สาวน้อย ตอนที่ ๑๗
นิดและแก้วนั่งอยู่ ที่ซุ้มไม้ในสวนทั้งคู่ต่างเล่าและฟังเรื่องราวระหว่างกัน
“แก้วอย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ ลุงฟูอาจไม่เป็นอะไรก็ได้”
“ถ้าไม่ตาย คุณหลวงสารวัตรจะเกณฑ์ตำรวจมาตามล่าฉันทำไม”
“เขาก็อาจแค่เอาไปซักถามว่าเกิดอะไรขึ้น ลุงฟู...”
“อย่าเรียกมันว่าลุงนะ มันเป็นไอ้ชาติชั่ว ฉันอยากให้มันตาย ฉันยอมติดคุกก็ได้”
“โธ่เอ๋ย แก้ว”
นิดกุมมือแก้วไว้ยกมาบีบ สายตามองอย่างเป็นห่วงและให้กำลังใจ แก้วมองดูนิดอย่างซาบซึ้งแล้วนิ่วหน้า
“แกไม่ต้องมาเวทนาฉัน เรื่องของฉันมันแค่ขี้ผง แต่เรื่องของแกน่ะ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นอย่างงี้ได้ มิน่า ฉันสังหรณ์ตั้งแต่เห็นจดหมายแกแล้ว”
นิดน้ำตาเอ่อ
“ฉันไม่อยากให้แม่มาเป็นทุกข์เรื่องฉัน”
“แล้วแกจะปิดความไปได้สักกี่น้ำ ถ้าความแตกพี่เนื่องต้องมาตีกบาลนายเสียมแน่”
“ฉันไม่ได้กลัวพี่เนื่อง....แต่ฉันกลัวพี่เชิด”
“ทำไม”
“พี่เชิดเคยลั่นวาจาไว้ว่า ถ้าพี่เสียมทอดทิ้งฉัน พี่เชิดจะฆ่าพี่เสียมกับมือให้ตายอย่างทรมานที่สุด”
แก้วเพิ่งรู้ว่านี่คือเหตุผลสูงสุด มากกว่าเรื่องความเสียใจของแม่หรือความอับอายชาวบ้าน
“นิด...แกนะแก เฮ้อ ฉันคิดว่าแกเป็นคุณนายไปแล้ว กลับมาเป็นบ่าวเขาซะได้ เออ พูดแล้วนึกได้ คุณนายอกใหญ่ใจดีเขาฝากจดหมายมาให้แก”
“เขาชื่อมารศรี”
แก้วส่งจดหมายให้ นิดคลี่ออกอ่าน
“นิด ฉันมีเรื่องด่วนมาบอกเธอ”
จดหมายฉบับนี้เขียนไว้ตั้งแต่มารศรีรู้เรื่องความสัมพันธ์ของสุวลีกับคุณหญิงมะลิจากปากพระชาญชลาศัย มารศรีนั่งเขียนจดหมายอยู่ในห้อง
“คุณหญิงมะลิเป็นคุณน้าแท้ๆ ของสุวลี ฉันเชื่อว่าการที่คุณหญิงมะลิรับเธอทำงาน ต้องเป็นแผนการของสองน้าหลาน และอาจจะเป็นแผนการร้ายต่อเธอด้วย ฉันว่าเธอต้องระวังตัว...
มารศรีวางปากกา เม้มปากและใช้ความคิดก่อนจะตัดสินใจเขียนต่อไป
...ทางที่ดี รีบออกไปจากบ้านนั้นให้เร็วที่สุด จะดีกว่า”
นิดหน้าซีดเผือดและลดจดหมายลง แก้วตกใจกับท่าทีนิด ดึงจดหมายมาอ่านดู
รถของบ้านธรรมนูญกลับเข้ามาจอดลงที่ใกล้เทอเรซ ลัดดา เสงี่ยม ลงจากรถเปิดประตูให้คุณหญิงมะลิที่ชูคอสูงลงมาตามด้วยนายตำรวจยศร้อยเอก และนายสิบตำรวจอีกคนหนึ่ง
นิดและแก้ว ชะเง้อดู แก้วตาเหลือกโพลง
“ตำรวจ ตำรวจมาจับฉัน”
คุณหญิงมะลิพร้อมกับนายตำรวจยืนเด่นอยู่บนเทอเรซตรงหน้าบรรดาคนรับใช้ในบ้านถูกเรียกมาหมด ได้แก่ ชื่น ถวิล ลัดดา เสงี่ยม ประสงค์ นิด และคนสวน นายสิบตำรวจไปยืนคุมคนกลุ่มนี้อยู่ทางเบื้องหลัง
“แหวนเพชรวงใหม่ของฉันซึ่งถอดวางไว้ที่ม้าเครื่องแป้งในห้อง หายไป”
ร้อยตำรวจเอกบอกน้ำเสียงดุ
“ใครเอาไปให้เอามาคืนเสียดีๆ จะยกโทษให้ ไม่งั้น ต้องติดตะรางทีเดียวนะ”
นิดใจหายวาบมือกำจดหมายในมือ บรรดาคนใช้อื่นมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ยกเว้นลัดดา
“ใครมันจะมารับผิดกันง่ายๆคะ”
“บรรดาคนรับใช้ที่ขึ้นลงเข้าออก ตึกชั้นบนได้มีใครบ้างครับ”
“ก็มีแค่พวกสาวๆ เท่านั้นแหละค่ะ มีแม่ลัดดา แม่ถวิล และก็แม่นิด”
“ไหน ทั้งสามคนก้าวออกมาซิ”
นิด ถวิลและลัดดาก้าวออกมา
“เราสามคนเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับต้น มีใครจะพูดอะไรไหม”
“ดิฉันไม่ทราบเรื่องจริงๆค่ะ” ถวิลบอก
“ดิฉันไม่ได้เอาไปจริงๆค่ะ ไม่เชื่อก็ค้นตัว ค้นห้องดิฉันได้เลย” ถวิลว่า
มะลิทำโกรธเกรี้ยวล้วงกุญแจจากชายพกพวงใหญ่ออกมา
“แกไม่ต้องมาท้า...ฉันค้นแน่ ค้นเรียงห้องเลย ไปกันค่ะ ผู้กอง”
คุณหญิงมะลิเดินนำคนใช้ กรูเกรียวกันไป ยังเรือนคนใช้
มุมหนึ่งของบ้านมีตุ่มเรียงราย ฝาตุ่มใบหนึ่งขยับขึ้นเห็นดวงตาแก้วโผล่มาอย่างระวังระไว
ที่เรือนคนใช้ห้องลัดดาเปิดอ้า ลัดดากับเสงี่ยมยืนยิ้มร่าอยู่ที่ระเบียง ตอนนี้ตำรวจกำลังค้นห้องถวิล ถวิลยืนชะเง้อหน้าห้องตัวเอง นิด ชื่น ประสงค์ ยืนรออยู่ สองตำรวจกับคุณหญิงมะลิเดินออกมา
“แกน่ะ รอดตัวไปนังหวิน”
ถวิลถอนใจเฮือก
“แล้วห้องต่อไปนี่ ของใครครับ”
“ห้องแม่นิดค่ะ”
มะลิเข้าไปไขกุญแจห้องนิด ตำรวจทั้งสองนายเข้าไป มะลิปรายตาดูนิดก่อนจะก้าวตาม นิดหน้าเผือด ถวิลจับมือบีบ
“ไม่มีอะไรหรอก น่า นิด”
“ใครจะรู้ อีพวกหน้าซื่อๆนี่แหละตัวดีนัก” ลัดดาว่า
นิดมองลัดดา
นิดก้าวมาที่หน้าห้อง มองเข้าไปในห้องตน มะลิยืนเชิดอยู่กลางห้อง นายสิบไปรื้อค้นที่โต๊ะเล็ก นายร้อยเอกเอากระเป๋าเดินทางนิดวางบนเตียง คุ้ยหาของ นายสิบเปิดกล่องแหวนพลอย นิดผวา คุณหญิงมะลิมองดูอย่างแปลกใจเล็กน้อย
“นี่หรือเปล่าครับ”
“วุ้ย ไม่ใช่ค่ะ แหวนดิฉันเป็นแหวนเพชร 5 กะรัต ไม่ใช่แหวนพลอยแบบนี้”
“ตรงนี้ก็ไม่มีอะไร”
นิดโล่งอก คุณหญิงมะลิตาขุ่นกับนายตำรวจแล้วพูดชี้นำ
“แหม ดูตามที่นอน หมอน มุ้ง อีกทีเถอะค่ะ”
นายร้อยนิ่วหน้าคลี่ผ้าห่มสะบัดดู นายสิบเอาหนังสือเรียนของนิดมาดู นายร้อยย้ายไปล้วงดูในปลอกหมอนแล้วชะงัก คุณหญิงมะลิทำตาโต
“อะไรหรือคะ”
นายร้อยตำรวจดึงแหวนเพชรออกมาจากปลอกหมอน
“ได้แล้ว อยู่นี่เอง วงนี้ใช่ใหมครับ”
คุณหญิงมะลิก้าวมารับแหวนมาอย่างดีใจ
“ใช่แล้วค่ะ ใช่แล้ว”
นิดหน้าเผือด เซไปผิงฝาผนังห้อง
ที่บริเวณสนามหญ้าหน้าเรือนคนใช้ นางชื่น ถวิลไม่เชื่อเรื่องที่เกิดขึ้น ลัดดาพยักเพยิดกับเสงี่ยมว่าสงสัยมานานแล้ว ประสงค์ยืนมองเงียบๆ คุณหญิงมะลิสวมแหวนเดินเชิดลงจากเรือน นายร้อยตำรวจเดินคุมตัวนิดตามมา นายสิบหิ้วกระเป๋าเดินทางของนิดมาตามหลัง
“โธ่เอ๋ย แม่นิด”
“นิด”
นิดมองอย่างขอบใจ
“สมน้ำหน้า” ลัดดาบอก
ลัดดาพลันยื่นเท้ามาขัดขา นิดสะดุดล้มลงไปคุกเข่ากับพื้น ถวิลกับชื่นจะดึงขึ้น คุณหญิงมะลิสั่งเสียงเข้ม
“ไม่ต้อง ให้มันกองอยู่ตรงนั้นแหละ อีชาติไพร่ อีสถุน เลวชั่วชาติ ไม่มีอะไรเปรียบ เสียแรงที่ฉันไว้เนื้อเชื่อใจทุกอย่าง”
นิดเงยหน้าขึ้น มองดูคุณหญิงมะลิด้วยแววตาดูแคลนและรู้ทัน คุณหญิงใจหายวาบรีบกลบเกลื่อน
“คุณตำรวจพามันไปโรงพักเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
คุณหญิงมะลิพลันคว้ากระเป๋านิดจากมือนายสิบมาที่เดินออกมา
“เอามานี่”
คุณหญิงมะลิทุ่มกระเป๋าลงตรงหน้านิด กระเป๋าแตกปริออก เสื้อผ้า หนังสือเรียน รูปฝีมือสรรค์ กระเป๋าสตางค์ กล่องแหวนกลิ้งออกมา
“เอาสมบัตินี่ไปไว้ในตะรางกับแกด้วย ไป๊”
นิดเก็บของกลับลงกระเป๋ากัดริมฝีปากแน่นจนห้อเลือดน้ำตาหยดลง นิดปาดมันออกทันที ความเจ็บแค้นมีมากกว่าความเสียใจ
ภายในรถ นิดนั่งในรถตอนหลังขนาบข้างด้วยตำรวจทั้งสอง เสงี่ยมขับรถของบ้านธรรมนูญภักดีออกไป นิดชะเง้อมองหาแก้ว นายตำรวจบอก
“ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์ดอก แกนี่นะ หน้าตาออกดี ไม่น่ามือไวใจเร็วเลย”
นิดนั่งเงียบ รถแล่นออกจากประตูรั้วไป คนสวนวิ่งตามไปเปิดและปิดประตู ที่เทอเรซคุณหญิงมะลิยิ้มพยักกับลัดดาแล้วหมุนตัวเข้าบ้านไป ประสงค์มองตาม
แก้วตัวสั่นยืนแอบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่มองตามรถออกไป ถวิลและชื่นก้าวมามองดูแก้วที่หนวดลบ ผมยาวหลุดจากหมวก ถวิลและชื่นดึงแก้วมาในมุมที่ลับตากว่าเดิม
“ป้า ทำยังไงดี นิดโดนใส่ร้าย”
“เอ็งไม่ต้องมาบอกหรอก ข้ารู้”
“ฝีมือใครป้า คุณหญิงหรือ” ถวิลว่า
“ข้าว่า อีนังลัดดาด้วย”
“ตำรวจจับนิดไปไหนน่ะป้า” แก้วถาม
“คงจับไปที่โรงพักบางรักไม่ไกลนี่ล่ะ” ชื่นบอก
“แล้วฉันจะช่วยนิดได้ยังไงล่ะ”
“ข้าน่ะ อับจนหนทาง “
“เสียดาย ถ้าท่านเจ้าคุณอยู่ท่านต้องช่วยนิดได้” ถวิลว่า
“ท่านอยู่ถึงเมืองจันท์ ถ้ารอท่านกลับ คงไม่ทันการณ์แน่” ชื่นบอก
“ฉันจะไปตามท่านเจ้าคุณของป้ามาช่วยนิดเอง”
แก้วพูดอย่างมุ่งมั่น แต่หน้าซีดเผือด ถวิลและชื่นมองหน้ากันด้วยรู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย
ห้องขังภายในโรงพักดูเวิ้งว้าง เยียบเย็น นิดนั่งพิงผนังปูน เงาลูกกรงทาบทับลงมาบนตัว นิดขมขื่น เจ็บแค้นประเดประดังอยู่ในอก
ภายในห้องสรรค์วางพู่กันลงบนโต๊ะแล้วส่ายหัวอย่างหงุดหงิดแล้วหันไปบ่นกับบุญมา
“ฉันอยากได้รูปที่พิเศษจริงๆ สำหรับแสดงในห้องภาพของฉันที่กำลังจะเปิดใหม่ .. ภาพที่พิเศษจริงๆ ซักภาพ”
“ภาพเทวีแห่งแรงดลใจของแกไงล่ะ”
“แกหมายถึงใคร”
“จะใคร ก็ผู้หญิงที่แกหมั้นหมายอยู่นี่ไง คุณสุวลี”
“ฉันเคยวาดรูปสุมาแล้วแต่มันก็ไม่ใช่ภาพที่ดีที่สุด”
บุญมาตบบ่าสรรค์
“ถ้าคุณเธอได้ยินเข้าคงไม่ยอมเป็นแน่ ไม่มีอารมณ์ก็อย่าไปฝืนวาดเลยน่า ออกไปเต้นรำกันดีกว่า นายเสวกรออยู่นะ”
“ไม่ล่ะ แกไปเถอะฉันอยากอยู่คนเดียว”
“เออ งั้นฉันไปล่ะ”
บุญมาเดินออกไปทิ้งสรรค์เอาไว้กับการวาดภาพอยู่ในห้องส่วนตัว
บริเวณน้ำพุริมถนน แก้วเดินกระปลกกระเปลี้ยด้วยเรื่องทั้งหมดที่เจอมาและในเรื่องวันนี้ทำให้ร่างกายอ่อนแอ แก้วถอดหมวกเอาน้ำลูบหน้า ลูบผมให้ลีบ แล้วใส่หมวกปิดไว้เดินต่อไป อาการไข้ทวีความรุนแรงขึ้น
แก้วเดินมาตามถนนดวงตาพร่าพราย
บุญมาเลี้ยวรถออกจากบ้านโพธิธาราลงสู่ถนน แก้วมายืนอยู่ข้างบาทวิถีมองไปเห็นบ้านโพธิธาราอยู่ไม่ไกล แก้วยิ้ม แต่ก็อ่อนแรงเต็มทน
บุญมาผิวปากหวืออยู่ในรถ เคาะมือกับพวงมาลัยทำจังหวะ แก้วก้าวพรวดลงถนน แสงไฟจ้าทาบลงบนตัว แก้วหันควับมามองอย่างตกใจ บุญมาตาเหลือก กระทืบเบรกสุดแรงเกิด
แก้วตกใจสุดขีด รถบุญมาพุ่งมาถึงตัว แสงไฟจ้าเต็มที่ แล้วบุญมาก็เบรกรถได้ทันท่วงที
“ฉิบหายแล้ว”
บุญมาลงจากรถเดินเข้าไปดูเห็นแก้วในคราบผู้ชายนอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้นใจหายวาบ
“คุณ...คุณ...เป็นยังไงบ้าง”
บุญมามองดูไม่เห็นร่องรอยใดๆ ว่าถูกชนจึงพลิกดูหน้าแก้วหมวกหลุดผมลีบเปียกน้ำ
“เฮ้ย ไอ้เด็กเปรตนี่หว่า”
รถบุญมาแล่นตะบึงผ่านประตูรั้วบ้านชูวงศ์เข้ามาจอดเอี๊ยด บุญมาลงมาแล้ววิ่งหน้าตาตื่นเรียกคนสวน
“นายมี นายมี นายมีโว้ย”
นายมีไม่เป็นอันปิดประตูรั้วรีบวิ่งมา
นายมีกับบุญมา ช่วยกันหามหัวหามเท้าแก้วอย่างเก้ๆ กังๆมาในบ้าน นมพวงกับสาวใช้ที่ชื่อศรีตกใจ
“คุณบุญมา นี่อะไรกันคะ”
บุญมามองดูรอบๆห้องแล้วไม่รู้จะวางตรงไหนดี จึงตัดสินใจพาขึ้นชั้นบน
“โธ่ นมอย่าเพิ่งถาม ... เอาขึ้นไปข้างบนเลยดีกว่า”
ภายในห้องนอนของบุญมาใหญ่โตเต็มไปด้วยชั้นหนังสือภาษาอังกฤษทั้งนิยาย และหนังสือประวัติศาสตร์และศิลปะมากมาย
มีหนังสือวางอยู่ตามพื้นตามมุมต่างๆ ในห้องไม่มีระเบียบนัก แต่ที่ไม่รกมากเพราะมีคนรับใช้ช่วยดูแลให้ แก้วนอนหน้าซีดอยู่บนเตียง บุญมายืนเกาหัวดูสภาพ นายมีออกไปทันทีหลังจากที่วางแก้วเรียบร้อยแล้ว นมพวงเข้ามาในห้อง ส่วนศรียังรีๆรอๆอยู่หน้าประตู
“คุณบุญมาเอาเด็กนี่มาจากไหนคะ”
“ไม่ได้มาจากไหน ฉันขับรถชนมัน”
“ว้าย ตายแล้ว ทำไมไม่เอาไปโรงหมอคะ”
“โธ่ รถฉันยังไม่ทันโดนตัวมันเลยมันก็ล้มลงไปแล้ว เอ หรือมันจะแกล้งโดดให้รถชนแล้วเรียกร้องเอาเงิน”
นมพวงไม่สนใจนั่งลงมองดูหน้ามอมกับผมที่เริ่มแห้งของแก้วแล้วเอามืออังหน้าผากและคอ
“ตัวร้อนจี๋เลยเป็นไข้แน่ค่ะ เด็กคงไม่สบายอยู่ พอจะโดนรถชนก็เลยเป็นลม หัวฟาดไป นี่ไงคะ หัวโนเป็นลูกมะกรูดเลย”
บุญมาเอานิ้วเกาคาง
“นมแน่ใจนะว่ามันไม่ได้ลูกไม้ ไอ้เด็กเวรนี่ร้ายนัก”
“วุ้ย ตามคุณหมอประสบมาดูก่อนเถอะค่ะ ไม่รู้จะพามาทำไม”
“เผื่อมันตาย ฉันจะได้จำกัดศพได้ง่ายๆไง”
บุญมาพูดเล่น นมพวงจะเข้ามาแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตแก้ว
“ถอดเสื้อผ้า แล้วเช็ดตัวให้ไข้ลดก่อนดีกว่าค่ะ”
นมพวงชะงักแล้วบอก
“แหม เด็กนี่มันก็รุ่นแล้ว อิฉันเป็นผู้หญิงคงไม่เหมาะ คุณนั่นแหละถอดเสื้อผ้าให้มันหน่อย”
“ฉันน่ะนะ”
“ค่ะ อิฉัน จะไปโทรตามคุณหมอ”
นมพวงหันมาพูดกับศรี
“นี่แก ไปเอาน้ำใส่อ่างมา”
นมพวงกับสาวใช้เดินออกไป บุญมาสีหน้าบึ้งตึงเข้าไปแกะกระดุมสื้อแก้วออก แล้วจับตัวพลิกคว่ำอย่างไม่ปราณีปราศรัย ดึงเสื้อเชิ้ตออกไป แล้วแปลกใจที่เห็นว่ามีผ้าพันรอบตัวแน่นอยู่ บุญมางง แต่ไม่ทันคิด
“พันผ้าไว้ทำไมวะ หรือเป็นโรคปวดหลัง”
บุญมาเห็นชายนึงของผ้าลุ่ยอจึงดึงออก ร่างแก้วที่คว่ำอยู่ก็พลิกหงายแล้วคว่ำใหม่ ผ้าผืนยาวทั้งผืนติดมือบุญมามา บุญมามองดูก็ยังไม่คิดอะไร จับแก้วพลิกหงายมา แล้วตาเบิกโพลง
“เฮ้ย เว้ย โว้ย”
บุญมาตกใจสุดขีด ผวาถอยพรวดไปถึงตู้ไซด์บอร์ด ของล้มโครมคราม
บุญมาหน้าเหรอโผล่ออกมาจากห้อง นพวงกลับขึ้นมาหลังจากโทรศัพท์ สาวใช้ถืออ่างน้ำมาพอดี
“คุณหมอกำลังมาค่ะ เอ๊ะ ทำไมคุณทำหน้าตาเหมือนเห็นผี”
“ไม่ใช่ผีหรอก เห็นอย่างอื่น .. นมกับศรีมาถอดเสื้อให้มันที”
“มันเป็นเด็กผู้ชาย นมกับศรีทำไม่ได้หรอกค่ะ หน้าเกลียด”
“ไม่น่าเกลียดหรอก เพราะตอนนี้ ... มันไม่ใช่เด็กผู้ชายแล้ว”
นมพวงกับสาวใช้ร้องอุทานรีบเข้าห้องไป บุญมาดูตามรอยแง้มประตู นมพวงกระแทกประตูปิดปังใส่หน้าทันที
เช้าวันใหม่ มารศรีแต่งกายงดงามเดินมาจากทางด้านหลัง ที่โต๊ะอาหารพระชาญชลาศัยนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ แต่งกายเหมือนเตรียมจะไปทำงาน สรรค์แต่งตัวอยู่กับบ้านกำลังกินอาหารเช้า แม่ผิน บัว และสมพงษ์คอยรับใช้ ผินปรายตามองแล้วแขวะ
“ตื่นซะสายตะวันโด่งกว่านวยนาดวาดกรมาได้”
บัวรีบรับมุขอย่างรู้ทัน
“หมายถึงหนูใช่ไหมคะ”
“ย่ะ หรือว่าใครอื่นจะรับก็ตามใจ”
มารศรีนั่งลงที่โต๊ะ สรรค์มองอย่างไม่สนิทใจนัก
“ขอประทานโทษนะคะที่มาสาย”
บัวเข้ามารินกาแฟจากกาให้ มารศรีพยักหน้าขอบใจ แล้วหยิบกากาแฟมา
“คุณพระเติมกาแฟอีกไหมคะ”
“ก็ดีเหมือนกัน”
มารศรีเติมกาแฟและเติมน้ำตาลให้
“คุณสรรค์ล่ะคะ”
“ไม่ล่ะ ขอบใจ”
พระชาญชลาศัยวางหนังสือพิมพ์ลง
“วันนี้มีข่าวอะไรบ้างคะ”
“ไม่เห็นมีอะไรก็มีแต่ข่าวตั้งรัฐบาลใหม่ เรื่องฟอร์มทีมรัฐมนตรี อ้อ...”
หลวงชาญชลาศัยหันมาพูดกับสรรค์
“เขาว่ากันว่าพ่อตาแกคงจะได้ตำแหน่งเดิม”
“แค่ว่าที่ครับ ว่าที่พ่อตา”
“แล้วไม่มีข่าวอื่นหรือคะ”
“ก็ไม่เห็นมีอะไร ก็มีข่าวเมียตีหัวผัว อ้อ มีข่าวสาวใช้บ้านพระยาธรรมนูญขโมยเครื่องเพชรเลยถูกจับได้”
มารศรีสังหรณ์ใจวูบคว้าหนังสือพิมพ์มาดู สรรค์ออกความเห็น
“คงจะเป็นเครื่องเพชรของคุณน้ามะลิ”
มารศรีอ่านปราดๆ แล้วนิ่งไปสีหน้าขรึมลง คุณพระไม่ทันสังเกตเพราะมัวแต่คุยกับสรรค์ไปเรื่อยๆ
“ข่าวว่าเป็นสาวใช้คนใหม่ เพิ่งรับมาทำงานได้ไม่กี่เดือนก็ออกลายเสียแล้ว”
ผินได้โอกาส
“ใช่เจ้าค่ะ นังพวกนี้มันชอบทำหน้าซื่อให้คนตายใจ ไม่ระวังให้ดีมันยกย้ายถ่ายเทจนเหลือแต่ตัวแน่เจ้าค่ะ”
มารศรีเป็นห่วงนิดและเจ็บใจแทน ตาวาวขึ้นมามองแม่ผินพลางอย่างเอาเรื่อง
มารศรีเสียงแข็ง
“คราวนี้หมายถึงบัว หรือหมายถึงใคร”
“อุ๊ย ฉันก็พูดถึงคนทั่วๆ ไป ใครไม่ใช่ก็อย่ามารับ”
“เอ้า พอๆ ขอฉันทำงานอย่างปลอดโปร่งโล่งใจซักวันเถอะน่ะ”
มารศรีส่งหนังสือพิมพ็ให้สรรค์
“ลองดูสิคะ คุณสรรค์อาจจะเคยเห็น เคยรู้จักมาบ้างก็ได้”
สรรค์ไม่รับหนังสือพิมพ์บอก
“ ไม่หรอก ฉันไม่ได้ไปบ้านพระยาธรรมนูญมาหลายเดือนแล้ว...นี่ไม่รู้ว่าสุวลีรู้ข่าวนี้หรือยัง”
มารศรีวางหนังสือพิมพ์ลง ยิ้มเหยียดหยามน้ำเสียงเยาะเย้ย
“มีหรือคะ จะไม่รู้ .. ดิฉันว่า เรื่องนี้ คุณสุวลีคงรู้ก่อนที่มันจะเป็นข่าวเสียอีก”
สรรค์มองหน้ามารศรีอย่างแปลกใจในน้ำเสียง แต่ไม่มีใครรู้ความนัยของมารศรี
แสงยามเช้าส่องเข้ามาในห้องนอนของบุญมา แก้วยังนอนห่มผ้าอยู่ หน้าตาสดใสขึ้นกว่าเมื่อคืน แก้วค่อยๆลืมตาแล้วยิ้มละไมเพราะคิดว่ากำลังฝันหวาน แก้วยันตัวลุกขึ้นเห็นแผ่นหลังกว้างของชายหนุ่มนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ แก้วเรียกเสียงเบาหวิว
“พี่เนื่อง”
ร่างนั้นชะงักหันมาเห็นเป็นเงามืด แก้วยิ้ม ร่างนั้นค่อยๆก้าวมาที่เตียงจนแก้วเห็นว่าเป็นบุญมา
“เฮ้ย”
บุญมายืนกอดอกมองดูแก้วอย่างประเมินท่าที แก้วผงะและเพิ่งแน่ใจว่า ไม่ใช่ความฝัน แต่เมื่อครั้นมองบุญมาและมองไปรอบๆห้องแล้วมองตัวเองจึงพบว่าตนใส่เสื้อและกางเกงนอนของผู้ชาย แก้วสับสนอลหม่าน ตะครุบอกตัวเอง
“แก แกทำอะไรฉัน”
“ก็ทำอย่างที่ลูกผู้ชายเขาทำกัน”
บุญมาจงใจพูดให้เข้าใจผิดเล่น แก้วตวาดแว้ด เอามือแตะๆอกและเนื้อตัวว่าบุบสลายหรือไม่
“แปลว่าอะไร”
“แปลว่าลูกผู้ชายพอเจอคนเป็นลม เขาก็พามาดูแลหาหมอมารักษานะซี”
แก้วนั่งคิดนึดหนึ่ง
“ไม่จริง ฉันไม่ได้เป็นลม มีไอ้บ้าขับรถชนฉัน .. ต้องแกแน่ๆเลย”
“ไม่ใช้โว้ย ไม่ได้ชนแต่เธอล้มไปหัวฟาดพื้นเอง”
แก้วคลำหัวโนตัวเอง
“แล้ว แล้วใครจับฉันแก้ผ้า”
“ก็...ก็มีอยู่สองสามคน”
“แก...แล้วแกเห็นหมดแล้วใช่ไหม”
“เห็นบ้างแต่ไม่หมด”
แก้วลุกขึ้นเต้นผางๆ ชี้หน้า บุญมาสำราญใจ
“แก...ฉันจะให้ตำรวจมาจับแก...ว่าแกขับรถชนฉัน”
“ฉันก็จะแจ้งความเรื่องเธอ เตะผ่า...เอ้ย ทำร้ายร่างกายฉัน”
“ฉันจะแจ้งความเรื่องแกจับฉันแก้ผ้า”
“ฉันจะแจ้งความเรื่องเธอคือไอ้โจรขโมยหมวก”
“ฉันจะแจ้งความเรื่องแก...แกต้องลวนลามฉันแน่เลย”
“ฉันก็จะแจ้งความเรื่องเธอปล้นชิงกระเป๋าเงินฉันไป...หลักฐานอยู่นี่จับได้คาหนังคาเขา”
บุญมาโบกกระเป๋าเงินให้ดู แก้วตกใจ
“เอามานี่”
“นี่มันกระเป๋าฉัน”
“ใช่ แต่ของ-ของฉันอยู่ในนั้น ของสำคัญด้วย ฉันจดเอาไว้”
แก้วลนลาน บุญมาหยิบเศษกระดาษมีลายมือแก้วขึ้นมาจากกระเป๋า
“ไอ้นี่ใช่ไหม”
บุญมาอ่าน
“หลวงพินิจอรรถการ หัวหน้าศาลจังหวัดจันทบุรี”
“เอามานี่”
แก้วจะปล้ำแย่งกระดาษ แต่บุญมาวิ่งหนี
“ไม่ให้ เธอบอกฉันมาก่อน จริงๆ แล้วเธอเป็นใคร แล้วกำลังจะไปไหน แล้วไอ้กระดาษแผ่นนี้มันแปลว่าอะไร”
แก้วทำตาปริบๆคิดหาทางว่าบอกยังไงดี
ภายในห้องขังมีหญิงขี้เมานางหนึ่งนอนหลับพับอยู่กับพื้น นิดนั่งเหม่อครุ่นคิดอยู่ท่าทางไม่ได้นอนมาทั้งคืน นายสิบตำรวจเอากระบองเคาะดังกังวาน นิดตื่นจากภวังค์
“นางนิด เชี่ยวสินธุ”
นิดมองอย่างงงๆ
“มีคนมาเยี่ยม... เชิญขอรับคุณนาย”
มารศรีก้าวเข้ามา นิดมองดูแล้วผวามาหา มารศรีมองดูสภาพแล้วยื่นมือมากุมมือนิด นิดจับมือดีใจ
“คุณมารศรี คุณมาได้ยังไงคะ”
ตำรวจออกไปแล้ว เหลือทั้งสองคุยกันเพียงสองคน
“ฉันผิดเอง ฉันรู้เรื่องนี้มาตั้งวันสองวันแล้ว แต่ก็มัวรีรอ ถ้าฉันส่งข่าวให้เธอแต่เนิ่นๆ เธอก็จะไม่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้”
นิดยิ้ม ดวงตาวาววับด้วยความเจ็บใจ
“ถ้าคุณไม่บอกหนูก็คงคิดแค่ว่า คุณหญิงวางแผนกำจัดหนูเพราะหนูไปรู้ความลับของคุณหญิงเข้า”
“ความลับอะไรกัน”
นิดลังเลนิดหนึ่งแล้วตัดสินใจพูดเบาๆ ใกล้ๆ มารศรี
“เรื่องคุณหญิงคบผู้ชายค่ะ”
“อุ๊ยตาย มีเรื่องนี้ด้วยหรือ”
นิดเสียใจ
“แต่ที่แท้ เรื่องทั้งหมดนี้เป็นฝืมือของคุณสุวลี ความเมตตาปรานีทั้งหลายของคุณหญิงเป็นแค่หลุมพรางให้หนูตายใจเท่านั้น”
“ความจริงเรื่องเล่นละครตีสองหน้าน่ะ ฉันก็ไม่แพ้ใครหรอกนะ แต่พอมาอยู่ในแวดวงผู้ดีฉันถึงได้รู้ว่า พวกผู้ดีน่ะเล่นละครได้เก่งกาจว่าฉันหลายเท่า”
“โดยเฉพาะคุณสุวลี ... อย่างที่คุณเคยว่าใช่ไหมคะ ว่าอย่าเชื่อในสิ่งที่ตาเราเห็น”
“ฉันจะช่วยประกันตัวเธอออกมาก่อนแล้วเราค่อยคิดอ่านเรื่องแต่งทนายมาสู้คดี”
“ไม่ต้องหรอก หนูรบกวนคุณนายมามากแล้ว “
“ไม่ได้นะ นี่เดี๋ยวเขาก็จะส่งตัวเธอไปลหุโทษแล้ว .. ฉันต้องหาคนมาช่วยเธอ”
นิดซึ้งใจ
“อย่าเลยค่ะคุณมารศรี ถ้าคุณพระชาญรู้ ท่านคงโกรธคุณแน่ๆ หนูไม่อยากให้คุณลำบากเพราะหนู”
มารศรีอึ้งไป นิดปลอบด้วยเสียงอ่อนโยน
“ไม่ต้องห่วงหนูค่ะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หนูจะสู้กับมันและเอาตัวรอดให้ได้ค่ะ”
“มันต้องอย่างนี้สิ แม่หนูนิดของฉัน”
มารศรียิ้มชื่นชมในความเข้มแข็งของนิด นิดยิ้มรับแล้วมองเลยไป แววตามีรอยเยาะหยันกับชีวิต
ภายในห้องนอน สุวลีแต่งชุดอยู่บ้านอย่างกรุยกรายดูราวชุดราตรี รองเท้าแตะส้นสูงปักเลื่อม นั่งวางท่าบนเก้าอี้ คุณหญิงมะลิอยู่ตรงข้าม แหวนเพชรลูกใหญ่ในมือทอแสงวูบวาบ คุณเฟื่องดูแลจัดของเล็กๆ น้อยๆ อยู่ด้านหลัง
“ตอนนี้เขาส่งมันไปอยู่ลหุโทษแล้ว”
“ค่ะ แล้วต่อไปจะยังไงคะ”
“อีกอาทิตย์นึง มันก็ต้องขึ้นศาล นี่น้าซักซ้อมกับนังลัดดาแล้ว รับรองว่ามันไม่รอดแน่”
สุวลีมีแววตาสมใจ
“ค่ะ”
“นี่น้าคุยกับทางตำรวจแล้ว เขาพบว่ามันปากแข็งปฏิเสธไม่ยอมรับสารภาพ มันต้องติดคุกเป็นปีแน่ๆ .. นังคนนี้เห็นท่าทางเซื่องๆ ติ๋มๆ แต่บทจะสู้ มันก็สู้ยิบตาเหมือนกัน”
สุวลีตาแข็งขึ้นคิดไปถึงครั้งสุดท้ายที่เจอนิด
“แต่หนูก็จะขอให้คุณสัญญาเหมือนกัน ว่าคุณจะดีกับพี่เสียม รักพี่เสียมให้มากเหมือนที่พี่เสียมรักคุณ คุณทำได้ใช่ไหมคะ แต่ถ้าวันใดคุณทำไม่ได้ หนูจะทวงสัญญาของหนูกลับคืน”
สุวลีเชิดหน้ายิ้มนิดๆ ด้วยแววตาชั่วร้าย
“กว่ามันจะออกจากคุก ตอนนั้นสุก็คงแต่งงานกับสรรค์แล้ว เด็กนั่นก็จะเป็นแค่นังขี้คุกไม่มีสิทธิ์จะมาตอแยสรรค์อีกต่อไป”
สาวน้อย ตอนที่ ๑๗ (ต่อ)
แก้วใส่เสื้อกางเกงตัวใหม่ที่บุญมาให้เป็นชุดกางเกงแบบผู้หญิงดูเข้าสมัย บุญมามองดูอย่างหมั่นไส้ นมพวงกับศรีนั่งมองอย่างเอ็นดู
“ตกลงจะบอกได้หรือยังว่าเธอน่ะคือใคร ชื่อแก้วน่ะชื่อจริงหรือเปล่า”
แก้วมองหน้าบุญมาแล้วตีเศร้าเล่าความเท็จ
“ฉันชื่อแก้ว ชื่อจริงของฉัน คือแก้วกิริยา (๑) ”
“ชื่อคุ้นๆ แฮะ”
“ฉันเป็นบุตรีโทนของหลวงพินิจอรรถการ หัวหน้าศาลจันทบุรี”
“หนูว่าแล้ว คุณหนูสวย น่ารัก ดูเป็นลูกชาติลูกตระกูล” ศรีว่า
.ศรีเชื่อสนิท นมพวงยังฟังหูไว้หู ส่วนบุญมาเกาคางฟัง พิศดูอย่างจับผิด
“คุณแม่ฉันชื่อคุณหญิงใบสวาท แต่คุณหญิงแม่บุญน้อยตายจากฉันไป เจ้าคุณพ่อก็พาเมียใหม่เข้าบ้านชื่อว่านังทับทิมทอง”
ศรีฟังแล้วสงสาร แก้วยิ่งปั้นน้ำเสียงเศร้า
“นังทับทิมมันกลั่นแกล้งฉันสารพัด ฉันก็สู้อดทน แต่นังทับทิมมันก็ยุยงให้เจ้าคุณพ่อจับฉันแต่งงานกับไอ้กิมหงวน (๒) ลูกชายเถ้าแก่กิมไซ (๓)
“เออ ชื่อนี้ยิ่งคุ้นใหญ่” บุญมาว่า
“ฉันเลยหนีมากรุงเทพถูกพวกกุลีท่าเรือลวนลาม ฉันเลยต้องปลอมตัวเป็นผู้ชาย เงินทองที่มีก็ร่อยหรอหมดจนต้องลักขโมยเขากิน “
“โถ คุณหนู”
ศรีเชื่อหมดใจ ส่วนนมพวงเชื่อแค่เสี้ยวเดียว แก้วน้ำตาหยดมองบุญมา
“คุณช่วยพาฉันกลับจันทบุรีทีนะคะ คุณบุญมา”
“อ้าว หนีมาทั้งที ทำไมถึงจะยอมกลับไปง่ายๆ ล่ะ” บุญมาถาม
แก้วด้นสดด้วยปัญญาว่องไว
“ฉันได้ข่าวมาว่า เจ้าคุณพ่อล้มป่วยกระเสาะกระแสะด้วยความตรอมใจคิดถึงฉัน แต่ฉันกลัวว่า เจ้าคุณพ่อจะถูกนังทับทิมวางยาพิษ”
“ต๊าย นังแพศยา” ศรีโพล่งขึ้น
บุญตาทำตาปริบๆ นมพวงตอนนี้แค่เสี้ยวเดียวก็ไม่เหลือ
“เมื่อคืนนี้ หม่อมแม่มาหาฉันในความฝัน บอกให้ฉันกลับไปช่วยเจ้าคุณพ่อ”
บุญมาเปรย
“อ้าว กลายเป็นหม่อมไปเสียแล้ว”
“นะ คุณช่วยพาฉันกลับไปดูใจเจ้าคุณพ่อที นะนะ”
แก้วน้ำตา น้ำมูกไหลโถมเข้าใส่บุญมาจนต้องขยับถอย
“เฮ้ย มีขี้มูกด้วย ไป ไป ล้างหน้าก่อน เดี๋ยวค่อยมาคุยกัน”
แก้วป้ายขี้มูกด้วยหลังมือแล้วเดินรันทดท้อเข้าห้องน้ำไป
“ยังไงคะ คุณบุญมา เดี๋ยวคุณหลวง เดี๋ยวเจ้าคุณ เดี๋ยวคุณหญิง เดี๋ยวหม่อมแม่” นมพวงถาม
“แต่เรื่องก็สนุกดีเหมือนกันนะนม เอาไปพิมพ์ขายคงได้หลายสตางค์ ว่าไงศรี”
ศรีน้ำตาคลอบอก
“สนุกกระไรคะ น่าสงสารคุณหนูแก้ว คุณช่วยไปส่งคุณหนูทีเถิดนะคะ”
บุญมาส่ายหัวอย่างเซ็งๆ แต่คิดๆ ดู อีกใจก็นึกสนุกขึ้นมา
แก้วล้างหน้าเสร็จแล้วเอาผ้าขนหนูมาซับหน้า มองดูเงาในกระจก
“ตกลงว่ามันจะยอมช่วยเราไหมนี่ .. เดชะบุญนะ ที่ฟังนิทานมาเยอะ”
แก้วส่ายหัว อนาถตัวเอง
“ฉันกลายเป็นสิบแปดมงกุฏไปแล้ว เพราะอีพี่เนื่องคนเดียว”
ที่เกาะสีชัง เนื่องกวาดเศษใบไม้แห้งๆที่พื้นทรายมากองรวมกันด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก แล้วมองไปที่เรือนบังกะโลว์ บนเกาะวิมานน้อยที่นางนิ่มเปิดประตูหน้าต่างเพื่อเช็ดตามวงกบหน้าต่าง นางนิ่มมองมาเห็นสีหน้าของเนื่องก็ชะงักไป
นางนิ่มเดินมาหาเนื่อง
“ไม่รู้เมื่อไหร่ เจ้าของถึงจะได้กลับมานะลูก”
“ไม่ต้องเป็นห่วงมันหรอกแม่ ตอนนี้นิดกับไอ้เสียมคงเที่ยวหัวเมืองปากใต้สบายใจเฉิบอยู่”
นางนิ่มถอนใจ
“บ้านเราตอนนี้เงียบเหงาเหลือเกิน ทุกคนจากไปกันหมด เริ่มจากเชิด แล้วก็นิดกับพ่อเสียม พี่ใบก็ตายจาก แล้วก็มานังแก้วอีก .. นังแก้วเอ๊ย ไม่รู้ไประเหระหนอยู่ที่ไหน”
เนื่องพูดปลอบใจนิ่ม ทั้งที่ใจก็กังวลหนัก
“นังแก้วมันคงเอาตัวรอดได้ล่ะแม่ ไม่ต้องห่วงมันหรอก”
เนื่องเห็นแม่เศร้าสร้อยของแม่ก็เปลี่ยนเรื่อง
“เออ ไอ้เชิดมันเพิ่งส่งข่าวมาแม่ ว่ามันอยู่ที่เมืองจันทน์ไปทำไร่พริกไทยอยู่กับญาติมันน่ะ”
นางนิ่มพยักหน้าหันไปมองดูเรือนบังกะโลว์ เนื่องมองตาม
“ใครๆ ก็ไปกันหมด ถ้านิดกลับมารู้เรื่องนังแก้วคงเสียใจ”
ภายในลหุโทษ เวลากลางวัน
สนามกว้างมีต้นไม้ใหญ่มากมายแต่บรรยากาศแห้งแล้ง ที่ปลายสนามเห็นเรือนนอนและเรือนอเนกประสงค์ตั้งอยู่ บรรดานักโทษคดีลหุโทษกำลังทำงานอยู่ในสนาม
ทางด้านหนึ่งมีการยกแปลงผักสวนครัว ปลูกผักกาดเรียงราย นิดซึ่งถูกนำมาฝากขังก่อนรอขึ้นศาลกำลังพรวนดินอยู่ นิดมองดูแปลงผักตรงหน้าแล้วหวนคำนึงถึงความหลัง
“อย่าเลย เดี๋ยวมือของนิดจะแตกเสียเปล่าๆ”
“มือฉันน่ะด้านกว่าพี่เสียมอีก เรื่องพรวนดินไม่ครนามือฉันหรอก”
นิดแบมือดูมือตัวเองยิ้มเศร้าๆ นิด มีเงาทาบทับลงมา นิดแหงนดู เห็นประไพ ผู้ต้องขังหญิงที่ดูสะสวยแบบไพร่ กับอีก ๒ คนที่ยืนอยู่ นิดลุกขึ้นเผชิญหน้า
“นังคนสวยฉันเรียกทำไมทำไขหู”
“ฉันไม่ได้ยินจริงๆ จ้ะ มัวแต่คิดอะไรเพลินๆ”
“สมคงคิดถึงผัวล่ะซิท่า .. นี่ เห็นว่ามาใหม่ จะบอกให้นะว่าข้างในนี้น่ะ มีนิ้วก้อยมีหัวมือให้หล่อนรู้ตัวเอาไว้”
“ขอบใจจ้ะ ที่บอก...ฉันไปทำงานต่อล่ะ”
นิดไม่สนใจ ย้ายไปพรวนดินตรงจุดอื่น ทั้ง ๓ นางพยักเพยิดมองนิดอย่างหมั่นไส้
ที่เรือนอเนกประสงค์ใช้เป็นโรงอาหาร มีโต๊ะยาวเรียงรายต่อกัน บรรดาผู้ต้องขังเข้าแถวถือถาดหลุมมารับอาหาร นิดถือถาดหลุมใส่อาหารเดินมาที่โต๊ะ ผ่านมาทางโต๊ะหนึ่งประไพกับ 2 สมุนนั่งอยู่ก่อนแล้ว นิดเดินผ่านอย่างไม่สนใจ ประไพยื่นเท้ามาขัด นิดเซหน้าคะมำถาดคว่ำ ข้าวและกับหกโครมลงกับพื้น
“ว๊าย”
บรรดาผู้ต้องขังคนอื่นๆ ชะงักหยุดกินข้าวหันชะเง้อดู นิดกัดริมฝีปากนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น ผู้คุมหญิงถือกระบองก้าวมาดุ
“อะไร อะไรกัน”
ประไพลุกมา
“ไม่มีอะไรค่ะ น้องเขาเดินไม่ทันระวังก็เลยเสียหลัก”
ผู้คุมมองนิดแล้วถาม
“จริงหรือเปล่า”
“ค่ะ”
“งั้นก็เก็บเช็ดให้เรียบร้อย แล้วค่อยมาตักใหม่”
ผู้คุมเดินไป นิดข่มใจเอาสองมือกอบข้าวแดง ผัดเผ็ดและผัดผักใส่ถาดหลุม ประไพกับสมุนสองคนกินข้าวพลางหัวเราะคิกคัก นิดลุกขึ้นถือถาดอาหารสำรวมเดินกลับ
ประไพทำหน้าเหยียดหยาม
“ทำเป็นจองหองพองขน อีพวกขี้ลักขี้ขโมย”
นิดก้าวไปเทถาดอาหารลงบนหัวประไพหมดทั้งถาด ประไพร้องกรี๊ดสุดเสียง ปัดอาหารที่ยังร้อนจากหัวและร่องผม ส่วนถาดกระเด็นไปโดนหัวอีกนาง ก่อนจะตกลงพื้นดังเปรื่องปร่าง ประไพลุกพรวดมาเต้นเร่าๆ ปัดอาหารออกจากกายแล้วชี้หน้านิด บรรดาคนโทษทั้งหลายมารุมล้อม แน่ใจว่าจะได้ดูตบ
“อีสันดาน แกแกล้งฉัน”
นิดยืนนิ่งไม่กลัวเกรง ๒ สมุนที่เต้นเร่าๆ ขนาดข้างพระไพ เริ่มมีบรรดานักโทษส่งเสียงเชียร์ “ตบเลย - ตบให้หน้าแหก” ๒ สมุนรุนประไพไปหานิด ประไพเงื้อง่า นิดกำมือแน่น
“ฉันไม่เอาแกไว้แน่”
ผู้คุมหญิง ๒ นางชูกระบองแหวกคนมา ประไพลดมือทำหงิม
“อะไร อะไรกัน”
“นังนิดจ้ะ นังนิดมันแกล้งเอาถาดข้าวเทใส่หัวฉัน”
ผู้คุมคนแรกมองหน้านิด
“ว่าไง จริงไหมนังหนู”
นิดขยับปากจะรับ แต่มีเสียงทุ้มต่ำ ฟังดูเป็นผู้ชายเอ่ยดังขึ้น
“ไม่จริง ฉันเป็นพยานได้”
นิดและทุกคนหันไปเห็นชด สาวหล่อไล่กว้าง ไว้ผมทรงผู้ชายหวีผมเสย วัยราว ๓๐ ปลายๆ มีลูกสมุน 2 คนก้าวเด่นออกมา ผู้คุมมองชดอย่างเกรงใจ บรรดาคนโทษอื่นๆ ก็มีท่าทียอมให้ ส่วนนิดนั้นไม่รู้จัก มองดูชดอย่างทึ่ง
“เรื่องมันเป็นยังไง แม่ชด”
ชดมองดูนิดและประไพแล้วจึงตอบ
“ฉันเห็นว่าพื้นมันเปียก นังหนูนี่มันเลยลื่น ถาดข้าวผสมขี้ตีนก็เลยหกรดหัวนังประไพ”
“ว่ายังไงนังประไพที่ แม่ชดพูด”
ประไพจ๋อยสนิท
“ถ้าพี่ชดเห็นก็คงจริงตามนั้น”
ผู้คุมอีกคนบอก
“งั้นพวกเอ็งก็ช่วยกันเก็บกวาด แล้วไปล้างเนื้อล้างตัว”
ประไพเจ็บใจ แต่พูดไม่ออกก้มหน้าเก็บเศษอาหาร นิดมองชดอย่างขอบใจ ชดยิ้มตอบ
บริเวณเรือนนอน ประไพกับสมุน ๒ คนอาบน้ำเสร็จ ประแป้งขาว ยืนดักรออยู่ที่บันไดเรือนนอน นิดอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้ว เมื่อเดินผ่านมา ประไพเดินตามอย่างหมายมาด ชด ก้าวจากประตูเรือนนอน ขวางหน้านิด นิดยิ้มนิดๆ จะหลีกทาง แต่ชดดึงแขนไว้
“นังหนู เดี๋ยวย้ายไปนอนข้างฉัน”
ชดจากไป ประไพชะงักเท้า ไม่กล้าตามมาหาเรื่องนิด แต่กลายเป็นลุกตาวาว
“คืนนี้นังนิดคงลืมคิดถึงผัวเป็นแน่ ฮิ ฮิ ฮิ”
นิดนิ่งอั้น
กลางดึก บรรดาผู้ต้องขังนอนเรียงรายแทบทุกคนนอนหลับใหล ที่มุมห้องด้านหนึ่งติดกับหน้าต่างเป็นมุมของขาใหญ่ ชดนอนหลับอยู่ นิดนอนอยู่ห่างไปเล็กน้อย เก็บมือเก็บเท้ามีท่าทางระวังระไว นิดเหลือบดูเห็นชดนอนกรนเบาๆ ก็เบาใจลงบ้าง พยายามข่มตาหลับ ทันใดชดก็พลิกตัวมาแนบชิด แขนขากอดนิดราวกับหมอนข้าง นิดเบิกตากว้าง นอนตัวแข็ง ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำอย่างไร
เพียงครู่หนึ่ง ชดก็พึมพำงึมงำพลิกตัวกลับไปอีกด้าน นิดถอนหายใจเฮือกใหญ่
ตลาดท่าเรือจันทบุรี ธันวาคม พ.ศ.๒๔๘๑
ตลาดท่าเรือจันทบุรีเป็นตึกแถวงดงามผู้คนติดต่อซื้อขายขึ้นล่องกันขวักไขว่ ตึกแถวร้านหนึ่งเป็นร้ายขายส่งสินค้า เชิดกำลังยืนคุยกับคนจีนเจ้าของร้าน ทางด้านหลังคนงานกำลังขนกระสอบพริกไทยกันอยู่
“ลื๊อเป็นไงบ้าง อาเชิด”
“ก็สบายดี เถ้าแก่”
“มาอยู่นี่หลายเดือนแล้ว ลื้อไม่คิดจะกลับไปสีชังบ้างเหรอ”
เชิดนิ่งอั้นไป
ที่หน้าร้าน แก้วในชุดเสื้อกางเกงสวมหมวกดูเป็นสาวสมัยเมืองกรุงเดินมากับบุญมาที่แต่งชุดเดินทางหิ้วกระเป๋าใบใหญ่
“บ้านเธอไปทางไหนเหรอ”
แก้วหน้าเหรอ แล้วทำเจนถิ่น
“บ้านฉันน่ะเหรอ แค่ถามใครว่า บ้านศาลจังหวัดไปทางไหน ใครก็รู้จัก”
“เอ้า ถามก็ถาม”
บุญมามองไปมาจะหาถามคน แก้วมองตามไปแล้วตาเบิกโพลง เมื่อเห็นเชิดเดินออกมาจากร้านกับจีนเถ้าแก่ บุญมาจะเข้าไปหาเชิด เชิดก็มองมาพอดี แก้วตกใจสุดขีด แล้วทำสะดุดโผเข้าซบอกบุญมา
“เฮ้ย อะไร”
แก้วทำซบอยู่นาน ซ่อนหน้า บุญมางงๆ เชิดกับเถ้าแก่มองดู เก้าแถ่ส่ายหัวดิก
“ท่าทางคงเป็นคนกรุงเทพฯ แน่ๆ”
“กอดกันกลางตลาด ไม่อายฟ้าอายดิน” เถ้าแก่ว่า
เถ้าแก่กับเชิดเดินไป บุญมาเอาสองมือจับต้นแขนแก้วแล้วดันออก
“เธอเป็นบ้าอะไรของเธอ อย่าบอกนะว่าเธอพิศวาสฉัน”
“เชอะ อย่าหลงตัวเองนักเลย”
สามล้อคันหนึ่งแล่นมาพอดี แก้วรีบโบกมือเรียก
“สามล้อๆ จอดก่อน”
บ้านพลวงพินิจเป็นเรือนปั้นหยาขนาดใหญ่ สาวใช้สาวใหญ่ท่าทางเหมือนชาวบ้านเดินลงบันไดมา คนสวนพาแก้วกับบุญเข้ามา แก้วมองดูรอบๆ สาวใช้ยกมือไหว้ แก้วและบุญมารับไหว้ แก้ววางท่าสูงศักดิ์
“นี่ผู้คนไปไหนกันหมด”
“อ๋อ คุณหลวงกับคุณนายไม่อยู่เจ้าค่ะ พาเจ้าคุณธรรมนูญไปเที่ยวเขาสอยดาวค่ะ”
แก้วมีอาการร้อนใจ
“แล้วจะกลับกันมาเมื่อไหร่”
“อีกสองหรือสามวันเจ้าค่ะ”
“แย่แล้ว”
“นี่คุณมีธุระกระไรเจ้าคะ”
แก้วหน้าเหรอ
“อ้าว ทำไมเธอไม่รู้จักคุณหนูเจ้าของบ้าน” บุญมาว่า
สาวใช้ถึงกับหน้าเสีย
“เอ่อ บังเอิญอิฉันกับผัวเพิ่งมาอยู่ใหม่เจ้าค่ะ”
แก้วโล่งอก สมใจเป็นอย่างยิ่ง
“ฉันชื่อคุณหนูแก้วขึ้นไปเปิดห้องหับให้ฉันที อ้อ ที่เรือนคนใช้น่ะมีห้องว่างไหมให้คนติดตามฉันไปอยู่ที่นั่น”
“เรื่องอะไร ไม่เอา” บุญมาว่า
“นี่ ฉันเป็นสาวเป็นนาง เป็นคุณหนูของบ้าน ให้เธออยู่บนเรือนฉันก็โดนครหาตาย เอาล่ะ ก็ได้ ไปเปิดห้องรับรองแขกให้นายคนนี้ที”
แก้วเดินเชิดขึ้นเรือนไป บุญมายืนงง จากไม่เชื่อเลยกลายเป็นเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ร้านสรรค์ศิลป์ตั้งอยู่ที่ตึกแถวไม้ซึ่งสร้างอย่างดงามประณีตเป็น ๓ คูหาทะลุถึงกัน สรรค์ เสวก สุวลี ธนาเดินดูรอบๆ อย่างพิจารณา
“ตั้งสามคูหาเลยหรือนายสรรค์” เสวกว่า
“เดิมน่ะ เจ็กมาเช่าทำเป็นเหลาขายดิบขายดี อยากจะซื้อตึกไว้เองแต่คุณพ่อไม่ยอมขาย ตอนนี้เลยไปซื้อตึกตรงสามแยกเปิดเหลาใหม่ ใหญ่กว่าที่นี่อีก”
“พวกเจ๊กนี่ค้าขายเก่งจริงๆ ว่ะ” เสวกว่า
เสวกพูดอย่างชื่นชมจริงๆ แต่ธนารู้สึกว่าถูกกระทบจึงนิ่งขึง ปากยิ้มนิดๆ
“เจ้าคุณพ่อน่ะบ่นให้ฉันฟังอยู่เรื่อยว่า หากคนไทยยังเอื่อยเฉื่อยเอ้อระเหยอยู่อย่างนี้ ต่อไปกิจการค้าไทยต้องตกอยู่ในมือเจ็กหมดเป็นแน่”
สุวลีมองธนาแล้วเข้ามาบีบแขนเสวกพูดเบาๆ
“คุณพี่คะ”
“อ้าวลืมไป คิดว่ามันเป็นผู้ดียุโรป ขอโทษทีคุณธนา ความจริงเจ้าคุณพ่อกับผมไม่ได้มีอคติอะไรกับคนจีนหรอกนะออกจะชื่นชมด้วยซ้ำ ที่ท่านว่าน่ะคือคนไทยต่างหาก”
ธนายิ้มนิดๆ แต่ดวงตากลับเย็นนิ่งเหมือนงูพิษ
“ไม่เป็นไรครับ”
“แล้วคนไทยเอื่อยเฉื่อยที่เจ้าคุณพ่อว่า ก็ไม่ใช่ใครหรอกค่ะก็คือคุณพี่นั่นแหละ”
สุวลีแก้สถานการณ์ให้บรรยากาศดีขึ้น เสวกหัวเราะ
“ก็ใช่น่ะซี เฮ้อ...จนป่านนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าอยากทำงานอะไร”
“ดูแล้วสรรค์คิดว่ายังไงคะ”
“ผมคงกั้นเป็นคูหาเดียวน่ะสุ ทำร้านเล็กๆลงทุนไม่เท่าไหร่ จัดการดูแลง่าย”
ธนาก้าวเข้ามา
“ผมขออนุญาตออกความเห็นนะครับ .. ผมว่าคุณสรรค์น่าจะใช้ทั้งสามคูหาเลย ชั่นล่างนี่ทำเป็นแกลลอรี่แสดงภาพ ทางมุมนั้นทำเป็นทีรูม กับเบเกอร์รี่เล็กๆ เหมือนอย่างในยุโรปไงครับ”
สุวลีตาวาว
“น่าสนใจนะคะ สรรค์”
“เออ เข้าท่าดี .. ฉันจะได้แวะมาคุยกับแก” เสวกว่า
“แต่ผมว่าออกจะใหญ่โตเอิกเกริกเกินไป”
“ตามหลักการค้า คุณกำลังเปิดตัวทำธุรกิจที่ไม่มีใครรู้จัก คุณต้องเรียกร้องความสนใจให้ได้ตั้งแต่แรก .. ถ้าเขาสนใจแล้ว ต่อจากนั้นมันถึงจะขึ้นอยู่กับฝีมือคุณ”
สรรค์นิ่งชั่งน้ำหนัก สุวลีวาดภาพตามที่ธนาพูดก็ชอบใจเพราะค่อยสมศักดิ์ศรี ส่วนเสวกชอบใจ เพราะนึกถึงที่สังสันทน์แห่งใหม่
เวลากลางวัน ในแปลงผักสวนครัว ด้านหนึ่งมีร้านให้บวบขึ้นพัน ผักบวบห้อยระย้า ดอกบวบออกดอกพราวไปหมด นิดจิตใจปลอดโปร่ง ฮัมเพลงเบาๆ
เสียงฮัมนั้นหวานวิเวกดังไปทั่วบริเวณนั้น ชดเดินส่ายอาดๆ มาพร้อมกับลูกน้องที่ตัวเล็กแต่ข้อกางชะงักกึกฟัง นิดเริ่มร้องเนื้อเพลง คำนั้นชัดเจนไพเราะ ชดอ้าปากค้าง
เวลากลางคืน ที่บันไดระเบียงเรือนหอ ชดนั่งขาถ่างสุดหล้าอยู่กับนิดที่นั่งตัวลีบ
“หนูนิดจะต้องไปขึ้นศาลวันไหน”
“วันมะรืนนี้จ้ะ”
ชดพยักหน้า
“ฉันเองวันมะรืนก็จะพ้นโทษแล้ว ฉันจะไปเป็นกำลังใจให้หนูนิดที่ศาลด้วย”
“ขอบใจจ้ะ พี่ชด”
“ถ้าหนูชนะคดี และยังไม่มีที่ไป ฉันอยากให้หนูไปอยู่กับฉัน”
ประไพกับ ๒ สมุนเดินมาได้ยินก็ชะงักกึกชนกันหัวทิ่มหัวตำ ซุบซิบกันเซ็งแซ่
“หนูนิดทั้งสวยทั้งร้องเพลงเพราะ ฉันจะสอนหนูนิดทุกอย่างให้หนูเป็นนางเอกของฉัน ตกลงนะหนู”
ประไพทำหน้าขยะแขยง
“ว๊าย ฉิ่งฉับกรับโหม่ง”
“ลักเพศ” สมุนคนหนึ่งว่า
อีกคนบอก
“บัดสี บัดเถลิง”
นิดหน้าแดง อึกอัก
“พี่ชดจ๊ะ ฉันขอบใจที่พี่ดีกับฉันคอยช่วยเหลือปกป้องฉันมาตลอดที่ฉันอยู่ที่นี่ แต่ฉันคงไปอยู่กับพี่ชดไม่ได้”
“ทำไม”
“ฉันมีคนรักแล้ว ฉันคงคบหาพี่ชดแบบ..แบบคู่รักไม่ได้”
นิดอึกอักตัดสินใจพูด ชดเหลือกตาโพลง
“หา หนูนิด นี่หนูนิดคิดว่าฉันเป็นกะเทย เป็นพวกเล่นเพื่อนหรือ”
นิดอึ้งไป ประไพตอบแทน
“อ้าว ก็ไม่ใช่เหรอ”
ชดบอก
“ปู้โธ่ เฮ้อ....ฉันก็ลืมไปว่าสารรูปฉันเป็นอย่างงี้ แล้วฉันก็ลืมตัวคิดว่าฉันยังเฟื่องฟู ใครต่อใครรู้จักฉันอยู่”
“ขอโทษเถอะจ้ะ พี่ ฉันไม่รู้จริงๆ”
“ฉันน่ะเป็นพระเอก เป็นนายโรง เป็นเจ้าของคณะละครบันเทิงไทยสิบกว่าปีก่อนน่ะ ไม่มีใครไม่รู้ แต่ตอนนี้ฉันมันก็แก่ตัวลง สังขารมันก็ไม่เหมือนเดิม คณะละครฉันตอนนี้ก็เลยลุ่มๆ ดอนๆ”
“แปลว่าที่พี่ชดทำท่าเป็นผู้ชาย นี่ก็ติดมาจากละครหรือจ๊ะ”
“ก็เออน่ะสิ ...นี่รู้ไหมล่ะ ว่าทำไมฉันต้องมาติดคุก”
“ทำไมจ๊ะ”
“ก็เพราะผัวฉันมันเจ้าชู้ เล่นหูเล่นตากับอีตัวเบ็ดเตล็ด ฉันก็เลยตบนังนั่น แล้วเอาเลือดหัวผัวฉันออกน่ะซี”
ชดค้อนควักแต่ก็ยังดูแมนอยู่ ประไพกับสมุนหมดอารมณ์ นิดหัวเราะ ออกมาเต็มเสียง
ภายในห้องนอนของคุณหญิงมะลิ หลวงจินดาเปลือยอกนั่งเอนพิงพนักเตียง คุณหญิงผ้าผ่อนหลุดลุ่ยเอนพิงอยู่ในอ้อมอกกรายมือดูแหวนเพชร
“ป่านนี้นังนิดคงร้องไห้ น้ำตาเช็ดหัวเข่า อยู่ในตาราง”
“โธ่เอ๋ย น่าสงสาร” หลวงจินดาว่า
“นี่คุณหลวงพูดดีๆ นะ พี่ยังหลงใหลได้ปลื้มมันอยู่หรือ”
จินดาไม่ทันตอบก็มีเสียงทุบประตูโครมคราม
“คุณแม่ขา คุณแม่”
หลวงจินดาตะกายลุกผุ่งวิ่งวุ่นอยู่หน้าเตียง คุณหญิงมะลิคว้าเสื้อคลุมลูกไม้มาสวมให้เรียบร้อย
บริเวณทางเดินหน้าห้อง ช่อผกาแต่งตัวอย่างจะไปเที่ยว ยืนหน้างออยู่ เมื่อประตูไม่เปิดก็เคาะซ้ำ
“คุณแม่ขา”
ประตูเปิดออก คุณหญิงมะลิสวมเสื้อคลุมก้าวออกมา
“แม่คุณ แม่ทูนหัว .. แม่ปวดศีรษะกำลังงีบอยู่”
“แหม ..ทำไมหมู่นี้ คุณแม่ไม่สบายบ่อยจังคะ แต่ เอ๊ ตะกี๊ช่อได้ยินเหมือนเสียงใครในห้องคุณแม่”
ช่อผากเดินพรวดเข้ามาในห้อง คุณหญิงมะลิตาเหลือกรีบก้าวตามไป
ช่อผกาเดินดิ่งมาในห้องพลางกวาดตามอง คุณหญิงก้าวตามใจหายวาบ
“ช่อได้ยินเหมือนเสียงผู้ชาย”
คุณหญิงมะลิสะดุ้งเฮือกชี้ไปนอกหน้าต่าง
“เสียงเจ้าประสงค์น่ะสิ อยู่ในสนามข้างล่างน่ะ”
ที่ใต้เตียง หลวงจินดายังคงเปลือยอกนอนพังพาบอยู่
“เสียงไม่เหมือนเจ้าประสงค์ค่ะเหมือนหลวงจินดามากกว่า”
หลวงจินดาสะดุ้งเฮือกมองไปเห็นกางเกงในขาสั้นผ่าหน้าติดกระดุมตกอยู่ก็ใจหายวาบ
“หลวงจินดากระไรจะมาอยู่ในห้องแม่”
“อยู่นี่เอง”
ช่อผกาถลามายังเตียง คุณหญิงมะลิใจหายวาบ หลวงจินดาแทบช็อก ช่อผกาคว้ากระเป๋าสตางค์ที่โต๊ะหัวเตียง พลางนั่งโครมลงและเปิดกระเป๋าหยิบเงินมา
ที่ใต้เตียงขี้ฝุ่นร่วงพรูลงหัวหลวงจินดา คุณหลวงทำท่าจะไอแต่รีบตะครุบปากไว้
“หนูเอาไปร้อยนึงนะคะ”
“ซื้ออะไรเป็นร้อยเป็นชั่ง เอาไปห้าสิบบาทพอ”
คุณหญิงมะลิคว้ากระเป๋ามาหยิบเงิน ช่อผการับเงิน คุณหญิงเหลือบไปเห็นกางเกงในของหลวงจินดาเลยรีบเหยียบไว้ ใช้ส้นเท้าตวัดกางเกงในเข้าใต้เตียง ส้นเท้ากระแทกโดนหน้าหลวงจินดา
ที่ใต้เตียง หลวงจินดาตะครุบปากเอาไว้อีกครา เพราะเจ็บจนน้ำตาเล็ด ช่อผกาได้เงินก็ถลาร่อนออกจากห้องไป
“หนูไปก่อนนะ จะซื้อของเผื่อคุณแม่ค่ะ”
คุณหญิงมะลิถลาตามไปปิดประตูลงกลอน หลวงจินดาคลานลงจากใต้เตียงคลำคางป้อยๆ
“ว๊าย คุณเจ้าหลวง โดนอะไรเข้าคะ”
“โดนส้นตีน เอ๊ย ส้นเท้า คุณหญิงน่ะซีขอรับ”
มีเสียงรถยนต์มารับช่อผกา คุณหญิงมะลิไปที่ระเบียงชะเง้อดู หลวงจินดาตามมา
“รอดตัวไป .. พรุ่งนี้ คุณหญิงจะต้องขึ้นศาลแล้วใช่ไหมขอรับ”
“ค่ะ”
“แล้วถ้านังนิดมันพูดถึงเรื่องเราล่ะขอรับ”
“อุ๊ย นังคนนี้มันรักท่านเจ้าคุณยิ่งกว่าพ่อ มันไม่พูดอะไรให้ท่านเจ้าคุณเสื่อมเสียหรอกค่ะ”
“งั้นเราก็ลอยตัว”
หลวงจินดาโอบมะลิทางด้านหลังจูบซอกคอ คุณหญิงทำระริกระรี้ หลวงจินดาตวัดอุ้มและก้มลงจูบอีกครั้ง
ที่หน้าบ้านหลวงพินิจในเวลาเย็น รถยันต์สองคันแล่นเข้ามาในบริเวณบ้าน รถคันแรกจอดลง คนขับลงมาเปิดให้พระยาธรรมนูญ หลวงพินิจและภรรยาลงมา ส่วนคันหลัง บรรดาคนรับใช้หญิงชายลงตามมาอีก สาวใช้สาวใหญ่วิ่งถลาจากบนเรือนลงบันไดมาต้อนรับ
แก้วแอบดูอยู่เหนือบันได หน้าซีด แต่ตัดสินใจเด็ดขาด บุญมาตามมาที่ข้างหลัง แอบดูแก้วอีกที
ด้านล่าง สาวใช้เข้าไปหาหลวงพินิจและภรรยา
“คุณหลวงเจ้าขา คุณหนูแก้วกิริยามาเยี่ยมบ้านเจ้าค่ะ”
“หา ใครนะ”
“ก็ลูกสาวโทนคุณหลวงไม่ใช่หรือคะ มาจากบางกอก”
“ลูกสาวโทนอะไร ฉันมีแต่ลูกชาย”
ด้านบน แก้วกัดริมฝีปาก บุญมาโคลงหัว
“กูว่าแล้ว”
แก้วก้าวลงบันไดมา บุญมาตามติดมาด้วย หลวงพินิจกับเมียมองแก้วหัวจรดเท้า พระยาธรรมมนูญทำตาปริบๆ
“นี่น่ะนะ ลูกสาวฉัน”
“หรือว่าคุณหลวงไปไข่ทิ้งไข่ขว้างเอาไว้” ภรรยาว่า
“นี่แม่คู๊ณ ฉันไม่ใช่นกกระทานะ”
แก้วก้าวไปแล้วทรุดลงตรงหน้าพระยาธรรมนูญ หมอบกราบลงกับพื้นเงยหน้าขึ้นมองวิงวอน
“ท่านเจ้าคุณเจ้าขา นิดถูกคุณหญิงมะลิใส่ร้ายถูกตำรวจจับไปเจ้าค่ะ ท่านช่วยนิดด้วยนะเจ้าคะ “
พระยาธรรมนูญทำหน้าตาตกใจ แก้วมองอย่างวิงวอน บุญมามองดูมีอาการหมั่นไส้ระคนเห็นใจ
จบตอนที่ ๑๗
หมายเหตุ - ผู้เรียบเรียง
๑ - ๒ - ๓ สาเหตุที่บุญมารู้สึกคุ้น เพราะเป็นชื่อจากวรรณคดี (แก้วกิริยา - ขุนช้างขุนแผน) และชื่อจากหัสนิยายเรื่องพล นิกร กิมหงวนหรือ “สามเกลอ (กิมหงวน - กิมไซ) ประพันธ์โดย ป. อินทรปาลิต จัดพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๒
สาวน้อย ตอนที่ ๑๘
ศาลแขวงพระนครใต้ ห้องพิจารณาคดีในเวลากลางวัน ศาลขึ้นนั่งบัลลังก์ คดีลักทรัพย์ของนิดเป็นเพียงหนึ่งในหลายคดีที่พิจารณาในวันนี้
ฝ่ายโจทก์คือคุณหญิงมะลินั่งอยู่ทางหนึ่ง นิดในชุดนักโทษที่ถูกคุมตัวอยู่ทางหนึ่ง มีผู้มาร่วมฟังการพิจารณาคดีไม่มากนัก แต่ในหมู่คนมีมารศรีนั่งเด่นอยู่ ลัดดาและผู้กองมารอให้การ ลัดดาขึ้นเป็นพยานโจทก์ให้การอัยการซัก ลัดดาหน้าบานเท่าจานเชิงให้การคล่องแคล่วเหมือนซ้อมมาอย่างดี
“ในวันนั้น ท่านเจ้าคุณกำลังจะออกเดินทางไปจันทบุรี ดิฉันวิ่งวุ่นรับใช้อยู่ที่ห้องกลางชั้นบน ดิฉันเผอิญเดินไปที่หน้าต่างมองลงไป”
วันนั้น ... ในห้วงความคิดของลัดดา เธอแต่งตัวงดงาม สวมเครื่องทองสะพรั่งเดินถือผ้าขนหนูผืนเล็กไปสะบัดฝุ่นที่หน้าต่างมองลงไปข้างล่างยังเรือนคนใช้ก็แปลกใจเกินปรกติ เพราะที่ระเบียงเรือนคนใช้ นิดกำลังไขกุญแจห้องตัวเองอย่างมีพิรุธพลางเหลียวซ้ายแลขวาในมือกำผ้าเช็ดหน้าไว้
“ดิฉันเห็นแม่นิดไขกุญแจห้องตัวเองมือไม้สั่นจนห่อผ้าในมือหล่น”
ห่อผ้าในมือนิดหล่นลงพื้น ผ้าคลี่ออกเห็นแหวนเพชรของคุณหญิงมะลิกลิ้งออกมา เพชรส่องแสงวูบราวแสงเฮ้ากวง นิดรีบตะครุบขึ้นแล้วเหลียวซ้ายแลขวาเดินเข้าห้องปิดประตู
ศาลฟังอย่างผ่านๆ ลัดดาและอัยการยิ้มย่อง สบตาคุณหญิงมะลิที่ยิ้มละไมแล้วหันมาพยักหน้ากับผู้กอง
นิดหน้าซีดเผือดมองลัดดานิ่ง ลัดดาปรายตามาสบตานิดแล้วเชิดหน้า
“พอคุณหญิงมาเอะอะขึ้นเรื่องแหวนเพชรหาย ดิฉันถึงนึกได้เจ้าค่ะ”
นิดขึ้นให้การ อัยการยืนวางท่ามองนิดอย่างดูแคลน
“ไม่เป็นความจริงเจ้าค่ะ ในวันนั้นดิฉันคอยดูแลท่านเจ้าคุณไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับห้องคุณหญิงมะลิ และไม่ได้กลับไปห้องดิฉันเลย”
คุณหญิงมะลิเช็ดหน้า ลัดดามองค้อนควักนิด ผู้กองมองนิดพลางรำพึง ‘ผู้ร้ายปากแข็ง’
“กุญแจห้องอยู่กับดิฉัน แต่อีกคนที่มีกุญแจห้องนี้ก็คือ...คุณหญิงมะลิเจ้าค่ะ”
คุณหญิงมะลิเลิกคิ้ว ลัดดาเปรย ‘อีหัวหมอ’ มารศรียิ้มมองมาที่นิดอย่างให้กำลังใจ
“เรื่องขโมยแหวนจึงเป็นเรื่องที่คุณหญิงมะลิสร้างเรื่องขึ้นเพื่อใส่ร้ายดิฉัน”
คุณหญิงมะลิเชิดหน้าอย่างไม่แยแส ผู้คนซุบซิบกันอื้ออึงขึ้น ศาลมองนิดอย่างเริ่มสนใจขึ้นมา
นิดสงบนิ่ง ดวงตาวาวอย่างไม่ยอมคนอีกต่อไป
มะลิขึ้นให้การทำหน้าเศร้า
“ดิฉันไม่คิดเลยว่าจะมาทำบุญบูชาโทษ โปรดสัตว์ได้บาปถึงเพียงนี้ ...ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่ดิฉันผู้มีเกียรติยศเกียรติศักดิ์จะมาใส่ร้ายคนที่มีฐานะต่ำต้อยเพียงบ่าวในบ้าน”
ผู้คนซุบซิบฮือฮากัน
นิดต้องขึ้นให้การอีกครั้ง นิดมองศาล
“เหตุผลนั่นก็คือ....ดิฉันไปล่วงรู้ความลับของคุณหญิงเข้า”
นิดมองคุณหญิงมะลิที่ตาวาวแต่ยังสงบอยู่ ลัดดาพึมพำ ‘ความลับอะไรยะ’ ผู้คนอื้ออึงอีกครั้ง
“ความลับนั่นก็คือ”
คุณหญิงมะลิเริ่มหน้าเสีย กระสับกระส่าย มารศรีลุ้น .. อยากให้นิดพูดเรื่องคุณหญิงคบชู้
นิดขยับปากจะพูดแล้วก็นึกถึงพระยาธรรมนูญที่หัวเราะและลูบศีรษะนิดอย่างเอ็นดู นิดดวงตาอ่อนแสงลง แล้วตัดสินใจพูดอีกครั้ง
“คุณหญิงมะลิมีหลานสาวคนหนึ่งซึ่งได้หมั้นหมายกับชายคนหนึ่ง แต่ชายคนนั้นมารักและแต่งงานกับดิฉัน”
คุณหญิงมะลิอ้าปากค้างเพราะไม่คิดว่านิดจะรู้ อีกครึ่งใจก็โล่งอกที่ไม่ถูกแฉเรื่องคบชู้ ลัดดาฟังแล้ว งงเป็นไก่ตาแตก ผู้กองเริ่มสองจิตสองใจ ผู้คนฮือฮาซุบซิบกัน มารศรีมองนิดอย่างแปลกใจว่านิดจะมาไม้ไหน ศาลฟังนิดอย่างสนใจมาก
“ในตอนนี้ชายคนนี้เลิกรากับดิฉันไปคืนดีกับหลานคุณหญิงแล้ว แต่คุณหญิงและหลานสาวยังอาฆาตแค้นอยู่จึงวางแผนให้คุณหญิงรับดิฉันเป็นคนรับใช้ และลงท้ายก็ใส่ร้ายเพื่อให้ดิฉันต้องติดคุก”
“ว้าย จริงหรือคะ” ลัดดาถาม
“ไม่จริงค่ะ ไม่จริง”
ศาลอดรนทนไม่ไหว
“ขอให้จำเลยบอกชื่อของชายคนนั้นและชื่อหลานสาวคุณหญิงด้วย”
นิดนิ่งอึ้ง มารศรีมองนิด พยักหน้าน้อยๆ นิดนิ่งอึ้งและลังเล
“ดิฉัน”
คุณหญิงมะลิแน่ใจว่านิดไม่กล้าบอกจึงเริ่มเชิดหน้าขึ้นมาใหม่แล้วยิ้มเยาะ
“ว่ายังไง” ศาลถาม
มารศรีขยับปากแม้รู้ว่านิดไม่ได้ยิน
“บอกไปเถอะนิด บอกสิ”
นิดลังเลสับสนและตัดสินใจ
“ดิฉันบอกไม่ได้เจ้าค่ะเพราะดิฉันไม่ต้องการให้เขาและหลานสาวคุณหญิงต้องมาเสื่อมเสียชื่อเสียงเพราะดิฉัน”
อัยการยิ้มเยาะแล้วบอก
“ แต่ฉันคิดว่าเพราะผู้ชายคนนั้นและหลานสาวคุณหญิงไม่มีตัวตนมากกว่า”
คนในศาลเริ่มอื้ออึงอีก ความเห็นแตกออกเป็นสองฝักสองฝ่าย
“ฉันขอร้องให้หนูพูดออกมา”
“ดิฉันบอกไม่ได้จริงๆ ค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นก็เท่ากับหนูไม่มีหลักฐานใดๆ ที่จะหักล้างคำกล่าวหาได้เลย”
คุณหญิงมะลิสาสะใจ ลัดดายิ้มประจบ มารศรีมองนิดอย่างผิดหวัง
“เจ้าค่ะ ดิฉันขอยอมแพ้จะไม่ขอต่อสู้ใดๆ ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการใส่ร้าย หรือการสร้างพยานเท็จของคุณหญิง”
ผู้คนมองดูคุณหญิงมะลิและลัดดา
“เธอทำให้ฉันหนักใจจริง”
“ขอบพระคุณที่ใต้เท้ากรุณา แต่ดิฉันเตรียมพร้อมแล้วค่ะที่จะฟังคำพิพากษาจากศาล”
ศาลถอนหายใจ มารศรีลุกขึ้นก้าวออกมา
“จำเลยให้ชื่อชายคนนั้นและหลานสาวคุณหญิงไม่ได้ แต่ดิฉันให้ได้ค่ะ”
ศาล อัยการ คุณหญิงมะลิ ลัดดาหันไปมองมารศรี ผู้คนฮือฮากันวุ่นวาย นิดมองดูมารศรีอย่างวิงวอน
“อย่าค่ะ คุณ อย่านะคะ”
คุณหญิงมะลิมองมารศรีตาวาว มารศรีมองนิด
“แต่ว่าเธอ...”
“ได้โปรดเถอะค่ะ คุณ .. หนูขอร้อง”
อัยการก้าวเข้ามา
“ว่าอย่างไร ถ้าไม่มีอะไรพูดก็ขอให้ถอยไป”
มารศรีลังเล นิดมองด้วยสายตาวิงวอน มารศรีถอยไป คุณหญิงมะลิยิ้มเยาะ ศาลถอนใจแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงอันดัง
“ถ้าเช่นนั้น...”
“ข้าแต่ศาลที่เคารพ ข้าพเจ้าขออนุญาตให้การเป็นพยานฝ่ายจำเลย”
ศาลมองไปเห็นพระยาธรรมนูญยืนเด่น คุณหญิงมะลิอ้าปากค้างตกตะลึงพรึงเพริด ลัดดาร้องว้าย นิดมองพระยาธรรมนูญน้ำตาคลอ
“ท่านเจ้าคุณธรรมนูญภักดี”
บริเวณถนนข้างศาลแขวงพระนครใต้ แก้วยืนชะเง้อมองไปในศาล เห็นตำรวจยืนเรียงราย บุญมายืนมองแก้วอย่างหมั่นไส้
“เป็นเจ้ากี้เจ้าการถึงขนาดนี้ ทำไมถึงไม่เข้าไปดูเข้าในล่ะ”
แก้วรีบแก้ตัว
“ข้างในดูอุดอู้ ฉันไม่เข้าไปหรอกรอฟังข่าวอยู่ข้างนอกก็ได้”
“เธอกลัวตำรวจต่างหาก” บุญมาพูดดักคอ
“เปล่านะไม่ได้กลัว”
แก้วมีพิรุธอย่างชัดเจน บุญมายิ้มเยาะ
“นี่ เธอจะรอฟังการตัดสินอยู่ตรงนี้ใช่ไหม”
“อือ”
“เดี๋ยวฉันแวะไปโรงพิมพ์ประเดี๋ยวนึงแล้วจะรีบกลับมา เธออย่าเพิ่งไปไหน ฉันยังมีเรื่องต้องสอบสวนทวนความเธออีกเยอะ”
“จะไปก็ไปซี พูดมากจริง”
บุญมาชี้หน้าคาดโทษแล้วเดินไป แก้วเชิดใส่มองตาม แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นอ่อนลงมีความชื่นชมอยู่นิดหนึ่ง แล้วก็หันมาชะเง้อเข้าไปในศาลใหม่
ภายในห้องพิจารณา
“ในตอนเช้าวันเกิดเหตุ ข้าพเจ้าออกมาที่ห้องกลางชั้นบนเห็นคุณหญิงมะลิยืนอยู่ที่หน้าต่าง มองไปด้านเรือนคนใช้”
คุณหญิงมะลิยืนอยู่ตรงหน้าต่างมองลงไปยังหน้าต่างเรือนคนใช้ พระยาธรรมนูญเดินไปข้างหลังมองดูบ้าง ที่เรือนคนใช้ ลัดดาไขกุญแจห้องนิดพลางเหลียวซ้ายแลขวาในมือมีห่อผ้าเช็ดหน้า คุณหญิงมะลิเพิ่งรู้ตัวสะดุ้งหน้าเผือดหันมา
“ว้าย เจ้าคุณพี่”
“ขวัญอ่อนจริง แม่มะลิ เอ...นั่นนังนั่นมันทำอะไร”
“ไม่มีกระไรหรอกค่ะ มานี่เถอะ”
คุณหญิงมะลิดึงพระยาธรรมนูญมา พระยาธรรมนูญหันไปมองอีกแว้บ
ลัดดาทำผ้าเช็ดหน้าร่วง แหวนเพชรร่วงออกมาส่องแสงเจิดจ้า
คุณหญิงมะลินั่งตัวแข็ง ลัดดาเหงื่อแตกหน้าเผือด ผู้คนทั้งหลายร้องฮือกันเซ็งแซ่ พระยาธรรมนูญพูดเรียบๆ แต่ดวงตาดุ
“และนังนั่นก็คือ นังลัดดา บ่าวคนสนิทของคุณหญิงมะลิภรรยาของข้าพเจ้า”
พระยาธรรมนูญชี้นิ้วไป ลัดดาผงะ คุณหญิงมะลิกัดริมฝีปากตัวเองแทบขาด
ศาล อัยการ ทุกคนมองไปที่ลัดดาและคุณหญิงมะลิแล้วพูดกันจนเซ็งแซ่ มารศรียิ้มสะใจ
นิดนั่งนิ่งน้ำตาคลอ ตำรวจศาลที่คุมอยู่ก็เปลี่ยนท่าที ผู้กองที่มาเป็นพยานโจทก์สบถออกมา มองคุณหญิงมะลิกับลัดดาอย่างโมโหเจ็บใจ
พระยาธรรมนูญมองไปยังลัดดา
“ฉันขอแนะนำให้แกสารภาพความจริงแก่ศาลให้หมดเดี๋ยวนี้”
คุณหญิงมะลิพูดเบาๆ
“อย่านะ”
ลัดดาลุกพรวดขึ้นระล่ำระลั่ก
“เจ้าค่ะ อิฉันเป็นคนเอาแหวนเพชรไปซ่อนในห้องนิด เพราะคุณหญิงจ้างอิฉันสามสิบบาทเจ้าค่ะ”
คุณหญิงมะลิลุกพรวดหน้าซีดปากสั่น
“โกหก”
ผู้คนในศาลร้องฮือ ศาลตวาดให้คุณหญิง ‘เงียบก่อนแล้วนั่งลงเดี๋ยวนี้’ ผู้กองมองคุณหญิงและลัดดาอย่างเจ็บใจ มารศรีลืมตัวลุกขึ้นยืน แทบจะตบมือ
“มันต้องอย่างนี้สิ!”
นิดยิ้มหันไปมองมารศรีแล้วมองพระยาธรรมนูญผู้ที่ทั้งอับอาย เจ็บใจ และดีใจที่มาช่วยทัน
ผู้คนคงส่งเสียงอื้ออึง ศาลกุมขมับ
ที่หน้าศาลแขวงพระนครใต้ นิดก้าวออกมาด้านในแต่จิตใจยังไม่ปลอดโปร่งนัก มารศรีและแก้วยืนรออยู่ นิดก้าวไปพร้อมกับวางกระเป๋าเดินทางลงแล้วกอดแก้วไว้
“นิด ดีใจจังเลยแกไม่ติดคุกแล้ว”
นิดผละออกจากแก้วพนมมือไหว้มารศรี มารศรียิ้มขัดเขินเล็กน้อย
“ขอบพระคุณค่ะที่คอยช่วยนิด”
“ฉันน่ะแทบไม่ได้ช่วยอะไรเธอเลย แต่แม่แก้วนี่ซีเป็นคนไปตามเจ้าคุณธรรมนูญมาจากเมืองจันท์”
แก้วทำวางท่า นิดหันไปหาแก้วด้วยความแปลกใจ
“แก้วไปได้ยังไง”
แก้วรีบตัดบท
“ฮู้ย มือชั้นนี้แล้ว เรื่องมันยาวเอาไว้เล่าให้ฟังวันหลัง”
มีรถแล่นมาจอดเป็นรถทันสมัยดูดี เมื่อประตูหน้าเปิดออก คนขับรถเดินลงมา รูปร่างสูงสง่า สวมเชิร์ต กางเกงขายาวแต่ใบหน้าเห็นชัดว่าเป็นหญิง แก้ว นิด มารศรีหันไปดู
“พี่ชด”
ชดยิ้มก้าวเข้าไปหากลุ่มนิด แก้วประทับใจกับมาดของชด
“แม่นิด ฉันดีใจด้วยนะ”
“นี่พี่ออกมาแล้วหรือจ้ะ”
“ก็ออกมาแล้วซี ไม่งั้นจะมาอยู่นี่ได้ยังไง”
“พี่ชดจ๋า นี่คุณมารศรีผู้มีพระคุณของนิด นี่แก้วเพื่อนของนิดจากสีชัง นี่พี่ชดเจ้าของคณะละครบันเทิงไทยจ๊ะ”
“ยินดีที่ได้รู้จัก” ชดบอก
“ยินดีเช่นกันค่ะ” มารศรีบอก
“โอ้โฮ พี่นี่เต้ยไปเลย” แก้วว่า
“ฉันมาทวงคำตอบว่านิดจะไปอยู่กับฉันไหม”
มารศรียังงงๆ แก้วก็อึ้งๆ ทั้งคู่นึกว่าชดเป็นหญิงที่ชอบ ‘เล่นเพื่อน’ แก้วดึงแขนนิดเป็นเชิงท้วงแล้วกระซิบถามนิด
“จะดีหรือ แก”
นิดยิ้ม เพราะรู้แล้วว่าชดไม่ใช่อย่างที่คิด นิดพูดกับชดเสียงหวาน
“พี่ชดจ๋า นิดขอไปกราบลาท่านเจ้าคุณก่อนนะจ๊ะ”
ชดพยักหน้า แล้วหันมายิ้มใส่มารศรีกับแก้วด้วยมาดพระเอก ทั้งสองยิ่งหวั่นใจ
พระยาธรรมนูญก้าวเข้ามาในห้องโถงด้วยสีหน้าเย็นชา คุณหญิงมะลิมีสีหน้าบึ้งตึง คอเชิด ลัดดาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เดินย่อตัวมา ประสงค์เดินมารับไม้เท้า พระยาธรรมนูญไปนั่งลงบนเก้าอี้พลางส่งแฟ้มให้พระยาธรรมนูญพลิกดูเงียบๆ
คุณหญิงมะลิท่าทางไม่แยแสก็สุดทนคว้าโถลายครามทุ่มลงกับพื้นเฉียดลัดดาไป
“ว้าย แม่มึง”
ช่อผกากับหลวงจินดาโผล่มาจากด้านใน
“ว้ายอะไรกันคะ คุณแม่”
“ใต้เท้าคุณหญิง”
ที่บริเวณเทอเรซ เสงี่ยม ชื่น ถวิล คนสวนและเมียมานั่งกันสลอน ทุกคนรู้เรื่องคร่าวๆ จากเสงี่ยมที่แฉเมียและคุณหญิงมะลิอย่างหมดเปลือก ทุกคนกำลังนั่งฟังเหตุการณ์ในบ้านอย่างใจจดใจจ่อ
ภายในโถงบ้าน คุณหญิงมะลิยกเท้าถีบลัดดาไปพังพาบอยู่กับพื้น ลัดดาร้องไห้โฮ
“ฮือ คุณหญิงเจ้าขา”
“อย่ามาสำออย บีบน้ำตา นังงูพิษ นังทรยศ”
พระยาธรรมนูญปิดแฟ้มมองคุณหญิงด้วยสีหน้าเย็นชา ประสงค์ถอยไปยืนระวังหลัง หลวงจินดาทำหน้าเหรอหราบอก
“เอ้อ งั้นกระผมขอตัวกลับก่อนดีกว่า”
“ไม่ต้อง ...คุณหลวงอยู่ก่อนเถอะ”
พระยาธรรมนูญพูดเข้มจนหลวงจินดาชะงัก
ช่อผกาดึงจินดามายืนเบียด
“ท่านเจ้าคุณฉีกหน้าอิฉัน” คุณหญิงมะลิพูดขึ้น
“เธอต่างหากที่ฉีกหน้าฉันเสียย่อยยับในศาล ตระกูลธรรมนูญภักดีขึ้นชื่อเรื่องความบริสุทธิ์ยุติธรรม แต่คุณหญิงมะลิ ธรรมนูญภักดีกลับใส่ร้ายป้ายสี แต่งพยานเท็จขึ้นมาทำร้ายเด็กผู้หญิงเล็กๆ คนหนึ่ง”
คุณหญิงมะลิตัวสั่น หลวงจินดาเพิ่งรู้ว่า แผนใส่ร้ายนิดแตก ช่อผกาแกล้งทำตาโตตกใจยิ้มเยาะแม่
“โอ้ แผนใส่ร้ายนังนิดเกิดความแตกขึ้นมาซะแล้ว”
พระยาธรรมนูญมองช่อผกาอย่างรังเกียจ อ้าปากจะดุ
“แม่ช่อ...”
คุณหญิงมะลิรีบพูดแซงก่อน
“หุบปากแกเดี๋ยวนี้นะ อีลูกบ้า”
ช่อผกาเชิดใส่อย่างไม่สนใจ
ภายในรถของชด นิดนั่งนิ่งมองไปเบื้องหน้า ใบหน้าขรึมอย่างคนใช้ความคิด ชดขับรถไปเรื่อยๆ แก้วยื่นหน้ามาเกาะพนักเบาะหน้าแล้วถาม
“นิด....แกเป็นอะไร”
“เปล่า”
“จะคิดมากไปทำไม นังหนู จำไว้นะ อะไรที่มันฆ่าเราไม่ได้จะทำให้เราแข็งเกร่งขึ้น”
แก้วทึ่งกับปรัชญาของชด นิดยิ้มนิดๆ
“จ้ะ พี่”
“เมืองกรุงอย่างนี้แหละเต็มไปด้วยพวกมิจฉาชีพ สิบแปดมงกุฎและพวกต้มมนุษย์”
“แต่พวกมิจฉาชีพที่หลอกต้มคนก็ยังไม่น่ากลัวเท่ากับพวกผู้ดีที่หลอกลวงฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
“ยิ่งนังคุณหญิงกะหลานสาวมัน” แก้วพูดเสริม
“จะเป็นไรไป มันหลอกเรา เราก็หลอกมันได้” ชดบอก
นิดมองหน้าชดแล้วพยักหน้ายิ้มกับตัวเอง
ที่เทอเรซ ชื่นยกมือไหว้ท่วมหัวแล้วพยักเพยิดกับถวิล เสงี่ยมมีสีหน้าเซ็ง คนสวนและเมียก็ซุบซิบ
นิด แก้ว และชดเดินเข้ามา โดยชดจอดรถอยู่นอกรั้วบ้าน
“แม่นิดแม่คุณทูนหัว พระคุ้มครองแล้ว”
ชื่นกับถวิลเข้ามากอดนิด นิดฟังความในบ้าน
คุณหญิงมะลิสีหน้าสลด ค่อยๆ ทรุดลงนั่งบนเก้าอี้และมองพระยาธรรมนูญอย่างวิงวอน
“ความจริงอิฉันไม่ใช่ตัวการนะคะ ตัวการคือหนูสุวลีต่างหาก อิฉันแค่หนังหน้าไฟ”
“คุณพี่มาเกี่ยวอะไรด้วย” ช่อผกาว่า
พระยาธรรมนูญรู้เรื่องนี้แล้วคร่าวๆ จากแก้วแล้ว แต่คุณหญิงมะลิยังตีหน้าเศร้า
“ที่อิฉันทำลงไปก็เพราะยายสุมาขอร้อง ยายสุเป็นคนวางแผนทุกอย่าง ตั้งแต่ให้อิฉันไปรับแม่นิดมา แม้กระทั่งเรื่องแหวนเพชรหาย ยายสุก็เป็นต้นคิดค่ะ”
นิดก้าวมายืนที่หน้าประตูห้อง ดวงตาวาวเมื่อได้ยินว่าสุวลีอยู่เบื้องหลัง พระยาธรรมนูญยิ้มนิดๆ ส่วนคุณหญิงมะลิ ช่อผกา และหลวงจินดายังไม่เห็นนิด
“ความจริงอิฉันเวทนาแม่นิด แต่ยายสุน่ะจองล้างจองผลาญแม่นิดบีบบังคับให้อิฉันทำ อิฉันน่ะไม่ได้มีเรื่องอะไรกับแม่นิดเลยจริงๆ”
“ไม่ใช่เพราะแม่นิดไปรู้เรื่องลี้ลับอะไรของเธอเข้าหรือ”
นิดแทบสะดุ้ง พระยาธรรมนูญมองหน้าคุณหญิงแล้วปรายตามาที่หลวงจินดา
“เรื่องลี้ลับ...เรื่องลี้ลับอะไร ไม่มีค่ะ”
พระยาธรรมนูญเรียก
“นิดเข้ามาสิ”
คุณหญิงมะลิกับช่อผกาหันขวับไป
“ว้าย นังตัวดี”
คุณหญิงมะลิใจหายวาบ หลวงจินดาเหงื่อแตกซิกเมื่อนิดก้าวเข้าไปห้องห้องโถง
“ใต้เท้า!”
นิดส่ายหน้าไม่ยอมพูด คุณหญิงมะลิลุกพรวด
“เรื่องดิฉันกับหลวงจินดาล่ะซีมันใส่ร้ายเพื่อแก้แค้นดิฉัน ท่านเจ้าคุณอย่าไปเชื่อมัน”
ช่อผกางงเป็นไก่ตาแตก ฝ่ายหลวงจินดาหน้าขาวซีดเหมือนกระดาษ
“ต้าย นังนิดแกใส่ร้ายคุณแม่หรือ”
“นังงูพิษ”
พระยาธรรมนูญภักดีลุกขึ้น
“งูพิษหรือ รู้เอาไว้ว่าแม่นิดไม่เคยปริปากเรื่องนี้ออกมาเลยซักคำเดียว มีแต่เธอเท่านั้นที่พ่นพิษออกมาเอง”
คุณหญิงมะลิอ้าปากค้าง
“ทั้งที่แม่นิดจะใช้เรื่องนี้สู้คดีในศาลได้แต่ก็ไม่ทำ แม่นิดเลือกติดคุกติดตะรางมากกว่าที่จะทำให้ฉันเสื่อมเสียชื่อเสียง”
นิดมองพระยาธรรมนูญที่มองตอบอย่างซาบซึ้ง
“ไม่จริง อิฉันไม่ได้ทำอะไร ถ้านังนิดไม่ใช่คนฟ้องอย่างงั้นใคร...”
หลวงจินดาวางหน้าไม่ถูก ช่อผกามองหน้าแม่กับหลวงจินดาสลับกันอย่างฮึดฮัดขัดใจ
ที่เทอเรซบรรดาคนใช้มองหน้าถามกันเซ็งแซ่ว่า ใช่เธอหรือเปล่าที่เป็นคนฟ้องหรือ ป้ารู้ว่าคุณหญิงเล่นชู้หรือ ชดยืนเอามือล้วงกระเป๋าเอียงคอฟัง แต่แก้วนั้นตาเบิกโพลงเพราะบันเทิงเรื่องนี้สนุกยิ่งกว่าฟังลำตัดซะอีก
พระยาธรรมนูญปรายตาไปที่ประสงค์ คุณหญิงมะลิกรี๊ดใส่
“แกหรือไอ้ประสงค์ ฉันทำอะไรให้แก แกถึงใส่ร้ายฉันกับคุณหลวง”
พระยาธรรมนูญตบไหล่ประสงค์ ประสงค์ยืดตัวดูมีสง่าราศีขึ้นมาทันที
“ประสงค์ไม่ใช่คนขับรถคนใหม่ แต่คือนักสืบเอกชนที่ฉันจ้างมาสืบดูพฤติกรรมของเธอ ที่ฉันจู่ๆ ไปเมืองจันท์ ก็เพราะประสงค์เป็นคนแนะนำ”
คุณหญิงมะลิหน้าซีดเผือดไปทันที
“แต่ฉันไม่คิดว่าเธอจะเล่นงานนิดตอนนั้นพอดี”
นิดถอนใจ พระยาธรรมนูญบอกนิด
“ฉันต้องขอโทษเธอด้วยที่แผนการของฉันทำให้เธอต้องเดือดร้อนไปด้วยถึงปานนี้”
“อย่าพูดอย่างงั้นเลยเจ้าค่ะ”
ช่อผกาก้าวออกมา
“ไม่จริงค่ะ ช่อไม่เชื่อ .. ไม่จริงใช่ไหมคะ เรื่องคุณแม่กับคุณหลวง .. คุณหลวงพูดซีคะว่าไม่จริง”
หลวงจินดาอึกอัก
“เธอดูเอาเองเถิด”
พระยาธรรมนูญผลักแฟ้มไถลเลื่อนมาตามความยาวของโต๊ะ ช่อผกาคว้าไว้ไม่ทัน แฟ้มรูปหล่นลงพื้นกระจายว่อนไปทั่ว
ลัดดาหยิบมาดูก่อนเพื่อนแล้วตาเหลือกร้อง “ว้ายคุณหญิง”
คุณหญิงมะลิตัวแข็งแล้วค่อยๆ หยิบรูป ช่อผกาค่อยๆ ย่อตัวลงแล้วหยิบรูปใบหนึ่งขึ้นมาดู
รูปถ่าย คุณหญิงมะลิกับหลวงจินดาคลอเคลียจูบกันที่ระเบียง
แก้ว ชื่น ถวิล เสงี่ยม คนสวนกับเมียสุมหัวกันดู ชดส่ายหัวดิกยืนอยู่ห่างๆ
เสียงช่อผการ้องกรีดก้องมาจากด้านใน
ภายในโถง ช่อผการ้องไห้ ทั้งโกรธ ทั้งเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“ฮือๆ คุณแม่ คุณแม่หน้าไม่อาย คุณแม่เล่นชู้”
ช่อผกากันมาใส่หลวงจินดา
“คุณหลวง คุณหลวงทำยังงี้ได้ยังไง”
ช่อผกาโผเข้าไปยกมือตบหน้าจินดา จินดาหลบทันฝ่ามือเลยไปโดนหน้าคุณหญิงมะลิ
คุณหญิงร้อง “ว้าย”
ช่อผกาตกใจ มะลิกุมแก้มอย่างโกรธ
“นังช่อ”
คุณหญิงมะลิตบฉาดสวนกลับมา ช่อผกาถลาไปกุมแก้มแล้วร้องวี๊ดเต้นเร่าๆ
พระยาธรรมนูญก้าวมาบอก
“พอๆ เสียที”
หลวงจินดามองทางหนีทีไล่แล้ววิ่งพรวดพราดออกประตูห้องไป ประสงค์ก้าวตาม
“อย่าหนีนะ คุณหลวง!”
สาวน้อย ตอนที่ ๑๘ (ต่อ)
หลวงจินดาวิ่งฝามาทางดงคนใช้และแก้วที่ล้อมกันอยู่จนแตกฮือแยกเป็นสองข้าง ร่างหนึ่งก้าวมาขวางไว้
“หลีกไป” หลวงจินดาบอก
ร่างนั้นชกสวนมาเข้าปลายคางของหลวงจินดาดังพล็อก คุณหลวงหงายหลังผลึ่งสิ้นสติไป ชดยืนเด่นชูกำปั้นค้าง
“โห พี่ เต้ยไปเลย”
ที่ห้องโถง คุณหญิงมะลิหมดสิ้นหนทางมองพระยาธรรมนูญอย่างวิงวอนพลางปาดน้ำตา
“ท่านเจ้าขาอิฉันผิดไปแล้ว อิฉันไม่ได้ตั้งใจ นี่เป็นความผิดครั้งแรก ท่านต้องเมตตาให้อภัยดิฉันนะเจ้าคะ”
พระยาธรรมนูญมีท่าทีอ่อนลง นิดเหลือบมองดู
“เธอแน่ใจนะว่าเป็นความผิดครั้งแรก”
“เจ้าค่ะ อิฉันไม่เคยทำผิด โป้ปดมดเท็จอะไรท่านเลย”
ช่อผการ้องเฮอะอีก พระยาธรรมนูญถอนใจ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้อย่างมั่นคง
“ถ้าเธอไม่เคยโป้ปดมดเม็จ งั้นบอกมาทีเถอะว่าแม่ช่อผกาน่ะเป็นลูกฉันหรือลูกใคร”
นิดตาเบิกกว้าง
คุณหญิงมะลิค่อยๆ ทรุดลงนั่งกับพื้น ช่อผกาหน้าซีดเผือดหมดฤทธิ์หมดเดชไปทันที
ช่อผกาพูดเสียงแผ่วเบา
“ไม่จริง ไม่จริงใช่ไหมคะคุณแม่ ไม่จริง”
คุณหญิงมะลินิ่งขรึม นิดมองพระยาธรรมนูญอย่างสงสารจับใจ แล้วมองดูคุณหญิงกับช่อผกาอย่างสลดใจ พระยาธรรมนูญนั่งนิ่งบนเก้าอี้ดูสงบและปลงตก ไม่ได้เป็นทุกข์เสียหน้าอย่างที่ทุกคนคิด
“ท่านเจ้าคะ”
“พอก่อนเถอะ”
ประสงค์กับเสงี่ยมหามหัวหามท้ายหลวงจินดาเข้ามาวางไว้กับพื้น คุณหญิงมะลิกับช่อผกามองอย่างรังเกียจ พระยาธรรมนูญลุกขึ้น
“นิดกับประสงค์ตามฉันมา”
พระยาธรรมนูญเข้าไปด้านในเพื่อขึ้นชั้นบน ประสงค์ตามไป นิดหยุดมองดูสองแม่ลูก คุณหญิงส่งสายตามองนิดอย่างจงชัง
“ทำไม แกยังจะยังไงกับฉันอีก .. นี่ยังไม่สาแก่ใจหรือ แกชนะแล้ว”
“มิได้เจ้าค่ะ ดิฉันแพ้แล้วต่างหาก”
“แกพูดอะไร”
“ช่วยเรียนคุณสุวลีว่าดิฉันขอยอมแพ้ เธอเป็นผู้ชนะ ดิฉันจะกลับไปสีชังและไม่กลับมาที่พระนครอีก ต่อจากนี้จะไม่มีเด็กบ้านนอกที่ชื่อนิดมาเกี่ยวข้องกับเธอและคู่หมั้นอีกต่อไป”
มะลินิ่ง งุนงน สีหน้านิดสงบนิ่ง หลุบตาลงเพื่อซ่อนแววแล้วเดินไป
ภายในห้องนิดที่เรือนคนใช้ นิดมาใช้ห้องนี้เป็นครั้งสุดท้าย กระเป๋าเสื้อผ้ายังคงวางอยู่ มีฟูกเผื่อสำหรับแก้วเพิ่มขึ้นมา นิดเปลี่ยนเสื้อเตรียมนอน แก้วใส่เสื้อผ้าของนิด ชุดเสื้อกางเกงของบุญมาถูกจัดให้แขวนตากอยู่
นิดนั่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้งตัวเล็กบนโต๊ะนิตยสารวางคว่ำหน้าอยู่ แก้วมองดูนิดแล้วถาม
“แกจะไปอยู่กับพี่ชดแล้วทำไมแกถึงไปบอกคุณหญิงว่า แกจะกลับสีชัง”
นิดมองหน้าแก้วแล้วยิ้มนิดๆ ดวงตากล้าแข็งขึ้น
“เพราะเมื่อก่อน ฉันมัวแต่คิดว่าความสัตย์จริงจะช่วยคุ้มครองฉัน แต่กลับถูกคนตีสองหน้า หลอกลวงฉันซ้ำแล้วซ้ำอีก จนเอาตัวแทบไม่รอด ต่อไปนี้ฉันขอเป็นคนสองหน้า ขอเป็นฝ่ายเอาคืนบ้าง”
นิดยื่นมือที่สวมแหวนของสรรค์ไปพลิกหน้านิตยสารขึ้น รูปสุวลีมองตอบมา
“คุณสุวลี ภายใต้หน้ากากอันงดงามสูงส่งของคุณ คุณเป็นแค่ผู้หญิงใจทรามต่ำช้าคนหนึ่งเท่านั้น คุณไม่คู่ควรกับคนอย่างพี่เสียม...ฉันจะทวงคำสัญญาของฉันกลับคืน”
แก้วมองนิดอย่างทึ่ง นิดทอดสายตามองไปไกล ปากแย้มยิ้มนิดๆ ดวงตาเจิดจ้า สีหน้ามั่นใจราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนใหม่
“ฉันทนดูละครที่พวกคุณเล่นมามากพอแล้ว ต่อจากนี้ไป ฉันขอเป็นฝ่ายเล่นละครให้ผู้ดีจอมปลอมอย่างพวกคุณดูบ้าง”
นิดพูดอย่างเด็ดเดี่ยว แก้วยิ้มอย่างชอบใจ
บ้านเนาวรัตน์ในเวลากลางวัน รถแท็กซี่รับจ้างแล่นตรงไปยังเทอเรซหน้าบ้าน
ที่ห้องรับแขกใหญ่ คุณหญิงบัวผันต้อนรับคุณหญิงมะลิ ผู้เป็นน้องสาวในห้องนี้เพราะเรื่องที่คุยกันเป็นเรื่องส่วนตัว บ่าวไพร่ถูกไล่ออกไปหมด คุณหญิงมะลิแต่งตัวสาวและโป๊กว่าเดิม เพชรวูบวาบไปทั้งตัว
คุณหญิงบัวผันป้องปากถาม
“จริงหรือแม่มะลิที่เค้าลือกันว่าเธอกับหลวงจินดาแอบมีอะไรกัน”
คุณหญิงมะลิสะดุ้งเฮือก
“ว๊าย ไม่จริงค่ะ คุณพี่ ใครมันพูดจาใส่ไคล้ดิฉัน ดิฉันก็แค่ปรับทุกข์ปรับโศกกันตามประสาเท่านั้นเอง แต่ท่านเจ้าคุณท่านกลับหมิ่นน้ำใจดิฉัน ดิฉันทนไม่ได้เลยต้องหย่ากัน”
“แล้วเรื่องแม่ช่อล่ะจะว่ายังไง”
คุณหญิงมะลิยิ้มทำท่าซาบซึ้ง
“พูดแล้วน้ำตาจะไหล แม่ช่อลูกดิฉันน่ะเลือดกตัญญูแท้ๆ เชียว แกยอมลาออกจากมหาวิทยาลัยไปกัดก้อนเกลือกินกับดิฉัน”
“ก็ดีแล้ว แม่ช่อน่ะใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของท่านเจ้าคุณเสียที่ไหน” คุณหญิงบัวผันพูดหน้านิ่งใส่น้องสาว
คุณหญิงบัวผันพูดอย่างรู้ตื้นลึกหนาบางของน้องสาวเป็นอย่างดี คุณหญิงมะลิสะดุ้งเฮือก เหลียวซ้ายมองขวา
“ว๊าย คุณพี่ อย่าอึงไปซีคะ”
ที่หน้าห้องรับแขก สุวลีได้ยินเรื่องทั้งหลายเต็มสองรูหูและมีสีหน้ารังเกียจขึ้นมาทันที ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าแล้วเดินเข้าห้องมา
“คุณน้าหญิงขา”
สุวลีเปิดประตูเข้าไปพลางยิ้มละไม มองคุณหญิงมะลิอย่างรักใคร่ลงคุกเข่าลงโอบกอดคุณหญิงมะลิ
“เห็นเด็กบอกว่าคุณน้าอยากพบสุ มีเรื่องอะไรหรือคะ”
บริเวณเทอเรซข้าง สุวลีกับคุณหญิงมะลินั่งอยู่บนเก้าอี้สนาม คุณเฟื่องยืนอยู่ห่างๆ สุวลีพูดด้วยเสียงเย็นชา
“ไปเสียได้ก็ดี สุไม่อยากลดตัวต่ำลงไปรบราอะไรกับเด็กนั่นหรอกค่ะ”
คุณหญิงมะลิตาเขียวแวบหนึ่งพลางคิดในใจ
“ย่ะ แม่นางฟ้าไม่อยากลดตัวเลยให้ฉันช่วยเป็นมือเป็นตีนทำเรื่องชั่วๆ ให้”
“คุณน้าว่าอะไรนะคะ”
“ไม่มีอะไรจ้ะ แค่คิดว่ากว่ามันจะยอมแพ้ไปได้ มันก็อาละวาดทำเอาน้าบ้านแตกสาแหรกขาดไม่มีชิ้นดี”
คุณหญิงมะลิกลบเกลื่อนและถือโอกาสทวงบุญคุณ สุวลียิ้มอ่อนๆ
“จะว่าไปมันก็ช่วยให้คุณน้าได้เป็นอิสระ จะเที่ยวเตร่หรือคบหาใครๆก็ทำได้ตามชอบใจแล้ว ไม่ใช่หรือคะ”
“แหม มันก็ใช่ แต่เกียรติยศเกียรติศักดิ์มันก็ไม่เหมือนเดิม คนที่มีพรักพร้อมอย่างหนู ไม่เข้าใจหรอกจ้ะ” คุณหญิงแกล้งประชด
สุวลียิ้มน้อยๆ ดวงหน้ากระจ่างสดใส
“สมพรปากเถอะค่ะคุณน้า หมดนังนิดก็เหมือนหมดหนามยอกอกไปเสียที ต่อจากนี้ไปสุก็คงจะมีแต่ความสุข ไม่มีอุปสรรคใดๆ อีกแล้ว”
ภายในห้องทำงานของธนาในเวลากลางวัน ธนายืนพลิกดูแผ่นเสียงที่วางเรียงเป็นแถว นพนอนเอาเท้าพาดเหยียดบนโซฟา เท้าแขนสบายอารมณ์
“วันก่อนฉันขับรถผ่านไปทางเมืองนคร เห็นร้านนายสรรค์เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง...ทำซะใหญ่โตเชียว”
“นั่นฉันเป็นคนออกความคิดเอง”
นพขยับตัวมานั่งตรงๆ
“หา! แกเป็นคนออกไอเดียหรือ ฉันดูแล้ว ถ้าร้านเขียนรูปนั่นไปได้ดี กำไรมันไม่ใช่น้อยๆ เลยนะนั่น”
“แต่ถ้าไม่ดี นายสรรค์ก็ขาดทุนไม่ใช่น้อยๆ เหมือนกัน”
นพมองธนาแล้วยิ้มชอบใจ
“นี่แกดีดลูกคิดรางแก้วเอาไว้แล้วล่ะซีใช่ไหมว่ามันจะต้องขาดทุน”
ธนาเลือกได้แผ่นเสียงแผ่นหนึ่งเดินไปยังหีบเพลง ธนาอมยิ้ม นพลุกไปเซ้าซี้
“แปลว่าแกยังไม่วางมือจากสุวลีใช่ไหม แกยังมีแผนการอะไรกับเจ้าหล่อนอีก”
ธนาวางแผ่นลงบนหีบเพลง แล้วยิ้มมากขึ้น
“แกเคยได้ยินโปรเวิร์บ (๑) ของฝรั่งไหมที่ว่า...ถ้าอยากจะดูเนื้อแท้ของผู้ชายก็จงให้อำนาจแก่เขา” ธนาว่าพลางออกเสียงตัว P ชัดๆ แบบนักเรียนนอก
“เคย แล้วมันเกี่ยวอะไรกับสุวลีด้วย”
“ก็ถ้าหากจะดูเนื้อแท้ของผู้หญิงก็ให้พรากทรัพย์สินเงินทองไปจากเธอ...”
ธนากลั้วหัวเราะเบาในคอเบาๆแล้วพูดต่อ
“การเมืองไทยเปลี่ยนโฉมใหม่แล้ว พระยากีรติอาจจะไม่ยิ่งใหญ่อย่างที่เคยเป็น ฐานะทางบ้านของสุวลีจะไม่เหมือนเดิม แล้วถ้าคู่หมั้นทำธุรกิจล้มเหลวด้วยล่ะก็ .. เฮ้อ”
ธนายิ้มแล้ววางเข็มลงบนแผ่น เสียงเพลงไพเราะดังขึ้น สีหน้าของธนามีแววสาสมใจ
ภายในห้องนอน เวลากลางคืน สรรค์นอนหลับอยู่บนเตียง ห่างออกไปมีขาตั้งพร้อมรูปทะเลหัวหินที่สรรค์วาดมา แสงสว่างรางๆ ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ทาบลงมาบนใบหน้าสรรค์ มีลมพัดมายามดึก ม่านบางปลิวไสว สรรค์ลืมตาขึ้นแล้วลุกนั่ง มองออกไป แสงรางๆนั้นส่องลงบนรูปชายทะเล สรรค์มองไปมีแสงสีฟ้าเรืองรองทาบมาบนตัวสรรค์ สรรค์มองอย่างตกตะลึง เสียงเพลงประหลาดดังมาแผ่วเบา ภาพทะเลบนกรอบรูปนั้นพลันกลายเป็นทะเลสีคราม เกลียวคลื่นซัดสาดเข้าสู่ฝั่ง เมฆขาวลอยไปในอากาศ เสียงเพลงค่อยๆ ดังขึ้น สรรค์ก้าวเดินช้าๆ ตรงไปยังภาพนั้น แสงพร่างพรายทาบลงมาบนตัว
สรรค์ก้าวเท้าเหยียบลงบนทรายสีขาวละเอียดสะท้อนแสงแดดระยิยระยับ ทะเลเบื้องหน้าเป็นสีมรกต เสียงฮัมเพลงหวานวิเวกดังมา สรรค์ยิ้มอย่างจดจำได้พลางมองหาต้นเสียง บนผิวน้ำร่างระหงแบบบางชายผ้าพลิ้วอยู่รอบตัวราวหมอกควัน ก้าวเดินมา ดวงหน้าสดกระจ่าง ดวงตาสุกใสมองมาที่สรรค์ นางมีแววถือตัว แง่งอนระคนซุกซนบางอย่าง สรรค์ยิ้มออกมาอย่างดีใจแล้วก้าวไปริมทะเลทันที
“เธอ เธอนั่นเอง”
เทวีแห่งแรงดลใจเชิดหน้าที่มีแววโกรธขึ้น แล้วกรายแขนสองข้างมาเบื้องหน้า ชายผ้าบางพลิ้วกลายเป็นคลื่นใหญ่มหึมาโถมมา คลื่นโถมเข้าใส่สรรค์จนเปียกไปทั้งตัว สรรค์ลูบน้ำออกจากใบหน้ามองไปยังท้องทะเลเบื้องหน้า พลันเบื้องหน้ากลับว่างเปล่า สรรค์ใจหายวูบและผิดหวังอย่างรุนแรง
“หายไปไหนแล้ว กลับมาเถอะ อย่าจากฉันไปอีกเลย”
สรรค์หันคว้าง ร่างนั้นมาปรากฏเบื้องหลัง มองดูสรรค์อย่างหมางเมิน สรรค์ไม่เข้าใจ
“เธอต่างหากที่ทิ้งฉัน .. ลืมเลือนฉัน”
“ไม่ ไม่จริง”
เทวีแห่งแรงดลใจปรายตาค้อน กรายตัวสะบัดชายผ้าคล้ายขัดใจ
“คราวก่อนฉันเป็นคนมาหาเธอ...และฉันบอกแล้วว่า ต่อไปเธอต้องเป็นฝ่ายตามหาฉันบ้าง”
“ฉันจะไปหาเธอได้ยังไง เธออยู่ที่ไหน”
เทวีแห่งแรงดลใจเชิดหน้าแล้วขยับถอย สรรค์ผวาตามแล้วชะงัก เทวีแห่งแรงดลใจกลับยืนอยู่บนโขดหินสูง ใบหน้าเชิดผ้าไหวแผ่ออกรอบตัวและเต็มไปด้วยราศีเหนือมนุษย์ ต้นไม้ใบสีแดงเบื้องหลังโปรยใบลงรอบกาย เสียงพูดดังกึกก้องสะท้อนไปมา
“ความจริงแล้วข้าไม่เคยจากเจ้าไปไหน ข้าอยู่ใกล้ๆ เจ้าตลอดมา”
สรรค์ยังคงไม่เข้าใจ เสียงหวานใสยังคงกึกก้อง
“ถ้าอยากพบข้าอีกไม่ต้องตามหาข้าที่ไหน แต่จงมองลึกลงไปในใจของเจ้า .. ในใจของเจ้า”
ร่างของเทวีดลใจวูบวับหายไป เหลือเพียงคำสุดท้ายที่สะท้อนไปมา สรรค์ใจวูบวาบเหมือนใจจะขาด ผวายื่นมือไปจะไขว่คว้า
บนโต๊ะอาหารเช้า สรรค์เดินลงมาที่โต๊ะอาหาร ที่พระชาญชลาศัยนั่งรออยู่ แม่ผิน บัว สมพงษ์ คอยเลื่อนอาหารเช้าขึ้นและคอยรับใช้ สรรค์ดูสดใสอารมณ์ดีกว่าปรกติในวันนี้
“วันนี้มีอะไรหรือคะคุณหนู ถึงได้ได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียว” ผินถาม
“โล่งใจเรื่องร้านน่ะแม่ผินตกแต่งเสร็จแล้วจะได้เปิดเสียที”
“เออ พูดขึ้นมาก็ดีแล้ว พ่อว่าจะถามอยู่ เรื่องร้านของแกทำไมถึงได้กลายเป็นงานใหญ่งานโตแบบนี้ไปได้”
สรรค์อึกอักเล็กน้อย
“สุอยากได้แบบนั้น่ะครับ”
“อ้อ ..แต่ระวังเรื่องงบดุลให้ดีล่ะ เดี๋ยวรายจ่ายจะท่วมรายรับ”
แม่ผินมองค้อนขวับ พูดเปรยๆ
“ฮึ..ทีกับลูกล่ะมาเขียม ทีกับคนอื่น”
พระชาญชลาศัยมองแม่ผิน แม่ผินเชิดใส่
“มีอะไรหรือครับ”
“ไม่มีอะไร มารศรีเค้าอยู่กับบ้านว่างๆ เกิดเบื่อ มีคนมาชวนเขาเข้าหุ้นทำคณะละคร เขาก็มาปรึกษาพ่อ”
“ละคร...ละครร้องน่ะหรือครับ”
“เลือดเต้นกินรำกินมันคงยังพล่านอยู่” ผินสอดขึ้นทันที
พระชาญชลาศัยเริ่มตาเขียว ผินทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ บัวสบตากับสมพงษ์
“พ่อก็ไม่รู้ เขาขอเงินพ่อหมื่นนึง พ่อเลยบอกว่าขอคิดดูก่อน”
แม่ผินพูดเปรยๆ
“นั่นไง ลายเริ่มออกแล้ว”
พระชาญชลาศัยหันไปดู แม่ผินทำเป็นไม่สนใจ สรรค์คิดแวบนึง
“น่าจะให้เขาลองดู อาจจะออกมาดีก็ได้น่ะครับ”
พระชาญชลาศัยมองอย่างแปลกใจ สรรค์พูดต่อ
“อย่างพวกโอเปร่าที่ต่างประเทศเขาก็นิยมกันมาก”
“แปลว่าแกเห็นดีด้วยหรือ”
“ว้าย คุณหนู ไม่ใช่สลึงสองสลึงนะคะ ลงทุนอะไรเป็นหมื่นเป็นแสน...”
มีเสียงรถแล่นมาจอดเสียงแตรดังสนั่นหวั่นไหว แม่ผินสะดุ้งสุดตัวร้อง “ว้าย”
“หือมีใครมาแต่เช้า” พระชาญชลาศัยเปรยขึ้นอย่างสงสัย
“มีคนเดียวแหละครับ”
สมพงษ์เดินนำบุญมาเข้ามา
“คุณบุญมาขอรับ” สมพงษ์บอก
บุญมายกมือไหว้พระชาญ
“มารบกวนขอกาแฟกินขอรับ แม่ผินจ๋ามีอะไรให้ฉันกินบ้าง”
บุญมาจูบแก้มแม่ผิน ผินร้องวุ้ยว้าย
“อุ้ย คุณบุญมาอะไรก็ไม่รู้มาทำเป็นฝรั่ง .. นั่งก่อนค่ะ เดี๋ยวผินจะจัดให้”
บุญมาหันมาพูดกับพระชาญชลาศัย
“ผมคาบข่าวด่วนมาเป็นของกำนัล”
บุญมานั่งลงท่าทางมีเรื่องสำคัญมาบอก สรรค์และคุณพระมองนิ่ง
“มีอะไร”
“รายชื่อคณะรัฐมนตรีออกมาแล้ว หลวงพิบูลนั่งเองทั้งกลาโหม มหาดไทย แต่แปลกว่ะ ไม่ยักมีชื่อเจ้าพระยากีรติว่าที่พ่อตาแกอยู่ในรายชื่อ”
สรรค์หน้าตาแปลกใจ พระชาญชลาศัยหน้าเสียไปนิดนึงเริ่มรู้สึกได้ว่า น่าจะมีปัญหาอื่นๆ ตามมา
ภายในร้านตัดเสื้อ เวลากลางวัน สุวลียิ้มละไมเลือกดูแบบเสื้อโดยมีอนงค์กับรตียื่นหน้าอยู่ใกล้ๆ
“ไม่เห็นต้องแปลกใจเลย เจ้าคุณพ่อบ่นมาตั้งนานแล้วว่าอยากวางมือ อยากพักผ่อนอยู่กับบ้าน อยากใช้เวลากับลูกๆ บ้าง” สุวลีบอก
“ต้าย....แต่ฉันไม่เคยเห็นเธออยู่บ้านเลย Busy ตลอด” อนงค์พูดขึ้น
“ใช่เดี๋ยวก็ไปกับเพื่อน เดี๋ยวก็ไปกับคนรัก” รตีเสริม
“แถมยังมีไปกับคุณธนา” อนงค์ว่าต่อ
“เพื่อนก็ไม่ใช่ คนรักก็ไม่เชิง” รตีพูดตบท้าย
สุวลีหน้าตึงมองสองนางอย่างเย็นชา สองนางยิ้มเจื่อนๆ แล้วขยับถอย
ภายในห้องโถงบ้านเนาวรัตน์ พระยากีรตินั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าซีดเซียวไปกว่าปกติเล็กน้อย คุณหญิงบัวผันอยู่ข้างๆ คุณเฟื่องคนรับใช้ยืนอยู่ทางด้านหลัง สุวลียืนอยู่ตรงหน้ามีท่าทีไม่พอใจเป็นอย่างมาก จวนนั่งตัวลีบอยู่ใกล้ประตู
“เกิดอะไรขึ้นคะ เจ้าคุณพ่อ”
พระยากีรติถอนใจ
“ตอนนี้หลวงพิบูลระแวงไปหมดว่า พวกนิยมเจ้าจะก่อการ ใครมีสายสัมพันธ์กับเจ้าเก่าๆ ถูกหาว่าเป็นพวกนิยมเจ้าด้วย”
“เขาว่ามีคนเขียนบัตรสนเท่ห์กล่าวหาเจ้าคุณพ่อเอาไว้สาหัสสากรรจ์แล้วทางนั้นก็หลงเชื่อ” คุณหญิงว่า
“ไม่รู้จริงๆ ว่าฝีมือใคร”
สุวลีหน้าบึ้งตึงแล้วฝืนยิ้ม คุกเข่าลงกุมมือพระยากีรติไว้
“แต่เราไม่ได้เดือดร้อนอะไรไม่ใช่หรือคะ ทั้งเรือสินค้า ทั้งที่ทางตึกแถวของเราก็อยู่รอบพระนครไปหมด” สุวลีพูดด้วยน้ำเสียงทะนงตัว
พระยากีรติหน้าเผือดลง คุณหญิงบัวผันมองสามี ส่งแววตาอยากให้พูดความจริง
“เจ้าคุณพี่คะ”
พระยากีรติยกมือห้ามแล้วยิ้มกับสุวลี
“ไม่เอาน่ะ แม่บัวผัน ใช่ ลูก เราไม่มีอะไรที่จะต้องเดือดร้อนเลย”
สุวลีจูบมือพระยากีรติแล้วลุกขึ้นพูดด้วยท่าทีผยอง
“งั้นลูกจะจัดงานใหญ่ฉลองวันเกิดให้เจ้าคุณพ่อ เอาให้หรูหรากว่าทุกงานที่เราเคยจัดมา พวกที่นินทาว่าเราตกต่ำแล้ว จะได้หุบปากเสียที”
คุณหญิงบัวผันหน้าเสียไปทันที มองหน้าพระยากีรติที่ไม่กล้าสบตาได้แต่พยักหน้าส่งๆ ไป สุวลีลุกขึ้นยืน มองดูหน้าคุณเฟื่อง
“คุณเฟื่องคะ สุขอปรึกษาหน่อยค่ะ”
คุณเฟื่องรับคำ สุวลีย่อตัวเป็นเชิงขอตัวและเดินออกไปกับจวนและคุณเฟื่อง คุณหญิงบัวผันมองดูสามีอย่างไม่เห็นด้วย
“เจ้าคุณพี่จะปิดบังลูกไปถึงไหนคะ”
“ฉันยังไหวน่าแม่บัวผัน”
เสวกเดินยิ้มกริ่มมา
“เจ้าคุณพ่อ แน่ะคุณแม่ก็อยู่ด้วย”
“มีอะไรอีกล่ะยะพ่อมหาจำเริญ”
เสวกยิ้มแป้นบอก
“ขอบคุณครับ คุณแม่”
คุณหญิงบัวผันค้อนขวับ เสวกพูดต่อ
“คือรถของคุณน้องที่มาขอแลกกับรถผมมันชักโปเกแล้วครับ ผมอยากได้รถใหม่ไม่ต้องแพงอย่างคันก่อนก็ได้ครับ”
พระยากีรตินั่งเงียบ คุณหญิงบัวผันอึดอัดขัดใจ
ตัดไป
ภายในห้องจัดเลี้ยงของงานแฟนซีในเวลากลางคืน สรรค์สวมสูทแบบแบล๊กไท สุวลีชุดสีอ่อนปักเลื่อมระยิบระยับเต้นรำกันอยู่, สรรค์สวมทักซิโด้ สุวลีอยู่ในราตรีสีแดงเพลิง, สรรค์สวมสูทสีอ่อน สุวลีสวมชุดราตรีประดับขนนก มือถือหน้ากากประดับขนนกกรีดกราย สรรค์เต้นรำไปตามเพลงอย่างไม่มีชีวิตจิตใจ
มือขาวเรียวเล็บเจียนมนทาสีไว้งดงามแตะนิ่งอยู่ในหน้าสังคมของนิตยสารที่ลงข่าวงานแฟนซีที่สรรค์กับสุวลีเต้นรำด้วยกัน แหวนพลอยส่องแสงอยู่บนนิ้วนางซ้าย
พื้นในห้องนี้เป็นบ้านไม้ขนาดไม่ใหญ่และไม่เล็ก ตกแต่งอย่างบ้านคนชั้นกลาง แต่ก็ดูงดงามอ่อนหวานในรายละเอียดต่างๆ
ที่โต๊ะเขียนหนังสือร่างระหงในชุดราตรียาวนั่งอ่านนิตยสารเล่มนั้นอยู่
ชายหนุ่มในชุดสูทเข้ารูปก้าวเข้ามา แก้ว แต่งเป็นผู้ชายดูหล่อเหลาและเต็มยศกว่าทุกครั้ง
“นิด เสร็จหรือยัง”
มือขาวเรียวปิดนิตยสารเล่มนั้นลง ร่างระหงนั้นลุกขึ้นมา นิด ในโฉมใหม่ถูกกันคิ้วเป็นเส้นเรียวเล็ก ดวงตาเขียนอายไลน์เนอร์ต่อหางออกไป ปากดูอิ่มเต็มเย้ายวนกว่าปรกติ ผมดัดลอนใหญ่ ชุดราตรีที่ใส่เปิดไหล่หลัง รองเท้าปักเลื่อมสูงปริ๊ด เครื่องเพชรที่คอหูและข้อมือวูบวับ
แก้วมองตะลึง
นิดก้าวกรายตัวมาดูระเหิดระหงมีท่วงท่ามาหาแก้ว แล้วส่งยิ้มให้เพื่อนสาว รอยยิ้มนั้นไม่ได้ดูอ่อนหวานไร้เดียงสาอีกต่อไป แต่เป็นรอยยิ้มอันเย้ายวนและแฝงความลึกลับบางอย่าง
จบตอนที่ ๑๘
หมายเหตุ - ผู้เรียบเรียง
๑ โปรเวิร์บ - สุภาษิต (Proverb) หรือพูดทับศัพท์แบบคนไทยสมัยนั้นว่า โปรเวิร์บ ก็ได้