อย”
“เชิญครับคุณนาย”
กล้าเดินนำเศรษฐีนีออกไป
“ค่าไล่ผีอะไรวะตั้งแสนนึง?”
“ไม่งั้นสำนักนี้มันจะรวยเหรอ แม่ฉันก็คงโดนหลอกสูบเข้าไปเยอะเหมือนกัน”
“อาจารย์สมคิดมาแล้ว”
เสียงหาญขานดังก้องทำให้ทุกคนหยุด...เงียบกริบ...หันมองไปที่ระเบียงชั้นบนเป็นตาเดียว
หมอผีสมคิดเดินออกมามีเหล่าสมุนชุดดำตามประกบ เหล่าสาวกผู้เลื่อมใสต่างพากันยกมือไหว้ส่งเสียงฮือฮาราวกับเห็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ สุคนธรส กรรัมภา กรรณา ไตรรัตน์ ณัฐเดช เพ่งมองหมอผีสมคิดที่เพิ่งเคยเป็นครั้งแรกพร้อมกับต้องทำท่ายกมือไหว้ตามคนอื่นๆ ไปเพื่อไม่ให้เป็นพิรุธ
หมอผีสมคิดก้าวขึ้นยืนบนแท่นตรงระเบียงโบกมือให้ทุกคนที่มารอพบตรงกับรูปปั้นงูเห่าแผ่แม่เบี้ยขนาดใหญ่พอดี ทำให้หัวงูโผล่ขึ้นด้านหลังหมอสมคิดพอดี สามสาวเห็นแล้วต้องกลั้นขำไว้
“หัวงูนี่หว่า ฮ่ะๆๆ”
แต่สุคนธรสลืมตัวหลุดขำก๊ากออกมาคนเดียว ขณะที่ทุกคนเงียบกริบ หมอผีสมคิดหันขวับมามอง กรรัมภากับกรรณาตกใจรีบปิดปากสุคนธรส ขณะที่ทุกคนหันมามองสุคนธรสเป็นตาเดียว รวมทั้งไตรรัตน์และณัฐเดช...ณัฐเดชมองที่ด้านหลังสามสาวอย่างคุ้นๆ
“หัวเราะอะไร หลบหลู่ฉันเหรอ?”
หมอผีสมคิดชี้มือตะโกนมา
“เอ่อ...ปละปล่าวค่ะไม่ได้หลบหลู่ เพื่อนหนูมันผีเข้าค่ะอาจารย์” กรรัมภาบอก
สุคนธรสตกใจหันมามอง ไม่คิดว่าเพื่อนจะเล่นแบบนี้
“อ้าวยัยแก้ม ทำไมเล่นกันซะแล้ว”
“เธออยากโดนรุมกระทืบหรือไง ดูลูกน้องมันแต่ละคนสิ”
“นั่นดิ รีบทำผีเข้าเอาตัวรอดไปก่อน”
“เอางั้นเหรอ...เอ่อ...ฮ่ะๆๆๆไอ้เฒ่าหัวงู ล่อแล่ๆ”
สุคนธรสเลยจำต้องทำแกล้งหัวเราะเป็นผีเข้าต่อ พวกสาวกร้องฮือที่สุคนธรสว่าหมอผีสมคิดเป็นเฒ่าหัวงู
ณัฐเดชเพิ่งเห็นสามสาวชัดๆ ถึงกับตกใจ
“กรรมแล้วไง ยัยแก้ม ยัยกรรณ ยัยรส! หาเรื่องอีกแล้ว”
“ไอ้ณัฐ! นี่แกรู้จักยัยสาว3คนนั่นด้วยเหรอ?” ไตรรัตน์ถามอย่างแปลกใจ
“เออสิวะ แก๊งเดียวกะยัยเนตร น้องสาวฉันเอง”
“เหร๊อ! นี่น้องสาวแกมีเพื่อนเป็นสาวกหมอผีสมคิดด้วยเหรอวะ”
“สาวกที่ไหนกันวะ ยัยสามคนนั่นแกล้งแฝงตัวเข้ามาสืบเหมือนกับเรานั่นแหละ โธ่เอ้ย...กลายเป็นที่เดียวกันซะอีก”
สุคนธรสได้ทีว่าผีเข้า แอบหลอกด่าหมอสมคิดต่อ
“คุณเฒ่าหัวงูค่ะ นี่แต่งตัวยังกะจะไปเดินเล่นที่เขาดินเลย ฮ่าๆๆ”
สาวกครางกันฮือ...”
“ยัยรส...หยุดได้แล้ว”
สุคนธรส อ้าปากหวอก่อนจะพยักหน้าอย่างจำนนใจแล้วทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าร้องไห้ฟูมฟาย
“เป็นบ้างั้นรึ”
“เจ้าค่ะ มันเป็นอย่างนี่ละเจ้าค่ะ เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้ อาจารย์ช่วยมันหน่อยเถอะเจ้าค่ะ”
โปรดติดตามตอนต่อไป