ขุนศึก ตอนที่ ๑๓
วันรุ่งขึ้น เสมาเดินถือถาดใส่ดอกไม้มากับจำเรียงและดวงแข บรรยากาศในวัด ด้วยสวยงาม สงบ น่าศรัทธาเลื่อมใส จำเรียงสีหน้ายิ้มแย้ม
“น่ายินดีนักที่ได้มาทำบุญทำกุศลพร้อมกันเช่นนี้ คราหน้าเรามาด้วยกันอีกนะจ๊ะ แม่หญิง พี่เสมา”
“ฉันอยากมาทำบุญกับแม่จำเรียงอยู่แล้ว แต่ท่านขุนแสนศึกพ่ายมีราชการมากนัก คงไม่ว่างกระมัง”
“เอ็งก็บอกมาก่อนเถิดจำเรียง ถ้าพี่ไม่ติดกระไรพี่ก็จะมาด้วย”
จำเรียงยิ้มๆที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน
“เมื่อครู่ฉันเจอแม่จันทร์ ขอแวะไปทักทายสักหน่อยนะจ๊ะ พี่กับแม่หญิงรอฉันสักครู่เถิด”
จำเรียงรีบเดินเลี่ยงเปิดโอกาสให้เสมากับดวงแขทันที
เสมา และดวงแขเหล่มองกัน เสมายิ้มทักทาย
“นับจากเสร็จศึกเมืองแปรก็ไม่ได้พบแม่หญิงเลย แม่หญิงอยู่จำเริญสุขดีกระมัง”
ดวงแขมีท่าทางงอนเล็กน้อยด้วยความน้อยใจ
“นึกว่าท่านขุนจักจำฉันไม่ได้เสียแล้ว วังหน้ากับตำหนักที่ฉันอยู่ก็ไม่ได้ไกลกัน แลมีราชการร่วมกันอยู่ แต่กลับไม่เคยเห็นท่านขุนเลย”
“มีหรือที่ข้าพระเจ้าจะจำแม่หญิงผู้มีคุณไม่ได้ หากไม่ได้ยาของแม่หญิง เสมาคงไม่ได้ออกศึกจนเป็นขุนแสนศึกพ่ายเช่นนี้ดอก คุณของแม่หญิงอยู่ในใจเสมา มิเคยลืมเลย”
ดวงแขยิ้มดีใจก่อนจะแกล้งปั้นหน้าบึ้ง
“จริงรึอยู่ในวัดในวา ถ้าปดก็ระวังบาปกรรมเถิด”
“เสียแต่ข้าพระเจ้ากลัวตาย ไม่เช่นนั้นคงผ่าหัวใจให้แม่หญิงดูแล้ว ว่าข้าพระเจ้าปดหรือไม่”
“ราชองครักษ์ฝ่ายขวา พูดคำว่ากลัวตาย ช่างหน้าไม่อายเสียบ้างเลย” ดวงแขพูดขำๆ
จำเรียงแอบดูเสมาและดวงแขอยู่เห็นว่า ทั้งคู่กำลังยิ้มขำก็ดีใจ เพราะอยากจับคู่ให้พี่ชายกับดวงแขจะได้ลืมเรไรเสีย
ภายในบ้านพันอิน มั่นและพันอินกำลังกินหมากที่ศรีเมืองจัดมาให้อยู่ เสมาเดินขึ้นบันไดมาพอดี
“อ้าว เจ้าเสมา มาแล้วรึ” มั่นทักขึ้น
เสมาเดินเข้าไปคุกเข่า กราบที่ตักมั่นและพันอิน
“ฉันไหว้จ้ะ พ่อ พ่อขุนพิมาน”
“จำเริญสุขเถิดขุนแสนลูกพ่อ” พันอินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ศรีเมืองไหว้เสมา เสมารับไหว้ เสมาหันไปคุยกับมั่น
“เมื่อคืนพ่อหลับดีหรือไม่จ๊ะ”
“ไม่ค่อยได้หลับเท่าใดดอก มัวแต่คุยเรื่องเก่าๆกับท่านขุนพิมานเสียจนดึกดื่น”
มั่นหันไปสบตาพันอินก่อนจะพูดต่อ
“วันนี้ไม่มีราชการไม่ใช่รึ อยู่กินข้าวกับท่านขุนพิมานแลแม่ศรีเมืองก่อนแล้วค่อยกลับเรือนเราเถิดนะ”
“จ้ะพ่อ แต่ขากลับฉันรับปากไปเอาของให้จำเรียงที่ตลาด พ่อกลับเรือนพร้อมบ่าวไพร่ได้หรือไม่”
“ได้ๆ ไม่เป็นกระไรดอก”
พันอินสบจังหวะรีบเปิดโอกาสให้ศรีเมืองทันที
“พี่มั่น เครื่องลายครามที่ฉันได้มาใหม่จากเมืองจีน พี่ยังไม่เห็นกระมัง ระหว่างรอสำรับข้าว เราไปดูกันก่อนเถิด”
พันอินหันไปพูดกับเสมา
“ขุนแสนไม่ต้องไปดอกนะลูก อยู่รอที่นี่คุยกับศรีเมืองไปก่อน”
พันอินและมั่นพยักหน้าให้อย่างรู้กันแล้วเดินเข้าข้างในเพื่อเปิดโอกาสให้เสมาและศรีเมือง เสมานึกแปลกใจพูดกับตัวเองเบาๆ
“รออีกแล้ว วันนี้พิกลนักมีแต่คนให้รอ”
ศรีเมืองยิ้มแย้มแล้วยื่นพานใส่หมากให้
“พี่เสมาจ๊ะ กินหมากสักคำซีจ๊ะ”
“ขอบน้ำใจนักศรีเมือง”
เสมาหยิบหมากที่ห่อเป็นคำๆในพานขึ้นเคี้ยวไปมา รสชาติอร่อยแปลกลิ้น
“แปลกนัก พี่ไม่เคยลิ้มรสหมากเช่นนี้เลย”
“พี่เสมาชอบหรือไม่”
“ชอบซีถามได้”
ศรีเมืองยิ้มปลื้มใจ
“ฉันเพียรถามแม่ป้าอิ่มที่เป็นข้าหลวงประจำครัวอยู่นานแรมเดือน จนแกทนรำคาญไม่ไหวถึงได้เคล็ดลับมา”
“ถ้าเช่นนั้นหากพี่อยากกินหมากรสนี้ขึ้นมาอีกจะทำเช่นใด มิต้องให้เจ้าไปอยู่ที่เรือนพี่รึ”
ศรีเมืองเขินอายตีแขนเสมาเบาๆ
“พี่เสมา พูดกระไร”
เสมางงๆไม่เข้าใจว่าพูดอะไรผิด ในขณะที่ศรีเมืองคิดไปไกลแล้ว ได้แต่ขวยเขิน
เสมากำลังเดินเลือกซื้อของอยู่เมื่อตอนบ่าย แต้มเดินทักทายคนในตลาดผ่านมา พอเห็นเสมาก็รีบเข้าไปหาทันทีแล้วยิ้มทักทาย
“พ่อขุนแสน พ่อขุนแสนศึกพ่ายหลานอา แหมเป็นถึงราชองครักษ์ฝ่ายขวาแล้ว ยังมาเดินตลาดอีกรึ”
เสมายกมือไหว้
“ฉันไหว้จ้ะอาแต้ม”
แต้มรับไหว้อย่างดีอกดีใจ
“อาเพิ่งรู้ว่าพ่อขุนมาเป็นแม่กองฝึกทหารที่เรือน ไม่เช่นนั้น คงได้ทักทายกันเสียแต่เมื่อวานแล้ว นัง... เอ่อ เอื้อยแตงบ่นคิดถึงพ่อขุนนัก อยากพบปะเจอหน้าพ่อขุนเหลือ พ่อขุนว่างเมื่อใด อาจักได้ให้น้องไปหาที่เรือน”
เสมารู้สึกประหลาดใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของแต้ม เพราะปกติแต้มเป็นคนเห็นแก่ตัว แต่วันนี้กับดีใจหาย
“เอื้อยแตงก็ไปๆ มาๆเรือนฉันแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่เห็นต้องรอฉันว่าง”
“แต่ก่อนกับประเดี๋ยวนี้จะเหมือนกันได้อย่างไร เอาเช่นนี้เถิดอาจักให้เอื้อยแตง ไปหาพ่อขุนที่เรือนทุกวันก็แล้วกัน”
“ทุกวัน” เสมาพูดด้วยเสียงตกใจปนงงเล็กน้อย
“มีกระไรรึ”
“เปล่า เปล่าจ้ะ”
“ถ้ากระนั้น อาไปก่อนนะพ่อขุนแสน”
เสมาไหว้ลา แต้มรับไหว้แล้วเดินเลี่ยงไปอย่างมีความสุข เสมามองตามด้วยสายตางุนงง
ทันใดนั้น สินและสมบุญก็เดินเข้ามาหาเสมา
“พี่เสมา ฉันตามหาพี่เสียทั่ว มาอยู่ที่นี่เอง” สินว่า
“มีกระไรวะอ้ายสิน”
สมบุญรีบชิงพูดขึ้นก่อน
“พี่จำแม่หญิงน้อยที่เป็นนางข้าหลวงของพระมเหสีได้หรือไม่ ฉันรู้มาว่าพระเทพประสิทธิ์บิดาแม่หญิงน้อย พึงพอใจในตัวพี่นัก พี่ไปพบคุณพระกับแม่หญิงพร้อมฉันเถิด” สมบุญพยายามดึงแขนเสมาจะให้ไปด้วยกัน
ฝ่ายสินก็รีบดึงแขนเสมาอีกข้างไว้แล้วบอก
“อย่าพี่เสมา ไปกับฉันดีกว่า จีนเตียวที่เป็นพ่อค้าสำเภา มีลูกสาวคนเดียวชื่อแม่เฮียง ฉันแอบไปดูมาแล้ว งามนัก แลเค้าลือกันว่าจีนเตียวร่ำรวยมหาศาล มีทองคำฝังดินเป็นไหๆ แต่เฉพาะเรือก็ใหญ่โตราวเรือนท้าวพระยา พี่เสมาไปหาแม่เฮียงกับฉันเถิด”
สมบุญไม่ยอมดึงแขนเสมาไว้
“ข้าชวนพี่เสมาก่อนนะอ้ายสิน”
สินยื้อยุดดึงแขนเสมาอีกข้าง
“แต่ข้ามาถึงก่อนโว้ย”
สมบุญและสินต่างฉุดแขนเสมาไปมา ไม่มีใครยอมใครจนเสมาชักฉุน
“หยุด หยุดประเดี๋ยวนี้”
สินและสมบุญแหยไปทันที แล้วยอมปล่อยแขนเสมา เสมาจ้องมองสินกับสมุบญตาเขียว
ยามบ่าย ที่บ้านหลังใหม่ เสมากำลังโวยวายใส่สิน สมบุญ จำเรียง และมั่นทุกคนพากันจ๋อยไปหมด
“ฉันสังหรณ์แล้วว่าต้องมีกระไรสักอย่าง นี่ริจะทำตัวเป็นพ่อสื่อแม่ชักกันหมดเลยรึ”
“ไม่ใช่เรื่องผิดกระไรนี่ เพลานี้ เอ็งเป็นถึงขุนแสนศึกพ่าย มีศักดินาแลทรัพย์สมบัติมากมาย อย่างไรเสียก็ต้องหาแม่เรือนมาช่วยดูแล แล้วพ่อก็ไม่เห็นผู้ใดเหมาะควรไปกว่าแม่ศรีเมืองอีก แลขุนพิมานก็เห็นชอบด้วย ครานี้เอ็งไม่ต้องกลัวแล้ว” มั่นว่า
“มิใช่แม่ศรีเมืองไม่ดีดอกนะพ่อ แต่ฉันเห็นว่าพี่เสมาควรจักได้เมียที่มีปัญญา จะได้เกื้อหนุนกันต่อไปในภายหน้าซึ่งจะหาใครดีเท่าแม่หญิงดวงแขเป็นไม่มี” จำเรียงว่าแย้ง
“จะได้อย่างไร แม่หญิงดวงแขเป็นน้องอ้ายขันแลเจ้าเล่ห์แสนกลน่ากลัวนัก ที่พี่เสมาต้องแตกกับแม่หญิงเรไร ก็ไม่ใช่เพราะแม่หญิงดวงแขดอกรึ” สินสวนทันควัน
“มีผู้ใดบ้างไม่เคยกระทำผิด มัวแต่ถืออาฆาตเช่นนี้จักถูกรึพันทิพ”
“แต่ฉันว่าอย่างไรแม่หญิงน้อยก็ดีที่สุด พี่เสมา...” สมบุญพูดขึ้น
“พอๆๆ ข้าไม่แต่งกับผู้ใดทั้งนั้น ที่เค้าเห็นข้าดี เพราะข้าเป็นขุนแสนศึกพ่ายต่างหาก หากข้าเป็นอ้ายเสมาช่างตีเหล็กหรือตะพุ่นหญ้าช้างซี จักมีคนเห็นหัวข้าหรือไม่ เช่นนี้ข้าไม่แต่งดอก” เสมาพูดตัดบท
จำเรียงยิ้มกริ่ม มองเย้ยสิน สมบุญแล้วพูดขึ้น
“ถ้ากระนั้นก็ไม่มีใครเหมาะควรเท่าแม่หญิงดวงแขแล้ว เพราะแม่หญิงชอบพอพี่แต่ครั้งพี่ยังตีเหล็กขายแสดงว่ามีใจจริงกับพี่”
เสมาหน้าเจื่อน เถียงจำเรียงไม่ออก
“แม่ศรีเมืองก็เช่นกัน ข้าไม่เคยเห็นแม่ศรีเมืองจะรังเกียจกระไรอ้ายเสมาเลย ไม่ว่าอ้ายเสมาจะเป็นช่างเหล็กหรือตะพุ่น” มั่นว่า
“พ่อ จำเรียง เลิกพูดเรื่องนี้ทีเถิด ฉันยังไม่คิดออกเรือนดอก” เสมาว่า
“ไม่คิดหรือยังตัดใจจากแม่หญิงเรไรไม่ได้กันแน่ พี่คงไม่ลืมดอกนะว่า แม่หญิงเรไรหมายหมั้นไปแล้ว ฉันไม่อยากให้พี่กับขุนณรงค์ต้องวิวาทกันอีกเพราะผู้หญิงคนเดียว” จำเรียงพูดขึ้น
เสมาถึงกับหน้าเสียที่จำเรียงพูดจี้ใจดำ
“ไม่เกี่ยวกับแม่หญิงดอก หากข้าตัดใจไม่ได้จริงจะไปอวยพรถึงเรือนรึ ข้ารำคาญจักพูดเรื่องนี้แล้ว ไปดูเทือกสวนไร่นาดีกว่า ได้บำเหน็จมาเป็นแรมเดือนยังไม่เคยเดินดูเลย”
เสมาพูดตัดบทแล้วรีบเดินหนีลงจากเรือนไป
จำเรียง มั่น สิน สมบุญหันมาเหล่มองกัน ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมแพ้ในเรื่องหาเมียให้เสมา
ทาสชายกำลังพายเรือพาเรไรและเอื้อยแตงอยู่ในริมคลองที่ดูสงบร่มรื่น
“หยุดๆ เทียบเรือตรงนี้ ฉันจะลงแล้ว”
“แล้วเหตุใดจะลงตรงนี้ อีกไม่นานก็ถึงท่าน้ำหน้าบ้านแล้ว”
“ไม่เอาดอก ฉันจะเข้าทางสวนด้านหลังจะได้ไม่ต้องเจอพวกหมื่นทะลุทะลวง พันสีแดงสีเขียวกระไรนั่น”
“ตายแล้วแม่เอื้อย พูดกระไรเช่นนั้น เค้าชื่อหมื่นทะลวงศึกกับพันศรีเทพเรียกให้ถูกซี แล้วเค้าไปทำกระไรให้รึ แม่เอื้อยแตงถึงไม่อยากพบหน้า”
“ก็ไม่ได้ทำกระไรดอก แต่มองฉันด้วยสายตาพิกล แลยังพูดจาเป็นเชิงเกี้ยวอีก ฉันไม่ชอบ”
“หัวหมื่นหัวพันทั้งสองคงชอบพอแม่เอื้อยแตงเข้ากระมัง ทั้งสองอยู่ในสังกัดพ่อท่าน หากแม่มีใจตอบผู้ใด ก็บอกพ่อท่านได้”
เอื้อยแตงโวยลั่น
“มีใจตอบกระไร ฉันรำคาญเหลือ พอรู้ว่าวันนี้จะมาที่เรือนอีก ฉันถึงได้ออกไปกับแม่หญิงแต่เช้าอย่างไรเล่า”
เอื้อยแตงพูดแล้วหันไปดุทาสชาย
“เอ้า เทียบเรือซี ฉันบอกตั้งนานแล้ว ไม่ได้ยินรึ”
ทาสชายไม่รู้ทำไงเลยเบนหัวเรือขึ้นฝั่ง
“แม่เอื้อยแตงไปกับฉัน แล้วไม่ได้กลับพร้อมกันเช่นนี้ แล้วฉันจะตอบแม่ท่านอย่างไรเล่า”
เอื้อยแตงไม่สน พอเรือใกล้ฝั่งก็กระโจนขึ้นทันที
“แม่หญิงอยากตอบว่ากระไรก็ตอบไปเถิด ฉันไปหล่ะ”
เอื้อยแตงเดินหนีไปทันที เรไรตกใจ
“ไม่ได้นะแม่เอื้อยแตง แม่ท่านใช้ให้ฉันดูแลแม่เอื้อยแตงหากทำเช่นนี้ฉันก็โดนตำหนิซี กลับไปด้วยกันก่อนแม่เอื้อยแตง”
เอื้อยแตงไม่สน เดินลิ่วๆไปอย่างสบายใจ
“จะทำประการใดดีขอรับแม่หญิง” ทาสชายถามขึ้น
เรไรถอนใจออกมาก่อนจะใช้ความคิดว่าจะทำยังไงดี
เวลาต่อมา เรไรเดินมาตามท้องร่องสวนเพื่อตามหาเอื้อยแตงไปรอบๆพร้อมตะโกนเรียก
“แม่เอื้อยแตงหนีเร็วจริง ไม่ทันกระไรก็หายไปเสียแล้ว”
ทันใดนั้นเอง เสมาในสภาพนุ่งโจงกระเบนตัวเดียวหาปลาอยู่ก็โผล่ออกมาจากคูน้ำ ห่างจากเรไรไปนิดเดียว เสมาดีใจที่เจอเรไร
“แม่หญิง”
เรไรตกใจที่เห็นสภาพเสมาเปลือยจนเกือบหมดเหลือโจงกระเบนตัวเดียวจนต้องร้อง “ว๊าย” แล้วเบียนหน้าหนีทันที
“เป็นกระไรไปแม่หญิง”
“ยังมีหน้าถามอีกรึ มาอยู่ทำกระไรที่นี่”
“ข้าพระเจ้ามาเดินดูสวนบำเหน็จเลยนึกสนุกดำน้ำหาปลาไปปิ้งกิน เมื่อก่อนที่ข้าพระเจ้าเป็นครูฝึก ก็ทำเช่นนี้แทบทุกวัน คิดแล้วให้คิดถึงเรื่องวันวานนัก”
เรไรหันกลับไปมอง พอเห็นสภาพเสมาก็เบือนหน้าหนีทันทีด้วยความอาย
“แต่เพลานี้ท่านเป็นถึงขุนแสนศึกพ่ายแล้ว มาทำเช่นนี้ได้อย่างไร”
พูดแล้ว เรไรก็กระโดดข้ามไปท้องร่องอีกฝั่งเพื่อหนีเสมาจนเสมาแปลกใจ
“แล้วเหตุใดแม่หญิงต้องกระโดดหนีข้าพระเจ้าด้วย”
เสมากระโดดตามเรไรไป เรไรรีบกระโดดหนีกลับไปท้องร่องอีกฝั่งทันที
“ฉันไม่ได้หนี แต่เราหาควรคุยกันในสภาพเช่นนี้ไม่” เรไรบอก
อ่านต่อหน้า ๒
ขุนศึก ตอนที่ ๑๓ (ต่อ)
เสมาก็กระโดดตามอีก เรไรก็กระโดดหนีอีก ทั้งคู่โดดหนีโดดตามสลับฟันปลากันไปมาตามท้องร่องสวน เสมาพูดไปกระโดดไปด้วยความน้อยใจ
“ข้าพระเจ้ารู้ ว่าแม่หญิงมีคู่หมั้นคู่หมายแล้วหาได้คิดชั่วไม่ เพียงแค่อยากพบปะพูดคุยเท่านั้น”
“ฉันไม่ได้หมายความเช่นนั้น”
“แล้วแม่หญิงหมายความเช่นไร”
“เลิกตามฉันเสียทีเสมา ประเดี๋ยวค่อยพูดกัน”
“แม่หญิงก็เลิกกระโดดหนีข้าพระเจ้าซี จักได้คุยกัน”
“เสมานั่นหล่ะ อย่าตามมา”
“แม่หญิงก็อย่าหนีซี”
เสมาพยายามจะขวางไม่ให้เรไรหนี เลยเอื้อมมือคว้าชายสไบของเรไรไว้ แต่เป็นจังหวะที่เรไรกระโดดหนีพอดี สไบของเรไรเลยถูกเสมาดึงติดมือมา เรไรเหลือแต่ผ้าพันกายอยู่เท่านั้น เรไรอายสุดๆรีบเอามือปิดแล้ววิ่งไปหลบหลังต้นไม้ทันที เสมาตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
“ขอขมาเถิดแม่หญิง ข้าพระเจ้าหาตั้งใจไม่”
เสมากระโดดข้ามไปอีกฝั่งเพื่อจะเอาสไบไปคืนเรไร
ทันใดนั้นเสียงขันก็ดังขึ้น
“มึงกล้าทำเช่นนี้เชียวรึ อ้ายเสมา”
เสมาตกใจหันกลับไปมองตามเสียง เห็นขันยืนหน้าตาถมึงทึงด้วยความโกรธจัดอยู่ เสมาหน้าเสียทำอะไรไม่ถูก เพราะสไบของเรไรก็อยู่ในมือแถมเสมายังนุ่งโจงกระเบนตัวเดียวอีกต่างหาก
ขันโกรธสุดๆแต่ไม่ได้พกดาบมา เลยหันไปหยิบไม้มาสองท่อนแทนดาบสองมือแล้วไล่ฟาดเสมา
“มึงตายเสียเถิดอ้ายเสมา”
ขันไล่ฟาดเสมา เสมาก็หลบซ้ายหลบขวา
เรไรจะออกไปห้าม แต่เห็นสภาพตัวเองที่มีแต่ผ้าแถวพันกายก็อายเลยได้แต่ตะโกนห้ามอยู่หลังต้นไม้ “อย่าขุนณรงค์ ไม่ใช่อย่างที่ท่านคิด อย่าวิวาทกัน”
ขันไม่ฟังไล่ตีเสมาไม่ยั้ง
“อ้ายโจรชั่ว มึงอย่าอยู่เป็นคนอีกเลย”
เสมาพูดไปหนีไป
“ที่นี่เป็นสวนของกู มึงเข้ามาเอาไม้ไล่ตีกู ผู้ใดเป็นโจรกันแน่วะ”
ขันไล่ตีจนเสมาจวนตัวจึงเอาสไบของเรไรขึ้นรับไม้ขัน ก่อนจะถีบขันจนตกท้องร่องสวน เสมายิ้มขำ ก่อนจะหันไปพูดกับเรไรว่า
“สไบนี้ช่วยข้าพระเจ้าไว้ ใจจริงอยากเก็บไว้นัก แต่เกรงว่าแม่หญิงจะต้องหลบอยู่หลังต้นไม้ตลอดวัน จึงขอคืนให้แม่หญิงเถิด”
เสมาโยนสไบไปให้เรไรรับ ขันตะเกียกตะกายจะขึ้นจากท้องร่องไปเอาเรื่องเสมาอีก
“ไม่มีสไบเป็นอาวุธแล้ว ข้าพระเจ้าต้องขอลาแม่หญิงไปก่อน”
ขันตะกายขึ้นมาจากท้องร่อง เนื้อตัวเปียกโชก
“อ้ายเสมา มึงอย่าหนี มึงเป็นชายจริง มึงอย่าหนี”
ขันจะรีบวิ่งตามเสมาไปพลาดตกร่องน้ำไปอีกเลยโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง เรไรอดขำๆขันออกมาไม่ได้ ก่อนจะก้มมองดูสไบในมือแล้วยิ้มปนอาย
ภายในบ้านหลวงรามเดชะเมื่อตอนหัวค่ำ ขันกำลังโกรธจัด เสียงดังโวยวายฟ้องลำภู โดยมีเรไรนั่งอยู่ใกล้ๆ และมีพิณคอยรับใช้
“อ้ายเสมามันบังอาจนัก มันแจ้งอยู่แก่ใจว่าแม่หญิงเรไรมีคู่หมั้นแล้ว ยังกล้าทำบัดสีอีก”
“ฉันเพียรบอกหลายครั้งแล้วว่าเพียงประจวบเหมาะเท่านั้น หาใช่ตั้งใจไม่ถึงกับสาบานด้วยถ้อยคำสาหัสแล้ว ยังไม่พอใจอีกรึ” เรไรน้ำเสียงไม่พอใจ
“ไม่ใช่ข้าพระเจ้าไม่เชื่อคำแม่หญิง แต่ข้าพระเจ้าไม่เชื่ออ้ายเสมาต่างหาก นี่หากไม่ใช่เพราะคุณพระคุณเจ้าคุ้มครองดลให้ข้าพระเจ้าไปเก็บดอกเบี้ยละแวกนั้น อ้ายเสมาอาจกระทำชั่วไปแล้วก็เป็นได้”
“ขุนณรงค์เห็นว่าฉันจักยอมให้กระทำชั่วได้โดยง่ายหรือ คนอย่างฉันยอมตายเสียดีกว่ายอมถูกหยามหมิ่น”
“เอาเถิดๆ อย่าทะเลาะกันเองเลย ขุนณรงค์พูดไปก็ด้วยความห่วงใย แม่เรไรอย่าถือโทษพี่เค้าเลย” ลำภูรีบปราม
“ขอบพระคุณท่านอาหญิงที่เข้าใจข้าพระเจ้าขอรับ”
เรไรทิ้งค้อน ขันเห็นท่าทีของเรไรก็ยิ่งหงุดหงิด
“ท่านอาหญิงขอรับ เพลานี้ท่านอาไปราชการหัวเมือง ข้าพระเจ้าเป็นห่วงท่านอาหญิงกับแม่หญิงเรไรนัก ใคร่อยากจะขอมาค้างที่เรือนเพื่อปกป้องดูแลขอรับ”
พิณอดรนทนไม่ไหวจึงพูดขึ้น
“ในเรือนมีบ่าวมากมาย ใครจักกล้าคิดชั่วกัน ขุนท่านอย่าลำบากยากกายไปเลยเจ้าค่ะ”
“นังพิณ หาใช่เรื่องของเอ็งไม่” ลำภูว่า
พิณหน้าจ๋อยไป ขันยิ้มอย่างสะใจ
“อาก็ห่วงเรื่องนี้เช่นกัน ถ้าขุนณรงค์เต็มใจ อาก็ขอบน้ำใจมากแล้ว”
ขันยิ้มแย้มก่อนจะหันไปมองเรไร เรไรสีหน้าบึ้งตึงไม่พอใจ ก่อนจะลุกขึ้นเดินหนีไป ขันมองตามคิดอยากจะเอาชนะให้ได้
ในเวลากลางคืน เรไรกำลังก้มลงกราบหมอน เพื่อจะสวดมนต์ก่อนนอน ขณะนั้นเองก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ใครกัน”
“ข้าพระเจ้าเองแม่หญิง” ขันแกล้งทำเสียงร้อนใจ
เรไรไม่พอใจ ลุกเดินไปพูดใกล้ๆ ประตู
“มืดค่ำเช่นนี้ ขุนณรงค์มาเคาะประตูห้องฉันหมายความว่ากระไร”
“อย่าเพิ่งโกรธเคืองข้าพระเจ้าเลยแม่หญิง เพลานี้ท่านอาหญิงเป็นลม ยังไม่ฟื้นเลย ข้าพระเจ้าจึงรีบมาแจ้ง”
เรไรตกใจเล็กน้อย แต่ก็ยังระแวงขันอยู่
“เมื่อหัวค่ำแม่ท่านยังดีอยู่เลย”
“เรื่องเช่นนี้ข้าพระเจ้าจะพูดปดได้รึ”
เรไรมีสีหน้าลังเล ขันพูดต่ออยู่ที่หน้าห้องด้วยสีหน้าแววตาเจ้าเล่ห์
“ข้าพระเจ้าพักอยู่ใกล้ห้องท่านอาหญิง พลันจะเคลิ้มหลับ ก็ได้ยินเสียงเหมือนของตก พอเปิดประตูไปดู ก็เห็นท่านอาหญิงเป็นลมล้มพับไปเสียแล้ว แม่หญิงไปดูเองเถิด”
เรไรห่วงลำภูมากเมื่อได้ยินขันเล่าเป็นเรื่องเป็นราวเลยไม่สงสัยเปิดประตูห้องทันที เพื่อจะไปหาแม่
ทันทีที่ประตูเปิดออก ขันที่ยืนอยู่หน้าประตูก็ผลักเรไรกลับเข้าห้องไป พร้อมกับรีบเข้ามาในห้อง แล้วลงกลอนลั่นดาล ไม่ให้คนข้างนอกเข้ามา เรไรตกใจคิดว่า ขันจะทำมิดีมิร้ายแน่
“นี่ท่านถึงกับเอาท่านแม่มาลวงหลอกฉันเชียวรึ เลวเกินไปเสียแล้ว”
ขันมองเรไรด้วยสายตาถมึงทึง
“ข้าพระเจ้าควรจะเลวเสียเช่นนี้นานแล้ว แม่หญิงจะได้ไม่ไปปันใจ กระทำบัดสีกับอ้ายเสมา”
“ฉันไม่ได้ทำ”
“ไม่เชื่อ เห็นตำตายังจักมุสาอีก แม่หญิงรู้หรือไม่ว่าข้าพระเจ้าหลงรักแม่หญิงมานานเพียงใด แต่แม่หญิงมิเพียงไม่เห็นหัว ยังไปฝากรักกับอ้ายช่างเหล็กย่ำยีหัวใจข้าพระเจ้า แม้แต่หมั้นแล้ว ก็ยังไม่วายไปหามันอีก ดูทีรึว่าหากเปลี่ยนจากคู่หมั้นเป็นผัวแล้ว ยังจะกลับไปหาอ้ายเสมาอีกหรือไม่” ขันตะคอกใส่
ขันโผเข้าปล้ำเรไรทันที เรไรตื่นตระหนกด้วยความกลัวสุด พยายามจะร้อง แต่ขันก็ปิดปากไว้ไม่ให้ร้อง เรไรขัดขืนอย่างเต็มที่
ภายในห้องนอน เสมาเปิดหีบขนาดใหญ่ที่วางไว้ภายในห้องออก เสมาเอื้อมมือลงไปหยิบกล่องเล็กๆขึ้นมาใบหนึ่ง ก่อนจะเปิดกล่องออก ภายในกล่องใบนั้นล้วนแล้วแต่เป็นของๆที่เกี่ยวกับเรไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นดอกจำปีที่เรไรให้ตน ซึ่งตอนนี้แห้งเหี่ยวจนเหลือขั้วดอกแห้งๆเท่านั้น แหวนที่เรไรให้ ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กๆ จดหมายที่เรไรเคยเขียนถึงตน ฯลฯ ซึ่งทุกอย่างเก็บไว้อย่างดี
เสมาหยิบแหวนขึ้นมาขึ้นมองดูแล้วรำพึงด้วยสีหน้าซึมเศร้าว่า
“ข้าพระเจ้าจะออกเรือนกับหญิงอื่นได้กระไร ในเมื่อหัวใจของข้าพระเจ้าให้แม่หญิงไปสิ้นแล้ว”
ภายในห้องนอนเรไร ขันจับเรไรเหวี่ยงไปบนเตียง ขันตามเข้าไปปล้ำ ขันใช้มือปิดปากไว้ไม่ให้เรไรร้อง เรไรจึงกัดมือ ขันร้องด้วยความเจ็บปวด เรไรสะบัดหลุดจะวิ่งไปที่ประตู แต่ยังไม่ทันร้องขอความช่วยเหลือ ขันก็ตามมาปิดปาก แล้วรวบตัวเรไรมาที่เตียงอีกครั้ง
“ร้ายกาจนัก สมกับเป็นบุตรสาวของหลวงรามเดชะเสียจริง”
เรไรพยายามดิ้นสู้ แต่ก็สู้แรงขันไม่ไหวครั้นจะร้องก็โดนมือขันปิดปากอยู่
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น
“แม่หญิงเจ้าคะ” เสียงพิณดังขึ้นที่นอกห้องนอนของเรไร
ขันชะงักและหยุดฟัง
“บ่าวเห็นเงาคนลอบขึ้นเรือนมา แม่หญิงเปิดประตูให้บ่าวเข้าไปสักหน่อยได้หรือไม่เจ้าค่ะ”
ขันตกใจหน้าเสีย เรไรได้ที พยายามดิ้นเต็มที่ แต่ก็โดนขันจับตัวเอาไว้
พิณเคาะประตูและถามอีก
“แม่หญิง หลับแล้วหรือเจ้าคะ เอาอย่างไรดีเจ้าคะแม่หญิงเอื้อยแตง”
“ถึงหลับก็ต้องปลุก โจรรึเปล่าก็ไม่รู้ พิณเจ้าเคาะประตูไปก่อน ฉันจะไปตามพวกบ่าวไพร่ชายมา หากมีโจรจริง จะได้จับมันส่งนครบาลเสีย” เอื้อยแตงบอก
ขันได้ยินเข้าก็กลัวหนักเพราะถ้าถูกจับได้ต้องโดนหนักแน่ๆ จึงพยายามคิดหาทางเอาตัวรอดอย่างเต็มที่ ขันเหลือบมองไปที่หน้าต่าง ฉุกคิด แล้วตัดสินใจปล่อยเรไร แล้ววิ่งไปเปิดหน้าต่าง ก่อนจะปีนหนีไปทันที
เรไรหลุดจากการจับกุมรีบวิ่งไปเปิดประตูห้องทันที พอเปิดออกก็ต้องแปลกใจ เมื่อเห็นพิณ และเอื้อยแตง ยืนยิ้มอยู่หน้าห้อง
“ทันการพอดีใช่หรือไม่แม่หญิง เสียดายที่พิณมาบอกช้าไป หาไม่จะให้พวกบ่าวไพร่ดักอยู่ที่ใต้หน้าต่าง ครานี้ได้ดูขุนณรงค์วิชิตถูกแห่ประจานเป็นแน่”
เรไรรู้ว่า เมื่อครู่เป็นแผนเอื้อยแตงก็ยิ้มออกมาอย่างโล่งอก
“แม่หญิงมิได้ถูกล่วงเกินอันใดนะเจ้าคะ” พิณถามด้วยความเป็นห่วง
เรไรส่ายหน้า
“เรื่องครานี้ใหญ่หลวงนัก ถึงจะเป็นคู่หมั้นคู่หมายก็เถิด แม่หญิงอย่ายอมโดยง่ายเชียว” เอื้อยแตงบอก
เรไรพอหายตกใจก็มีสีหน้าขึงขังไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
เช้าวันรุ่งขึ้น เรไรและเอื้อยแตงกำลังฟ้องลำภู โดยมีแต้มอยู่ใกล้ๆ ลำภูถึงทราบเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น
“เป็นไปได้อย่างไร อีกไม่นานแม่เรไรก็ต้องออกเรือนไปกับขุนณรงค์แล้ว ขุนณรงค์จะทำการเช่นนั้นไปเพื่อกระไร”
“แม่ท่านเห็นว่าลูกกับแม่เอื้อยแตงมุสาเช่นนั้นหรือ”
ลำภูมีท่าทีอึกอักไม่รู้จะตอบเรไรอย่างไร
“หากป้าท่านไม่เชื่อ ก็ตามขุนณรงค์มาพิสูจน์ซีเจ้าคะ เมื่อคืนแม่หญิงเรไรกัดมือขุนณรงค์ไป อย่างไรเสียก็คงมีรอยแผลเหลืออยู่เป็นแน่” เอื้อยแตงว่า
“คงตามไม่ได้เสียแล้ว เพราะเมื่อรุ่งสาง ป้าตื่นขึ้นมาเห็นประตูห้องขุนณรงค์ปิดไม่สนิท พอเข้าไปดูจึงรู้ว่าไม่อยู่ ชะรอยจักหนีไปเสียแต่เมื่อคืนแล้ว”
แต้มตบเข่าฉาดด้วยความเจ็บใจ
“มันคงกลัวผิดล่ะซีถึงได้รีบหนี ยอมไม่ได้เชียวพี่ลำภู เช่นนี้ต้องแจ้งนครบาลมาลากคอมัน”
“ไม่ได้นะพ่อแต้ม แม่เรไรเป็นหญิงหากเรื่องนี้แพร่ออกไปมีแต่เสื่อมเสีย จักให้ผู้อื่นรู้มากกว่านี้ไม่ได้เป็นอันขาด” ลำภูว่า
“แล้วป้าท่านจักยอมให้ขุนณรงค์ลอยหน้าเหนือความผิดอยู่เช่นนี้หรือเจ้าคะ”
ลำภูลำบากใจ ไม่รู้จะทำอย่างไรเลยพาลโกรธขัน
“ขุนณรงค์นะขุนณรงค์ รอแค่คุณหลวงกลับจากราชการก็จะได้ออกเรือนแล้ว เหตุใดต้องทำหยามกันเช่นนี้ด้วย”
“นั่นก็เพราะขุนณรงค์หึงหวงลูกกับขุนแสนศึกพ่าย แลไม่เคยเชื่อใจลูกกับพ่อท่านมาก่อน แม้จะหมั้นแล้วก็ยังระแวงอยู่ร่ำไป ถึงได้คิดชั่วเช่นนี้”
ลำภูจนแต้มพูดอะไรไม่ออกจึงยิ่งโกรธขันมากขึ้น
ทางด้านขันกำลังคุยกับดวงแขด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ที่ท่าน้ำในบ้าน
“เรื่องแต่เพียงนี้พี่ขันก็ทำไม่สำเร็จ”
“เพราะพี่ทำตามคำแม่ดวงแขต่างหาก จึงต้องเป็นเช่นนี้แล้วยังจักตำหนิพี่อีกรึ เพลานี้ควรช่วยพี่คิดดีกว่าว่า หากท่านอากับท่านอาหญิงรู้เรื่องเข้าจะทำเช่นใด มิรู้จักโกรธเคืองถึงขั้นถอนหมั้นเลยหรือไม่”
“ข้อนั้นลืมไปเถิด วิสัยของท่านอากับท่านอาหญิงรักหน้านัก หากต้องถอนหมั้นด้วยเรื่องเช่นนี้ คงอับอายไปทั่วอโยธยา เพลานี้ พี่เพียงแต่อยู่ห่างท่านอาไว้ รอหายเคืองเมื่อใดค่อยเข้าไปสารภาพผิดก็พอ”
“แม่ดวงแขแน่ใจใช่หรือไม่ ว่าจักไม่ลุกลามไปกว่านี้”
ดวงแขชักหงุดหงิดที่ขันไม่ได้อย่างใจ
“มิน่าเล่า พี่ขันถึงต้องคอยพึ่งพาขุนวิเศษเพราะมัวลังเลหวาดกลัวอยู่เช่นนี้เอง เสียดายนักที่ฉันไม่ใช่ชาย”
“เอาเถิดๆ พี่จะทำตามคำแม่ดวงแขก็แล้วกัน”
“ถ้าเช่นนั้น ฉันจะกลับเข้าวังก่อนจะได้หยั่งท่าทีของแม่เรไรกับขุนแสนว่ามีประการใดบ้าง”
“เรื่องกระไรต้องดูท่าทีอ้ายเสมาด้วย พี่เป็นคู่หมั้นกับแม่หญิงเรไรไม่ใช่มัน”
“แต่เพลานี้ขุนแสนศึกพ่ายกำลังรุ่งเรือง หากราชองครักษ์ฝ่ายขวาหาเรื่องกลั่นแกล้งพี่ ก็หาใช่รับมือง่ายไม่”
ขันหน้าเสีย แล้วก็หงุดหงิดเจ็บใจ ที่ตอนนี้เป็นรองเสมาจริงๆ
ยามบ่าย ภายในวัง ดวงแขและบัวเผื่อนเดินคุยพร้อมถือโถใส่ขนมมา บัวเผื่อนยิ้มอย่างรู้ทัน
“หากแม่ดวงแขอยากมาวังหน้าบอกฉันตรงๆก็ได้ ไม่ต้องอาสาช่วยดอก ฉันเกรงใจนัก”
“แม่บัวเผื่อนรู้หรือไม่ ว่าแม่ทั้งสะสวย ทั้งมีปัญญายากจะหาหญิงใดในตำหนักเสมอได้”
บัวเผื่อนยิ้มเขินพลางว่า
“นึกกระไรขึ้นมาถึงมายกยอฉันเช่นนี้”
“ฉันไม่ได้ยกยอ แม่บัวเผื่อนเป็นเช่นนั้นจริง เสียแต่ปากร้ายนักชอบพูดจาที่ผู้อื่นไม่อยากฟังอยู่ร่ำไป”
บัวเผื่อนหน้าตึงไม่พอใจขึ้นมาทันที แต่ยังไม่ทันตอบก็เป็นจังหวะที่เสมากำลังเดินคุยกับพันจิตรเสน่หาที่ได้เลื่อนขั้นเป็นหมื่นจิตรเสน่หาผ่านมาพอดี
“ท่านขุนแสน” ดวงแขยิ้มทักทาย
หมื่นจิตรเห็นหน้าดวงแขชัดๆ ก็ตะลึงก็หลงรักทันทีตั้งแต่แรกพบ
“แม่หญิงทั้งสองนี่เอง มาถึงวังหน้ามีกระไรรึ” เสมาว่า
บัวเผื่อนยังสีหน้าบึ้งตึง
“เสด็จท่านทำขนม ให้ฉันนำมาถวายเจ้าฟ้าสุทัศน์ท่าน แต่ผู้อื่นจะมาด้วยเหตุใด ขุนแสนคงพอเดาออกกระมัง”
หมื่นจิตรแอบลอบมองดวงแขอยู่เรื่อยๆ ด้วยสายตาปลาบปลื้มชื่นชม ดวงแขทำไม่รู้ไม่ชี้ ปั้นยิ้ม
“ท่านขุนต้องเป็นแม่กองฝึกทหารไม่ใช่หรือ เหตุใดป่านฉะนี้ยังไม่ไปเล่า”
“เป็นแม่กองไม่ต้องไปทุกวันดอก พันเทพพันทิพก็เป็นครูฝึกอยู่ หากมีกระไรเหลือบ่ากว่าแรง ข้าพระเจ้าถึงค่อยไป”
ดวงแขเริ่มเลียบๆเคียงๆว่าเสมารู้เรื่องเมื่อคืนแค่ไหน
“ถ้ากระนั้น ท่านขุนก็ไม่ได้พบเจอคนที่บ้านออกหลวงรามเดชะหล่ะซี”
เสมาหน้าเสียคิดว่าดวงแขหึงหวง
“เหตุใดแม่หญิงถามเช่นนี้เล่า”
“ไม่มีกระไรดอก ฉันได้ยินว่ามีโจรชิงสไบอาละวาดอยู่แถบเรือนท่านอาหลวงราม หากท่านขุนได้พบคนที่เรือนคงพอรู้ข่าวบ้าง แต่เมื่อไม่ได้พบปะผู้ใดก็ช่างเถิด”
เสมาหน้าเสียเหมือนมีอะไรติดคอพูดไม่ออกซักคำ
“ไปกันเถิดแม่บัวเผื่อน”
ดวงแขแน่ใจว่าเสมายังไม่รู้เรื่องเลยเดินไปกับบัวเผื่อนอย่างอารมณ์ดี เสมาถอนหายใจอย่างโล่งอก
“เจ้าคารมยอกย้อนนัก”
หมื่นจิตรที่ชอบดวงแขทันทีที่เห็นหน้าถามเสมาขึ้นทันที
“ท่านขุน แม่หญิงที่พูดคุยกับท่าน ชื่อกระไรลูกเต้าเหล่าใคร บ้านเรือนอยู่ที่ใดรึ”
“มีกระไรหรือท่านหมื่นจิตร” เสมาถามด้วยความแปลกใจ
“เอ่อ ฉันเห็นหน้าคราแรกก็ให้ถูกชะตานัก หากมิใช่คนรักของท่านขุนก็ไหว้วานท่านขุนช่วยเหลือฉันสักหน่อยเถิด”
เสมานึกไม่ถึง
“หมื่นจิตร นี่ท่านพึงใจแม่หญิงดวงแขรึ”
เสมาฉุกคิดขึ้นแล้วยิ้มบางๆที่เริ่มมองเห็นทางแก้ปัญหาเรื่องดวงแขให้พ้นตัวเสียที
อ่านต่อหน้า ๓
ขุนศึก ตอนที่ ๑๓ (ต่อ)
ขันกำลังคุยกับดวงแขอยู่ที่ประตูท้ายวังเมื่อเวลาเย็น
“แน่ใจหรือแม่ดวงแขว่า อ้ายเสมาไม่ระแคะระคายแน่”
ดวงแขนึกรำคาญในความขี้ขลาดของขัน
“ไม่ต้องกลัวไปดอก น้องลองหยั่งเชิงแล้ว เสมาไม่รู้แน่ เพลานี้พี่ขันอย่าหาความอีกก็เป็นใช้ได้ ท่านอาหลวงกลับมาเมื่อใดก็เร่งสู่ขอแม่เรไรเข้าเถิด”
“ข้อนี้พี่ก็กังวลนักเกรงท่านอากับท่านอาหญิงจะเอาผิดพี่ หากความถึงออกญาผู้ใหญ่ซึ่งเป็นนาย พี่คงไม่แคล้วถูกถอดเป็นแน่”
“น้องบอกแล้ว ว่าท่านอากับท่านอาหญิงเกรงเสียหน้ายิ่งกว่าสิ่งใด หาไม่ คงรับเสมาเป็นเขยเสียนานแล้ว การที่พี่ทำยังร้ายกาจกว่ามีเขยเป็นช่างตีเหล็กมากนัก แล้วจะแพร่งพรายถึงหูออกญาได้อย่างไรกัน”
ขันเจอดวงแขดุเข้าก็จ๋อยไป เพราะถึงแม้ขันจะเจ้าเล่ห์ อันธพาล แต่ส่วนลึกแล้วมีความเข้มแข็งน้อยกว่าดวงแขมาก ในขณะที่ดวงแขมองขันด้วยความหงุดหงิดไม่ได้อย่างใจเลย
เอื้อยแตงเดินประคองแต้มที่อยู่ในอาการเมามายมากออกมาจากบ้านหลังใหม่ของเสมาเมื่อเวลาค่ำ โดยมีเสมาและมั่นเดินตามออกมาส่ง ในขณะที่สินยืนรออยู่ที่หัวบันได
“วันหลังเถิดพี่มั่น วันหลังฉันจักมากินเหล้ากับพี่อีก ฉันจะชวนพวกที่ตลาดมาด้วยเอาให้ครึกครื้นเลยเชียว” แต้มพูดอย่างเมามายพลางหัวเราะร่วน
เอื้อยแตงอายผู้คนที่มีพ่อเป็นคนขี้เมา
“จักชวนมาทำกระไรกันพ่อ เกรงใจพ่อลุงบ้างเถิด ฉันอายเหลือเกินแล้ว”
“เอ็งจะอายทำกระไรวะ เราไม่ใช่อื่นไกลกัน คนสนิทชิดเชื้อกันแท้ๆ” แต้มพูดเสียงอ้อแอ้ก่อนจะ หันไปพูดกับเสมา
“จริงหรือไม่พ่อเสมา”
“จริงจ้ะ”
แต้มหัวเราะแล้วจับมือเสมากับเอื้อยแตงขึ้นมาแล้วเอามือเอื้อยแตงให้เสมาจับไว้
“ได้ยินหรือไม่นังเอื้อยแตง พ่อเสมา ฉันฝากนังเอื้อยแตงไว้กับพ่อด้วย ฉันมีลูกคนเดียว พ่ออย่ารังแกมันเชียวนา”
เสมาอึกอักทำอะไรไม่ถูก
ขณะที่สินเกิดอาการหึงสุดๆ แต่เกรงใจเสมาเลยไม่โวยวาย ฝ่ายเอื้อยแตงทั้งโกรธทั้งอาย
“พ่อ ถ้าไม่หยุดพูด ฉันจะไม่พาพ่อมาที่เรือนพี่เสมาอีกแล้ว”
เอื้อยแตงดึงมือออกแล้วเดินเลี่ยงนำลงไปก่อน แต้มงง
“กระไรของมันวะ”
มั่นกลัวเรื่องจะบานปลายจึงปั้นยิ้มไกล่เกลี่ย
“แม่เอื้อยแตงเป็นสาวแล้ว พ่อแต้มพูดเช่นนี้จักไม่อายได้อย่างไร เอ่อ นี่ก็มืดค่ำแล้วให้พ่อสินกับพ่อสมบุญไปส่งที่เรือนเถิด อย่ากลับกันเองเลย”
“ได้เลยจ้ะ ฉันจะไปส่งให้ถึงเรือนเลย” สินรับคำอย่างดีใจ
เอื้อยแตงหันกลับมาตวาดทันที
“ไม่ต้อง ข้ากับพ่อกลับเองได้ เอ็งไม่ต้องวุ่นวาย”
สินหน้าบึ้งด้วยความน้อยใจ
“ถูกของแม่แล้ว ข้ามันวุ่นวายไปเอง”
สินเดินด้วยอาการเซ็งๆ แซงลงจากเรือนไปก่อน เอื้อยแตงหน้าเสียไม่คิดว่า สินจะเสียใจแบบนี้เลยมองตามด้วยความรู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน
เอื้อยแตงเดินถือโคมไฟประคองแต้มที่เมาเป๋ไปเป๋มา ส่วนปากยังพล่ามด้วยความเมาไม่ยอมหยุด
“อ้ายเสมามันเป็นราชองครักษ์เชียวนานังเอื้อยแตง ตำแหน่งนี้มีแต่ผู้คนอยากเป็นเพราะได้ถวายรับใช้ใกล้ชิด” แต้มพูดขึ้น
สินแอบเดินตามหลังมาห่างๆด้วยความเป็นห่วง
“ต่อไปจะมั่งมีกว่าลุงหลวงรามของเอ็งเสียอีก เอ็งได้ผัวดีเช่นนี้จักเล่นตัวหากระไรอีกวะ”
เอื้อยแตงเริ่มหงุดหงิด
“หากพ่อยังไม่หยุดพูด ฉันจะปล่อยให้พ่อหาทางกลับเรือนคนเดียวเสียเลย”
“อีนังนี่ ตอนมันตีเหล็กขายเอ็งกลับชอบพอมัน แต่พอมันเป็นขุนเอ็งกลับเล่นตัว นังบ้า”
แต้มเดินโซซัดโซเซไปที่พงหญ้าข้างทาง
“พ่อจะทำกระไร”
“ข้าจะเยี่ยว เอ็งรอก่อน”
เอื้อยแตงยืนหันหลังให้พ่อแบบเซ็งๆ
แต้มปลดผ้าขาวม้าที่คาดเอวเตรียมจะปัสสาวะ แต่ทันใดนั้นก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีอะไรบางอย่าง
กัดเข้าที่ข้อเท้าตน
“โอ๊ยๆ งูกัดข้า” แต้มทรุดลงนั่งทันที
เอื้อยแตงตกใจสุดๆ รีบเข้าไปดูพ่อ
“งูกัดรึ งูกระไรกัน”
แต้มทั้งกลัว ทั้งปวดแผล
“ข้าจะไปรู้รึนังเอื้อย โอ๊ยๆ”
เอื้อยแตงตกใจมือไม้สั่นทำอะไรไม่ถูก
ทันใดนั้นเอง สินก็วิ่งเข้ามาหาแล้วเอาผ้าขาวม้าของตน มัดเหนือปากแผลของแต้มไว้ก่อนจะใช้มือบีบเค้นเลือดที่แผลของแต้มออกมา เอื้อยแตงนึกไม่ถึงว่าจู่ๆ สินจะโผล่มาช่วยในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน
แต้มนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง เรไรและเอื้อยแตงคอยดูแลแต้ม โดยมีพิณคอยบดยาอยู่ใกล้ๆ
“ยานี้ชะงัดนัก พอกติดกัน 3 วัน ไม่ว่าพิษงูกระไร ก็หายได้ทั้งสิ้น”
เรไรหันไปพูดกับพิณ
“พิณ ประเดี๋ยวให้บ่าวไพร่ผลัดกันเฝ้าอาแต้มไว้ หากเป็นงูพิษ คืนนี้อาแต้มคงได้ไข้เป็นแน่” เรไรบอก
“เจ้าค่ะแม่หญิง บ่าวจักให้คนเฝ้าแลเปลี่ยนยาตามที่แม่หญิงเคยสอนไม่ให้ผิดพลาดเจ้าค่ะ”
“ฉันจักเฝ้าพ่อด้วย ประเดี๋ยวแม่พิณช่วยสอนฉันว่าต้องทำกระไรบ้าง” เอื้อยแตงบอก
“เจ้าค่ะ”
เอื้อยแตงหันไปไหว้เรไร
“ขอบพระคุณแม่หญิงนัก หากไม่ได้แม่หญิงครานี้ พ่อคงไม่รอดเป็นแน่”
เรไรรับไหว้แล้วบอก
“ไม่ต้องขอบพระคุณฉันดอก อย่างไรอาแต้มก็เป็นอาฉันควรที่ฉันต้องช่วยเหลืออยู่แล้ว หากจักขอบพระคุณ แม่เอื้อยก็ไปขอบพระคุณพันทิพเถิด ถ้าไม่ได้พันทิพช่วยไว้ก่อนถึงยาจะดีเพียงใดก็ช่วยไม่ได้ดอก”
เอื้อยแตงหน้าขรึมลงรู้สึกผิดกับสินที่ชอบดุด่าสินเป็นประจำ แต่สินกลับเป็นคนช่วยแต้มไว้
เวลาต่อมา บริเวณหน้าห้องนอนของแต้ม สินรออยู่หน้าห้องด้วยความเป็นห่วง เอื้อยแตงเปิดประตูห้องออกมา
“อาแต้มเป็นกระไรบ้าง แม่เอื้อยแตง” สินถาม
“ได้ยาแม่หญิงเรไรก็น่าจักเย็นใจได้แล้ว เอ่อ ขอบน้ำใจเอ็งมากนะอ้ายสิน พอข้ารู้ว่าพ่อถูกงูกัด ข้าก็ลนลานจนทำกระไรไม่ถูก โชคดีเหลือที่เอ็งผ่านมา”
สินหน้าขรึมลง
“ฉันไม่ได้ผ่านไปดอก แต่ฉันอดเป็นห่วงแม่เอื้อยแตงไม่ได้จึงแอบตามหลังมาติดๆ”
เอื้อยแตงได้ฟังแล้วก็อึ้งไปครู่นึงแล้วหน้าก็เจื่อนลงอีก
“เอ็งอย่าดีกับข้าเช่นนี้เลย ยิ่งเอ็งดี ยิ่งทำให้ข้าสำนึกตัวว่าชั่วนัก ที่ทำให้คนดีเช่นเอ็งต้องเสียน้ำใจ”
“นี่แม่เอื้อยแตงยังหวังในตัวพี่เสมาอีกรึ”
“แล้วเหตุใดข้าจะหวังไม่ได้ ในเมื่อพี่เสมาไม่มีผู้ใดแล้ว”
“ต่อให้ไม่มี พี่เสมาก็เห็นแม่เอื้อยเป็นเพียงน้องเสมอด้วยแม่จำเรียงเพียงนั้น เชื่อฉันหรือไม่ว่า พี่เสมาไม่มีทางรับรักแม่เอื้อยแตงดอก” สินบอก
เอื้อยแตงหน้าตาบึ้งตึง จ้องหน้าสินด้วยความไม่พอใจ
ภายในตำหนักยามเช้า ข้าหลวงคนหนึ่งได้ยื่นกำไลกับจดหมายให้ดวงแข โดยมีบัวเผื่อนยืนอยู่ใกล้ๆ ด้วยความสอดรู้สอดเห็นเต็มที่
“พวกองครักษ์ฝากฉันมาให้แม่หญิงดวงแขจ้ะ แต่ไม่กล้าเอามาให้เองเพราะเกรงผิดกฎฝ่ายใน จึงยืนรออยู่ที่หน้าตำหนักจ้ะ” นางข้าหลวงบอก
ดวงแขยิ้มดีใจ
“องครักษ์ผู้ใดหรือแม่”
บัวเผื่อนขำแล้วแกล้งเย้า
“รู้แล้วยังแกล้งถาม ราชองครักษ์แม้มีมากโข แต่ที่กล้าฝากของมาให้แม่ดวงแข คงมีแค่คนเดียว”
ดวงแขยิ้มอายๆ ก่อนเปิดจดหมายออกอ่าน ความนั้นเป็นกลอนเกี้ยวพาราสี ดวงแขก็ยิ่งเขินอายหนักขึ้น
บัวเผื่อนถือโอกาสแอบมาชะโงกอ่านจดหมายจากด้านหลังของดวงแข
“นึกไม่ถึงว่า ขุนแสนศึกพ่ายก็เขียนกลอนเกี้ยวผู้หญิงเป็นกับเค้าด้วย”
ดวงแขหน้าบึ้งตึง รีบเก็บจดหมายทันที
“เสียกิริยานักแม่บัวเผื่อน มาแอบอ่านจดหมายของผู้อื่นได้กระไร”
ดวงแขค้อนใส่แล้วเดินเลี่ยงไปแต่พอคล้อยหลังก็อดยิ้มดีใจไม่ได้
ดวงแขออกมาที่หน้าตำหนักแลมองหาเสมาแต่ไม่เห็น
ขณะนั้นเอง หมื่นจิตรเสน่หาที่รอดวงแขอยู่ พอเห็นดวงแขออกมาก็ดีใจรีบเดินเข้าไปหาทันที
“แม่หญิงดวงแข”
“หัวหมื่นรู้จักฉันหรือ” ดวงแขถามอย่างแปลกใจก่อนฉุกคิดแล้วยิ้มบางทักทาย
“หรือหมื่นท่านอยู่ในสังกัดขุนแสนศึกพ่าย แล้วออกขุนท่านเล่า”
“ข้าพระเจ้าอยู่ในสังกัดออกขุนแสนจริง แต่ออกขุนไม่ได้มาด้วยดอก”
หมื่นจิตรเสน่หาพูดแล้วก็มองไปที่มือดวงแขที่ถือกำไลกับจดหมายอยู่ก็ยิ้มอย่างดีใจ
“แม่หญิงได้กำไลแลจดหมายของข้าพระเจ้าแล้ว เห็นเป็นเช่นใดหรือ”
ดวงแขตกใจ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นกำไลและจดหมายรักของหมื่นจิตรก็โมโห
“เห็นเป็นเช่นใด ฉันก็จะเอามาคืนหัวหมื่นกระไรเล่า แล้วคราหน้า อย่าได้เอากระไรมาให้ฉันอีก หาไม่แล้ว ฉันจะทูลเสด็จให้ลงโทษหัวเหมื่นเสีย” ดวงแขพูดแล้วก็ยัดกำไลกับจดหมายใส่มือหมื่นจิตรเสน่หาทันที
ดวงแขเดินหงุดหงิดกลับไป หมื่นจิตรเสน่หาหน้าเจื่อนลงไปทันที ไม่คิดว่าดวงแขจะโกรธขนาดนี้
ยามสายที่บริเวณท้ายวัง หมื่นจิตรเสน่หากำลังคุยกับเสมาด้วยสีหน้าเซื่องซึม
“ฉันหาเข้าใจไม่ท่านขุน ว่าเหตุใดแม่หญิงดวงแขต้องโกรธเคืองถึงเพียงนี้ หรือแม่หญิงดวงแขชังน้ำมะหน้าฉัน”
“คนเพิ่งเจอกัน จักชังน้ำมะหน้ากันได้เช่นไร หมื่นจิตรอย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้เลย ฉันบอกแล้ว ว่าแม่หญิงดวงแขเป็นคนไว้ตัวนัก มิใช่จะมีใจให้ผู้ใดโดยง่ายดอก”
เสมาพูดแล้วก็ตบบ่าหมื่นจิตรเสน่หาเป็นเชิงให้กำลังใจ
“ของใดที่ได้มายาก ย่อมสูงค่าไม่ใช่หรือ”
หมื่นจิตรเสน่หาคิดตามที่เสมาพูดแล้วยิ้มดีใจ
“จริงดังคำออกขุนท่าน ฉันไม่บังควรท้อใจเลย น่าจะพากเพียรเพื่อให้ได้หญิงเช่นนี้มาเป็นศรีเรือนมากกว่า”
เสมายิ้มรับ เอาใจช่วยหมื่นจิตรเสน่หาสุดๆ
ทันใดนั้นเอง สินก็วิ่งกระหืดกระหอบหน้าตาตื่นเข้ามาหาเสมา
“พี่เสมา มีเหตุแล้วพี่เสมา”
“กระไรวะ”
“โจรมันฉวยที่หลวงรามไม่อยู่ บุกปล้นเรือนแลพาตัวแม่หญิงเรไรกับแม่เอื้อยแตงลงเรือหนีไปแล้ว อีกไม่ช้านาน มันคงขึ้นฝั่งที่ท่าตะโก แล้วพาหนีลงทางใต้เป็นแน่” สินพูดอย่างเหนื่อยหอบ
เสมาตกใจสุดๆ ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงขนาดนี้ยามกลางวันแสกๆ
เสมาสะพายดาบคู่มือควบม้าสุดชีวิตเพื่อไปช่วยเรไรให้ได้
โจรคลุมหน้า 2-3 คน คนหนึ่งกำลังพายเรือมีประทุน โจรทั้งหมดใช้ผ้าคลุมหน้าไว้ไม่เห็นหน้าตา เอื้อยแตงโผล่หน้าออกมาจากประทุนเรือกวาดตามองหา สีหน้าร้อนใจ โจรคลุมหน้าตัวหัวหน้าดันเอื้อยแตงกลับเข้าไปในประทุน
เสมายังคงควบม้าอย่างไม่คิดชีวิต ต่อให้ตัวตายก็ต้องช่วยเรไรให้ได้
กลุ่มโจรคลุมหน้าพายเรือเข้ามาจอดเทียบแล้วคุมตัวผู้หญิงสองคนที่ถูกคลุมหน้าคลุมตาลงมาจากเรือ...เอื้อยแตงดิ้นรนจนผ้าคลุมหน้าหลุดออก ไม่คาดคิดว่าจะเห็นเสมายืนจังก้าขวางทางอยู่
“พี่เสมา” เอื้อยแตงร้องเรียกด้วยความดีใจ
เสมาชักดาบคู่ออกจากฝัก แล้วตะโกนก้องพร้อมกับกระโจนเข้าใส่ทันที โจรคลุมหน้าตัวหัวหน้าชักดาบสองมือของตนออกมา รับมือเสมาทันที ส่วนโจรคลุมหน้าอีก2คนก็จับสองสาวเป็นตัวประกันไว้
ทั้งคู่สู้กันอย่างดุเดือด ครู่นึงเมื่อโจรเห็นท่าไม่ดีเลยรีบดึงเอาเอื้อยแตงมาเป็นตัวประกัน
เสมากลัวว่าเรไรกับเอื้อยแตงเป็นอันตราย
“เอ็งต้องการกระไรก็บอกข้าจะหามาให้ ขอแต่ปล่อยแม่หญิงทั้งสองไปเถิด”
“เอ็งห่วงใยนังสองคนนี่นัก ดูท่าคงเป็นเมียเอ็งกระมัง เช่นนั้นก็ได้ข้าจะปล่อยนังนี่คนใดคนหนึ่ง เอ็งเลือกเอาเถิดว่ารักผู้ใดมากกว่ากัน” โจรคลุมหน้าพูดด้วยน้ำเสียงแปล่งราวกับคนต่างถิ่น
เสมาขบกรามแน่นด้วยความเจ็บใจ แต่หาช่องว่างเข้าไปช่วยไม่ได้ บุ่มบ่ามเข้าไปก็กลัวเรไรและเอื้อยแตงจะเป็นอันตราย
“เอ็งรักษาสัตย์หรือไม่”
“ถึงข้าเป็นโจร ก็มั่นคงในวาจานัก เอ็งอย่าห่วงเลยเลือกมาเถิดว่าจะช่วยผู้ใด”
เสมาหันไปมองสองสาวด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอย่างใช้ความคิด
เสมาชี้ไปที่เอื้อยแตง
“เอ็งปล่อยแม่หญิงผู้นี้ไปเถิด”
เอื้อยแตงดีใจสุดๆ เพราะคิดว่าเสมารักตน
“ที่แท้เอ็งรักนางคนนี้”
“ข้ารักเอื้อยแตงเสมอด้วยน้องจึงไม่อยากเห็นมันมีภัย”
เอื้อยแตงหน้าเสียทันที
เสมามองที่หญิงถูกคลุมหน้าอีกคนนิ่ง
“แต่ข้ารักแม่หญิงเรไรเสียยิ่งกว่าชีวิตของข้า ข้าไม่อาจให้แม่หญิงละสายตาไปได้แม้ชั่วอึดใจ หากพวกเอ็งพาแม่หญิงไปข้าก็จะไปด้วย หากพวกเอ็งทำร้ายแม่หญิงข้าจะฆ่าพวกเอ็งเสีย แล้วฆ่าตัวตายตามเพราะหากไม่มีแม่หญิงเรไร ข้าก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้”
ทุกคนอึ้งกันไปหมด
เอื้อยแตงน้ำตาคลอเบ้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวในหัวใจ เพราะเนื้อแท้ในใจของเสมาไม่เคยเอื้อยแตงเป็นอย่างอื่นเลยนอกจากน้องสาวทั้งยังคงรักมั่นต่อเรไรไม่เสื่อมคลาย
“เห็นแจ้งแล้วกระมังแม่เอื้อยแตง” เสียงของสินดังมาจากพุ่มไม้ด้านหลัง
เสมาหันไปมองตามเสียง ทั้งตกใจและแปลกใจ
“อ้ายสิน”
“ฉันพูดผิดหรือไม่ พี่เสมาไม่เคยคิดกับแม่เอื้อยแตงเป็นอื่นดอก”
เอื้อยแตงร้องไห้โฮออกมา เสมาหันกลับไปมองทางกลุ่มโจร สมบุญและจำเรียงเปิดโม่งและผ้าคลุมออก...ทหารในสังกัดสมบุญก็เปิดโม่งต่อมา
เสมาตกใจมาก นี่มันอะไรกัน !!
เอื้อยแตงวิ่งร้องไห้หนีไปทันที อกหักเสียใจสุดๆ เสมาจ้องทุกคนด้วยสีหน้าโกรธจัด
เวลาต่อมา เสมากำลังโวยวายลั่นใส่จำเรียง สิน และสมบุญอยู่ที่บ้าน
“พวกเอ็งเห็นข้าเป็นเด็กอมมือถึงได้รวมหัวหลอกกันเล่นเช่นนี้ นี่ลับหลังข้าคงเยาะความโง่เง่าของข้ากันสนุกเลยกระมัง”
สิน สมบุญ และจำเรียงหน้าเจื่อนจ๋อยกันเป็นแถว สมบุญปั้นยิ้มประจบ
“พิโธ่พิถังพี่เสมา ใครจักกล้าเห็นพี่โง่เง่ากัน เพียงแต่พี่ไว้ใจอ้ายสินแลห่วงแม่หญิงเรไร จึงหลงกลอ้ายสินมันโดยง่าย หากพี่ไต่สวนทวนความกันเสียหน่อย น้ำมะหน้าอย่างอ้ายสินหลอกพี่ไม่ได้ดอก”
สินมองเหล่สมบุญ
“อ้าว อ้ายสมบุญ เอาตัวรอดก่อนเลยนะเอ็ง”
“อย่าเคืองไปเลยจ้ะพี่เสมา ที่พวกฉันทำไปก็เพื่ออยากให้แม่เอื้อยแตงตัดใจจากพี่เท่านั้น ไม่เช่นนั้น แม่เอื้อยก็ยังรอพี่อยู่ร่ำไป” จำเรียงบอก
“แล้วทางอื่นไม่มีแล้วรึ”
“ไม่มีดอกพี่ แม่เอื้อยแตงแอบชอบพี่มานานนักพี่ก็รู้ไม่ใช่หรือ หากพี่มีใจตอบ ป่านฉะนี้คงออกเรือนกันไปเสียนานแล้ว แต่แม่เอื้อยหายอมรับไม่จึงต้องทำเช่นนี้ เจ็บคราเดียวดีกว่าเรื้อรังไม่ใช่หรือพี่”
เสมาถอนใจหนักๆ แต่ในใจยอมรับว่าสินพูดถูก
เรไรเดินผ่านศาลาท่าน้ำเมื่อตอนเย็น แลเห็นเอื้อยแตงนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่คนเดียวในศาลา เรไรรีบเดินเข้าไปหาด้วยความตกใจ
“แม่เอื้อยแตงร้องไห้ทำไม เกิดกระไรขึ้นรึ”
เอื้อยแตงรีบเช็ดน้ำตาแล้วบอก
“เปล่าดอก ไม่มีกระไร”
เรไรเข้าไปปลอบใจเอื้อยแตง
“อย่าปิดฉันเลย เราไม่ใช่อื่นไกลกันเป็นญาติกันแท้ๆ มีกระไรก็บอกมาเถิด ฉันจะได้ช่วยเหลือ”
เอื้อยแตงมองหน้าสัมผัสได้ถึงความมีน้ำใจของเรไร
“เหตุใดมองหน้าฉันเช่นนี้ มีกระไรหรือ”
“ฉันบอกแล้วว่าหามีกระไรไม่ ฉันเพียงแต่นึกถึงแม่เท่านั้น เพลานี้ฉันสุขสบาย ฉันจึงคิดถึงแม่ที่ด่วนสิ้นบุญไปเร็วนัก”
เรไรยิ้มบางๆแล้วกอดเอื้อยแตงไว้
“มิน่าเล่า ถ้าแม่เอื้อยแตงคิดถึงท่านอาหญิง วันพรึ่งก็ไปทำบุญให้ท่านอาซี ประเดี๋ยวฉันไปด้วย”
“แม่หญิงมีน้ำใจงามมีแต่ความเมตตาให้ผู้อื่นอย่างนี้นี่เล่า ถึงมีแต่คนรุมรัก แลไม่อาจตัดใจจากแม่ได้สักคน”
เอื้อยแตงมองหน้าเรไรแล้วน้ำตาพาลไหลพรากก่อนจะรีบลุกเดินหนีไป เรไรได้แต่มองตามเอื้อยแตงไปด้วยความงงๆ
หลวงรามเดชะเดินกลับขึ้นเรือนมาเมื่อเวลากลางคืนด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ลำภูและพิณเดินออกมาต้อนรับ
“เหตุใดกลับเร็วนักเล่าเจ้าคะคุณหลวง เห็นว่าครานี้ต้องไปถึงกึ่งเดือนไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
“เสบียงแลตัวยาที่จะใช้ในการศึกรวบรวมได้เร็วเกินคาด ฉันจึงได้กลับมาก่อน แต่เช่นนี้ก็ดี ฉันตั้งใจจะให้แม่เรไรออกเรือนกับขุนณรงค์เสียเลย เพราะอีกไม่นานคงมีศึกอีกจะได้ไม่ต้องเนิ่นช้าไปกว่านี้”
ลำภูหน้าเครียดขึ้นมาทันที หันไปสั่งพิณ
พิณ เอ็งไปตามแม่เรไรกับแม่เอื้อยแตงมาให้ข้าที
“เจ้าค่ะแม่นาย”
ลำภูหันไปพูดกับหลวงรามเดชะ
“คุณหลวงเจ้าคะ ฉันมีเรื่องจะกราบเรียนเจ้าค่ะ แต่ต้องพูดกันตามลำพัง”
หลวงรามเดชะมองหน้าลำภูด้วยความแปลกใจ
อ่านต่อหน้า ๔
ขุนศึก ตอนที่ ๑๓ (ต่อ)
ขันก้มลงกราบรามเดชะด้วยสีหน้ายิ้มแย้มในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น
“ข้าพระเจ้าดีใจเหลือที่ท่านอากลับมาเร็วเช่นนี้ แสดงว่ากองทัพชัยของพระพุทธจ้าอยู่หัวพร้อมออกศึกแล้วใช่หรือไม่ขอรับ”
หลวงรามเดชะปั้นยิ้ม
“ใช่ คงอีกไม่นานดอก ขุนณรงค์เตรียมตัวเถิด ศึกนี้มิรู้ว่าจะนานเพียงใด อาจึงอยากพูดเรื่องงานแต่งของขุนณรงค์แลแม่เรไรเสียเลย”
ขันดีใจจนออกนอกหน้า
“ข้าพระเจ้าพร้อมแล้วขอรับ ฤกษ์ยามก็มงคลนัก สุดแต่ท่านอาจะเลือกขอรับ”
“อาอยากให้เลื่อนงานแต่งออกไปก่อน”
“เหตุใดเล่าขอรับ” ขันตกใจด้วยความคิดไม่ถึง
หลวงรามเดชะมองหน้าขันด้วยสายตาเอาเรื่อง
“ขุนณรงค์ก็รู้แก่ใจไม่ใช่หรือหยามน้ำมะหน้ากันถึงบนเรือนเช่นนี้ ถ้าจะให้ออกเรือนอีกคงต้องคิดให้รอบคอบกว่านี้เสียหน่อยแล้ว”
ขันหน้าเสียทันทีที่รู้ว่า หลวงรามเดชะรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว
“ท่านอาฟังคำข้าพระเจ้าก่อน ข้าพระเจ้าผิดนักที่เผลอคิดชั่วไป แต่เพราะอ้ายเสมามันกระทำบัดสีก่อน ข้าพระเจ้าเคืองนัก จึงขาดสติ ขอท่านอาอภัยให้ข้าพระเจ้าเถิด”
“เพราะอาก็คิดเช่นนั้นจึงเพียงแต่เลื่อนงานแต่งออกไป หาไม่คงถอนหมั้นไปแล้ว ไม่เรียกขุนท่านมาพูดคุยด้วยเช่นนี้ดอก”
“แต่ท่านอาขอรับ...”
“วิสัยทหารเมื่อผิดก็ยอมรับเสียอย่าดื้อดึงอีกเลย เสร็จศึกครานี้เมื่อใดค่อยมาว่ากันอีกที” หลวงรามเดชะพูดสวนขึ้น
ขันเจอตัดบทก็พูดไม่ออกได้แต่เจ็บใจที่งานแต่งต้องถูกเลื่อนอีกแล้ว
ตอนสาย ขันเดินคุยอยู่กับพุฒที่ตลาด
“ฉันเตือนแล้วว่า ให้หาทางกำจัดหลวงรามเดชะเสีย ท่านก็หาฟังไม่ มาถึงเพลานี้คงแจ้งในคำฉันแล้วกระมัง”
“อย่าซ้ำกันอีกเลยขุนวิเศษ มาช่วยกันคิดเถิดว่าทำอย่างไร ท่านอาถึงจะหายเคืองฉัน” ขันพูดเสียงเครียด
พุฒยิ้มเยาะแล้วบอก
“ช่วยกันคิดก็ย่อมได้ แต่ขุนณรงค์ยกแม่หญิงดวงแขให้ฉันก่อนเป็นไร แล้วฉันจะหาอุบายให้”
“นี่ขุนวิเศษฉวยโอกาสหาคุณเข้าตัวรึ ฉันบอกแล้วว่าหากฉันได้ออกเรือนกับแม่หญิงเรไรเมื่อใด จึงจะยกแม่ดวงแขให้ หากขุนวิเศษไม่ช่วยฉัน ก็หาทางเกี้ยวพาราสีแม่ดวงแขเอาเองเถิด”
“ท่านอย่ามาใช้เล่ห์ลิ้นหลอกฉันไว้ใช้หน่อยเลย ไม่ใช่ว่าฉันไม่รู้เท่าว่าขุนท่านหาได้มีใจอยากได้ฉันเป็นน้องเขยไม่ ไม่เช่นนั้นคงบังคับแม่ดวงแขให้ออกเรือนกับฉันเสียนานแล้ว บอกไว้ก่อนนาออกขุน ว่าหากฉันไม่ได้แม่ดวงแขก็จะไม่มีแผนการใดหลุดจากปากฉันอีกเป็นแน่”
ขันเห็นพุฒเอาจริงก็ขบกรามแน่นด้วยความเจ็บใจ
เจ็ดแปดวันผ่านไป ภายในท้องพระโรง สมเด็จพระนเรศวรกำลังว่าราชการ โดยสมเด็จพระเอกาทศรถทรงประทับนั่งอยู่ห่างออกมาเล็กน้อย
เสมา พระราชมนู และขุนนางคนอื่นๆ เข้าเฝ้ากันพร้อมหน้า
สมเด็จพระนเรศวรตรัสว่า
“บัดเดี๋ยวนี้ถึงเพลาแล้วที่อโยธยาจะได้แก้คืนแก่เมืองละแวก ศึกครานี้ มิใช่เพื่อศักดิ์ศรีของอโยธยาเท่านั้น แต่ยังเพื่อความมั่นคงของบ้านเมืองสืบไป พระราชมนู ขุนแสนศึกพ่าย”
พระราชมนู และเสมา คลานออกไปถวายบังคม
“ศึกละแวกคราก่อน เจ้าสองนำทัพพ่ายศึก ครานี้จงแก้ตัวอย่าให้พ่ายอีก ข้าจะให้พวกเจ้าเป็นทัพหน้า บุกเข้าตีละแวก”
พระราชมนูและเสมาถวายบังคมขึ้นพร้อมกัน
“รับด้วยเกล้า พระพุทธเจ้าข้า”
“ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า ศึกครานี้ข้าพระพุทธเจ้าขออยู่กองทะลวงฟัน แลขอเป็นคนแรกที่เข้าต่อสู้กับข้าศึก ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดพระพุทธเจ้าข้า” เสมากราบทูล
สมเด็จพระนเรศวร และสมเด็จพระเอกาทศรถสบพระเนตรกัน พอพระทัยในความกล้าหาญของเสมา
พระเอกาทศรถแย้มสรวลแล้วตรัสว่า
“เจ้ามีศักดิ์เป็นถึงขุนแล้ว ยังคิดอยู่กองทะลวงฟันย่อมเห็นถึงใจที่หมายจักแก้ตัว เอาเถิด ข้าจะให้ตามที่เจ้าขอ”
เสมาถวายบังคม
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณ อย่างหาที่สุดมิได้พระพุทธเจ้าข้า”
เสมาสีหน้าเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นหมายต้องการล้างอายจากศึกเมื่อคราวก่อน
สมเด็จพระนเรศวรทรงยกทัพไพร่พลหนึ่งแสน บุกเข้าตีเมืองละแวก และได้รับชัยชนะอย่างงดงาม จนสามารถล้อมเมืองละแวกไว้ได้ทั้งสี่ทิศ และในที่สุด กองทัพของพระราชมนูก็บุกเข้าสู่เมืองละแวกได้สำเร็จเป็นทัพแรก การตีเมืองละแวกคราวนี้ เป็นการเพิ่มความมั่นคงให้กรุงศรีอยุธยาและทำให้หัวเมืองด้านตะวันออกสงบสุขในที่สุด
หกเดือนต่อมา สมบุญในชุดยศหมื่น เดินขึ้นเรือนของเสมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มดีใจ จำเรียงเดินออกมาพอดี พอเห็นสมบุญก็รีบเข้าไปหากุมมือของกันและกันไว้ทันที สมบุญยิ้มดีใจ
“ฉันดีใจนักที่ได้กลับมาเห็นหน้าแม่จำเรียงอีก แม่อยู่ทางนี้จำเริญสุขดีหรือ”
“ฉันมีสุขดี หัวพัน...”
ครั้นจำเรียงเห็นชุดของสมบุญก็พูดขึ้น
“ได้เป็นหมื่นแล้วรึ”
“ไม่ใช่แต่ฉันดอก อ้ายสินก็ได้เป็นหมื่นแล้ว ส่วนพี่เสมาทำความชอบใหญ่หลวง ได้ขึ้นเป็นจมื่นแสนศึกสะท้านแล้ว เช่นเดียวกับพระราชมนู ท่านได้ขึ้นเป็นเจ้าพระยามหาเสนาบดี สมุหพระกลาโหม”
จำเรียงดีใจมาก
“พี่เสมาเป็นถึงจมื่นเชียวรึ เช่นนี้ก็เทียบได้กับเป็นคุณพระน่ะซี เอ่อ แล้วพี่เสมาเล่าเหตุใดยังไม่กลับ”
สมบุญหน้าขรึมลงแล้วบอกว่า
“พระยาศรีไสยณรงค์ก่อกบฏขึ้นที่เมืองตะนาวศรี พระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงเสียพระทัยนัก เพราะเป็นทหารตามเสด็จมานานปีจึงมีรับสั่งให้พระพุทธเจ้าอยู่หัววังหน้าทรงยกทัพไปเกลี้ยกล่อม หากไม่เป็นผลจึงค่อยรบชิงตะนาวศรีกลับมาพี่เสมาต้องตามเสด็จ แต่ฉันต้องนำของแลเชลยศึกกลับอโยธยาก่อน”
จำเรียงพยักหน้ารับ
“แล้วท่านหมื่นรับข้าวปลามาแล้วหรือไม่ ฉันจะได้สั่งบ่าวไพร่ให้จัดหา”
สมบุญจับมือจำเรียง มองด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
“อย่าเพิ่งเลยแม่จำเรียง ขอฉันได้มองแม่จำเรียงให้หายคิดถึงหน่อยเถิด หลายเดือนมานี้ฉันเฝ้าแต่คิดถึงแม่จำเรียงทุกคืนวัน รอว่าเมื่อใดจักได้กลับมาเห็นแม่จำเรียงสุดรักของฉันอีก”
จำเรียงเขินอาย สมบุญค่อยๆดึงจำเรียงเข้ามาเพื่อจะกอด
ทันใดนั้นเอง มั่นก็เดินออกมาจากข้างในพร้อมกระแอมเสียงดัง
สมบุญและจำเรียงตกใจรีบผละออกจากกันทันที มั่นมองสมบุญตาเขียวปั้ดด้วยความหวงลูกสาว ในขณะที่สมบุญเห็นสายตามั่นก็หวาดกลัวยิ่งกว่าเจอศัตรูอีก
เวลาหัวค่ำ ที่หน้าบ้านหลวงรามเดชระ สินโดนแต้มกับเหล่าทาสชายสาดน้ำใส่จนตัวเปียกต้องวิ่งหลบหนีทุลักทุเล สินรีบหลบไปตั้งหลักแล้วโวยวายลั่น
“เฮ้ย กระไรกันวะ เอาน้ำสาดข้าทำกระไร”
“ก็สาดไล่น่ะซีวะ หนอย จะมาหาลูกสาวข้ามืดค่ำ คิดหยามกันรึ” แต้มตะคอก
“พิโธ่ หยามกระไรกัน ฉันกลับมาถึงตอนค่ำ คิดถึงแม่เอื้อยแตงนักจึงมาหาเพียงเท่านั้น เราหาใช่คนอื่นไกลกันไม่ แลชีวิตของพ่อลุงแต้ม ฉันก็เป็นคนช่วยไว้ ยังทำกันได้”
“ชะช้า ทวงบุญคุณหรือวะ”
แต้มหันไปสั่งพวกทาส
“เฮ้ย สาดเข้าไป อย่าให้อ้ายบ้าสินมาเหยียบเรือนเป็นอันขาด”
ขาดคำ พวกทาสก็ระดมสาดน้ำใส่สินจนต้องวิ่งหนีโวยวายไปรอบบ้าน
เรไร และเอื้อยแตงยืนมองพ่อกับสินทะเลาะกันอยู่บนเรือน เห็นแล้วเอื้อยแตงก็หงุดหงิดพลางส่ายหน้าอย่างระอา
“พ่อหนอพ่อ”
เรไรยิ้มขำพลางว่า
“แต่หมื่นสินผู้นี้ก็มั่นคงดีนักเพียรรักแม่เอื้อยแตงมานานปี ดูทีรึ กลับจากศึกก็ยังรีบมาหา”
เอื้อยแตงชะงักไปเล็กน้อย ทั้งที่ลึกๆเริ่มแอบพอใจสิน แต่ต้องรีบทำหงุดหงิดกลบความรู้สึกไว้
“ฉันล่ะเกลียดเหมือนจะตาย น่ารำคาญนัก”
เรไรมองเอื้อยแตงแล้วยิ้มแบบรู้ทัน)
“รำคาญ แต่ก็ยังปล่อยให้เกี้ยวไม่ใช่รึ เช่นนี้รำคาญแน่หรือแม่เอื้อยแตง”
เอื้อยแตงทิ้งค้อนแล้วเดินกลับเข้าข้างในไป เรไรได้แต่มองตามไปอย่างขำๆ เอ็นดู
เวลาบ่ายที่ค่ายสมเด็จพระเอกาทศรถ เสมานำตัวพระยาศรีไสยณรงค์เข้ามาในกระโจม สมเด็จพระเอกาทศรถประทับยืนคอยอยู่ในกระโจม โดยมีพันอินยืนอยู่ใกล้ๆ พระยาศรีไสยณรงค์คุกเข่าลงถวายบังคม
พระเอกาทศรถถอนพระทัยแล้วตรัสว่า
“เหตุใดเจ้าทำเช่นนี้ที่สมเด็จพี่ตั้งเจ้าเป็นเจ้าเมืองตะนาวศรีก็เพราะไว้วางพระราชหฤทัยยิ่งกว่าผู้อื่น แลแม้เจ้าจะกบฏแต่ความชอบก็มีเกินความผิดนัก หากเจ้ายอมแพ้ เรายังทูลขอให้ละเว้นโทษได้ แต่เจ้ากลับต่อสู้จนต้องพินาศเช่นนี้”
พระยาศรีไสยณรงค์หน้าสลดลง
“พระองค์ทรงมีพระเมตตากับข้าพระพุทธเจ้านัก แต่ถึงข้าพระพุทธเจ้าจะทุรยศก็หาใช่ขาดสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณไม่ แต่ด้วยเกิดเป็นชายย่อมหวังเป็นใหญ่แลสร้างชื่อให้ปรากฏไว้ หาใช่สิ่งผิดไม่”
“ก่อกบฏ ยังไม่ผิดอีกหรือขอรับท่านเจ้าคุณ”
เสมาพูดอย่างไม่พอใจ เช่นเดียวกับพันอิน
“ท่านเจ้าคุณพูดเช่นนี้เหมือนไม่ยอมรับผิด หาใช่วิสัยทหารไม่”
“พวกเจ้าจะติกระไรก็ติไปเถิด แต่หากพวกเจ้าเป็นเช่นข้าก็จักเข้าใจเอง ข้าเกิดเป็นชายมีปัญญาแลฝีมือเป็นที่ประจักษ์ เหตุใดจะเป็นใหญ่ในแว่นแคว้นหนึ่งมิได้”
“ความเป็นใหญ่ของเจ้ามันสำคัญกว่าความกตัญญูกระนั้นหรือ ความเป็นใหญ่ที่ขาดธรรมมีกระไรให้ชื่นชม อย่าว่าแต่เมืองตะนาวศรีเพียงนี้เลยต่อให้เจ้าได้แผ่นดินกว้างใหญ่เช่นสมเด็จพี่ หรือพระเจ้าชำนะสิบทิศ ก็เป็นเพียงแผ่นดินที่ได้มาเพราะความทุรยศแลเล่ห์กล รังแต่จะมีเสียงสาปแช่งตามมาเท่านั้น แต่หามีศักดิ์ศรีไม่”
พระยาศรีไสยณรงค์หน้าเจื่อนลงเพราะสิ่งที่สมเด็จพระเอกาทศรถตรัส ล้วนเป็นความจริงที่เถียงไม่ออกซักคำ
เสมา มองสมเด็จพระเอกาทศรถด้วยความชื่นชม สิ่งที่พระองค์ตรัสตรงกับใจของเสมาทั้งสิ้น
เวลาหัวค่ำ เสมากำลังเดินคุยอยู่กับพันอินอยู่ในบริเวณค่ายของสมเด็จพระเอกาทศรถ
“ข้าพระเจ้าฟังรับสั่งของพระพุทธเจ้าอยู่หัววังหน้าครานี้ หวนนึกถึงตัวเองนัก ด้วยข้าพระเจ้าก็เชื่อในฝีมือแลหวังสร้างชื่อเฉกเช่นพระยาศรีไสยณรงค์ แต่เพราะข้าพระเจ้ายึดถือกตัญญูเป็นที่ตั้ง จึงไม่ได้หลงกระทำชั่วไป” เสมาพูดบอกพันอิน
พันอินยิ้มบางตอบว่า
“เพราะเช่นนั้น คราที่เจ้าตกต่ำลงถึงได้มีผู้คอยช่วยเหลืออย่างไรเล่า ลูกเอ๋ย เกิดเป็นผู้คนย่อมหวังความจำเริญรุ่งเรืองกันทั้งสิ้น แต่ก็อย่าให้สิ่งเหล่านี้อยู่เหนือธรรมแลกตัญญูกตเวทีไปได้”
“ขอรับพ่อท่าน ข้าพระเจ้าจักจำใส่ใจไว้ ไม่ลืมเป็นอันขาด”
ขณะนั้นเอง ทั้งเสมาและพันอินเหลือบเห็นสมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จพระราชดำเนินผ่านมา ทั้งคู่ตกใจรีบเข้าไปคุกเข่าทันที
พันอินถวายบังคม
“ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า พวกข้าพระพุทธเจ้าไม่ทราบว่าพระองค์จะเสด็จออกมาจากกระโจม จึงไม่ได้ตามเสด็จถวายรับใช้ ขอจงทรงลงพระอาญาด้วยพระพุทธเจ้าข้า”
พระเอกาทศรถแย้มสรวล
“เรื่องเท่านี้ไม่เป็นกระไรดอก เรานอนไม่หลับจึงออกมาเดินเล่นด้วยสลดใจเรื่องพระยาศรีไสยณรงค์นัก ไม่คิดเลยว่าคนที่ตามเสด็จเรากับสมเด็จพี่มาแต่ครั้งยังเยาว์ ต้องมีบั้นปลายเช่นนี้”
ทหารกลุ่มหนึ่งกำลังคุมตัวเชลยกลุ่มหนึ่งเข้ามา เชลยศึกคนหนึ่งมองไปที่สมเด็จพระเอกาทศรถด้วยสายตาอาฆาต ก่อนจะเอาตัวกระแทกทหารที่คุมอยู่ จนเสียหลักเซไป แล้วแย่งหอกมาพุ่งใส่สมเด็จพระเอกาทศรถทันที
เสมาเหลือบสายตาเห็นเข้าพอดีจึงรีบเอาตัวเข้าบังสมเด็จพระเอกาทศรถไว้ หอกเลยพุ่งปักทรวงอกเสมาเข้าเต็มๆ พวกทหารรีบชักดาบฆ่าเชลยศึกคนนั้นทันที
เสมาทรุดร่วงลงท่ามกลางความตกใจของทุกคน เหล่าทหารรีบกรูเข้าคุ้มกันพระเอกาทศรถพาเข้ากระโจมไปทันที พันอินรีบเข้าไปประคองเสมาไว้ด้วยความตกใจ
“เสมา เสมาลูกพ่อ”
เสมาโดนหอกปักเข้าที่กลางอก ทนความเจ็บปวดไม่ไหวจนสลบหมดสติไป
เวลาผ่านไปเจ็ดแปดวัน เช้าวันหนึ่งที่บ้านหลวงรามเดชะ บรรดาทาสกำลังทยอยยกสำรับอาหารเช้ามาให้เรไร หลวงรามเดชะและลำภู
หลวงรามเดชะยิ้มอารมณ์ดีแล้วว่า
“ไปศึกเสียนานเดือน คิดถึงกับข้าวกับปลาฝีมือแม่ลำภูนัก กลับมาครานี้ต้องกินให้อ้วนท้วนเชียว”
“ได้เลื่อนเป็นพระรามเดชะครานี้ ปากหวานขึ้นนะเจ้าคะ”
พระรามเดชะ ลำภู และเรไรยิ้มแย้มแจ่มใส
ขณะนั้นเอง บัวเผื่อนก็เดินขึ้นเรือนมา เรไรยิ้มทักทาย
“อ้าว แม่บัวเผื่อนมาได้อย่างไรกันจ๊ะ กินกระไรมาหรือยัง มากินด้วยกันซี”
“ยังจักกินลงอีกหรือแม่เรไร นี่แสดงว่ายังไม่รู้ข่าวที่ตะนาวศรีหล่ะซี”
“มีกระไรรึแม่บัวเผื่อน หรือพระพุทธเจ้าอยู่หัวพระองค์น้อยทรงเป็นอันตราย” พระรามเดชะถามขึ้น
“ไม่ใช่ดอก แต่เป็นเสมา จมื่นแสนศึกสะท้านต่างหาก เหล่าทหารที่ไปส่งเสบียงที่ตะนาวศรี กลับมาเล่าให้ฟังว่า จมื่นเสมาต้องคมอาวุธของศัตรูจนสิ้นชีพแล้ว”
เรไรตกใจสุดๆ
“เป็นไปไม่ได้ แม่บัวเผื่อนฟังผิดหรือไม่”
“ไม่ผิดดอก เห็นว่ามีผู้ลอบปลงพระชนม์”
ลำภูยกมือขึ้นทาบอกด้วยความตกใจที่มีคนคิดลอบปลงพระชนม์ ฝ่ายพระขุนรามเดชะเองก็หน้าเสียไปเหมือนกัน
“แต่เสมาเอาตัวเข้ารับอาวุธแทน จนเจ็บหนักถึงตายไปแล้วหล่ะเรไร”
เรไรตกใจสุดขีดก่อนจะเป็นลมล้มพับหมดสติไป
“ว้าย แม่เรไร” บัวเผื่อนร้องขึ้น
พระรามเดชะและลำภูตกใจรีบเข้าไปดูอาการเรไรทันทีด้วยความเป็นห่วงลูก
เอื้อยแตงเข้ามาในห้องนอนเรไรด้วยท่าทีตื่นตกใจด้วยความเป็นห่วงเรไร เรไรยังนอนหลับไม่ได้สติอยู่บนเตียง โดยมีบัวเผื่อนกับลำภูคอยดูแลและพิณคอยเช็ดตัวให้เรไรอยู่
“แม่หญิงเป็นกระไรบ้างเจ้าคะ ป้าท่าน” เอื้อยแตงถามขึ้น
ลำภูถอนใจหนักๆก่อนตอบ
“คงเสียใจเรื่องจมื่นแสนศึกสะท้านเลยสิ้นสติสมประดีไป ลูกเอ๋ย”
ลำภูลูบหัวเรไรด้วยความสงสารจับใจ
“น่าสงสารแม่เรไรนัก แต่การเช่นนี้ก็ต้องทำใจด้วยจมื่นแสนศึกสะท้านเป็นราชองครักษ์ ย่อมมีหน้าที่ปกป้องพระพุทธเจ้าอยู่หัวอยู่แล้ว” บัวเผื่อนว่า
เอื้อยแตงหมั่นไส้แล้วพูดเน้นเสียง
“หากญาติพี่น้องของแม่หญิงบัวเผื่อนเป็นราชองครักษ์ก็ควรต้องตระเตรียมใจไว้เผื่อตายด้วยใช่หรือไม่เจ้าคะ”
บัวเผื่อนชักสีหน้าไม่พอใจที่ถูกย้อน หันไปพูดกับลำภู
“แม่ป้าเจ้าคะ บัวเผื่อนขอกลับก่อนนะเจ้าคะ”
บัวเผื่อนไหว้ลา ลำภูรับไหว้ ก่อนที่บัวเผื่อนจะออกจากห้องไป เอื้อยแตงทิ้งค้อนตามหลังบัวเผื่อน ก่อนจะหันไปพูดกับลำภู
“แม่ป้าเจ้าคะ ประเดี๋ยวเอื้อยแตงดูแลแม่หญิงเรไรเอง แม่ป้าไปพักเถิดเจ้าค่ะ”
“ฝากด้วยเถิด แม่เอื้อยแตง”
ลำภูออกจากห้องไป พอลำภูออกไป เรไรก็ค่อยๆได้สติขึ้นมา เอื้อยแตงรีบเข้าไปดูอาการ
“เป็นอย่างไรบ้างแม่หญิง”
เรไรพอตั้งสติได้ก็นึกถึงเรื่องที่เสมาตายพลางร้องไห้ออกมา
“แม่เอื้อยแตง เสมาตายแล้ว”
เอื้อยแตงน้ำตาคลอแต่ยังไม่ปักใจเชื่อ
“ข้าศึกเรือนหมื่นเรือนแสน พี่เสมาก็ฝ่ามาได้ แต่เพียงเท่านี้จักตายได้อย่างไร หากไม่เห็นศพกับตา ฉันไม่เชื่อดอก”
“แต่แม่บัวเผื่อนยืนยันหนักแน่น คงไม่ผิดพลาดแล้ว”
“จะเอากระไรกับแม่หญิงบัวเผื่อนเล่าเจ้าคะ คำจากปากแม่หญิงบัวเผื่อนน่ะฟังได้ แต่เชื่อเสียทั้งหมดไม่ได้ดอกเจ้าค่ะ” พิณบอก
“แม่พิณกล่าวถูกแล้ว แม่หญิงอดใจรอสักหน่อยเถิด ทัพขององค์พระพุทธเจ้าอยู่หัวกลับมาเมื่อใดก็คงได้รู้กัน”
เรไรยิ่งคิดก็ยิ่งร้อนใจ
“ฉันรอไม่ไหวดอก มันเหมือนไฟสุมอกจนจักมอดไหม้อยู่แล้ว ฉันจะไปดูให้เห็นกับตาที่ตะนาวศรีว่าเสมาตายแล้วจริงหรือไม่”
พิณตกใจ
“ตะนาวศรีไม่ใช่ใกล้นะเจ้าคะ แม่หญิงจักไปได้อย่างไร”
เรไรจับมือพิณและเอื้อยแตงไว้
“พิณแลแม่เอื้อยแตงก็ไปกับฉันซี นึกเสียว่าเอาบุญเถิดนะ หากฉันไม่รู้แน่ว่าเสมายังอยู่หรือไม่ ฉันคงไม่มีวันเป็นสุขไปได้ดอก”
เอื้อยแตงและพิณหนักใจ ใจนึงก็อยากรู้เรื่องเสมา แต่จะไปไกลถึงตะนาวศรีก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
“ไปกับฉันเถิดนะแม่เอื้อย”
เอื้อยแตงตัดสินใจพยักหน้ารับคำ เรไรดีใจมากจนน้ำตาไหลจับมือเอื้อยแตงบีบไว้แน่น
“ขอบน้ำใจแม่มาก”
เรไรและเอื้อยแตงหอบห่อผ้าจะเดินไปที่เรือเพื่อจะล่องเรือไปตะนาวศรี
“แม่เอื้อยแตงไปตะนาวศรีถูกแน่รึ”
“ฉันก็ไม่เคยไปดอก แต่เคยฟังจากพวกพ่อค้าที่เคยไปค้าขายที่ตะนาวศรี หากแม่หญิงอยากไปจริงก็ต้องเสี่ยงดู”
“ถึงขั้นนี้แล้ว อย่างไรฉันก็จักไป”
ทั้งคู่เดินมาถึงเรือเห็นพิณนั่งพับเพียบอยู่ที่ศาลา
“แม่พิณเหตุใดมานั่งอยู่ที่นี่ ไม่ลงเรือเล่า”
พิณหน้าเสียท่าทางหวาดกลัว แต่ไม่ยอมพูดอะไร
ขณะนั้นเอง พระรามเดชะก็เดินออกมาหาเรไรส่งเสียงดุ หน้าตาถมึงทึง
“แม่เรไร”
เรไรและเอื้อยแตงสะดุ้งเฮือก พอหันกลับไปเห็นพระรามเดชะก็ยิ่งกลัวจนหน้าถอดสี
ภายในห้องนอนของเรไรในเวลาต่อมา พระรามเดชะกำลังดุเรไรที่นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในห้องนอน โดยมีลำภู เอื้อยแตง และพิณยืนมองตาปริบๆอยู่ใกล้ๆ
“เป็นหญิงแต่จะไปถึงตะนาวศรีก็กล้าเกินงามแล้ว แต่นี่เจ้ายังมีคู่หมั้นคู่หมายติดตัวอยู่อีก แล้วจะให้พ่อเอาหน้าไปไว้ที่ใด”
“อย่าตำหนิแม่หญิงเรไรเลยจ้ะเป็นความคิดฉันเอง หากจักดุด่าลุงท่านก็ดุด่าฉันเถิด” เอื้อยแตงบอก
เรไรร้องไห้แล้วหันไปพูดกับพระรามเดชะ
“แม่เอื้อยแตงอย่าออกรับแทนฉันเลย ลูกเป็นต้นคิดเองเจ้าค่ะด้วยลูกอยากรู้ว่าเสมาตายจริงหรือไม่”
พระรามเดชะได้แต่ถอนใจส่ายหน้า เรไรพนมมือ
“พ่อท่านเจ้าขา หากเสมาตายจริงก็ขอให้ลูกได้เห็นศพกับตาเถิดเจ้าค่ะ ไม่เช่นนั้น ลูกคงหาเป็นสุขไม่”
“แล้วเจ้าจะให้พ่อตอบหลวงณรงค์ว่ากระไร คู่หมั้นของตนไปดูศพชายอื่นถึงตะนาวศรี ชายใดจักทนได้ เจ้าสิ้นรักพ่อแม่แล้วหรือแม่เรไรถึงได้กระทำย่ำยีหัวใจพ่อเช่นนี้” พระรามเดชะพูดแล้วก็ตบที่หน้าอกตัวเอง
เรไรร้องไห้เสียใจถึงอยากจะเห็นศพเสมาขนาดไหน แต่เมื่อพระรามเดชะพูดขนาดนี้ก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองผิดมาก
“แม่เรไรคงไม่ได้คิดถึงเช่นนั้นดอกเจ้าค่ะคุณพระ คุณพระอย่าถือโทษโกรธเคืองลูกเลยนะเจ้าคะ” ลำภูพูดขึ้น
พระรามเดชะโกรธจัดเลยเดินออกจากห้องไป ลำภูรีบตามไปเพื่อปลอบให้สามีใจเย็นลง พิณได้แต่ร้องไห้สงสารเข้าไปกอดเรไร
“แม่หญิงเจ้าขา ทูนหัวของบ่าว”
ระหว่างความรักกับความกตัญญู มักจะสวนทางกันให้เรไรต้องเจ็บปวดเสมอ เอื้อยแตงได้แต่มองดูเรไรด้วยความสงสารจับใจ แต่ก็แอบชื่นชมในความรักของคนคู่นี้อย่างสุดหัวใจ
ในยามบ่าย ที่บ้านของขัน ดวงแขกำลังเถียงกับพุฒคอเป็นเอ็นด้วยความโกรธจัด
“อย่ามามุสาหน่อยเลย ฉันไม่เชื่อดอก เสมาจักตายได้อย่างไร”
ขันยืนยิ้มกริ่มอยู่ใกล้ๆ พุฒยิ้มเยาะ
“หากไม่เชื่อก็ไปถามพวกที่กลับจากตะนาวศรีเอาเองเถิด ข่าวนี้ไม่มีพลาดดอก ป่านฉะนี้ อ้ายเสมาเป็นผีเฝ้าเมืองตะนาวศรีไปเสียแล้ว” พุฒพูดขำๆเย้ย
“ไม่จริง ไป ลงจากเรือนฉันไปประเดี๋ยวนี้เลย”
“เสียกิริยาจริงแม่ดวงแข ขับไล่หลวงวิเศษเช่นนี้ได้กระไร แลพี่มีการต้องหารือกับหลวงวิเศษอยู่ หากน้องมีกิจกระไรก็ไปทำก่อนเถิด”
“นี่พี่ขันไม่เข้าข้างน้อง แล้วยังไล่น้องอีกรึ”
ดวงแขมองหน้าพี่ชายด้วยความโกรธเคือง ก่อนจะสะบัดหน้าเดินหนีไป พุฒมองตามด้วยสายตาเยาะเย้ย
“บัดเดี๋ยวนี้ อ้ายเสมาก็แพ้บุญเราสองจนตายไปเสียแล้ว เหตุที่เคยผิดน้ำใจกัน หลวงวิเศษท่านก็ลืมไปเสียเถิด”
“หากฉันไม่ลืม ฉันจะมาแจ้งข่าวอ้ายเสมาถึงเรือนหลวงณรงค์ท่านหรือ เรื่องแม่หญิงดวงแขฉันรอได้ ขอเพียงหลวงท่านไม่บิดพลิ้วเท่านั้น แต่ที่มาครานี้ ด้วยกิจสำคัญอื่นต่างหาก”
“กิจใดหรือ”
“อ้ายเสมาตาย ตำแหน่งราชองครักษ์เอกก็ว่างลง ฉันอยากรับหน้าที่นี้แทน หลวงท่านช่วยฉันได้หรือไม่”
“ฉันสนิทสนมกับเหล่าขุนทหารวังหน้าอยู่หลายคน เหตุใดจักช่วยท่านไม่ได้ แต่เพลานี้ พระราชมนูได้เลื่อนเป็นเจ้าพระยามหาเสนาบดี สมุหพระกลาโหมกำลังรุ่งเรืองนัก ฉันอยากย้ายไปสังกัดท่าน หลวงวิเศษมีวิธีหรือไม่”
“จะยากกระไร พระรามเดชะเป็นทหารในสังกัดเจ้าพระยาท่าน หากผู้ใดได้เป็นเขยของพระรามเดชะ ย่อมย้ายมาสังกัดท่านเจ้าพระยาได้โดยง่ายอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”
ขันฉุกคิดขึ้นแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ เพราะเมื่อเร่งรัดแต่งงานกับเรไรก็จะได้ย้ายสังกัดเป็นของแถมด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
ในบ้านพระรามเดชะ เมื่อเวลาเย็น ขันวางพานบายศรีแล้วก้มลงกราบขอขมาพระรามเดชะและลำภู โดยมีอำพันอยู่ใกล้ๆ
“ข้าพระเจ้าตั้งใจจักขมาท่านอาแลท่านอาหญิงอยู่นานแล้ว แต่ด้วยติดศึกอยู่นานเดือน แลเกรงว่าท่านอายังไม่หายโกรธเคือง จึงรอถึงป่านฉะนี้ ขอท่านอาจงอภัยให้ข้าพระเจ้าเถิด”
พระรามเดชะพยักหน้ารับแล้วว่า
“เมื่อรู้ผิด อาก็จักอภัยให้แต่คราหน้าก็อย่าได้กระทำเช่นนี้อีก”
“ขอรับ” ขันรับคำด้วยสีหน้ายิ้มแย้มดีใจ
“พ่อขันเล่าให้ฉันฟังหมดสิ้นแล้ว ฉันเองก็ได้ตำหนิติเตียนไปมากอยู่ เชื่อว่าต่อไปภายหน้า พ่อขันคงไม่กล้าแล้วหล่ะจ้ะ” อำพันว่า
“ดีแล้ว เราสองไม่ใช่อื่นไกลกัน หาควรต้องผิดน้ำใจกันไม่”
ขันมองอำพันเป็นเชิงเร่งรัดให้รีบพูด อำพันเห็นสายตาขันก็เข้าใจ
“หากคุณพระกับแม่ลำภูไม่ถือโทษแล้ว ฉันก็อยากให้พ่อขันกับแม่เรไรออกเรือนเสียที ด้วยหมั้นกันมานานนักจนผู้คนพากันติฉินนินทาไปทั่ว คุณพระกับแม่ลำภูเห็นเป็นเช่นใด”
หลวงรามเดชะและลำภูหันไปสบตากัน เรไรเพิ่งก่อเรื่องอยากจะไปตะนาวศรี ยิ่งอยากให้ลูกแต่งงานเร็วขึ้น
“ฉันย่อมเห็นด้วยกับแม่อำพันอยู่แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็พร้อมสิ้น ขาดแต่ฤกษ์พานาทีเท่านั้น ได้เร็วที่สุดเมื่อใดก็ตามนั้นเถิด”
ขันยิ้มดีใจ แค่ให้อำพันออกหน้าก็เป็นไปตามแผนทุกอย่าง อย่างไรเสีย ขันก็คงจะได้แต่งงานกับเรไรในเร็ววันนี้แน่นอน
จบตอนที่ ๑๓
อ่านต่อตอนที่ ๑๔ พรุ่งนี้