แสบสลับขั้ว ตอนที่ 1
บรรยากาศยามเช้าวันนี้ที่ชุมชนหมอเล้ง หรือชื่อใหม่ว่า ชุมชนพัฒนาสู่สุขาวดี ผู้คนต่างเริ่มต้นทำมาหากินและใช้ชีวิตประจำวันกันไปค่อนข้างคึกคัก
บ้านของเซียน ชายไทยวัยเกือบ ๓๐ แต่มีพฤติกรรมราวกับหนุ่มวัยทีน หรือที่เรียกอย่างไม่เกรงใจว่า ผู้ใหญ่ไม่รู้จักโต เป็นบ้านหลังเล็กๆ ในชุมชนเล็กๆ แห่งนี้ แต่สะอาดสะอ้านอย่างไม่น่าเชื่อ
ภายในห้องนอนเซียนมีกางเกงยีนส์เก่าๆ ถอดเป็นวงกลม...เสื้อถูกถอดเหวี่ยงไว้...ผ้าห่มตกลงมากองกับพื้น ในขณะที่เซียนนอนแผ่หลับสนิทขวางกลางที่นอน เสียงเคาะประตูโครมๆ ดังขึ้น
“เซียน เซียนเอ๊ย” เซียนยังคงไม่ไหวติง “ไอ้เซียน ไอ้สันหลังยาว ไอ้นอนกินเมือง ไอ้เฒ่าทารก... ไอ้...”
สายไหม ป้าของเซียนด่าเป็นชุดจนเซียนต้องโวยลั่น
“โอ๊ย! ตื่นแล้วป้า” เสียงสายเงียบไป เซียนสปริงตัวลุกขึ้นนั่ง แล้วตะเบ็งลั่น “เซ็ง!”
อีกด้านหนึ่งที่ “บ้านมหาทรัพย์รุ่งเรืองกิจ” ซึ่งเป็นคฤหาสถ์ใหญ่โตอลังการ เด่นตระหง่านอยู่ท่ามกลางรั้วรอบขอบชิด สนามหญ้าภายในอาณาเขตบ้านมีต้นไม้ใหญ่น้อย ปลูกประดับ ตัดแต่งก้านกิ่งดูสวยเป็นระเบียบ ตัวบ้านดูโอ่อ่างดงามบอกสถานะเจ้าของบ้าน
ระหว่างนั้นประตูใหญ่เลื่อนเปิดโดยอัตโนมัติ พร้อมรถยนต์สุดหรูคันหนึ่งแล่นมาจอดหน้าตัวตึก สิทธิ์คนขับรถรีบลงมาเปิดประตูรถ
ปลาใหญ่ ก้าวลงจากรถแล้วมองไปที่ตัวบ้านพลางถอนใจยาว ก่อนจะเดินไปที่ตัวบ้าน ขณะที่สิทธิ์เปิดท้ายรถ หยิบกระเป๋าเดินทางแบรนด์เนมลงจากรถ
ปลาใหญ่เดินเข้ามาในบ้าน ขณะที่ครรชิต พ่อบ้านเก่าแก่ออกมาต้อนรับ ด้วยสีหน้าแววตาที่บอกความรักและภาคภูมิใจในตัวเจ้านายเหลือหลาย
“คุณปลาใหญ่” ครรชิตรีบยกมือรับไหว้ “สวัสดีครับ...”
“คุณพ่อเป็นยังไงบ้างครับ”
ครรชิตอึ้งไปเล็กน้อย
“ท่านเพิ่งหลับไปเมื่อสักครู่นี้เอง...สั่งว่า คุณปลาใหญ่มาถึงเมื่อไหร่ให้ปลุก...”
สิทธิ์ยกกระเป๋าเข้ามาวางให้ แล้วออกไปอย่างรู้ระเบียบ
“อย่าเพิ่งไปรบกวนท่านเลย”
เสียงกริ่งเรียกดังมาจากห้องเกรียงไกร
“ท่านตื่นแล้ว...คงจะคอยระวังว่าคุณปลาใหญ่จะมาถึงเมื่อไหร่...เชิญครับ...”
ปลาใหญ่เดินขึ้นบันไดไป ครรชิตเดินตาม
ที่บ้เนของเซ๊ยน ขณะนั้นเซียนกำลังคดข้าวใส่จานแล้วเดินมานั่งบนโต๊ะซึ่งมีฝาชีขนาดใหญ่ครอบกับข้าวไว้
เซียนเปิดออก เห็นจานวางผัก น้ำพริก ปลาทูตัวเล็กๆ อยู่ 2 ตัว
“เมื่อวานกินน้ำพริกปลาทู วันนี้กินปลาทูน้ำพริก รวยเมื่อไหร่จะกินเป็ดกินไก่เสียให้เข็ด”
เซียนแกะปลาทู ขณะที่สายไหมเดินเข้ามา
“ปลาทูสมัยนี้แก่แดด! ตัวนิดเดียวไข่เต็มท้อง” เซียนพูดเปรยเมื่อเห็นปลาทูมีไข่
“แกนี่วันๆ พูดจาหาสาระไม่ได้เล้ย” สายไหมต่อว่าหลานชาย
“อยากพูดกับคนมีสาระ ป้าก็ไปหานักวิชาการซิ”
เซียนเถียง สายไหมยกฝาชีตีหัวอย่างหมั่นไส้เต็มทน เซียนหลบวูบพร้อมจานข้าวอย่างว่องไว
“นี่แน่ะ! นักวิชาการ แน่จริงอย่าหลบซิ”
“แน่จริงซิ ต้องหลบ”
“พูดกับแกแล้วเหนื่อย กินเร็วๆ เข้า ฉันจะพาแกไปฝากงาน”
“จ๊ะจ๋า... เส้นใหญ่น่าดูชม งานอะไร ป้า”
ที่วินมอเตอร์ไซค์ชายสี่ลงจากมอเตอร์ไซค์ เดินมาที่ลุงป่องนั่งคุยกับป๋องและมอม
“ลุงเตรียมหาคนมาแทนผมได้แล้วนะ”
ลุงป่องทำสีหน้าหน่ายๆ
“รู้แล้ว... เอ็งจะไปเปิดคาร์แคร์”
“ของป๋องเปิดร้านอาหาร”
“ซึ่งยังเลือกอยู่ระหว่างเกาหลีกับอิตาเลียน”
ป๋องพยักหน้า เบือนหน้าไปทางอื่นกัน
“มันเปิดทุกวัน ป่านนี้...100 แห่งได้แล้วมั้ง” มอมบอก
“พี่ป่อง...”
เสียงสายไหมดังขึ้น ทุกคนหันไปมอง ลุงป่องนัยน์ตาเป็นประกายทันที สายไหมเดินนำเซียนเข้ามา ซึ่งเซียนทำหน้าเซ็งๆ มอมร้องลิเกเสียงดังลั่น
“เมื่อตาต่อตามาจ๊ะเอ๋...”
ลุงป่องถีบมอมตกแคร่ แล้วรีบลุกยืน
“คุณสาย...”
3 สหายสะกิดกัน
“ฝากไอ้เซียนคนได้มั้ย”
“คุณสายจะไปไหน” ลุงป่องถามอย่างตกใจ
“ก็อยู่บ้านของฉันน่ะซิยะ อย่าโง่ได้โปรด ...อย่าโง่ ...ฉันจะให้ไอ้เซียนมันมาอยู่วินพี่ป่องนี่แหละ คราวนี้ไม่ให้ออกแล้ว”
3 สหายดีใจตบหลังตบไหล่เซียน ซึ่งทำหน้าเซ็งๆ ลุงป่องหันมาซ้ำเติมเซียนเอาใจสายไหม
“ได้ยินมั้ย ไอ้เซียน เอ็งต้องรู้จักขยันทำมาหากิน อย่าทำให้คุณป้าเอ็งต้องหนักใจ”
“จ๊ะจ๋า! ไม่เรียกเสด็จป้าซะเลยล่ะ”
“ไอ้เซียน เอ็งน่ะโตเป็นควายแล้วนะเว้ย”
“อ้าว... อ้าว...ตาป่อง ถ้าไอ้เซียนมันควาย ฉันก็ควายด้วยซิยะ”
ลุงป่องรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน
“เปล่า...เปล่าครับคุณสาย ผมไม่ได้ว่าคุณสาย ผมว่าไอ้เซียน”
“เก๊าะไอ้เซียนน่ะมันหลานฉัน...อย่าโง่ ไปละ”
“คุณสายจะไปไหนครับ ผมจะไปส่ง”
“ไปบ้านบิดาแก” สายไหมบอกแล้วเดินออกไป
“ได้ครับ” ลุงป่องตอบรับแล้วชะงัก “บิดาผม…บิดาผมไม่หายใจมาตั้ง 10 ปีแล้วนี่”
ลูกค้าเดินเข้ามา 3 สหายรีบออกไป
ปลาใหญ่มาหาพ่อที่ห้อง เกรียงไกรวางมือลงบนหัวปลาใหญ่ซึ่งกำลังพยายามสะกดกลั้นความเศร้าโศกเสียใจอย่างหนักไว้เต็มที่
“รับปากกับพ่อซิว่าจะสานต่อกิจการของอาณาจักรมหาทรัพย์ของเรา อย่างเต็มความสามารถ”
“มันจะไม่เป็นการข้ามหน้าข้ามตาอาก้องหรือครับ”
“ไม่อย่างแน่นอนครับ” ครรชิตบอก เกรียงไกรเลื่อนสายตาไปที่ครรชิต “ขอประทานโทษครับท่าน”
“อย่าสอดอีก นายยังได้พูดอีกนาน ส่วนฉันเวลาจะหมดแล้ว”
“ขอรับท่าน”
“เมื่อกี้พูดถึงไหนแล้วล่ะ”
“ถึงตอนที่คุณพ่อให้ผมสานต่อกิจการของอาณาจักรมหาทรัพย์ อย่างเต็มความสามารถครับ ... แล้ว ...”
“โอ.เค จำได้แล้ว ...” เกรียงไกรกระแอมเคลียร์ลำคอ “พ่อไม่ไว้ใจอาของแกซึ่งก็คือน้องชายของพ่อ เมียมันก็ทั้งงกทั้งเค็ม แถมเห็นแก่ตัวสิ้นดี” เกรียงไกรยิ่งพูดยิ่งได้อารมณ์จนไอออกมา
“คุณพ่อครับ”
นอกห้องขณะนั้นสมทรง สาวใช้กำลังพยายามเปิดหูให้แนบกับประตูเต็มที่ เพื่อจะได้ยินอย่างชัดเจน
“ขืนให้สานต่อ พวกมันจะได้โกงกันบรรลัยวายวอดจนในที่สุดลูกของพ่อจะไม่มีอะไรเหลือนอกจากเสื้อผ้า”
“ท่านครับ...”
“บอกว่าอย่าสอด!” เกรียงไกรต่อว่าครรชิตแล้วหันมาทางปลาใหญ่ “รายละเอียดทั้งหมด พ่อเขียนไว้ใน
พินัยกรรมเรียบร้อยแล้ว หากพ่อเป็นอะไรไป ซึ่งก็คือตายนั่นแหละ...ทนายปีติจะเป็นผู้เปิดอ่าน หลังจากงานฌาปนกิจผ่านไป 7 วัน” น้ำตาเกรียงไกรเริ่มเอ่อขึ้นมา “พูดเรื่องตายแล้วใจไม่ดีเลย ถึงแม้พ่อจะเฝ้าบอกตัวเองว่าพร้อมหลังจากรู้ว่าตัวเองเป็นโรคร้าย...”
“คุณพ่อยังไม่เป็นอะไรหรอกครับ”
“เป็นซิ ถ้าไม่เป็นพ่อจะเรียกแกกลับมาหาอะไรล่ะ ...ออกไปได้แล้ว”
เกรียงไกรโบกมือไหล่แล้วหลับตาลงเหมือนไม่ต้องการพูดอีก ครรชิตและปลารออยู่จนแน่ใจว่าเกรียงไกรหลับ จึงพยักหน้าชวนกันลุกขึ้น
หน้าห้องสมทรงพยายามแนบหูให้ติดประตูเข้าไปอีกพลางบ่น
“ไม่ค่อยจะได้ยินเล้ย”
ประตูเปิดออก กระแทกสมทรงเข้ากับผนังห้องโครมใหญ่ สมทรงถึงกับทรุดลงไปกับพื้น ขณะที่ปลาใหญ่และครรชิตก้าวออกมา แล้วเดินเลี้ยวคุยกันไปโดยไม่ได้หันมามอง สมทรงครางเบาๆ ด้วยความเจ็บอย่างแรง
ที่วินมอเตอร์ไซค์ผู้โดยสารซ้อนรถมอเตอร์ไซค์ออกไป ขณะที่มอมเพิ่งจะเข้ามา มอมเข้ามานั่งร่วมวงหมากรุกซึ่งลุงป่องและเซียนกำลังเล่นกันอยู่
“ถึงไหนแล้ว”
“เอ็งต่อที ข้าปวดหลังว่ะ” เซียนบอก
“ไอ้เซียน พอจะแพ้แล้วเป็นยังงี้ทุกที”
หมอดูเดินตรงมา ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว
“คันไหนออกจ้ะ”
“คันนี้จ้า”
เซียนบอกแล้วขึ้นมอเตอร์ไซค์ โดยหมอแม่น ซึ่งเป็นหมอดูซ้อนหลัง ทั้งสองหยิบหมวกกันน็อคมาสวม
“ไปไหนล่ะป้า”
“ร้านทอง ...เจ๊ฮวยเค้าโทร. มาตามให้ไปช่วยดูดวงลูกสาวเขาหน่อย” !
แววตาเซียนเป็นประกายทันที
“คุณน้ำเพชรน่ะเรอะ”
“ก็จะใครเสียอีกล่ะ”
เซียนออกรถไปทันที
ที่ร้านทองขณะนั้น มีโจรสองคนปิดหน้าปิดตา ถือปืนส่ายกราดไปทั่วร้าน
“ทุกคนอยู่เฉยๆ นี่คือการปล้น”
“ว้าย... ย ว้าย....ย....ย ! ว้าย ....ย...” กิมฮวย กรีดร้องด้วยความตกใจ
“อาฮวย อีบอกว่าอย่าร้อง”
เติมศักดิ์ สามีกิมฮวยบอก แต่กิมฮวยยังร้องเสียงดังจนโจรจี้ปืนไปที่อกกิมฮวย
“บอกให้เงียบ ประเดี๋ยวพ่อยิงไส้แตก”
กิมฮวยจับปืนมาไว้ที่ท้อง
“ไส้อั๊วอยู่นี่ ไอ้พวกโจรหนึ่งพันหารสอง ร้างอึ่งมีทังมายพวกลื้อไม่ไปป้ง ดังมาป้งร้างอั๊ว”
โจรเอาปืนเสยข้างแก้มกิมฮวยจนล้มลงร้องลั่น
“พูดมากนัก”
น้ำเพชรรีบโผล่ออกมาจากหลังร้าน
“หม่าม้า” น้ำเพชรเข้ามาประคองแม่
“อานั้งเพชร”
“เฮ๊ย เอาทองใส่มาในนี้ให้หมด”
เติมศักดิ์มือไม้สั่นหยิบทองใส่ถุงให้โจร
“ไอ้เติง ไปให้มังทังมาย”
“บอกให้เงียก”
“อั๊วไม่...”
น้ำเพชรรีบอุดปากแม่ไว้
“หมกแล้วจ้า หมกจริงๆ”
เติมศักดิ์บอก โจรส่ายปืนไปมา
“ขอบใจมากนะเฮีย”
“ไม่ต้องมาขอกจาย อั๊วไม่ล่ายให้ลื้อ”
“ไอ้เสือถอย”
โจรส่ายปืน หันหลังออกไปอย่างรวดเร็ว กิมฮวยดึงมือน้ำเพชรออก แล้วตะโกนลั่น
“ช่วยล่วย ช่วยล่วย โจงป้งร้านอั๊ว”
น้ำเพชรรีบโทรศัพท์
“191 ใช่มั้ยคะ”
เติมศักดิ์รีบตามกิมฮวยออกไปตะโกนเรียกตำรวจหน้าร้าน
โจรหนีมาขึ้นมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่หน้าร้านแต่อารามรีบร้อนทำให้โจรคนที่แบกถุงทองตกลงมา ขณะที่โจรอีกคนรีบขี่รถออกไป โจรลุกขึ้นได้รีบวิ่งตาม
“เฮ้ย รอด้วย รอด้วย”
เติมศักดิ์และกิมฮวย ร้องให้คนช่วยอยู่หน้าร้าน แต่ทุกคนในที่นั้นไม่กล้าเพราะโจรมีปืน โจรรีบจอดรถรับโจรอีกคน จังหวะนั้นเซียนพาหมอแม่นมาถึงหน้าร้านพอดี ขณะที่น้ำเพชรออกมาช่วยตะโกน
“ช่วยล่วย...ช่วยล่วย”
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย โจรปล้นร้านทอง”
“ช่วยล่วย”
เซียนไม่ฟังอีร้าค่าอีรม เมื่อน้ำเพชรตะโกนชี้ไปทางมอเตอร์ไซค์โจรก็รีบขี่มอเตอร์ไซค์ตามไปทันที
“เฮ้ย ให้ข้าลงก่อน ไอ้เซียน”
หมอแม่นร้องลั่นเพราะยังไม่ทันได้ลงจากรถ
“เกาะแน่นๆ นะป้า”
เซียนบิดมอเตอร์ไซค์ตามไปอย่างรวดเร็ว
เซียนบิดรอตามโจรไปอย่างกระชั้นชิด โดยมีหมอแม่นร้องลั่นเกาะหลังอยู่
“ไอ้เซียน ปล่อยกูลงเดี๋ยวนี้”
ทั้ง 2 ฝ่ายไล่ตามกัน โดยเซียนโชว์ความสามารถเต็มที่ ผู้คนที่อยู่ตามตรอกซอกซอยที่รถผ่านรีบหลบกันระเนระนาด โจรมองทางกระจกเห็นเซียนไล่เข้ามาใกล้ทุกที ขณะที่หมอแม่นยังร้องลั่น
“ปล่อยกูลงเดี๋ยวนี้”
รถตำรวจแล่นตามมาอีก ในที่สุดด้วยความเร็วของเซียน ทำให้โจรพะวักพะวง จนรถเสียหลักล้มลง เซียนหยุดรถ ในขณะที่รถตำรวจที่ตามมาเข้าจับโจรไว้ได้โดยละม่อม
เติมศักดิ์เดินไปส่งตำรวจหน้าร้านพร้อมขอบอกขอบใจ ในขณะที่กิมฮวยส่งเสียงอยู่ในร้าน
“ธ่อเอ๊ย! ถ้าอั๊วรู้ว่าเป็นปืงปอง อั๊วลุยแหล็กไปเลี้ยว”
น้ำเพชรยกถาดวางแก้วน้ำหวานมาให้เซียนกับหมอแม่น โดยหมอแม่นยังนั่งดมยาจะเป็นลม ส่วนเซียนนั้นคอยแอบมองน้ำเพชรด้วยนัยน์ตาเยิ้มตลอด
“ขอเป็นยาหอมให้ป้าดีกว่า”
น้ำเพชรหันไปสั่งพนักงาน
“สุมาลี ไปชงยาหอมมาให้ป้าแม่นแกหน่อยซิ”
“ค่ะ รอเดี๋ยวนะคะ”
สุมาลีเดินเข้าไปชงยาหอม ขณะที่เติมศักดิ์เดินเข้ามา
“อาเซียง”
เซียนรีบหันมา
“จ๊ะจ๋า...เอ๊ย ! ครับผม”
“ลื้อทังลีมั่ก ...ขอกใจ... แท้งกิ้ว กังเสี่ย อั๊วเป็งคงไม่เอาเปียกใคร ใครทังอารายให้...อั๊วต้องตอกแทง”
สุมาลียกยาหอมเข้ามาให้น้ำเพชร
“นี่จ้ะป้า”
“ขอบใจมากจ้ะ คุณหนู”
กิมฮวยหยิบกระเป๋าสตางค์มาเปิด ท่ามกลางสายตาของแต่ละคนที่มองเป็นจุดเดียว มือของกิมฮวยหยิบใบละ 20 บาทขึ้นมา กิมฮวยชะงักแล้วเงยหน้าขึ้นมองทุกสายตาที่จ้องมา
“ล้อเล่ง” ทุกคนถอนใจเฮือก กิมฮวยหยิบใบละ 20 บาทขึ้นมาอีกใบส่งให้เซียน “ฮ่ะ อั๊วให้สองใบ”
ทุกคนทำหน้าเซ็งๆ
“อาฮวย”
“หม่าม้า”
กิมฮวยยกมือห้ามทันที
“หยุก พวกลื้อไม่ต้องห่วงอั๊ว...อาเซียงอีช่วยเราขะหนักนี้ (ขนาดนี้) แล้วจะให้ยี่จั๊กล่ายยังไง จริงมั้ย อาเซียงเอาปาย อั๊วให้หมกเลย”
เซียนมองเงินนั้น สีหน้าแต่ละคนมองเซียนอย่างหวาดเสียวว่าจะพูดอย่างไร
ในที่สุดเซียนตัดสินใจยกมือไหว้ แล้วรับมาด้วยสีหน้าราวตื้นตันหนักหนา
“ขอบพระคุณมากครับ”
น้ำเพชรเบิกตากว้างแล้วเม้มปาก มองเซียนอย่างโกรธจัด
“นั่งงาย อั๊วบอกเลี้ยวว่าอีต้องพอใจ อีขี่มอ’ไซค์ วันนึงจ่ายไม่กี่บัก นี่ช่วยอั๊วเหลียวเลียวจ่ายตั้งสี่สิก”
เซียนพยายามระงับอารมณ์
“ผมลาละครับ ... เจ๊สินเธาว์”
เซียนกำเงินแน่น แล้วเดินออกไป น้ำเพชรตัดสินใจเดินตาม ขณะที่กิมฮวยหันมาทางทุกคน
“อาเฮีย เมื่อกี้อีเรียกอั๊วว่าอะไร”
“เจ๊สิงเทา”
“เจ๊สิงเทา ชื่อเพราะลี”
กิมฮวยชอบอกชอบใจ ขณะที่เติมศักดิ์ส่ายหน้า
เซียนเดินเร็วๆ ไปยังรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดแอบไว้ น้ำเพชรรีบเดินตาม เซียนหย่อนเงินลงในขันขอทานขณะเดินผ่าน น้ำเพชรมีสีหน้าละอายแทนแม่และโกรธเซียน เซียนเดินมาจนถึงมอเตอร์ไซค์
“นายเซียน” เซียนค่อยๆ หันกลับมามอง “ฉัน... เอ้อ... ฉันขอโทษแทนหม่าม้า...” น้ำเพชรหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมา แล้วหยิบใบละพันส่งให้เซียน 10 ใบ เซียนก้มลงมองเงินปึกนั้น
“ไม่ได้ ต้องทำหน้าเป็นพระเอก”
เซียนพึมพำบอกตัวเองแล้วเงยหน้าขึ้นมองน้ำเพชร ทำหน้าเคร่งขรึม
“อะไรหรือครับ”
“เงินจ้ะ ....หมื่นบาทเป็นค่าตอบแทนที่นายช่วยร้านของฉันไว้”
เซียนคว้าหมับทันที ไม่มีขอบอกขอบใจแล้วรีบเดินไปที่รถ ขณะน้ำเพชรมองงงๆ เซียนชะงัก แล้วหยุดเดิน
“ไอ้เซียน แกกำลังเห็นเงิน 1 หมื่นดีกว่าผู้หญิงที่หลงรักมานานเรอะ...คำตอบคือ...ใช่ เอ๊ย! ไม่ใช่” เซียนมองเงินอย่างสุดแสนเสียดาย แล้วหันขวับมา ทำหน้าแบบโดมผู้จองหอง “คุณน้ำเพชร”
น้ำเพชรหันกลับมามอง เซียนเดินเข้ามาใกล้ มือกำเงินแน่นด้วยความเสียดาย
“คุณกำลังดูถูกผม”
“อะไรอีกล่ะ”
น้ำเพชรทำเสียงรำคาญเซียนชูมือที่กำเงินขึ้น ทำหน้าตามีศักดิ์ศรีมาก
“เงินไม่สามารถซื้อได้ทุกอย่าง โดยเฉพาะคนอย่างผม…” เซียนจับมือน้ำเพชรแบออก แล้ววางเงินลงไปแล้วจับกำเอาไว้ไม่ยอมปล่อย “เอาเงินของคุณคืนไป ที่ช่วยก็เพราะผมแค่ทำสิ่งที่ถูกต้องตามสัญชาติญาณเท่านั้น”
น้ำเพชรกระชากมือออก
“ตามใจ ไม่เอาก็อย่าเอา หยิ่งไม่เข้าท่า”
น้ำเพชรเอาเงินคืนใส่กระเป๋า แล้วหันหลังเดินกลับ
“แค่เนี้ย” เซียน “มองตามอย่างผิดหวังสุดๆ “ พูดได้แค่เนี้ย รู้งี้เอาเงินไว้ก็ดี เฮ้อ”
เซียนเดินมาขี่รถออกไป
รถราคาแพงแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านมหาทรัพย์รุ่งเรืองกิจแล้วคนรถรีบลงมาเปิดประตูให้ ขณะที่สมทรงรีบเดินออกมารับ
“ปลาใหญ่มาแล้วใช่มั้ย” จันทร์ทิพย์ ภรรยาของเกริกก้องถามสมทรง
“ค่ะ พอมาถึงก็เข้าไปซุบซิบๆ กับ คุณผู้ชายเลยค่ะ”
“เดี๋ยวเข้าไปคุยข้างใน ของอยู่ในรถ เอาเข้าไปด้วย”
“ค่ะ”
จันทร์ทิพย์เดินเข้าไป สมทรงรับของที่คนรถเปิดท้ายรถหยิบส่งให้
จันทร์ทิพย์เดินเข้ามาในห้อง วางกระเป๋าแล้วทรุดตัวลงนั่ง เอนหลังพิงพนักหลับตาลงครู่หนึ่ง เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ แล้วสมทรงหอบหิ้วถุงต่างๆ เข้ามาจัดวางตรงหน้าเตียงอย่างเป็นระเบียบ จันทร์ทิพย์ลืมตาขึ้น
“ไหน! มันเข้าไปคุยกันว่ายังไง”
สมทรงยิ้มแห้งๆ
“สมทรงไม่ได้ยินค่ะ”
“อ้าว แล้วยังมีหน้ามารายงาน”
“โถ คุณจันทร์ขา เค้าพูดกันค้อย...ค่อย ...แถมยังเปิดประตูมากระแทก สมทรงโครมใหญ่เลยค่ะ”
“สมน้ำหน้า...ออกไปได้แล้ว เสียเวลาฟังจริงๆ เลย” สมทรงรีบลุกเดินออกไป “โง่”
จันทร์ทิพย์เดินกลับไปกลับมาครู่หนึ่ง แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด
โทรศัพท์บนโต๊ะทำงานเกริกก้องดังขึ้น
“ว่าไง” เกริกก้องถามเมื่อรับสาย
“ปลาใหญ่มาถึงแล้วค่ะ เห็นสมทรงรายงานว่า พอมาถึง ไอ้เจ้าครรชิตก็รีบพาเข้าไปหาพี่เกรียงไกรทันที”
“สาระแนแส่ดีนัก เห็นรีบไปคอยเสนอหน้ารอรับแต่เช้า จันทร์ก็เฉยๆ ไว้ก่อน อย่าไปแสดงท่าทางอะไรให้มันรู้สึก”
“รู้แล้วละค่ะ จันทร์โทรมารายงานแค่นี้แหละ”
จันทร์ทิพย์ปิดโทรศัพท์ สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
ขณะนั้นครรชิตกำลังบรรยายให้ปลาใหญ่ซึ่งนิ่งฟังอย่างตั้งใจ
“เนื่องจากธุรกิจของอาณาจักรมหาทรัพย์ ครอบคลุมทั้งคอมพิวเตอร์และเครื่องมือสื่อสารทั้งหมด คุณพ่อของคุณปลาใหญ่จึงมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้นประมาณ 1 แสนล้าน” ปลาใหญ่เหลือบตามองครรชิต “เพราะอย่างนั้น คุณพ่อท่านถึงไม่ไว้ใจใครนอกจากคุณปลาใหญ่” ปลาใหญ่ถอนใจ สีหน้ามีริ้วรอยกังวล “คุณปลาใหญ่มีความรู้ ความสามารถ มีความมั่นใจและตั้งใจสูง ถึงอายุจะน้อย แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรค” เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ “ใครครับ”
“ฉันเอง”
ครรชิตมองสบตาปลาใหญ่แว่บหนึ่งแล้วเดินไปเปิดประตู จันทร์ทิพย์ปั้นหน้าตื่นเต้นยินดีทันทีในขณะที่ผวาเข้ากอดปลาใหญ่และจุ๊บแก้มซ้ายขวา
“คุณหลานขา คุณหลานกลับมาแล้ว โอ๊ย คุณอาดีใจจนบอกไม่ถูกเลยค่ะ คิดทึ้ง คิดถึง” ครรชิตหันไปยิ้มกับจิ้งจกตุ๊กแก จันทร์ทิพย์จับไหล่ปลาใหญ่ เอียงคอมองซ้ายและขวาอย่างรักใคร่ชื่นชม “ต๊าย คุณหลานเป็นหนุ่มขึ้น...หล่อขึ้น ...เอ๊ะ ปีนี้ คุณหลานอายุเท่าไหร่แล้วคะ”
“ยี่สิบย่างยี่สิบเอ็ดครับ”
“โอ๊ะ …My god! ยี่สิบย่างยี่สิบเอ็ด แล้วคุณครรชิตพาเข้ามาอบรมเรื่องการทำงานเนี่ยนะ ไม่เอ๊า...ไม่เอา ...เครียดเว่อร์ อายุขนาดนี้ต้องเฮฮาปาร์ตี้ใช้ชีวิตให้สมวัยค่ะ คุณอาไม่อยากให้คุณหลานต้องสูญเสียความสนุกสนานของวัยรุ่นไป...มานี่ดีกว่าค่ะ”
จันทร์ทิพย์จูงปลาอย่างสนิทสนมพาเดินออกไป
“โอ๊ะ My god”
ครรชิตทำเลียนท่าจันทร์ทิพย์
จันทร์ทิพย์พาปลาใหญ่มาที่สระว่ายน้ำจากนั้นก็ปล่อยมือปลาใหญ่เปลี่ยนมาโอบไหล่ แล้วกดปลาใหญ่ลงนั่งตรงเก้าอี้ชุดริมสระ ซึ่งมีร่มใหญ่กางบังแดด
“นั่งค่ะ คุณหลาน”
สมทรงเข็นโต๊ะซึ่งวางน้ำหวาน...ไวน์ ... น้ำเปล่า ...ขนมของหวานต่างๆ มาวางเสริฟให้บนโต๊ะ พร้อมกับคุกเข่าส่งโทรศัพท์ให้จันทร์ทิพย์อย่างอ่อนน้อม
“รินไวน์ให้คุณปลาใหญ่ซิ”
จันทร์ทิพย์รับโทรศัพท์มาแล้วสั่งสมทรง
“ผมไม่ดื่มเหล้าหรือไวน์หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลทุกชนิดครับ” ปลาใหญ่บอก
“โอ๊ะ My God นี่คุณอาหูฝาดไปหรือเปล่าคะ ...เอ๊ะ” แววตาจันทร์ทิพย์เหมือนจะเยาะๆ แว่บหนึ่ง ขณะทำเสียงเหมือนเอ็นดู “หรือว่า...คุณหลานยังดื่มนมอยู่”
“ถูกต้องครับ…นมมีประโยชน์ต่อร่างกาย ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮอลมีแต่จะทำลายสุขภาพ”
จันทร์ทิพย์กำลังยกไวน์ขึ้นแตะปากชะงักค่อยๆ วางแก้วลง
“แหม...เล่นเอาดื่มไม่ลงเลย” จันทร์ทิพย์พยักหน้ากับสมทรง สมทรงรีบรินน้ำเปล่าให้ทั้ง 2 คน
“น้ำแร่ค่ะ”
“วันเสาร์นี้ คุณหลานคงหายเหนื่อยจากการเดินทางแล้วนะคะ คุณอาจะจัดปาร์ตี้ต้อนรับ คุณหลานจะเชิญเพื่อนๆ มาสักกี่คนเอ่ย คุณอาจะได้เตรียมสั่งอาหาร”
“ผมคิดว่ายังไม่ควรจัดงานรื่นเริงในขณะที่คุณพ่อยังนอนเจ็บอยู่” จันทร์ทิพย์หน้าเจื่อนไป “ที่จริง ผมเองก็ไม่ชอบงานประเภทนี้เท่าไหร่”
“แล้ว...ตอนอยู่เมืองนอก คุณหลานทำอะไรคะ”
ปลาใหญ่มองจันทร์ทิพย์เต็มตา
“เรียนหนังสือครับ มีเวลาว่างจากทบทวนบทเรียนก็ไปรับจ้างเสริฟอาหารบ้าง ล้างจานบ้างหารายได้พิเศษ”
“แม่เจ้า”
“Oh My god ทายาทคนเดียวของ “อาณาจักรมหาทรัพย์” เนี่ยนะคะไปรับจ้างเสริฟอาหาร ล้างจาน”
“แล้วมันเสียหายตรงไหนหรือครับ คุณอา”
“ก็ตรงที่เขาจะนินทาคุณพ่อไงล่ะคะ”
“ผมก็ไม่เคยบอกว่าตัวเองเป็นใคร แต่คนที่รู้ก็เห็นมีแต่เขาชมคุณพ่อกันทั้งนั้นว่าเลี้ยงลูกดี” ปลายใหญ่บอกแล้วขยับตัว “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวไปศึกษางานกับคุณครรชิตต่อ”
จันทร์ทิพย์ฝืนยิ้มแล้วพยักหน้าเหมือนไม่รู้จะพูดอะไรดี ปลาใหญ่ก้มศรีษะให้อย่างสุภาพแล้วเดินออกไป
จันทร์ทิพย์ค้อนลมค้อนแล้งตะโกนไล่หลัง “ไอ้เด็กเนิร์ด”
แสบสลับขั้ว ตอนที่ 1 (ต่อ)
ชีวิตค่ำคืนของชาวชุมชนหมอเล้งยังคงคึกคัก บางบ้านผัวเมียก็ทะเลาะกัน
“เมื่อไหร่แกจะเงียบซักทีหา”
“ก็แกเงียบก่อนซิเว้ย”
“ฝรั่งมันยังบอกว่า เลดี้เฟิ้ดเว้ยเฮ้ย”
“กูเป็นคนไทย คนไทยมันต้องเย็นเติ้นแพนเฟิ้ดเว้ย”
ลุงป่องซึ่งอยู่บ้านใกล้ๆ เปิดหน้าต่างออกมาตะโกนลั่น
“โว้ย ชาวบ้านเค้าจะหลับจะนอน แหกปากทะเลาะกันอยู่ได้”
เมียคว้าของใกล้มือปาลงทันที ลุงป่องรีบปิดหน้าต่าง
“นี่แน่ะ...ก็ไปนอนซิวะ แหกปากตะโกน...”
“เรื่องของผัวเมีย ชาวบ้านอย่างเจือก”
ที่บ้านสามสหาย ชายสี่ มอม ป๋อง กำลังนั่งล้อมวงกินข้าวกันตามประสา
“จริงๆ นะ วันนึงข้าต้องเปิดคาร์แคร์ให้ได้” ชายสี่บอก
“ข้าว่าเอ็งเปิดรถเข็นขาย บะหมี่เกี๊ยว น่าจะเป็นไปได้มากกว่าว่ะ”
“อ้าว เอ็งอย่าดูถูกวาสนาดวงชะตาของมนุษย์ แข่งเรือแข่งพายแข่งกันได้แข่งวาสนามันก็แข่งกันได้อีก ไม่ว่าอะไรก็แข่งกันได้ทั้งนั้นทั้งฟุตบอน...เทนนิด...ก๊อป”
“พอ ยิ่งพูดยิ่งมั่ว”
“ชายสี่อาจจะมั่ว แต่ชายป๋องไม่มีผัว ข้าจะเปิดร้านอาหาร โดยจ้างกุ๊กมาจากเกาหลี” ป๋องบอก
“เอ็งน่ะขายหมูปิ้งดีกว่ามั้ง” มอมแย้ง ชายสี่กับป๋องมองสบตากันแล้วพูดออกมาพร้อมกัน
“นึ่ง... สอง...ซ้ำ”
ชายสี่กับป๋องหิ้วปีกมอมออกไปข้างนอก โดยมอมร้องเอะอะโวยวายลั่น
“ไอ้ป๋อง ไอ้ชายสี่ บ้านเมืองเค้ามีขื่อมีแปนะเว้ย”
ชายสี่กับป๋องหิ้วมอมออกมาแล้วโยนโครมไป
“โอ๊ย เจ็บนะโว้ย”
มอมโวยวาย มีเสียงมอเตอร์ไซค์วิ่งตรงมา สามหนุ่มหันไปมอง เซียนขี่มอเตอร์ไซค์มาจอด
“เฮ้ย ไปแว้นกัน” เซียนชวน
“ไม่ละ ข้าจะเก็บเงินไว้เปิดคาร์แคร์” ชายสี่บอก
“ข้าก็จะเก็บเงินไว้เปิดร้านอาหาร”
“พวกมันเป็นคนมีอุดมการณ์ มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท”
“อุดมการณ์ของข้าก็มี... ไปตลาดฟาดให้เหี้ยนเตียนกระเป๋า ไป๊ ไอ้มอม พวกมันไม่ไปก็ช่างหัวมัน เราไปกัน แล้วข้าจะพาไปเลี้ยงข้าวมันไก่”
“ไปก็ไป นี่ข้าไม่ได้เห็นแก่กินนะเว้ย”
มอมไปขี่มอเตอร์ไซค์ ขับออกไปกับเซียน โดยชายสี่และป๋องมองตาม
อีกด้านที่บ้านของสายพิณ สายพิณกำลังบับนวดให้กับยายปิ่น
“ดีมาก... ตรงนั้นแหละ ยืนขายข้าวแกงทั้งวันมันปวดเมื่อยไปหมด”
“ก็หนูบอกแล้วว่าให้ยายพัก หนูขายคนเดียวก็ได้”
“โอย ขืนปล่อยให้เอ็งขายคนเดียว ไอ้พวกหนุ่มๆ จะได้มานั่งแทะโลมกันทั้งวัน โบราณท่านว่ามีลูกสาวหลานสาวมันเหมือนมีส้วมตั้งอยู่หน้าบ้าน ถ้าไม่ระวังดีๆ จะเหม็นหึ่งได้”
“ยายไม่ต้องห่วงหรอก หนูดูแลตัวเองได้”
“ความประมาทเป็นหนทางไปสู่ความตาย ยายเองก็ไม่ชอบอยู่เฉยๆ อย่างน้อยก็ได้ประกอบสัมมาอาชีวะคือเลี้ยงชีพชอบ ตามพระธรรมคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”
ยายปิ่นลุกขึ้นนั่งพนมมือเหนือหัว ทุกครั้งที่เอ่ยถึงพระพุทธเจ้า
“สา...ธุ”
ยายปิ่นตีแขนหลานทันที
“นี่แน่ะ ล้อเลียน บาปนะลูก อย่าทำเป็นเล่นไป”
ยายปิ่นลงนอนให้สายพิณนวดต่อ
“ยายปิ่น ยายปิ่น” เสียงสายไหมร้องเรียกยายปิ่นอยู่หน้าบ้าน
“เสียงไหมนี่ ออกไปดูซิ”
“ค่ะ”
สายพิณเดินออกจากห้องไป ยายปิ่นค่อยๆ ลุกขึ้น เส้นสายดังกร๊อบแกร๊บไปหมด
สายพิณเปิดประตูบ้านออกมา เห็นสายไหมยืนถือถุงขนม 2 ถุง
“ยายเอ็งนอนหรือยังล่ะ”
“ยังค่ะ หนูกำลังนวดให้อยู่ เข้ามาซิจ้ะ ป้า”
“ไม่ละ ป้าต้องเฝ้าบ้าน ไอ้เซียนมันพึ่งได้ที่ไหนล่ะ ค่ำลงก็โน่นล่ะไปซิ่งมอ’ไซค์ พูดแล้วอยากจะให้ตำรวจเขาจับได้นัก จะปล่อยให้ติดคุกให้เข็ด”
“อุ๊ย ป้าอย่าแช่งพี่เซียนซิคะ”
“ไอ้คนพรรค์นี้มันต้องมีบทเรียน…อ้ะ ป้าซื้อบัวลอยไข่หวานหน้าปากซอยมาฝาก”
“ขอบคุณค่ะ ป้า”
“ไปละ”
“เดินดีๆ นะ ป้า”
“เออ ขอบใจ”
สายพิณเดินกลับเข้าข้างใน
ค่ำวันเดียวกันนั้นที่บ้านมหาทรัพย์รุ่งเรืองกิจ เกริกก้องนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะอาหาร ขนาบข้างขวามือด้วยจันทร์ทิพย์และรัญญา ลูกเลี้ยงจันทร์ทิพย์ ส่วนด้านซ้ายเป็นปลาใหญ่ ต่อด้วยครรชิต
บรรยากาศค่อนข้างน่าอึดอัด สมทรงซึ่งคอยดูความเรียบร้อย พยักหน้ากับแป๊ว สาวใช้อีกคน แป๊วเริ่มตักข้าวแจกโดยเริ่มจากเกริกก้องไปทางจันทร์ทิพย์แล้วมาจบที่ครรชิต
“สมทรง”
“คะ”
“พยาบาลคนใหม่มาหรือยัง”
“เพิ่งมาเมื่อตอน 5 โมงเย็นนี่เองค่ะ”
“แล้วทำไมไม่มีใครรายงานฉัน” นัยน์ตาเกริกก้องมองมาที่ครรชิตแว่บหนึ่ง ทุกคนนั่งกันเงียบ “จำไว้ว่า หากมีอะไรเปลี่ยนแปลงในบ้านนี้ต้องรีบรายงานฉัน อย่าทำเหมือนบ้านนี้ไม่มีผู้ใหญ่ปกครอง”
ครรชิตกระแอมเล็กน้อย
“แต่คุณเกรียงไกรท่านรับรู้แล้วนี่ครับ”
เกริกก้องมองครรชิตอย่างเยือกเย็น
“พี่เกรียงไกรเป็นคนป่วย ไม่ควรจะเอาเรื่องสัพเพเหระไปรบกวน”
“ผมเห็นว่าไม่น่าจะเป็นการรบกวนอะไรนะครับ เพราะพยาบาลคนนั้นมีหน้าที่ดูแลคุณพ่อ ยังไงท่านก็ต้องรับรู้อยู่แล้ว”
ปลาใหญ่บอก ความเงียบอันน่าอึดอัดดูจะหนักขึ้น เมื่อใบหน้าเกริกก้องโกรธจนเขียวไปหมด จันทร์ทิพย์สะกิดรัญญา เพราะเป็นลูกรักของเกริกก้องเพื่อให้เปลี่ยนบรรยากาศ
“อเมริกาสนุกมั้ยคะ น้องปลาใหญ่” รัญญาหันมาถามปลาใหญ่
“ผมไปเรียนหนังสือครับ”
เกริกก้องวางช้อนส้อมลง
“ปลาใหญ่”
“ครับ”
“เดี๋ยวกินข้าวเสร็จ อาอยากคุยด้วยหน่อย”
“ได้ครับ”
“ต่อไปนี้ทุกคนกินกันไปเงียบๆ ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น”
ทุกคนก้มหน้าก้มตากินกันไปเงียบๆ ไม่พูดอะไรกันทั้งนั้น
หลังจากทานอาหารเสร็จปลาใหญ่มาหาเกริกก้องที่ห้องทำงาน เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา” ประตูเปิดออก ปลาใหญ่เดินเข้ามาแล้วปิดประตู “นั่งซิ”
“ขอบคุณครับ”
“จะกลับไปเรียนต่อเมื่อไหร่”
“คงจะไม่ไปแล้วละครับ คุณพ่อให้กลับมาช่วยงานท่านเป็นการถาวร”
“ปลาใหญ่อายุเท่าไหร่”
“ย่างยี่สิบเอ็ด แล้วก็จบปริญญาโทแล้ว”
เกริกก้องเลิกคิ้วนิดๆ
“จบจริงหรือว่าซื้อปริญญา”
ปลาใหญ่นิ่วหน้านิดหนึ่ง
“ทำไมคุณอาถึงถามอย่างนั้นล่ะครับ ผมเรียนจริง จบจริงแล้วก็ได้เกียรตินิยมจริงครับ ถ้าอาก้องไม่เชื่อจะติดต่อสอบถามไป...”
เกริกก้องโบกมือตัดบท
“อาเชื่อ... ก็ถามไปอย่างนั้นเอง เพราะเห็นอายุยังน้อยไม่อยากต่อด๊อกเตอร์หรอกหรือ” ปลาใหญ่ขยับจะตอบแต่เกริกก้องขัดขึ้นซะก่อน “อาจะพูดกับคุณพ่อให้ เอาไหม”
“คุณพ่อท่านต้องการให้ผมมาช่วยงาน”
“อายุแค่นี้ อาคงให้ฝึกเป็นพนักงานขายไปก่อนนะ เพราะยังไม่มีประสบการณ์”
“ผมคงต้องสุดแล้วแต่คุณพ่อครับ” เกริกก้องเอนตัวพิงพนัก ตาจ้องมองมาที่ปลาใหญ่นิ่งๆ “ถ้าคุณอาหมดธุระแล้ว ผมขอตัว”
เกริกก้องพยักหน้า สีหน้าแววตานิ่งสนิทเหมือนเดิม ปลาใหญ่เดินออกไป ทันทีที่ประตูปิดเกริกก้องกวาดของทุกอย่างบนโต๊ะลงพื้นด้วยอารมณ์รุนแรงสีหน้าแววตานิ่งสนิทกลับกลายเป็นโหดร้าย
บริเวณถนนแห่งหนึ่งกำลังเตรียมการแข่งมอเตอร์ไซค์ ซึ่งเต็มไปด้วยพวกแว้นและสก๊อย บรรดาวัยรุ่นที่เป็นกองเชียร์ เซียนแก่กว่าเพื่อนมีมอมเป็นพี่เลี้ยง ท่ามกลางเด็กวัยรุ่น แต่แววตาและสีหน้าท่าทางดูมุ่งมาดเร้าอารมณ์ไม่แพ้กัน คนให้สัญญาณยกธงขึ้น มอมตบหลังตบไหล่ให้กำลังใจเซียนคนให้สัญญาณโบกธงลง มอเตอร์ไซค์แต่ละคันเร่งเครื่องออกตัวเสียงสนั่นหวั่นไหว
เซียนออกรถด้วยสีหน้ามุ่งมั่นเอาเป็นเอาตาย แต่แล้วความโกลาหลวุ่นวายก็เกิดขึ้นเมื่อรถตำรวจออกมาดักจับและขวางทางไว้ รถขาแว้นบางคันล้มลง บางส่วนจอดหนีเอาตัวรอดได้บ้างไม่ได้บ้าง เซียนหนีสุดฤทธิ์กับขาแว้นอีก 4-5 คน ตำรวจขับรถออกมาดัก เซียนเบิกตากว้างหักหลบกระทันหัน รถล้ม ตัวเองกลิ้งลงไปกระทบคนอื่นๆ ล้มกันหมด
ตำรวจเข้ามาจับกุมเซียน และบรรดาขาแว้น ซึ่งพยายามขัดขืน หกล้มหกลุกหนีแต่ก็ไปไม่รอด
เช้าวันรุ่งขึ้นที่ร้านทองกิมฮวยมีลุงพิชิตมานั่งเฝ้าเป็น รปภ. ภายในร้านเติมศักดิ์นั่งคุมอยู่มุมหนึ่ง ข้างๆ ตัวมีปืนวางอยู่ ส่วนกิมฮวยมองผู้คนที่ผ่านไปมาและลูกค้าอย่างสำรวจตรวจตรา น้ำเพชรเดินออกมา แต่งตัวสวยจะไปทำงาน แต่แวะมาหยิบหนังสือพิมพ์ซึ่งวางอยู่ดูหน้าหนึ่ง น้ำเพชรเบิกตากว้าง ร้องเรียกแม่ลั่น
“หม่าม้า... อ่านหนังสือพิมพ์หรือยังคะ”
“อั๊วอ่านไม่อ๊อก”
“ขอโทษค่ะ หม่าม้ามาดูรูปนี่ซิคะ”
กิมฮวยเดินมาชะโงกดูและบ่น
“รูกอารายของลื้อ” กิมฮวยดูรูปแล้วชะงัก “ไอ๊หยา อาเซียง”
รูปในหนังสือพิมพ์ เซียนหน้าหงิกอยู่ท่ามกลางขาแว้นทั้งหลายซึ่งคาดปิดตากันหมดเพราะยังวัยรุ่น ยกเว้นเซียนคนเดียวที่เปิดหน้าชัดเจน
“อาเติง ลื้อมาลูนี่”
เติมศักดิ์เดินมาดู พร้อมปืน
“ไอ๊หยา อาเซียง”
“โธ่เอ๊ย แก่แล้วไม่เจียม ไปแว้นกับพวกวัยรุ่นจนถูกตำรวจจับ สมน้ำหน้า”
“แล้วอีจะถูกขังคุกหรือเปล่า”
“จะเหลือเรอะ”
น้ำเพชรนิ่งคิดครู่หนึ่ง
“เราน่าจะช่วยประกันตัวเขาออกมานะคะ น้ำไม่ชอบเป็นหนี้บุญคุณใคร”
“กี่บัก”
“น้ำก็ไม่ทราบค่ะ อาจจะหลักพัน”
กิมฮวยถึงกับตาเหลือก
“หา หลักพัง”
“อีช่วยม่ายให้เราเสียเงิงเป็นล้างๆ” เติมศักดิ์บอก
“ลื้อซี้ซั้วพูก ก็ไปปากังซิ อั๊วให้ไปแล้วตั้งสี่สิกบัก”
“อั๊วมีที่หนาย ลื้อเอาไปหมก”
“เดี๋ยวน้ำจัดการเองค่ะ จะได้หมดบุญคุณกันไป”
“อานั้ง หลักพังเชียวนะ ลื้อเอามาให้หม่าม้าดีกว่า”
“หม่าม้าคะ เตี่ยเคยสอนว่า “บุญคุณต้องทดแทน ความแค้นต้องชำระ” ซึ่งน้ำเห็นด้วย เพราะไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณใคร”
กิมฮวยหันขวับมาทางเติมศักดิ์
“ปากบ๊อง”
“อ้าว”
น้ำเพชรเดินออกไปด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว
ที่บ้านเซียน ขณะนั้นสายไหมนั่งกลางกองกล้วยเตรียมเอาไปขาย สีหน้าท่าทางหงุดหงิด ขณะที่ยายปิ่นและสายพิณช่วยกันพูดหว่านล้อม
“ป้าจ๋า... ป้าไม่สงสารพี่เซียนเค้าเหรอ”
“เอาคำตอบจากใจเลยมั้ย”
“เอ่อ...”
“จ้ะ”
“ฉันอยากให้มันติดคุกสัก 10 ปี เผื่อออกมาจะได้เป็นผู้เป็นคนกับเค้าบ้าง”
ยายปิ่นเริ่มตั้งกัณท์เทศน์
“คบคนพาล...พาลพาไปหาผิด...คบบัณฑิต ...บัณฑิตพาไปหาผลนะแม่สาย แล้วในคุกน่ะ เอ็งคิดดูก็แล้วกันว่ามันมีคนพาลหรือว่าบัณฑิต”
“อันว่าน้ำย่อมไหลลงสู่ที่ต่ำฉันใด ไอ้เซียนมันก็ย่อมไหลไปสู่ความชั่วฉันท์นั้นต่อให้ไปอยู่ท่ามกลางนักปราชญ์ราชบัณฑิตมากมายก่ายกอง มันก็จะทำให้คนดีๆ เหล่านั้นเปลี่ยนมาชั่วเหมือนมันกันหมด นี่...มันเป็นซะยังงี้ เพราะ
ฉะนั้นยายกลับไปขายข้าวแกงเสียยังจะเป็นประโยชน์โภชน์ผลมากกว่า”
“แกเคยได้ยินที่สมเด็จพระสัมพุทธเจ้า” ยายปิ่นยกมือไหว้ “ท่านตรัสเรื่องทิศทั้ง 6 มั้ย”
“ไม่เคย”
“ก็นี่ไง”
ระหว่างทั้ง 2 พูดกัน สายพิณลุกออกไป เพราะเห็นว่าไม่มีทางยุติ
ส่วนที่สถานีตำรวจ ขณะนั้นตำรวจกำลังอธิบายให้ชายสี่ ป๋อง มอม ฟังขณะที่เซียนกับบรรดาเด็กแว้นอยู่ในคุก
“ประกันไม่ได้”
“ทำไมล่ะครับ แม้แต่ข้าวเปลือก ยางพารา หรือพืชผลทางเกษตรยังประกันราคาได้ แต่นี่คนนะครับ”
“เออใช่ นี่มันเป็นสิทธิมนุษยชน คุณตำรวจเห็นไอ้เซียนไม่มีค่าเรอะไง ธ่อ”
มอมส่งเสียงดังสนับสนุนทันที ตำรวจเบือนสายตาไปมอง ขณะที่ป๋องพยายามสะกิดเพื่อนทั้งสอง
“ไอ้นี่เมื่อคืนอยู่ในเหตุการณ์ด้วยใช่มั้ย หน้าตาคุ้นๆ”
มอมเหวอ พูดไม่ออก ป๋องรีบแก้ตัวแทนเพื่อน
“มันไปเป็นเพื่อนไอ้เซียน แค่เป็นพี่เลี้ยง”
“นั่นไง”
“ไอ้ป๋อง”
“ไปเลย...เข้าไปรวมอยู่ในนั้น”
“ผมไม่ได้ซิ่ง”
“มันแค่ไปเป็นพี่เลี้ยง”
ชายสี่อุดปากป๋องไม่ให้พูด
“ได้โปรด เอ็งอย่าพยายามช่วยไอ้มอมต่อไปเลย แค่นี้มันก็เข้าคุกแล้ว”
ตำรวจจับมอมเดินไปใส่คุก โดยที่มอมพยายามปฏิเสธ
“เฮ้ย ไอ้ชายสี่ นี่เอ็งจะปล่อยให้เค้า...”
“เงียบเลย ไอ้ป๋อง ขืนพูดต่อ เอ็งกับข้าก็จะต้องพากันเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนไอ้เซียนกับไอ้มอม”
“เหรอ...”
“เออ”
ชายสี่กับป๋องเดินไปหาเซียนและมอมในคุก
ขณะนั้นน้ำเพชรขับรถเข้ามาจอดหน้าสถานีตำรวจ แล้วก้าวลงมาพร้อมห่อข้าวผัดและถุงโอเลี้ยง ผลไม้ 1 ถุง ในเวลาไม่ห่างกันนั้น สายพิณขี่มอเตอร์ไซค์ เข้ามาจอดพร้อมปิ่นโตกับข้าวและน้ำเปล่า สองสาวหันมามองกันอย่างแปลกใจแล้วต่างเดินเข้าไปในสถานีตำรวจ
น้ำเพชรเดินตรงเข้ามาที่โต๊ะร้อยเวรเช่นเดียวกับสายพิณ ท่ามกลางสีหน้าแววตาทึ่งๆ แถมประหลาดใจของทุกๆ คน ร้อยเวรรีบลุกขึ้นยืนทันที
“ฉันมาประกันตัวนายเซียนค่ะ”
“ฉันมาประกันตัวพี่เซียนจ้ะ”
น้ำเพชรกับสายพิณพูดออกมาพร้อมกัน สองสาวหันมามองหน้ากันแล้วลงเรื่อยมาที่เท้า จากเท้าขึ้นไปหน้า ขณะเดียวกับร้อยเวรมองสองสาวสลับกัน ภายในคุกเซียนลุกขึ้นยืนมองน้ำเพชรด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย มอมก็มองสายพิณอย่างดีใจ ขณะที่ชายสี่และป๋องมองอย่างแปลกใจ
“นั่นลูกสาวร้านทองนี่หว่า”
ป๋องมองบรรดาวัยรุ่นในคุก
“ไม่เห็นมีใครหน้าตาใกล้เคียงนางเลย”
“กรุณาอย่าเข้าใจผิดว่าฉันเป็นญาติโกโหติกาหรือว่าเพื่อนเขา ที่มาช่วยก็เพราะเขาเคยช่วยจับคนร้ายปล้นร้านทองครอบครัวฉัน” น้ำเพชรบอกกับร้อยเวร
“อ้อ...อ...”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้อง ฉันเป็นแฟนพี่เซียน ฉันจัดการเอง”
สายพิณบอกชายสี่กับป๋อง เดินเข้ามาฟัง ได้ยินพอดี
“เฮ้ย”
ชายสี่กับป๋องร้องออกมาพร้อมกันสายพิณหันมาถลึงตาใส่ประมาณให้เงียบ
“ฉันต้องการทดแทนบุญคุณให้มันหมดกันไป” น้ำเพชรบอก
“เอ๊ะ ก็บอกว่าไม่ต้อง”
สายพิณเริ่มขึ้นเสียงอย่างไม่พอใจ ร้อยเวรเห็นท่าไม่ดีรีบยกมือห้าม
“ไม่ต้องทั้ง 2 คนเลยครับ”
ทุกคนหันมามองร้อยเวร
ตำรวจไม่ยอมให้ประกันตัว สายพิณจึงเอาเรื่องนี้ไปบอกสายไหม สายไหมยกแขนปาดเหงื่อแล้วทรุดตัวลงนั่ง หน้าเสียลงขณะฟังสายพิณเล่า ยายปิ่นมองสายไหมอย่างเห็นอกเห็นใจ
“ตำรวจเขาบอกว่าไม่มีประกันตัว ให้จำคุก 1 เดือน ส่งฟ้องโดยไม่รอลงอาญา แล้วก็ยึดทรัพย์สินจ้ะป๊า”
“ทรัพย์สินมันก็มีไอ้มอเตอร์ไซค์ คันนั้นแหละ สมน้ำหน้า ผ่อนยังไม่หมดถูกเขายึดไปแล้ว สะใจนัก”
สายไหมกระแทกกระทั้นเสียง ทั้งเจ็บใจและแค้นใจเต็มไปหมด
“จะประชดประชันแดกดันมันไปทำไม ของอย่างนี้หยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ...องค์สมเด็จพระสัมมา...”
“หยุด! ยายปิ่น! หยุดเลย ตอนนี้ฉันยังไม่อยากฟังเทศน์ฟังธรรม”
“นั่นเพราะเอ็งปล่อยให้โทสะ... โมหะเข้าครอบงำ...” ยายปิ่นหลับตาพูด
“โอ๊ย...ย...”
“โกรธคือโง่... โมโหคือบ้า...”
“ฉันกำลังบ้าแล้วก็กำลังโง่”
สายไหมตะเบ็งเสียงบรรดาผู้คนที่กำลังเข้ามาซื้อของและรอซื้อ ต่างค่อยๆ พากันหลบไป
“สติ... สติ” ยายปิ่นยังหลับตาพูด สายพิณรีบเอามือปิดปากยายปิ่น
“พอได้แล้วยาย” ยายปิ่นพยายามดิ้น และหงุดหงิดที่สายพิณอุดปาก “ขันติ...ยาย...ขันติ”
น้ำเพชรทำงานอยู่ที่อาณาจักรมหาทรัพย์ พอเข้าออฟฟิศน้ำเพชรรีบก้าวเข้ามาอย่างรีบร้อน
“เฮ้ย คุณครรชิตต้องการพบแน่ะ”
มุกดา เพื่อนร่วมงานบอก
“ซวยแล้ว แล้วแกบอกหรือเปล่าว่าฉันมีธุระด่วน”
“บอก แกโทร.มาให้พูดยังไง ฉันก็พูดอย่างนั้นแหละ”
น้ำเพชรจัดการไขกุญแจเอากระเป๋าเข้าเก็บ แล้วรีบเดินออกไปทันที
น้ำเพชรรีบมาหาครรชิตที่ห้องทำงานซึ่งครรชิต เป็นผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล น้ำเพชรรีบเดินมาที่หน้าห้องแล้วเคาะเบาๆ
“เข้ามา”
น้ำเพชรเปิดประตูเดินเข้าไปแล้วพูดเร็วปร๋อ
“คืองี้ค่ะ น้ำไป...”
ครรชิตยกมือขึ้นเป็นเชิงห้ามพูด น้ำเพชรหยุดทันทีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
“ผมจะให้เปลี่ยนตำแหน่งใหม่” น้ำเพชรทำหน้างงๆ “ซึ่งก็คือ เป็นเลขาฯ ...”
“เลขาฯ ... ท่านรองประธานหรือคะ” น้ำเพชรถามอย่างตกใจ
“เปล่า”
“เฮ้อ” น้ำเพชรถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วนึกได้ “ขอประทานโทษค่ะ”
“เลขาฯ ท่านประธานคนใหม่”
น้ำเพชรชะงัก สีหน้าแววตาประหลาดใจสุดๆ
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่บ้านมหาทรัพย์รุ่งเรืองกิจ เกริกก้องอยู่ในห้องเกรียงไกร แต่นัยน์ตาเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความตกใจและไม่พอใจ เกริกก้องชี้หน้าปลาใหญ่ซึ่งนั่งอยู่อีกด้านหนึ่งของเตียงเกรียงไกร
“ไอ้เด็กเนิร์ดปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเนี่ยหรือครับ ที่จะเป็นประธานกรรมการแทนพี่เกรียง”
“ถูก และแกก็ต้องระวังคำพูดด้วย รองประธานไม่สมควรเรียกประธานว่า ไอ้เด็กเนิร์ด”
“พี่เกรียง ผมตั้งใจทำงานบริหาร “อาณาจักรมหาทรัพย์” ของเราจนเจริญก้าวหน้า แต่แล้วพี่กลับเห็นไอ้เด็ก...เอ้อ ....ปลาใหญ่ซึ่งอายุแค่ 20...”
“ย่างยี่สิบเอ็ด” เกรียงไกรแย้ง
“ก็ไม่ได้ต่างอะไรกันนักหรอกครับ ดีกว่าผม”
“ปลาใหญ่เป็นลูกฉัน”
“งั้นพี่เกรียงก็เล่นเส้น”
“แล้วแกล่ะ ไม่ได้เล่นเส้นหรอกเรอะ แกตั้งไอ้เด็กเนือย...”
“ใครครับ” เกริกก้องถามอย่างแปลกใจ
“ลูกสาวแก” เกริกก้องโกรธจนพูดไม่ออก “ซึ่งเป็นคนค่อนข้างไม่กระตือรือร้นเป็นผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและวางแผนแถมยังแต่งตั้งเมียใหม่ของแกซึ่งดีแต่แต่งตัวโฉบฉายไปมา เป็นผู้อำนวยการฝ่ายจัดซื้อ แล้วก็ซื้อจริงๆ...ซื้อเสื้อผ้า... กระเป๋า ... รองเท้า”
“ไอ้ครรชิตมันมาฟ้องพี่เกรียงใช่ไหม พี่เกรียงเห็นขี้ดีกว่าไส้”
“ถ้าไส้มันเน่า เหมือนไส้ของฉันเวลานี้ มันก็ต้องถูกตัดออกไป”
ปลาใหญ่ลุกขึ้นยืน
“คุณอาครับ”
เกริกก้องกำลังจะพูดกับเกรียงไกร เบือนสายตามาที่ปลาใหญ่
“พ่อด้วยหรือเปล่า ...” เกรียงไกรถามลูกชาย
“ทั้งคุณพ่อทั้งคุณอานั่นแหละครับ”
“โอ.เค ว่ามาเลย”
“ผมขอใช้ผลงานเป็นเครื่องพิสูจน์ ถ้าหากภายในระยะเวลา 1 ปี ผมสร้างความเจริญก้าวหน้าให้บริษัทไม่ได้ หรือทำให้บริษัทขาดทุน ผมจะลาออกจากตำแหน่งประธานทันที โดยไม่ต้องให้ใครมาไล่”
“คิดดีแล้วหรือลูก”
“ครับ คุณพ่อเคยสอนผมว่า ก่อนพูดเราเป็นนายคำพูด แต่พอพูดแล้วคำพูดเป็นนายเรา”
“ปลาใหญ่ แกทำลืมๆ ไอ้คำสอนพวกนี้เสียบ้างก็ได้”
“ตกลง ฉันจะถือเป็นคำมั่นสัญญาของลูกผู้ชาย” เกริกก้องบอก
“ถ้าคุณอาต้องการให้ผมเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร ผมก็ยินดี”
“ไอ้เด็กเนิร์ด” เกรียงไกรพึมพำแล้วหลับตาลง เกริกก้องยิ้มแฝงเลศนัย
“ดี เราจะได้ไม่ต้องมาเถียงกันทีหลัง”
“แน่นอนครับ”
น้ำเพชรยังอยู่ในห้องทำงานครรชิต เธอมีสีหน้าลังเลเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าต้องไปเป็นเลขาให้ใคร
“เฮ้อ น้ำไม่แน่ใจว่าจะทำหน้าที่ได้ดีหรือเปล่าน่ะค่ะ”
“อ๋อ อันนั้นเป็นเรื่องรอง หนูมีคุณสมบัติอื่นที่โอ.เค.เลย”
“คุณสมบัติอะไรคะ”
“เพิ่งเข้ามาทำงานใหม่ ยังไม่มีใครมาครอบงำ! และจากประวัติเท่าที่อ่านดู...” ครรชิตชี้แฟ้มบนโต๊ะ “ฐานะทางครอบครัวอยู่ในเกณฑ์ดีมาก เพราะฉะนั้นหนูก็ไม่น่าจะเห็นแก่เงิน เอาละลุงจะพาไปดูห้องทำงานของท่านประธานคนใหม่” ครรชิตบอกแล้วเดินมาเปิดประตู “เชิญ”
“ขอบคุณค่ะ”
“อ้อ มีอีกเรื่องนึง หนูต้องเรียกว่าคุณลุง เพราะเราจะเป็นญาติกัน”
“ญาติทางฝ่ายไหนคะ”
“จะฝ่ายพ่อหรือฝ่ายแม่ก็ได้ตามใจ แต่เราต้องเป็นญาติกันเพื่อป้องกันเอาไว้อีกชั้นนึง”
“ดูลึกลับซับซ้อนพิกลนะคะ”
“ลึกลับซับซ้อนอาจจะใช่ แต่รับรองว่าไม่พิกล”
ครรชิตเดินออกไป น้ำเพชรรีบตาม
แสบสลับขั้ว ตอนที่ 1 (ต่อ)
เกริกก้องกลับมาที่ห้องทำงานของตัวเองแล้วตบโต๊ะปังด้วยความเคียดแค้น
“ผมอยากจะฆ่ามันนัก”
จันทร์ทิพย์ถึงกับสะดุ้ง
“จุ๊ จุ๊ อย่าเสียงดังค่ะ โบราณว่าหน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง ถ้าจะทำก็ต้องไม่พูด”
“อะไรนะ”
“คุณจะลงมือก็ลงมือเลย”
เกริกก้องมองจันทร์ทิพย์ครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ ยิ้มออกมา
“ผมเลือกเมียไม่ผิดจริงๆ”
“ก่อนอื่น เราต้องเปลี่ยนพยาบาลใหม่ เรื่องนี้จันทร์จัดการเองค่ะ”
สีหน้าแววตาจันทร์ทิพย์โหดร้ายไม่แพ้เกริกก้อง
พยาบาลกำลังนั่งกินข้าวอยู่ในครัว จันทร์ทิพย์เดินเข้ามาพยาบาลชะงักค่อยๆ ปล่อยช้อนแล้วลุกขึ้น
“นั่งเถอะจ้ะ” จันทร์ทิพย์ยิ้มใวห้พยาบาล
“ไม่...ไม่เป็นไรค่ะ...เอ้อ...คุณ...มาหาพี่สมทรงหรือคะ”
“มาหาเธอนั่นแหละ คืออย่างนี้ พยาบาลคนเดิมเขาโทร.มาหาฉันเมื่อคืน เขาอยากจะกลับมาทำงานใหม่”
“เอ้อ...หมายความว่าจะให้หนูออกหรือคะ”
“ไม่ได้ให้ออกเปล่าๆ” จันทร์ทิพย์เปิดกระเป๋าพลางพูดไปด้วย “ฉันรู้ว่า เธอจำเป็นต้องใช้เงินแล้วฉันก็เป็นคนใจอ่อน...ขี้สงสารเสียด้วย”
จันทร์ทิพย์หยิบสมุดเช็คขึ้นมา แล้วเขียนตัวเลขลงไป เซ็นชื่อ แล้วส่งให้ พยาบาลมองตัวเลข แล้วเบิกตากว้าง
“5 หมื่น”
“ฉันไม่ได้บังคับให้เธอออกนะ เธอจะอยู่ต่อก็ได้ ส่วนคนเก่าฉันก็จะหางานใหม่ให้เขา คิดให้ดีก็แล้วกัน คุณเกรียงไกรน่ะ อย่างเก่งที่สุดก็อยู่ได้แค่ 2 เดือน”
“หนูขอรับเช็คนี่ค่ะ” พยาบาลรีบบอก
“เก็บข้าวของออกไปได้เลย เพราะเดี๋ยวคนเก่าเขาก็จะมาแล้ว”
“ค่ะ งั้นหนูไปกราบลาท่าน”
“ไม่ต้อง ฉันจะไปเรียนท่านให้เอง”
สีหน้าจันทร์ทิพย์พอใจเป็นอย่างยิ่ง
ขณะนั้นเกริกก้องนั่งอยู่เบาะหลังรถสีหน้าราบเรียบสนิทนัยน์ตาแฝงแววโหด เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เกริกก้องหยิบขึ้นมาดูแล้วรับสาย
“ว่าไง”
“เรียบร้อยค่ะ เดี๋ยวจันทร์จะเรียกคนของจันทร์มา”
“จัดการไปได้เลย”
เกริกก้องปิดโทรศัพท์ สีหน้าแววตาสะใจขึ้นมาแว่บหนึ่ง
น้ำเพชรกลับมาเก็บข้าวของที่ห้องทำงาน มุกดามองน้ำเพชรเก็บของอย่างแปลกใจ
“เฮ้ย ทำไมรวดเร็วทันใจฉับไวขนาดนี้เฮอะ”
เพื่อนคนอื่นๆ พยักเพยิด
“ก็ไม่รู้ เขาบอกว่านี่เป็นคำสั่ง”
“แล้วใครคือประธานคนใหม่”
“ไม่รู้ ไม่ได้ถาม”
“หรือว่าจะเป็นคุณเกริกก้อง”
“คุณเกริกก้องเป็นรองประธานอยู่แล้ว และนี่เขาก็บอกว่าท่านประธานคนใหม่”
รปภ.เดินเข้ามาหาน้ำเพชร
“รปภ. มาช่วยขนของแล้ว” มุกดาบอก น้ำเพชรหันมาแล้วชี้กล่องใส่ของ
“มีแค่กล่องเดียวนี่แหละจ้ะ” รปภ. ยกกล่องออกไป น้ำเพชรโบกมือลาเพื่อน “ไปก่อนนะ”
“ได้ดีแล้วอย่าลืมเพื่อนล่ะ”
น้ำเพชรหัวเราะ แล้วเดินออกไป
น้ำเพชรกับ รปภ.เดินมาถึงหน้าห้องปลาใหญ่
“วางเลยจ้ะ ขอบใจมาก”
“ไม่เป็นไรครับ”
รปภ.วางของแล้วเดินจากไป น้ำเพชรเปิดกล่องออกแล้วนึกได้
“ไม่ได้ ต้องเข้าไปดูความเรียบร้อยในห้องเจ้านายก่อน”
น้ำเพชรรีบเปิดประตู เดินเข้าไป
น้ำเพชรเดินเข้ามาในห้องแล้วชะงักเมื่อเห็นปลาใหญ่กำลังยืนหันหลังให้ จับดูโน่น...นี่...นั่น บนโต๊ะ
“คุณ....” ปลาใหญ่หันกลับมา นัยน์ตามีแววพิจารณาแว่บหนึ่ง “อ้าว น้อง...น้องมาทำอะไรในนี้ นี่มันห้องท่านประธานจ้ะ ออกไปก่อน เดี๋ยวท่านก็มาแล้ว”
“ขอโทษครับ”
“ไม่เป็นไร” น้ำเพชรเดินไปเปิดประตูให้ “เป็นพนักงานใหม่หรือเปล่า”
“ครับ”
“ว่าแล้ว ถึงได้เดินหลง อยู่ฝ่ายไหนล่ะเรา”
ปลาใหญ่ยังไม่ทันตอบ ครรชิตเดินเข้ามา
“อ้าว คุณปลาใหญ่”
น้ำเพชรหัวเราะคิกๆ
“ชื่อปลาใหญ่หรือจ๊ะ สงสัยจะชอบกินปลาเล็ก”
ปลาใหญ่ทำหน้าพิกล
“เฮ้ย...” ครรชิตร้องอย่างตกใจ
“ไม่เป็นไรครับ” ปลาใหญ่บอก
“เป็นไรสิครับ หนู .... นี่คุณปลาใหญ่ ลูกชายคนเดียวของคุณเกรียงไกรและเป็นประธานคนใหม่ของ “อาณาจักรมหาทรัพย์”
น้ำเพชรหุบยิ้มแทบไม่ทัน มองใหญ่ปลาหัวจรดเท้า เท้าขึ้นหัว
“เนี่ยนะคะ”
“เออ! เนี่ยแหละ แล้วนี่คือคุณน้ำเพชร เลขาฯ ของคุณปลาใหญ่ครับ”
ปลาใหญ่ยื่นมือมาให้น้ำเพชร
“ยินดีที่ได้รู้จัก และร่วมงานด้วยครับ”
น้ำเพชรยิ้มแห้งๆ ยื่นมือแบบเกร็งๆ ไปแตะมือปลาใหญ่
“เช่นกันค่ะ แล้วก็ต้องขอโทษด้วย ที่เมื่อกี้มีตาแต่หามีแววไม่ ...”
ปลาใหญ่หันมามองครรชิต
“ผมชอบเธอ” ครรชิตและน้ำเพชรสะดุ้ง น้ำเพชรหน้าแดง “เธอเป็นคนจิตใจดี และมีเมตตา นอกเหนือจากความสวย”
น้ำเพชรแอบห่อปาก
“ดีใจที่ทั้ง 2 คนเข้ากันได้ อ้อ! คุณปลาใหญ่ครับ เวลานี้น้ำเพชรอยู่ในฐานะเป็นหลานสาวของผมนะครับ”
“แล้วเวลาอื่นล่ะ”
ครรชิตทำท่าอับจนถ้อยคำจะอธิบายเลยปล่อยให้เลยตามเลย
“เวลาอื่นก็ใช่ครับ”
ปลาใหญ่พยักหน้ารับ
“ผมมีวิธีการทำงานแบบนี้ ...เชิญนั่ง”
ปลาใหญ่เดินนำทั้ง 2 คนไปนั่งเก้าอี้รับแขกที่มุมห้อง ปลาใหญ่อธิบายด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง
ยายปิ่นและสายพิณมาเยี่ยมเซียนที่สถานีตำรวจ เซียนและมอมนั่งกอดเข่าอยู่ในคุกคุยกับคนมาเยี่ยม
“ป้าคงเกลียดผมน่าดูชม”
“มันเป็นความเกลียดที่คละเคล้าอยู่กับความรัก...หรืออาจจะเรียกว่าทั้งรักทั้งแค้น ข้าว่ายังงั้นนะ องค์สมเด็จพระสัมมา” ยายปิ่นพนมมือ ทุกคนพนมตาม สายพิณรีบสะกิดยายปิ่น
“ยาย”
“หือ”
“เอาพอแค่หอมปากหอมคอพอ”
ยายปิ่นเอามือลง ทุกคนเอาลงตาม
“ขนาดยังไม่ติดคุก คุณน้ำเพชรเขายังมองแทบไม่เห็นหัวข้าเลย แล้วนี่ข้าต้องเป็นไอ้ขี้คุก...”
เซียนบอก สายพิณนึกฉุน
“โฮ้ย กลับดีกว่า” ทุกคนเงยหน้ามองสายพิณซึ่งผุดลุกพรวดพราดขึ้นทันทีทันใด “คนเขาอุตส่าห์มีน้ำใจมาเยี่ยมกัน แทนที่จะสำนึกบุญคุณ ดั๊น ...น...ไปคร่ำครวญถึงใครก็ไม่รู้ ทุเรศว่ะ”
สายพิณสะบัดบ๊อบเดินออกไป
“อ้าว สายพิณ เพิ่งจะหย่อนก้นนั่ง จะกลับแล้วเหรอวะ ยายกลับด้วย”
ยายปิ่นลุกตามไป สายพิณตะโกนตอบโดยไม่หันไป
“ฉันเกลียดคนไร้สำนึก ไร้น้ำใจ”
“เฮ้ย ไอ้บ้าเซียน ข้ายังไม่ทันจะมองหน้าสายพิณให้อิ่มอกอิ่มใจเลย เอ็งก็พูดจนเค้าไปแล้ว” มอมต่อว่าเซียน
“ความรักที่มันไม่ลงล็อคมันก็เป็นแบบนี้แหละ คู่กันแล้วย่อมไม่แคล้วกัน...แม้กระทั่งดอกฟ้ากับหมาวัด”
“ปรัชญาเมธี มาแล้ว”
“ใครจะไปรู้ ชายสี่อาจจะเคยทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขันกัน หญิงสาวที่งามเพียบพร้อมสักคนก็ได้” ชายสี่บอก
“ช่วยกรุณากลับกันไปเสียทีเถอะว่ะ ยิ่งอยู่ข้ายิ่งปวดหัว” เซียนบอก
“ไอ้ป๋อง ฝากบอกสายพิณด้วยนะว่า คืนนี้ข้าจะฝันถึง” มอมบอก
“ฝันถึงในคุกเนี่ยนะ”
“จะได้มีกำลังใจอยู่ให้ครบเดือนไง”
ชายสี่กับป๋องลุกขึ้น โบกไม้โบกมือร่ำลาเซียนและมอม
“ทำไมเอ็งไม่ฝากชายสี่ไปวะ มันพูดจามีสาระ” เซียนถามมอม
“แต่ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องว่ะ”
มอมกับเซียนนั่งปรับทุกข์กันไป
ค่ำวันนั้นที่ชุมชน ผัวเมียที่อยู่ข้างบ้านลุงป่องยังคงทะเลาะกันเหมือนกับทุกวันที่ผ่านมา
“หน็อยแน่ ไอ้กระหัง ไม่พอใจข้าก็ไปสิงอยู่ที่อื่นซิเว้ย”
“แกน่ะซิไป นังกระสือ บ้านหลังนี้เป็นมรดกตกทอดมาจากต้นตระกูลของข้า ท่านเป็นพระยาเชียวนะเว้ย”
“พระยาเทครัวน่ะซิ”
ลุงป่องเปิดหน้าต่างออกมารับลม
“ใครบอกให้เปิดหน้าต่าง หา ใครบอก”
ลุงป่องสะดุ้ง และส่ายหน้า
“ไม่...ไม่มี”
“ไม่มีแล้วเปิดทำไม อยากสอดรู้สอดเห็นเรื่องของชาวบ้านเค้าใช่มั้ย” ลุงป่องส่ายหน้า “อย่า! อย่ามาปฏิเสธ”
เมียปาสากเข้าไป ลุงป๋องหลบวูบ
“นี่แน่ะ! สอดรู้สอดเห็น เรื่องของผัวเมียชาวบ้านไม่เกี่ยว”
“สากไปแล้ว! จะเอาครกอีกมั้ย”
ผัวยกครกขึ้นลุงป่องรีบปิดหน้าต่างทันที
“ซวย จัง กู...อยู่ที่ไหนไม่อยู่ ดันมาอยู่ติดกับอีคู่นี้”
ที่บ้านสามหนุ่ม ป๋องยกจานผัดผักบุ้งและจานไข่เจียวฟูน่ากินมาวาง
“มาแล้ว ผัดผักบุ้งกับไข่เจียวร้อนๆ...เฮ้อ ! คิดถึงไอ้มอมกับไอ้เซียนว่ะ เคยกินด้วยกัน 4 สหาย” ป๋องตักข้าวใส่จานวางให้ชายสี่และตนเอง “อ้าว! ไอ้ชาย มากินข้าว”
ชายสี่ซึ่งเดินกลับไปกลับมาช้าๆ ด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด เดินมาทรุดตัวลงนั่ง
“เป็นไรวะ”
“ข้ากำลังพยายามหาวิธีให้ดอกฟ้าเห็นใจหมาวัด เอ็งเห็นหน้าไอ้เซียนเมื่อตอนเย็นมั้ยดูมันหมดหวังในชีวิตยังไงก็ไม่รู้”
“มีอยู่วิธีเดียว”
“อะไร”
“ให้ไอ้เซียนมันถูกหวย”
“ไอ้บ้า นี่ข้าเอาจริงนะเว้ย”
“แม่อีเค็มยังกับเกลือ ไอ้เซียนมันยังเรียก คุณนายสินเธาว์เลย”
“ผู้หญิงเป็นเพศที่ใจอ่อน...ขี้สงสาร...เราต้องใช้มุกขวัญใจคนยากนี่แหละ”
ชายสี่บอกด้วยสีหน้าหมายมาด
วันรุ่งขึ้นที่หน้าร้านทองกิมฮวย รปภ.ยืนขึงขังอยู่หน้าร้านทอง ขณะที่เติมศักดิ์นั่งจิบชาอยู่มุมหนึ่งโดยมีปืนอยู่ใกล้ตัวตามเคย ส่วนกิมฮวยและพนักงาน 2 สาวเข้าประจำที่ รถจักรยานยนตร์สองคันแล่นมาจอด ชายสี่และป๋องหอบถุงกับข้าวและถุงกล้วยจากร้านยายปิ่นและสายไหมเดินมาที่ร้าน
ชายสี่และป๋องเดินตรงเข้ามา รปภ.ยกกระบองก๋ายืนขวางทันที ส่วนเติมศักดิ์หยิบปืน
“พวกลื้อมาหาใคร”
“มาหาท่านฮวยครับ”
“ใครวะทั่งฮวย ชื่อคุ้งๆ”
“ก็คุณผู้หญิงไงล่ะครับ แล้วก็ท่านเติมด้วย”
“ทั่งเติงก็อั๊วน่ะซี แหม พูกจาลีมีสังมาคาราวะ พวกลื้อมาหาอั๊วทังมาย บอกก่องว่าห้างป้ง(ห้ามปล้น)”
“ผมมีของคาวของหวานมาฝากครับ”
กิมฮวยหูผึ่งทันที
“อาพิซิก ป่อยเข้ามาเลย” ชายสี่กับป๋องรีบเดินเข้ามาในร้านทันทีเช่นกัน “ไหน มีอะไรมามั่ง”
“ผัดเผ็ดปลาดุก แกงเหลือง ผัดหนังหมู เอ๊ย ผัดกระเพาะปลาครับ”
“ของหวานเป็นกล้วยปิ้ง กับมันสำปะหลังเชื่อมครับ”
“พวกลื้อต้องกางอะไร”
“บอกก่องว่าอั๊วไม่ให้”
“อ๋อ! นี่ของคุณเซียนฝากมาให้ครับ”
“คุงเซียง อั๊วไม่รู้จักคุงเซียง รู้จักแต่ไอ้เซียงซึ่งเวลานี้อีติกคุกอยู่”
“ไอ้เซียนหรือคุณเซียนก็เป็นคนเดียวกันครับ”
“เอากักคึงไป” ทุกคนสะดุ้ง “อั๊วไม่ลักของคงแปกหน้า”
“แปกหน้าที่หนาย คงคุ้งเคยกังทั้งนั้ง”
กิมฮวยบอก เติมศักดิ์หันขวับมามอง
“อาฮวย”
“ลื้อไม่ลักก็อย่าลัก อั๊วลักเอง แต่บอกก่องว่าอั๊วไม่มีอารายให้ตอกแทง”
“อ๋อ! อันนี้ชาวบ้านร้านตลาดเขาก็รู้กันหมดแล้วครับ”
“แปว่าลีหรือไม่ลี”
“แปลว่ามีชื่อเสียงครับ”
“ฝักบอกอาเซียงล่วยว่าของพวกนี้อั๊วลักล่วยใจ ม่ายช่ายล่วยเงิน”
ค่ำวันนั้นภายในห้องกินข้าวบ้านกิมฮวย น้ำเพชรเปิดถุงกับข้าวใส่ชามเข้าไมโครเวฟ
“หอมจัง” น้ำเพชรยกอาหารทั้ง 3 ชาม มาวางบนโต๊ะกินข้าว เติมศักดิ์และกิมฮวยเดินลงมา
“หม่าม้าซื้อกับข้าวร้านไหนคะ หอมน่ากินจัง”
น้ำเพชรพูดพลาง คดข้าวใส่จานวางให้พ่อแม่ และของตัวเอง
“อาเซียงอีฝักเพื่องๆ เอามาให้”
น้ำเพชรชะงักทันที
“แล้วหม่าม้าก็รับ”
“อาหม่าม้าลื้ออีลักเละตาหลอก อั๊วห้างก็ไม่เชื่อ”
“อาเติง ลื้ออย่ามาซี้ซั้วพุก เขาให้มาเราก็ต้องลักตางมารายาก”
“นายเซียนเขากำลังดูถูกเรานะคะ”
“ลูถูกลีกว่าลูผิก”
“อาฮวย/หม่าม้า”
เติมศักดิ์กับน้ำเพชรพูดออกมาพร้อมกัน
“ใครไม่กิงอย่ากิง อั๊วกิงเอง”
กิมฮวยกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย เติมศักดิ์มองครู่หนึ่งแล้วกินตาม
“กิงก็ล่าย”
น้ำเพชรหงุดหงิดและกินข้าวเปล่าๆ
“อานั้ง! อาหร่อยน้า”
“น้ำขอกินข้าวเปล่าๆ ดีกว่าค่ะ”
เมื่อกินข้าวเสร็จน้ำเพชรกลับเข้าห้องอย่างหงุดหงิด
“ไอ้นายเซียน บังอาจส่งกับข้าวมาเยาะเย้ยฉันอีก เอาไงดี”
น้ำเพชรเดินกลับไปกลับมาครู่หนึ่ง แล้วก็คิดออก เดินไปที่โต๊ะหนังสือจัดการเขียนจดหมายทันที
เช้าวันต่อมา ชายสี่ ป๋อง ลุงป่องและเด็กวินอีก 3-4 คน ขี่มอเตอร์ไซค์รับส่งชาวชุมชนเข้าออกกัน ใครว่างก็เล่นหมากรุกไป รถเก๋งคันหนึ่งแล่นมาจอด น้ำเพชรกดหน้าต่างลงและบีบแตรเรียก ทุกคนหันมามอง
น้ำเพชรชี้ชายสี่และกวักมือ ชายสี่ชี้ตัวเองด้วยไม่แน่ใจ น้ำเพชรทำสีหน้าหงุดหงิดรำคาญและพยักหน้า ชายสี่รีบวิ่งไปหา
“มีอะไรหรือครับ”
น้ำเพชรส่งซองจดหมายให้
“ฝากไปให้นายเซียนหน่อย”
“จดหมายเนี่ยน่ะหรือครับ” ชายสี่ถามอย่างแปลกใจ
“ใช่ พวกนายก็เหมือนกัน ไม่ต้องรับฝากของจากนายเซียนไปให้ที่บ้านฉันอีกจำใส่ใจไว้ด้วย”
พอพูดจบน้ำเพชรก็ปิดประจก แล้วขับรถออกไป ชายสี่มองตามแล้วมองจดหมายในมือ
ชายสี่เอาจดหมายมาให้เซียน เซียนรับจดหมายจากชายสี่ด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจแล้วจูบซองจดหมายอย่างชื่นอกชื่นใจ
“จดหมายคุณน้ำเพชร...หอมชื่นใจจังว่ะ” ชายสี่และมอมสบตากัน แล้วมองหน้าเซียนปลงๆ แล้วอ้าปากจะพูด
“หยุด! ข้าจะอ่านจดหมายแฟน ห้ามใครส่งเสียงดัง”
เซียนค่อยๆ เปิดซองอย่างทะนุทะนอม และชะงักเมื่อเห็นเงิน 5 พันบาท เซียนดึงจดหมายออกมาและปิดซองอย่างรวดเร็ว
“แฟนบ้าอะไรวะ ยังกับดอกฟ้ากับหมาวัด” มอมบอก
“แบบ .... หมาเห็นเครื่องบินก็ได้ ดอกไม้ในโคลนตมก็ดี...หรือ... นางตานีกับผีก็องก๊อย” ชายสี่บอก
เซียนเบือนหน้ามามองหน้าเพื่อน 2 คน สลับกันเซ็งๆ
“เอ็งนั่นแหละผิดไอ้ชาย เอ็งไม่ควรเอาจดหมายมาให้ไอ้เซียน”
“ข้า เป็นคนถือสัจจวาจา ลูกผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้”
“ไอ้มั่ว”
“โอ๊ย” มอมกับชายสี่จ๋อย “ไอ้ชาย เอ็งกลับไปรับจ๊อบได้แล้ว”
ชายสี่ยกมือห้าม
“ไม่ต้องไล่ ข้ากำลังจะกลับพอดี”
ชายสี่เดินออกไป เซียนค่อยๆ คลี่จดหมายอย่างเบามือ
“นายเซียน นายบังอาจมากที่ส่งกับข้าวมาให้อาเตี่ยกับหม่าม้าฉัน ฉันรู้ว่านายต้องการจะแดกดันที่หม่าม้าให้รางวัลตอบแทนนาย 40 บาท นายต้องการจะด่าหม่าม้าฉันผ่านกับข้าว 3 ถุงนั่น นายจะจองเวร จองกรรมหม่าม้าไปถึงไหน ... พร้อมกับจดหมายฉบับนี้ ...ฉันส่งเงินมาให้ นาย 5 พันบาท หวังว่าคงจะหมดเวรหมดกรรมกันเสียที”
มือของเซียนสั่นเทา ขณะค่อยๆ ลดจดหมายลง เซียนขบกรามแน่น นัยน์ตาเจ็บปวด
“เฮ้ย ไอ้เซียน เอ็งเป็นอะไรหรือเปล่า”
เซียนลุกขึ้นเดินเข้าไปข้างใน แล้วเอนตัวลงนอนก่ายหน้าผาก โดยอีกมือวางทับจดหมายและซองซึ่งอยู่บนหน้าอก มอมรีบตามมา
“ไอ้เซียน เอ็ง...”
“ข้าไม่ได้เป็นอะไร”
“แต่ว่า...”
“ไม่ต้องเป็นห่วง คนยากจนหาเช้ากินค่ำอย่างพวกเราหนังมันหนาเสียจน ใครจะพูดอะไร จะทำอะไรก็ไม่มีวันเจ็บปวด”
“เฮ้ย”
เซียนหลับตาลง มอมมองเพื่อนและถอนใจยาว
ที่บ้านมหาทรัพย์รุ่งเรืองกิจ พยาบาลกำลังจัดยาให้เกรียงไกรซึ่งนอนหลับตาอยู่บนเตียง มือพยาบาลหยิบถุงเล็กๆ ประมาณถุงยาออกมาจากอกเสื้อ พยาบาลเหลียวมองซ้ายขวาแล้วหยิบยาออกมา 1 แคปซูล แล้วเอาถุงยาใส่ในอกเสื้อตามเดิม
พยาบาลมองซ้ายมองขวาอีกครั้ง แล้วแกะแคปซูลเทผงยาลงใส่ในแก้วน้ำ ผงแคปซูลละลายในน้ำอย่างรวดเร็ว พยาบาลยกถาดยาหันกลับมาแล้วสะดุ้งเฮือก ถาดยาเกือบตกจากมือเมื่อเห็นปลาใหญ่ยืนมองอยู่
“พยาบาลคนเก่าล่ะ” ปลาใหญ่ถามเสียงเรียบ
“เอ้อ...”
“เห็นจันทร์ทิพย์เขาบอกว่า พ่อหรือแม่เขาเจ็บหนัก ต้องรีบกลับไปดูแล” เกรียงไกรบอก
“ใช่ค่ะ” พยาบาลบอกแล้วปรับสีหน้าท่าทางเป็นปกติ
“ไอ้โรคภัยไข้เจ็บนี่ก็ช่างไม่เข้าใคร ออกใครเสียเล้ย”
พยาบาลเดินมาวางถาดบนเตียง หยิบถ้วยเล็กๆ ใส่ยา 2-3 เม็ดส่งให้
“นี่ค่ะ ท่าน”
เกีรยงไกรเบือนหน้าหนี
“กินก็ตาย ไม่กินก็ตาย แล้วจะต้องกินไปทำไมนี่”
ปลาใหญ่เดินมาข้างเตียงพ่อ
“ก็กินเพื่อให้ได้อยู่กับปลาใหญ่นานวันไงครับ”
“พ่อน่ะตั้งชื่อแกว่าปลาใหญ่ เพราะฉะนั้นแกจะต้องยืนอยู่บนขา...ไม่ใช่ซิ…แกจะต้องพยุงตัวด้วยครีบของแกให้ได้ แกจะต้องเด่นเป็นสง่าอยู่ในมหาสมุทร เป็นที่ยำเกรงแก่ปลาอื่นๆ ทั้งปวง”
“รับประทานยาเถอะค่ะ ท่าน”
“ยังไม่กิน ยัยปลาปักเป้า” พยาบาลอึ้งไป “ปลาใหญ่”
“ครับ”
“อย่าลืม แกดันไปทำสัญญากับไอ้อาของแกว่า ถ้าภายใน 1 ปีไม่มีผลงาน แกจะวางมือจากทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็ยกไอ้ทุกสิ่งทุกอย่างให้มัน”
“ใช่ครับ”
“เพราะฉะนั้น แกต้องรีบเรียนรู้และพัฒนาบริษัทให้ได้ภายใน 1 ปี เพื่อที่ “อาณาจักรมหาทรัพย์” จะได้ไม่ต้องตกเป็นของไอ้ก้องและครอบครัวของมัน รับปากกับพ่อซิ”
“ผมรับปากครับ”
เกรียงไกรหันมาทางพยาบาล
“เอายามา”
พยาบาลรีบส่งยาให้
“นี่ค่ะ”
เกรียงไกรรับยาถ้วยเล็กมาใส่ปาก พยาบาลรีบส่งแก้วน้ำให้
“ขอบใจ”
เกรียงไกรรับน้ำมาดื่มจนหมดแก้ว พยาบาลแอบโล่งใจ
จันทร์ทิพย์เดินนวยนาดเข้ามาหาเกริกก้องในห้องทำงาน
“บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าให้ใช้โทรศัพท์! อย่าเข้ามาเอง เพราะตอนนี้ เราต้องระวังตัวมากขึ้น” เกิรกก้องต่อว่า
“เมื่อกี้พิไลโทร.มาว่า ปลาใหญ่มันเข้าไปเยี่ยมพ่อของมัน แล้วก็รวมหัวกันนินทาเราค่ะ”
“แล้วทำไมไม่โทร. มารายงานผมโดยตรง”
“ก็เขารายงานจันทร์เพื่อจะได้มารายงานคุณอีกทีตามลำดับขั้นไงคะ”
“ไม่ต้อง! ข้อมูลทุกอย่างต้องเข้ามาที่ผมทันที”
“คุณไม่ไว้ใจจันทร์”
จันทร์ทิพย์บอกอย่างน้อยใจ เกริกก้องสูดลมหายใจยาว ลุกเดินไปที่หน้าต่างครู่หนึ่งจึงหันกลับมา
“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่...เราจะพลาดไม่ได้ ผมวางกำลังคนของเราไว้แทบทุกตำแหน่งในที่ทำงาน รวมทั้งที่บ้าน เพราะฉะนั้น ผมต้องการรู้ข้อมูลทุกอย่างจากคนเหล่านี้โดยตรงและในทันที คุณต้องเข้าใจ ตามนี้ด้วย”
จันทร์ทิพย์ลุกเดินมาโอบกอดเกริกก้องไว้อ้อนๆ
“คุณอย่าเคร่งเครียดนักไม่ได้หรือคะ”
เกริกก้องโอบไหล่จันทร์ทิพย์ไว้ เสียงอ่อนลงเล็กน้อย
“ช่วงนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อและอีกไม่นานก็จะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่าน ผมจะไม่ยอมเสียทุกอย่างไปให้ไอ้เด็ก
นั่นเด็ดขาด อะไรที่จะทำลายมันได้ ผมจะไม่รีรอเลย”
สีหน้าแววตาเกริกก้องกร้าวขึ้น
แสบสลับขั้ว ตอนที่ 1 (ต่อ)
ทางด้านน้ำเพชรขณะที่เธอกำลังนั่งทำงานง่วนอยู่ จู่ๆ ก็มีถุงขนมอย่างดีถุงหนึ่งถูกวางลงตรงหน้า น้ำเพชรสะดุ้ง ด้วยกำลังเพลินๆ เงยหน้าขึ้นทันที
“จัดขนมนี่แล้วก็ชงกาแฟไปให้ฉันกับปลาใหญ่น้องชายของฉันด้วย”
รัญญาบอกด้วยสีหน้าเย่อหยิ่ง
“ค่ะ” รัญญามองน้ำเพชรอย่างเพ่งพิศ
“หน้าตาดีเหมือนกันนี่ ได้ข่าวว่า นายครรชิตเป็นคนนำเสนอเรอะ”
“ไม่ทราบค่ะ”
น้ำเพชรลุกไปจัดการเรื่องขนมและกาแฟ รัญญาน้ำเพชรมองหัวจรดเท้าแล้วเดินเข้าไปในห้อง น้ำเพชรลอบปรายตามอง
รัญญาเข้ามาในห้องทำงานของปลาใหญ่แล้วต้องชะงักเมื่อเห็นครรชิตกำลังนั่งปรึกษากับปลาใหญ่โดยปลาใหญ่สนใจไต่ถามตลอดเวลา ทั้ง 2 คน หันมามองรัญญา รัญญาแกล้งตีหน้าซื่อ
“กำลังเล็คเช่อร์เรื่องอะไรกันค่ะ รันฟังด้วยคนได้หรือเปล่า”
“ไม่ได้เล็คเชอร์หรอกครับ คุณปลาใหญ่เรียกผมมาถามเรื่องค่าใช้จ่ายในบริษัทว่าทำไมถึงมีการเบิกกันอย่างใหญ่โตมโหฬารน่ะครับ”
รัญญาหน้าเสียไปเล็กน้อย
“ต๊าย! จริงเหรอค่ะ”
ปลาใหญ่มองรัญญาเต็มตา
“ครับ” ปลาใหญ่เปิดแฟ้มดู “โดยเฉพาะฝ่ายวิจัยและวางแผนกับฝ่ายจัดซื้อ ซึ่งผมก็ยังไม่ทราบเหมือนกันว่าใครเป็นคนรับผิดชอบ”
รัญญาหน้าซีดลงไปอีก เหงื่อแตกพลักเหมือนจะเป็นลม ครรชิตตีหน้าตายส่งกล่องทิชชูส่งให้
“นี่ครับ...” รัญญามอง งงๆ แบบตามมุกไม่ทัน “เช็ดเหงื่อครับ... เห็นคุณรันเหงื่อตก เอ๊ย! เหงื่อแตก”
รัญญาพึมพำแล้วหยิบมาเช็ด ขณะที่น้ำเพชรยกถาดวางเค้กและกาแฟเข้ามา
“ขอโทษนะค่ะที่ช้า น้ำเพิ่งเดือด เอ๊า! คุณรันร้อนหรือค่ะ ดิฉันจะได้ลดแอร์ให้”
รัญญาสุดจะทนยืนขึ้นทันที
“พอที” ทั้งสามคนมองรัญญาเป็นตาเดียว “นี่คิดจะรุมฉันใช่มั้ย! เดี๋ยวได้เห็นกัน”
รัญญาสะบัดหน้าเดินไปที่ประตู
“คุณรันยังไม่ได้รับประทานกาแฟกับขนมเค้กเลยค่ะ”
“ไม่กงไม่กินมันแล้ว ไอ้พวกสุนัขหมู่”
ปลาใหญ่เบิกตากว้าง
“อุ๊ย!...”
ครรชิตอุทานออกมา
รัญญามาหาเกริกก้องที่ห้องทำงาน พอเปิดประตูเข้ามาก็ร้องไห้โฮ
“คุณพ่อขา”
“อะไรลูก” เกริกก้องชะงักเมื่อเงยหน้าขึ้นมอง “ร้องไห้ทำไม ใครทำอะไรลูก”
เกริกก้องลุกเดินมาหาลูกสาวทันที รัญญากอดพ่อร้องไห้
“พวกไอ้ปลาใหญ่ค่ะ! พวกมันรุมด่ารัน”
“ไอ้ครรชิตใช่ไหม”
“ค่ะ กับนังเลขาฯ มันอีกคน”
“เดี๋ยวพ่อจัดการเอง”
เกริกก้องหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากด
ครรชิตหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแล้วเงยหน้ามองปลาใหญ่
“เสด็จพ่อโทร. มาแล้วครับ” ครรชิตบอกแล้วกดรับ “ครับ คุณก้อง...ได้ครับ...ผมจะไปเดี๋ยวนี้”
ครรชิตปิดโทรศัพท์
“ท่านรองฯ ให้คุณครรชิตไปพบหรือคะ” น้ำเพชรถาม
“ผมจะไปอธิบายให้คุณอาฟังเอง” ปลาใหญ่บอก
“ไม่เป็นไรครับ ผมชินแล้ว”
ครรชิตบอกแล้วเดินออกไป น้ำเพชรยืนมองครู่หนึ่ง แล้วหันมามองปลาใหญ่แต่ปลาใหญ่มองอยู่ก่อนแล้ว
น้ำเพชรจึงทำหน้าเก้อๆ
“ทานเป็นเพื่อนกันก่อนซิครับ”
“เชิญคุณปลาใหญ่เถอะค่ะ”
“มันมีอยู่ 2 ที่ ผมทานไม่หมดหรอก” น้ำเพชรลังเล ปลาใหญ่ลุกขึ้น แล้วผายมือไปที่โต๊ะรับแขก “เชิญครับ...”
“ขอบคุณค่ะ”
ทั้ง 2 คนเดินมาทรุดตัวลงนั่ง ทานขนมกันโดยน้ำเพชรมีสีหน้าท่าทางเขินๆ
เกริกก้องนั่งอยู่ในห้องทำงานด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่มีเสียงเคาะประตูเบาๆ
“เชิญ”
ประตูเปิดออกครรชิตเดินเข้ามา ปิดประตูเบาๆ
“ไม่ทราบว่าคุณก้องมีอะไรจะให้ผมรับใช้หรือครับ”
“ในฐานะที่คุณเป็นผู้ใหญ่ หัวจะ 2 สีแล้ว ผมอยากให้คุณช่วยเตือนไอ้ปลาใหญ่หน่อยว่าจะทำอะไรก็ทำไป แต่อย่ามาก้าวก่ายลูกเมียของผม แล้วก็คนของผม”
“นี่พูดอย่างเป็นกลางๆ ผมก็ไม่เห็นคุณปลาใหญ่ทำอย่างนั้นนะครับ”
“ไม่ได้ทำกับผีน่ะซิ” เกริกก้องขึ้นเสียงอย่างโมโห ครรชิตสะดุ้งเฮือก “มันหาว่าลูกเมียผมโกงเงินบริษัท อีกหน่อยมันคงมาชี้หน้าว่าผมโกงอีก โธ่เอ๊ย!ไอ้เด็กเมื่อวานซืน”
“นี่ผมก็พูดอย่างเป็นกลางๆ นะครับ คุณปลาใหญ่ไม่ได้เอ่ยชื่อหรือกล่าวหาใครสักคน...ท่านแค่...”
“นี่แกหาว่าลูกฉันโกหกใช่มั้ย ไอ้แก่” เกริกก้องชี้หน้าครรชิต ครรชิตถึงกับสะดุ้ง
“โดนเต็มๆ”
“แกนั่นแหละ เป็นตัวตั้งตัวตีไปฟ้องไอ้ปลาใหญ่”
“คือ...พูดอย่างไม่เข้าข้างตัวเอง คุณปลาใหญ่ท่านเป็นคนเรียกรายงานทุกอย่างเกี่ยวกับบริษัทไปดูตั้งแต่เมื่อวันก่อนโดยที่ผมไม่ได้นำเสนอหรือที่ท่านรองประธานเรียกว่าฟ้องเลยครับ”
“ไสหัวไป ฉันจะพูดกับไอ้ปลาใหญ่เอง”
“ครับ”
ครรชิตเดินไปที่ประตู
“คุณครรชิต” ครรชิตหันกลับมา “ระวังตัวไว้ด้วย”
“ขอบคุณครับ”
ครรชิตตอบรับอย่างนอบน้อมแล้วเดินออกไป เกริกก้องเดินมากดโทรศัพท์ภายใน
“อลิสา โทร. ตามปลาใหญ่มาพบฉันซิ”
น้ำเพชรเดินถือถาดเค้กและกาแฟออกมาจากห้องปลาใหญ่ด้วยสีหน้ารื่นรมย์ปลาบปลื้ม เสียงโทรศัพท์ภายในดังขึ้น น้ำเพชรรีบวางของเดินมารับสาย
“ห้องท่านประธานค่ะ”
“ท่านรองฯ ให้โทร. มาตามคุณปลาใหญ่มาพบค่ะ”
“คุณปลาใหญ่คือประธานบริษัทนะคะ”
“ค่ะ”
อลิสาเบ้ปากแล้ว วางโทรศัพท์ลง
“มีที่ไหน รองประธาน เรียกประธานไปพบ”
!
น้ำเพชรบ่นแล้วกดโทรศัพท์ใหม่ อลิสารับสาย
“ห้องท่านรองประธานเกริกก้องค่ะ”
“ฉันเองค่ะ เลขาฯ ท่านประธานปลาใหญ่ ฉันคิดว่าคงจะไม่เป็นการสมควรที่จะไปเรียนท่านว่า...รองประธานเรียกให้ไปพบ”
“จะสมควรหรือไม่สมควรฉันไม่รู้ ฉันทำตามคำสั่ง เธอเองก็ควรจะทำอย่างนั้นเหมือนกัน”
“ฉันคงทำอะไรที่มันขัดกับจารีตประเพณีไม่ได้หรอกค่ะ”
อลิสาเข้าไปรายงานเกริกก้อง เกริกก้องคว้าแจกันปากระแทกข้างฝาแตกกระจายด้วยอารมณ์อันรุนแรงและส่งเสียงร้องลั่นด้วยความแค้น อลิสาสะดุ้งตกใจจนตัวสั่น
“ไอ้ปลาใหญ่ พวกแกจะอยู่ร่วมโลกกับฉันไม่ได้”
เกริกก้องก้าวพรวดพราดออกไป อลิสารีบตาม
เกริกก้องก้าวพรวดๆ มาที่ห้องปลาใหญ่โดยมีอลิสารีบเดินตาม แต่ไม่วายเชิดเพราะเป็นเลขาฯรองประธาน
น้ำเพชรรีบลุกขึ้นยืนไหว้ เกริกก้องชี้หน้าน้ำเพชรแล้วตวาดก้อง
“เก็บข้าวเก็บของ ไสหัวออกไปจากที่นี่”
น้ำเพชรหน้าซีด ตัวสั่นด้วยความตกใจกลัว ขณะที่คนอื่นๆ หันมามองเป็นตาเดียว เกริกก้องเปิดประตูก้าวพรวดเข้าไปในห้องปลาใหญ่
“ได้ยินแล้วใช่ไหมยะ แม่เลขาฯ ประธานใหญ่” อลิสาพูดเย้ยใส่น้ำเพชร น้ำเพชรทั้งโกรธทั้งอาย จนน้ำตาคลอ
“ดูเหมือนเธอจะทำสถิติเป็นเลขาฯ ที่มีอายุสั้นจุ๊ดจู๋ที่สุดในโลกมั้ง คงต้องติดต่อ กินเนสบุ๊คซะแล้ว อ้าว เก็บของซิยะ จะมาทำน้ำตาคลอคลองนองเนตรอยู่ทำไม”
“ไหนๆ ก็จะออกแล้ว ขออนุญาตตบเลขาฯ รองประธานบูชาเจ้าซักหน่อยเถอะ”
น้ำเพชรพูดจบตบเปรี้ยง อลิสาร้องลั่นตกตะลึงมองน้ำเพชรเหมือนไม่เคยเห็นมาก่อน แล้ววิ่งออกไป
ภายในห้องทำงานปลาใหญ่ เกริกก้องย้อนถามปลาใหญ่อย่างตกใจกับสิ่งที่ปลาใหญ่บอก
“แกว่าอะไรนะ ไอ้ปลาใหญ่”
“ผมว่าเลขาฯ ของผมทำถูกแล้ว ไม่เคยมีรองประธานบริษัทไหน ที่สั่งให้ประธานไปพบได้”
“ไอ้เด็กเมื่อวานซืน แกเป็นหลานฉันนะเว้ย”
“ครับ และในฐานะหลาน ผมก็รักและเคารพคุณอาเหมือนเดิม ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แต่ในฐานะประธานผมก็ต้องรักษาระเบียบโดยเคร่งครัด หากคุณอามีธุระอะไรกับผม คุณอาก็ต้องผ่านทางเลขาฯ ของผม”
“หมายความว่า ถ้าฉันต้องการพบแก ฉันก็ต้องคลานกระดุ๊บกระดิ๊บ กระเสือกกระสนมาพบแกซินะ”
“แค่เดินมาพบผมเท่านั้นครับ ไม่ต้องถึงกับคลาน”
เกริกก้องจ้องปลาอย่างอาฆาต เส้นเลือดที่ขมับโป่งนูน แล้วหันหลังเดินออกไป ปลาใหญ่พ่นลมหายใจพรวดออกมา
เกริกก้องเดินออกมาในขณะที่น้ำเพชรกำลังเก็บข้าวเก็บของ เกริกก้องหันมาหยุดยืนจ้องน้ำเพชรเงยหน้ามอง
เกริกก้องกำมือแน่น เสียงโทรศัพท์ภายในดังขึ้นน้ำเพชรหันไปรับสาย
“ค่ะ ท่านประธาน ค่ะ”
น้ำเพชรวางโทรศัพท์ แล้วเดินไปในห้อง เกริกก้องมองตามแล้วเบือนหน้ากลับมา ผู้คนที่มองแบบเหลือบๆ แลๆ อยู่ พากันหายไปจากที่นั้นทันที
ภายในห้องปลาใหญ่ ปลาใหญ่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ขณะคุยกับน้ำเพชร
“คุณไม่ต้องออก...”
“แต่ท่านรองฯ ...”
“คุณเป็นเลขาฯ ผม ทำงานอยู่กับผม ถ้าไม่มีคำสั่งจากผม คุณก็ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น”
น้ำเพชรโล่งใจ ยกมือไหว้ปลาใหญ่
“ขอบคุณมากค่ะ... ตายจริง” ปลาใหญ่มองเป็นเชิงถาม “น้ำตบเลขาฯ รองประธานไปแล้วค่ะ คือ...น้ำนึกว่าตัวเองจะต้องออกจากงาน”
ปลาใหญ่มองน้ำเพชร นัยน์ตามีแววเหมือนจะหัวเราะออกมาแว่บหนึ่ง แล้วจางหายไปอย่างรวดเร็ว
“เรื่องนั้นผมไม่เกี่ยว คุณไปทำงานต่อได้”
“ค่ะ”
น้ำเพชรเดินออกไป ปลาเงยหน้ามองเพดาน สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด มือเคาะโต๊ะเบาๆ
เกริกก้องกลับมาที่ห้องทำงานแล้วชะงักเมื่อเห็นจันทร์ทพย์กำลังคุยเคร่งเครียดกับอลิสา จันทร์ทิพย์รีบเดินไปจูงเกริกก้องมานั่ง
“มานั่งก่อนนะคะ”
เกริกก้องกระชากแขนกลับ
“นั่งเองได้” จันทร์ทิพย์พยักหน้ากับอลิสา อลิสารีบออกไป “ผมไม่ชอบให้คุณมาสุมหัวกับพวกลูกจ้าง”
“บางครั้งก็จำเป็นค่ะ เรามักจะได้อะไรหลายๆ อย่างจากพวกนี้แหละ แต่จันทร์ก็ไม่ถึงกับสุมหัวหรอกนะคะ”
เกริกก้องเอนหลังพิงพนัก
“ไอ้ปลาใหญ่มันหักหน้าผม 2 ครั้งแล้ว ภายในวันเดียวกัน”
“เรื่องอย่างนี้ จะเอาแต่โมโหไม่ได้ คุณเคยได้ยินมั้ยคะ ที่เขาพูดว่า “น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย”
เกริกก้องเบือนหน้ามามอง “จันทร์เองก็ค่อนข้างจะเจ้าอารมณ์เหมือนกัน แต่หลังจากที่มานั่งใคร่ครวญดีแล้ว ก็คิดได้ว่า ไม่มีประโยชน์...ยิ่งรุนแรงไป เรายิ่งเสียเปรียบ”
“นี่คุณจะให้ผม...”
“คุณก้องไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ทำตัวปกติ โอภาปราศัยบ้างตามสมควรนอกนั้นจันทร์จัดการเอง แล้วถ้าคุณก้องพร้อมจะเล่นละครเมื่อไหร่ก็บอกจันทร์ เรื่องนี้จันทร์เก่งค่ะ”
จันทร์ทิพย์ยิ้มแล้วกอดเกริกก้อง ลูบหลังเบาๆ อย่างปลอบโยน
ส่วนที่บ้านมหาทรัพย์รุ่งเรืองกิจ เกรียงไกรทานข้าวได้ 2-3 คำก็ผลักจานออก
“รับประทานอีกซักหน่อยนะคะ” พยาบาลบอกอย่างอ่อนหวาน
“ฉันอิ่ม...”
เกรียงไกรมองหน้าพยาบาลเพ่งพิศ
“มีอะไรเหรอค่ะ”
“หน้าตากับสุ้มเสียงมันไม่ match กัน”
พยาบาลหุบยิ้มทันที แล้วเลื่อนยาให้
“ยาหลังอาหารค่ะ”
เกรียงไกรหยิบยามากินอย่างกระแทกกระทั้น แล้วยกน้ำดื่ม พยาบาลยิ้มออกมาเยาะๆ
พยาบาลก้าวออกมาแล้วกดโทรศัพท์ ซึ่งล้วงขึ้นมาจากกระเป๋าโทรหาเกรอกก้องทันที เกริกก้องหยิบขึ้นมารับ
“ว่าไง”
“เรียบร้อยไปอีกมื้อแล้วค่ะ”
“ดี”
เกริกก้องวางโทรศัพท์ลง
“ใครโทร. มาหรือคะ” จันทร์ทิพย์ถามขึ้นมา
“โฉมเฉลาโทร.มารายงานว่า พ่อไอ้ปลาใหญ่กินยาเข้าไปอีกมื้อแล้ว”
“นี่ก็เป็นการแก้แค้นแนบเนียนที่สุดค่ะ ยานั้นที่โฉมเฉลาใส่ให้คุณเกรียงไกรกินไม่มีสี ไม่มีรส เพราะฉะนั้นย่อมไม่มีใครสงสัย แถมลักษณะก็เป็นยาแคปซูล ธรรมดาด้วย เผื่อว่าเกิดมีใครมาพบเข้าก็จะมองผ่านๆ ไป ไม่ต้องรออีกตั้ง 2 เดือน หรอกค่ะ อีกไม่กี่วันก็ตายแล้ว”
เกริกก้องกับจันทร์ทิพย์หัวเราะชอบใจกัน
กลางดึกคืนนั้นท่ามกลางความเงียบสงบ ทันใดนั้นไฟห้องเกรียงไกรก็เปิดสว่างขึ้น พร้อมเสียงเอะอะและผู้คนวิ่งเข้าไปในห้องนั้น
ภายในห้องเกรียงไกรนอนนิ่งสนิท มีผ้าห่มคลุมอยู่แค่อก โดยมีพยาบาลคุกเข่าอยู่ด้านข้างเตียง ปลาใหญ่ก้มกราบแทบเท้าเกรียงไกรเช่นเดียวกับครรชิต จันทร์ทิพย์และรัญญากอดกันร้องไห้สะอึกสะอื้น โดยเกริกก้องยืนโอบไว้คนละข้าง
เกริกก้องมองเกรียงไกรด้วยความสะใจแว่บหนึ่งแล้วกลับนิ่งตามเดิม สีหน้าปลาใหญ่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกสะเทือนใจลึกซึ้ง ครรชิตน้ำตาไหลลูบเท้าเกรียงไกรเบาๆ
“ขอให้ท่านไปสู่สุคติเถิดครับ”
ปลาใหญ่คลานไปใกล้หน้าพ่อ ก้มลงกระซิบเบาๆ
“คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ...ปลาใหญ่จะทำหน้าที่แทนคุณพ่ออย่างดีที่สุด ปลาใหญ่ให้สัญญา”
เซียนและมอมติดคุกอยู่ 1 เดือนเมื่อครบกำหนด เซียนและมอมออกจากคุกและไหว้ลา เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกคน แบบว่าอาลัยอาวรณ์มาก ทำท่ากระโดดโบยบินเหมือนนก
“สู่อิสรภาพ”
เซียนตะโกนอย่างดีใจ
ชายสี่และป๋องขี่รถรับผู้โดยสารมาจอด ขณะกำลังรับเงินจากผู้โดยสาร รถเมล์คันหนึ่งแล่นมาจอดป้ายตรงข้ามเยื้องๆ หน้าปากซอย เซียนและมอมลงมา ผู้โดยสารอีก 2-3 คน ป๋องกำลังหัวเราะหัวใคร่กับพรรคพวกหันมาเห็นพอดี ป๋องกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
“ไอ้เซียน ไอ้มอม ไอ้มอม ไอ้เซียน”
ชายสี่ ลุงป่อง และที่เหลือแต่ละคนหันมามอง และพากันตื่นเต้นดีใจเมื่อเห็นเซีรยนกับมอม ทั้ง 2 ฝ่ายวิ่งมาหากันด้วยความลืมตัวในถนน รถทั้งบีบแตร...เบรค...ตะโกนด่า และตะโกนไล่วุ่นวาย ทั้งหมดพากันวิ่งกลับมาที่วินพร้อมหัวเราะสนุกสนานดีใจตามประสาเพื่อนๆ
ขณะนั้นหมอแม่นกำลังนั่งดูลายมือสายพิณอยู่ที่ร้าน ส่วนยายปิ่นรอสายไหมจัดข้าวจัดของ
“ถ้ายายดูไม่ผิด เอ็งกำลังจะได้พบเนื้อคู่ในมิช้ามินานนี้”
“นังแม่น แกอย่ามาทำให้หลานฉันใจแตกนะ”
ขณะหมอแม่นพูด สายพิณเงยหน้าขึ้นแล้วเบิกตากว้าง เมื่อเห็นเซียนกำลังเดินตรงมา ยายปิ่นเบือนหน้าหันไปมองตาม ยายปิ่นพูดแทบไม่มีเสียงด้วยกลัวเซียนจะเป็นเนื้อคู่สายพิณจริงๆ
“ไอ้เซียน”
เซียนตั้งท่า แล้วโผเข้าหาสายไหมประมาณว่าคิดถึงเป็นอย่างยิ่ง
“ป้าจ๋า” เซียนทรุดตัวลงกราบที่ตักสายไหม แล้วร้องเพลงด้วยสีหน้าท่าทางซึ้งเต็มที่ “ป้าจ๋า..ป้ารู้บ้างไหมว่าดวงใจดวงนี้เป็นห่วง...”
สายไหมหยิบกล้วยทั้งหวีฟาดหัว
“นี่แน่ะ กราบลงที่ตรงตักป้า”
“โอ๊ย ป้า”
“เจ็บเรอะ แค่เนี้ย เจ็บเรอะ”
“อูย ถามได้ หลานกลับจากฮ่องกรงวันแรก แทนที่จะตื่นเต้นดีใจ ดันเอากล้วยฟาดหัวซะงั้น”
“ข้าไม่ยกเตาฟาดก็บุญแล้ว ดีแต่หาเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจเสื่อมเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูลมาให้”
“โธ่เอ๊ย...ย...จะเสื่อมเสียอะไรกันนักหนา ทั้ง “มะเฟืองทอง” ก็เหลือแค่เรา 2 คน เท่านั้นแหละ คุณป้า”
“เหลืออยู่แค่ 2 คนเรอะ”
“ใช่ ก็นางสาวสายไหม มะเฟืองทอง กับ นายเซียน มะเฟืองทอง”
“ถ้าพี่เซียนแต่งงาน ก็จะมีมะเฟืองทองผลน้อยๆ ตามมาอีกหลายผลจ้ะ”
สายพิณสอดเสียงแจ๋วขึ้นมา
“นังสายพิณ”
“อะไรล่ะ ยาย นั่งอยู่แค่นี้เอง ส่งเสียงซะดังลั่น”
“เอ็งเป็นสาวเป็นนาง พูดแบบนั้นออกมาได้ไง”
“พูดยิ่งกว่านี้ยังได้เลย”
“แกไม่ต้องกลัวเลย ยายปิ่น ถ้าไอ้เซียนกับสายพิณมันรักกันจริงๆ ละก็ฉันจะขัดขวางจนสุดชีวิต” สายไหมบอก
“เอ๊า”
“จ๊ะจ๋า ที่แท้ก็หวงหลานชายนั่นเอง”
“ไม่ได้หวง แต่คนอย่างเอ็งไม่สมควรจะเป็นพ่อพันธุ์ให้ใครทั้งนั้น อยู่คนเดียวแห้งเหี่ยวหัวโตน่ะดีแล้ว”
“ก็ถ้าคนเขาไม่เป็นเนื้อคู่กัน แกก็ไม่มีทางขัดขวางเขาได้ร็อก นังไหมเอ๊ย” หมอแม่นบอก
“นังแม่น”
สายพิณยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ตักข้าวราดแกงพูนจานให้เซียน
“นี่จ้ะ พี่เซียน ไม่ต้องเกรงใจยายเลยนะ ถ้าไม่อิ่มเดี๋ยวสายพิณตักให้”
ยายปิ่นค้อนหลานสาวอย่างหมั่นไส้จัด
สองสามีภรรยากระหังและกระสือซ้อนมอเตอร์ไซค์ชายสี่และป๋องออกมาโดยปากก็ตะโกนทะเลาะกันตลอดทาง
“ฉันจะฆ่าแก”
“ฉันจะฆ่าแกก่อน”
“ฉันจะฆ่าแกก่อนก่อน”
“ฉันจะฆ่าแกก่อนก่อนก่อน”
ทั้งคู่ลงจากรถแล้วให้เงินชายสี่และป๋อง พลางด่ากันต่อจนข้ามถนนไปขึ้นรถเมล์ เซียนเดินออกมาแล้วทิ้งตัวลงนั่งเซ็งๆ
“ไงวะ ป้าเอ็งดีใจยกใหญ่ซิท่า” ลุงป่องถามเมื่อเห็นสีหน้าเซียน
“งั้นมั้ง เห็นบอกว่าผมน่าจะติดคุกซัก 10 ปีเป็นอย่างต่ำ เออ! ผมขอเช่ามอ’ไซค์ลุงได้มั้ย”
“ไม่ได้”
ลุงป่องรีบบอกทันที เซียนยกมือไหว้
“ขอบคุณ”
“เฮ้ย! ข้าบอกว่าไม่ให้”
“ผมก็บอกว่าขอบคุณไง”
“ไอ้เซียน”
“ถ้าลุงไม่ให้ผมเช่ามอ’ไซค์ ผมก็จะไม่ยกป้าให้ลุง”
“เฮ้ย”
“ไอ้เซียน...ขอเผื่อข้าด้วย” มอมรีบบอก
“ของไอ้มอมอีกคัน”
“มากไป”
“ป้าต้องไม่ปลื้มแน่ๆ หากลุงปฏิเสธผม”
“ลุงเองก็มั่งมีเงินทอง…”
“อย่าเว่อร์ ชายสี่”
“อย่างน้อยก็มีมากกว่าคนในชุมชนพัฒนาสู่สุขาวดีนี่แหละ แล้วลุงจะงกไปทำไม”
“ตายไป ก็เอาไปไม่ได้แม้แต่แดงเดียวนะลุง สู้แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ให้ลูกหลานมัน สรรเสริญดีกว่า”
“คนเราเกิดมาทั้งทีก็น่าจะสร้างคุณงามความดีจารึกไว้ในโลกนี้บ้าง”
“แค่ให้ไอ้เซียนกับไอ้มอมเช่ามอ’ไซค์เนี่ยนะ”
“ไม่งั้นพวกผมจะเอา’ไรกิน”
“เรื่องของเอ็ง”
“งั้นพวกเราลาออกให้หมด แล้วไปตั้งวินกันเอง ไปเว้ย! ให้ลุงป่องทำคนเดียว รวยคนเดียว”
ทุกคนลุกขึ้น ลุงป่องรีบลุกขึ้น
“เดี๋ยว” เซียนยักคิ้วกับเพื่อนๆ แล้วหันกลับมาตีหน้าขรึม เช่นเดียวกับทุกๆ คน “ก็ได้”
ทุกคนเฮ แล้วเข้ามายกลุงป่องโยน ลุงป่องร้องโวยวาย
ค่ำวันนั้นเมื่อกลับมาบ้าน ยายปิ่นพยายามสั่งสอนสายพิณเรื่องเซียน
“ไอ้เซียนมันเป็นคนไม่มีอนาคต” สายพิณปิดปากหาว “เอ็งได้กับมันก็จะพากันไม่มีอนาคตตาม”
“แล้วยายจะให้หนูไปได้กับเศรษฐีมีอนาคตที่ไหน คนจนมันก็หนีไม่พ้นคนจนด้วยกัน”
“ก็ไม่ต้องถึงกับเศรษฐี”
“หนูรักพี่เซียน นั่นคือสิ่งสำคัญที่สุด”
“ความรักน่ะมันกินไม่ได้หรอก”
“กินไม่ได้ แต่มันอิ่ม...อิ่มอกอิ่มใจ อิ่มไปหมด หนูมั่นใจว่าพี่เซียนดีที่สุดสำหรับหนูแล้ว หมอแม่นยังบอกเลยว่าพี่เซียนเป็นเนื้อคู่กับหนู”
ยายปิ่นชักจะฉุน
“บอกตอนไหน ข้าไม่เห็นได้ยิน”
“อ้าว ก็ตอนพี่เซียนเดินมา แล้วหมอแม่นบอกว่าหนูกำลังจะเจอเนื้อคู่ไง”
“อาจจะเป็นคนอื่นก็ได้”
“ใครล่ะยาย พี่มอม พี่ป๋อง หรือว่า พี่ชายสี่ หรือว่า ...”
ยายปิ่นรับโบกมือ
“พอแล้ว เอ็งอยากจะเป็นเนื้อคู่ใครก็ตามใจเอ็ง”
ยายปิ่นลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องนอน
“ไม่มีใครอีกแล้วนอกจากพี่เซียนคนเดียว”
สายพิณท้าวคางยิ้มหวานคิดถึงเซียน
ช่วงเวลาเดียวกันนั้น ปลาใหญ่กำลังนั่งทำงานอย่างตั้งอกตั้งใจจนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ
“ใครครับ”
เงียบ...ไม่มีเสียงตอบ ปลาใหญ่ส่ายหน้าแล้วจดจ่อกับงานต่อ เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีก
“ใครครับ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีก ปลาใหญ่ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ประตูเปิดออกไป แต่ไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้น ปลาใหญ่มีสีหน้าแปลกใจแล้วเดินออกมาดูแต่ก็ไม่เห็นใคร ปลาใหญ่นิ่วหน้าครุ่นคิด
ปลาใหญ่มาหาครรชิตที่ห้อง ครรชิตตาโตด้วยความตกใจ
“ผีเหรอครับ”
“ผีไม่ทำอะไรลึกลับซับซ้อนอย่างนี้หรอกครับ คนทั้งนั้น”
“คนไหนล่ะครับ มีตั้งหลายคนหรือว่าทุกคนเลย”
“คุณครรชิตเคยได้ยินคำพังเพยที่ว่า เกลือจิ้มเกลือไหมครับ”
ปลาใหญ่บอกด้วยสีหน้ามาดหมาย
โปรดติดตามตอนต่อไป