xs
xsm
sm
md
lg

ขุนเดช ตอนที่ 12

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ขุนเดช ตอนที่ 12 

ที่สถานีตำรวจ ผกาเกาะลูกกรงร้องโวยวายเสียงดังลั่น
“ปล่อยชั้นไปเดี๋ยวนี้นะ...พวกแกเอาชั้นมาขังอยู่ในนี้ไม่ได้นะ...บอกให้ปล่อย...หูแตกเหรอไง ปล่อยชั้นนนนนนน”
“หุบปากซะทีได้มั้ย นี่มันโรงพัก สถานที่ราชการไม่ใช่ตลาดสด”
“ชั้นจะร้องให้ลั่นโรงพักนี่แหละ จนกว่าจะยอมปล่อยชั้นออกไป”
“ขอกันดีๆ ไม่ฟัง ได้...งั้นเดี๋ยวจะย้ายไปขังรวมกับไอ้พวกคดีข่มขื่น หน้าตาอย่างเธอพวกมันคงชอบ”
ผกาถึงกับอึ้งไปก
“ไอ้...ไอ้จ่า...แก”
“อ๊ะๆๆๆ อย่านะ ด่าเจ้าหน้าที่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท เดี๋ยวได้โดนอีกกระทง”
ผกาเจ็บใจกระทืบเท้าร้องกรี๊ดๆๆๆ จ่าแท่นหัวเราะชอบใจ ระหว่างนั้นยงยุทธพากำนันบุญเข้ามา
“พอได้แล้วจ่า ปล่อยเธอออกมา”
“ครับหมวด”
จ่าแท่นไขกุญแจห้องขังเปิดประตูให้ ผกาโผเข้าไปหากำนันบุญ
“พี่กำนัน”
ผการ้องไห้สะอึกสะอื้น กำนันบุญโอบกอดปลอบใจแล้วมองหน้ายงยุทธอย่างไม่ค่อยพอใจ

ผกาโวยวายอยู่ในบริเวณโรงพักต่อหน้ายงยุทธกับบัวทอง
“ดูสิคะพี่กำนัน หน้าผกายับเยินเพราะฝีมือมัน ผกาไม่ยอมจะเอาเรื่องมันให้ถึงที่สุด”
“อยากมีเรื่องกับชั้นต่อใช่มั้ย...ได้ แค่ที่แกโดนยังน้อยไปด้วยซ้ำ ถ้ายังไม่หยุดมาชี้หน้าด่าชั้นล่ะก็ คราวนี้จะเลาะฟันออกมาด้วย”
“บัวทอง...พอได้แล้ว”
ยงยุทธหันมาปรามไม่ให้บัวทองไปต่อปากต่อคำกับผกา
“พี่กำนัน...ผกาไม่ยอมนะ”
“พอได้แล้วผกา อย่าให้มันเป็นเรื่องเป็นราวมากไปกว่านี้ ไอ้เน...พาคุณผกาออกไป”
“พี่กำนัน”
ไอ้เนจับแขนพาผกาออกไป กำนันบุญเข้าไปมองหน้ายงยุทธ
“ครั้งนี้ผมจะยอมจบแค่คดีทะเลาะวิวาทแล้วเสียค่าปรับ แต่ถ้าหมวดไม่ดูแลคนของหมวดให้ดี ปล่อยให้มาทำร้ายคนของผมอีก ผมไม่ยอมแน่”
“งั้นกำนันก็ต้องล่ามโซ่ทุกคนที่อยู่รอบตัวกำนันด้วย เพราะถ้าปล่อยให้หลุดออกมาไล่กัดคนอื่นเมื่อไหร่ ผมจะไม่ใช่ไม้นวมอีก”
กำนันบุญกับยงยุทธจ้องหน้ากันก่อนที่กำนันบุญจะเป็นฝ่ายเดินออกไป

บัวทองนั่งหงุดหงิดหัวเสียอยู่ในห้องทำงานของยงยุทธมีจ่าแท่นอยู่ด้วย
“ลุงจ่าไม่น่าห้ามเลย ปล่อยให้ชั้นสั่งสอนนังปากเสียนั่น ทีหลังมันจะได้ไม่กล้าดูถูกชั้นอีก”
“นังบัวทอง นี่ข้าถามจริงๆ เถอะ ใครมาทำให้เอ็งอารมณ์เสียเนี่ย ถึงได้ดุกัดไม่เลือก”
“ลุงจ่า ชั้นไม่ใช่หมานะ”
“ก็เอ็งกำลังจะทำให้ข้ากับหมวดเดือดร้อน เพราะถ้าไอ้กำนันมันเกิดเอาเรื่องเอ็งขึ้นมา ข้ากับหมวดก็ไม่รู้จะช่วยยังไง”
“ไม่ต้องมาช่วยชั้นหรอก ปล่อยชั้นติดคุกไปนั่นแหละ อยู่นอกคุกก็เจอแต่คนเลวๆ อยู่ใน คุกให้มันรู้แล้วรู้รอดไปซะเลยก็ดี”
“เอ้านังนี่...อะไรของเอ็งวะ”
“จ่า”
“ครับหมวด”
“จ่าไปทำงานเถอะ เดี๋ยวผมจะพาบัวทองไปส่งที่บ้านเอง”
“ก็ดีครับหมวด ขืนผมพามันไปส่งบ้านเอง มีหวังนังคำปันมันด่าผมเปิงแน่ จะหาว่าผมดูแลหลานไม่ดีอีก ทั้งๆ ที่หลานผมมันดุอย่างกับ...”
“กับอะไรลุงจ่า”
“ไม่รู้เว้ยคิดเอาเอง”
“ลุงจ่า”
จ่าแท่นรีบออกไป ยงยุทธเข้าไปขวางบัวทอง
“ชั้นว่า...เรามีเรื่องต้องคุยกันนะบัวทอง”
บัวทองมองยงยุทธอย่างสงสัย

ผกากลับมาบ้านกำนันบุญแต่ยังไม่เลิกโวยวายหัวเสียใส่กำนันบุญ
“พี่กำนันจะปล่อยให้นังบัวทองมันทำให้ชั้นเสียหน้าแบบนี้ไม่ได้นะ ต้องส่งคนไปจัดการมัน ให้พวกมันลากนังนั่นไปข่มขื่นแล้วฆ่าหมกป่าไปเลย”
“นั่นมันชักจะมากเกินไปแล้วนะผกา”
“มากเหรอ สำหรับนังบัวทอง น้อยไปสิไม่ว่า”
“เฮ้อ...ชั้นรู้ว่าเธอแค้นมัน แต่มันก็แค่เด็กเมื่อวานซืนคนเดียว ไว้ชั้นจัดการเรื่องใหญ่เสร็จ แล้วชั้นเอาคืนให้เธอแน่”
“แต่ชั้นไม่อยากรอนี่ ถ้าไม่ว่างทำให้ชั้น ชั้นไปให้คนอื่นจัดการให้ก็ได้”
กำนันบุญตัดรำคาญเข้าไปดึงผกามาโอบแล้วลูบหน้าลูบตา
“ไม่เอาน่าผกา ชั้นก็แค่อยากให้เธอใจเย็นรอไปก่อน เพราะงานใหญ่ที่ชั้นว่ามันสำคัญจริงๆ ถ้ามีเรื่องมีราวอะไรขึ้นมาตอนนี้ มันจะทำให้งานชั้นพังได้”
“งานสำคัญ...ไอ้งานตามหาโลหะศักดิ์สิทธิ์โบราณที่ท่านสั่งกำนันมาน่ะเหรอ”
“ใช่...แต่คราวนี้โลหะศักดิ์สิทธิ์ที่ชั้นต้องไปตามมามันไม่ธรรมดานะ”
“ไม่ธรรมดายังไง”
“มันคือรูปปั้นนางรำทองคำ สมบัติล้ำค่าของแม่นางเมือง”
ผกามีสีหน้าสงสัยว่าแม่นางเมืองคืออะไร

วงศ์กับวาสนากำลังเดินกลับบ้าน ขุนเดชเดินตามหลังทั้งคู่ทิ้งระยะห่างเหมือนต้องการสะกดรอยตาม
สองผัวเมียหยุดซื้อพวงมาลัยที่แผงขายของข้างทาง ระหว่างนั้นวงศ์เพิ่งรู้สึกตัวว่ามีผู้ชายเดินตาม
“มีอะไรเหรอไอ้วงศ์ ข้าเห็นเอ็งเหลียวคอแทบหัก”
“เอ็งเห็นผู้ชายที่อยู่ตรงนั้นมั้ย ค่อยๆ หันไปมองนะ อย่าให้มันรู้ตัว”
วาสนาค่อยๆ มองไปที่ขุนเดช
“เห็น...นั่นมันคนที่อยู่ที่ร้านกาแฟนี่”
“ข้าว่ามันตามเรามาตั้งแต่ออกจากร้านแล้ว”
“คนของไอ้กำนันเหรอ”
“ไม่ใช่หรอก ข่าวเรายังไปไม่ถึงหูไอ้กำนัน น่าจะเป็นพวกโจรที่เห็นเรามีเงินเยอะเลยคิด จะมาดักปล้น”
“หา ! แล้วเอาไงดี ท่าทางมันดูเอาเรื่องด้วย”
วงศ์คิดอยู่ครู่
“เอ็งตามข้ามา”
วงศ์จ่ายเงินค่าพวงมาลัยแล้วรีบจูงมือพาวาสนาออกไปอย่างเร่งรีบ ขุนเดชเห็นสองคนนั้นรู้ตัวและมีอาการรีบร้อนมีพิรุธเลยรีบเดินตาม

ขุนเดชเดินตามสองผัวเมียที่รีบร้อนเดินแหวกผู้คนในตลาด ขุนเดชยังตามมาไม่หยุดและใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“ไอ้วงศ์ มันใกล้เข้ามาแล้วนะ เอ็งจะเอายังไง”
วงศ์หันรีหันขวางหน้าเครียด
“ไอ้เวรเอ้ย...ข้าไม่ยอมโดนปล้นหมดตัวแน่”
วงศ์พูดไปก็นึกขึ้นมาได้รีบล้วงกระเป๋าถือของวาสนาหยิบเงินออกมาปึกหนึ่ง
“นั่นเอ็งจะเอาเงินข้าไปทำอะไร”
“ช่วยให้เราหนีมันไง”
วงศ์โปรยเงินจนกระจายไปทั่ว พวกชาวบ้านเห็นก็รีบกรูเข้ามาแย่งเงินกันใหญ่จนวุ่นวาย วงศ์กับวาสนาอาศัยช่วงชุลมุนหนีหายรอดจากขุนเดชไปได้อย่างหวุดหวิด

บ้านทรงไทยหลังใหญ่ เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของหญิงสาวดังเล็ดลอดออกมา ชวนขนหัวลุก หญิงแก่เจ้าของบ้านเช่าสีหน้าอยากรู้อยากเห็นค่อยๆ เดินขึ้นมาที่ชานเรือนและกำลังจะเข้าไปดูข้างใน
“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ”
วงศ์บอกเสียงเข้ม
“ว้ายอกอีกแป้น ใจหายหมด”
วงศ์จ้องหน้าหญิงแก่อย่างไม่พอใจแล้วพยักหน้าให้วาสนารีบเข้าไปในบ้านเพื่อหยุดเสียงสะอื้นที่ดังออกมา
“ถึงแกจะเป็นเจ้าของบ้าน แต่ชั้นจ่ายค่าเช่าไปแล้ว เพราะฉะนั้นแกไม่มีสิทธิ์มาวุ่นวายบนนี้”
“แต่ชั้นได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้สะอื้นดังมาจากข้างใน”
“หูฝาดไปรึเปล่า ที่นี่ชั้นอยู่กันแค่สองคนผัวเมีย”
“แต่ชั้นได้ยินจริงๆ นะ”
“ไหน...ชั้นไม่เห็นได้ยินอะไรเลย”
หญิงแก่พยายามเงี่ยหูฟังอีกที แต่เสียงสะอื้นของหญิงสาวก็เงียบไป
“แต่เมื่อกี้นี้ชั้นว่าชั้นได้ยินนะ”
วงศ์เข้าไปบีบแขนแล้วยัดเงินใส่มือให้หญิงแก่
“ชั้นกับเมียไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวาย ชั้นเพิ่มค่าเช่าให้ แล้วขอให้ชั้นอยู่กับเมียสงบๆ ไม่งั้นชั้นจะย้ายไปเช่าที่อื่น”
หญิงแก่เห็นแก่เงินที่ได้มาเพิ่มมากโขเลยรีบถือเงินเดินออกไป

วงศ์เข้ามาในบ้านเห็นวาสนายืนกอดอกมองหญิงสาวพรหมจรรย์ที่ถูกปิดปากตื่นกลัวร้องเสียงอู้อี้ขอชีวิต
“เอ็งลืมปิดปากมันเหรอ”
“ข้าไม่ได้ลืม แต่นังนี่มันพยายามจะหนี ดีที่เรากลับมาทันไม่งั้นความลับเราแตกแน่”
“นังนี่ เกือบทำให้ข้าซวยแล้วมั้ยล่ะ”
วงศ์ไม่พอใจปรี่เข้าไปจะตบหน้าเอาเรื่องแต่วาสนาจับมือไว้
“ใจเย็นสิไอ้วงศ์ นังนี่มันเครื่องเซ่นนะ ถ้าแม่นางเมืองไม่พอใจจะพาลซวยไปด้วย”
“ข้าลืมไป งั้นเอ็งก็รีบๆ จัดการเซ่นมันให้แม่นางเมือง อย่าลืมให้เงินทองไหลมาเทมาด้วยล่ะ ช่วงนี้เงินทองยิ่งร่อยหรอลงไปทุกวันอยู่”
“ข้ารู้น่า...เอ็งออกไปรอข้างนอกข้าจะจัดการนังนี่เอง”
วงศ์ออกไปทิ้งให้วาสนาจับเด็กสาวไปนั่งตรงหน้ารูปปั้นนางรำทองคำ แล้ววาสนาก็เริ่มทำพิธีเซ่นไหว้ ดึงเส้นผมเด็กสาวใส่พานวางหน้ารูปปั้น ท่องคาถาบูชา เด็กสาวหน้าตาตื่นตกใจกลัวจนตัวสั่น

กำนันบุญเดินสีหน้าเคร่งขรึมออกมาที่ระเบียง ผกาตามมาถามอย่างสงสัย
“สมบัติของแม่นางเมืองเป็นตำนานที่เล่าต่อๆ กันในกลุ่มของพวกนักล่าสมบัติโบราณมาหลายร้อยปีแล้ว เล่ากันถึงเมืองแสนเมืองลึกลับที่ซุกซ่อนอยู่ในหุบเขาลึกบนแผ่นดินสุวรรณภูมิ แม่นางเมืองเป็นหมอผีที่มีเวทมนต์และคาถาอาคม เป็นหญิงสาวสวยที่ต้องถือพรหมจรรย์”

วาสนาท่องคาถาทำพิธีเซ่นไหว้รูปปั้นนางรำทองคำ เด็กสาวน้ำตาคลอตื่นกลัวเพราะบรรยากาศการทำพิธีน่ากลัว มีเสียงดนตรีไทยดังก้องไปทั่ว เด็กสาวหันไปเห็นนางรำหน้าขาวตาแดงก่ำร่ายรำอยู่ตรงหน้า สยดสยองน่ากลัวเพราะนางรำเพ่งตาถลนใส่
วาสนาเห็นอาการตื่นกลัวของหญิงสาวก็รู้ว่าได้เวลาจึงเข้าไปช่วยแก้มัดมือแก้มัดปาก
“ช่วยด้วย...ช่วยชั้นด้วย”
“ไม่มีใครช่วยเอ็งได้หรอกนังหนู เอ็งถูกเลือกให้เป็นเครื่องเซ่นของแม่นางเมืองแล้ว เอ็งต้องตายอย่างเดียวเท่านั้น”
วาสนาผลักเด็กสาวกระเด็น ผีนางรำร่ายรำเข้ามาใกล้และจ้องเขม็งน่ากลัว เด็กสาวกรีดร้องวิ่งออกไปจากบ้านทันที วาสนามองตามแล้วหัวเราะเสียงดังลั่น

กำนันบุญเล่าเรื่องสมบัติแม่นางเมืองให้ผกาฟังต่อ
“แม่นางเมืองเป็นหญิงกระหายความสาวและบ้าทรัพย์สมบัติ จึงใช้อาคมหลอกล่อผู้ชายจนลุ่มหลงและเป็นเครื่องมือหาเหยื่อสาวพรหมจรรย์มาสังเวยนาง”
“หมายถึงเอาชีวิตสาวพรหมจรรย์ให้นางน่ะเหรอ”
“ใช่...ผลตอบแทนที่นางจะให้ก็คือสิ่งที่พวกเขาอยากได้ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจหรือความร่ำรวย แต่เพราะมีหญิงสาวถูกฆ่าตายมากมาย ผู้ที่มีอาคมแก่กล้ากว่าจึงวางแผนฆ่านางและสะกดวิญญาณนางไว้ในรูปปั้นนางรำทองคำ สมบัติที่นางโปรดปรานมากที่สุด”
“ถ้าวิญญาณของแม่นางเมืองยังถูกสะกดอยู่ในรูปปั้นนางรำทองคำก็แสดงว่านางยังไม่หยุดกระหายเหยื่อสาวพรหมจรรย์ใช่มั้ยกำนัน”
“เธอคิดถูกแล้วล่ะผกา รูปปั้นนางรำทองคำถูกเปลี่ยนมือไปหลายเจ้าของเพราะมันได้สร้างความร่ำรวยให้กับผู้ครอบครอง แต่ก็อยู่กับใครไม่ได้นานจนหายสาปสูญไป”

สาลี่กับฮวดมาซื้อของอยู่ที่แผงขายเนื้อหมูในตลาด
“เอาสันในให้ชั้นสักสองขีดสิพ่อค้า”
“สองขีดจะพอเหรออาสาลี่”
“แกจะกินอะไรเยอะแยะหาไอ้ฮวด ดุพุงแกสิห้อยย้วยจนจะถึงพื้นอยู่แล้ว กินให้มันน้อยๆ หน่อย ข้าวของยิ่งแพงอยู่”
ฮวดโดนสาลี่บ่นใส่เลยหน้าหงอ พ่อค้าคว้าปังตอมาหั่นเนื้อหมูให้ ระหว่างนั้นพวกชาวบ้านพากันมุงดูอะไรกัน
“นั่นเขามุงดูอะไรกัน”
สาลี่กับฮวดมองอย่างสนใจจึงเห็นเด็กสาวเดินเท้าเปล่า เนื้อตัวมอมแมม ตาลอยอย่างไร้สติเข้ามา
“ไอ้หยา ลูกเต้าเหล่าใคร เนื้อตัวมอมแมม รองเท้าก็ไม่ใส่ ปล่อยมาเดินแบบนี้ได้ยังไง”
“คงจะบ้ามั้ง”
“เวงกรรม เวงกรรม อั้วว่าช่วยพาไปส่งบ้านดีกว่า”
สาลี่ดึงหูฮวดทันที
“หนอยไอ้ฮวด เห็นเด็กสาวๆ ไม่ได้เลยนะไอ้แก่ตัณหากลับ”
“อั้วเปล่านะอาสาลี่ อั้วไม่ใช่เฒ่าหัวงูซะหน่อย มีลื้อเป็นเมียคนเดียวอั้วก็อยากโดดน้ำตายวันละหลายรอบแล้ว”
“ไอ้ฮวด”
“อั้วล้อเล่น แต่เด็กสาวนั่นน่าสงสารจริงๆ นะ ลื้อไปถามดูหน่อยเถอะว่าบ้านอยู่ไหนจะได้พาไปส่งทำบุญเยอะๆ ลื้อจะได้ร่ำได้รวยไง”
สาลี่ฟังแล้วสนใจลองทำตามที่ฮวดว่า พอดีกับเด็กสาวเดินเข้ามาที่หน้าเขียงหมู
“แม่หนูจ๊ะ...ไปทำอะไรมา ทำไมเนื้อตัวมอมแมม รองเท้าไม่ใส่แบบนี้ล่ะ” สาลี่ถาม เด็กสาวไม่ตอบตาลอยมองแต่มีดปังตอที่พ่อค้าวางไว้บนเขียงหมู “แม่หนูจ๊ะ...ได้ยินที่ชั้นถามมั้ย บ้านอยู่ไหน เดี๋ยวชั้นพาไปส่ง” สาลี่ถามอีกเด็กสาวก็ยังไม่ยอมตอบ สาลี่เลยจับไหล่ เด็กสาวหันขวับมาจ้องเขม็งตาดุ สาลี่ตกใจผงะถอย “จับแค่นี้ต้องถลึงตาใส่ด้วย นังเด็กบ้า” เด็กสาวไม่สนใจสาลี่กลับเอื้อมมือไปคว้ามีดปังตอบนเขียงหมูมากำไว้แน่นและจ้องมีดตาเขม็ง สาลี่เห็นถือมีดก็ใจคอไม่ดี “ไอ้...ไอ้ฮวด ข้าว่า...ชักไม่ค่อยดีแล้วนะ ไปเถอะ”
“เดี๋ยวสิ...อีคงสติไม่ค่อยดีเฉยๆ มั้ง ค่อยๆ ถามดีกว่า มาอั้วถามเอง” ฮวดดันสาลี่ให้หลบไปแล้วเข้าไปถามเด็กสาว “แม่หนูจ้ะ...ไม่ต้องกลัวพวกเรานะ บ้านอยู่ไหนเดี๋ยวพวกเราไปส่ง”
แต่ที่หันหน้ามาหาฮวดกลับไม่ใช่เด็กสาว เพราะเป็นผีแม่นางเมืองในชุดนางรำที่สิงอยู่ในร่างของเด็กสาว หน้าขาวตาแดงก่ำจ้องถมึงถึงใส่อาฮวด ฮวดตกใจร้องเสียงหลง
“เฮ้ย”
ทันใดนั้นเลือดก็สาดเข้าหน้าเต็มๆ พร้อมกับเสียงกรีดร้องลั่นของชาวบ้านและสาลี่ ส่วนฮวดยืนตัวแข็งท่อเพราะเลือดจากตัวเด็กสาวที่ฆ่าตัวตายต่อหน้าต่อตาเปรอะเต็มหน้าฮวด

ที่สถานีตำรวจ จ่าแท่นมีสีหน้าสงสัยอยู่กับขุนเดช
“แล้วเอ็งรู้ได้ไงวะไอ้ขุนเดชว่า ไอ้ผู้ชายกับผู้หญิงที่เอ็งเจอมันนัดเจอกับมือปืน”
ขุนเดชไม่ตอบแต่ชี้ให้จ่าแท่นดูรูปภาพประกาศจับที่ติดผนัง มีภาพคนร้ายหลายคนที่มีประกาศจับอยู่หนึ่งในนั้นมีรูปของมือปืนที่นัดเจอกับวงศ์
“อ้าวเหรอ...เอ็งนี่จำหน้าคนแม่นนะเนี่ย แล้วไอ้สองคนที่เอ็งเห็นมันเป็นใคร”
“น่าจะเป็นคนต่างถิ่น ชั้นพยายามตามมันไปแล้วแต่มันไหวตัวทันหนีไปได้ซะก่อน”
“งั้นเดี๋ยวเอ็งบอกรูปพรรณพวกนั้นไว้แล้วกัน หมวดกลับมาเมื่อไหร่จะได้ตามสืบดู”
“แล้วหมวดของจ่าไปไหนล่ะ”
“พาบัวทองไปส่งบ้าน” ขุนเดชสงสัย “ก็จะอะไรซะอีกล่ะ ไม่รู้นังบัวทองมันไปโดนใครทำให้โกรธมา มันเลยไปฟาดหัวฟาดหางมีเรื่องกับเมียใหม่ไอ้กำนันบุญเข้า ดีที่หมวดช่วยเอาไว้นะ ไม่งั้นโดนพวกไอ้กำนันเล่นงานแน่ เอ้อ...ว่าแต่เอ็งสนิทกับนังบัวทองมัน พอรู้มั้ยว่าใครไปยั่วโมโหมัน”
ขุนเดชนิ่งไปเพราะรู้ว่าบัวทองโกรธตัวเองอยู่
“ไม่รู้จ้ะอา”
ระหว่างนั้นตำรวจร้อยเวรเดินเข้ามาที่จ่าแท่น
“จ่า...เกิดเรื่องที่ตลาดแล้ว รีบไปดูกันเร็ว”
“เรื่องอะไรวะ”
ร้อยเวรมีสีหน้าไม่สู้ดีจนขุนเดชอดสงสัยไม่ได้

ที่ตลาด พวกชาวบ้านมุงดูจ่าแท่นที่เปิดผ้าคลุมศพเด็กสาวที่นอนตายอยู่หน้าเขียงหมู จ่าแท่นดูศพแล้วต้องรีบปิดกลับคืนเพราะสยดสยอง ระหว่างนั้นยงยุทธเข้ามา
“จ่า...เป็นไงบ้าง ตกลงเกิดอะไรขึ้น”
“ผู้ตายเป็นใครมาจากไหนก็ไม่ทราบครับ อยู่ๆ ก็โผล่มาที่นี่แล้วเอาปังตอปาดคอฆ่าตัว ตายต่อหน้าต่อตาคนทั้งตลาด”
ยงยุทธฟังจากจ่าแล้วก็เข้าไปเปิดผ้าคลุมศพดู ยงยุทธหน้าเครียดแล้วหันมาถามจ่า
“แล้วมีใครได้คุยกับผู้ตายเป็นคนสุดท้าย”
“มีครับ ไอ้ฮวดกับนังสาลี่ ขุนเดชกำลังคุยกับพวกนั้นอยู่”

ฮวดกับสาลี่ยังไม่หายตกใจกับเรื่องสยองต่อหน้าต่อตา
“เวงกรรม...เวงกรรม เวงกรรมอะไรของอั้วก็ไม่รู้ หวังดีกับอีแท้ๆ แต่อีดันมาปาดคอต่อหน้าอั้ว”
“ก็เพราะแกแหละไอ้ฮวด บอกแล้วใช่มั้ยไม่ให้ยุ่งเรื่องชาวบ้าน”
“ก็ใครจะไปรู้ว่าอีอยากตายล่ะ...แถมยัง...ยัง” ฮวดขนลุกซู่ “น่ากลัว อั้วไม่กล้าพูดถึงแล้ว”
“เอาล่ะๆ อาฮวด...กลับบ้านไปอาบน้ำอาบท่า แล้วก็แวะไปหาหลวงพ่อทำบุญให้คนตาย จะได้สบายใจขึ้น”
“ขอบใจนะอาขุนเดช”
ฮวดกับสาลี่พากันออกไปได้ครู่ ยงยุทธจึงเดินตามเข้ามา
“ขุนเดช...แล้วฮวดกับสาลี่ล่ะ”
“เพิ่งกลับไปเมื่อกี้นี้เอง”
“แต่ชั้นยังไม่ได้สอบปากคำเลย”
“เจอคนมาเชือดคอตายต่อหน้าต่อตา ชั้นก็เลยให้กลับไปตั้งสติกันก่อน ไว้แกอยากรู้อะไรเพิ่มเติมค่อยตามไปสอบปากคำทีหลังจะดีกว่า”
“แล้วสองคนนั่นเล่าอะไรให้แกฟังบ้าง”
ขุนเดชนิ่งไปสีหน้าดูเคร่งเครียดเมื่อมองไปที่ศพของหญิงสาวซึ่งถูกเจ้าหน้ายกใส่เปลพาออกไป
“ชั้นว่างานนี้แกเจอคดีไม่ธรรมดาแล้ว”
ยงยุทธมองขุนเดชด้วยสีหน้าสงสัย
อ่านต่อหน้าที่ 2




ขุนเดช ตอนที่ 12 (ต่อ)

วันต่อมาขณะที่บัวทองซ้อมรำอยู่กับคำปันที่ตีกรับให้จังหวะ แต่บัวทองสมาธิไม่อยู่กับเนื้อกับตัวรำคร่อมจังหวะจนถูกดุ
“หยุดๆๆ...รำอะไรของเราน่ะบัวทอง ฟังจังหวะบ้างสิ”
“ชั้น...ชั้นขอโทษจ้ะแม่”
“เป็นอะไรไป หมู่นี้แม่รู้สึกว่าเราชอบเหม่อ ใจลอยไม่มีสติเลย”
“เอ่อ...เปล่านี่จ้ะแม่ ชั้นเหนื่อยมากกว่า ซ้อมมาตั้งหลายชั่วโมงแล้วขอพักแป๊บนึงได้มั้ย”
“ทีหลังถ้าเหนื่อยก็บอก ไม่ใช่ดันทุรังซ้อมเอาใจแม่ พอแค่นี้แล้วกันจะได้เก็บแรงไปรำที่วัด เดี๋ยวแม่จะได้เตรียมของไปช่วยงานบุญด้วย”
คำปันทิ้งให้บัวทองนั่งพัก แต่บัวทองกลับนั่งใจลอยคิดถึงเมื่อวานที่ได้คุยกับยงยุทธ
เมื่อวานยงยุทธจอดรถที่ริมบึงเพื่อคุยกับบัวทองระหว่างทางที่จะไปส่งบัวทองกลับบ้าน
“นะคะหมวด...บัวทองขอร้องอย่าบอกแม่ว่าบัวทองไปมีเรื่องกับยัยผกาจนต้องขึ้นโรงพัก บัวทองไม่ได้กลัวโดนแม่ดุ แต่ไม่อยากให้แม่ต้องเป็นห่วงจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ”
“งั้นบัวทองต้องรับปากชั้นมาก่อนว่าจะไม่ไปมีเรื่องกับคนพวกนั้นอีก” บัวทองนิ่งไป ยงยุทธจับบ่าบัวทองอย่างขอร้อง “บัวทอง...คนพวกนั้นมันเจ้าเล่ห์ มันพร้อมเล่นงานทุกคนที่ทำให้มันไม่พอใจ ถ้ามันคิดจะเล่นงานเธออีก เธออาจจะไม่โชคดีเจอชั้นมาช่วยไว้เหมือนครั้งนี้”
“ก็ได้ค่ะ บัวทองจะอยู่ให้ห่างพวกมัน”
“ดี...งั้นเอาเป็นว่าเดี๋ยวชั้นไปส่งเธอที่บ้าน ชั้นจะบอกน้าคำปันว่าเจอเธอระหว่างทางเลยรับเธอติดรถ แต่มีอีกเรื่องที่ชั้นอยากถามเธอ”
“เรื่องอะไรคะหมวด”
“ชั้นเห็นเธอสนิทกับขุนเดช เลยอยากรู้ว่าเคยสังเกตเห็นบ้างมั้ยว่าขุนเดชยังมีใจให้ดาราอยู่รึเปล่า” บัวทองชะงักอึ้งไปเหมือนจุกอยู่ที่อก น้ำตาเอ่อขึ้นมาอย่างเจ็บปวดจนยงยุทธตกใจ “บัวทอง...เป็นอะไร”
บัวทองหันหลบ พยายามเช็ดน้ำตาสุดฤทธิ์
“เปล่าค่ะหมวด...บัวทองไม่ได้เป็นอะไร”
“ชั้นว่าเธอโกหกชั้นอยู่นะ..หรือว่า...เธอกับขุนเดช” บัวทองทนอัดอั้นความรู้สึกไม่ไหวร้องไห้เสียใจออกมาทันที ยงยุทธสงสารบัวทองเลยดึงมาโอบกอดปลอบใจ “ชั้นขอโทษด้วยบัวทอง ชั้นไม่รู้จริงๆ ว่าเธอกำลังเจ็บปวดเหมือนกับที่ชั้นกำลังเป็นอยู่”
ยงยุทธลูบหัวบัวทองอย่างเข้าใจและปล่อยให้บัวทองสะอื้นไห้ซบหน้ากับแผ่นอกเขา

ที่สถานีตำรวจ จ่าแท่นเอาแฟ้มข้อมูลมาให้ยงยุทธ
“นี่ครับหมวด...ผลการชันสูตรศพของหญิงสาวที่ฆ่าตัวตายในตลาดวันก่อน” ยงยุทธรับมาดู
“ไม่มีทั้งประวัติเสพยาและปัญหาเรื่องสุขภาพจิต”
“ครับหมวด...แล้วเท่าที่ผมได้คุยกับพ่อแม่ผู้ตายมายิ่งไม่มีวี่แววเลยว่าจะฆ่าตัวตาย”
“แต่มันต้องมีอะไรผิดปกติสักอย่างสิจ่า ไม่อย่างนั้นคนปกติที่ไหนจะกล้าเชือดคอตัวเองกลางตลาดแบบนั้น”
จ่าแท่นนึกขึ้นได้
“มีอย่างหนึ่งครับหมวด ก่อนที่เด็กสาวคนนั้นจะฆ่าตัวตาย พ่อแม่เขาเล่าให้ผมฟังว่าลูกสาวเขาหายตัวออกจากบ้านไป เขากำลังจะมาแจ้งความให้เราช่วยตามหาแต่ดันมาเจอลูกสาวฆ่าตัวตายซะก่อน”
“งั้นที่เด็กสาวคนนั้นหายตัวไปก็ต้องมีส่วนสำคัญกับคดีนี้ ถ้าเริ่มสืบจากตรงนั้นได้ก็อาจจะได้อะไรมากขึ้นนะครับอาจ่า” ขุนเดชบอกขณะเดินเข้ามา
“ขุนเดช”
“ขอโทษด้วยนะยงยุทธ ชั้นไม่ได้คิดจะมาก้าวก่ายการทำงานของแก เพียงแต่ชั้นมีข้อมูลที่น่าสงสัยอยากให้แกรู้ไว้ เผื่อจะช่วยเป็นแนวทางสอบสวน”
“ข้อมูลอะไรเหรอขุนเดช”

จ่าแท่นฟังจากขุนเดชแล้วสนใจ
“อาจ่าก็ได้ยินพวกที่ร้านไอ้ฮวดพูดถึงอยู่เหมือนกัน เป็นเศรษฐีแปลกหน้าเที่ยวเอาเงินมาแจกไปทั่ว ท่าทางก็ดูแปลกๆ ทั้งผัวทั้งเมีย แล้วยิ่งพยายามหนีขุนเดชแบบนี้ด้วย มันยิ่งมีพิรุธน่าสงสัยนะครับหมวด”
“งั้นจ่าก็ลองตามสืบดู ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมก็รีบแจ้งผมมา”
“ครับหมวด...ขอบใจนะขุนเดช”
จ่าแท่นตบบ่าขุนเดชแล้วเดินออกไปเหลือขุนเดชอยู่กับยงยุทธ
“ดูท่าทางแกจะสนใจคดีนี้เป็นพิเศษนะ นึกว่าวันๆ แกจะสนแต่งานแต่งโบราณสถาน”
“ชั้นมันคนรักบ้านเกิดเมืองนอน ถ้ามีอะไรที่ดูแล้วจะเป็นภัยก็ต้องคอยเป็นหูเป็นตาให้”
“คนที่นี่โชคดีที่นอกจากจะมีวีรบุรุษบาปแล้วยังมีขุนเดชคอยช่วยเหลืออีกคน ว่าแต่แกมาหาชั้นถึงที่นี่ก็ดีแล้ว เพราะชั้นมีเรื่องอยากคุยด้วยพอดี”
ขุนเดชมองยงยุทธอย่างสงสัยว่าอยากจะคุยเรื่องอะไร

วงศ์กับวาสนามากราบพระเพชรทองที่วัดเกาะน้อย แต่วาสนามีอาการลุกลี้ลุกลน
“ไอ้วงศ์...ไอ้วงศ์”
“อะไรของแกวะ จะรอให้ข้าไหว้พระให้เสร็จก่อนไม่ได้เหรอไง”
“ชั้นไม่อยากอยู่ที่นี่นานๆ ถ้าเกิดพวกไอ้กำนันมาเห็นเราเข้าล่ะ”
“โธ่เอ้ย..นึกว่าจะอะไร ไอ้มือปืนที่เราจ้างไปจัดการไอ้กำนันบุญ ชั้นเชื่อฝีมือมัน แกไม่ต้องห่วงหรอก”
“แต่ชั้นไม่อยากให้แกประมาท”
“แกมันก็คิดมาก จะบอกให้นะ ที่ชั้นพาแกมาวัดเนี่ย ไม่ได้จะชวนมาไหวพระอย่างเดียว”
“หมายความว่ายังไง”
“ชั้นพาแกมาหาเหยื่อดีๆ ไปบูชาแม่นางเมืองไง”
วาสนามองวงศ์อย่างแปลกใจ

อีกด้านหนึ่งที่ลานโบราณสถาน บัวทองกำลังรำแก้บนอย่างสวยงามมีฉากหลังเป็นพระปรางค์ วงศ์รีบจูงมือพาวาสนาแหวกพวกชาวบ้านที่กำลังมุงดูบัวทองรำ
“นี่แกพาชั้นมาดูอะไรของแกเนี่ยไอ้วงศ์”
“นั่นไง แกเห็นนางรำนั่นมั้ย”
“หน้าตาก็สวยดี รำก็อ่อนช้อยใช้ได้”
วงศ์ยิ้มชอบใจ
“เพราะนางรำคนนี้ไง ข้าถึงต้องพาเอ็งเสี่ยงออกจากบ้านมาดูให้เห็นกับตา”
วาสนานึกออกทันที
“นี่เอ็งอย่าบอกนะว่า...”
“ใช่...เอ็งเห็นแล้วคิดเหมือนกับข้ามั้ยล่ะว่านั่นจะต้องเป็นเครื่องเซ่นที่ถูกใจแม่นางเมืองที่สุดเท่าที่เราเคยบูชามาเลย” วาสนายิ้มรับ
“แกนี่มันตาแหลมจริงๆ ไอ้วงศ์”
สองผัวเมียยิ้มเยาะชอบใจ รอยยิ้มมีแต่ความชั่วร้ายระหว่างที่มองบัวทองที่กำลังรำแก้บนอย่างสวยงาม

ยงยุทธพาขุนเดชมาที่ริมบึง ขุนเดชมองยงยุทธด้วยความสงสัย
“แกลากให้ชั้นมาถึงที่นี่ ต้องการคุยอะไรกันชั้นกันแน่”
ยงยุทธไม่ตอบแต่ขบกรามแน่นพร้อมกำหมัด ขุนเดชยังไม่ทันจะถามอีก ยงยุทธก็หันมาแล้วปล่อยหมัดหนักๆเข้าที่หน้าขุนเดชทันที ขุนเดชผงะไม่ทันตั้งตัง ยงยุทธตามเข้าไปกระชากคอเสื้อแล้วกระหน่ำหมัดใส่ไม่ยั้ง ขุนเดชพยายามปัดป้องแล้วผลักยงยุทธออกไป เลือดกบปากตัวเองอย่างงุนงง
“นี่แกเป็นบ้าอะไรของแกวะ”
“ชั้นอยากสั่งสอนแกไง ไอ้สันดานเห็นผู้หญิงเป็นของเล่นแบบนี้ มันไม่ใช่เพื่อนชั้น”
“นี่แก...”
“แกทำชั้นเสียใจเรื่องดาราชั้นยังพอทนได้ เพราะชั้นรู้ตัวดีว่าดารารักชั้นน้อยกว่าแกมาตลอด แต่ที่แกไปทำร้ายจิตใจบัวทองนี่สิ ที่ชั้นปล่อยไว้ไม่ได้” ยงยุทธปรี่เข้าชกใส่ขุนเดชอีก ขุนเดชยกมือปัดป้องแต่ก็ถูกยงยุทธเล่นงานไม่หยุดจนถูกถีบกระเด็นล้มกลิ้งไปกับพื้น “แกมันไม่ใช่ลูกผู้ชาย”
ยงยุทธยกเท้ากระทืบแต่ขุนเดชยกมือรับเอาไว้ สองคนจ้องหน้ากันอาเรื่อง ยงยุทธออกแรงลงที่เท้า ขุนเดชออก แรงต้านที่มือ ตาต่อตาฟันต่อฟันยื้อยุดงัดแรงใส่กัน

บัวทองกับคำปันซึ่งเสร็จจากรับจ้างรำแก้บนมองวงศ์กับวาสนาที่มาแนะนำตัว
“ชื่อวงศ์เหรอจ๊ะ”
“จ้ะ...ชั้นกับเมียชอบทำบุญ ชอบเที่ยวชมโบราณสถาน ที่มาสุโขทัยครั้งนี้ก็อยากจะมาบนบานขอพรให้เมียชั้นท้องกับเขาสักที”
“จ้ะ...ชั้นน่ะถึงจะชื่อวาสนา แต่วาสนาก็ไม่ค่อยมีกับใครเขาหรอก อยู่กินกันมาตั้งหลายปีก็ยังไม่เคยได้ลูกมาเชยชมเลย”
“น่าสงสารจังเลยนะจ๊ะ ถ้าชั้นพอจะแนะนำได้ก็ลองไปกราบขอพรพระแม่ย่าดูสิ”
“พระแม่ย่าเหรอจ๊ะ”
“จ้ะน้า...ชาวเมืองสุโขทัยเชื่อกันว่าพระแม่ย่าคือพระนางเสือง พระมารดาของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ชาวเมืองเคารพสักการะและถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์มากใครบนบานศาลกล่าวสิ่งใดมักจะได้สมปรารถนา”
“จริงเหนอจ๊ะหนู...งั้นก็ดีสิ...งั้นถ้าชั้นไปบนบานขอลูกแล้วสำเร็จ ชั้นจะขอให้หนูไปรำแก้บนให้ หนูจะช่วยชั้นได้มั้ย”
“ได้สิจ้ะน้า ถ้าพระแม่ย่าดลบันดาลให้พวกน้าได้สมดั่งที่หวัง ชั้นจะรำแก้บนให้ ไม่คิดค่ารำเลยด้วย”
วาสนายิ้มแก้มปริเข้าไปจับแขนลูบคลำบัวทอง
“แม่หนูคนนี้ หน้าตาก็ดี ผิวพรรณก็งาม แถมยังจิตใจดีอีก ชั้นชอบหนูจริงนะ”
บัวทองยิ้มให้อย่างไมตรีโดยไม่รู้เลยว่ากำลังตกเป็นเหยื่อของวงศ์และวาสนา

ที่ริมบึงขุนเดชกับยงยุทธยังยื้องัดแรงใส่กันจนในที่สุขุนเดชก็เตะข้อพับแล้วดันยงยุทธกระเด็น
“หยุดได้แล้วไอ้ยงยุทธ ชั้นไม่ได้อยากทำร้ายจิตใจบัวทอง ชั้นมีเหตุผลของชั้น”
“เหตุผลอะไร อย่าบอกนะว่าที่บัวทองต้องเสียน้ำตาก็เพราะคิดเองเออเองว่าแกรักเขา นั่นใช่มั้ยที่แกจะแก้ตัว” ขุนเดชนิ่งไป “ชั้นจะนับถึงสามแกต้องไปขอโทษบัวทอง ถ้าแกไม่ไปชั้นกระทืบแกให้สลบอยู่ตรงนี้...หนึ่ง...สอง...”
“ชั้นไม่จำเป็นต้องขอโทษบัวทอง และแกก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะต้องรู้ด้วยว่าเหตุผลของชั้นคืออะไร”
“ไอ้ขุนเดช...ไอ้เลวเอ้ย”
ยงยทธหันไปคว้าท่อนไม้ที่พื้นแล้วปรี่เข้าใส่ ขุนเดชเอี้ยวตัวหลบแล้วหันไปคว้าท่อนไม้มารับและใช้เป็นอาวุธสู้
ระหว่างทั้งคู่กำลังซัดกันนัว ขุนเดชพลาดถูกยงยุทธถีบหน้าอกจะซ้ำดาราก็รีบวิ่งเข้ามา
“หยุดเดี๋ยวนี้นะยงยุทธ”
“ดารา”
ดารารีบเข้าไปช่วยพยุงขุนเดชให้ลุกขึ้นมาแล้วมองยงยุทธด้วยสายตาไม่พอใจ
“นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมเธอต้องทำร้ายขุนเดชด้วย”
“มันสมควรโดนแล้ว”
“หมายความว่ายังไง” ยงยุทธมองหน้าดาราแต่ไม่พูดอะไรโยนไม้ในมือทิ้งแล้วเดินออกไปทิ้งขุนเดชไว้กับดารา
“ยงยุทธ…ยงยุทธ”
ขุนเดชรั้งดาราไว้
“ปล่อยเขาไปเถอะดารา”
“เขามาเอาเรื่องเธอเพราะชั้นใช่มั้ยขุนเดช”
“เปล่า”
ดารามองขุนเดชอย่างสงสัย

ขุนเดชกลับมาที่กระท่อม ดาราช่วยเอาผ้ามาเช็ดคราบเลือดที่หน้าให้ขุนเดช
“เธอไม่ควรจะทำแบบนั้นกับบัวทองนะ”
“จะช้าหรือเร็วความจริงก็ต้องเปิดเผย ถึงตอนนั้นบัวทองก็ต้องโกรธเกลียดผม สู้ให้เกลียดซะตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่า”
“เธอก็เป็นซะอย่างนี้ ทำไมไม่คิดจะให้รู้ความจริง บัวทองเองก็สนับสนุนวีรบุรุษบาปอยู่”
“เพราะเหตุนั้นแหละที่ผมไม่อยากให้บัวทองรู้ว่าผมคือวีรบุรุษบาป”
“ขุนเดช...เธอกลัวว่าจะเสียบัวทองไป”
ขุนเดชนิ่งไปแล้วลุกไปยืนมองสายน้ำที่ไหลผ่านหลังกระท่อม
“ตั้งแต่วันที่ผมเดินจากคุณกับยงยุทธมาชีวิตผมก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ผมกลายเป็นทหารของพระร่วงคอยไล่ล่าเข่นฆ่าพวกใจบาป มือของผมเปื้อนไปด้วยเลือด บาปที่ผมฆ่าคนมันเกาะกินตัวผมอยู่ทุกวันไม่มีวันไหนที่ผมไม่รู้สึกว่า...นรกกำลังรอรับตัวผมไปชดใช้กรรม จนวันที่ผมได้พบกับบัวทอง”
ขุนเดชหยุดนิ่งไปแววตาที่พูดถึวบัวทองมีประกายของความสุข

ขณะนั้นบัวทองกำลังกราบพระเพชรทองแล้วหันมามองวาสนาซึ่งกำลังเสี่ยงเซียมซี เสียงเขย่าเซียมซีทำให้บัวทองอดคิดถึงวันที่ได้เจอพี่ขุนเดชเป็นครั้งแรกที่หน้าพระอจนะไม่ได้
“บัวทองจ้ะ…บัวทอง”
วาสนาเรียกอยู่หลายครั้งบัวทองจึงได้สติ
“จ้ะ…มีอะไรเหรอจ๊ะน้า”
“เป็นอะไรไปเหรอ น้าเห็นบัวทองเอาแต่เหม่อ”
“เปล่าจ้ะ”
วาสนาสงสัยเลยเลียบๆ เคียงๆ ถาม
“แต่น้าอาบน้ำร้อนมาก่อนนะ อาการแบบนี้เขาเรียกว่าคนกำลังมีความรัก…ใช่มั้ยจ้ะ”
บัวทองชะงักแล้วรีบปฏิเสธ
“เปล่าจ้ะน้า...ชั้นไม่มีแฟน ไม่เคยคิดเรื่องแบบนั้นด้วย”
“จะให้น้าเชื่อได้ยังไงว่าสาวๆ สวยๆ อย่างหนูจะไม่เคยคบหาผู้ชาย”
“ชั้นพูดจริงๆ จ้ะน้า ชั้นไม่คิดเรื่องพวกนี้ให้มารกสมองหรอก เอาเวลาไปทำอย่างอื่นจะมีประโยชน์ซะมากกว่า”
บัวทองพูดแล้วก็กราบพระพุทธรูปก่อนจะเดินออกไป วาสนามองตามจิกหน้ายิ้ม วงศ์ตามเข้ามา
“ว่าไงนังวาส”
“ชั้นมั่นใจว่าต้องเป็นของดีไม่มีตำหนิ...งานนี้แกอยากขออะไรจากแม่นางเมืองล่ะก็ขอหนักๆ ไปเลย ท่านต้องโปรดนังบัวทองแน่”
สองผัวเมียยิ้มเยาะชอบใจมีองค์พระพุทธรูปเพ่งต่ำมองอย่างน่าสังเวช

ที่กระท่อมขุนเดช ขุนเดชนึกถึงบัวทองแล้วมีรอยยิ้มขึ้นมานิดนึงที่มุมปาก
“ผมรักสุโขทัยบ้านเกิดเมืองนอนของผม และชื่อสุโขทัยก็มาจากคำว่าสุขกับอุทัย หมายความว่ารุ่งอรุณแห่งความสุข วันที่ผมได้เจอบัวทองความรู้สึกที่ผมมีต่อบัวทองก็เหมือนกับที่ผมรักสุโขทัย บัวทองเป็นความสุขของวันใหม่จากคนที่ยืนอยู่ปากเหวของความมืด” ความรู้สึกที่ขุนเดชมีต่อบัวทองทำให้ดาราเริ่มเข้าใจ น้ำตาเอ่อไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัวแต่ไม่ใช่น้ำตาจากความ เศร้าเสียใจ “ดารา…ผม…” ขุนเดชรู้สึกผิด ดารารีบเช็ดน้ำตา
“ชั้นไม่เป็นไรหรอกขุนเดช น้ำตาที่เธอเห็นไม่ใช่น้ำตาของความเสียใจที่เธอไม่รักชั้นแล้ว แต่ชั้นรู้สึกดีใจที่ยังมีคนดีๆ คอยเป็นความหวังให้กับเธอ”
“ใช่..บัวทองคือความหวังให้กับชีวิตที่มืดมนของผม ผมถึงไม่อยากให้เธอเข้ามาเกี่ยวข้องกับบาปกรรมที่ผมก่อ”
“มันจะไม่เป็นอย่างนั้นหรอกขุนเดช ชั้นจะพยายามช่วยเธอทุกอย่างและบัวทองควรจะได้ยินคำนั้นจากปากของเธอ…สัญญากับชั้นนะขุนเดช”
ขุนเดชพยักหน้ารับ
“เธอก็เหมือนกันนะดารา…ยงยุทธเป็นคนที่รักเธอมากที่สุด”
ขุนเดชพูดยังไม่ทันจบดาราก็เอามือแตะริมฝีปากขุนเดชไม่อยากให้พูดถึง
“ภารกิจของวีรบุรุษบาปยังไม่จบ ชั้นจะไม่ปล่อยให้เขามาขวางทางเรา”
ดาราย้ำให้ขุนเดชเข้าใจ แม้ว่าในแววตาจะเต็มไปด้วยความเจ็บปวด

ที่บ้านกำนสันบุญ ไอ้นะมารายงานกำนันบุญเรื่องวงศ์
“ว่าไงนะ…ไอ้วงศ์กับเมียมันมาป้วนเปี้ยนอยู่ที่ศรีสัชนาลัยเหรอ”
“ครับกำนัน...มันเดินล่อหูล่อตามากเหมือนจงใจเย้ยให้รู้ว่ามันไม่กลัวกำนันเลย”
กำนันบุญหันมาชักสีหน้าใส่ลูกน้องแล้วกระชากคอเสื้อมาด่าทันที
“ก็เพราะข้ามีลูกน้องอย่างพวกเอ็งไง เจอหน้ามันแทนที่จะจัดการดันปล่อยให้มันเย้ยข้าอยู่ได้”
“ก็…ก็พวกชั้นรอคำสั่งกำนันอยู่”
“รอคำสั่ง!...ไอ้เวรเอ้ย ต้องให้สั่งทุกเรื่องเหรอไงวะ ไอ้โง่” กำนันบุญผลักลูกน้องจนเซ
“อย่าเพิ่งหงุดหงิดไปเลยพ่อ เดี๋ยวชั้นจัดการเป็นธุระให้เอง” สัมฤทธิ์บอกแล้วหันไปทางลูกน้อง “พวกเอ็ง ไปกับข้า”
สัมฤทธิ์พาลูกน้องออกไปสวนกับประดับที่เข้ามา กำนันบุญมองตามสีหน้าเจ็บใจ

สัมฤทธิ์พาลูกน้องเข้ามาแอบซุ่มอยู่ที่หน้าเรือนไทย สักพักไอ้เนก็เข้ามา
“พวกมันพักอยู่ที่นี่ครับพี่สัมฤทธิ์”
“งั้นก็ลงมือเลย จัดการสางบัญชีให้พ่อข้าแล้วเอารูปปั้นนางรำทองคำมา”
พวกลูกน้องงัดอาวุธออกมาครบมือ แต่ทันใดนั้นลมกรรโชกเข้ามาอย่างแรงทั้งๆ ที่เป็นเวลากลางวัน ผสมกับเสียงหัวเราะแหลมดังของหญิงสาวฟังดูน่ากลัว
“พี่สัมฤทธิ์...พี่ได้ยินรึเปล่า”
“เสียงดังขนาดนี้จะไม่ได้ยินได้ไงวะ”
“จะบุกเข้าไปเลยจริงๆ เหรอพี่ ได้ยินว่าฤทธิ์เดชผีแม่นางเมืองเฮี้ยนเอาเรื่องอยู่นะพี่”
“พวกเอ็งกลัวผีแม่นางเมืองมากกว่ากลัวโดนพ่อข้ากระทืบเหรอไงวะ ไป...บุกเข้าไป”
สัมฤทธิ์ผลักพวกลูกน้องให้เข้าไปในบริเวณบ้าน ส่วนตัวเองรั้งท้ายรู้สึกขนหัวลุกซู่เหมือนมีคนมองจากข้างหลัง
ผีนางรำยืนตาแดงก่ำน่ากลัวประชิดติดหลัง สัมฤทธิ์กลืนน้ำลายเอื๊อกแล้วค่อยๆ หันไป...ขวับ ผีนางรำหายวับไป สัมฤทธิ์เป่าปากโล่งอก
“โธ่เว้ย...นึกว่าจะแน่”
สัมฤทธิ์หันมาอีกทีคราวนี้ผีนางรำโผล่มายืนจังๆ หน้าชิดแบบจมูกชนจมูก สัมฤทธิ์เหวอ ผีนางรำแสยะยิ้มร้ายๆ

ไอ้นะกับไอ้เนพากันขึ้นบันไดมาถึงชายเรือน พวกมันนัดแนะวางแผนกันเบาๆ
“ข้าจะบุกไปจัดการพวกมันผัวเมีย ส่วนเอ็งไปหารูปปั้นนางรำทองคำ”
“เดี๋ยว...อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะเว้ยเอ็งจะไปจัดการพวกมัน เพราะคิดจะปล้นพวกมันแล้วฮุบไว้คนเดียวใช่มั้ย ข้าจะไปจัดการมันด้วย...ยังไงก็ต้องแบ่งกันเว้ย”
ไอ้นะผลักไอ้เนแล้วจะเดินเข้าไปทีบ้าน แต่ชะงักเดินไม่ไปเพราะถูกจับไหล่ไว้...หมับ
“ไอ้เน...ปล่อยมือนะเว้ย”
“ข้าไม่ได้จับเอ็ง...พี่สัมฤทธิ์ต่างหาก”
ไอ้นะหันกลับมาเห็นสัมฤทธิ์ยืนตาถมึงถึงเพราะถูกผีนางรำสิง
“พี่สัมฤทธิ์”
“ไสหัวไปให้พ้น”
“ไป...ไปไหนพี่...ก็เรายังทำงานไม่เสร็จเลยนี่”
สัมฤทธิ์ตาแข็งดุ
“ข้า...ข้าว่า...นี่...นี่ไม่ใช่พี่สัมฤทธิ์แล้วว่ะ” ไอ้เนบอก
“เอ็งจะบ้าเหรอไงวะ ถ้านี่ไม่ใช่พี่สัมฤทธิ์แล้วจะเป็นใคร”
“ก็...ก็...ผี...ผีไง”
ไอ้นะไอ้เนหันขวับไปมองสัมฤทธิ์อีกที คราวนี้เห็นใบหน้าของผีนางรำซ้อนอยู่บนหน้าสัมฤทธิ์ พวกมันร้องเสียง หลง สัมฤทธิ์ยกมือสองข้างบีบคอพวกมันไว้ด้วยแรงมหาศาล ไอ้นะไอ้เนดิ้นพราดๆ หน้าดำหน้าแดง ลูกน้องคนอื่นรีบเข้าไปช่วยแกะมือแต่แกะไม่ออกเพราะแรงเยอะมาก
“เร็ว...เร็วสิเว้ย”
ไอ้นะไอ้เนหน้าแดงลิ้นจะจุกปากตายอยู่แล้ว พวกลูกน้องเลยตัดสินใจช่วยกันทุบสัมฤทธิ์ คราวนี้สัมฤทธิ์เลย เหวี่ยงไอ้นะกับไอ้เนกระเด็นแล้วหันมาเล่นงานพวกลูกน้องจับบิดคอทีเดียวกระดูกหักดัง...กร่อบ!
ไอ้นะไอ้เนหน้าเหวอตาตั้งรีบวิ่งหนีเอาตัวรอดทันที สัมฤทธิ์หัวเราะด้วยเสียงแหลมน่ากลัวแล้วเดินตามพวกมันไป วงศ์กับวาสนาเดินเข้ามาแล้วหัวเราะอย่างสะใจไล่หลัง
“ถุย...ไอ้กำนันบุญ คิดจะจัดการข้าแต่ส่งลูกน้องกระจอกๆ มา มันดูถูกข้าเกินไปแล้วเว้ย ฮ่าๆๆๆๆ”

ที่ซากโบราณสถานแห่งหนึ่งกำนันบุญคุมลูกน้องที่กำลังช่วยกันตัดเศียรพระพุทธรูปองค์หนึ่ง
“เฮ้ย...เร่งมือเข้าหน่อย แดดมันร้อนเว้ย”
“ครับกำนัน”
พวกลูกน้องช่วยกันออกแรงพยายามตัดเศียรพระ ส่วนกำนันบุญยืนรอมีลูกน้องอีกคนกางร่มบังแดดให้
มือปืนที่วงศ์จ้างมาฆ่ากำนันบุญแอบซุ่มเข้ามาในพุ่มไม้ใกล้ๆ กัน มันยกปืนขึ้นเล็งเตรียมลั่นไก..เปรี้ยง !!
เสียงปืนดังขึ้น แต่กำนันบุญยังโชคช่วย มือปืนยิงพลาดไปถูกลูกน้องที่กำลังลงมือตัดเศียรพระเข้าแสกหน้าพอดี มันเลยร่วงตกลงมา
“ไอ้เวรเอ้ย...ไอ้หมาลอบกัด...ใครวะ”
กำนันบุญรีบกระโจนหาที่หลบ มือปืนเลยต้องลั่นไกใส่เข้ามาอีกไม่ยั้ง กระสุนทุกนัดโดนพวกลูกน้องที่กำลังตัดเศียรพระตายเกลี้ยง และนัดหนึ่งเฉียดแขนกำนันบุญจนได้เลือด กำนันบุญเลยชักปืนยิงตอบโต้ก่อนจะรีบวิ่งหนีเอาตัวรอด

กำนันบุญวิ่งหนีหาที่ตั้งรับ เข้าไปหลบหลังต้นไม้ใหญ่แล้วยิงตอบโต้หูดับตับไหม้จนกระสุนหมด ฝั่งมือปืนยังเหลือกระสุนอีกเพียบเลยได้โอกาสถือปืนเดินออกมาเล็งกำนันบุญที่กลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
“มึงเป็นใครวะ...ใครจ้างมึงมา”
“คนจ้างเขาให้ชั้นมาบอกว่า หนี้ที่ติดกำนันไว้ เขาขอจ่ายด้วยลูกปืน”
“ไอ้วงศ์”
มือปืนจะลั่นไกสังหารแต่ทันใดนั้นเสียงปืนดัง...เปรี้ยง! ประดับโผล่เข้ามาพร้อมกับยิงมือปืนเข้าที่กลางหลัง มันล้มลงตายคาที่
“คุณประดับ”

ศพลูกน้อง 2 คนของกำนันบุญนอนตายอยู่ข้างทาง ยงยุทธมาเปิดผ้าคลุมศพดู
“สภาพศพถูกจับหักคอจนหมุนได้รอบเลยทั้งสองศพครับหมวด”
“หน้าตาคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นหน้า”
“พวกคนงานในไร่ของกำนันบุญไงครับหมวด”
ยงยุทธพยักหน้ารับ
“แล้วทำไมถึงได้มาตายอยู่แถวนี้ มีพยานรู้เห็นรึเปล่า”
“มีครับ พยานบอกว่าเห็นนายสัมฤทธิ์กับพวกลูกน้องกำนันพากันไปที่บ้านทรงไทยก่อนที่จะมาเจอศพพวกมันนอนตายอยู่แถวนี้ครับ”
“ที่นั่นบ้านใคร”
“คู่ผัวเมียคนต่างถิ่นที่ขุนเดชเล่าให้ฟังครับหมวด”
ยงยุทธนิ่วหน้าแปลกใจ

วงศ์กับวาสนาถูกเชิญตัวมาให้ปากคำที่สถานีตำรวจ ยงยุทธกับจ่าแท่นเดินมาหาวงศ์กับวาสนาที่นั่งรออยู่
“สวัสดีครับคุณตำรวจ ไม่ทราบว่าผมกับเมียไปทำอะไรผิดเหรอครับ ถึงต้องเชิญผมมาถึงโรงพัก”
“ผมมีเรื่องอยากจะสอบปากคำพวกคุณหน่อย”
“เรื่องอะไรเหรอคะ ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญล่ะก็มันเสียเวลาทำมาหากินของพวกเรานะคะ”
“งั้นช่วยบอกมาหน่อยได้มั้ยว่าพวกคุณทำงานอะไร”
“ผมก็ค้าขายเล็กๆ น้อยๆ พอจะมีเงินจากมรดกบ้าง ผมว่าหมวดอยากรู้อะไรก็ถามตรงๆ เลยดีกว่าไม่ต้องอ้อมค้อม”
“วันนี้เราพบศพถูกหักคอตาย มีพยานบอกว่าเห็นผู้ตายเดินทางไปที่บ้านพวกคุณ”
“ชั้นว่าเข้าใจผิดอะไรแล้วล่ะค่ะ ชั้นกับผัวพักผ่อนอยู่ที่บ้านไม่มีใครแวะไปหาและก็ไม่ได้เจอใครด้วย”
“จริงครับหมวด วันนี้เรายังไม่ได้เจอใครเลย แล้วผมกับเมียก็คงไม่ใช่ผู้ต้องสงสัยของหมวดด้วย เพราะลำพังผมคนเดียวคงจะไปหักคอผู้ชายตัวใหญ่ๆ แบบนั้นไม่ได้แน่”
ยงยุทธนิ่งไปกอดอกมองสองผัวเมียอย่างสงสัย
“ถ้าอย่างนั้นผมก็ต้องขอบคุณพวกคุณมากที่มาให้ปากคำ...เชิญครับ”
“เห็นมั้ย...ทำเสียเวลาจริงๆ”
วงศ์กับวาสนาพากันออกไป ยงยุทธมองตามยังไม่หายสงสัย จ่าแท่นอดบ่นไม่ได้
“ผู้หมวดเชื่อที่สองคนนั่นอ้างเหรอครับ”
“มันก็จริงอย่างที่เขาว่านั่นแหละจ่า...จะจับผู้ชายตัวใหญ่ๆ แบบนั้นหักคอจนหมุนได้รอบแบบนั้นได้ต้องไม่ธรรมดาแน่ และเท่าที่ผมดูยังไงสองคนนั่นก็ทำไม่ได้ด้วย”
“งั้นคงต้องเป็นอย่างที่ขุนเดชสงสัย สองผัวเมียนั่นต้องมีอะไรปิดบังอยู่แน่”
“และคงต้องเกี่ยวข้องกับพวกกำนันบุญด้วย ไม่อย่างนั้นคงไม่ส่งลูกน้องตัวเองให้ไปตายฟรีๆ หรอก”
ยงยุทธหันมาสีหน้าครุ่นคิดสงสัย
อ่านต่อหน้าที่ 3




ขุนเดช ตอนที่ 12 (ต่อ)

วันต่อมายงยุทธกับจ่าแท่นมาหากำนันบุญที่บ้าน
“เชิญครับเชิญ นี่ถ้าผมรู้ก่อนว่าหมวดจะแวะมาจะได้เตรียมข้าวปลาอาหารไว้ต้อนรับ”
“อย่าให้มันมากไปเลยกำนัน...เราเองก็รู้กันดีว่าไม่ได้ชอบหน้ากันซักเท่าไหร่”
กำนันบุญชักสีหน้าที่ถูกยงยุทธยอกย้อนให้เจ็บๆ คันๆ
“หึๆๆ...สมเป็นหมวดยงยุทธที่ตรงเผงอย่างกับไม้บรรทัด งั้นหมวดมีอะไรกับผม”
“ก็เรื่องที่คนงานของกำนันถูกฆ่าตาย มีพยานบอกว่าลูกชายของกำนันอยู่กับพวกนั้นก่อนจะเป็นศพ ผมเลยอยากจะสอบปากคำเขาหน่อย”
“ไอ้เรื่องนั้นน่ะเหรอ...หมวดอยากรู้อะไรถามผมได้ เพราะไอ้สัมฤทธิ์มันไม่อยู่หรอก”
ยงยุทธสงสัย ส่วนกำนันบุญพยายามนิ่งไม่ให้มีพิรุธ

สัมฤทธิ์อยู่ในอาการหลอนเพราะโดนผีนางรำหลอกหลอนจนสติไม่อยู่กับตัว มีอาการตื่นหวาดผวาตัวสั่นตลอดเวลา
“กลัวแล้ว..กลัวแล้ว...อย่าเข้ามา”
“พี่สัมฤทธิ์...ใจเย็นๆ พี่ นี่พวกเราเอง พี่อยู่ที่บ้านแล้ว ไม่ต้องกลัวนะพี่”
“แก...อย่าเข้ามา ชั้นกลัวแล้ว อย่าเข้ามา”
สัมฤทธิ์จะลุกหนีเตลิด แต่ประดับโผล่เข้ามาแล้วใช้มือบีบคอสัมฤทธิ์เอาไว้แรงของประดับเยอะมากเอาอยู่
“แกต้องอยู่ในนี้ จะออกไปให้ไอ้ยงยุทธมันเห็นหน้าไม่ได้”
สัมฤทธิ์หน้าดำหน้าแดง ไอ้นะต้องรีบเข้าไปขอ
“คุณประดับครับ ปล่อยคุณสัมฤทธิ์เถอะครับ”
ประดับจ้องหน้าสัมฤทธิ์ก่อนจะจับผลักกระเด็นไปทางไอ้นะไอ้เน
“จับมันมัดเอาไว้ แล้วปิดปากมันด้วย อย่าให้แหกปากเสียงดัง”
ไอ้นะไอ้เนรีบจัดการตามสั่ง ประดับมองหน้าเหี้ยม

ขณะนั้นกำนันบุญยังคุยอยู่กับยงยุทธ
“ผมให้ลูกชายไปทำธุระให้ที่นครสวรรค์ตั้งแต่วานซืน เพราะฉะนั้นมันคงไม่รู้ไม่เห็นอะไร”
“กำนันจะบอกว่าพยานของเราตาฝาดไปงั้นสิ”
“จ่าก็รู้จักลูกชายผมดี ถ้าไอ้สัมฤทธิ์เห็นใครมาเล่นงานพวกพ้อง มันคงไม่ปล่อยให้โดนจับหักคอแบบนั้นหรอก”
ยงยุทธนิ่งมองกำนันบุญสีหน้าครุ่นคิด จ่าแท่นเข้ามากระซิบ
“เอาไงดีครับหมวด”
“แล้วกำนันรู้จักนายวงศ์กับนางวาสนาที่เพิ่งมาพักที่นี่รึเปล่า”
“เปล่าครับ...ผมไม่เคยได้ยินชื่อเลย”
ยงยุทธมองกำนันบุญนิ่งพยายามจับพิรุธคำพูดของกำนันบุญ สองคนสบตากันอย่างหยั่งเชิง
“หมวดมองผมแบบนี้คิดว่าผมโกหกเหรอครับ”
“ผู้ใหญ่อย่างกำนันคงไม่มีเหตุผลที่จะมาโกหกผมด้วยเรื่องเล็กน้อยแบบนี้หรอก ว่าแต่แผลที่แขนของกำนันไปโดนอะไรมา”
กำนันบุญมองที่แขนตัวเอง
“แผลนี่น่ะเหรอครับ...ผมเข้าไปดูงานในไร่ไม่ทันระวังก็เลยพลาดถูกเครื่องมือเข้า”
“ระวังหน่อยนะครับกำนัน อายุก็มากแล้วเป็นอะไรขึ้นมามันจะไม่คุ้ม ผมลาล่ะ”
“ขอบคุณครับหมวด”
ยงยุทธกับจ่าแท่นเดินออกไป กำนันบุญหรี่ตามองตาม

ยงยุทธเดินมาขึ้นรถจี๊ปที่หน้าบ้านพร้อมกับจ่าแท่น
“มาเสียเที่ยวเลยนะครับหมวด ไม่ได้อะไรเพิ่มเติมเลย”
“ใครว่าล่ะจ่า...ที่กำนันพูดมาทั้งหมดโกหกทุกคำ”
“ยังไงเหรอครับหมวด”
“คนอย่างกำนันบุญไม่มีทางพลาดท่าถูกเครื่องมือในไร่ทำให้ได้รับบาดเจ็บได้หรอก”
“หมวดสงสัยฝีมือคนอื่นเหรอครับ”
“ใช่...ผมว่ากำนันรู้จักนายวงศ์ พวกเขากำลังมีปัญหากันถึงขั้นจ้องเล่นงานกันเลย งานนี้ผมต้องสืบให้รู้ให้ได้”

สัมฤทธิ์ถูกไอ้นะกับไอ้เนจับล็อคตัวเอาไว้ กำนันบุญเข้ามามองลูกชายก่อนจะหยิบเอาขันน้ำมนต์มาบริกรรมคาถา แล้วอมน้ำมนต์พ่นใส่หน้าสัมฤทธิ์ สยบอาการตื่นกลัวจนแน่นิ่งหมดสติอย่างน่าอัศจรรย์
“พาไอ้สัมฤทธิ์ไปพัก”
“ครับกำนัน”
ไอ้นะกับไอ้เนช่วยกันหิ้วปีกสัมฤทธิ์พาออกไป ประดับถามกำนันบุญต่อ
“นี่น่ะเหรอที่กำนันว่าจะจัดการเอารูปปั้นนางรำทองคำมาให้ได้”
“ผมยอมรับว่าประมาทไอ้วงศ์ไปหน่อย นึกว่าสันดานขี้ขลาดอย่างมันจะจัดการได้ง่ายๆ แต่มันทั้งหมาลอบกัดส่งมือปืนมาเล่นงานผม ทั้งใช้ผีนางรำมาช่วยมันไว้”
“งั้นกำนันก็คงต้องหาวิธีอื่นมาจัดการ”
“ผมจัดการแน่ครับคุณประดับ...งานนี้ไอ้วงศ์มันคงต้องเจอกับผมแล้ว”
กำนันบุญจิกหน้าเอาเรื่อง

กลางดึกคืนนั้นยงยุทธกับจ่าแท่นแอบลักลอบเข้ามาที่บริเวณบ้านทรงไทย
“จะเอาอย่างนี้จริงๆ เหรอครับหมวด ผมว่าเอาหมายค้นมาไม่ดีกว่าเหรอครับ” จ่าแท่นถามอย่างไม่สบาย
“ไม่ได้หรอกจ่า...สองผัวเมียนั่นท่าทางจะหัวหมอ เอาเป็นว่าจ่าดูต้นทางให้ผมแล้วกัน ได้เรื่องอะไรแล้วผมจะรีบออกมา”
“ระวังตัวด้วยนะครับหมวด”
ยงยุทธพยักหน้ารับแล้วรีบรุดเข้าไปในบริเวณบ้าน

ยงยุทธแอบเข้ามาบนบ้านอย่างเงียบเชียบและเข้าไปที่ห้องนอนของวงศ์กับวาสนา ประตูแง้มอยู่จึงลองเปิดเข้าไปเบาก็พบว่าสองผัวเมียหลับสนิท ที่หัวเตียงมีพวงกุญแจวางอยู่ ยงยุทธย่องเบาๆ เข้าไปแล้วเอื้อมหยิบกุญแจ แต่วงศ์ขยับตัว ยงยุทธเลยต้องหยุดชะงัก วงศ์หลับต่อไม่รู้สึกตัวเลยได้กุญแจมาในที่สุด
ยงยุทธมายืนอยู่ที่หน้าห้องหนึ่งซึ่งมีกุญแจคล้องเอาไว้แน่นหนา กุญแจที่ได้มาจากห้องนอนวงศ์ใช้สำหรับไขเปิดห้องนี้นั่นเอง ยงยุทธปลดล็อคแล้วก็ผลักประตูเข้าไป รูปปั้นนางรำทองคำอยู่ที่แท่นบูชาสีทองเหลืออร่ามจนยงยุทธอดรู้สึกตะลึงไม่ได้

ขณะนั้นจ่าแท่นเดินไปเดินมารออยู่นอกตัวบ้านอดเป็นห่วงยงยุทธไม่ได้
“หมวดหายเข้าไปนานเกินไปแล้ว...ถ้าโดนจับได้ล่ะก็...เป็นเรื่องแน่..เอาไงดีวะ” จ่าแท่นเริ่มกังวลระหว่างนั้นเองที่รู้สึกเหมือนมีใครอยู่ข้างหลัง จ่าแท่นหันขวับ “หมวดเหรอครับ”
จ่าแท่นหันไปไม่เจอใครแต่รู้สึกว่ามีคนมาอยู่ข้างหลังอีกเลยหันกลับมา
“หมวด...” ไม่เจอใครอีก “ใครวะ...แน่จริงโผล่มาสิเว้ย”
ผีนางรำค่อยๆ โผล่เข้ามายืนข้างหลัง จ่าแท่นเริ่มขนลุกเกรียวค่อยๆ หันกลับไปแล้วตกตะลึงตาค้าง

วันต่อมายงยุทธมาพบกับอาจารย์ประทีปที่แคมป์โบราณคดีเพื่อขอคำปรึกษา
“รูปปั้นทองคำเหรอครับหมวด”
“ครับ...ลักษณะตามที่ผมวาดให้อาจารย์ดูนั่นเลย”
อาจารย์ประทีปหยิบภาพวาดที่ยงยุทธวาดคร่าวๆ ให้ดูแล้วสีหน้าครุ่นคิด ระหว่างนั้นขุนเดชกับดาราเข้ามา
“ถ้าผมจำไม่ผิด นั่นน่าจะเป็นรูปปั้นนางรำทองคำ สมบัติของแม่นางเมืองครับอาจารย์”
“นั่นสิ...ชั้นนึกออกแล้ว ใช่จริงๆ อย่างที่ขุนเดชว่า สมบัติโบราณตามตำนานสุวรรณภูมิ”
“แต่ว่ามันเป็นตำนานเล่ากันปากต่อปากในกลุ่มพวกนักล่าสมบัติโบราณนี่คะอาจารย์”
“แต่ถ้าที่หมวดไปเจอมาเป็นของจริง...ตำนานแม่นางเมืองก็คงไม่ใช่แค่ตำนานแล้วล่ะอาจารย์ดารา”
“ขอโทษครับอาจารย์ จะมีใครอธิบายให้ผมฟังได้บ้างว่าตำนานแม่นางเมืองคืออะไร”
ทุกคนมองมาที่ยงยุทธซึ่งไม่รู้จักอยู่คนเดียว

ขณะนั้นที่บ้านคำปันวงศ์กับวาสนามาหาบัวทองถึงในบ้าน
“อยากจะให้พาไปกราบไหว้พระแม่ย่าเหรอจ๊ะ”
“ใช่จ้ะ...ไม่รู้ว่าจะรบกวนรึเปล่า”
“ไม่หรอกจ้ะ ชั้นเองก็อยากจะพาไปจะได้สมหวังเรื่องมีลูกซักที แต่พอดีว่าพี่ชายชั้นไม่รู้ไปเจอดีที่ไหนมา จับไข้หัวโกร๋นอยู่ที่วัด ชั้นเลยต้องไปดูสักหน่อย” คำปันบอก
“งั้นเดี๋ยวชั้นพาพวกน้าๆ ไปกราบพระแม่ย่าเองก็ได้จ้ะแม่” บัวทองบอก
“น้าเกรงใจบัวทองจังเลย”
“เกรงใจทำไมล่ะจ๊ะน้า กราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องดีนี่จ๊ะ”
“งั้นแม่ฝากเราเป็นธุระหน่อยนะบัวทอง”
“จ้ะแม่”
สองผัวเมียแอบมองหน้ากันแล้วยิ้มอย่างพอใจ

ส่วนที่แคมป์โบราณคดี ยงยุทธได้รู้จักตำนานของรูปปั้นนางรำทองคำแล้ว
“ต้องมีการสังเวยหญิงสาวบริสุทธิ์เพื่อขอให้แม่นางเมืองดลบันดาลให้ได้อย่างที่หวัง น่ะเหรอครับ”
“ใช่ครับหมวด...ตำนานเขาเล่ากันมาอย่างนั้น”
“คนเรานี่ก็แปลก ลำพังมูลค่าทองคำของรูปปั้นก็มากมายมหาศาลแล้ว ยังจะต้องการอะไรกันอีกถึงกับต้องเอาชีวิตคนไปเซ่นสังเวย”
“ความโลภ ความกระหายอำนาจมันทำให้คนใจบาปหยาบช้าทำได้ทุกอย่าง ไม่อย่างนั้นสมบัติของชาติจะถูกลักขโมยจนแทบจะไม่เหลือให้ลูกให้หลานเหรอยงยุทธ”
“ว่าแต่แกไปเจอรูปปั้นนี่ที่ไหน”
“บ้านของนายวงศ์กับนางวาสนาที่แกสงสัยพวกมันอยู่นั่นแหละ” ยงยุทธบอกแล้วหันไปที่อาจารย์ประทีป “ถ้ารูป ปั้นนี่เป็นสมบัติโบราณจริงๆ สองผัวเมียนั่นก็ไม่มีสิทธิ์ครอบครอง ผมจะรีบทำเรื่องเข้าไปตรวจค้นแล้วนำมาให้อาจารย์ศึกษา”
“ขอบคุณมากครับหมวด”
ยงยุทธีบออกไป ขุนเดชมีสีหน้าครุ่นคิดและสังหรณ์ใจไม่ดี

ยงยุทธกำลังจะมาขึ้นรถจี๊ปแต่ขุนเดชตามออกมาเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อนยงยุทธ...ให้ชั้นไปกับแกด้วยดีกว่า”
“แกจะไปทำไม นี่มันหน้าที่ของชั้นแล้ว”
“แต่สมบัตินั่นชั้นว่ามันไม่ธรรมดา ชั้นไม่อยากให้แกประมาท”
“นี่แกคงรู้เรื่องที่จ่าแท่นจับไข้หัวโกร๋นจนต้องโร่ไปหาหลวงลุงแล้วล่ะสิ ชั้นไม่กลัว อาถรรพ์แม่นางเมืองนั่นหรอก ตราตำรวจของชั้นมีความศักดิ์สิทธิ์จะคอยปกป้องรักษาความดีที่ชั้นทำ”
ยงยุทธบอกขุนเดชแล้วขับรถออกไป ขุนเดชมองตามอย่างเป็นห่วง ดาราเข้ามาสมทบ
“เธอไปเตือนอะไรเขาตอนนี้ไม่ได้หรอกขุนเดช”
“ที่ผมเป็นห่วงไม่ใช่แค่เรื่องอาถรรพ์อย่างเดียวหรอกดารา”
“เธอสงสัยอะไรอยู่เหรอ”
“ผมว่ารูปปั้นนางรำทองคำนั่นคือหนึ่งในโลหะโบราณศักดิ์สิทธิ์ที่พวกมันกำลังตามหา”
“ถ้าอย่างนั้นยงยุทธก็เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเผชิญหน้ากับพวก...”
“ไอ้ประดับ”
ขุนเดชหันมาสีหน้าจริงจังแววตาเป็นวีรบุรุษบาป

ที่บ้านกำนันบุญ ประดับถอดชิ้นส่วนปืนออกมาทำความสะอาดระหว่างนั้นกำนันบุญกลับเข้ามา
“ว่าไงกำนัน ไหนล่ะรูปปั้นนางรำทองคำ”
“ไอ้วงศ์มันคงรู้ตัวว่าผมจะบุกไปจัดการมัน มันก็เลยหอบรูปปั้นหนีไปแล้ว”
“งั้นกำนันก็ต้องไปตามมันกลับมา เพราะถ้าไม่ได้รูปปั้นกลับไปทำพิธีท่านเอาเรื่องแน่”
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่าคุณประดับ ผมให้ลูกน้องไปสืบอยู่...ที่นี่เป็นถิ่นผม ยังไงมันก็หนีไปไหนไม่รอดหรอก”
ไม่ทันขาดคำไอ้นะกับไอ้เนก็กลับเข้ามา
“กำนันครับ...กำนัน รู้แล้วครับว่าพวกมันอยู่ที่ไหน”
“พวกมันพานังบัวทองขึ้นไปบนเขามุ่งหน้าไปที่ศาลพระแม่ย่าครับ”
“ถ้าพวกมันคิดจะหนี แล้วพวกมันพาบัวทองไปกับมันด้วยทำไม”
“หึ...ไอ้วงศ์...ไอ้เจ้าเล่ห์ มันคงไปหลอกล่อนังบัวทองคิดจะใช้นังนั่นเป็นเครื่องเซ่นสังเวย แม่นางเมืองขอให้มันหนีรอด...หรือไม่ก็...ขอให้มาจัดการกับพวกเรา”
“ถ้างั้นงานนี้ชั้นคงปล่อยให้กำนันออกโรงคนเดียวไม่ได้แล้ว”
ประดับพูดไปก็หยิบปืนที่พร้อมใช้งานขึ้นมาสีหน้าเอาจริง

ในโบสถ์วัดเกาะน้อย จ่าแท่นกราบพระประธาน
“เป็นไงมั่งพี่จ่าดีขึ้นบ้างรึยัง”
“เจอน้ำมนต์ของหลวงพ่อไปถ้าขืนไม่ดีขึ้นข้าก็แย่น่ะสิวะนังคำปัน”
“พี่นี่ก็...ทำเอาชั้นใจหายใจคว่ำ แล้วนี่อยู่ๆ ไปทำอะไรเข้าถึงได้ไปจับไข้หัวโกร๋นมา”
“อย่าให้ข้าเล่าเลยดีกว่า แค่นึกถึงข้าก็ยังขนลุกขนพองไม่หาย”
“พูดมาซะขนาดนี้ ชั้นยิ่งอยากรู้เข้าไปใหญ่ ไปเจอดีอะไรมาเล่ามาเร็ว”
“ก็ได้...ข้ากับหมวดไปตามสืบที่บ้านของไอ้คู่ผัวเมียที่มาเช่าบ้านอยู่ที่นี่ เพราะสงสัยว่ามันจะเกี่ยวข้องกับคดีที่มีเด็กผู้หญิงฆ่าตัวตายที่ตลาด หมวดเขาคงทำบุญมาดีเลยไม่เจอดี แต่ข้านี่สิ เจอจังๆ...น่ากลัวชะมัด...บรื้ออออ”
“คู่ผัวเมีย? เพิ่งมาอยู่ที่นี่?...ใช่ที่ชื่อวงศ์กับวาสนารึเปล่าพี่จ่า” คำปันถามอย่างสงสัย
“นั่นแหละใช่เลย เอ็งรู้จักมันด้วยเหรอนังคำปัน”
“รู้จักสิพี่จ่า...ก็ชั้นเพิ่งให้บัวทองพาสองคนนั้นขึ้นไปกราบศาลพระแม่ยาบนเขานี่เอง”
“หา...แกว่าไงนะคำปัน” จ่าแท่นถามอย่างตกใจ

ขณะนั้นบัวทองพาวงศ์กับวาสนาเดินมาตามทางเดินขึ้นไปบนเขา
“เหนื่อยกันรึเปล่าจ้ะน้า”
“ไม่เหนื่อยหรอก ว่าแต่อีกไกลรึเปล่า”
“ก็ไม่ไกลเท่าไหร่หรอกจ้ะ น้าหอบอะไรมาด้วยเหรอจ้ะ”
บัวทองมองไปที่วาสนาที่อุ้มรูปปั้นนางรำทองคำแต่ห่อด้วยผ้าเอาไว้ติดตัวมาด้วย
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะบัวทอง ของที่น้าจะเตรียมไปแก้บนน่ะจ้ะ”
“ท่าทางจะหนัก ให้ชั้นช่วยมั้ยจ้ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ บัวทองพาพวกน้าไปต่อเถอะ”
“ได้จ้ะ”
บัวทองเดินนำออกไปสองผัวเมียหันมากระซิบกระซาบกัน
“เจอที่เหมาะๆ เมื่อไหร่ รีบลงมือจัดการมันเลยนะไอ้วงศ์”
“ข้ารู้น่า...แต่ให้เข้าไปให้ลึกกว่านี้อีกหน่อย แถวนี้ยังไม่ปลอดภัย เดี๋ยวพวกมันตามมาแล้วจะยุ่ง...หึๆๆๆ”

คำปันมาบอกขุนเดชที่แคมป์โบราณคดีอย่างเป็นกังวล
“บัวทองน่ะเหรอไปกับไอ้สองคนนั่น”
“ใช้จ้ะขุนเดช น้านึกว่าเขาจะเป็นคนดี แต่เพิ่งรู้จากพี่จ่าว่าสองคนนั้นไม่น่าไว้ใจ น้าเป็นห่วงบัวทอง ถ้าเกิดพวกมันทำร้ายบัวทองขึ้นมา...”
คำปันหน้าเสียเป็นกังวลมากดารารีบเข้าไปไปกุมมือปลอบใจ
“ไม่ต้องห่วงนะจ๊ะน้า จ่ารีบไปบอกยงยุทธให้รู้แล้ว ส่วนชั้นกับขุนเดชก็จะตามช่วยอีกแรง บัวทองจะต้องไม่เป็นอะไรแน่”
“คุณพาน้าคำปันกลับไปรอที่บ้านเถอะดารา...ผมรีบไปตอนนี้จะเร็วกว่า”
“ขุนเดช”
ขุนเดชพยักหน้าให้ ดาราเข้าใจว่าการไปของเขาจะไม่ได้ไปอย่างขุนเดช
“ก็ได้...งั้นเธอต้องระวังตัวด้วยนะ”
ขุนเดชพยักหน้ารับแล้วรีบออกไป ดารามองตามอย่างเป็นห่วง

ขุนเดชกลับมาที่กระท่อม ขุนเดชเข้ามาเอาดาบดำของวีรบุรุษบาปพร้อมที่จะออกไปจัดการกับพวกคนใจบาป ดาบดำค่อยๆ ถูกชักออกจากฝักช้าๆ เผยให้เห็นความคมกริบและความศรัทธา
“สาธุ...ข้าน้อยนี้ขอเคารพนพไหว้ พระไตรรัตน์ดวงประเสริฐ พระสยามเทวาธราช พระมหาราชแต่อดีตจนปัจจุบัน ไหว้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวงทั้งสิ้น ไหว้พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ผู้มีพระคุณ ข้าน้อยนามขุนเดช ไหว้แผ่นดินพระร่วงเจ้า”
ดาบดำถูกชักออกจากฝักจนหมด...แววตาของขุนเดชเปลี่ยนเป็นดุดันน่ากลัวเป็นแววตาของวีรบุรุษบาป
จบตอน 26

ขุนเดช ตอน 27.1
บัวทองพาวงศ์กับวาสนาเดินมาตามทางเดินในป่า
“อีกนิดเดียวก็จะถึงแล้วนะจ๊ะน้า”
บัวทองหันมามองสองผัวเมีย วงศ์มองไปรอบๆ เห็นว่าแถวนี้ค่อนข้างลับตาคนเลยพยักหน้าให้วาสนาทำแผน
“โอ๊ย”
“เป็นอะไรเหรอจ๊ะน้า”
“ไม่รู้มีตัวอะไรมากัดเท้า เจ็บจัง งูรึเปล่าก็ไม่รู้”
“ไหน...ขอชั้นดูหน่อยสิจ๊ะ” บัวทองก้มลงช่วยดูเท้าให้วาสนา วงศ์ได้โอกาสเลยเข้าไปรวบตัวบัวทองจากข้าง
หลัง “นี่น้าจะทำอะไรชั้นน่ะ...ปล่อยนะ” บัวทองถามอย่างตกใจ
“อยู่เฉยๆ เถอะบัวทอง อีกเดี๋ยวแกก็จะได้ไปสบายแล้ว”
บัวทองอึ้งตกใจหน้าเสีย วงศ์ยิ้มร้ายแล้วเอาผ้ามาอุดปากบัวทองเอาไว้ บัวทองพยายามดิ้นสู้แต่เจอยาสลบเข้าไปก็แน่นิ่ง

ประดับกับกำนันบุญพร้อมลูกน้องลัดเลาะมาตามทางในป่าทั้งหมดมีอาวุธครบมือ
“ชั้นว่าไอ้วงศ์มันต้องไปทางนี้แน่”
“แต่ทางไปศาลพระแม่ย่าไปทางนั้นไม่ใช่เหรอกำนัน”
“ไอ้วงศ์มันก็แค่ออกอุบายหลอกบัวทองให้หลงกล ป่านนี้มันคงเล่นงานบัวทองแล้วก็เตรียมใช้เป็นเครื่องเซ่นแม่นางเมืองแล้ว”
กำนันบุญได้ยินเสียงคนเดินมา
“ทุกคนเงียบก่อน” กำนันบุญเดินไปดูที่หลังพุ่มไม้เห็นยงยุทธกับจ่าแท่นพร้อมกับตำรวจอีกสองสามนายเดินป่าเข้ามา “ไอ้หมวดยงยุทธครับคุณประดับ”
“พวกมันคงรู้แล้วว่าบัวทองถูกลักพาตัว แส่ไม่เข้าเรื่องอีกแล้วไอ้ยงยุทธ เอาอย่างนี้ กำนันตามไปเอารูปปั้นนางรำทองคำมาให้ได้ ส่วนไอ้ยงยุทธ ชั้นจะถ่วงเวลามันเอง”
“ครับคุณประดับ”
กำนันบุญพาไอ้นะกับไอ้เนออกไปอย่างเงียบๆ ประดับมองตามยงยุทธแล้วยิ้มร้าย

บัวทองรู้สึกตัวปรือตาขึ้นมาพบว่าถูกจับแต่งตัวเป็นนางรำมัดติดอยู่กับเสาไม้ที่มีฉากหลักเป็นโบราณสถานร้าง
วาสนาจัดเตรียมพานดอกไม้ธูปเทียนหน้ารูปปั้นนางรำทองคำไปตั้งไว้ที่แท่นหินดูขลังน่ากลัว
“ช่วยด้วย...ใครก็ได้ช่วยชั้นที..ช่วยด้วย”
“จัดการหุบปากมันทีสิไอ้วงศ์ ชั้นยังเตรียมพิธีไม่เสร็จเสียสมาธิหมด”
“หยุดร้องตะโกนโหวกเหวกได้แล้ว แถวนี้ไม่มีใครได้ยินแกหรอก”
“พวกแกจะทำอะไรชั้น...ปล่อยชั้นไปนะ...บอกให้ปล่อย...ไอ้ชั่ว ไอ้เลว..ปล่อยชั้น”
“โว้ย...บอกว่าหนวกหู เดี๋ยวก็ตบเลือดกบปากซะเลยนี่”
“อย่านะไอ้วงศ์...อย่าทำให้หน้าสวยๆ ของมันมีริ้วรอยเด็ดขาดเดี๋ยวแม่นางเมืองไม่พอใจ เครื่องเซ่นขึ้นมาเสียเวลาต้องไปหาของใหม่อีก”
“เครื่องเซ่นแม่นางเมือง...” บัวทองมองไปที่รูปปั้นนางรำทองคำ “หมายความว่ายังไง”
“หึ...ชีวิตแกกำลังจะเป็นของแม่นางเมืองไง...ไอ้วงศ์แก้มัดแล้วให้มันรำถวาย”
วงศ์พยักหน้ารับแล้วแก้มัดเชือกที่มือให้ พร้อมกับเอาปืนจี้บัวทองไว้
“อย่าได้คิดหนีเชียวบัวทอง ตายเพราะลูกปืนมันทั้งเจ็บทั้งทรมาน แต่ตายเพราะได้เป็นเครื่องเซ่นให้แม่นางเมืองถือว่าเป็นโชคดีของเอ็งที่จะได้ไปรับใช้ท่าน...รำ” วงศ์สั่ง แต่บัวทองไม่ยอมรำจ้องพวกมันเขม็งวงศ์เลยยกปืนขึ้นเล็งไปที่หน้า “อย่าให้ต้องพูดมาก…รำสิเว้ย”
บัวทองถูกขู่บังคับเลยจำต้องยอมยกแขนขึ้นตั้งวงรำอย่างไม่เต็มใจ วาสนาเข้าไปที่หน้ารูปปั้นแล้วพนมมือ บริกรรมคาถาขมุบขมิบ ลมเริ่มกรรโชกเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

วีรบุรุษบาปตามรอยเข้ามาใกล้จะถึงที่ๆ บัวทองถูกจับตัวไปและกำลังจะตามไปต่อแต่เจอพวกกำนันบุญกับลูกน้องโผล่เข้ามาจากข้างหลัง
“ไอ้วีรบุรุษบาป นึกอยู่แล้วเชียวว่าถ้าไอ้ยงยุทธขึ้นมาบนนี้ แกต้องโผล่หัวมาแน่”
“ถ้าเป็นเรื่องชั่วๆ ของพวกคนบาปหยาบช้า พวกแรกที่ชั้นจะนึกถึงก็คือพวกแกเหมือนกัน”
“หึ...แต่น่าเสียดายว่ะที่วันนี้แกโผล่มาจังหวะไม่ดี ชั้นไม่มีเวลามายุ่งกับแกซะด้วย”
กำนันบุญจะเดินออกไป วีรบุรุษบาปชักดาบดำขยับจะไปขวางแต่ถูกไอ้นะยิงปืนขู่...เปรี้ยง
“กำนันไม่ว่าง...แต่พวกข้าว่างอยู่เว้ย”
ไอ้นะกับไอ้เนเล็งปืนไปทีวีรบุรุษบาปแล้วลั่นไก...เปรี้ยง ๆๆๆ วีรบุรุษบาปรีบกระโจนหลบ

ยงยุทธได้ยินเสียงปืนดังมาจากในป่า
“สงสัยจะไม่ได้มีแต่พวกเราที่ขึ้นมาบนนี้ซะแล้วจ่า”
“หรือว่าจะเป็นพวก...”
เปรี้ยง...จ่าแท่นยังไม่ทันพูดจบเสียงปืนก็ดังขึ้น ยงยุทธกับจ่าแท่นรีบกระโจนหลบแล้วยิงตอบโต้ ยงยุทธเห็นประดับอยู่กับเบิ้มที่เป็นฝ่ายเปิดฉากยิงใส่
“ไอ้ประดับ” ประดับปล่อยให้เบิ้มยิงต่อสู้รับมือพวกจ่าแท่นส่วนตัวเองแยกไปอีกทาง “จ่า…จัดการทางนี้ด้วยนะ”
ยงยุทธสั่งแล้วรีบออกไป จ่าแท่นเป็นห่วง
“หมวดครับ…หมวด”
จ่าแท่นจะตามแต่โดนเบิ้มยิงดักไว้ จ่ารีบหมอบแล้วยิงตอบโต้

บัวทองถูกปืนจ่อขู่บังคับให้รำ
“รำสวยๆ สิวะบัวทอง…ให้สมกับที่เราเลือกแกเป็นเครื่องเซ่นของโปรดให้แม่นางเมืองหน่อย ฮ่าๆๆๆ”
บัวทองหน้าเสียจำเป็นต้องรำไปตามคำสั่ง ระหว่างนั้นลมที่กรรโชกรอบๆ ตัวสงบนิ่ง บัวทองชะงักสงสัย
“แม่นางเมืองกำลังมาแล้ว” วาสนาบอก
“แล้วแกขอท่านอย่างที่ข้าสั่งรึเปล่า”
“ทุกคำพูดเลยไอ้วงศ์”
“ดีมากเมียรัก...ทีนี้ล่ะ ไอ้กำนันกับพวกมันได้เสร็จข้าแน่...ฮ่าๆๆๆ”
วงศ์หัวเราะชอบใจ บัวทองได้โอกาสตอนมันกำลังเผลอใช้การต่อสู้ประชิดตัวที่ขุนเดชเคยสอนไว้เข้าเล่นงานจับบิดข้อมือและแย่งปืนจากวงศ์มาได้
“เสร็จชั้นล่ะไอ้พวกเลว”
“ต๊ายตายนังบัวทอง คิดว่าแย่งปืนเราไปแล้วแกจะหนีพ้นจากแม่นางเมืองงั้นเหรอ”
“พวกแกมันบ้า ชั้นไม่รู้ว่าแม่นางเมืองของพวกแกคืออะไร แต่ถ้าปืนอยู่ในมือชั้น หน้าไหนชั้นก็ไม่กลัว”
วงศ์กับวาสนาพากันหัวเราะชอบใจ บัวทองแปลกใจที่พวกมันไม่กลัวปืน ทันใดนั้นเสียงดนตรีไทยดังก้องผสมกับเสียงหัวเราะแหลมน่าขนลุก บัวทองรู้สึกเสียวสันหลังจึงหันขวับไปเจอผีนางรำตาถมึงถึงจ้องเธอ
“แกเป็นใคร…อย่าเข้ามานะ”
“สายไปแล้วล่ะบัวทอง…ตอนนี้แกคือเครื่องเซ่นของแม่นางเมืองแล้ว แกตายเมื่อไหร่สิ่งที่ข้าขอไปก็จะสมหวังทุกประการ…ฮ่าๆๆๆ”
ผีนางรำขยับเข้าใกล้อีก บัวทองยกปืนขู่เอาจริง
“อย่าเข้ามา…ชั้นยิงจริงๆนะ…บอกว่าอย่าเข้ามา”
บัวทองจำเป็นต้องลั่นไกใส่..เปรี้ยงๆๆๆ สิ้นเสียงปืนผีนางรำหายไป บัวทองนึกว่าจัดการได้แต่กลับผงะตกใจ กว่าเดิมเมื่อผีนางรำโผล่มายืนข้างหลังแสยะยิ้มน่ากลัว
“แกหนีไม่พ้นแล้วบัวทอง…ชีวิตแกคือเครื่องสังเวยให้แม่นางเมือง”
ผีนางรำยื่นมือจะมาบีบคอ บัวทองรีบปัดแล้วถอยหนีไปพร้อมกับปืนของวงศ์ สองผัวเมียหัวเราะชอบใจ
อ่านต่อหน้าที่ 4




ขุนเดช ตอนที่ 12

บัวทองวิ่งหนีมาตามทางในป่า เสียงหัวเราะแหลมชวนขนลุกไล่ตามไปตลอดทางจนบัวทองล้มลุกคลุกคลาน
“ช่วยด้วย…ช่วยด้วย”
บังทองพยายามยิงไปรอบๆ..เปรี้ยงๆๆๆ แต่กระสุนปืนก็ช่วยอะไรบัวทองไม่ได้

อีกด้านหนึ่งของป่า ไอ้นะกับไอ้เนถือปืนไล่ตามวีรบุรุษบาปเข้ามาแต่โดนวีรบุรุษบาปกระโจนลงมาจากต้นไม้เล่นงานอย่างรวดเร็ว ไอ้เนพลาดท่าปืนหลุดมือ ไอ้นะจะยิงใส่แต่วีรบุรุษบาปจับไอ้เนเหวี่ยงไปโดนจนปืนหลุดมือไปอีกคน
วีรบุรุษบาปเตะปืนพวกมันทิ้งแล้วเปิดฉากต่อสู้ด้วยมือเปล่า แลกหมัดกันหนักหน่วงแต่สุดท้ายไอ้นะก็เจอจระเข้ฟาดหางกระเด็นเลือดกบปาก ไอ้เนเจ็บใจจะคลานไปหยิบปืนที่พื้นแต่เจอขุนเดชชักดาบดำออกมา
“ฟ้า...ดิน...เป็นพยาน...”
ไอ้เนหน้าเสียเมื่อรู้ว่าวีรบุรุษบาปกำลังจะตัดสินประหารมันรีบโกยอ้าววิ่งหนีเอาตีวรอด
“ไอ้...ไอ้เน...รอ...รอกูด้วย”
ไอ้นะเองก็กลัวตายรีบหนีเอาตัวรอดตามไปติดๆ ขุนเดชมองตามสายตากร้าวแข็งจะตามไปแต่เสียงกรีดร้องของบัวทองดังลั่นเข้ามา
“กรี๊ดดดดด”
“บัวทอง”

บัวทองล้มกับพื้นเพราะถูกผีนางรำตามหลอกหลอนจนตกอยู่ในอาการหวาดผวาอย่างหนัก
“ออกไป...อย่าเข้ามา...ออกไป”
บัวทองพยายามปัดป่าย ปืนในมือกวัดไกวแต่ผีนางรำก็ยังตามหลอกหลอนอยู่ใกล้ๆ ตัว บัวทองถอยหนีไปจนหลังชนต้นไม้ ผีนางรำค่อยๆ ร่ายรำเข้ามาใกล้แล้วยื่นหน้าประชิดจนหน้าแทบจะชนหน้า ใบหน้าอันน่ากลัวจ้องบัวทองเขม็ง บัวทองเหวอตาตั้งร้องเสียงดัง…กรี๊ดดดดดดดดด

ยงยุทธวิ่งไล่ตามประดับเข้ามาอีกบริเวณหนึ่งของป่า เสียงกรี๊ดของบัวทองที่ดังไปก้องป่าทำให้ยงยุทธชะงัก
“บัวทอง”
ยงยุทธจะรีบวิ่งไปตามเสียงแต่กลับถูกประดับโผล่เข้ามาแล้วถีบกระเด็นจนกลิ้ง
“ไอ้ประดับ พวกแกทำอะไรบัวทอง”
“อะไรกันยงยุทธ บัวทองถูกคนอื่นลักพาตัวไปทำไมต้องมาโยนความผิดให้พวกเราด้วย”
“เพราะเรื่องเลวๆ มีแต่พวกแกเท่านั้นแหละที่ทำได้”
“งั้นแกก็เข้าใจผิดแล้ว...ครั้งนี้พวกชั้นต่างหากที่กำลังมาช่วยบัวทอง” ยงยุทธมองประดับด้วยสีหน้าสงสัย “
หึ...ชั้นไม่อยากจะเสียเวลาสู้กับแก เพราะฉะนั้นอย่ามาขวางทาง...กลับไปซะ ไว้ชั้นช่วยบัวทองได้แล้วจะพาไปส่งให้ถึงบ้านเลย”
“หน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยเป็นหน้าที่ของชั้น...แกต่างหากที่ควรจะไปให้พ้นหน้า”
ยงยุทธจะเดินไปแต่ประดับตั้งการ์ดขวาง
“ชั้นเตือนแกแล้วนะยงยุทธ อย่าทำให้เรื่องง่ายๆ กลายเป็นเรื่องยุ่งยากมากกว่านี้เลย”
ยงยุทธจ้องเขม็งเอาเรื่อง ประดับเลยปรี่เข้าไปแลกหมัดกับยงยุทธ สองคนซัดกันนัว งัดเชิงมวยใส่กันเต็มที่

บัวทองแน่นิ่งสลบอยู่ที่พื้นอยู่ๆ ก็ลืมตาโพล่งขึ้นมา ดวงตาแข็งกร้าวเพราะถูกสิงสู่โดยผีนางรำ มือก็คว้าปืนขึ้นมามองแล้วจ่อที่ใต้คางเตรียมลั่นไก จังหวะนั้นวีรบุรุษบาปรีบวิ่งเข้ามาเห็นบัวทองกำลังจะยิงตัวตาย
“อย่า...บัวทอง” ขุนเดชรีบวิ่งเข้าไปห้ามทันพอดี แย่งปืนออกจากมือบัวทองแล้วโยนทิ้งแล้วเรียกสติ “บัวทอง...บัวทอง...บัวทอง”
บัวทองไม่รู้สึกตัวแน่นิ่งไปแล้ว ขุนเดชถอดหมวกเอาผ้าขาวม้าพันหน้าออก ระหว่างนั้นผีนางรำโผล่เข้ามายืนจ้องขุนเดชเขม็ง ดวงตาน่ากลัว
“ชั้นไม่ยอมให้บัวทองเป็นเครื่องเซ่นของแก...บัวทองจะต้องไม่ตาย”
ขุนเดชชักดาบดำแล้วปรี่เข้าไปฟันใส่แต่ผีนางรำหายวับแล้วไปโผล่อีกมุมหนึ่งมันแสยะยิ้มใส่อย่างน่ากลัวปน เสียงหัวเราะแหลมชวนขนลุก ขุนเดชได้แต่ตั้งท่าเชิงดาบหน้าเครียดเพราะไม่ได้สู้กับคนแต่กำลังสู้กับอาถรรพ์

วงศ์กับวาสนาอุ้มรูปปั้นนางรำทองคำเดินมาตามทางอย่างสบายใจ
“ป่านนี้นังบัวทองมันคงเสร็จแม่นางเมืองไปแล้ว ทีนี้ล่ะไอ้กำนันบุญมันจะได้เจอฤทธิ์เดชของแม่นางเมืองจนไม่กล้าตามรังควาญข้าอีก”
“ถ้าไม่มีใครตามรังควาญเราอีกแล้วก็ดี ข้าอยากจะกลับไปเข้าเมืองไปหาความสุขเต็มที”
“แน่ใจเหรอว่าพวกเอ็งจะได้ออกไปจากที่นี่”
วงศ์กับวาสนาชะงักหันไปเห็นกำนันบุญยืนมองอย่างร้ายกาจ
“ไอ้กำนัน”
“ไอ้วงศ์ ก็เราขอให้แม่นางเมืองจัดการกับมันแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมมันยังโผล่มาได้อีก”
“อาจจะมีคนไปช่วยนังบัวทองไว้”
“โธ่เว้ย...แล้วทีนี้จะเอายังไงดี...มันไม่ไว้ชีวิตเราแน่”
“จะเอายังไง...ก็หนีสิวะ”
วงศ์ผลักวาสนาไปขวางกำนันบุญไว้แล้วอุ้มรูปปั้นนางรำทองคำวิ่งหนีเอาตัวรอด
“เอ่อ...กำนัน...ชั้น...ชั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลยนะจ๊ะ ปล่อยชั้นไปเถอะนะ”
กำนันบุญจ้องหน้าวาสนาอย่างเอาเรื่องแล้วชกเข้าที่ท้องน้อยทีเดียววาสนาจุกสลบเหมือด
“ไอ้วงศ์...คราวนี้มึงหนีกูไม่รอดแน่”
กำนันบุญไล่ตามวงศ์ไป ทิ้งวาสนาให้นอนสลบอยู่ที่พื้น

ขุนเดชจรดๆ จ้องกับผีนางรำที่จ้องขุนเดชตาเขม็ง เมื่อใช้ดาบฟันผีนางรำก็หายวับไปอีก จนครั้งนี้หายไปครู่ใหญ่ และขุนเดชรู้สึกว่ามีคนยืนอยู่ข้างหลัง จึงหันขวับไปเห็นเป็นบัวทองยืนจ้องหน้าแล้วปรี่เข้ามาใช้มือบีบคอขุนเดชอย่างแรง
“บัวทอง...ปล่อยพี่..บัวทอง...ปล่อย...ปล่อย”
ขุนเดชหน้าดำหน้าแดงเพราะเรี่ยวแรงของบัวทองที่ถูกผีนางรำสิงมันมากมายมหาศาล ในที่สุดขุนเดชเลยต้อง ตัดสินใจออกแรงเต็มที่จับมือบัวทองออกจากคอแล้วชกเข้าที่ท้องน้อยอย่างแรง บัวทองผงะถอยเพราะแรงชกของขุนเดช แต่ผีนางรำยังไม่ยอมออกไปจากร่าง
“บัวทองไม่ใช่เครื่องเซ่นของแก...ชั้นไม่ยอมให้แกได้บัวทองไปเด็ดขาด” ขุนเดชยกดาบดำขึ้นมาพนมมือไหว้ “ถ้าแกไม่เกรงกลัวชั้น แกก็ควรจะต้องกลัวดาบดำของชั้น...ทั้งวิญญาณของบรรพชน ทั้งวิญญาณของทหารของพระร่วงที่หลั่งเลือดปกป้องคนดี พวกเขาจะลากแกลงนรก” ขุนเดชแววตาดุดันจริงจังแล้วควงดาบดำด้วยท่าไม้ตาย “ฟ้า...ดิน...เป็นพยาน...เพลงดาบเดือนดับ”
ขุนเดชควงเพลงดาบเดือนดับเข้าไปฟันไปที่บัวทองทันที...ฉับ เสียงกรีดร้องอย่างโหยหวนดังก้องไปทั่ว
คมดาบดำหยุด...กึก ที่คอของบัวทองชนิดคมดาบสัมผัสผิวเนื้อเลือดซิบๆ ผีนางรำเกรงกลัวต่อดาบดำรีบเผ่นออกจากร่างบัวทองทันที บัวทองร่วงหมดสติ ขุนเดชรีบประคองเอาไว้ในอ้อมแขน
“บัวทอง”

ขณะนั้นวงศ์อุ้มรูปปั้นนางรำทองคำวิ่งหนีมาจนเหนื่อยหอบ
“ช่วยข้าด้วยเถอะแม่นางเมือง ถ้าไอ้กำนันมันเจอข้า มันไม่ปล่อยข้าไว้แน่ แล้วข้าจะหาเครื่องเซ่นดีๆ มาให้ท่านอีก”
“สงสัยว่าแม่นางเมืองจะไม่ชอบขี้หน้าเอ็งซะแล้วมั้งไอ้วงศ์”
“ไอ้กำนัน”
กำนันบุญเข้าไปกระชากวงศ์ขึ้นมาชกเข้าหน้าจนเลือดกบปาก วงศ์พนมมือไหว้ขอร้อง
“ไอ้กำนัน…ยกโทษให้ข้าด้วย…ข้าผิดไปแล้ว เห็นแก่ความเป็นเพื่อนเก่าของเราเถอะ ข้ายกรูปปั้นนางรำทองคำให้ เอ็งอยากได้ก็เอาไปเลย”
“ลำพังรูปปั้นทองคำ ใช้หนี้ที่เอ็งติดข้าอยู่ไม่พอหรอกเว้ย”
“แต่แม่นางเมืองบันดาลได้ทุกอย่างตามที่เอ็งต้องการ มันมากกว่าหนี้ที่ข้าติดเอ็งอยู่อีก”
“ได้อย่างที่ขอมันง่ายเกินไปเว้ย สำหรับข้าของบางอย่างมันต้องลงมือทำเองมันถึงจะสะใจกว่า”
“แกหมายความว่าไง”
กำนันบุญยิ้มร้ายๆ แล้วจิกหัววงศ์ขึ้นมาชกหน้าแรงๆ ทีเดียววงศ์สลบเหมือด

ยงยุทธกับประดับแลกหมัดกันซัดกันนัว ฝีมือทั้งคู่สูสีกินกันไม่ลง ยงยุทธเลยงัดไม้ตายขึ้นมา
“หมัดฟ้าฟาด”
ยงยุทธกระโจนตัวลอยง้างหมัดแล้วซัดเข้าหน้าประดับอย่างแรง ประดับเซถลาได้รับบาดเจ็บ ยงยุทธตามด้วย เชิงมวยอีก สารพัดจนประดับโงนเงน แต่เบิ้มโผล่เข้ามายิงใส่ กระสุนเฉี่ยวหัวไปโดนต้นไม้ ยงยุทธต้องรีบหลบ
เบิ้มรีบเข้าไปช่วยพยุงประดับแล้วพาหนีโดยยิงใส่ยงยุทธไม่ให้ตามไปได้
“โธ่เว้ย”

ดารากับคำปันรออยู่ที่บริเวณวัดด้วยใจร้อนรนครู่หนึ่งขุนเดชก็อุ้มบัวทองเข้ามา
“บัวทอง เกิดอะไรขึ้นกับบัวทองน่ะขุนเดช”
ขุนเดชหน้าเครียดหันไปมองที่หน้าวัดเห็นผีนางรำยังตามมายืนจ้องบัวทองไม่ยอมไปไหน
“ขุนเดช...บัวทองเป็นอะไรไป”
“มันต้องการเอาชีวิตบัวทองไปอยู่ด้วย ต้องรีบพาไปให้หลวงลุงช่วยก่อนครับน้า ไม่อย่างนั้นบัวทองไม่รอดแน่”
“หลวงลุงอยู่ที่โบสถ์ รีบพาไปเถอะขุนเดช”
ขุนเดชรีบพาบัวทองมุ่งหน้าไปโบสถ์ คำปันหน้าเสียเป็นห่วงลูกสาว ดาราหันไปที่ทางเข้าวัดแล้วตกใจเมื่อเห็น
ผีนางรำยืนจ้องหน้าตาน่ากลัวกรอกตามองตาม

ภายในโบสถ์บัวทองนอนราบ หลวงลุงสวดมนต์แล้วพรมร้ำมนต์ให้ เสียงกรีดร้องดังโหยหวนไปทั่วทั้งวัด ทำเอาคำปันกับดาราตกใจก่อนจะเงียบสงบ
“เป็นยังไงบ้างคะหลวงลุง...ช่วยบัวทองได้รึเปล่าคะ”
“ข้าขอบิณฑบาตเขาแล้ว ต่างคนต่างอยู่ เขาจะไม่มายุ่งกับบัวทองอีก”
“บัวทอง...ขอบคุณค่ะหลวงลุง”
คำปันบอกอย่างดีใจแล้วเข้าไปกอดบัวทองที่ยังนอนหมดสติ ดาราเห็นแล้วโล่งอกหันไปมองขุนเดช

ส่วนในป่า วาสนาที่นอนหมดสติเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา
“อู้ยยยย...เจ็บชะมัด ไอ้วงศ์ ไอ้ผัวชั่ว ไอ้สารเลว พอเข้าตาจน มึงก็ทิ้งกู อย่าให้กูเจอมึงอีกนะ กูจะฆ่ามึง”
วาสนาบ่นไปเจ็บไประหว่างนั้นได้ยินเสียงคนเข้ามาพอหันไปเห็นยงยุทธเข้ามาสำรวจพื้นที่เลยรีบหาที่หลบ ยงยุทธมองไปรอบๆ จนเกือบจะเจอวาสนาที่หลบอยู่แต่จ่าแท่นเข้ามาพอดี
“หมวดครับ”
“ว่าไงจ่า...เจออะไรบ้างมั้ย”
“พวกมันไปกันหมดแล้วครับ ไม่เจอใครเหลืออยู่ที่นี่เลย”
“แล้วบัวทองล่ะ”
“ปลอดภัยแล้วครับ ตอนนี้คำปันกำลังดูแลอยู่”
“สองผัวเมียนั่นโดนพวกไอ้ประดับตามล่า เพราะฉะนั้นมันไม่น่าจะหนีรอดไปได้ง่ายๆ มันคงหาที่หลบซ่อนอยู่ที่นี่แน่”
“ในป่านี่น่ะเหรอครับหมวด...โอ้ย...ถ้าพวกมันคิดจะหาที่ซ่อนอยู่ในป่านี้ล่ะก็..พวกมันคิดผิดแล้ว ตกกลางคืนปุ๊บขนาดพรานเก่งๆ ยังหลงทางได้เลย”
วาสนาซึ่งแอบฟังอยู่แล้วหน้าเครียด ยงยุทธรู้สึกผิดสังเกตหันขวับ
“ใครอยู่ตรงนั้น”
ยงยุทธกับจ่าแท่นรีบเข้าไปแหวกต้นไม้ดูแต่ไม่เจอใคร

วาสนาวิ่งหนีตำรวจล้มลุกคลุกคลานไปตามทางในป่า พอลุกขึ้นได้ก็พบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางต้นไม้ ที่ล้อมรอบตัวดูเหมือนกันหมดไม่รู้เหนือรู้ใต้ ทันใดนั้นเสียงหัวเราะแหลมน่ากลัวชวนขนลุกดังก้องไปทั่ว เลยยิ่งตกใจกลัวได้แต่วิ่งหนีเตลิดลึกเข้าไปในป่าอีก

วงศ์ถูกจับมัดติดอยู่กับต้นไม้ ไอ้นะเอาน้ำในกระติกสาดเข้าหน้า วงศ์สะดุ้งรู้สึกตัว
“เป็นไงไอ้วงศ์ หลับสบายมั้ย”
“กำนัน ปล่อยชั้นไปเถอะ ชั้นขอร้องล่ะ”
“เอ็งยังใช้หนี้ข้าไม่หมด…แล้วข้าจะปล่อยเอ็งไปได้ยังไง”
“ชั้นพอจะมีเงินนะกำนัน…ชั้นแอบซุกเอาไว้ที่บ้าน ให้ชั้นกลับไปเอานะ แล้วชั้นจะได้ใช้หนี้กำนันให้หมด”
“เอ็งคิดว่าคนอย่างข้าอยากได้เงินเอ็งเหรอไงวะ หึๆๆ เงินทองข้ามีเหลือเฟือแล้วโว้ย”
“งั้นกำนันอยากให้ชั้นใช้หนี้ด้วยอะไร...บอกชั้นมาสิ”
“เอ็งจำได้ใช่มั้ยว่าสิบกว่าปีก่อนเอ็งเป็นคนชวนข้าให้ไปตามหาสมบัติแม่นางเมือง จนข้าเกือบจะต้องหิวตายอยู่ในป่า”
“จะ...จำได้”
“งั้นเอ็งก็คงจำได้ด้วยว่าข้ารอดมาได้เพราะเนื้อชะนีแม่ลูกอ่อน”
“จ้ะ…ตอนนั้นชั้นเตือนกำนันว่าอย่าไปยิงมันเพราะเมียกำนันกำลังท้องอยู่ เดี๋ยววิญญาณมันจะตามอาฆาต”
“เตือนเหรอ…ถ้าเอ็งไม่หลอกพาข้าไปทำให้ข้าต้องยิงชะนีแม่ลูกอ่อน ลูกสาวข้าก็คงไม่คลอดออกมาเป็นเด็กปัญญาอ่อน เป็นภาระให้ข้าต้องมานั่งเลี้ยงดูมัน…เพราะฉะนั้นเอ็งต้องรับผิดชอบ ข้าจะทรมานเอ็งให้สมกับที่ข้าต้องอยู่กับเด็กปัญญาอ่อนมาเป็นสิบปี”
กำนันบุญเข้าไปจับวงศ์มาบีบปากให้เปิดออกแล้วรับเอาขวดน้ำมันก๊าดจากไอ้เนมากรอกใส่ปากวงศ์ วงศ์ดิ้นพราดๆ แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะถูกจับมัดติดกับต้นไม้ให้กำนันบุญทรมานอย่างบ้าเลือด

อีกด้านหนึ่งไม่ไกลจากจุดที่กำนันบุญทรมานวงศ์ ประดับดึงขวดเหล้าจากมือเบิ้มมากระดกพรวดๆๆ ดับความเจ็บของบาดแผลที่ต่อสู้กับยงยุทธโดยให้ผกาช่วยทำแผลให้
“ชั้นได้ยินมาว่าเธอถูกไอ้หมวดยงยุทธเล่นงาน ถึงเราจะได้รูปปั้นนางรำทองคำมาแล้วก็เถอะ ชั้นเป็นห่วงเธอนะถึงต้องรีบตามมา เพราะถ้าเธอเป็นอะไรไปมันจะไม่คุ้มเจ็บนะประดับ”
ประดับข่มความเจ็บ แววตามีแต่ความโกรธแค้น
“ไอ้ยงยุทธ…อีกไม่นานหรอก…ถึงเวลาที่ข้าได้เป็นสัตตะโลหะบุรุษเมื่อไหร่ คนแรกที่ข้าจะลากตัวมาตัดหัวแล้วเอามาเตะเล่นก็คือ…แก”
“รูปปั้นนางรำทองคำเป็นโลหะศักดิ์สิทธิ์โบราณชิ้นที่ 5 แล้ว เหลืออีกเพียงแค่ 2 ชิ้นก็จะ ครบ 7 อย่าง อีกไม่นานเธอก็จะได้สมหวัง ว่าแต่อาถรรพ์ของแม่นางเมืองก็น่าสนใจไม่น้อยนะ ขออะไรก็ได้อย่างที่ปรารถนา เสียแต่ต้องคอยหาเครื่องเซ่นด้วยสาวบริสุทธิ์”
“แต่อาถรรพ์ของแม่นางเมือง บันดาลให้ในสิ่งที่ยิ่งใหญ่เท่าสัตตะโลหะบุรุษไม่ได้”
“พวกผู้ชายก็อย่างนี้...ต้องเป็นที่หนึ่งในแผ่นดินให้ได้ อย่างชั้นแค่ขอให้รวยล้นฟ้ามีเงิน ใช้ไม่รู้จักหมดก็พอแล้ว” ประดับไม่ได้สนใจที่ผกาพูดรีบลุกจากที่ “เดี๋ยวสิประดับ...ชั้นยังทำแผลให้เธอไม่เสร็จเลย...ประดับ”

วงศ์สำลักน้ำมันส่วนกำนันบุญสะใจที่ได้ทรมาน
“ปล่อย…ปล่อยชั้นไปเถอะกำนัน…ชั้นขอร้องล่ะ”
“เอ็งไม่มีสิทธิ์มาร้องขอชีวิตจากข้า…ข้าต้องอยู่กับนังเด็กปัญญาอ่อนมาเป็นสิบปี เอ็งไม่รู้หรอกว่ามันทรมานข้ามากแค่ไหน”
กำนันบุญหันไปหยิบขวดน้ำมันมาอีกเตรียมจะทรมานต่อ แต่ประดับเข้ามา
“หยุดเดี๋ยวนี้นะกำนัน”
“คุณประดับ”
ประดับเข้ามาตามหลังมาด้วยผกา
“ชั้นนึกว่ากำนันจะรีบกลับไปเตรียมรูปปั้นนางรำทองคำให้ใช้เอาไปให้ท่าน แต่นี่กำนันมาทำเรื่องเสียเวลาอะไร”
“เรื่องนั้นผมจัดการให้อยู่แล้ว แต่ขอเวลาให้ผมจัดการเรื่องส่วนตัวก่อน มันกับผมมีเรื่องต้องล้างหนี้กันอยู่”
“เสียเวลาทรมานไอ้คนที่มันหมดประโยชน์แล้วแบบนี้เนี่ยนะ”
ประดับพูดจบก็เข้าไปชักปืนจากเอวไอ้เนแล้วยิงใส่วงศ์ทันทีแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย…เปรี้ยงๆๆๆๆ วงศ์ตายคาที่ทันที เพราะกระสุนปืนพรุนร่าง
“คุณประดับ”
“จำไว้นะกำนัน อย่ามาเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้อีก...ถ้าว่างนักก็ไปจัดการกับไอ้วีรบุรุษบาป มันจะได้ไม่ต้องมาเกะกะเราอีก”
ประดับจ้องหน้ากำนันบุญอย่างออกคำสั่ง ผการีบเข้าไปเกาะแขนประดับ
“ประดับ...ชั้นว่าคืนนี้เธออย่าเพิ่งเอารูปปั้นนางรำทองคำไปให้ท่านเลย ถนนหนทางไม่ค่อยดีเดินทางกลางคืนมันจะอันตราย ไว้ค่อยไปพรุ่งนี้เช้าดีกว่านะ”
“แต่ท่านรอชั้นอยู่”
“แต่ช้านิดช้าหน่อยไม่เป็นไรหรอก ยังไงเราก็ได้รูปปั้นมาแล้ว แถมเธอยังได้รับบาดเจ็บอีก ท่านคงไม่ว่าเธอหรอก...กลับกันเถอะคืนนี้พักผ่อนให้เต็มที่ชั้นจะดูแลเธอเอง”
ผกาคล้องแขนประดับแล้วพาออกไปด้วยกัน

คืนนั้นที่บ้านคำปันดาราเดินออกมาที่ด้านหลังบ้านเจอขุนเดชยืนรออยู่
“ขุนเดช...มาทำอะไรอยู่ตรงนี้”
“ผมเป็นห่วงบัวทอง อยากรู้ว่าเป็นยังไงบ้าง”
“บัวทองรู้สึกตัวแล้ว ตอนนี้น้าคำปันดูแลอยู่ ยงยุทธก็เพิ่งจะมาเยี่ยมยังอยู่ข้างบนเลย”
ขุนเดชนิ่งไปครู่มองไปที่บนบ้านแล้วยื่นช่อดอกแก้วเล็กๆ ให้ดารา
“ดอกไม้” ดาราเห็นดอกไม้ก็พอจะเข้าใจ “เธอน่าจะเอาไปเยี่ยมบัวทองเองนะ อย่าฝากให้ชั้นเอาไปให้เลย”
“ผมทำร้ายจิตใจบัวทองไปมากเธอคงจะไม่อยากเห็นหน้าผม”
“แต่ถ้าเธอให้ชั้นบอกทุกคนว่าเธอเป็นคนช่วยบัวทองไว้ บัวทองอาจจะอภัยให้เธอ”
“ไม่ต้องหรอกดารา ให้เป็นอย่างที่เราคุยกันไว้...คนที่ช่วยชีวิตบัวทองคือวีรบรุษบาป ผมเป็นแค่คนที่ไปพบบัวทองเท่านั้น”
ขุนเดชจับมือดาราให้รับดอกไม้ไปก่อนจะเดินจากและหายไปในความมืด

ยงยุทธอยู่กับบัวทองที่นอนพักผ่อนอยู่ที่เตียง ยงยุทธช่วยห่มผ้าให้
“ขอบคุณมากนะคะหมวด”
บัวทองขอบใจ แต่สายตาก็ยังกวาดตามองไปรอบๆ เหมือนยังระแวงอยู่
“ยังกลัวอยู่เหรอ”
“ค่ะ...ตั้งแต่เกิดมาบัวทองยังไม่เคยเจออะไรที่มันสยดสยองแบบนี้มาก่อน ถ้าวีรบุรุษบาปไม่ทันมาช่วยไว้ บัวทองคง...”
ยงยุทธแตะมือปลอบใจ
“เธอปลอดภัยแล้วล่ะบัวทอง...ความดีในตัวเธอจะปกป้องสิ่งชั่วร้ายไม่ให้มาทำร้ายเธออีก”
บัวทองได้รับการปลอบใจจากยงยุทธก็รู้สึกดีขึ้น ระหว่างนั้นดาราเข้ามา
“ดอกไม้สวยจังเลยค่ะอาจารย์”
“งั้นเดี๋ยวชั้นจะใส่แจกันให้นะ บัวทองจะได้รู้สึกสดชื่นไม่ต้องกลัวอีก”
“ขอบคุณมากนะคะอาจารย์...ว่าแต่อาจารย์รู้ได้ยังไงคะว่าบัวทองชอบดอกแก้ว”
“ชั้นถามน้าคำปันมาน่ะจ้ะ”
ดาราจัดช่อดอกแก้วใส่แจกัน ยงยุทธสังเกตว่าดาราไม่สบตาบัวทอง

ดาราเดินมาส่งยงยุทธที่หน้าบ้าน
“ชั้นส่งเธอแค่นี้นะ”
ดาราจะกลับเข้าบ้านแต่ยงยุทธตามไปคว้าแขนไว้
“เดี๋ยวดารา...ดอกไม้นั่นขุนเดชฝากเธอมาใช่มั้ย” คำกถามนี้ทำให้ดาราชะงักไป
“เธอจะสนใจเรื่องนี้ทำไม ชั้นถือมาชั้นก็ต้องเป็นคนเอามาสิ”
“อย่าโกหกผมดีกว่าดารา...คุณกับขุนเดชกำลังทำอะไรอยู่กันแน่”
“ปล่อยชั้นนะยงยุทธ” ดาราพยายามแกะมือแต่ยงยุทธไม่ยอมปล่อย “ถ้าเธอเอาเวลาที่มายุ่งเรื่องของชั้นกับขุนเดชไปจัดการหาวิธีนำรูปปั้นนางรำทองคำกลับมา ชั้นว่าป่านนี้เราคงได้สมบัติของชาติคืนมาแล้ว”
“นี่คุณกำลังดูถูกผม หาว่าผมทำงานไล่ตามหลังทั้งไอ้ขุนเดช ทั้งวีรบุรุษบาปอยู่ใช่มั้ย”
“ถ้าคำพูดของชั้นทำให้เธอคิดได้แบบนั้น ชั้นก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว..ปล่อยชั้นได้แล้ว”
ดาราพยายามออกแรงแกะมือยกยงยุทธออกแต่กลับถูกเขาออกแรงดึงเธอเข้ามาประชิดจนหน้าแทบชนกัน ดาราอึ้งใจตึกตัก
“คนอย่างผมไม่มีวันยอมให้พวกนอกกฏหมาย ต่อให้มีคนรักมันทั้งบ้านทั้งเมืองหรือคนที่ผมรักที่สุดก็ยังไปเข้าข้างมัน ผมก็จะไม่ไว้หน้ามันเด็ดขาด”
ยงยุทธยอมปล่อยมือ ดารารีบผลักเขาจนเซออกจากตัวแล้วรีบกลับเข้าไปในบ้าน ยงยุทธกัดฟันกรอดมองตาม ระหว่างนั้นจ่าแท่นเข้ามา
“หมวดครับ”
“มีอะไรจ่า”
“เราเพิ่งได้รับแจ้งว่าพบศพนายวงศ์ถูกยิงตายแล้วครับ”

กลางป่าลึกบรรยากาศวังเวงน่ากลัว เสียงนกแสกร้องดัง วาสนาหลบอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่เนื้อตัวมอมแมม กลอกตาหลุกหลิกไปอย่างอย่างหวาดระแวง
เสียงหัวเราะแหลมน่าขนลุกขนพองของแม่นางเมืองดังกึกก้องไปทั่ว วาสนาสะดุ้งโหยงกรีดร้อง
“กลัวแล้ว...ไม่เอาแล้ว อย่ามาหลอกมาหลอนชั้นเลย...กลัวแล้ว”
วาสนาได้แต่พนมมือท่วมหัว เสียงหัวเราะเงียบไปจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมานึกว่าจะรอด แต่ผีนางรำกลับโผล่...
มาอยู่ข้างๆ ชนิดหายใจรดต้นคอ วาสนาร้องเสียงหลง...กรี๊ดดดดด

ที่บ้านกำนันบุญ ประดับนอนหลับสนิทมีผกานอนซบอยู่ข้างๆ ครู่หนึ่งผกาลืมตาแล้วลุกจากเตียงอย่างเงียบเชียบ ผกาลุกมาสวมเสื้อคลุมแล้วแอบออกจากห้องไปโดยประดับไม่รู้สึกตัว
ผกาออกมาจากห้องนอนประดับแล้วเดินมาที่บริเวณเรือนแต่เจอกำนันบุญเลยตกใจ
“พี่กำนัน...โผล่มาจากไหนเนี่ยชั้นตกใจหมด”
“ชั้นว่าเธอเดินลุกลี้ลุกลนไม่ทันได้มองชั้นมากกกว่า”
“แหม...พี่กำนันล่ะก็..ที่แดกดันชั้นแบบนี้ เพราะไม่พอใจที่ชั้นไปค้างคืนกับประดับใช่มั้ย”
“ถึงเธอจะเคยเป็นเมียไอ้ประดับ...แต่ตอนนี้มันเขี่ยเธอทิ้งแล้วและเธอก็เป็นของชั้น”
“ชั้นรู้น่า...เดี๋ยวนี้ชั้นก็ไม่ได้มีใจให้ประดับแล้ว แต่ที่ชั้นต้องทำก็เพราะว่าชั้นไม่อยากให้ เขามาออกคำสั่งใส่พี่กำนันของชั้น” กำนันบุญหรี่ตามองผกาอย่างสงสัย ผกาเลยเข้าไปลูบไล้ยั่วยวนหว่านเสน่ห์ “พี่กำนันไม่เชื่อที่ชั้นพูดเหรอจ๊ะ...แหม...ชั้นน่ะหลงเสน่ห์ผู้ชายอย่างพี่กำนันเข้าไปเต็มๆ แล้ว แต่ถ้ายังไม่เชื่ออีกจะให้ชั้นตามไปทำให้พี่กำนันมีความสุขต่อในห้องก็ได้นะ”
ผกาเข้าไปกอดกำนันแล้วซุกไซร้ซอกคอ กอดรัดฟัดเหวี่ยงเต็มที่แต่กำนันบุญดันตัวออก
“เอาเป็นว่าชั้นเชื่อก็แล้วกัน คืนนี้ชั้นเหนื่อยมากไว้ให้ประดับเอารูปปั้นนางรำทองคำไปให้ท่านก่อนแล้วชั้นจะเรียกเธอทำให้ชั้นมีความสุข”
“ก็ได้จ้ะ”
กำนันบุญเดินออกไป ผกามองตามแล้วยิ้มร้ายๆ พร้อมกับชูมือขึ้นมา ในมือของผกามีกุญแจห้องเก็บของ

ที่ห้องเก็บสมบัติของโบราณของกำนันบุญ ผกาเอากุญแจที่แอบขโมยมาจากตัวกำนันบุญเมื่อครู่เปิดเข้ามา
รูปปั้นนางรำทองคำตั้งอยู่ในห้อง สีทองอร่ามของรูปปั้นทำให้ผกาถึงกับตาโต เข้าไปลูบๆ คลำอย่างพึงใจ
“สมบัติของแม่นางเมือง...ผู้บูชาและถวายเครื่องเซ่นไหว้ด้วยชีวิตสาวบริสุทธิ์จะได้สมดั่งปรารถนา...หึๆๆๆ ทีนี้ล่ะอีผกาจะรวยล้นฟ้ากับเขาซะที”

วันต่อมาที่สถานีตำรวจ จ่าแท่นเข้ามารายงานยงยุทธ
“ยังไม่พบร่องรอยของนางวาสนาเมียของนายวงศ์เลยครับหมวด”
“นายวงศ์ก็ถูกฆ่าตายไปแล้ว ก็เหลือแต่นางวาสนาคนเดียวที่จะช่วยให้เราตามสืบได้ว่ารูปปั้นนางรำทองคำอยู่ที่ใคร”
“งั้นก็คงต้องพลิกทั้งป่าตามหาแล้วล่ะครับหมวด” ยงยุทธหันมามองจ่าแท่นสีหน้าจริงจัง “เอาจริงเหรอครับหมวด”
“จริงสิจ่า”
จ่าแท่นหน้าเสียเพราะเจองานหนักแน่

สัมฤทธิ์นอนหลับคาขวดเหล้าที่แคร่หน้าเรือนเล็กสภาพเมื่อคืนคงดื่มไปหนัก ผกาย่องเข้ามาสะกิดเรียก
“สัมฤทธิ์...สัมฤทธิ์...ตื่น...ตื่นสิ...ไอ้บ้าเอ้ย...หลับอย่างกับคนตาย”
ผกาหันไปเห็นถังน้ำเลยเอามาสาด...โครม สัมฤทธิ์สะดุ้งตื่น
“เฮ้ย...ใครหาเรื่องวะ...เดี๋ยวก็ยิงไส้แตกเลย”
“ชั้นเอง...แหม...ปากเก่งจริงๆ เลยนะแก ถ้าเป็นไอ้วีรบุรุษบาปโผล่มาล่ะก็ แกโดนมันตัดคอไปแล้ว”
“คุณผกา...นี่คุณมาหาผมทำไมครับ”
“ชั้นมีเรื่องสำคัญอยากจะขอให้ช่วย”
ผกายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ดูมีเลศนัยจนสัมฤทธิ์เข้าใจผิด
“จะดีเหรอครับคุณผกา...ท่าทางพ่อจะพอใจคุณมาก ถ้าพ่อรู้ว่าผมมีอะไรกับคุณด้วย ผมโดนพ่อกระทืบแน่”
“ไอ้บ้า ชั้นไม่ได้มาขอให้แกทำอะไรชั้นย่ะ แต่ชั้นมีข้อเสนอดีๆ ให้แก ถ้าแกยอมช่วยชั้นล่ะก็แกไม่ได้เป็นแค่ไอ้กระจอกถูกไอ้วีรบุรุษบาปเล่นงานให้เสียหน้าอยู่แบบนี้แน่”
สัมฤทธิ์ฟังแล้วสนใจ
“คุณผกาอยากให้ผมช่วยอะไรกันแน่ครับเนี่ย”
ผกายิ้มร้ายๆ
จบตอนที่ 12
ติดตามอ่านขุนเดชตอนต่อไป พรุ่งนี้



กำลังโหลดความคิดเห็น