แววมยุรา ตอนที่ 2
แววมยุรากับไลลาต่างก็นั่งหน้าบึ้ง ทั้งสองถือไดร์เป่าผมเป่าผมและเสื้อผ้าของตัวเองอยู่ที่เบาะนั่งตรงเคาท์เตอร์บริษัทที่มาสมัครงาน เอกรินทร์ยืนกอดอกมองทั้งคู่อย่างอ่อนใจ พนักงานหญิงยืนรออยู่ข้างๆ เอกรินทร์
“แน่ใจนะคะว่าจะไม่ตีกันอีก” พนักงานหญิงเอ่ยถาม
“ไม่แล้วครับ ผมแนะนำให้เค้ารู้จักกันแล้ว” เอกรินทร์ตอบ
แววมยุรากับไลลายังบึ้งตึงใส่กัน ทั้งสองปิดไดร์เป่าผม เอกรินทร์รับไดร์เป่าผมมาแล้วยื่นคืนให้พนักงานหญิง
“ขอบคุณมากนะครับ ที่อุตส่าห์หาไดร์เป่าผมมาให้ยืม”
พนักงานหญิงรับคืนพร้อมส่งสายตาหวานให้เอกรินทร์ “เพราะเห็นแก่คุณหรอกนะคะ” พนักงานหญิงหันไปทำหน้าบึ้งใส่แววมยุรา “ทีนี้ก็รีบไปสัมภาษณ์งานได้แล้ว ฝ่ายบุคคลเค้ารออยู่”
แววมยุรารับคำ “ค่ะ”
แววมยุราขยับจะเดินไป ไลลาหันมามองหน้าอย่างเอาเรื่อง เอกรินทร์ต้องมายืนคุมเชิงไม่ให้เกิดเรื่องอีก
ชายวัยสี่สิบกว่าๆ ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายบุคคลกำลังนั่งพิงพนักสบายๆ ดูใบสมัครของแววมยุรา เขาพลิกไปมาสักครู่จึงพูดขึ้น
“เท่าที่ผมเพิ่งสัมภาษณ์คุณ แล้วก็ดูจากใบสมัครที่คุณเพิ่งกรอกนี่ ผมแฮปปี้นะ คุณมีบุคลิกที่ดี ทัศนคติก็ดี ที่สำคัญ คุณเป็นผู้หญิงที่สวย คุยเก่งแถมยังฉลาด เหมาะกับงานพีอาร์ของบริษัทเรามาก”
แววมยุรายิ้มอย่างโล่งใจ “ขอบคุณมากค่ะ”
หัวหน้าฝ่ายบุคคลดูใบสมัคร “คุณเขียนเบอร์โทรไว้แล้วใช่มั้ย ยังไงผมจะติดต่อกลับไป คุณมีอะไรอยากจะถามทางเรามั้ย”
“เอ่อ..ขออนุญาตถามว่า ที่บอกว่าจะติดต่อกลับไปนี่แปลว่า คุณจะติดต่อกลับจริงๆ หรือเป็นแค่การปฏิเสธอย่างสุภาพคะ เพราะฝ่ายบุคคลของทุกบริษัท ชอบตัดบทและปฏิเสธด้วยคำว่า แล้วจะติดต่อกลับไปน่ะค่ะ”
หัวหน้าฝ่ายบุคคลหัวเราะชอบใจ “ฮ่าๆๆ ใช่ๆ ในกรณีทั่วไป ถ้าผมบอกว่าแล้วจะติดต่อกลับไป มันแปลว่าผมไม่รับคนๆ นั้นเข้าทำงาน แล้วก็จะไม่ติดต่อกลับไปจริงๆ”
แววมยุราหน้าเสียไป
“แต่ในกรณีของคุณมันต่างไปนะ ผมรับรองว่าจะติดต่อกลับไปแน่ๆ”
แววมยุรายิ้มออก
“....เพราะเท่าที่ดูนี่ ผมไม่เห็นเหตุผลที่จะไม่รับคุณเข้าทำงานเลย แล้วยิ่งทางพี่บก.ฝ่ายข่าวเค้าแนะนำมา เอาเป็นว่าคุณเตรียมตัวเริ่มงานใหม่ที่นี่ได้เลย แล้วผมจะโทรไปคอนเฟิร์มอีกทีให้เร็วที่สุดเลยหละครับ”
“ค่ะ...ขอบพระคุณมากๆ เลยค่ะ”
แววมยุรายิ้มอย่างดีใจและโล่งใจ
ที่บริษัทของนุกูล นุกูลประคองสร้อยสุดหรูที่นิติภูมิส่งให้ขึ้นมาพิจารณาด้วยสีหน้าพึงพอใจ
“สร้อยเพชรส่วนตัวของภรรยาคุณสีหราช ทศพลหรือครับ” นุกูลถาม
“ใช่ครับ” นิติภูมิตอบ “พ่อของผมเคยเล่าให้ฟังว่าภรรยาคุณสีหราชถอดสร้อยเส้นนี้มอบให้แม่กับมือ ในฐานะคนชอบพอนิสัยใจคอกัน แม่ใส่สร้อยเส้นนี้ถ่ายรูปแค่ครั้งเดียว แล้วก็ยกให้พ่อเก็บไว้เพื่อมอบให้ผมตอนที่ผมโตพอที่จะดูแลรักษามันได้น่ะครับ”
“มันมีความหมายกับคุณมากขนาดนี้ แล้วทำไม...คุณถึงจะยกสร้อยเส้นนี้มาร่วมประมูลกับทางเราล่ะครับ” นุกูลสงสัย
“ผมอยากทำอะไรให้แม่บ้างน่ะครับเพราะท่านจากไปตั้งแต่ผมยังเด็กตอนที่ผมไม่สามารถตอบแทนท่านได้”
“หมายความว่าอะไรครับ”
“ผมจะนำเงินจากการประมูลสร้อยเส้นนี้มอบให้การกุศลทั้งหมด หวังว่าสมบัติของแม่ผมชิ้นนี้จะช่วยชีวิตคนได้หลายชีวิตเลย จริงไหมครับ”
“คุณนี่จิตใจดีเหลือเกินนะครับ” นุกูลเอ่ยชม
“แต่ถ้าขอเสนอของผมทำให้คุณนุกูลลำบากใจก็ไม่เป็นไรนะครับ”
“ตรงกันข้ามเลยครับ อีกไม่กี่วันทางเราจะจัดประมูลอยู่พอดี ผมจะเร่งพีอาร์ให้คนรู้ว่ามีสร้อยเส้นนี้ในการประมูลด้วย..ผมว่าสมบัติชิ้นสำคัญเป็น Rare Item ชิ้นนี้มีแต่คนจ้องจะเป็นเจ้าของอยู่แล้วล่ะครับ”
นิติภูมิยิ้มแล้วมองสร้อยที่อยู่ในกล่องวางอยู่ตรงหน้าเขา
นิติภูมิเดินออกมาจากห้องทำงานของนุกูลหลังจากคุยกับนุกูลเสร็จ
“แกต้องวัดใจกับฉันหน่อยล่ะ ไอ้สยุมภูว์” นิติภูมิพูดกับตัวเอง
แจ็คถือบัวรดน้ำรดต้นไม้อยู่ใกล้ๆ รั้วด้านที่ติดกับบ้านแววมยุรา สักพักสยุมภูว์เดินมาดึงบัวรดน้ำจากมือของแจ็ค
“มา..ให้ฉันเอง”
“จะดีเหรอพี่ น้าเพิ่มแกสั่งผมไว้ว่าให้ดูแลพี่จักรให้ดี งานอะไรหนักๆ ห้ามให้พี่จักรทำ”
สยุมภูว์ทำท่ายกบัวรดน้ำ “แล้วบัวรดน้ำนี่มันหนักตรงไหนเหรอ”
แจ็ครับมายกๆ เพื่อประมาณน้ำหนักดู “อืม...ไม่ค่อยนะพี่” แจ๊คยื่นคืนให้ แล้วหันหลังเดินหลบไปอย่างร่าเริง “สบายกูหละ”
สยุมภูว์ยืนรดน้ำต้นไม้ที่ริมรั้วแต่สายตาชะเง้อมองบ้านข้างๆ เพราะตั้งใจมองหาแววมยุรา
เสียงเพิ่มพงษ์ดังขึ้น “เค้าออกไปแล้วหละครับ”
สยุมภูว์สะดุ้งแล้วก็ทำฟอร์มก้มหน้าก้มตารดน้ำต้นไม้ “น้าเพิ่มพูดถึงใครน่ะ”
“ก็คนที่คุณสยุมภูว์...”
สยุมภูว์รีบยกนิ้วจุ๊ปาก “ชู่วว..” สยุมภูว์พยักหน้าไปทางหนึ่ง เพิ่มพงษ์หันมองตามไปเห็นแจ็คกำลังนอนเล่นสบายอยู่เก้าอี้ยาวในสวน
เพิ่มพงษ์รีบเปลี่ยนเป็นเสียงเข้ม “ก็ผู้หญิงคนที่แกแอบมองอยู่น่ะสิไอ้จักร ฉันเห็นไอ้หนุ่มมอเตอร์ไซค์มารับไปแต่เช้า” เพิ่มพงษ์ตบไหล่ปลอบ “เลิกหวังเหอะว้า”
“ใครหวังอะไร? ผมเปล่าซะหน่อย”
“อ๊ะ..เปล่าก็เปล่า มัวแต่ปากแข็ง ไม่เร่งทำคะแนน เดี๋ยวไอ้มอเตอร์ไซค์มันก็คาบไปกินซะก่อนร๊อกไอ้จักรเอ๊ย”
เพิ่มพงษ์เดินไป ทิ้งให้สยุมภูว์คิดทบทวนใจตัวเองว่าชอบแววมยุราจริงหรือ เพิ่มพงษ์เดินผิวปาก ผ่านแจ็คที่นอนเคลิ้มหลับสบายอยู่ แล้วเพิ่มพงษ์ก็ดีดด้วยแข้งจนแจ็คหล่นลงมากองกับพื้น แล้วเพิ่มพงษ์ก็เดินจากไปอย่างเนียนๆ
“อูย...” แจ๊คนอนพังพาบกับพื้นเอามือกุมหลังป้อยๆ
เอกรินทร์เดินนำไลลากับแววมยุรามาที่มอเตอร์ไซค์ของตน โดยมี รปภ.ยืนกอดอกคุมเชิงอยู่
เอกรินทร์พูดกับแววมยุรา “ยังไงผมก็ต้องขอโทษคุณแทนไลลาด้วยนะครับ”
ไลลาได้ยินก็ฉุน “เอ๊ะ! ยังไงกันนายเอก พูดอย่างงี้เหมือนจะปรักปรำว่าฉันเป็นฝ่ายผิดรึไง”
“เธอก็เหวี่ยงใส่ฉันก่อนจริงๆ” แววมยุราสวน
ไลลาตอกกลับ “ก็เธอฉีดน้ำใส่ฉันก่อน”
“ก็ฉันไม่ได้ตั้งใจ แล้วก็ขอโทษเธอแล้ว”
“หยุดทีเถอะครับ ผมขอร้องหละ” เอกรินทร์ปราม
“แต่ว่า...” ไลลาต่อรอง
“หรือเธออยากมีปัญหากับรปภ.ข้างหลังโน่น” เอกรินทร์ถาม
ไลลาหันไปเห็น รปภ.หยิบกระบองมาตีๆ ที่มือตัวเองเบาๆ เชิงขู่
“เอาเป็นว่าต่อไปเนี้ย ผมจะพยายามจัดคิว ไม่ให้สองคนนี้มาเจอหน้ากัน โอเคมั้ย เลิกแล้วต่อกันไป” เอกรินทร์บอก
“ก็ด๊าย...แยกย้ายกันไป ทางใคร” ไลลาพูดเน้นเสียงใส่แววมยุรา “ทางมัน”
เอกรินทร์ขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ ไลลาขยับขึ้นนั่งซ้อนท้าย เอกรินทร์กระแอมแล้วพูด
“ฉันพาคุณแววมยุรามา ก็ต้องพากลับไปส่ง”
ไลลาหน้าหงิก แววมยุราทำท่ากลั้นหัวเราะขำๆ ไลลาได้แต่จิกตาใส่อย่างเคืองๆ แววมยุราขึ้นนั่งซ้อนท้าย ทั้งสองสวมหมวกกันน็อค ไลลามองหน้าแววมยุราอย่างอาฆาต
“ถ้าเจอกันอีกที แกโดนแน่”
เริงใจยกนิ้วนับ แววมยุรา เอกรินทร์ ชลธิชาที่นั่งโต๊ะเดียวกันกับเธอที่ร้านกาแฟ
เริงใจชี้ตัวเองก่อนแล้วชี้นิ้วนับไล่เรียงไป “หนึ่ง..สอง..สาม...สี่...ห้า เอ๊ะ! แก๊งค์เรามีใครเกินมาคนนึงเนี่ย”
เอกรินทร์รับมุก “โธ่...ผมก็คิดว่าผมเนียนแล้วนะ มีคนสังเกตเห็นจนได้”
“ยัยเริงใจ ชอบแกล้งคุณเอกเค้าจริง” ชลธิชาปราม
“ยัยนี่ก็แกล้งทุกคนนั่นแหละ ยิ่งเป็นผู้ชาย ก็ยิ่งชอบแกล้ง” แววมยุราบอก
“ไม่ได้แกล้งย่ะ”เริงใจตบไหล่เอกรินทร์ “แหม..คนเค้าซี้กัน จับมือร่วมสาบานเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันแล้ว ว่าแต่เธอสองคนไปไหนกันมายะ”
“ก็นี่ไง คุณเอกเค้าแนะนำฉันให้ไปสัมภาษณ์งาน” แววมยุราบอก
ชลธิชาดีใจกับเพื่อน “แล้วเป็นไงบ้างจ๊ะ”
“ก็...น่าจะเป็นข่าวดีนะ สงสัยฉันจะไม่ตกงานแล้วหละ” แววมยุรายิ้ม
“งั้นจะรออะไร มาๆๆ ทุกคน ยกแก้วขึ้นมา เร็วสิ” เริงใจรีบชวน
เริงใจยกแก้วกาแฟขึ้นกลางวง ทุกคนยกแก้วกาแฟที่หน้าตนขึ้นมา
“แด่งานใหม่ของยัยแววมยุรา เอ้า...โชน!!!”
ทุกคนยิ้มแย้มชนแก้วแต่ยังไม่ทันได้ดื่ม เสียงโทรศัพท์ของแววมยุราก็ดังขึ้น แววมยุราหยิบขึ้นมาดูหน้าจอ
แววมยุราจุ๊ปากให้เพื่อนๆ เงียบ “ชู่วว...เงียบก่อน สงสัยจะเป็นบริษัทที่ฉันเพิ่งไปสมัครงานน่ะ”
เอกรินทร์รีบบอก “รับสิคุณ ต้องเป็นข่าวดีแน่ๆ”
แววมยุรากดรับโทรศัพท์ ทุกคนยื่นคอเงี่ยหูรอฟังกันสลอน
“สวัสดีค่ะ...ค่ะ ใช่ นี่แววมยุราพูดค่ะ”
หัวหน้าฝ่ายบุคคลกำลังพูดโทรศัพท์กับแววมยุราอยู่ที่โต๊ะทำงานของเขาด้วยสีหน้าไม่สบายใจ
“คือผมจะโทรมาบอกว่า งานที่คุณสัมภาษณ์ไว้เมื่อเช้าเนี่ย เรารับคนอื่นไปก่อนหน้าคุณแล้วเสียใจด้วยนะครับ”
แววมยุราถือโทรศัพท์ฟังอยู่ด้วยความตกใจและผิดหวัง
“ว่าไงนะคะ แล้วไหนคุณบอกว่าให้เตรียมตัวมาทำงานได้เลย ถ้ารับคนอื่นไปก่อนแล้วจะพูดแบบนั้นทำไม ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่....คะ” แววมยุราลดโทรศัพท์ลง แล้วพูดกับเพื่อนๆ “เค้าวางหูใส่ฉันเลยอ่ะ”
“แล้วเค้าไม่ชี้แจงเหตุผลอะไรเลยเหรอ” ชลธิชาถาม
แววมยุรายังช็อคอยู่จึงได้แต่ส่ายหน้าช้าๆ
เริงใจฉุนกึก “เฮ้ย...ทำน่าเกลียดอย่างงี้ได้ไง เอามา” เริงใจจะดึงโทรศัพท์จากมือแววมยุรา “เดี๋ยวฉันโทรกลับไปด่าเค้าเอง”
แววมยุรายื้อไว้ “ด่าแล้วได้อะไรขึ้นมา ด่าแล้วเค้าจะเปลี่ยนใจรับฉันเข้าทำงานมั้ย”
“อะไรของเค้าเนี่ย ผมงงไปหมดแล้ว ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ” เอกรินทร์บอก
“อะไรก็ช่าง ฉันไม่อยากรู้แล้ว รู้แค่ว่าตอนนี้ฉันยังตกงาน แล้วก็ต้องรีบหางานใหม่ให้ได้ ก่อนที่บ้านกับรถจะโดนยึด ฉันขอรับรู้แค่นี้ก็เต็มกลืนแล้ว”
พูดจบแววมยุราก็นั่งซึม ทุกคนมองด้วยความเห็นใจและห่วงใย
รถของสยุมภูว์จอดอยู่หน้าร้านต้นไม้ของเพิ่งพงษ์ ไลลาเดินมาในร้านต้นไม้มองหาคนขาย จนมาเจอสยุมภูว์นั่งหันหลังอยู่กับพื้นเพราะกำลังเอาต้นไม้เปลี่ยนกระถางอยู่
“น้อง...ซื้อต้นไม้หน่อยสิ น้อง!” ไลลาเรียก
สยุมภูว์หันมา “ครับ”
ไลลาเห็นสยุมภูว์ก็ถึงกับตะลึงเพราะหน้าตาโดนใจเธออย่างจัง
ไลลาพูดเสียงนุ่มลง “เอ่อ..โทษค่ะ คุณเป็นเจ้าของร้านเหรอคะ”
“ไม่ใช่หรอกครับ ร้านของน้าผมน่ะ”
แจ็คเดินเข้ามาถาม “จะรับอะไรดีครับคุณ”
ไลลายกมือไหว้แจ็ค “สวัสดีค่ะคุณน้า”
แจ็ครับไหว้อย่างงงๆ “สวัสดีครับ”
สยุมภูว์ขำ “ไอ้นี่ชื่อแจ็ค เป็นลูกน้องผมครับ”
ไลลาพูดกับสยุมภูว์ “อ้าว..เหรอคะ คืองี้ค่ะ ฉันชื่อไลลานะคะ คือ...จะมาซื้อต้นไม้ไว้ในคอนโดซักต้นสองต้น” ไลลาชี้ตัวเอง “อยู่คอนโดคนเดียวน่ะค่ะ”
“ผมว่าเป็นพวกต้นจั๋ง หรือพวกหมากเหลืองก็ดีนะครับ ดูแลง่าย ใบไม่ร่วง” แจ๊คอธิบาย
ไลลาไม่สนใจฟังแจ็คเลย เธอพูดต่อ “ฉันไม่ได้เอารถมาด้วยน่ะค่ะ ถ้าให้คุณไปส่งต้นไม้ที่คอนโดจะได้มั้ยคะ จะคิดค่าส่งเพิ่มก็ได้ค่ะ”
“ได้สิครับ ผมไปส่งให้ถึงห้องเลย” แจ๊คบอก
ไลลายังพูดกับสยุมภูว์ “นะคะคุณ...คุณอะไรนะคะ”
“ผมแจ็คครับ” แจ๊คชักเก้อ เพราะไลลาไม่ได้สนใจตัวเองเลย
“ผมชื่อจักรครับ”
“คุณจักร”
ไลลาส่งยิ้มให้สยุมภูว์อย่างเปิดเผยว่ารู้สึกชอบพอเขาอย่างแรง
ไลลาเดินนำเข้ามาในคอนโด แจ็คยกต้นหมากเหลืองสูงเมตรกว่าๆ ที่ห่อรากเป็นตุ้มดินห่อพลาสติกไว้ ขณะที่สยุมภูว์ยกกระถาง และจานรองเดินตามมา
ไลลาชี้ที่มุมหนึ่งในห้องที่รับแสงแดดได้ “ไว้ตรงนี้แหละค่ะ”
“ครับผม” สยุมภูว์วางจานรองและกระถาง ก่อนจะพูดกับแจ็ค “ช่วยแกะพลาสติกแล้วเอาลงกระถางให้คุณเค้าด้วย”
“ฉันชื่อไลลาค่ะ ลืมชื่อฉันแล้วเหรอคุณจักร”
“อ๋อ..เปล่าครับ จำได้สิครับ คุณไลลา” สยุมภูว์ตอบ
ไลลามองสยุมภูว์ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า “ดูยังไงคุณก็ไม่เหมือนคนขายต้นไม้เลยนะคะ”
“ทำไมเหรอครับ”
“ก็...ผิวคุณขาวเหมือนคนไม่เคยเจอแดด มือก็ไม่ได้หยาบกร้าน เล็บก็สะอาดไม่มีเศษดิน แถมหน้ายังใสขนาดนี้”
แจ็คที่ง่วนกับการเอาต้นไม้ลงกระถาง ตอบโดยไม่หันมอง “ขอบคุณครับที่ชม”
ไลลาเหล่มองแจ็คอย่างเคืองๆ แล้วหันมาพูดกับสยุมภูว์ต่อ “ยังไงไลลาขอเป็นลูกค้าประจำของคุณจักรนะคะ แล้วจะแวะไปซื้อต้นไม้อีกบ่อยๆ ค่ะ”
แจ็คพูดโดยไม่หันไปมอง “ห้องเล็กแค่เนี้ยอ่ะนะ”
ไลลาเหล่มองแจ็คอย่างเคืองๆ อีกครั้ง แล้วหันมายิ้มให้สยุมภูว์ สยุมภูว์ยิ้มตอบไปตามมารยาท
แจ็คขับรถกลับมาจอดหน้ารั้วบ้าน สยุมภูว์กับแจ็คลงจากรถ
“แต่จะว่าไปยัยไลลาอะไรนี่ก็สวยดีนะพี่” แจ๊คบอก “แล้วท่าทางเค้าก็อยากได้คนขายมากกว่าอยากได้ต้นไม้นะ พี่จักรน่าจะจัดให้เค้าซักหน่อย”
“เฮ่ย..ฉันไม่ใช่ผู้ชายแบบนั้น”
“ไม่ใช่ผู้ชาย” แจ๊คตกใจ “เฮ้ย! พี่คงไม่ได้หมายถึง...”
สยุมภูว์งง “หมายถึงอะไร”
“ก็หมายถึงพี่ไม่ใช่ผู้ชาย แต่เป็นกะเทยอย่างงั้นเหรอ”
“แกจะบ้าเหรอ ฉันหมายถึงฉันไม่ใช่ผู้ชายแบบที่จะฉวยโอกาสกับผู้หญิงแบบนั้น คนอย่างฉัน ถ้าไม่ได้รักใคร ฉันก็ไม่เอาเปรียบเค้าหรอก”
“โถ...พ่อคนดี ไม่รู้อะไร สมัยนี้น่ะ สาวๆ เค้าชอบแบ๊ดบอยอย่างผมนี่”
พูดจบแจ็คก็เดินเข้ารั้วบ้านไป สยุมภูว์เดินตามแต่ก่อนจะเข้ารั้วบ้าน ทั้งสองได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์จึงหันมองไปเห็นเอกรินทร์ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาโดยมีแววมยุรานั่งซ้อนท้าย เอกรินทร์เบรกมอเตอร์ไซค์กระชากไปทำเอาแววมยุราหน้าคะมำไปสวมกอดเต็มแผ่นหลังของเอกรินทร์
สยุมภูว์ถึงกับจ๋อยที่ได้เห็นเพราะคิดว่าทั้งสองเป็นแฟนกัน แจ็คเหลือบมองสังเกตสยุมภูว์
“เป็นไรอ่ะพี่จักร”
“เปล่า...ไม่มีอะไรนี่” สยุมภูว์เดินเข้าบ้าน แต่ยังเหลียวหลังมองไปเห็นเอกรินทร์ประคองแววมยุราลงจากมอเตอร์ไซค์ด้วยความห่วงใยเหมือนเป็นคู่รักกัน
แววมยุราเดินเข้าบ้านมากับเอกรินทร์ วัณณรีที่อยู่ในบ้านสวมเสื้อกล้าม กางเกงขาสั้นที่ดูค่อนข้างโป๊เอ่ยทักเอกรินทร์
“อ้าว..พี่มอไซค์ มาอีกแล้วเหรอคะ”
“ยัยวัณ พี่เค้ามีชื่อนะ เรียกเค้าพี่เอกสิ แล้วก็แต่งตัวให้มันดีๆ หน่อยได้มั้ย” แววมยุราว่า
“อย่าบ่นเลยน่า แต่งตัวอย่างงี้จะเป็นไรไป บ้านเรามีแต่ผู้หญิง ใครจะรู้ล่ะว่าพี่จะพาผู้ชายมา” วัณณรีสวน
“พี่แค่แวะมาส่งคุณแววมยุรา แล้วก็จะกลับแล้วน่ะ” เอกรินทร์บอก
“นี่ๆๆ พี่เป็นนักข่าวเหรอ เห็นพี่แววเล่าให้ฟัง”
“ครับ ใช่ ทำไมเหรอ”
“วัณเรียนนิเทศน่ะพี่ ต้องหาที่ฝึกงาน งั้นวัณขอไปฝึกงานกับพี่เอกได้มั้ยคะ”
เอกรินทร์หันไปถามแววมยุราอย่างเกรงใจ “คุณว่าไง”
“ก็แล้วแต่คุณสิ ถ้าไม่กลัวปวดหัว ก็ลองรับยัยวัณเข้าไปฝึกงานดู” แววมยุราบอก
“นี่...พูดจาไม่ได้สนับสนุนน้องตัวเองเลยนะ” วัณณรีเซ็ง
“ก็จริงมั้ยล่ะ” แววมยุราพูดกับเอกรินทร์ “ยังไงก็ฝากด้วยนะ ไม่ต้องไปใจดีกับยัยนี่หรอก ใช้งานให้หนักๆ จะได้รู้จักขยันกับเค้ามั่ง”
วัณณรีหน้าหงิกใส่แววมยุรา
แววมยุราเดินมาส่งเอกรินทร์ที่มอเตอร์ไซค์ ซึ่งสยุมภูว์ชะเง้อมองอยู่ในรั้วบ้านของตัวเอง
“ขอบคุณมากนะคะสำหรับทุกอย่างในวันนี้” แววมยุราบอก
เอกรินทร์นั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์แล้วหันมาพูด “คุณก็อย่าเพิ่งท้อล่ะ ไม่ได้งานนี้ เดี๋ยวก็มีงานอื่นเข้ามา แล้วเจอกันใหม่นะครับ”
เอกรินทร์สวมหมวกกันน็อคแล้วสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ออกไป แววมยุรายิ้มส่งพอหันจะเดินเข้ารั้วบ้าน เธอก็เห็นสยุมภูว์รีบหลบทันที แววมยุราเห็นก็หมั่นไส้
แววมยุราเดินเข้าไปหา “ทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ เหมือนพวกโรคจิตเลยนะ”
สยุมภูว์โผล่หน้าขึ้นมา “ใช่...ก็เป็นโรคจิตแบบที่ชอบแอบดูคู่รักเค้าจู๋จี๋กันไง”
“ฉันไปจู๋จี๋กันตอนไหนไม่ทราบยะ แล้วฉันกับคุณเอกก็ไม่ได้เป็นคู่รักกันซะหน่อย”
“ถ้าไม่ใช่คู่รัก แต่ซ้อนมอเตอร์ไซค์กันสนิทสนมแนบแน่นขนาดนี้ ก็ต้องเป็น...เป็นสก๊อยซ์สิเนี่ย”
“บ้าสิ นายรู้มั้ย มอเตอร์ไซค์ของคุณเอกเค้าแพงกว่ารถของนายอีกจะบอกให้ แถมยังเท่กว่าด้วย แล้วยังจะมีหน้าไปว่าเค้าเป็นเด็กแว๊น” แววมยุราบอก
“ฉันไม่ได้ว่าเค้าเป็นเด็กแว๊น แต่ว่าเธอคนเดียวแหละ ยัยสก๊อยซ์” สยุมภูว์ว่า
“นี่จะหาเรื่องฉันทำไมเนี่ย ต้องการอะไรไม่ทราบ”
“ก็..ไม่มีอะไร๊ พอดีเดินออกมาสูดอากาศ ก็เลยบังเอิญเจอเธอเข้า”
“บังเอิญจริงเร๊อ...แน่ใจนะว่าไม่ได้ตั้งใจแอบดู”
“แอบดูทำไม เธอมีอะไรน่าสนใจขนาดนั้นเหรอ” พูดจบสยุมภูว์ก็จะถอยกลับไป แต่แล้วก็ชะงัก ถามแววมยุราอีก “เอ่อ...ตกลงคุณเอกอะไรนั่นไม่ใช่แฟนเธอเหรอ”
แววมยุราส่ายหน้า “จะถามเอาอะไรเนี่ย เห็นถามย้ำเหลือเกิน”
“เปล่า...ไม่มีอะไร”
สยุมภูว์หันหลังกลับเดินเข้าบ้านไป พอหันหลังให้แววมยุรา สยุมภูว์ก็ฉีกยิ้มอย่างดีใจที่ได้ยินว่าเอกรินทร์กับแววมยุราไม่ได้เป็นแฟนกัน
เพิ่มพงษ์กำลังจะตักข้าวใส่ปาก แต่เขาก็ต้องชะงักเมื่อเหลือบเห็นสยุมภูว์นั่งเหม่อยิ้ม เหมือนตกอยู่ในภวังค์ เพิ่มพงษ์สะกิดแจ็คที่ก้มหน้าก้มตากินอย่างเอร็ดอร่อยให้มองไปที่สยุมภูว์
“ยิ้มค้างเลยนะพี่จักร” แจ๊คแซว
สยุมภูว์รู้สึกตัวจึงรีบทำหน้าบึ้งกลบเกลื่อน “หือ...อะไร ใครยิ้มอะไร”
“สงสัยคงจะเป็นเพราะเสน่ห์สาวข้างบ้านอีกล่ะซี้” เพิ่มพงษ์ดักคอ
สยุมภูว์สวน “แล้วถ้าใช่ล่ะ น้าเพิ่มจะว่าไง”
เพิ่มพงษ์รู้สึกเซอร์ไพรส์ “อ้าว...ยอมรับแล้วเหรอแก”
แจ็คกินหมดพอดีจึงเดินยกจานของตัวเองไปทางหลังบ้าน เพิ่มพงษ์เหลือบมอง พอเห็นแจ็คห่างออกไปก็รีบกระซิบ
“จะมัวมาจีบสาวข้างบ้านไม่ได้นะ ภารกิจที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นกำลังรอเราอยู่ ถ้าคุณสยุมภูว์ไม่รีบกลับไปบริหาร แล้วทศพลกรุ๊ปจะเดินหน้าไปได้ยังไง”
สยุมภูว์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แต่อย่าลืมว่า ทันทีที่เราเริ่มบริหารทศพลกรุ๊ป ก็เท่ากับเราแสดงตัวให้คนที่ตามฆ่าเราได้รู้ว่าเรายังไม่ตาย”
“อันนั้นผมว่ามันคงรู้แล้วมังครับ เพราะตามข่าวก็ไม่พบร่องรอยของศพในรถที่ถูกไฟคลอกเลย ผมถึงเตรียมการให้คุณสยุมภูว์บริหารงานจากออฟฟิศลับที่ร้านต้นไม้นั่นไงล่ะครับ”
“งั้นเราก็ควรแจ้งคุณนิติธรทราบ เพื่อให้คอยประสานงาน...” สยุมภูว์บอก
เพิ่มพงษ์รีบสวนขึ้น “ไม่ได้นะครับ นาทีนี้ ไม่ว่าใคร ผมก็ไม่ไว้ใจทั้งนั้น”
แจ็คเดินย้อนกลับออกมาถาม
“กินเสร็จกันรึยัง ผมจะเก็บจานชามไปล้างให้”
สยุมภูว์กับเพิ่มพงษ์ขยับออกห่างจากกันแล้วตักข้าวกินกันตามปกติ
สยุมภูว์หลบออกมาที่มุมลับตา สักพักเพิ่มพงษ์ก็เดินตามออกมา
สยุมภูว์หันไปถาม “แน่ใจนะครับ ว่าแจ็คจะไม่ตามมาขัดจังหวะอีก”
“ผมใช้ให้มันล้างจาน เก็บกวาดห้องอยู่ครับ คุณสยุมภูว์ไม่ต้องเป็นห่วง” เพิ่มพงษ์บอก
“เรื่องเปิดประชุมบอร์ดบริษัท ผมคิดว่าเราต้องติดต่อคุณนิติธรเป็นคนแรก พวกผู้บริหารคงไม่เชื่อหรอกครับว่ามันเป็นการสั่งการจากผม ถ้าไม่ได้รับการยืนยันจากคุณนิติธร”
เพิ่มพงษ์นึกออก “นั่นสินะ” เพิ่มพงษ์รู้สึกผิดหวังในตัวเอง “เพิ่มเอ๊ย..ข้ามสเต็ปท์สำคัญอย่างนี้ไปได้ไงวะเนี่ย”
“ผมเข้าใจครับว่าน้าเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย แต่ยังไงผมก็ยืนยันว่าคุณนิติธรไม่ใช่คนที่เราต้องระแวง”
“ครับ..ผมจะรีบติดต่อคุณนิติธรให้เร็วที่สุด เราจะได้เริ่มงานกันเสียที”
“ขอบคุณครับน้าเพิ่ม”
เพิ่มพงษ์เดินออกไปก็ได้ยินเสียงแตรรถดังขึ้น สยุมภูว์หันไปมองที่มาของเสียง เขาเห็นรถคันหนึ่งเข้ามาจอดที่หน้าบ้านแววมยุรา สยุมภูว์ทำหน้าหมั่นไส้แล้วก็เดินตรงไปดูด้วยความอยากรู้ว่าใครมาหาแววมยุรา
รถยนต์คันหรูแล่นมาเทียบจอดหน้าบ้านแววมยุรา คำรพก้าวลงมาจากรถด้วยชุดที่แต่งมาเต็มที่ ตามประสาเพลย์บอยหนุ่มใหญ่ เขายิ้มอย่างกรุ้มกริ่มพร้อมกับมองไปที่บ้านของแววมยุรา
วัณณรีนั่งกดบีบีแช็ทอยู่ภายในบ้าน ส่วนแววมยุรานั่งสเก็ตช์ภาพน้องสาวด้วยดินสอ สักพักเสียงกริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้น
“วัณ ไปดูหน่อยซิว่าใครมา” แววมยุราบอกน้องสาว
วัณณรีลุกขึ้นอย่างขัดใจที่แววมยุราขัดจังหวะการแช็ทของตน วัณณรีเดินไปสักครู่แววมยุราก็ได้ยินเสียงคนคุ้นเคยเดินเข้ามา แววมยุราหันไปมองอย่างตกใจ
เสียงคำรพดังขึ้น “ขอบคุณมากค่า”
คำรพเดินเข้ามาพร้อมกับวัณณรี โดยที่วัณณรียังงงๆ ว่าคำรพคือใคร
“นี่หนูเป็นน้องสาวของแววมยุราเค้าเหรอ อืม...อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ สวยไม่แพ้พี่สาวเลยนะนี่” คำรพทำสายตากรุ้มกริ่ม
แววมยุรารีบปราดมายืนบังวัณณรีไว้
“คุณคำรพ คุณรู้จักบ้านฉันได้ยังไง”
“จะยากตรงไหน คุณทำงานกับผมมาเป็นปี ผมก็แค่มาตามที่อยู่คุณแค่นั้น” คำรพบอก
“แล้วคุณมีธุระอะไร”
“ผมจะมาตามให้คุณกลับไปทำงานกับผมน่ะสิ”
แววมยุรากลัวว่าวัณณรีรู้ว่าตนออกจากงานแล้วจึงพูดกับน้อง “วัณ ขึ้นไปข้างบนไป”
วัณณรีอิดออดเพราะมือและสายตายังจดจ่อกับการแช็ทในบีบี
คำรพมองวัณณรี “ถ้าไม่แวะมาที่นี่ก็คงไม่รู้ว่าแววมีน้องสาวสวยแบบนี้”
“เราออกไปคุยกันนอกบ้านดีกว่าค่ะคุณคำรพ ทางนี้ค่ะ”
แววมยุราพยายามลากแขนคำรพที่ยังมองวัณณรีอย่างโลมเลียให้ออกไปด้านนอก
อ่านต่อหน้าที่ 2
แววมยุรา ตอนที่ 2 (ต่อ)
สยุมภูว์ยืนชะเง้อมองมาที่บ้านของแววเพราะได้ยินเสียงดังแว่วมา พอเห็นแววลากแขนคำรพเดินออกมายืนคุยกัน สยุมภูว์ก็รีบหลบและคอยเงี่ยหูฟังอยู่บริเวณนั้น
“ทำไมต้องออกมาคุยตรงนี้ด้วยล่ะ” คำรพถาม
“ก็คนในบ้านฉันยังไม่รู้ว่าฉันตกงานน่ะ ฉันไม่อยากบอก กลัวพวกเค้าไม่สบายใจ” แววบอก
“ก็เพราะคุณเป็นคนดีแบบนี้ไง ผมถึงอยากจะช่วยส่งเสียเลี้ยงดู”
แววไม่พอใจ “ว่าไงนะคะ”
“ปะ..เปล่า ไม่มีอะไร คุณกลับไปทำงานกับผมตามเดิมได้มั้ย”
“ถ้ามาเพราะเรื่องนี้ก็เชิญกลับไปเถอะค่ะ ฉันเกรงว่าคุณคำรพจะเสียเวลาเปล่า”
“ผมขึ้นเงินเดือนให้คุณอีก...ห้าสิบเปอร์เซ็นต์เลยเอ้า!”
“อีกห้าร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ไม่คุ้มหละค่ะ ถ้าจะต้องไปทำงานแล้วคอยหวาดผวาว่าจะโดนเจ้านายลวนลามมั้ย”
สยุมภูว์ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกขยะแขยงคำรพขึ้นมา
“วันนั้นผมแค่เมาน่ะ ผมขอโทษ” คำรพบอก
“ค่ะ อะไรที่ผ่านไปแล้ว ฉันถือซะว่าโปรดสัตว์ โปรดสัมภเวสี”
“หรือเอางี้มั้ย ถ้าแค่ขึ้นเงินเดือนแล้วคุณว่าไม่คุ้ม งั้นคุณก็ลองเสนอมา”
“เสนออะไรอีกล่ะคะ”
“ก็อยากได้อะไรล่ะ ให้ผมช่วยเคลียร์หนี้สินทุกอย่างให้เอามั้ย หรืออยากได้รถใหม่ซักคัน หรือคอนโดหรูๆ ซักห้อง แล้วอยากได้เงินเดือนละเท่าไหร่ก็ว่ามา...เอ้อ! คอนโดก็ดีนะ ผมจะได้แวะไปหาคุณบ่อยๆ ได้”
“คุณคำรพคะ กรุณาออกไปให้พ้นรั้วบ้านฉันด้วยค่ะ” แววฉุนหนัก
“ใจเย็นสิแวว เราคุยกันได้นะ อยากได้เงินเท่าไหร่ก็ว่ามา”
“นี่คุณคิดว่าเงินจะซื้อคนอย่างฉันได้เหรอคะ”
สยุมภูว์พยักหน้าชื่นชมในความคิดของแวว
“ลองเอาไปคิดดูก่อนมั้ย สมัยนี้เงินไม่ได้หาง่ายๆ นะ แล้วคิดว่าคุณจะหางานใหม่ในวงการรถยนต์ได้ง่ายๆ เหรอ เพิ่งไปสัมภาษณ์งานแล้วโดนเค้าปฏิเสธมาไม่ใช่เหรอคุณน่ะ”
“คุณรู้ได้ไง” แววชักเอะใจ “นี่คุณอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ใช่มั้ย คุณเป็นคนบอกให้เค้าไม่รับฉันเข้าทำงานใช่มั้ย”
“ใช่! ผมเป็นคนสั่งเอง ในวงการนี้ ใครๆ เค้าก็เกรงใจผมกันทั้งนั้น แค่ดูประวัติคุณว่าเคยทำงานกับผม เค้าก็รีบโทรมาบอกผมแล้ว”
“ทำไมคุณถึงต้องตามจองเวรกับฉันแบบนี้”
“จองเวรอะไร จะมองผมในแง่ร้ายเกินไปแล้ว ผมเสนอสิ่งที่ดีกว่าให้คุณอยู่ต่างหาก คุณคิดดูสิ คนเราทุกวันนี้อยู่ได้ก็ด้วยเงิน ทุกสิ่งทุกอย่างก็วัดกันที่เงินทั้งนั้น”
“แต่ถ้าต้องรวยแล้วทำตัวน่ารังเกียจอย่างคุณ ฉันขออดตายอย่างมีศักดิ์ศรีดีกว่า”
สยุมภูว์รู้สึกชื่นชมผู้หญิงคนนี้มากยิ่งขึ้น
“ลองเอาไปพิจารณาก่อนมั้ย...คนฉลาด เค้าไม่ปฏิเสธหรอกนะ ถ้ามีเงินมากองอยู่ตรงหน้าน่ะ”
“งั้นฉันคงเป็นคนโง่น่ะค่ะ กรุณาออกไปจากบ้านฉัน อย่าให้คนโง่คนนี้ต้องตะโกนไล่ตะเพิดคนที่ทั้งฉลาดทั้งมีเงินอย่างคุณเลย” แววพยายามเก็บอาการ
คำรพเดินออกมาเปิดรั้วแล้วหันกลับไปพูดเสียงดัง
“คอยดูเหอะ วันนึงที่คุณเดือดร้อน คุณจะต้องนึกถึงผม แล้วคุณก็จะเป็นฝ่ายโทรมาหาผมเอง”
คำรพเดินมาขึ้นรถ แล้วปิดประตูเสียงดัง ก่อนจะกระชากรถออกไปอย่างอารมณ์เสีย
แววนั่งหมดเรี่ยวแรงอยู่ที่หน้าบ้าน น้ำตาของเธอไหลเอ่อออกมา แม้ว่าเธอจะหยิ่งในศักดิ์ศรีแต่ก็เริ่มรู้สึกท้อกับการหางานหาเงิน สยุมภูว์โผล่หน้ามาเกาะรั้วถามแวว
“เป็นไงบ้าง”
แววเห็นสยุมภูว์ก็รีบลุกขึ้นมาปาดน้ำตา
สยุมภูว์ถามต่อ “โอเครึเปล่าเธอน่ะ”
“จะมาเยาะเย้ยอะไรฉันอีกล่ะ ทำไมฉันถึงต้องเจอแต่ผู้ชายห่วยๆ แบบนี้นะ” แววบ่น
“เฮ้ย...ไม่คิดว่าฉันจะเห็นใจเธอบ้างเหรอ”
“คนอย่างนายเนี่ยนะ เอาสิ ว่ามาเลย จะซ้ำเติมอะไรฉันอีกก็เชิญเลย”
“เฮ่ย...เธอเป็นอะไรเนี่ย ทำไมถึงคิดว่าฉันเป็นคนแบบนั้น”
“ก็เพราะฉันรู้จักนิสัยนายไง เอาซี้...จะเยาะเย้ยซ้ำเติมอะไรฉันก็ว่ามา มาหนักๆ เลย มัวเฉยอยู่ทำไมล่ะ”
“นี่! แวว เผื่อเธอจะยังไม่รู้นะ ฉันไม่ใช่คนใจยักษ์ใจมารอะไรแบบนั้น”
“นายไม่ต้องฝืนหรอก มา..จะซ้ำเติมอะไรก็รีบๆ ซะ เพราะถ้าฉันยังตกงานอยู่อย่างงี้ อีกหน่อยบ้านนี่คงโดนยึด ถึงเวลานั้นฉันคงไม่อยู่เสนอหน้าให้นายคอยเยาะเย้ย ซ้ำเติมแล้วนะ”
“แวว...”
แววน้ำตาไหลรินออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ เธอรีบยกมือปาดน้ำตาแล้วหันเดินเข้าบ้านไป สยุมภูว์รู้สึกเห็นใจและสงสารแววขึ้นมาจับใจ
สยุมภูว์นอนตะแคงพลิกตัวไปมาอย่างคนนอนไม่หลับอยู่ภายในห้องของเขา สยุมภูว์นอนก่ายหน้าผากและลืมตาโพลงในความมืด ความรู้สึกเห็นใจแววยังท่วมท้น
สักพักคำพูดของแววก็แว่วเข้ามาในความคิด
“นี่คุณคิดว่าเงินจะซื้อคนอย่างฉันได้เหรอคะ”
สยุมภูว์ยิ้มอย่างรู้สึกประทับใจในความคิดของผู้หญิงคนนี้
ณ ร้านตัดผมชายที่มีระดับ นิติธรกำลังนอนหลับตาให้ช่างกันหนวดเคราให้ เมื่อเสร็จแล้วจึงลืมตาขึ้น สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นตกใจเมื่อเห็นว่าเพิ่มพงษ์มานั่งเก้าอี้ตัดผมใกล้ๆ
“คุณเพิ่มพงษ์” นิติธรมองไปรอบๆร้าน “คุณสยุมภูว์ล่ะครับ”
“เรียกหาแต่คุณสยุมภูว์..ใจคอจะไม่คุยกับผมหรือไง” เพิ่มพงษ์ถาม
นิติธรรู้สึกดีใจ “ผมดีใจที่ได้เจอคุณอีกครั้งน่ะคุณเพิ่มพงษ์..คุณกับคุณสยุมภูว์ไม่เป็นอะไรนะครับ คุณรู้ไหมผมเป็นห่วงคุณแทบแย่ ท่านนายพลเพื่อนคุณสีหราชส่งลูกน้องออกตามหาก็หาไม่เจอ คุณพาคุณสยุมภูว์ไปซ่อนตัวที่ไหน”
“ถามรัวซะขนาดนี้ จะโกรธไหมครับถ้าผมจะตอบแค่ว่าเราอยู่ในที่ปลอดภัยครับ ไม่ต้องเป็นห่วง”
“แล้วคุณสยุมภูว์จะกลับมาทำงานเมื่อไรครับ” นิติธรถามต่อ
“คุณสยุมภูว์จะกลับมาครับและระหว่างนี้เราจะคุยงานกันผ่านวีดีโอ คอนเฟอร์เร้นซ์..คุณสยุมภูว์ขอพบบอร์ดบริษัทในวันพรุ่งนี้ คุณนิติธรช่วยประสานด้วยนะครับเพราะนี่คือการสร้างความมั่นใจให้กับหุ้นส่วนทุกท่านที่มีต่อทศพลกรุ๊ปของเรา”
“ได้ครับ..ทุกคนต้องยินดีแน่ๆ ที่จะได้พบคุณสยุมภูว์ในวันพรุ่งนี้”
“งั้นตามสบายเลยนะครับ”
เพิ่มพงษ์ส่งสายตาเป็นสัญญาณให้ช่างตัดผมเอาผ้าเย็นมาประคบหน้าให้นิติธร เมื่อเปิดผ้าออก เพิ่มพงษ์ก็หายไปแล้ว
นิติธรมองไปรอบๆ “คุณเพิ่มพงษ์”
หลังจากรู้เรื่องของสยุมภูว์กับเพิ่มพงษ์จากปากของพ่อตัวเอง นิติภูมิก็ทำหน้าประหลาดใจ แต่นิติธรไม่ได้สนใจเพราะกำลังเตรียมเอกสารบนโต๊ะทำงานของเขาอยู่
“นายสยุมภูว์จะเรียกประชุมบอร์ดพรุ่งนี้เหรอครับ”
“ ใช่..แล้วแกมีธุระอะไรจะคุยกับพ่อหรือเปล่า พ่อจะรีบเข้าบริษัท”
“ผมจะมาถามเรื่องนายสยุมภูว์นี่แหละ” นิติภูมิพูดด้วยเสียงเย็นชา “ไม่นึกว่าจะได้ยินข่าวดีอย่างนี้”
นิติธรเตรียมเอกสารเสร็จแล้วก็จะเดินออกไป แต่แล้วเขาก็หยุดชะงักแล้วหันมาบอกนิติภูมิ
“พ่อว่าแกควรจะเข้าประชุมด้วย คุณสยุมภูว์ไม่เคยเจอแกมาก่อนเลยนี่”
“ก็ดีครับพ่อ ผมก็อยากเจอเขาเหมือนกัน”
นิติธรนิ่งคิดสักพัก “ฉันนึกว่าแกจะปฏิเสธเหมือนที่ฉันชวนแกคราวก่อน”
“ที่ผมไปก็เพราะพ่อจะได้เลิกชวนผมเสียที”
นิติธรไม่อยากต่อปากต่อคำ เขาจึงเดินออกจากห้องไป นิติภูมิยิ้มและรำพึงเบาๆ
“ขอให้มันเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ฉันจะได้เห็นหน้าแกเถอะ”
ลูกค้าหญิงวัย 30 สองคนหอบต้นไม้เล็กๆ ที่ใส่ถุงพลาสติกเต็มสองมืออยู่ในร้านต้นไม้ของเพิ่งพงษ์ เพิ่มพงษ์ยืนอยู่ใกล้ๆ เอ่ยถามขึ้น
“ให้ลูกน้องผมช่วยยกไปให้ที่รถมั้ยครับ” เพิ่งพงษ์หันไปเรียก “ไอ้แจ็ค...ไอ้แจ็ค”
“ไม่เป็นไรค่ะ” ลูกค้าหญิงตอบ
ลูกค้าหญิงสองคนเดินออกไป เพิ่มพงษ์ขยับก้มจะยกกระถางแต่แล้วปวดหลัง เขารีบยืนขึ้นมา อย่างชักจะอารมณ์ไม่ดี
“เวลางานมันหายหัวไปไหน”
เพิ่มพงษ์เดินไปในร้าน พอพ้นแนวต้นไม้เขาก็เห็นแจ็คนอนเล่นสบายใจอยู่บนเก้าอี้ยาวใต้ต้นไม้ เพิ่มพงษ์ฉุนขาดเดินเข้าไปตบหัวแจ็คเต็มแรง
“โอ๊ย” แจ๊คกุมหัว “เรียกกันดีๆ ก็ได้ ทำไมต้องตบหัวผมด้วย”
เพิ่มพงษ์ลากแจ็คให้เดินตามมา “คิดจะช่วยกันบ้างมั้ย แอบนอนเวลางานอย่างงี้ เป็นใครฉันก็ตบกระจาย ไม่มียกเว้น”
พูดไม่ทันขาดคำ เพิ่งพงษ์กับแจ๊คหันไปอีกทางก็เห็นสยุมภูว์นั่งสัปหงกอยู่บริเวณที่ร่มรื่น
“เอาสิ ทีผมน้ายังตบซะหัวกระเซิง” แจ๊คบอก
เพิ่มพงษ์หน้าแหย “เอ่อ...”
“ไหนบอกตบกระจายไม่มียกเว้นไง น้าเพิ่มเป็นผู้ใหญ่ พูดจาอะไร ก็ต้องรักษาคำพูดนะ ไม่งั้นเด็กมันจะไม่นับถือเอา”
เพิ่มพงษ์รู้สึกฝืนใจสุดๆ แต่ก็กลั้นใจพูดออกมา “เอาวะ”
เพิ่มพงษ์เดินไปตบหัวสยุมภูว์ทีหนึ่งแต่เบากว่าที่ตบแจ็ค แต่ก็เล่นเอาสยุมภูว์สะดุ้งตื่นทันที
“อะไรเนี่ย” สยุมภูว์กุมหัวป้อยๆ แล้วมองหน้าเพิ่มพงษ์ “น้าเพิ่มตบหัวผมเหรอ”
“เอ่อ...” เพิ่งพงษ์อึกอัก
แจ็ครีบบอก “ก็ใช่น่ะสิ จะใครซะอีก”
เพิ่มพงษ์นึกหาข้อแก้ตัว “เอ่อ...คือ...อ๋อ..ยุงน่ะ ยุงมันจะกัด เลยตบให้”
“อ้อ..เหรอ ขอบคุณครับ” สยุมภูว์บอก
“โห..ช่างกล้า ตบหัวเค้าแล้วยังให้เค้าขอบคุณด้วยเนี่ยนะ” แจ๊คเซ็ง
เพิ่มพงษ์แยกเขี้ยวใส่แจ็ค แจ็คหลบตาเพราะกลัวเจอด่า
สยุมภูว์กับเพิ่มพงษ์เดินไปที่บริเวณหน้าห้องทำงานลับ สยุมภูว์อ้าปากหาวโดยยกมือขึ้นปิดแทบไม่ทัน เพิ่มพงษ์เหลือบเห็นแจ็คอยู่ด้านหลังห่างๆ ก็เลยทำเสียงเข้มใส่สยุมภูว์
“เมื่อคืนนอนไม่หลับเหรอแกน่ะ”
สยุมภูว์พยักหน้า “มัวแต่เป็นห่วงน่ะ”
“อ๋อ”เพิ่งพงษ์กระซิบ “เป็นห่วงงานของทศพลกรุ๊ป”
“เป็นห่วงแววน่ะ” สยุมภูว์บอก
เพิ่มพงษ์กำลังเดินมาถึงประตูได้ยินดังนั้นก็ถึงกับชะงัก เขาหันมามองหน้าสยุมภูว์ แต่เหลือบเห็นแจ็คจ้องมองอยู่
เพิ่มพงษ์หยิบกุญแจไขประตูที่ล็อคแน่นหนาแล้วพูด “เข้าไปคุยกันข้างในดีกว่า”
ทั้งสองเดินเข้าไปแล้วปิดประตู แจ็คเดินมาดูใกล้ๆ อย่างสงสัยใคร่รู้
“ในห้องมีอะไรวะ น้าเพิ่มถึงหวงห้ามไม่ยอมให้เราเข้าไป...” แจ๊คบ่น
ทันทีที่เปิดเข้ามาในห้องทำงานลับ เพิ่มพงษ์ถึงกับรีบยกมือไว้สยุมภูว์ สยุมภูว์รับไหว้แทบไม่ทัน
“ขอโทษนะครับ คุณสยุมภูว์”
“ผมรู้น่าว่าต่อหน้าแจ็คต้องแสดงให้สมบทบาท..แต่มือหนักไปหน่อยมั้ยครับเนี่ย” สยุมภูว์บ่น
“เบาๆ ก็ไม่เนียนสิครับ เดี๋ยวไอ้แจ๊คมันจะจับได้”
“อย่าให้เนียนกว่านี้ก็แล้วกัน...คุณนิติธรรู้แล้วใช่ไหมครับว่าเรามีประชุมกันพรุ่งนี้”
“ครับ..คุณสยุมภูว์พร้อมแล้วใช่ไหมครับ”
“ถ้าทุกคนพร้อมแล้วผมจะไม่พร้อมได้ไง”
สยุมภูว์พูดด้วยสีหน้ามั่นใจสุดๆ เพิ่มพงษ์เห็นดังนั้นก็ยิ้มกว้าง
นิติภูมิยืนคุยกับศักดาที่ท่าน้ำร้างแห่งเดิม
นิติภูมิพูดด้วยท่าทางสบายใจ “แกตามหาพวกมันไม่เจอ แต่มันจะมาเสนอหน้าให้ฉันเห็นพรุ่งนี้แล้ว”
“คุณนิติภูมิจะให้ผมทำยังไงต่อครับ” ศักดาถาม
“รอจนกว่าฉันจะสั่ง..ว่าจะจัดการกับมันยังไง”
“ผมจะไม่ปล่อยให้พลาดอีกแล้วครับ คุณนิติภูมิ”
“มันก็ไม่ควรจะพลาดซ้ำสองหรอกนะ ศักดา”
ศักดาก้มหน้าก้มตาด้วยความรู้สึกผิด
ชลธิชาและเริงใจต่างก็ยืนกอดอกเอามือข้างหนึ่งท้าวคางพร้อมกับมองบริเวณสวนหน้าร้านตนอย่างพิจารณา
“รู้สึกเหมือนฉันมะเริงใจ” ชลธิชาถาม “มุมเนี้ย ถ้าหาต้นไม้มาลงเพิ่มเติมหละก็ คงจะสวยขึ้นเยอะเลย”
เริงใจมองแล้วคิดตาม “อืม..แล้วถ้าจัดสวนเพิ่มอีกนิด คงจะดูชิล ดูน่านั่งขึ้นเยอะ แต่ฉันก็นึกไม่ออกหรอกนะว่าเราควรจะซื้อต้นอะไร ควรจะจัดสวนยังไง”
“ฉันก็พอกับเธอแหละ เรื่องต้นไม้นี่ขอออกตัวเลยว่า...ไม่รู้อะไรเลย” ชลธิชายอมรับ
“เหมือนกัน นอกจากต้นมะพร้าวแล้ว ฉันแทบไม่รู้เลยว่าต้นไหนเรียกว่าอะไร”
“งั้น...เราจะพึ่งใครดีล่ะ”
“เรื่องต้นไม้...ก็ต้องถามผู้ชายสิเธอ” เริงใจบอก
“ผู้ชาย...ใครเหรอ?”
ชลธิชามีสีหน้าสงสัย
ชลธิชากับเริงใจมายืนอยู่หน้าร้านต้นไม้ของเพิ่งพงษ์ เริงใจกำลังพูดโทรศัพท์มือถือคุยกับเอกรินทร์อยู่
“คุณเอกเหรอคะ นี่เริงใจนะ ฉันกับธิชามาถึงร้านต้นไม้แล้วนะคะ ค่ะ โอเคค่ะ แล้วเจอกัน” เริงใจกดปุ่มวางหู
ชลธิชาถาม “คุณเอกอยู่ไหนแล้ว”
“อ๋อ..เค้าบอกแวะไปรับยัยแววมาด้วยกันน่ะ ใกล้ถึงแล้วหละ” เริงใจมองไปที่ร้านต้นไม้ “ร้านเนี้ย คุณเอกเค้าบอกว่ายัยไลลาเป็นคนแนะนำ”
“ไลลาที่เคยโทรมาด่าฉัน แล้วก็เคยตบกับยัยแววน่ะเหรอ” ชลธิชาถาม
“น่านแหละ คุณเอกบอกยัยไลลาเม้าธ์ให้ฟังว่าคนขายต้นไม้ร้านนี้หล่อสุดๆ ด้วยนะเธอ”
ทั้งสองเดินไปเจอชายคนหนึ่งยืนหันหลังให้อยู่ ชลธิชารีบสะกิดให้เริงใจหยุดพูดแล้วชี้ไปพร้อมกับพูดเบาๆ
“สงสัยคนนี้แหละ”
เริงใจรีบสะกิดชายคนนั้น “ขอโทษค่ะ ที่นี่รับจัดสวนด้วยใช่ไหมคะ”
ผู้ชายคนนั้นหันมา สองสาวจึงเห็นว่าเป็นแจ็คยิ้มเผล่ต้อนรับพวกเธอ
“ใช่แล้วครับ คุณผู้หญิงมาถูกที่แล้ว”
ชลธิชากับเริงใจหันมองหน้ากันอย่างผิดหวัง
“เข้าไปดูต้นไม้กันดีกว่า ไป!” เริงใจบอก
ชลธิชากับเริงใจเดินลิ่วเข้าไปในร้าน แจ็คมองตามอย่างงงๆ เพราะคิดในใจว่าเราทำอะไรผิดวะ
เพิ่มพงษ์เดินนำชลธิชากับเริงใจชมต้นไม้ภายในร้าน
“ไอ้เรื่องการจัดสวนเนี่ย ควรจะยอมลงทุนซักนิดให้มืออาชีพจัดให้ดีกว่านะครับ คือมันไม่ใช่แค่การเลือกซื้อต้นไม้ไปวางๆ แต่มันรวมไปถึงการจัดทางเดิน การเตรียมดิน การเลือกแบบกระถาง หรือบางคนอาจจะอยากมีบ่อน้ำ...” เพิ่งพงษ์แนะนำ
เริงใจกับชลธิชาเดินทิ้งระยะห่างให้เพิ่มพงษ์เพลินกับการเดินสาธยายอยู่คนเดียว
เริงใจกระซิบกับชลธิชา “ฉันว่าเราโดนอำแน่เลย ที่ว่าร้านนี้มีคนหล่อน่ะ”
“นี่..ยัยเริงใจ เรามาหาคนไปจัดสวนนะ ไม่หล่อก็ไม่เป็นไรน่ะ นี่..ดูสิ ต้นนี้ก็สวยดีนะ”
เริงใจกับชลธิชาเดินมาหยุดก้มดูต้นไม้ต้นหนึ่ง สักพักก็มีผู้ชายคนหนึ่งมายืนด้านหลัง
“สนใจต้นนี้เหรอครับ” ชายคนนั้นถาม
เริงใจกับชลธิชาเงยหน้ามาเห็นก็เก็ททันทีว่าคนหล่อที่ไลลาบอกต้องเป็นคนนี้แน่นอน เริงใจสะกิดชลธิชาอย่างตื่นเต้น
“โทษนะคะ” เริงใจพูดขึ้น “ถ้าจ้างให้ร้านนี้จัดสวน คุณ...จะไปช่วยจัดด้วยใช่ไหมคะ”
เพิ่มพงษ์เดินย้อนกลับมา “ใช่ครับ ไอ้จักร ฝากดูแลคุณๆ เค้าด้วยนะ เดี๋ยวฉันไปยกของกับไอ้แจ็คทางโน้นก่อน” เพิ่งพงษ์เดินออกไป
เริงใจยืนส่งยิ้มให้สยุมภูว์อย่างออกนอกหน้า
“ชื่อจักรเหรอคะ ฉันชื่อเริงใจ แล้วนี่ ธิชาเป็นเจ้าของร้านกาแฟน่ะค่ะ” เริงใจแนะนำตัว
“ครับ...สวัสดีครับ” สยุมภูว์ตอบรับ
“นี่ค่ะ เพื่อให้เห็นภาพ” เริงใจเปิดโทรศัพท์มือถือให้ดู “ร้านกาแฟที่อยากให้ไปจัดสวนน่ะค่ะคุณจักร”
สยุมภูว์ก้มมองดูภาพในโทรศัพท์มือถืออย่างตั้งใจ ชลธิชาหันไปเห็นแววเดินเข้ามาก็สะกิดเริงใจ
“มากันแล้ว”
เริงใจหันไปเรียกเสียงดัง “คุณเอก..ยัยแวว”
พอได้ยินคำว่าแวว สยุมภูว์ก็สะดุ้งและเหลือบสายตาไปมอง แล้วเขาก็ต้องตาโตตกใจที่เห็นแววเดินมากับเอกรินทร์ แววยิ้มร่าให้เพื่อนแล้วก็ต้องตกใจที่เห็นสยุมภูว์
“นายจักร”
สยุมภูว์หลุดปากออกมาเบาๆ “แวว”
“คุณ...ที่อยู่ข้างบ้านแววนี่” เอกรินทร์จำได้
ชลธิชากับเริงใจงงเป็นไก่ตาแตก
“นี่รู้จักกันด้วยเหรอ” ชลธิชาถาม
“งั้นก็ดีเหมือนกันนะ เผื่อได้ราคาพิเศษไง” เริงใจดีใจ
“ฉันว่าไปร้านอื่นดีกว่า” แววบอก
“อ้าว! ทำไมล่ะแวว ก็รู้จักกัน เป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ” ชลธิชางง
“รู้จักน่ะใช่ แต่ฉันไม่นับเป็นเพื่อน” แววบอก
เอกรินทร์พยายามประนีประนอม “แวว...ไม่เอาน่ะคุณ”
“แถวนี้ไม่มีร้านอื่นแล้วเหรอ ที่รับจัดสวนน่ะ” แววถาม
“ผมไม่เคยเห็นเลยนะ” เอกรินทร์บอก
“เห็นอีกร้าน ก็ต้องไปแถวชานเมืองโน่นน่ะ ค่าขนส่งก็แพงขึ้นตามระยะทางนะเธอ” ชลธิชากระซิบบอกแวว “ขอเหอะ ฉันขี้เกียจไปร้านอื่นแล้ว”
แววรู้สึกขัดใจแต่ก็ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ เริงใจดึงแขนชลธิชาไปอีกทาง เอกรินทร์ขยับเดินตาม
“อุ๊ย! มาดูต้นนี้สิเธอ สวยดีนะ เรียกต้นอะไรเนี่ย” เริงใจดึงแขนชลธิชา
แววยืนอยู่กับสยุมภูว์แค่สองคน แววมองหน้าสยุมภูว์อย่างไม่พอใจ สยุมภูว์ยิ้มเยาะใส่แล้วพูด
“เคยได้ยินมั้ย เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง”
“เคยได้ยินสิ แล้วไงเหรอ” แววถามกลับ
“ก็เหมือนเธอที่เกลียดฉันเข้าไส้ แต่สุดท้าย ก็ต้องยอมจ้างฉันไปจัดสวนไง”
สยุมภูว์เดินตามเพื่อนๆ แววไป พอจะเดินผ่านแวว เขาก็ยิ้มเยาะอย่างมีชัย แววจ้องอย่างอยากจะเอาคืน
เพิ่มพงษ์ สยุมภูว์ และแจ็คช่วยกันยกกระถางต้นไม้ขึ้นท้ายกระบะรถจนเต็ม เอกรินทร์คอยช่วยบ้าง โดยมีเริงใจ แวว และชลธิชายืนดู
“เรียบร้อย” เพิ่งพงษ์พูดกับสยุมภูว์และแจ็ค “เดี๋ยวแกสองคนไปจัดสวนให้พวกคุณๆ เค้าด้วย ฉันต้องอยู่เฝ้าร้าน” เพิ่งพงษ์หันมาพูดกับทั้งสี่คน “ผมขอตัวไปล้างมือก่อนครับ ขอบคุณที่มาอุดหนุนนะครับ”
สยุมภูว์กับแจ็คเตรียมจะขึ้นรถ แววยิ้มร้ายๆ แล้วโพล่งขึ้นมา
“เดี๋ยวก่อน! นายจักร”
สยุมภูว์หันไปมองแล้วเลิกคิ้วเชิงถาม
“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว” แววชี้ที่กระถางต้นไม้บนกระบะรถ “ยกลงให้หมดเลย”
สยุมภูว์กับแจ็คตกใจ “หา?!”
“ทำไม ฉันจะเปลี่ยนเป็นต้นอื่นไม่ได้หรือไง” แววถาม
เอกรินทร์ปราม “แวว...เกรงใจคุณเค้าน่ะ”
“ไม่เป็นไรนี่คะ ยังไงเราก็เป็นลูกค้า” แววหันไปหาแจ็ค “นี่ๆๆ นายไม่ต้อง ฉันขอให้นายจักรยกต้นไม้ลงคนเดียว”
“เฮ้ย...แวว แรงไปป่าว?” เริงใจถาม
“นั่นสิ จะดีเหรอแวว” ชลธิชาทักเพื่อน
“ไว้ใจน่า เรื่องจัดสวนร้านเธอเนี่ย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเอง” แววพูดกับสยุมภูว์ “เอ้า! เร็วสิ!”
“ไม่มีปัญหาครับ ถ้าใจดำกล้าใช้ขนาดนี้ ผมก็กล้าจัดให้”
แววยิ้มสะใจ ขณะที่ชลธิชา เริงใจ และเอกรินทร์ชักรู้สึกอึดอัด
เวลาผ่านไป ต้นไม้ถูกยกลงมาจากกระบะรถมาวางกับพื้นจนเกือบหมด เหลืออีกสองกระถาง แล้วสยุมภูว์ก็ยกลงมาจนหมด เขารู้สึกเหนื่อยจนแทบหอบ
“แล้วตกลงจะให้ผมยกต้นอะไรขึ้นรถแทนครับ พวกคุณเลือกกันรึยัง”
ชลธิชา เริงใจ และเอกรินทร์หันไปมองที่แวว
สยุมภูว์ถามแวว “ว่าไงเธอ จะให้ยกต้นอะไร กระถางไหน ก็รีบไปเดินเลือกซะสิ”
แววทำท่าเหมือนจะเดินเลยเข้าไปในร้าน แต่แล้วก็หยุด แล้วชี้ไปที่ต้นไม้ทั้งหมดที่สยุมภูว์เพิ่งยกลงมา
“ยกพวกเนี้ยขึ้นรถซะ” แววสั่ง
สยุมภูว์ตกใจ “ห๊ะ!? ที่เพิ่งยกลงมาทั้งหมดเนี่ยนะ”
“ใช่...ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ยกทั้งหมดนี่กลับขึ้นรถตามเดิม”
ชลธิชา เริงใจ และเอกรินทร์พูดพร้อมกันด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ “แวว...”
สยุมภูว์ถอนใจ แต่ก็พยายามสะกดกลั้นอารมณ์โกรธ แจ็คเริ่มเดือดแทนจึงเอ่ยออกมา
“คุณครับ อย่างงี้มันจะไม่เกินไปหน่อยเหรอครับ”
“เกี่ยวอะไรกับนาย ฉันสั่งนายจักรตะหาก” แววบอก
“แต่พี่จักรเป็นลูกพี่ผม ถ้าคุณแกล้งพี่จักร ก็เท่ากับแกล้งผมด้วย” แจ๊คพูด
สยุมภูว์ปราม “ไอ้แจ็ค ไม่เอาน่า...”
“พี่จักรไม่เห็นเหรอ ว่าเจ๊คนนี้เค้าตั้งใจแกล้งพี่น่ะ”
แววฉุน “นี่กล้าเรียกฉันว่าเจ๊เหรอ”
สยุมภูว์พูดกับแจ็ค “แกมันไม่รู้อะไร ผู้หญิงแกล้งเนี่ย แปลว่าผู้หญิงเค้ารักนะ”
แววสะดุ้ง “หา?!!”
“จริงดิพี่ คล้ายๆ กับ ผู้หญิงด่า แปลว่าผู้หญิงรัก เหรอพี่” แจ๊คถาม
“ใช่...ทำนองนั้น แบบที่เค้าบอกไงว่า รักดอก...จึงหยอกเล่น”
แจ็คกับสยุมภูว์ตีมือกันแล้วก็ยิ้มขำชอบใจ แววรู้สึกขัดใจ เธอหันไปเจอเพื่อนๆ กำลังยิ้มและกลั้นขำกันอยู่ เพื่อนๆ เห็นแววตาเขียวใส่ก็รีบเก็บอาการทันที
สยุมภูว์กับแจ็คช่วยกันยกกระถางต้นไม้กระถางสุดท้ายจากท้ายรถกระบะที่จอดหน้าร้านกาแฟ แล้วเดินไปที่มุมร้านกาแฟที่จะจัดสวน ที่นั่นมีกระถางต้นไม้ต้นอื่นๆ มีถุงดิน และถุงปุ๋ยมูลวัวที่อยู่ในกระสอบเล็กๆ ซึ่งแพ็คเรียบร้อยวางอยู่
สยุมภูว์กับแจ็คนั่งเอนหลังพักเหนื่อยได้เพียงแค่อึดใจ แววก็มายืนกอดอกถาม
“อู้งานเหรอ”
“อ้าว...เจ๊ พวกผมก็เป็นคนนะครับ ใจคอจะไม่ให้ได้หยุดพักกันเลยรึไง” แจ๊คบอก
แววมองแจ็ค “เลิกเรียกฉันว่าเจ๊ได้มั้ย นายจะพักก็พักไป” แววพูดกับสยุมภูว์ “แต่นายจักรพักไม่ได้ เพื่อนๆ ฉันมอบหมายให้ฉันเป็นคนคุมงานนี้ ฉันจะสั่งอะไร นายก็มีหน้าที่แค่ทำตามเท่านั้น”
“ก็ได้ เอ๊า! เธออยากจะใช้อะไรก็ใช้ฉันมา” สยุมภูว์บอก
“ไม่ต้องห่วง ฉันใช้แน่” แววยิ้มร้ายๆ
อ่านต่อหน้าที่ 3
แววมยุรา ตอนที่ 2 (ต่อ)
สยุมภูว์กับแจ็คช่วยกันจัดสวนโดยมีแววคอยชี้นิ้วสั่ง สองหนุ่มเทดินจากกระสอบเล็กๆ แล้วปูหญ้าคลุมดินเล็กๆ สยุมภูว์กับแจ็คยกกระถางมาจัด โดยมีแววคอยชี้นิ้วสั่งไม่หยุด แววชี้นิ้วทางโน้นที ทางนี้ที จนทั้งสองต้องย้ายกระถางกันไปมา ซ้ายทีขวาทีเป็นว่าเล่น และไม่ว่าสยุมภูว์กับแจ็คจะจัดอย่างไร แววก็เอาแต่ท้าวสะเอวส่ายหน้าทำท่าไม่พอใจ เธอต้องสั่งเปลี่ยนตลอดจนสยุมภูว์กับแจ็คอดทนไม่ไหวแทบจะระเบิดออกมา สุดท้าย แววก็สั่งรื้อจนเละเทะ สองหนุ่มอ่อนใจเพราะเหมือนกับต้องย้อนมาสู่จุดเริ่มต้นใหม่
แววนั่งดื่มน้ำผลไม้เย็นๆ อย่างชื่นใจ สยุมภูว์กับแจ็คนั่งกลืนน้ำลายเอื้อกลงคอแล้วมองอย่างกระหาย
“ใช้งานยังกะวัว แต่ให้อดน้ำยังกะอูฐ” สยุมภูว์บ่น
“น้ำซักแก้วก็ยังไม่มี ดูท่าทางยัยนี่จะจงเกลียดจงชังพี่เหลือเกินนะ ถามจริง พี่เคยไปทำอะไรเค้ารึเปล่า” แจ๊คถาม
“แกจะบ้าเหรอ ร้ายอย่างยัยเนี่ย ใครจะกล้าไปทำอะไร”
แววกระแอมเสียงดัง “อะแฮ่ม...นินทาอะไรฉันยะ”
“หูดีขึ้นมาเลยนะ ทีก่อนขอน้ำกินทำไม่ได้ยิน” สยุมภูว์ประชด
“ได้ยิน แต่ไม่ใช่หน้าที่ฉัน นายมีอาชีพรับจัดสวน ไปทำงานที่ไหนก็ควรจะเตรียมกระติกน้ำของตัวเองมาเอง ไม่ควรรบกวนผู้ว่าจ้างแบบนี้” แววพูด
สยุมภูว์พูดกับแจ็คแบบประชดฟาดงาไปที่แวว “คนเรานะไอ้แจ็ค ไม่มีน้ำดื่ม เราไม่ว่ากัน แต่ไม่มีน้ำใจนี่สิ น่าจะพิจารณาตัวเองบ้างนะ”
แววเอ่ยเสียงดัง “นี่! ฉันได้ยินนะ”
“ฉันตั้งใจจะพูดให้เธอได้ยินอยู่แล้ว” สยุมภูว์บอก
“งั้นวันนี้พวกนายกลับไปเลยไป แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ เก็บข้าวของ กระสอบดินอะไรนี่ออกไปให้หมดด้วยล่ะ” แววสั่ง
สยุมภูว์รับคำด้วยน้ำเสียงประชด “จ้า...” แล้วเขาก็พูดกับแจ็ค “เก็บของๆ ขอบคุณลูกค้าเราซะ ที่อุตส่าห์ทำให้เราต้องเหนื่อยเพิ่มอีกวัน”
แจ็คมองหน้าแววอย่างฉุนๆ แล้วก็พูดประชด “ขอบคุณคร้าบ”
แววเสียงแข็งใส่ “ไม่เป็นไร”
แจ็คสะดุ้ง เขามองแววอย่างหวาดๆ
สยุมภูว์กับแจ็คช่วยกันเก็บถุงกระสอบดิน และถุงกระสอบปุ๋ย ทั้งสองเห็นว่ามีเศษดินเศษปุ๋ยมูลสัตว์แห้งติดอยู่ที่ถุงกระสอบปุ๋ย สยุมภูว์แอบขยิบตาส่งซิกให้แจ็คทันที
แววนั่งดูดน้ำอย่างสบายใจ ทันใดนั้นก็มีเศษดินดำๆ ปลิวมาใส่หน้า ใส่ตัว แถมยังปลิวเข้าปาก แววต้องถุยออก
แจ็คกับสยุมภูว์ยืนสะบัดถุงกระสอบเพื่อจะพับเก็บอย่างตั้งใจแกล้ง
“หยุด...” แววพูดเสียงดังขึ้น “หยู๊ดดด!! ทุ๊ย...แหวะ...บอกให้หยุด ปลิวเข้าปากฉันแล้ว”
ทั้งสองหยุดสะบัดถุงกระสอบ แล้วก็พยายามกลั้นขำ
สยุมภูว์ถาม “อะไรเข้าปากไม่ทราบ”
“จะอะไรล่ะ ก็ดินจากถุงดินนี่น่ะสิ” แววบอก
“ดินอะไรกันคุณ นี่มันถุงปุ๋ยคอก” สยุมภูว์บอก
แววร้องเสียงหลง “หา!!??”
“ก็นี่ไง ถุงปุ๋ยคอกมูลสัตว์”
“ก็ขี้วัวแห้ง แหละครับคุณ” แจ๊คเสริม
“กรี๊ดด...ไอ้บ้า ทุ๊ย...” แววรีบยกหลังมือเช็ดปาก ก้มหน้า ป้องปากถุยเป็นการใหญ่ “ทุ๊ย...แหวะ...อี๋”
สยุมภูว์กับแจ็คยืนหัวเราะชอบใจ ทั้งสองหันมาตีมือกันอย่างสะใจ แต่พอหันมาทางแววก็ต้องตาโตเพราะแววกำลังใช้ที่ตักดินขนาดเหมาะมือตักปุ๋ยคอกมูลวัวแห้งขึ้นมาจนพูน
“แก...ไอ้บ้า!” แววโกรธจัด
แววเหวี่ยงที่ตักดินสาดปุ๋ยคอกมูลวัวแห้งเข้าใส่สองหนุ่ม ใบหน้าของสยุมภูว์กับแจ็คเลอะ มูลวัวแห้งเป็นจุดๆ เต็มทั่วหน้า ทั้งสองหน้าแหย แววชี้หน้าทั้งสองแล้วหัวเราะสะใจ
สยุมภูว์กับแจ็ค พยักหน้าให้กัน แล้วต่างก็หันไปคว้าที่ตักดินโกยปุ๋ยขึ้นมาจะสาดคืน แวว กำลังหัวเราะอยู่ต้องรีบหุบปากแล้วทำตาโต
“เฮ้ย!” แววเตรียมจะหนี
เอกรินทร์นั่งดื่มกาแฟอยู่กับชลธิชาและเริงใจ
“ใครจะไปคิดล่ะว่า คนจัดสวนที่อยู่ในร้านขายต้นไม้ จะหล่อ ขาวใสได้ขนาดนี้ เหมือนที่เค้าว่า ช้างเผือกอยู่ในป่ายังไงยังงั้น” เริงใจพูด
“แหม..เปรียบซะ แต่ฉันว่าก็ยังดูดีสู้คุณเอกไม่ได้หรอกนะ อุ้ย!” ชลธิชาหลุดปาก
ชลธิชานึกได้ว่าพลั้งปากไป เริงใจหันขวับมามองหน้าชลธิชาด้วยความประหลาดใจ
“ไม่หรอกครับ ถ้าผมดูดีจริง จะโสดมาจนป่านนี้เหรอ” เอกรินทร์ถ่อมตัว
“ก็แล้วอยากเลิกโสดมั้ยล่ะคะ” เริงใจแหย่
ชลธิชาหันขวับมามองหน้าเริงใจบ้าง สักพักพนักงานหญิงกระหืดกระหอบเข้ามาด้วยท่าทางแตกตื่น
“คุณขา..คุณธิชา คุณเริงใจ”
ทุกคนหันมามองพนักงานหญิงที่หน้าตาตื่นอยู่
“ข้างนอกเกิดเรื่องแล้วหละค่ะ” พนักงานหญิงบอก
เอกรินทร์ ชลธิชา และเริงใจรีบกรูกันออกมาที่บริเวณสวน แล้วทุกคนก็ต้องชะงักมองไปด้วยหน้าตาตื่น “ เฮ้ยยย!!!” ทั้งสามร้องออกมาพร้อมกัน
แววมยุรา สยุมภูว์ และแจ็คอยู่ในสภาพหน้าตาเนื้อตัวเปื้อนดินเป็นจุดๆ เต็มไปหมด สยุมภูว์กับแจ็คหันมาตามเสียงของทั้งสามคน แววมยุราได้ทีเลยสาดทั้งเศษดินเศษปุ๋ยเข้าหน้าของทั้งสยุมภูว์และแจ็คเต็มๆ
เอกรินทร์ ชลธิชา และเริงใจตวาดเพราะคิดว่าแววมยุราเป็นคนผิด “แวว !!”
ชลธิชากับเริงใจรีบเข้าไปปรามแววมยุรา
“ทำอะไรของเธอน่ะ” ชลธิชาถาม
“เค้ามาช่วยจัดสวน ทำไมต้องไปหาเรื่องเค้า” เริงใจตำหนิ
“เดี๋ยวๆๆ นี่เธอสองคนจะไม่ถามอะไรก่อนเลยเหรอ นี่ฟันธงว่าฉันเป็นคนก่อเรื่องเลยเหรอ” แววมยุราถามกลับ
“ก็...” ชลธิชากับเริงใจพยักหน้าพร้อมๆ กัน
แจ็ครีบเสริม “จริงๆ ครับ คุณคนนี้ ตักดินมาสาดเข้าหน้าเราก่อน”
“ก็นายสองคนแกล้งสะบัดถุงปุ๋ยใส่ฉัน รู้มั้ย ว่าเข้าปากฉันเลยน่ะ” แววมยุราบอก
“หา! จริงเหรอ” เริงใจหันไปขำกับชลธิชา “ฮ่าๆๆ”
“นี่...เธอสองคนขำอะไร” แววมยุราถาม
เริงใจกับชลธิชารีบหุบปากทันที
“ธิชา เธอไล่นายนี่กลับไปเหอะ ไม่ต้องมาจัดสวนแล้ว” แววมยุราบอก
“ถ้าไม่ให้เค้าจัดสวน แล้วใครจะจัดล่ะ ฉันไม่เอาหละนะ” ชลธิชารีบปฏิเสธ
เริงใจรีบปฏิเสธด้วย “ฉันก็ไม่”
“ผมว่าใจเย็นๆ กันก่อนดีมั้ยครับ” เอกรินทร์พูดกับสยุมภูว์และแจ็ค “ผมว่าคุณกลับไปก่อนดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยมาทำต่อนะครับ”
“ได้ครับ ทางเราไม่มีปัญหา” สยุมภูว์ปัดเศษดินตามใบหน้าและเสื้อผ้า “แต่ขอร้องว่าให้ช่วยกักบริเวณคนของคุณหน่อย”
แววมยุราฉุน “นายว่าไงนะ”
“ใจเย็นๆ แววมยุรา คิดซะว่าบ้านอยู่ติดกัน เราไม่ควรทะเลาะกับเพื่อนบ้านนะผมว่า” เอกรินทร์บอก
แววมยุราขยับปากจะด่าสยุมภูว์อีก แต่ก็เปลี่ยนใจหันมาบอกเพื่อน “ก็ได้!” แววมยุราหันไปพูดกับสยุมภูว์ “ไม่ใช่ว่าฉันยอมแพ้นายหรอกนะ แค่เห็นแก่เพื่อน อยากให้จัดสวนให้เสร็จไวๆ ตะหากย่ะ”
สยุมภูว์ยิ้มและขำในความดื้อดึงของแววมยุรา
แววมยุรานั่งหน้าบูดอยู่ในร้านกาแฟ ในขณะที่ เอกรินทร์ ชลธิชา และเริงใจพากันยิ้มขำ
“นี่! ถามจริงนะ เธอน่ะอะไรนักหนากะผู้ชายคนเนี้ย” เริงใจถามขึ้น
“หมายความว่าไง” แววมยุราถามกลับ
“ก็เห็นเธอดูเยอะๆ กะเค้ายังไงไม่รู้” เริงใจพูดกับชลธิชา “นึกถึงตอนสมัยเรียนอ่ะ เวลายัยแววมยุราปิ๊งหนุ่มคนไหน ก็ชอบตามไปเหวี่ยงใส่เค้า”
“ใช่ๆๆ ฉันก็จำได้” ชลธิชาเสริม “เหมือนแบบกลัวคนจะรู้ความในใจ ก็เลยชอบดุใส่ จนตอนหลังผู้ชายหายหมด เอ๊ะ...แต่นี่คงไม่ได้หมายความว่าเธอชอบนายจักรนั่นใช่มั้ย”
เอกรินทร์ได้ยินก็ถึงกับสะดุ้ง
แววมยุรารีบพูด “จะบ้าเหรอ เกลียดสิไม่ว่า”
เอกรินทร์โล่งอกและเริ่มยิ้มออก เริงใจหันมองอยู่จึงอดถามขึ้นมาไม่ได้
“ยิ้มอะไรคะคุณเอก”
“อ้อ..ป..เปล่าครับ ไม่มีอะไร” เอกรินทร์ปฏิเสธ
แววมยุราพูดกับเอกรินทร์ “แล้ววันนี้ไม่ต้องไปทำงานเหรอเนี่ย”
“วันนี้ผมว่างโล่งทั้งวันเลย นี่ว่าจะชวนคุณไปทานมื้อค่ำกัน มีร้านอาหารเปิดใหม่อยู่ร้านนึง เดาว่าแววต้องชอบแน่ๆ” เอกรินทร์บอก
“อุ๊ย...เหรอคะ น่าไปจังเลยนะ” แววมยุราหันไปหาชลธิชา “เน๊อะธิชาเน๊อะ”
ชลธิชากระซิบเตือนเริงใจ “คุณเอกเค้าชวนยัยแวว”
“โอ๊ย...ก็ไปด้วยกันทั้งแก๊งค์แหละจะเป็นไรไป” เริงใจพูดกับเอกรินทร์ “ตกลงค่ะคุณเอก ร้านอยู่ตรงไหนคะ แล้วจะเจอกันซักกี่โมงดี”
แววมยุราขัดขึ้น “ยัยเริงใจ ตอบตกลงเค้าเนี่ยปรึกษาฉันรึยัง ฉันยังไม่ทันบอกเลยว่าจะไป”
“อ้าว...แววไม่ไปเหรอ ว้า...เสียดายจัง” เริงใจพูดกับชลธิชาและเอกรินทร์ “งั้นเราไปกันสามคนนะ”
แววมยุราหน้าหงิก เริงใจโผมากอดคอแล้วพูด
“ฉันล้อเล่นวุ้ย ฮ่าๆๆ ไปด้วยกันนะยัยแวว จะได้เม้าธ์กันหนุกๆ”
แววมยุรายิ้มออก เอกรินทร์มองหน้าแววมยุราอย่างดีใจที่จะได้ไปกินข้าวด้วยกัน
นิติภูมิยืนรอศักดาอยู่ที่ท่าน้ำร้าง สักพักศักดาก็เดินเข้ามาหา นิติภูมิพูดขึ้นมาโดยไม่หันไปมอง
“ได้เรื่องอะไรมาบ้าง”
ศักดายื่นมือถือของตัวเองให้นิติภูมิดูคลิปวิดีโอ นิติภูมิเห็นว่าเป็นคลิปทดสอบปืน
“PSS Silent Death นำเข้าจากรัสเซียครับ..เสียงดีดนิ้วยังดังกว่า” ศักดาอธิบาย
นิติภูมิยิ้ม “ดี..เผาขนแบบนี้ จะได้แน่ใจว่ามันไม่รอดแน่ๆ”
“แต่จะรู้ได้ยังไงครับว่าไม่ผิดเป้า เรายังไม่เคยเห็นหน้ามันชัดๆสักครั้ง” ศักดาถาม
“พรุ่งนี้ฉันมีประชุมกับมัน ฉันจะแคปเจอร์หน้ามันชัดๆส่งให้แก..ส่วนแกเตรียมของของแกให้เรียบร้อย”
นิติภูมิส่งโทรศัพท์คืนให้ศักดาพร้อมซองกระดาษสีน้ำตาล
“ที่เหลือก็เป็นดวงของมันแล้ว..เมื่อไรที่มันโผล่เข้าไปในงาน ฉันจะนับเวลาถอยหลังให้มันเอง”
พูดจบนิติภูมิก็ยิ้มร้าย
จานผัดผักบุ้งไฟแดงไหม้เกรียมวางอยู่กลางโต๊ะอาหารในบ้านเช่าของเพิ่งพงษ์ สยุมภูว์ เพิ่มพงษ์ และแจ็คนั่งอยู่ในสภาพหน้าดำเพราะเลอะเขม่าควันและผมเผ้ายุ่งไม่เป็นทรง
เพิ่มพงษ์หยิบผักมาชิม “ผัดผักรวมมิตร...รวมผักครบทุกชนิด...ขาดอยู่อย่างเดียว…คือความอร่อย” เพิ่งพงษ์พูดกับสยุมภูว์และแจ็ค “อยู่กันตั้งสามคน แต่ไม่มีประโยชน์เลย ทำกับข้าวไม่เป็นซักคน”
“ใครบอก ผมทำเป็น..เดี๋ยวไปต้มไข่ให้” แจ๊คอาสา
เพิ่มพงษ์ว่าออกมา “ไอ้บ้า! แค่ต้มไข่ไม่เรียกว่าทำกับข้าวเป็นโว้ย เฮ่อ..ไอ้แจ็ค เดี๋ยวแกออกไปซื้อก๋วยเตี๋ยวมากินกันดีกว่าไป แล้วต่อไปนี้ เราอย่าทำกับข้าวกันอีกเลย”
“เพราะบ้านเรามีแต่ผู้ชายเลยต้องกินแบบนี้” สยุมภูว์มองไปทางบ้านแววมยุรา “อยากรู้จังว่าข้างบ้านที่เค้ามีแต่ผู้หญิง คืนนี้เค้ากินอะไรกันนะ”
แววมยุรากำลังใช้ช้อนกลางตักกับข้าวที่จัดอยู่ในจานสวยหรูมาใส่จานข้าวตน แล้วเธอก็ตักอาหารใส่ปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย โดยมีเอกรินทร์ เริงใจ และชลธิชานั่งร่วมโต๊ะอยู่ในร้านอาหารสุดหรูกับเธอด้วย
“นี่..กินไม่พูดไม่จาเลยนะแวว” ชลธิชาทัก
“ก็เอาเป็นเรื่องๆ ไปน่ะ อ่ะ! ฉันกินเสร็จแล้ว ทีนี้มา..มาเม้าธ์กันให้กระจาย” แววมยุราบอก
“งั้นผมขอตัวหลบไปห้องน้ำ เปิดโอกาสให้สาวๆ เม้าธ์กันก่อนดีกว่า”เอกรินทร์ทำท่าจะลุก
“กล้าลุกไปจากวงสาวๆ ที่กำลังจะเม้าธ์กันนี่ถือว่าใจถึงมากๆ เลยนะคะ เพราะคนที่ลุกไปนี่แหละที่กลายเป็นเหยื่อในวงเม้าธ์” เริงใจขู่
“เหรอครับ งั้นคราวต่อไป ผมเตรียมเครื่องดักฟังมาติดไว้ที่ใต้โต๊ะดีกว่า” เอกรินทร์ปล่อยมุก
ทุกคนหัวเราะเบาๆ เอกรินทร์ลุกไป พอเห็นว่าพ้นรัศมีที่จะได้ยินเสียง เริงใจก็พูดทันที
“นี่...คุณเอกเนี่ย ฉันจองนะ ชอบอ้ะ”
ชลธิชาที่กำลังจะจิบน้ำอยู่ถึงกับสำลักแล้วก็ก้มหน้าหลบตา แววมยุรามองอาการของชลธิชาอยู่
“ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้ ถึงจะไม่หล่อจี๊ด แต่ก็ดูอบอุ่น มีเสน่ห์ เร้าใจยิ่งกว่าพวกหล่อขั้นเทพเป็นไหนๆ สรุปว่าฉันจองแล้วนะ” เริงใจรีบบอก
“นี่! มาจงมาจองอะไร ปรึกษาฉันกับยัยธิชาหรือยัง” แววมยุราทักขึ้น
“อ้าว...เธอสองคนก็ด้วยเหรอ” เริงใจถาม
“ฉันน่ะไม่มีอะไรหรอก แต่ยัยธิชาก็มองๆ คุณเอกอยู่เหมือนกันไม่ใช่เหรอ” แววมยุราถาม
ชลธิชารีบพูดกลบเกลื่อน “เปล่านะ ฉันยังไม่ได้บอกซักคำว่าฉันชอบคุณเอก”
เริงใจยิ้ม “ดี งั้นฉันจะได้ลุยเลย”
“จะดีเหรอเริงใจ เป็นผู้หญิงก็ควรสงวนท่าทีไว้บ้าง รอให้ผู้ชายเป็นฝ่ายเข้ามามันจะงามกว่านะ” แววมยุราท้วง
“โอ๊ย...นั่นมันสาวน้อยตกน้ำตามงานวัดแล้วย่ะ ที่จะนั่งเฉยๆ รอเป็นเป้านิ่งให้ผู้ชายน่ะ สมัยนี้แล้วถ้าผู้หญิงไม่รู้จักเป็นฝ่ายเข้าหาผู้ชายบ้าง ก็เตรียมซื้อทองคำเปลวไปปิดคานที่บ้านได้เลยย่ะ” เริงใจบอก
ชลธิชาอึ้งเพราะคำพูดเริงใจจี้ใจดำของเธอเต็มๆ แววมยุราเหลือบมองอย่างเข้าใจและเห็นใจ
เอกรินทร์เดินออกมาจากบริเวณห้องน้ำชาย หญิงสาวแต่งตัวเซ็กซี่คนหนึ่งก้มหน้าก้มตาจะเดินไปทางห้องน้ำหญิงทำให้เกือบจะชนกัน ทั้งสองชะงักมองหน้ากัน แล้วหญิงสาวก็เอาแต่จ้องหน้าอย่างออกอาการว่าคุ้นหน้าเอกรินทร์
“เอ่อ...” เอกรินทร์แตะใบหน้าตนเองอย่างไม่มั่นใจ “มีอะไรเหรอครับ”
“ขอโทษนะคะ คุ้นหน้าจังเลย ใช่…คุณเอกหรือเปล่าคะ” ผู้หญิงคนนั้นถาม
เอกรินทร์พยักหน้างงๆ “ครับ...เราเคยเจอกันที่ไหนเหรอครับ”
“ไม่เคยหรอกค่ะ”
เอกรินทร์ยิ่งงงหนัก “อ้าว! แต่คุณบอกว่าคุ้นหน้าผม”
“คือแป้งเป็นเพื่อนของไลลา เคยเห็นรูปคุณเอกที่ห้องของไลลาน่ะค่ะ” แป้งร่ำ เพื่อนของไลลากล่าว
“อ๋อ...ครับ งั้นก็ยินดีที่ได้เจอหน้ากันครับคุณแป้ง”
“คุณเอกตัวจริงดูหล่อกว่าในรูปเยอะเลยนะคะ”
“เอ่อ...แหม...” เอกรินทร์ชะเง้อมองไปรอบๆ
“มองหาใครเหรอคะ” แป้งร่ำถาม
“นี่ยัยไลลาอยู่แถวนี้ แล้วส่งคุณมาแกล้งอำผมใช่มั้ย”
แป้งร่ำขำ “เปล่าค่ะ แป้งไม่ได้มากับไลลาหรอกค่ะ ที่ชมคุณเอกเมื่อกี้ แป้งพูดจริง ไม่ได้อำค่ะ”
“เอ่อ...งั้นก็ ขอบคุณครับ เอ่อ..ผมต้องขออนุญาต เดี๋ยวเพื่อนจะรอ”
“ตามสบายเถอะค่ะ ไว้เจอกันนะคะ”
“ครับ ยินดีครับ” เอกรินทร์พยักหน้าเพื่อขอตัว แล้วเดินออกไป
แป้งร่ำยืนมองตามไปอย่างรู้สึกปิ๊งเอกรินทร์
“ต้องหาโอกาสแวะไปห้องยัยไลลาบ่อยๆ ซะแล้ว”
อ่านต่อหน้าที่ 4
แววมยุรา ตอนที่ 2 (ต่อ)
เอกรินทร์ขยับเก้าอี้แล้วนั่งลง จานอาหารบนโต๊ะถูกเก็บไปแล้ว มีแต่แก้วคอกเทลสีสวยๆ อยู่ตรงหน้าแต่ละคน
“เป็นไงบ้าง กำลังเม้าธ์อะไรกันอยู่ครับ” เอกรินทร์ถาม
เริงใจกับแววพูดพร้อมกัน “ก็เม้าธ์คุณน่ะแหละ”
“อุ้ย!” เอกรินทร์ยิ้ม “งั้นเม้าธ์ต่อสิครับ ผมมาแล้วเนี่ย”
“ถ้าคุยต่อหน้าก็ไม่เรียกเม้าธ์แล้วสิคะคุณเอก” ชลธิชาบอก
“จริงด้วยสิครับ”
“เอางี้ เรามาสัมภาษณ์เปิดใจคุณเอกกันดีกว่า” เริงใจบอก
“เอ่อ..แต่ผมว่า..”
ไม่ทันได้ปฏิเสธ เริงใจก็หยิบก้านพลาสติกในแก้วคอกเทลมาถือแทนไมโครโฟนแล้วยื่นมาที่เอกรินทร์
“สเป็คผู้หญิงที่คุณเอกชอบเป็นแบบไหนคะ” เริงใจถามรุกทันที
เอกรินทร์อึกอัก “เอ่อ...”
“ให้ไวค่ะ ท่านผู้ชมรออยู่” เริงใจพยักหน้ามาทางแววกับชลธิชา
“ก็เหมือนคนทั่วๆ ไปแหละครับ” เอกรินทร์มองที่แวว “ก็ชอบผู้หญิงที่เป็นคนเก่ง แล้วก็จิตใจดี”
ชลธิชากับเริงใจหันมองมาที่แววตามสายตาเอกรินทร์
“ผมถามคุณกลับบ้างดีกว่า คุณล่ะชอบผู้ชายแบบไหน” เอกรินทร์ถาม
เริงใจตอบทันที “ก็...ชอบแบบคุณเอกน่ะสิคะ”
ชลธิชาอึดอัดจึงยกแก้วขึ้นกระดกดื่ม แววหันมาเห็นเข้าก็รีบปราม
“ยัยธิชา นี่คอกเทลนะ ไม่ใช่น้ำหวาน เดี๋ยวก็เมาตายหรอก” แววหันไปพูดกับเริงใจ “เริงใจ เธอไปกับฉันแป๊บสิ”
เริงใจถาม “ไปไหน?”
“ไปห้องน้ำกัน” แววบอก
แววลุกขึ้นฉุดแขนเริงใจให้เดินออกไปกับเธอ
แววดึงแขนเริงใจที่ขืนตัวเหมือนไม่เต็มใจมาด้วยให้เดินมากับเธอ
“ไหนบอกไปห้องน้ำไง อะไรของเธอเนี่ยยัยแวว”
“นี่เธอไม่สังเกตเห็นอะไรเลยเหรอยัยเริงใจ”
เริงใจงง “อะไร?”
“ก็ยัยธิชาน่ะสิ เธอไม่สังเกตบ้างเลยเหรอ”
“ก็อะไรล่ะ?”
“ฉันว่ายัยธิชาต้องชอบคุณเอกแน่ๆ น่ะสิ”
เริงใจตกใจ “หา?! พูดเป็นเล่น”
“จริงๆ เราคบกันมานานแค่ไหน ทำไมฉันจะมองไม่ออก เธอเชื่อฉันสิ ยัยธิชาชอบคุณเอกจริงๆ”
“แต่ฉันกลับสังเกตเห็นอีกอย่าง”
แววงง “อะไร?”
“ฉันว่าคุณเอกต้องชอบเธอแน่ๆ” เริงใจบอก
“ฉันเนี่ยนะ”
“ก็เออสิ มัวแต่สังเกตคนอื่น ไม่สังเกตที่คุณเอกเค้ามองเธอบ้างรึไง”
“เฮ้ย...ไม่หรอกมั้ง”
“เฮ่อ..ปวดหัว ยัยธิชาชอบคุณเอก แต่คุณเอกชอบเธอ ส่วนฉัน...ไม่รู้หละ! ก็ฉันบอกก่อนแล้วไงว่าฉันจอง”
“นี่...คนนะไม่ใช่ตั๋วหนัง จะจองอะไรกัน” แววบ่นให้เริงใจได้ยิน “เฮ่อ..เพื่อนฉัน...ดันมาชอบผู้ชายคนเดียวกัน ไม่รู้ต่อไปจะเป็นยังไงน๊า”
แววนึกกังวลที่เพื่อนๆ ต่างปิ๊งผู้ชายคนเดียวกัน
เอกรินทร์นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารกับชลธิชาเพียงสองคน
“เอ่อ...แล้วคุณธิชาล่ะครับ” เอกรินทร์ถามขึ้น
ชลธิชางง “ขา?”
“ก็ที่เมื่อกี้ถามกันน่ะครับ สเป็คผู้ชายแบบไหนที่คุณธิชาชอบครับ”
“เอ่อ...” ชลธิชาเขิน “ก็...ชอบผู้ชายที่..ใจดี ไม่เจ้าชู้...แบบดูเป็นผู้ชายที่อบอุ่น”
“แล้วรูปร่างหน้าตาล่ะครับ”
“ก็หุ่นสมาร์ท” ชลธิชาทำมือว่าสูงกว่าตนในระดับความสูงของเอกรินทร์ “สูงๆ หน่อย แล้วก็หน้าตาดี ผมเผ้าดูสะอาดสะอ้าน เรียบร้อย”
“โห...ทั้งใจดี ทั้งอบอุ่น ไม่เจ้าชู้ แถมยังสูง หน้าตาดี สะอาด นี่เรียกว่าเพอร์เฟ็คท์แล้วนะครับคุณธิชา ในโลกนี้จะมีคนคนนี้เหรอครับ”
ชลธิชามองที่เอกรินทร์ “มีสิคะ มีแน่นอนค่ะ”
เอกรินทร์ทำหน้าไม่เชื่อ ทันใดนั้นมีคนเล่นไวโอลินในชุดสูทเดินมายืนสีไวโอลินเพลงคลาสสิคข้างโต๊ะ เอกรินทร์กับชลธิชามองหน้ากันอย่างงงๆ
“มีดนตรีแบบนี้ด้วยเหรอคะ โรแมนติกจังเลยนะคะ” ชลธิชาบอก
พนักงานอีกคนยกถาดเสิร์ฟอาหารเข้ามา มีฝาครอบอาหารอลูมิเนียมหรูครอบอยู่ พนักงานน้อมศีรษะเตรียมเสิร์ฟ
ชลธิชางง “คุณสั่งเหรอคะ”
เอกรินทร์ก็งงเหมือนกัน เขาขยับจะตอบแต่พนักงานเสิร์ฟชิงพูดขึ้นก่อน
“สำหรับคู่รักแสนหวาน เชิญครับ”
พนักงานเปิดฝาอลูมิเนียมที่ครอบเผยให้เห็นแหวนเพชรในตลับแหวนที่เปิดอ้าอยู่ แล้วยื่นถาดให้เอกรินทร์
“คุณผู้ชายสวมแหวนให้คุณผู้หญิงสิครับ” พนักงานบอก
ชลธิชาช็อคสุดๆ เหมือนตัวเองฝันไป
“น..นี่มันอะไรคะคุณเอก”ชลธิชายิ้มปลื้ม “มันจะไม่เร็วไปหน่อยเหรอคะ”
“เร็วหรือเปล่าไม่ทราบนะครับ ผมก็งงอยู่เนี่ย” เอกรินทร์บอก
“ฉันก็งงเหมือนกัน ทำไมต้องเซอร์ไพรส์กันขนาดนี้”
“ผมเปล่า”
“ห๊ะ??!! ไม่ใช่แหวนคุณเหรอ”
เอกรินทร์ส่ายหน้า “หึ..”
ทันใดนั้น ผู้จัดการร้านรีบปราดเข้ามาด่าพนักงานเสิร์ฟ
“เฮ้ย...ผิดโต๊ะ นู่น...พี่บอกว่าคู่ที่เค้าจะมาเซอร์ไพรส์ขอแต่งงานอยู่โต๊ะนู้น” ผู้จัดการร้านชี้ไปที่โต๊ะหนึ่งห่างออกไปไม่ไกล ซึ่งมีคู่รักหุ่นอวบอ้วนแต่งตัวดีนั่งมองมาอย่างเก้อๆ
พนักงานเสียหน้า “อ้าว”
“ไม่ต้องมาอ้าว...ไป..” ผู้จัดการบอกนักดนตรี “แกก็ด้วย” แล้วผู้จัดการร้านก็พูดกับเอกรินทร์และชลธิชา “ต้องขอโทษแทนพนักงานด้วยนะครับคุณ เร็ว...โต๊ะนู้น...” ผู้จัดการร้านเดินออกไป
ชลธิชาตอบด้วยน้ำเสียงเซ็งสุดๆ “ไม่เป็นไรค่ะ”
เอกรินทร์ยิ้มขำ ในขณะที่ชลธิชาทำหน้าบูดบึ้ง
แวว เอกรินทร์ และเริงใจเดินหัวเราะขำกันออกมาจากในร้าน ขณะที่ชลธิชายังออกอาการเซ็งๆ
“ตายเลยสิแก นี่ยังดีนะที่ไม่บ้าจี้ไปหยิบแหวนเค้ามา” แววบอก
“ถ้าฉันเป็นสองคนนั้นคงเหวอเลยนะ อุตส่าห์เตรียมมาเซอร์ไพรส์ซะดิบดี” เริงใจหัวเราะร่วน
ชลธิชาพูดด้วยอาการเซ็งสุดๆ “ฉันว่าฉันเหวอกว่าอีก หน้าแตกเลย”
“ผมก็ทั้งเหวอ ทั้งเซอร์ไพรส์เหมือนกัน จู่ๆ มาบอกให้ผมสวมแหวนให้คุณธิชาซะงั้น” เอกรินทร์บอกแววพูดกับชลธิชา “นี่...แล้วถ้าเป็นเรื่องจริง เธอจะตอบรับหรือตอบปฏิเสธจ๊ะ”
“มาถามอะไรตอนนี้เล่ายัยแวว...นี่ฉันยังหน้าแตกไม่พออีกรึไง” ชลธิชาบ่ายเบี่ยง
เริงใจโพล่งขึ้นมา “เดี๋ยวๆๆ หยุดก่อนๆ”
ทุกคนหยุดเดิน
ชลธิชาหันมาถาม “มีอะไรเหรอเริงใจ”
“เปล่า แค่เห็นว่าอยู่กันพร้อมหน้า มา..มาถ่ายรูปกันเป็นที่ระทึกหน่อย” เริงใจชวน
เริงใจยืนตรงกลางแล้วยื่นโทรศัพท์มือถือไปสุดแขน ทุกคนเบียดเข้ามายื่นหน้าเข้าเฟรม ทั้งสี่ยิ้มให้กล้อง แล้วเริงใจก็กดชัตเตอร์ถ่ายภาพ
“อีกรูปๆ เดี๋ยวฉันจะอัพโหลดลงเฟซบุ๊ค แล้วจะแท็คไปให้ทุกคนเลยนะ” เริงใจบอก
เริงใจกดชัตเตอร์ถ่ายอีกรูป ทั้งสี่ยิ้มแย้มอย่างมีความสุข
สยุมภูว์มายืนเกาะหน้าต่างมองชะเง้อออกไปทางบ้านแวว เพิ่มพงษ์กับแจ็คเดินมาเห็น เพิ่มพงษ์สะกิดให้แจ็คหันมามอง
“แหม...ถึงกับเกาะหน้าต่างรอเลยนะไอ้จักร” เพิ่งพงษ์พูด
“ยังกะเด็กอนุบาลรอแม่กลับบ้านยังไงยังงั้น ฮ่าๆๆ โอ๊ย..” แจ๊คแซวไม่ทันขาดคำก็โดนเพิ่งพงษ์ตบหัว
“ไอ้นี่เล่นลามปาม แต่จะว่าไป...ก็จริงของแกแฮะ ฮ่าๆๆ”
“อย่าเว่อร์น่า ข้างบ้านเนี้ย เค้าอยู่กันแต่ผู้หญิง บ้านเราเป็นผู้ชายล้วน ก็ต้องคอยมองๆ สอดส่องดูแลเค้าบ้าง” สยุมภูว์บอก
แจ็คพูดกับเพิ่มพงษ์ “โห...ข้ออ้างลูกพี่ผม”
“โคตรจะไม่เนียนเลย ฮ่าๆๆ” เพิ่งพงษ์หัวเราะ
ทันใดนั้น ทั้งสามก็ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์มาจอดที่หน้ารั้วบ้านแวว
สยุมภูว์รีบบอก “อุ๊ย...มาแล้วๆ”
“ไป...เราอย่าไปยุ่งเค้าดีกว่า เข้านอนๆ” เพิ่มพงษ์ชวน
เพิ่มพงษ์กับแจ็คเดินเข้าไป สยุมภูว์รีบชะเง้อมองที่หน้าต่างทันที
เอกรินทร์นั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์แล้วหันมาคุยกับแววที่เพิ่งลงจากมอเตอร์ไซต์มา
“แล้วขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้านดีๆ ล่ะ” แววบอก
เอกรินทร์ยิ้ม “อื้อ...ขอบคุณนะที่เป็นห่วง”
“ก็ไม่ได้ห่วงขนาดนั้นหรอก แต่คุณอุตส่าห์มาส่ง ฉันก็พูดไปตามมารยาทแค่นั้น”
เอกรินทร์ยังคงยิ้ม “ใจคอจะไม่พูดให้ผมได้ชื่นใจบ้างเลยใช่มั้ย”
“ไม่ล่ะ ฉันเกรงใจเพื่อน รู้มั้ยว่าเพื่อนๆ ฉันปลื้มคุณกันขนาดไหน”
“แล้วไม่ถามความรู้สึกผมบ้างล่ะ ว่าผมปลื้มใคร”
แววถามทันที “แล้วคุณปลื้มใคร?”
“ก็แล้วผมมาส่งใครล่ะ?”
ทั้งคู่ได้ยินเสียงสยุมภูว์ไอโขลกๆ เหมือนสำลักอยู่ในรั้วบ้านของเพิ่งพงษ์ แววกับเอกรินทร์หันไปมอง สยุมภูว์จึงหยุดส่งเสียง
“งั้นผมไปก่อนนะ แล้วเจอกัน”
พูดจบเอกรินทร์ก็สตาร์ทมอเตอร์ไซค์ออกไป แววยิ้มมองตามส่งจนสุดสายตาแล้วจึงหันมองที่รั้วบ้านสยุมภูว์อย่างเอาเรื่อง
แววเดินกลับเข้ารั้วบ้านและกำลังจะเข้าบ้าน แต่แล้วก็เปลี่ยนใจหยุดเดิน เมื่อหันมาเห็นสยุมภูว์ยืนอยู่แถวพุ่มไม้ในรั้วบ้านของเขา แววรีบตรงไปยืนเกาะรั้วโวยวายสยุมภูว์
“นี่..นายน่ะ เป็นโรคจิตหรือเปล่า ทำไมต้องคอยมาด้อมๆ มองๆ แอบดูฉันด้วย”
“คิดว่าตัวเธอเองน่าสนใจขนาดที่ฉันต้องมาคอยแอบดูอย่างงั้นเหรอ” สยุมภูว์ย้อน
“ก็ถ้านายไม่ได้แอบดู แล้วนายออกมาทำอะไรนอกบ้านตอนดึกๆ เนี่ย หา?” แววถาม
“ฉัน..เอ่อ...” สยุมภูว์มองซ้ายมองขวา พอเห็นกรรไกรตัดกิ่งวางอยู่เขาก็หยิบมาถือในมือ “ฉันก็ออกมาเล็มต้นไม้ ตัดแต่งกิ่งอะไรของฉันไป”
“น่าเชื่อจังเลยนะ ออกมาตัดต้นไม้ตอนมืดๆ เนี่ย” แววประชด
“ช่างเหอะน่ะ อย่างน้อยมันก็ทำให้ฉันรู้ว่าเธอน่ะเป็นผู้หญิงประเภทที่ชอบผู้ชายรวยๆ”
“นายเอาอะไรมาพูดเนี่ย”
“ก็จริงมั้ยล่ะ คืนก่อนเห็นมีรถอาเสี่ยมาจอดหน้าบ้าน คืนนี้ก็มีมอเตอร์ไซค์แพงๆ คันละเป็นแสนมาส่งอีก คนอย่างเธอคงไม่มีวันสนใจรถกระบะเก่าๆ โทรมๆ ของฉันร๊อก”
“ฉันจะบอกให้เอาบุญนะ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับราคารถหรอก แต่มันขึ้นอยู่กับปากของคนที่ขับมาต่างหาก ถ้าปากเสียอย่างนาย ใครจะไปอยากนั่งด้วย”
“โห..แต่ปากเธอก็ใช่ย่อยนะ”
“ใช่...แต่ปากฉันจะดีหรือจะร้าย ก็ขึ้นอยู่กับคนที่ฉันพูดด้วยแหละนะ ถ้ากับคนดีๆ ฉันก็พูดดีๆ แต่กับคนแย่ๆ ฉันก็จะปากร้ายน่ะ ทีนี้รู้รึยังว่าทำไมฉันถึงต้องปากร้ายกับนาย”
“เธอว่าฉันเป็นคนแย่ๆ เหรอ”
“ใช่ ถูกต้อง แค่นี้นะ ฉันเข้าบ้านนอนหละ ราตรีสวัสดิ์”
แววขยับจะก้าวเข้าบ้านไปแต่ก็ต้องชะงัก เพราะตกใจเสียงของสยุมภูว์ที่ตวาดกลับมา
“หยุด!” สยุมภูว์ตวาดลั่น
แววจะก้าวขยับต่อแต่ก็โดนตวาดจนต้องชะงักอีก
“ฉันบอกให้หยุดอยู่ตรงนั้น”
“ทำไม อยากจะโดนฉันด่าอีกรึไง” แววถาม
สยุมภูว์ที่ในมือข้างหนึ่งยังถือกรรไกรตัดกิ่งอยู่รีบลนลานปีนข้ามรั้วแล้วกระโดดลงมาประจันหน้ากับแววแต่ก็ยืนห่างกันประมาณ 2-3 เมตร
แววตกใจ “จะปีนเข้ามาทำไม นายจะบ้าเหรอ” แววขยับจะหนี
สยุมภูว์ตวาด “อย่าขยับ” สยุมภูว์ยกกรรไกรตัดกิ่งขึ้นมา
แววชักกลัว “นายจะทำอะไรฉัน”
สยุมภูว์ยกกรรไกรตัดกิ่งขึ้นมาเงื้อง่าเหมือนจะเขวี้ยงเข้าใส่แวว
“จะขู่ฉันเหรอ คิดว่าฉันกลัวเหรอ อย่างนายเนี่ยนะ จะกล้าทำอะไรฉัน”
สยุมภูว์ตวาด “บอกให้อยู่หยุดอยู่กับที่”
แววทำท่าจะเดินเข้าใส่ “ฉันไม่หยุด มีอะไรมั้ย”
“มีสิ”
“มีอะไร”
“มีงูอยู่ใกล้ๆ เท้าเธอน่ะ”
“มีงูแล้วไง ห๊ะ!!” แววก้มมองที่เท้าตนเอง เธอเห็นงูเห่าตัวเขื่องกำลังแผ่แม่เบี้ยใส่ แววตาเหลือกตัวแข็ง ก่อนจะหลับตาปี๋แล้วร้องกรีดร้องด้วยความกลัวสุดๆ
“อ๊าย!!”
สยุมภูว์รีบปากรรไกรตัดกิ่งในมือลงพื้น กรรไกรถูกปามาใกล้ๆ งู ทำให้งูตกใจเลื้อยหนีออกไป แววยังกรีดร้องแล้วผวากระโดดหนีอย่างแหยงๆ ก่อนจะโผเข้ากอดสยุมภูว์เพราะความกลัว
“กรี๊ดด!! มันไปรึยัง”
สยุมภูว์ตกใจที่ถูกแววสวมกอด เขาค่อยๆ ยกแขนโอบปลอบอย่างสุภาพแล้วพูดปลอบอย่างนุ่มนวล
“ฉันไล่มันไปแล้ว เธอไม่ต้องกลัวนะ”
แววกอดสยุมภูว์แน่นด้วยหน้าตาที่เหมือนจะร้องไห้
“ฮือ...นายแน่ใจนะว่ามันไปแล้ว” แววถาม
สยุมภูว์ปลอบอย่างนุ่มนวล “แน่สิ บอกว่าไม่ต้องกลัวไง”
“เลิกบอกว่าไม่ต้องกลัวซะทีได้มั้ย งูนะไม่ใช่กระต่าย จะไม่ให้ฉันกลัวได้ไง”
มาลตีที่อยู่ในชุดนอนวิ่งหน้าตื่นออกมาจากบ้าน
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ...”
มาลตีเห็นแววกำลังกอดกันกลมกับสยุมภูว์ก็ชะงักแล้วร้องเสียงหลง
“แวว”
แววที่ยังกอดกับสยุมภูว์หันมามอง
“อ้าว...แม่” แววเห็นหน้าแม่ตัวเองก็นึกขึ้นได้ว่ากำลังกอดกับสยุมภูว์อยู่ “เฮ้ย!”
แววรีบกระโดดผละออกมาจากอ้อมกอด สยุมภูว์เองก็เก้ๆ กังๆ เลยยิ้มเจื่อนๆ ให้มาลตี มาลตี ตีหน้ายักษ์ใส่สยุมภูว์กับแววอย่างไม่พอใจสุดๆ
“แกทำอะไรไปลงน่ะยัยแวว หา?”
“แววก็ไม่ได้ทำอะไรนี่แม่”
“ยังจะมาเถียงอีก กอดกันซะกลมขนาดนั้น รู้ตัวมั้ยว่าทำอะไรลงไป”
“แม่..ไปกันใหญ่แล้ว แม่ฟังแววก่อน”
“แกนั่นแหละฟังแม่ คนรวยๆ มีให้เลือกเยอะแยะ ดันไปเลือกคนจัดสวน แกอยากจะกินหญ้ารึไง หา?!”
“ขอโทษนะครับคุณน้า เรื่องของเรื่องก็คือมีงูเข้ามา ผมก็เลยปีนข้ามรั้วมาช่วยไล่ แววเค้าตกใจก็เลยกอดผมไปโดยไม่รู้ตัว” สยุมภูว์อธิบาย
มาลตีเริ่มหยุดฟัง “จริงเหรอ”
“จริงสิแม่” แววย้ำ
“ฉันถามเค้า ไม่ได้ถามแก” มาลตีดุ
“จริงสิครับ ผมเจียมตัวดีว่าเป็นแค่คนจัดสวนจนๆ ไม่กล้าไปรุ่มร่ามกับลูกสาวคุณน้าแบบนั้นหรอกครับ” สยุมภูว์บอก
“อืม...รู้จักเจียมตัวก็ดี” มาลตีพูด
“ครับ ยังไงเดี๋ยวผมมาช่วยจัดสวน ช่วยตัดหญ้าให้ก็ได้ครับ เพราะถ้าปล่อยให้รกๆ แบบนี้ งูมันจะกลับมาเยี่ยมอีกนะครับ”
“แหม...ค้าขายเก่งนะ เข้าเรื่องเลยสิ จะให้ฉันจ้างนายมาจัดสวนใช่มั้ยล่ะ” มาลตีพูดดัก
“อย่าเข้าใจผมอย่างงั้นสิครับ ถึงผมจะเป็นแค่คนจัดสวนจนๆ ผมก็จนแค่เงิน ไม่ได้จนน้ำใจนะครับ” สยุมภูว์พูดกับแวว “ไว้ว่างๆ ฉันมาจัดสวนให้ ไม่คิดตังค์”
“ไม่ต้องหรอก ฉันเกรงใจ” แววบอก
“คนเค้ามีน้ำใจก็ดีแล้วนี่ลูก” มาลตีพูดกับสยุมภูว์ “อย่าลืมล่ะ ว่างๆ ก็มาทำนะ”
แววเสียงดัง “แม่!”
มาลตีพูดกับแวว “เข้าบ้านๆ” แล้วเธอก็หันไปหาสยุมภูว์ “นี่มันก็ดึกแล้ว มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเถอะนะ”
“ครับคุณน้า”
สยุมภูว์เดินไปที่รั้วแล้วยกแข้งยกขาเตรียมจะปีนกลับ
“แล้วนั่นจะปีนรั้วบ้านฉันทำไม๊” มาลตีถาม
สยุมภูว์ชะงักแล้วหันมา “อ้าว...ก็คุณน้าบอกว่ามาทางไหนให้กลับไปทางนั้น”
มาลตีหน้าแหย แววยิ้มชอบใจ สยุมภูว์หันมาจะเดินออกไปทางประตูรั้วบ้าน
สยุมภูว์ยกมือไหว้มาลตี “ลาหละครับ” เขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องชะงัก เพราะแววเรียกไว้
“เดี๋ยว”
สยุมภูว์หันมา “หือ?”
แววพูดเสียงแข็งๆ “ขอบใจมากนะ”
สยุมภูว์ตอบรับอย่างเรียบเฉย “อื้อ”
สยุมภูว์หันหลังเดินออกมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มกว้าง
แววอยู่ในชุดนอน เธอนั่งพิงหัวเตียงครุ่นคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่
ภาพตอนที่แววตกใจกระโดดเข้าสวมกอดสยุมภูว์แว่บเข้ามาในความคิด
แววเผลออมยิ้มอย่างเขินๆ สักพักเธอก็ได้ยินเสียงเคาะประตู แววสะดุ้งหลุดจากภวังค์ความคิด
แววขานบอก “เข้ามาเลยจ้ะ”
มาลีตีเปิดประตู เดินเข้ามานั่งที่เตียง
“แม่”
“นี่..ไอ้คนข้างบ้านเราน่ะ ชื่ออะไรนะ” มาลตีถาม
“นายจักรน่ะเหรอแม่”
“อื้อ...แม่ว่ามันก็หน้าตาหล่อดีนะ คนอะไร หน้าตาก็ทันสมัย แต่ชื่อนี่เชยย้อนยุคไปไกล”
“แม่อย่าไปว่าเค้าเลยค่ะ ทีแม่ยังตั้งชื่อลูกว่าแววเลย ไม่ย้อนยุคยิ่งกว่าเหรอ”
“อุ้ย...เข้าตัวเลยฉัน”
“แม่มีอะไรเหรอจ๊ะ นี่คงไม่ได้เข้ามาคุยเรื่องนายจักรหรอกใช่มั้ย”
“แหม...ฉลาดจริง ลูกแววของแม่ คือว่า...ที่ร้านทำเล็บน่ะ เค้าเอาพวกครีมทาหน้ามาขาย เห็นคนที่ใช้เค้าบอกว่าดี๊ดีนะ ใช้แล้วหน้าเด้ง ขาวใส แม่ก็เลยสั่งเค้าไปสองชุด เผื่อแววกับยัยวัณจะใช้ด้วยน่ะ”“แววคงไม่ใช้หรอกแม่ ของเก่าที่มีเพิ่งใช้ไปนิดเดียวเอง แล้ว..ทั้งหมดเท่าไหร่คะแม่”
“รอให้ถามอยู่เนี่ย ก็...เค้าบอกเค้าซื้อได้ราคาพิเศษนะ ลูกค้าที่ร้านเค้าอีกคนยังบอกเลยว่าเคยซื้อที่อื่น แพงกว่านี้เยอะ”
“ค่ะแม่...บอกมาเถอะค่ะว่าเท่าไหร่ ก็แม่สั่งเค้าไปแล้ว ยังไงแววก็ต้องจ่ายหละค่ะ”
“หกพันจ้ะ” มาลตีบอก
แววพูดเสียงเรียบๆ “หกพันนะแม่ ได้จ้ะ” แล้วเธอก็นึกขึ้นได้จึงร้องเสียงหลง “หา! แม่ แค่ครีมทาหน้าเนี่ย หกพันเลยนะ”
“มันเป็นเซ็ทน่ะ มีทั้งเคล็นเซอร์ โทนเนอร์ มอยซ์เจอไรเซอร์”
แววไม่รอให้มาลตีพูดจบ “จ้ะๆๆ หกพันนะแม่ เดี๋ยวแววหาให้”
“เดี๋ยวสิ นี่แกตั้งใจฟังฉันพูดรึเปล่า ฉันบอกว่าฉันสั่งไปสองชุดไง สองชุดก็ต้องหมื่นสองสิ”
“หา...” แววรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก “ค่ะแม่..แล้วแววจะหาให้นะจ๊ะ”
แววรู้สึกท้อแท้หมดอาลัยตายอยาก เธอยังได้ยินเสียงพูดของมาลตีแต่ก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไรแล้ว
“ขอบใจนะลูก เอ้อ...ต้องก่อนสิ้นเดือนนี้นะแวว...”
บอร์ดบริษัท และหุ้นส่วนมาพร้อมหน้าพร้อมตากันอยู่ในห้องประชุมที่บริษัทของสยุมภูว์ ทุกคนเข้ามานั่งประจำตำแหน่ง โดยนิติธรนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ นิติภูมินั่งอยู่ในที่ซึ่งไม่ไกลจากพ่อมากนัก
“พร้อมกันแล้วนะครับทุกคน..คุณสยุมภูว์รอเราอยู่” นิติธรบอก
จอภาพค่อยๆ เลื่อนลงมา นิติภูมิจ้องที่จอพร้อมกับยิ้มกริ่มที่จะได้เห็นตัวจริงของสยุมภูว์ หน้าจอเห็นสัญญาณนับถอยหลัง เมื่อสยุมภูว์ปรากฏตัว นิติภูมิถึงกับผงะและตกตะลึง
เสียงสยุมภูว์ห้าวแตกต่างจากตัวจริงกล่าวทักทาย “สวัสดีครับทุกคน..ผมสยุมภูว์ ทศพล ขอโทษนะครับที่หายหน้าไปนาน”
สยุมภูว์กำลังคุยเรื่องงานแต่กล้องจับแค่คางถึงคอ
“ผมกลับมาเพื่อยืนยันกับทุกคนว่าผมสบายดีและพร้อมจะกลับมาสานต่อเจตนารมณ์ของคุณพ่อนับจากนี้และขอยืนยันว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับผมไม่ได้ทำให้ผม ถอดใจแม้แต่น้อย..ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่ทุกท่านส่งผ่านคุณนิติธรมาถึงผม”
นิติภูมิถึงกับนิ่งไป แล้วเขาก็มีท่าทางเจ็บใจเมื่อเห็นภาพบนจอของสยุมภูว์เพียงครึ่งหน้า
สยุมภูว์พูดต่อ “ความตั้งใจของทุกท่านทำให้ผมมั่นใจว่าทศพลกรุ๊ปจะก้าวต่อไปอย่างมั่นคง และหวังว่าเราจะได้พบกันที่ทศพลกรุ๊ปในเร็ววันนี้ นับจากวันนี้เป็นต้นไปผมขอแต่งตั้งให้คุณนิติธรเป็นผู้ประสานงานระหว่างผมกับทุกท่านนะครับ”
นิติธรพยักหน้ารับ
จบตอนที่ 2
ติดตามอ่านแววมยุรา ตอนต่อไปพรุ่งนี้