กระบือบาล ตอนที่ 6
เช้าวันนี้เกริกไกรอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ผิวปากจัดโต๊ะสำหรับอาหารเช้าอยู่ ระหว่างนั้นเกริกไกรหันไปเห็นเจนจิราใบหน้าบึ้งตึงเหมือนโกรธใครมา ก็ยิงมุกใส่ทันที
“เมื่อคืนนอนคว่ำละซิ”
เจนจิราไม่เก็ท ออกอาการงง “นอนคว่ำอะไรของหมอ”
“เอ้า...ก็ดูซิถ้าไม่นอนคว่ำแล้วจะทับหน้าย่นอย่างนี้หรือไง”
“นี่หมอ...ฉันยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่นะ” เจนจิราฉุน
“ก็รู้ไงว่าอารมณ์ไม่ดีก็เลยพูดให้อารมณ์ดีไง...” เกริกไกรชักสงสัย “เอ...ตั้งแต่พวกคุณอรมาท่าทางเธออารมณ์ขึ้นๆลงๆนะ...”
เจนจิราชะงักเมื่อเกริกไกรจับสังเกตได้
“ไม่มีอะไรหรอกหมอ...ฉันก็แค่เครียดเรื่องงานน่ะ” เจนจิราแก้ตัว
เกริกไกรยังคิดอยู่ ในที่สุดก็คิดออก “หรือว่า...”
เจนจิราร้อนตัวเพราะคิดว่าเกริกไกรจะรู้ว่าเธอแอบชอบใจเด็ด “อะ อะไร”
เกริกไกรจ้องหน้าคาดคั้น “นี่มันจะสิ้นเดือนแล้ว”
“ทะลึ่ง ! ไม่เกี่ยวซักหน่อย...” เจนจิราเปลี่ยนเรื่อง “ทำไมป่านนี้ยังไม่ลงมาอีก...ไหนว่ามาถ่ายละคร..ตั้งแต่มายังไม่เห็นว่าจะถ่ายซักฉาก”
“เขาอาจจะมีขั้นตอนของเขา...ที่ถามนี่อยากเข้ากล้องหรือไง”
“หมอก็รู้นี่...ลำพังแค่หัวหน้าต้องหาเงินมาเลี้ยงควายในสถานีก็แย่แล้ว...แล้วนี่ยังต้องมาเลี้ยงคนอีก”
เกริกไกรเหล่มองเจนจิราเจ้าเล่ห์
“ฉันก็หลงฟังตั้งนานนึกว่าอะไร...ที่แท้ก็เป็นห่วงไอ้เด็ดนี่เอง”
เจนจิราร้อนตัว “เอ่อ...ไม่ใช่นะหมอ”
ระหว่างนั้นเสียงใจเด็ดดังขึ้น “พวกนั้นยังไม่มาอีกเหรอ”
เกริกไกรกับเจนจิราหันไปก็เห็นใจเด็ดเข้ามา เกริกไกรรีบแถเข้าไปหาใจเด็ด
“ไอ้เด็ด”
เจนจิราคิดว่าเกริกไกรจะเข้าไปพูดเรื่องที่เธอแอบชอบใจเด็ด เลยยื่นขาตนออกไปไปขัดที่ขาของเกริกไกร
“เหวอ”
เกริกไกรล้มคว่ำคะมำไป ใจเด็ดมองงงๆ เจนจิรารีบเข้ามาคุยกับใจเด็ด
“ยังไม่เห็นใครลงมาเลยค่ะ”
ใจเด็ดนิ่งไปด้วยความสงสัย ก่อนจะเดินตรงไปยังเรือนรับรอง เจนจิราเห็นใจเด็ดเดินออกไปก็เลยเดินตามไปเช่นกัน เกริกไกรลุกขึ้นปัดเนื้อตัวก่อนจะรีบเดินตามทั้งสองคนไป
สรนุช กำลังต้อนอรอนงค์กับสุบินลงมาจากเรือนรับรอง “เร็วซิ...เดี๋ยวพวกนั้นก็มาหรอก”
สุบินเบรกเอี้ยดรั้งตัวอยู่ตรงบันได “เดี๋ยวๆ...ทำไมแกต้องรีบขนาดนี้...อบต.โชคชัยเขาไม่หนีแกไปไหนหรอกน่า”
“เรื่องนั้นฉันรู้...ฉันแค่ไม่อยากตอบคำถามพวกกระบือบาลต่างหาก”
อรอนงค์สงสัย “คำถามอะไร”
“เออน่า...เดี๋ยวฉันเล่าให้ฟังระหว่างทาง” สรนุชรีบดันสุบินกับอรอนงค์ให้ลงบันไดไป
สุบินขืนตัวไว้ “โน...ท่าทางมีพิรุธอย่างนี้แสดงว่าเมื่อวานแกกับคุณใจเด็ดมีอะไรหรือเปล่า”
“มีอะไร..! นายคิดว่าฉันจะมีอะไรกับนายนั่น”
“เอ้า...ก็เหมือนในละครไง...พระเอกนางเอกที่ไม่ชอบขี้หน้ากัน...พอได้หลงป่าติดเกาะเท่านั้นแหละ...ก็รักกันตราบชั่วฟ้าดินสลาย” อรอนงค์ตั้งข้อสังเกต
สรนุชได้ยินอย่างนั้นก็แรงผลักสุดแรง จนสุบินกับอรอนงค์แทบจะตกบันได
สรนุชตามลงมา “เกลียดกันจนวันตายซิไม่ว่า...เลิกเพ้อเจ้อแล้วก็ไปได้แล้ว”
ระหว่างนั้นเสียงใจเด็ดดังขึ้น “นึกว่าพวกคุณจะไม่ทำงานกันซะอีก”
สรนุช อรอนงค์ และสุบินหันมาก็เห็นใจเด็ด เกริกไกรและเจนจิราเดินเข้ามา
“เอ่อ...นายว่าอะไรนะ”
“ก็คุณบอกว่าจะมาถ่ายละคร...แต่ตั้งแต่พวกคุณมา...ผมยังไม่เห็นทีท่าว่าคุณจะเริ่มถ่ายเมื่อไหร่” ใจเด็ดมองอย่างจับสังเกต “หรือว่าวันนี้คุณก็ยังไม่ถ่าย”
“เอ่อ...ถ่าย...ถ่ายซิ...เนี่ยพวกฉันกำลังจะออกไปถ่ายกันอยู่พอดี” สรนุชแถไปต่อ
“เหรอคะ...ถ้างั้นขอฉันกับหัวหน้าไปด้วยนะคะ...คือฉันอยากเห็นว่าเวลาเขาถ่ายละครเขาทำงานกันยังไง” เจนจิราดักคอ
“ใช่ๆ ถ้างั้นวันนี้เราปิดสถานีไปดูถ่ายละครกันมั้ย” เกริกไกรว่า
ใจเด็ดปรายตามอง “หมอ...วันนี้หมอต้องคัดน้ำเชื้อนี่”
สรนุชได้ยินก็หูผึ่งทันที
เกริกไกรอิดออด “แต่...”
ใจเด็ดซักไซ้ “แต่อะไร...”
ใจเด็ดส่งสายตาที่ดูเอาเรื่องให้เกริกไกร ทำให้เกริกไกรชะงักไปด้วยความเกรงใจ โดยไม่รู้เลยว่าสรนุชแอบสังเกตทุกอย่างเอาไว้
เกริกไกรชะงักไป “เออๆ....ก็ได้วะ” หันมาพูดกับอรอนงค์ “ขอโทษจริงๆ นะครับคุณอรที่วันนี้ผมคงไปด้วยไม่ได้”
สรนุชรู้สึกว่าใจเด็ดกับเกริกไกรมีความลับบางอย่างจึงรีบตอบรับแทนอรอนงค์
“อ๋อ...ไม่เป็นไรคะ” สรนุชคิดในใจ...ต้องปรับแผน “ตายจริง...จะออกไปถ่ายแล้วลืมบทได้ไงเนี่ย...สงสัยจะอยู่ข้างบน...เดี๋ยวฉันมานะคะ”
สรนุชทำท่าจะวิ่งขึ้นเรือนรับรอง แล้วเห็นสุบินกับอรอนงค์ยืนเอ๋ออยู่ก็รีบส่งสัญญาณ
“สุบิน...บทเก็บไว้ตรงไหน” แล้วสรนุชทำบุ้ยใบ้ปากส่งซิกให้สุบินกับอรอนงค์ “เธอด้วย...ขึ้นมาช่วยกันหาเร็ว”
สรนุชรีบวิ่งลงมาแล้วดุนหลังสุบินกับอรอนงค์ขึ้นเรือนรับรองไป
สรนุชดันสุบินกับอรอนงค์ขึ้นมาบนเรือนเฉ่งทันที “ไงละ...เห็นมั้ย...ช้ากันดีนัก”
“ไม่ต้องมาโทษเลยแก...ตอนนี้เอาเรื่องเฉพาะหน้า...จะทำยังไง” สุบินว่า
“จะทำไง...อยากให้พวกนั้นสงสัยมากกว่านี้หรือ...สุบิน...เอาบทที่นายเขียนมา...ส่วนอร...เธออยู่ที่นี่”
“อ้าว..ทำไมฉันต้องอยู่ที่นี่อีกแล้วละ” อรอนงค์งง
“เมื่อกี้ไม่ได้ฟังหรือไง...ที่นายใจเด็ดพูดเรื่องรางวัลอะไรนั่น...ฉันว่านายนั่นกำลังค้นคว้าเรื่องน้ำเชื้อที่กำลังจะพัฒนาพันธุ์ควายแน่นอน...เธออยู่ที่นี่แล้วสืบดูให้แน่ใจแล้วกัน” สรนุชบอก
“ฉันว่าแทนแกจะห่วงยัยอร...ห่วงตัวเองดีกว่าเหอะ...ถ้าเกิดคุณใจเด็ดจับได้ว่าพวกเราเป็นกองถ่ายกำมะลอละก็ออกจากสุรินทร์ไม่ได้เลยนะเว้ย” สุบินโวย
“ไอ้นี่...ยังไม่ลองก็ถอดใจแล้วหรือไง...” สรนุชคิด “งั้นเอางี้มั้ย...เราบอกว่าวันนี้เราอยากถ่ายพวกบรรยากาศ...พวกทุ่งนาทุ่งข้าวไปก่อน...เอาไว้เราเตรียมตัวดีกว่านี้แล้วค่อยถ่ายพวกชาวบ้าน”
เวลาต่อมา ในตลาดนัดบนถนนคนเดินแห่งนั้น ใจเด็ด สรนุช สุบินและเจนจิราพากันเดินหอบหิ้วอุปกรณ์การถ่ายทำเดินมาตามทาง ชาวบ้านต่างมองตามด้วยความสนใจ
สุบินหันมากระซิบกับสรนุช “ไงละ...ทุ่งข้าวของแก”
“เงียบเถอะน่า...” สรนุชหันมาพูดกับใจเด็ด “นายพาฉันมาที่ไหนเนี่ย...ฉันบอกว่าอยากถ่ายพวกบรรยากาศไง”
“ไอ้พวกทุ่งข้าวทุ่งนาผมว่ามันถ่ายเมื่อไหร่ก็ได้...แต่ที่ผมพาคุณมาที่นี่เพราะเขามีอาทิตย์ละครั้ง”
“ตลาดเนี่ยน่ะเหรอ” สรนุชประหลาดใจ
“ครับ...ที่นี่เขาเรียกว่าตลาดขวัญข้าว...ถ้าคุณอยากรู้จักกับชาวบ้าน...คุณก็ต้องมาที่นี่” ใจเด็ดว่า
“ชาวบ้านในตำบลนี่ต่างก็เอาของที่ตัวเองผลิตได้มาขายหรือบางทีก็แลกกัน” เจนจิราอธิบาย
สุบินฟังแล้งง “แลกกัน...? แบบสมัยโบราณน่ะเหรอครับ”
“ค่ะ” เจนจิราบอก
“ไม่น่าเชื่อว่าจะมีแบบนี้เหลืออยู่อีก...โห...ถ้าผมมีนามีไร่ที่นี่...ผมก็ไม่ต้องใช้เงินเลยซิ”
“ครับ...คนที่นี่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยใช้เงิน...จะใช้น้ำใจกันมากกว่า” ใจเด็ดบอกอย่างภูมิใจ
สรนุชบ่นอย่างหงุดหงิด “พวกเต่าล้านปี...ชิ”
ใจเด็ดหูไว “คุณว่าอะไรนะ”
สรนุชตกใจเพราะคิดว่าใจเด็ดได้ยินเลยทำขาไฟที่แบกอยู่หล่นดังโคล้งเคล้ง จนคนทั้งตลาดหันมามองเป็นตาเดียว
ใจเด็ดรีบเข้ามาช่วย “มาผมช่วย
“ไม่เป็นไร...ฉันแบกเองได้”
สรนุชเอื้อมมือไปหยิบขาไฟแล้วก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ใจเด็ดเอื้อมมือไปหยิบเช่นกัน ทำให้มือของทั้งคู่โดนกัน สรนุชกับใจเด็ดต่างก็ชะงัก สรนุชรีบชักมือออกใจเด็ดหยิบขาไฟขึ้นแบก
เจนจิรามองใจเด็ดและสรนุชแล้วเห็นช่วงเวลาที่ทั้งคู่สบตากันก็รู้ว่าต้องมีสัญญาณบางอย่างส่งถึงกัน ทำให้เจนจิราอยู่ๆก็หงุดหงิดขึ้นมา เพราะอารมณ์หึงนั่นเอง
เจนจิราหันไปแย่งของจากสุบินที่กำลังถืออยู่ “เอามานี่”
“เดี๋ยวๆ...อะไรน่ะคุณ” สุบินงง
เจนจิราไม่สนใจเข้าไปแย่งของจากสุบินแล้วเอามาถือไว้คนเดียวก่อนจะเดินลิ่วๆออกไป
“อะไรของเขาวะ...เดี๋ยวก่อนคุณ...ของพวกนั้นราคาเป็นล้านนะ”
สุบินรีบวิ่งตามเจนจิราออกไป ใจเด็ดมองตามรู้สึกแปลกใจ ก่อนจะหันมาเห็นสรนุชเองก็พยายามจะแบกของขึ้นเหมือนเดิม
“อย่าทำอย่างเจนเขาเลยคุณ...นั่นเขามีความสามารถเฉพาะตัว” ใจเด็ดเย้ยอยู่ในที
“คุณเจนทำได้...ฉันก็ต้องทำได้”
สรนุชเชิดหน้าก่อนจะก้มลงหยิบขาไฟ แต่แล้วสรนุชกลับยกไม่ขึ้น
“ฮึบ...!”
สรนุชฮึดสุดแรงเกิดเพื่อยกขาไฟขึ้น แต่พอยกขึ้นมาได้สรนุชก็เสียหลักเพราะออกแรงยกมากเกินไปจนทำท่าจะล้ม จังหวะนั้นใจเด็ดก็โผเข้ามาช้อนพยุงร่างของสรนุชไว้ได้ทัน
สรนุชกับใจเด็ดสบตากันอีกครั้ง ก่อนที่ใจเด็ดจะหยิบขาไฟมาแบกเอง สรนุชรีบยกตัวเองออกจากวงแขนของใจเด็ดแล้วเดินหน้านิ่งออกไปเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่หัวใจเธอกลับเต้นแรงผิดปกติ
ใจเด็ดส่ายหน้าในความรั้นของสรนุชก่อนจะแบกขาไฟเดินตามออกไป
ทันทีที่ทั้งสองเดินออกไป ชาวบ้านที่มองเห็นต่างเริ่มรวมตัวจับกลุ่มกันเม้าท์มอยทันที
ข่าวกระจายไปอย่างรวดเร็ว ป้าแม้ค้าขายหมากพลูถึงกับทำตาโตอย่างตกอกตกใจ
“กอดกันกลางตลาดเลยเหรอวะ”
ลุงคนที่นั่งอยู่ในร้านกาแฟเม้าท์กับพวกบรรดาสมาชิกสภากาแฟ
“แถมจูบกันด้วย”
ขณะที่ชายในวงไก่ชนก็รับรู้ข่าวทันท่วงที
“มันต้องอย่างนี้ซิวะ...แหมๆ ...หัวหน้าเรานึกว่าจะผสมเทียมเก่งอย่างเดียวซะอีก...ฮ่าๆๆ”
ในขณะที่สองสาวรุ่นป้าสองคนกำลังคุยกันเรื่องสรนุชกับใจเด็ดเช่นกัน
“พูดอย่างนี้หมายความว่าไง”
“ก็หมายความว่า...หัวหน้ากับอีหนูจากกรุงเทพฯนั่น...ปะกันแหมกันแล้วซิวะ”
ภายในร้านซาลอนประจำหมู่บ้าน ช่อผกาผุดลุกขึ้น เห็นฟองยาสระผมยังเต็มหัวไปหมด
“อ๊าย !!! ไม่จริง”
ช่อผกากำลังเถียงป้าทั้งสองนางและกำลังคุยกันอยู่ที่เก้าอี้ทำผม
“พี่เด็ดไม่มีทางชอบยัยกุ้งแห้งนั่นแน่นอน” ช่อผกามั่นใจ
“แต่หัวหน้าเขาก็คงไม่ชอบกุ้งบ้ากราม...เอ๊ย..กุ้งก้ามกามอย่างหล่อนเหมือนกันแหละ” ยายเมี้ยนว่า
“พูดดีๆ นะยายเมี้ยน...ผมหงอกแกน่ะไม่ต้องย้อมแล้ว...เดี๋ยวฉันถอนให้เอง”
“ก็เข้ามาซิวะ...! หนอย...ฟังความจริงหน่อยไม่ได้...ถ้าคนไม่ได้กันเขาไม่ยืนกอดกันกลางตลาดอย่างนั้นหรอกเว้ย..!” ยายเมี้ยนบอกอีก
ช่อผกายิ่งจี๊ดในใจ “อ๊าย”
ช่อผกาสุดทนแล้ว ลุกพรวดจากเก้าอี้สระผมก่อนจะเอาฟองที่เต็มหัวปาใส่บรรดาป้าๆ จนทั้งหมดแตกฮือวุ่นวาย ก่อนที่ช่อผกาจะกรี๊ดให้อีกทีแล้วเดินออกไปด้วยความโกรธเต็มที่
อรอนงค์เดินเข้ามาที่สำนักงานของสถานี ก่อนจะหยุดแล้วเริ่มซักซ้อมคำพูดกับตัวเอง
“วันนี้หมอจะรีดน้ำเชื้อเจ้าเพชรฉายอีกหรือเปล่าคะ...” อรอนงค์เบ้หน้า “อี๋...พูดไปได้ยังไง...น่าอายจริงๆ เลยเรา...เอาใหม่...เอ่อ...หมอคะ...อรอยากเห็น”อรอนงค์ชะงัก “ไม่ๆๆ ฉันพูดไม่ได้...ฉันจะพูดยังไงไม่ให้มีพิรุธเนี่ย”
อรอนงค์สีหน้าเครียดหนัก แต่แล้วจู่ๆ อรอนงค์ก็นึกออก
“ใช่...เราต้องสั่งจิตใต้สำนึก” อรอนงค์หลับตาลง “ด้วยพลังแห่งจิตใต้สำนึก...เราสามารถทำได้ทุกอย่าง”
ระหว่างนั้นสมหญิงเปิดประตูออกมาพอดี และรู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นอรอนงค์ยืนทำท่าราวกับรำไทเก็ก
“จิตใต้สำนึกแห่งเราจงมอบความกล้าและพลังให้กับเราด้วย”
“เล่นอะไรอยู่เหรอคะคุณอร”
อรอนงค์ชะงักค่อยๆ ลืมตา ก่อนจะตกใจเมื่อเห็นสมหญิงยืนอยู่ด้านหลัง
“อุ้ย...เอ่อ...เปล่าจ้ะ...หมอเกริกไกรอยู่มั้ยคะ”
“อยู่ในห้องแล็บน่ะค่ะ” สมหญิงบอก
อรอนงค์รีบตัดบทด้วยความอาย “ขอบคุณค่ะ”
อรอนงค์รีบเดินเข้าไปในสำนักงานทันที สมหญิงมองตามด้วยความสงสัย
“โตขนาดนี้แล้วยังเล่นเป็นยอดมนุษย์อยู่อีก”
ทางด้านเกริกไกรกำลังยืนเช็คความหล่ออยู่ที่หน้ากระจกภายในห้องแล็บ โดยเกริกไกรยืนดึงเสื้อออกนอกกางเกงเพื่อดูว่าแบบไหนหล่อที่สุด
“ อืม...แบบนี้ก็ดูไม่เรียบร้อย...คุณอรต้องไม่ชอบแน่ๆ”
ว่าแล้วเกริกไกรก็ยัดเสื้อเข้าไปในกางเกงอีก แล้วหันมามองพิจารณาตัวเอง
“โอเค...แบบนี้ดีกว่า”
เกริกไกรหันไปวางกระบอกรีดน้ำเชื้อที่ถืออยู่บนโต๊ะ ก่อนจะถอดเข็มขัดเพื่อยัดเสื้อใส่ในกางเกงให้เรียบร้อย
แต่ระหว่างที่เกริกไกรถอดเข็มขัดรูดซิปลง ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่แท่งรีดน้ำเชื้อค่อยๆ กลิ้งไป และกำลังจะตกจากโต๊ะ
“เฮ้ย”
เกริกไกรอาศัยความเร็วรีบพุ่งไปรับไว้ได้ทัน แต่แล้วทันใดนั้นอรอนงค์ก็เปิดประตูเข้ามาในห้องแล็บสถานี
ภาพที่อรอนงค์เห็นอยู่ตรงหน้าก็คือ เกริกไกรถอดกางเกงแล้วถือแท่งรีดน้ำเชื้อควายอยู่
“อ๊าย”
อรอนงค์ร้องกรี๊ดก่อนจะวิ่งออกไปด้วยความตกใจ เกริกไกรทำหน้าสงสัยก่อนจะก้มลงมองสภาพตัวเองแล้วก็เข้าใจว่าทำไมอรอนงค์ถึงได้ตกใจขนาดนั้น
“เฮ้ย ! คุณอร ! เดี๋ยวครับ...มันไม่ใช่อย่างที่คุณอรคิดนะครับ”
เวลาผ่านไป...อรอนงค์กำลังเหล่มองเกริกไกรที่กำลังอธิบายเรื่องราวด้วยสีหน้าท่าทางไม่วางใจนัก
“เรื่องมันก็เป็นอย่างที่บอกแหละครับ”
“เอ่อ...ค่ะ”
“นี่คุณอรไม่เชื่อผมใช่มั้ยครับ...ดูซิครับ...ขนาดของควายกับคนมันก็คนละไซส์กันแล้ว”
เกริกไกรยื่นกระบอกรีดน้ำเชื้อให้อรอนงค์ดู อรอนงค์ตกใจรีบปัดคืนทันที
“ไม่เป็นไรค่ะไม่ต้องดูก็ได้...อรเชื่อหมอค่ะ” อรอนงค์ยิ้มหวาน
“จริงนะครับ”เกริกไกรเนื้อเต้น
“ค่ะ”
“แหม...ค่อยโล่งอกหน่อยที่คุณอรไม่คิดว่าผมโรคจิตขนาดนั้น” เกริกไกรนึกขึ้นได้ “แล้วคุณอรไม่ได้ไปถ่ายละครกับเขาด้วยเหรอครับ”
อรอนงค์เพิ่งนึกได้เลยลืมข้ออ้างที่กำลังจะพูดหมด “เอ่อ...คะ...คือวันนี้รู้สึก...รู้สึกใจคอไม่ค่อยดี...ก็เลยขออยู่ที่นี่ดีกว่า”
“ใจคอไม่ค่อยดีเหรอครับ...” เกริกไกรนิ่งคิดด้วยความเป็นห่วง “ถ้าอย่างนั้นผมว่าคุณไปกับผมดีกว่าครับ” ลุกขึ้นจะเดินออกไป
อรอนงค์ไม่คิดว่าเกริกไกรจะจริงจังขนาดนี้ “เอ่อ...ไม่ต้องก็ได้ค่ะ...คือ”
เกริกไกรชิงพูดขึ้นก่อน “ไม่ต้องไม่ได้ครับ...ถ้าเรารู้สึกว่าใจคอไม่ค่อยดี...นั่นแสดงว่ากำลังจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น”
“แล้ว...แล้วหมอจะให้ฉันไปไหนเหรอคะ”
เกริกไกรยิ้มให้อรอนงค์แทนคำตอบ
เหตุการณ์ที่บ้านผู้พันชาญณรงค์ ใบหน้าของชาญณรงค์เวลานี้กำลังถูกบิดบี้ ขยี้ขยำโดยมือของสมคิด
“สบายมั้ยครับนาย”
ชาญณรงค์ตอบทั้งๆ ที่หน้าบูดเบี้ยว “ยะยะ...หยุด”
“ว่าไงนะครับ”
ชาญณรงค์ลุกพรวด “หยุดเว้ย ! ไอ้นี่...ข้าบอกว่าเมื่อยตัวไม่ใช่เมื่อยหน้า...เดี๋ยะ...โดนอีกยี่สิบ” แต่แล้วก็ยังเมื่อยเหมือนเดิม “อูยยยยย ! คอ...คอ”
“ครับผม”
ชาญณรงค์ลงนั่งก่อนจะเห็นสมคิดเริ่มนวดตัวตามไหล่ สะบักด้วยท่าพิสดาร จังหวะหนึ่งสมคิดก็จับคางชาญณรงค์พร้อมบิด
“อย่าเกร็งนะครับผู้พัน”
ว่าแล้วสมคิดก็จับคอชาญณรงค์บิดเต็มแรง
ชาญณรงค์ร้องลั่น “อ้ากก” คอบิดค้างเพราะเส้นยึด
“ไอ้คิด...บิดคืนเดี๋ยวนี้”
“อุ้ย...ขอโทษครับนาย”
แล้วสมคิดก็จับคอชาญณรงค์บิดคืนกลับอีกข้าง แต่เพราะออกแรงมากไปจึงทำให้เลยจุดศูนย์กลางเป็นเอียงอีกข้าง
“ไอ้คิด...บิดเกิน”
สมคิดพยายามบิดกลับ “เอ่อ...นายครับ...สงสัยเส้นจะยึดบิดคืนไม่ได้แล้วครับ”
ชาญณรงค์ลุกขึ้นด้วยความโมโห “บ้าเอ๊ย”
มายืนอยู่ตรงหน้าสมคิด แต่เพราะคอเอียงไปอีกด้านทำให้ไม่เห็น
“ไอ้คิด...อยู่ไหน”
สมคิดต้องวิ่งเข้ามาตรงหน้า “อยู่นี่ครับนาย”
“แล้วไง...จะให้คอข้าอยู่อย่างนี้หรือไง...ห๊า”
สมคิดคิดออกมาได้ “เอ่อ...ไม่ต้องห่วงครับนาย...ผมรู้ว่าใครจะช่วยนายได้”
เวลาเดียวกันนั้นป้าคนหนึ่งยืนเลือกซื้อมะนาวอยู่ ระหว่างนั้นเห็นลุงคนหนึ่งเดินพ้นฝูงคนออกมาจากด้านหลังก่อนจะเดินเข้ามาหาป้า
ลุงคนนั้นเดินเข้ามาหยุดที่ด้านหลังของป้าอย่างเนิ่นนานโดยไม่พูดไม่จาใดๆ ทันใดนั้นเสียงของสุบินก็ดังขึ้น
“คัท”
สุบิน สรนุช ใจเด็ด และเจนจิราพร้อมด้วยชาวบ้านยืนออกันอยู่ด้านหลัง
สุบินรีบวิ่งเข้ามาหาลุงกับป้า “ทำไมไม่พูดละลุง”
“ก็ไอ้ที่เอ็งให้ข้าพูดมันยาวนี่...ใครจะไปจำได้” ลุงโวยกลับ
สุบินเซ็งเป็ด “งั้นเอางี้นะลุง...ลุงไม่ต้องพูดตามบทแล้ว...เอาเป็นว่า...ถ้าลุงจากบ้านเกิดไปอยู่กรุงเทพฯเป็นหลายสิบปี...แต่พอกลับมาที่นี่แล้วพบว่าผู้หญิง...ก็คือป้าคนนี้ที่เป็นรักแรกของลุงยังคงเฝ้ารอลุงอยู่...ลุงอยากบอกอะไรกับป้า...ลุงก็บอกไป”
“โอ๊ย...ถ้าอย่างนี้ก็สบาย” ลุงว่า
ใจเด็ดถามสรนุชด้วยความอยากรู้ “ละครคุณมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร”
สรนุชอึ้ง เพราะตนไม่รู้เหมือนกันเลยมั่วไป “ก็...ก็...ผู้ชายคนหนึ่งจากบ้านเกิดไปเพื่อตามหารักแท้...แต่สุดท้ายเขาเพิ่งรู้ว่ารักแท้ที่เขาตามหาก็คือผู้หญิงคนที่รอเขาอยู่ที่นี่”
ใจเด็ดได้ยินอย่างนั้นก็นิ่งไป สรนุชเหล่มองท่าทีของใจเด็ด ส่วนเจนจิราก็แอบมองใจเด็ดและสรนุชเช่นกัน
“เอ่อ...ไม่ชอบเหรอ” สรนุชถาม
“เปล่าหรอก...ผมอยากให้คนที่นี่...หรือคนที่จังหวัดอื่นเขาได้ดูละครเรื่องนี้เร็วๆ...เขาจะได้ไม่ได้ต้องขวนขวายพาตัวเองเข้าไปทำงานที่กรุงเทพฯน่ะ” ใจเด็ดว่า
สรนุชหันหน้าไปอีกทาง แล้วพูดกับตัวเองเบาๆ “อินซะงั้น”
เสียงของสุบินสั่งเดินเทปดังขึ้น
“สาม...สอง...หนึ่ง”
ทุกคนจ้องมองลุงที่เดินมาที่ป้าเป็นตาเดียว ใจเด็ดเองก็ลุ้นเหมือนกับว่าเป็นตัวเอง
ลุงเข้ามาหยุดที่หลังป้าก่อนจะถามขึ้นมา “ยังไม่ตายอีกเหรอนังปลิก”
ทุกคนถึงกับเซแทบล้มกับคำพูดของลุง ชาวบ้านที่มุงดูหัวเราะกันลั่น สุบินถึงกับกุมขมับ
ช่อผกาเดินหัวเปียกเนื่องจากยังไม่ล้างยาสระผมออก ด้วยสีหน้าหงุดหงิดมาตามทาง
“อยู่ไหนเนี่ย..!”
ระหว่างนั้นช่อผกาเห็นเด็กๆ กำลังวิ่งสวนเธอออกไปก็สงสัย
ช่อผกาคว้าแขนเอาไว้คนหนึ่ง “ไปไหนกัน”
“ปล่อยนะป้า” เด็กบอก
“ป้า..?! แกเรียกใครว่าป้า” ช่อผกาโมโหสุดๆ
“ก็ป้านั่นแหละ...ปล่อยซิ...เดี๋ยวก็ไปดูเขาถ่ายละครไม่ทันหรอก”
ว่าแล้วเด็กก็สะบัดมือสุดแรงจนหลุดจากมือช่อผกา ก่อนจะวิ่งจู้ดออกไป ช่อผกามองตามรู้ด้วยแววตาเอาเรื่อง
สุบินกับสรนุชกำลังปรึกษากัน
“ฉันว่าอย่างนี้ไม่รอด” สุบินบอก
“แกก็ถ่ายๆไปเถอะน่า...ยังไงก็ไม่ได้ใช้อยู่ดี” สรนุชว่าไปส่งๆ
ระหว่างนั้นใจเด็ดเดินเข้ามาพร้อมกับเจนจิรา
“ผมว่าลองให้ลุงกับป้าแกลองเล่นดูอีกทีเถอะครับ...ตอนนี้แกอาจจะยังไม่ชิน”
“ไม่ไหวหรอกครับ...เล่นไม่ได้ก็คือเล่นไม่ได้...ถึงเล่นได้มันก็จะออกมาไม่ธรรมชาติ” สุบินว่า
“แล้วทำไมคุณไม่ลองเล่นให้ลุงแกดูก่อนละ...ถ้าลุงแกรู้ว่าต้องเล่นยังไง...แกอาจเล่นได้ก็ได้”
สุบินได้ยินที่เจนจิราพูดก็นึกออก “จริงด้วยครับ...เอ่อ...คุณใจเด็ดช่วยเล่นให้แกดูหน่อยได้มั้ยครับ”
ใจเด็ดตกใจ “ห๊า ! เอ่อ...ผมว่าผมคงไม่ถนัดเรื่องการแสดงเท่าไหร่”
สรนุชได้ทียุส่ง “ไม่ยากหรอกน่า...นายก็แค่ทำเหมือนตอนที่นายอยู่กับคนอื่นแค่นั่นแหละ”
ใจเด็ด “หมายความว่าไง”
สุบินรีบตัดบทเพราะกลัวทั้งคู่จะทะเลาะกัน “นะครับคุณใจเด็ด...เดี๋ยวผมให้ยัยนุช...เล่นเป็นป้าคนนั้นด้วย”
สรนุชเคลิ้มตอบทันที “ได้...ไม่มีปัญหา” แต่แล้วก็นึกได้ “ห๊า ! อะไรนะ”
ใจเด็ดสวนกลับ “ไม่ยากหรอกน่า...คุณก็แค่ทำตัวเหมือนตอนที่คุณอยู่ต่อหน้าคนอื่นแค่นั่นแหละ”
ว่าแล้วใจเด็ดก็ยิ้มกวนให้สรนุช ในขณะที่สรนุชหันไปแยกเขี้ยวใส่สุบิน
สุบินไม่ได้สนใจสรนุช หันไปบอกเจนจิรา “ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องรบกวนคุณเจนเป็นตากล้องให้ด้วยนะครับ”
เจนจิราอึ้ง “ห๊า”
“ทุกคนพร้อมนะ” สุบินไม่สนใจ หันไปสั่งแบบเผด็จการเสร็จสรรพ แล้วเดินออกไปเตรียมความพร้อม
ขณะที่เจนจิราก็แอบมองภาพใจเด็ดกับสรนุชคู่กันด้วยความรู้สึกจี๊ดในใจขึ้นมา
เวลาผ่านไป ในขณะที่สรนุชกำลังเดินเลือกซื้อของในตลาด ระหว่างนั้นใจเด็ดเดินฝ่าฝูงชนเข้ามาก่อนจะชะงักไปเมื่อเห็นสรนุชจากทางด้านหลัง
“ฉันกลับมาแล้ว”
สรนุชได้ยินเสียงของใจเด็ดก็ถึงกับทำมะนาวหล่น แล้วค่อยๆ หันมาแล้วเห็นใจเด็ด สุบินจ้องมองมอนิเตอร์อย่างมีอารมณ์ร่วม ส่วนเจนจิราตากล้องจำเป็นก็รู้สึกขมคอบาดตากับภาพตรงหน้า
สรนุชแสดงต่อ...สรนุชกับใจเด็ดค่อยๆ เดินเข้ามาหากันเหมือนมีแม่เหล็กดูดดึง ก่อนที่สรนุชจะทิ้งทุกอย่างในมือแล้วโผเข้ากอดใจเด็ด
ทันใดนั้นเสียงตบมือของชาวบ้านก็ดังขึ้นด้วยความดีใจ ขณะที่เจนจิราถึงกับทนดูไม่ได้เดินหนีออกไป
สุบินพูดกับเจนจิราแต่ตามองมอนิเตอร์ “ถ่ายไว้นิ่งๆ นะครับ”
จังหวะนั้นสุบินเห็นภาพในมอนิเตอร์สั่นก็หันขวับไปทางเจนจิรา จึงได้เห็นว่าเจนจิราทิ้งกล้องแล้วเดินออกไป
“อ้าว...คุณเจน...คุณเจน”
สุบินมองไปที่หน้าเซ็ทก่อนจะตัดสินใจวิ่งตามเจนจิราออกไป
สรนุชตกอยู่ในอ้อมกอดของใจเด็ดเองก็รู้สึกหวิวๆ พิกล เช่นเดียวกันกับใจเด็ด ก่อนที่สรนุชจะรีบเปลี่ยนความรู้สึกนั่น
“พอได้แล้ว”
“ได้ยังไง...ก็เขาบอกว่าให้เล่นจนกว่าจะได้ยินเสียงคัทนี่”
แต่ทันใดนั้นเองเสียงกรี๊ดของช่อผกาก็ดังแผดสนั่นแทรกทุกอย่างขึ้นกลางวง
“อ๊ายยย”
ทุกคนถึงกับแหวกช่องไปตามเสียง เห็นช่อผกากรีดร้องราวกับผีเข้า
“แก...นังหน้าด้าน” ช่อผกาปรี่เข้ามาหาสรนุชกับใจเด็ดทันที
ใจเด็ดเข้าขวางไว้ “ผกา...ฟังพี่ก่อน”
ช่อผกาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ผลักใจเด็ดจนเซออกไป แล้วตรงเข้าไปจะตบสรนุช แต่สรนุชระวังตัวอยู่แล้วจึงหลบทัน ทำให้ช่อผกาเสียหลักไปชนกับกลุ่มชาวบ้านไทยมุง กลุ่มชาวบ้านผลักช่อผกาเข้ามาในวงพร้อมกับส่งเสียงเชียร์
ช่อผกากับสรนุชต่างโรมรันพันตู กระชากจิกตบกันอย่างเอาเป็นเอาตาย พอช่อผกาตบสรนุช สรนุชก็ตบกลับ จังหวะหนึ่งช่อผกาเสียหลักเซไปโดนแผงไข่ ช่อผกาหันไปหยิบไข่มาระดมปาสรนุชโดนบ้างไม่โดนบ้าง
“หยุดเดี๋ยวนี้นะผกา” สรนุชโกรธจัด
“ไม่...นังนี่มันแย่งพี่เด็ด...ผกาจะสั่งสอนให้มันรู้ว่าอย่ามายุ่งกับของของผกา”
สรนุชเองก็หันไปหยิบขนมเค้ก ที่ตัดแบ่งขายเป็นชิ้นเล็กๆ มาปาใส่ช่อผกาอย่างไม่ยอมแพ้ จนในที่สุดก็เห็นชัดสรนุชกับช่อผกาต่างเละด้วยกันทั้งคู่
ช่อผการะดมปาไข่ใส่สรนุชจนเห็นว่าไข่ใบหนึ่งโดนเข้าเต็มหน้าของสรนุช สรนุชมองไม่เห็นช่อผกาจึงได้โอกาสที่จะตามเข้าไปซ้ำ
แต่แล้วทันใดนั้นช่อผกาก็เหยียบเข้ากับเค้กและไข่ที่เกลื่อนเต็มพื้น ทำให้ช่อผกาเสียหลัก
“ว้าย”
ช่อผกาเสียหลัก แทนที่จะวิ่งเข้าไปหาสรนุชที่กำลังมองไม่เห็น แต่เธอกลับพุ่งเข้าไปที่ร้านปลากริมไข่เต่า ช่อผกาจะเสียหลักเอาหัวจุ่มลงไปในหม้อปลากริม
ชาวบ้านหัวเราะกันชอบใจที่ช่อผกาดึงหัวตัวเองออกจากหม้อปลากิมไม่ได้
ใจเด็ดรีบเข้ามาหาสรนุชทันที แต่สรนุชกลับสะบัดมือของใจเด็ดก่อนจะเดินออกไป ใจเด็ดรีบเดินตามสรนุชออกไป
ปล่อยให้ช่อผกาเดินชนโน่นชนนี่พร้อมกับเสียงหัวเราะอย่างสะใจของชาวบ้าน
อ่านต่อหน้า 2 เวลา 17.00 น.
กระบือบาล ตอนที่ 6 (ต่อ)
ด้วยความโมโห สรนุชเดินอาดๆ ออกมาห่างจากบริเวณที่เกิดเหตุ โดยมีใจเด็ดวิ่งตามเข้ามาด้านหลัง
“เดี๋ยวก่อนคุณ...คุณ”
สรนุชยังเดินหนีใจเด็ดไม่สนใจ จนใจเด็ดต้องดึงมือสรนุชเอาไว้
“จะไปไหน”
“ไปไหนก็ได้ให้ห่างจากแฟนโรคจิตของนาย”
ใจเด็ดถอนหายใจด้วยความเหนื่อยใจ “ผมขอโทษ”
“หึ...นายขอโทษให้แฟนนายเหรอ”
ใจเด็ดสบตา เหมือนรู้สึกผิด “ผมขอโทษที่ดูแลคุณไม่ได้”
สรนุชได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกวาบหวิวพิกล ระหว่างนั้นเสียงช่อผกาดังโหวกเหวกขึ้น
“พี่เด็ด...พี่เด็ดอยู่ไหน”
ใจเด็ดได้ยินเสียงช่อผกาก็รีบดึงสรนุชหลบเข้าไปในซอกแคบ จนทำให้ใจเด็ดกับสรนุชแทบจะหายใจรดต้นคอ สรนุชแอบมองใจเด็ด เธอไม่เคยเห็นเขาใกล้ขนาดนี้มาก่อน
เมื่อช่อผกาวิ่งเลยผ่านซอกแคบที่ใจเด็ดกับสรนุชหลบอยู่ออกไป ใจเด็ดกับสรนุชจึงค่อยๆ ออกมา
สรนุชเดินออกมา ใจเด็ดรีบเข้ามาถาม “เดี๋ยวคุณ”
“คนที่นายควรดูแลไม่ใช่ฉัน...แต่เป็นแฟนนาย...ทีหลังถ้านายจะพาแฟนนายออกจากบ้านช่วยเอาตะกร้อครอบปากไว้ก่อนก็ดี”
สรนุชเดินออกไปด้วยสภาพเละเทะสุดๆ ใจเด็ดมองตามด้วยความเหนื่อยใจ
ด้านสุบินเดินตามหาเจนจิรามาตามทาง “ไปไหนของเขาวะ”
สุบินเดินพ้นต้นไม้ออกมาก็เห็นเจนจิรายืนสงบสติอารมณ์อยู่ลำพังคนเดียว สุบินเดินเข้ามาหาเจนจิรา เจนจิราได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา ก็รีบหันขวับกลับไปเพราะคิดว่าเป็นใจเด็ดมาตาม
“หั...” แล้วเสียงก็หายไปในลำคอ และชะงักไปเมื่อเห็นว่าเป็นสุบิน “คุณสุบิน”
“เป็นไรหรือเปล่าคุณ...เห็นอยู่ๆ ก็เดินออกมา”
“เปล่า...ฉันแค่เห็นคนเยอะแล้วมันอึดอัด”
สุบินเหล่มองเจนจิราก็พอจะรู้ว่าเจนจิราต้องรู้สึกอะไรบางอย่างกับใจเด็ด แต่ยังไม่แน่ใจจึงลองถามหยั่งเชิงดู
“แน่ใจนะว่าเห็นคนเยอะ...ผมนึกว่าคุณเห็นแค่คุณใจเด็ดกับยัยนุชเท่านั้น”
“อะไร” เจนจิราหงุดหงิด
“เปล๊า...ก็คนที่เป็นตากล้องเขาไม่สนใจอย่างอื่นนอกจากที่อยู่ในเฟรมเท่านั้น...แล้วอีกอย่างไม่ว่าภาพที่อยู่ในเฟรมจะเกิดอะไรขึ้น...หน้าที่ของคนเป็นตากล้องก็คือต้องทนกับสิ่งที่ตัวเองเห็นให้ได้”
คำพูดของสุบินยิ่งทำให้ความหงุดหงิดของเจนจิราเพิ่มขึ้น
“คุณบอกในสิ่งที่ฉันต้องรู้แล้ว...คราวนี้ฉันจะบอกในสิ่งที่คุณต้องรู้เหมือนกัน”
“โอเค”
“ฉันเป็นสัตวบาล...ไม่ใช่ตากล้อง”
เจนจิราพูดจบก็เดินผ่านสุบินออกไป สุบินหันมองตามอย่างอึ้งๆ “โอเค”
ส่วนสมคิดพาชาญณรงค์ที่เดินคอเอียงมาตามทาง ระหว่างนั้นสมคิดหยุดแล้วหันมาบอกกับชาญณรงค์
“ถึงแล้วนาย”
ชาญณรงค์มองไปที่บ้านหลังหนึ่ง มีป้ายติดหน้าบ้านหราว่าคลินิคสัตว์
“ไอ้คิด..! พาข้ามาหาหมอหมาทำไม”
สมคิดหันมาเห็นชาญณรงค์ที่คอเอียงเลยมองผิดทาง
“อุ้ย” สมคิดรีบวิ่งเข้ามาหาชาญณรงค์แล้วจับบิดตัว “ไม่ใช่ครับนาย...ทางนี้ครับ”
สมคิดค่อยจับชาญณรงค์บิดตัวหันมองบ้านอีกหลังที่อยู่ตรงข้าม คราวนี้ชาญณรงค์เห็นว่าเป็นบ้านของมหาเหม็นนั่นเอง
“เอ็งพาข้ามาหาไอ้เหม็นทำไม”
เวลาต่อมามหาเหม็นหลับตาพนมมือทำปากขมุบขมิบไหว้ครู ก่อนจะเป่าใส่หน้าชาญณรงค์และสมคิดที่นั่งอยู่ เสียงดังฟู่ !!!
ชาญณรงค์กับสมคิดทำหน้าเบ้
สมคิดกระซิบกับชาญณรงค์ “ผมว่าผมพอจะรู้แล้วครับว่าทำไมถึงได้ชื่อมหาเหม็น”
มหาเหม็นลืมตาขึ้นหลังจากทำพิธีไหว้ครูเสร็จ
“ผู้พันอาจจะไม่รู้ว่า...เท้าคือศูนย์รวมเส้นประสาททั้งหมดในร่างกายของคนเรา”
ว่าแล้วมหาเหม็นก็จับชาญณรงค์นอนลงก่อนจะจับเท้าชาญณรงค์ยกขึ้น
“เฮ้ย...เบาหน่อยมหา”
“ของอย่างนี้ถ้าเบามันก็จะไม่ถึง”
ทันใดนั้นมหาเหม็นก็กดลงไปที่ฝ่าเท้าของชาญณรงค์ ชาญณรงค์ถึงกับร้องจ๊ากดิ้นพล่าน
“เบาเว้ยมหา..!”
“เป็นไงละ...รู้สึกจิ๊ดไปที่กระเบนเหน็บเจ็บไปที่เอวละซิ...ทนอีกนิดเว้ยผู้พัน...ตอนนี้ละถึงจุดสำคัญแล้ว”
ว่าแล้วมหาเหม็นก็เงื้อมือที่กำเป็นมะเหงกมาแต่ไกล กระแทกเข้าไปที่ฝ่าเท้าของชาญณรงค์
“อ้าก”
ครู่ต่อมาชาญณรงค์นอนหายใจหอบเหนื่อย ก่อนจะรู้สึกว่าคอตัวเองกลับมาตั้งตรงได้เหมือนเดิมแล้ว
“เฮ้ย ! ตรงแล้ว...คอข้ากลับมาตรงแล้วเว้ย”
“จริงด้วยนาย...โห...มหาเหม็นนี่สุดยอดจริงๆ”
สมคิดหันชื่นชมมหาเหม็น แต่กลับเห็นว่ามหาเหม็นกำลังจ้องที่เท้าของชาญณรงค์ตาเขม็ง ก่อนจะจับเท้าของชาญณรงค์ยกขึ้นอย่างพิจารณา
“พอเลยๆ...ข้าหายแล้ว” ชาญณรงค์จะดึงเท้าออก
มหาเหม็นดึงเท้ากลับ “ช่วงนี้รู้สึกว่าดวงไม่ค่อยดีใช่มั้ยผู้พัน”
“ทำไมเหรอมหา”
“ก็ดูซิ...เส้นมฤตยูโคจรเข้ามาที่ตาปลา...โบราณท่านว่ามันคือเส้นวินาศ...พักนี้ผู้พัน...มักจะมีเรื่องมีราว..ทั้งศัตรูในที่ลับแล้วก็ที่แจ้งใช่มั้ย”
สมคิดได้ฟังแล้วก็คิดแทน “ใช่เลยมหา” หันไปบอกกับชาญณรงค์ “ไอ้ใจเด็ดไงนาย”
เออว่ะ...” ชาญณรงค์พูดกับมหาเหม็น “...พักนี้ไม่รู้เป็นไง...ไอ้ใจเด็ดมันถึงได้ขัดคอขัดลาภฉันไปซะทุกเรื่อง...มหาพอจะมีวิธีที่ทำให้มันไม่ต้องมายุ่งกับฉันได้มั้ย”
“ไม่ต้องห่วง...ผู้พันก็แค่หาสัตว์สองเท้ามาอยู่ใกล้ๆ ก็พอ”
“สัตว์สองเท้า..?” สมคิดนึกได้ “อ๋อ...นกกรงหัวจุกหรือมหา”
“ผู้หญิงเว้ย” มหาเหม็นว่า
ชาญณรงค์ได้ยินอย่างนั้นก็หูผึ่งทันที “เฮ้ย...นี่มหากำลังจะบอกให้ฉันมีเมียใหม่หรือไง”
“ใช่...ถ้าผู้พันอยากให้หมดเรื่องทุกข์ใจ...ผู้พันต้องหาผู้หญิงคนนั้นให้เจอ...” มหาเหม็นจ้องเท้าเขม็ง “นั่นไง...ฉันเห็นแล้ว...ผู้หญิงคนนั้นงามมาก...งามราวกับนางฟ้า”
“นางฟ้า”
ชาญณรงค์ครุ่นคิดตามที่มหาเหม็นบอก
เวลาเดียวกันเกริกไกรอยู่ที่วัด และกำลังยื่นกระบอกเซียมซีให้กับอรอนงค์เขย่าเสี่ยงทาย
“ลองดูซิครับคุณอร...เซียมซีที่วัดนี้แม่นมากนะครับ...อย่างคราวที่แล้วเซียมซีบอกกับผมว่า...ผมจะได้สามตัวเน้นๆ...แล้วผมก็ได้จริงๆ ครับ”
อรอนงค์หูผึ่ง “หวยเหรอคะ”
เกริกไกรส่ายหน้า “ลูกควายน่ะครับ...ไอ้โหน่งท้ายตำบลเอามาฝากเลี้ยงเพราะเลี้ยงไม่ไหวน่ะครับ” ยื่นเซียมซีให้ “ลองดูซิครับ”
อรอนงค์รับกระบอกเซียมซีไป ก่อนจะพนมมือหลับตาอธิษฐานแล้วเริ่มเขย่าๆ
เกริกไกรมองอรอนงค์เขย่าอยู่นานแต่ไม้ก็ไม่หล่นออกมาซะที
“โทษนะครับคุณอร...คุณอรลองเขย่าแบบผมดูมั้ยครับ”
เกริกไกรรับกระบอกเซียมซีมา แต่กลับเขย่าร่างตัวเอง ไม่ยอมเขย่ากระบอกเซียมซี
อรอนงค์งง “หือ..?”
“ผมล้อเล่นครับ...คุณอรจับอย่างนี้ซิครับ”
ว่าแล้วเกริกไกรก็ทำมือให้อรอนงค์ อรอนงค์ทำมือตาม
“อย่างนั้นแหละครับ...คุณอรลองซิครับ”
จังหวะที่เกริกไกรจัดแจงจัดท่าให้อรอนงค์ ทำให้มือของทั้งสองโดนกัน เกริกไกรถึงกับชะงักรีบชักมือกลับพลางขอโทษ
“อุ้ย...ขอโทษครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
แล้วอรอนงค์ก็เริ่มเขย่าตามที่เกริกไกรบอก ไม่นานเซียมซีก็หล่นออกมาจากกระบอก
อรอนงค์ดีใจ “หล่นแล้ว”
ด้วยความดีใจทำให้อรอนงค์ไม่ทันระวังจึงยกมือดีใจเต็มที่ ทำให้ไม้เซียมซีในกระบอกหล่นกระจายจนคละกันไปหมด
“อุ้ย...แล้วของอรอันไหนคะ”
เกริกไกรมองอรอนงค์แล้วยิ้มอย่างเอ็นดู
เกริกไกรหยิบกระดาษหมายเลขเซียมซีออกจากช่อง “คุณอรอ่านเซียมซีเป็นมั้ยครับ”
อรอนงค์ส่ายหน้า
“ถ้างั้นผมขออนุญาตแปลให้ฟังนะครับ...แฮ่ม...ใบที่เก้าขอเล่าให้ฟังว่า...วาสนามาดีบังเกิดผล...ทำสิ่งใดจะสำเร็จคนนิยม...จะชื่นชมยินดีเปรมปรีย์ใจ...เอ่อ..เขาบอกว่าเรื่องการงานของคุณอรก็งั้นๆแหละครับ” อรอนงค์ทำหน้างง..เพราะเท่าที่ฟังมันก็ดีนี่นา “ดูนี่ดีกว่าครับ...น่าสนใจกว่าเยอะ”
เกริกไกรมองใบเซียมซีก่อนจะเหล่มองอรอนงค์แล้วเริ่มอ่าน
“ถามถึงคู่...ชู้ชื่นระรื่นจิต...อย่าได้คิดมีใครกับใครเขา...” ตั้งใจพูดบอกกับอรอนงค์ “เขาบอกว่าเนื้อคู่ของคุณอรจะทำงานเกี่ยวกับเขาน่ะครับ...อ๋อ...ผมรู้แล้วครับ...ควายไงครับ...ควายมีเขา...เนื้อคู่คุณอรต้องทำงานเกี่ยวกับควายแน่นอนครับ”
“เอ่อ...ใช่เหรอคะ” อรอนงค์ไม่อยากเชื่อ
“ใช่ซิครับ...มาครับ...เดี๋ยวผมแปลให้ฟังต่อ...ดวงชะตาชาตินี้มีแต่เรา...ต้องทนเหงาเปล่าเปลี่ยวอยู่เอกา...” เกริกไกรแปลกใจ “เอ...เอกานี่มันเป็นยังไงครับคุณอร...แล้วใครมันจะอยู่ที่เอกาได้...ผมว่าเซียมซีต้องพิมพ์ผิดแน่นอน...” เกริกไกรเริ่มนึกออก “ผมรู้แล้วครับ...เซียมซีเขาต้องบอกว่ากราวด์แน่ๆเลย...อยู่เอกราวด์...ก็ต้องแปลว่าต้องเป็นคนที่ใส่ชุดกราวด์...หมอไงครับ...หมอใส่ชุดกราวด์...แล้วเมื่อรวมกับประโยคแรก...ว่าต้องเป็นคนที่ทำงานกับควาย...ถ้างั้นเนื้อคู่ของคุณอร...ต้องเป็นหมอรักษาควายแน่นอนครับ...ฟันธง”
เกริกไกรยิ้มให้อรอนงค์เหมือนจะบอกอรอนงค์ว่าเขาคือคนที่ในเซียมซีบอกนั่นเอง ส่วนอรอนงค์ได้แต่ทำหน้าเซ็งที่เกริกไกรเล่นแปลทุกอย่างเข้าหาตัวเองหมด
ส่วนทางด้านสรนุชกับใจเด็ดยืนรอสุบินกับเจนจิราอยู่ที่รถ
“ลูกน้องนายพาเพื่อนฉันไปไหนเนี่ย”
“เจนเป็นรุ่นน้องผมไม่ใช่ลูกน้อง...แล้วทำไมไม่คิดว่าเพื่อนคุณพาเจนไปไหนละ”
สรนุชหมั่นไส้ “ชิ...”
สรนุชหันไปหยิบกระเป๋าเล็กๆที่มีสบู่และเครื่องอาบน้ำขึ้นมาก่อนจะหยิบขวดน้ำขึ้นมาล้างหน้า ส่วนใจเด็ดก็หันมองไปรอบๆเพื่อมองหาเจนจิรา
สรนุชล้างสบู่เสร็จก็จะหยิบขวดน้ำแต่ด้วยความที่เธอไม่ลืมตาทำให้มือของเธอควานไปโดนขวดน้ำจนล้มลง
“น้ำ...น้ำอยู่ไหน”
ใจเด็ดมองไปที่สรนุชกำลังควานหาขวดน้ำแล้วเห็นว่าขวดน้ำล้มจนหกหมดก็ส่ายหน้า
“โอ๊ย...นี่...หาน้ำมาให้หน่อยซิ...ฉันแสบตาแล้ว”
ใจเด็ดยิ้มมุมปากอย่างขำๆ
“เร็วซิ..!”
“นี่คุณ...เวลาขอร้องคนอื่นน่ะหัดพูดให้มันเพราะๆ หน่อย” ใจเด็ดเอ็ดเอา
“โอ๊ย...อย่าเพิ่งเล่นตอนนี้ได้มั้ย...น้ำ...น้ำอยู่ไหน”
สรนุชเริ่มวิ่งพล่าน ใจเด็ดส่ายหน้าก่อนจะเดินไปเปิดประตูรถ แล้วหยิบขวดน้ำจากใต้เบาะที่นั่งมา
“มานี่”
ใจเด็ดดึงสรนุชเข้ามาก่อนจะเอามือจับหน้าสรนุช แล้วราดน้ำลงไปที่หน้า สรนุชรีบล้างตาทันที
ใจเด็ดมองใบหน้าของสรนุชที่พราวไปด้วยน้ำนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ระหว่างนั้นสรนุชลืมตาได้พอดี
สรนุชโล่งอก “เฮ้อ...ค่อยยังชั่ว” แล้วอึ้งไป เมื่อหันมาเห็นใจเด็ดมองหน้าเธออยู่ “มองไร...”
ใจเด็ดยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงของโชคชัยก็ดังขึ้น
“คุณนุช”
ใจเด็ดกับสรนุชหันไปก็เห็นโชคชัยกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามา
“เป็นยังไงบ้างครับ...ผมเพิ่งรู้เรื่องจากชาวบ้านว่าคุณนุชมีเรื่องกับช่อผกา”
“คะ...” สรนุชหันไปมองใจเด็ดแล้วพูดกระแทกเสียง “เรื่องไม่เป็นเรื่องน่ะค่ะ”
“แล้วคุณนุชบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า...ให้ผมพาไปอนามัยตรวจดูหน่อยมั้ยครับ” โชคชัยห่วงเว่อร์
“ไม่เป็นไรหรอกคะ...ถ้าจะเป็น...ก็คงจะเป็นโรคพิษสุนัขบ้า”
ใจเด็ดเหล่มองสรนุชรู้ว่าสรนุชว่ากระแทกเขา
โชคชัยถามอย่างพาซื่อ “คุณนุชโดนหมากัดด้วยเหรอครับ”
“อ๋อ...เปล่าค่ะ”
โชคชัยพูดกับใจเด็ด “นายต้องทำอะไรอีกหรือเปล่า”
“ก็รอเจนกับคุณสุบิน...ไม่รู้ว่าสองคนนั้นไปไหนกัน”
“ถ้าอย่างนั้นฉันอยากพาคุณนุชกลับไปที่สถานีก่อน...ฉันกลัวว่าถ้าช่อผกาอยู่แถวนี้เดี๋ยวจะเป็นเรื่องอีก” โชคชัยหวังดี
“อุ้ย...ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
“ไม่ได้หรอกครับ...ความปลอดภัยของทุกคนเป็นหน้าที่ของผม...ไปครับ...รถผมอยู่ทางโน้น”
สรนุชหันมองใจเด็ด เห็นใจเด็ดหน้านิ่งไม่แสดงความรู้สึกอะไร สรนุชเลยเชิดหน้าเดินผ่านใจเด็ดตามโชคชัยออกไป
ครั้นเมื่อสรนุชกับโชคชัยออกไป ใจเด็ดจึงค่อยๆ หันมองตามสรนุชด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เขาเองก็บอกไม่ถูก
ฟากชาญณรงค์กับสมคิดเดินเข้ามาในวัด “ฉันไม่ได้มาวัดนานแค่ไหนแล้ว”
“เท่าที่กระผมจำได้...ครั้งสุดท้ายตอนงานศพนายหญิงครับ”
“นานขนาดนั้นเลยเหรอวะ...ถ้ามหาเหม็นไม่บอกให้สะเดาะเคราะห์...ฉันคงไม่ได้มาอีกนาน”
ชาญณรงค์เริ่มสงบเยือกเย็น “ไอ้คิด...แกรู้สึกสงบเยือกเย็นเหมือนฉันมั้ย”
สมคิดก้มลงมองที่ขาของชาญณรงค์ พยายามจะบอก “เอ่อ...นายครับ”
ชาญณรงค์หลับตา “อย่าเพิ่งขัดได้มั้ย...ฉันกำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศ”
“แต่ผมว่ามันไม่ใช่บรรยากาศนะครับนาย”
ชาญณรงค์เหล่มองสมคิด สมคิดเลยชี้ไปที่เท้าของชาญณรงค์ ก่อนที่ชาญณรงค์จะเห็นว่าตัวเองยืนอยู่บนแอ่งน้ำนั่นเอง
“ไอ้นี่ ! แล้วไม่บอกวะ”
ชาญณรงค์จะไล่เตะสมคิด จังหวะนั้นเองชาญณรงค์ก็เห็นเกริกไกรกับอรอนงค์เดินเข้ามา
เกริกไกรกับอรอนงค์เองก็ชะงักไปเมื่อเห็นชาญณรงค์เช่นกัน
“มาผิดที่หรือเปล่าผู้พัน...ที่นี่ไม่มีบ่อนไก่ชนนะ” เกริกไกรแซว
ชาญณรงค์ยั๊ว “ทำไม...คนอย่างข้าจะมาวัดไม่ได้หรือไงวะ”
“ได้น่ะมันได้...แต่เอ...นี่ผู้พันรู้หรือเปล่าว่าเขาพนมมือไหว้พระกันยังไง”
“ทำไมจะไม่รู้...อย่างนี้ไง”
ว่าแล้วชาญณรงค์ก็ยกมือขึ้นพนมก่อนจะยกมือไหว้โชว์เกริกไกร เกริกไกรเข้าไปตบบ่าชาญณรงค์
“ดีมาก...รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่”
ชาญณรงค์เพิ่งรู้ว่าเสียทีเกริกไกร “ไอ้นี่...วอนตายซะแล้ว” หันไปบอกสมคิด “สั่งสอนมันซิ”
สมคิดปราดเข้าไปแยกระหว่างเกริกไกรกับอรอนงค์ สมคิดกับอรอนงค์เกือบจะล้มไปด้วยกัน
“คุณอร”
สมคิดได้ยินก็ชะงักมือ เกริกไกรรีบวิ่งเข้าไปเอาตัวบังอรอนงค์เอาไว้
“คุณอรไม่เป็นไรน่ะครับ”
ชาญณรงค์โมโห “ไอ้คิด...แกขัดคำสั่งฉันหรือไง”
“ผู้พัน...ผมว่าเราปล่อยพวกมันไปก่อนเถอะครับ”
ขณะที่ชาญณรงค์กับสมคิดทะเลาะกันเอง อรอนงค์รีบสะกิดบอกเกริกไกร
“ไปเถอะค่ะ”
เกริกไกรพยักหน้า ก่อนจะอาศัยจังหวะที่ชาญณรงค์กับสมคิดทะเลาะกัน ค่อยๆ เดินออกไป
“ไอ้คิด...ขัดคำสั่งข้าเดี๋ยวก็สั่งขังลืมเลยไอ้นี่...เห็นมั้ยว่ามันหยามศักดิ์ศรีข้า” ชาญณรงค์หันไปทางเกริกไกรแล้วก็พบว่าไม่อยู่แล้ว “โธ่เว้ย...” ยกขาจะเตะสมคิด “มานี่เลย”
“ฟังผมก่อนซิครับนาย...นายยังจำที่มหาเหม็นบอกว่านายจะมีนางฟ้ามาช่วยเรื่องไอ้ใจเด็ดได้มั้ยครับ”
ชาญณรงค์ชะงักไป “ทำไม”
“ก็ผู้หญิงคนที่มากับหมอเกริกไกรชื่ออะไรครับ”
“เห็นว่าชื่ออรอนงค์อะไรนี่แหละ...มีอะไร” ชาญณรงค์สงสัย
“นั่นไง...โห...มหาเหม็นช่างแม่นอะไรอย่างนี้...นายครับ...ผู้หญิงคนนั้นแหละครับคือนางฟ้าที่มหาเหม็นบอก” สมคิดบอกอย่างมั่นใจ
“ไม่เข้าใจเว้ย...จะบอกอะไรก็บอกมาให้หมดซิวะ”
“เอ้า...ก็ออน (ON) แปลว่าอะไรครับ”
“บน” ชาญณรงค์บอก
“ส่วนอนงค์ก็แปลว่าผู้หญิง...แล้วผู้หญิงอะไรที่อยู่ข้างบนละครับ” สมคิดชี้ขึ้นฟ้า
“ก็นางฟ้าไง” แล้วชาญณรงค์ก็นึกออก “เออว่ะ...ถ้าอย่างนั้นยัยหนูนั่นก็...”
ชาญณรงค์มองไปทางที่อรอนงค์ แล้วอึ้งไป
เวลาเดียวกันโชคชัยเดินมาส่งสรนุชที่หน้าเรือนรับรอง
“ขอบคุณที่มาส่งนะคะ”
“ยินดีเสมอครับ...ส่วนเรื่องช่อผกา...เดี๋ยวผมจะไปบอกกับเธอเองว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิด”
“ไม่ใช่ผิดธรรมดานะคะ...อย่างนี้เขาเรียกว่าหลงผิดคิดสั้น...เห็นกงจักรเป็นดอกบัว...ฉันไม่เข้าใจจริงๆว่าผู้ชายอย่างนายใจเด็ดมีดีอะไรทำไมถึงได้หลงรักหัวปักหัวปำขนาดนั้น”
โชคชัยฟังแล้วขำ “เรื่องความรักมันไม่มีเหตุผลหรอกครับ”
“จริงๆ นะคะ...ถ้าเป็นอย่างคุณโชคชัยก็ว่าไปอย่าง” สรนุชพูดโดยไม่ตั้งใจ
โชคชัยชะงักไป สรนุชบอกต่อ
“คุณโชคชัยทั้งใจดีทั้งเป็นสุภาพบุรุษ...ฉันว่าผู้ชายที่ผู้หญิงอยากแย่งกันน่าจะเป็นคุณโชคชัยมากกว่า” พอยิ่งพูดยิ่งหงุดหงิดก่อนจะรู้ว่าตัวเองพูดมากไป “อุ้ย...ฉันก็แค่ระบายให้มันหายหงุดหงิด...ไม่ว่าอะไรนะคะ”
“ครับ...ถึงคุณนุชจะบ่นถึงพรุ่งนี้ผมก็อยู่ฟังได้”
“คุณโชคชัยนี่น่ารักจริงๆ เลย...ขอบคุณอีกครั้งนะคะที่มาส่ง...ฉันไปก่อนนะคะ”
สรนุชโบกมือให้โชคชัยก่อนจะรีบวิ่งจู๊ดขึ้นเรือนรับรองไป โชคชัยมองตามรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรง
ส่วนเหตุการณ์ที่กรุงเทพฯ เสียงหัวเราะต่อกระซิกดังเข้ามาที่ประตูห้อง ก่อนจะเห็นณวัตกับเชอรี่เลขาสาว เปิดประตูห้องเข้ามา
“คุณวัตอ่ะ...ไหนบอกว่าให้เชอรี่มาช่วยดูเรื่องเอกสารไงคะ” เชอรี่แกล้งทำเป็นโกรธ
“แต่ผมว่าคุณคงอยากดูอย่างอื่นมากกว่ามั้ง”
“บ้า..! คุณวัตอ่ะทะลึ่ง”
ณวัตยิ้มกริ่มก่อนจะเดินไปเปิดลิ้นชักก่อนจะหยิบขวดยาออกมาแล้วเทมันออกมาเม็ดหนึ่งให้กับเชอรี่
“ยาอะไรคะคุณวัต” เชอรี่ถาม
“ก็ยาที่ทำให้คุณสนุกกับเอกสารของผมมากกว่าเดิมไง”
ณวัตส่งสายตาเยิ้มสื่อความหมายให้ เชอรี่ทำยิ้มมีจริตแต่ก็บรรจงหยิบยาเข้าปากก่อนดื่มน้ำตาม
“งั้นเดี๋ยวผมมานะ”
ณวัตเชยคางเชอรี่ขึ้นจุ๊บปากก่อนจะปลีกตัวเดินออกไป เชอรี่มองตามก่อนจะเริ่มรู้สึกร้อนวูบวาบ เชอรี่เริ่มครั่นเนื้อครั่นตัว แต่แล้วเชอรี่ก็รู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมา
ไม่นานหลังจากนั้นณวัตก็อยู่ในชุดคลุมลายเสือเดินออกมาจากห้อง พร้อมกับขวดไวน์และแก้วในมือ
ณวัตตรงเข้ามาที่โซฟาแล้วก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นเชอรี่ฟุบหน้าลง ผมเผ้าปิดหน้า
ณวัตยิ้มเจ้าเล่ห์ “ยาแรงขนาดนั้นนอนได้ก็เก่งแล้ว...หึ”
ณวัตเดินเข้ามาแล้ววางขวดไวน์ลงก่อนจะเริ่มเล้าโลม ณวัตเอื้อมมือไปกอดแล้วณวัตก็ต้องชะงักเอามือขึ้นมาดู
“อะไรเปียกๆ วะ”
ณวัตมองไปก่อนจะไล้สายตาตามหยดน้ำขึ้นไป แล้วณวัตก็อึ้งถึงกับช็อกเมื่อเห็นเชอรี่น้ำลายฟูมปาก
ณวัตดีดตัวกระเด้งผึงออกมาทันที “เฮ้ย ! เป็นไรวะ” รีบคว้ามือถือขึ้นมากดโทร.ออก “เฮ้ย...ไอ้จิม...ยาอะไรของแกวะ...ไหนบอกว่าไม่มีอันตรายไง...” นิ่งฟัง “ก็เม็ดนึงไง” ณวัตฟังทางปลายสายบอกแล้วต้องตกใจ “อะไรนะ...ให้กินแค่ขาเดียวพอ...บ้าเอ๊ยแล้วทำไมเพิ่งมาบอกวะ” กดวางสาย อยู่ในอาการลนลาน “ทำไงดีวะกู”
สมพลอยู่ที่บริษัทกำลังคุยโทรศัพท์ด้วยท่าทางตกใจไม่แพ้ณวัต “บ้าเอ๊ย...แกจะก่อเรื่องให้ฉันไปถึงไหน..ห๊า”
ณวัตเดินวนไปวนมาอยู่ในห้อง โยมีเชอรี่ชักกระตุกอยู่ด้านหลัง
“โธ่พ่อ...เดี๋ยวค่อยด่าได้มั้ย...อยากให้ผมเป็นฆาตกรหรือไง”
สมพลคิดไปคิดมา ก่อนจะเอ่ยขึ้น “งั้นเอาอย่างนี้...แกทำตามที่พ่อบอก...แต่ห้ามให้ใครรู้เรื่องนี้เด็ดขาด...โดยเฉพาะนักข่าว..เข้าใจมั้ย”
ส่วนสรนุชอยู่ในชุดใหม่หลังจากอาบน้ำสระผมเรียบร้อย เดินออกมาบริเวณชานบ้าน สรนุชแปลกใจเมื่อมองไปรอบๆ
“ทำไมยังไม่กลับมากันอีก” สรนุชกำลังจะเดินเข้าไปแล้วนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า...ตอนนี้ทั้งสถานีไม่มีใครอยู่เลยละซิ”
สรนุชยิ้มกริ่มนึกถึงณวัตขึ้นมา
เวลาเดียวกันณวัตกับบุรุษพยาบาลกำลังช่วยกันยกร่างของเชอรี่ขึ้นบนเตียงเข็นที่มาจอดอยู่หน้าห้อง ผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั่นต่างออกมาดูด้วยความสนใจ
“คนไข้เป็นอะไรเหรอครับ” บุรุษพยาบาลถาม
“เอ่อ...คือ...เดี๋ยวผมค่อยบอกได้มั้ยครับ”
“ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยยกตรงขาน่ะครับ” บุรุษพยาบาลบอก
ขณะที่ณวัตตรงเข้าไปช่วยบุรุษพยาบาลก็เผลอทำมือถือตกกับพื้น ป้าคนนึงท่าทางอยากรู้อยากเห็นก็รีบเข้ามาสะกิดณวัต
“นี่คุณ”
ณวัตตวาดกลับเพราะคิดว่าป้าแกจะถามเรื่องเชอรี่ “อย่ายุ่ง”
ป้าจอมจุ้นชะงัก ก่อนจะเห็นณวัตรีบตามบุรุษพยาบาลที่เข็นร่างของเชอรี่ไปที่ลิฟต์ทันที
ป้าคนนั้นก้มลงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา “จะบอกว่ามือถือหรอกยะ”
จังหวะนั้นมือถือของณวัตดังขึ้น “อุ้ย...” ป้ากดรับซะงั้น “สวัสดีค่ะ”
สรนุชกำลังแอบมาโทรศัพท์อยู่ในสำนักงานเหมือนเดิม สรนุชงงเมื่อได้ยินเสียงป้า
“เอ่อ...นั่นใช่เบอร์ณวัตหรือเปล่าคะ”
“ใช่ค่ะ...แต่พอดีเขาทำมือถือตกเอาไว้”
ระหว่างนั้นมียายอีกคนท่าทางจุ้นไม่แพ้กันตรงเข้ามาถามป้าที่กำลังคุยมือถืออยู่
“มีอะไรเหรอคะคุณโฉม...ฉันเพิ่งกลับมา...รถพยาบาลมากันทำไม” ยายขาเม้าท์ถามทันที
คุณป้าคันปากอยากพูดมานานแล้ว “ผู้หญิงในห้องคุณณวัตแกช็อกน่ะค่ะ”
“เหรอคะ...คนที่เป็นลูกสาวนายทหารคนนั้นหรือเปล่าคะ”
“ใช่ที่ไหนละคะ...สงสัยจะเป็นคู่ซ้อม...นี่ฉันว่านะต้องเล่นท่าพิสดารกันแน่นอน...ไม่งั้นไม่นอนน้ำลายฟูมปากหมอหามออกไปอย่างนั้นหรอกค่ะ”
คุณป้ากับคุณยายช่างเม้าท์สองคนคุยกันอย่างออกรส โดยลืมไปว่ากำลังติดสายสรนุชอยู่
สรนุชได้ยินที่ข้อมูลทุกอย่างที่ป้าขาเม้าท์พูดออกมาก็สีหน้าเครียดลงอย่างเห็นได้ชัด
ค่ำวันนั้นเกริกไกรหัวเราะเอิ้กอ้ากชอบใจ หลังรู้เรื่องจากใจเด็ด
“ฮ่าๆๆๆ”
“เออ...หัวเราะไป...แกไม่เจออย่างฉันไม่รู้หรอกว่า เมื่อตอนกลางวันมันวุ่นวายขนาดไหน”
“เฮ้อ...ตอนนี้คงไม่มีใครมีความสุขเท่าฉันอีกแล้ว” เกริกไกรเย้ย
“เหรอ...ฉันว่าแกแปลเซียมซีเข้าข้างตัวเองมากกว่าว่ะ”
“เฮ้ยๆ ไม่มีอ่ะ...ฉันเนี่ยแปลคำต่อคำ...แล้วฉันก็คือเนื้อคู่ของคุณอร...นี่เสียดายนะที่ตาผู้พันกับไอ้คิดมันหนีไปซะก่อน...ไม่อย่างนั้นคุณอรคงจะกระโดดกอดฉันในฐานะฮีโร่ที่ช่วยปกป้องเธอ”
ใจเด็ดส่ายหน้าอมยิ้มกับอาการเพ้อของเกริกไกร ระหว่างนั้นโชคชัยเข้ามาเรียกที่หน้าบ้าน
“ว่างกันอยู่มั้ย”
“อ้าว...นายก...เชิญๆ...มีอะไรครับถึงได้มาค่ำซะขนาดนี้”
โชคชัยทำหน้าเขินๆ ใจเด็ดมองด้วยความสงสัย ก่อนจะเห็นโชคชัยยื่นห่อผ้าให้
“เอ่อ...ฉันเอายาสมุนไพรมาฝากให้คุณนุชหน่อย”
ใจเด็ดกับเกริกไกรได้ยินอย่างนั้นก็ทำหน้างง โชคชัยรีบบอกทันที
“คือ...ฉันเห็นว่าคุณนุชแกโดนช่อผกาทำร้าย...ถ้าวันนี้ไม่กินยาพรุ่งนี้อาจจะบวม”
ใจเด็ดมองโชคชัยนิ่งคิด “นายกเอาไปให้เองเถอะ”
“มันดึกแล้ว...ฉันว่ามันน่าเกลียดไปหน่อย...”ใชคชัยรีบยัดใส่มือให้ใจเด็ด “ฉันฝากหน่อยแล้วกัน”
โชคชัยยัดห่อยาให้ใจเด็ดก่อนจะรีบเดินออกไป ใจเด็ดมองตามด้วยความสงสัย
ใจเด็ดนั่งมองห่อยาของโชคชัยอยู่ที่ริมทุ่ง
“นายกคงไม่ได้ชอบยัยนั่นหรอกมั้ง” แล้วใจเด็ดก็นึกได้ “จะชอบหรือไม่ชอบก็ไม่เกี่ยวกับเรานี่”
ใจเด็ดยิ้มแล้วส่ายหัวไล่ความรู้สึกบางอย่างออกไป ระหว่างนั้นเสียงเจนจิราดังขึ้น
“นึกแล้วว่าหัวหน้าต้องอยู่นี่”
ใจเด็ดหันไปก็เห็นเจนจิราเดินเข้ามา “อ้าว...เจนยังไม่นอนอีกหรือไง”
“นอนไม่หลับน่ะค่ะ”
เจนจิราลงนั่งข้างใจเด็ดแล้วมองไปที่ดาวเต็มท้องฟ้า แล้วเจนจิราก็พูดทำลายความเงียบขึ้น
“ทำไมหัวหน้ายังไม่มีแฟนคะ”
“วันนี้มายังไงถึงได้ถามแปลกๆ...แล้วเราละ...ทำไมยังไม่มีแฟน”
“เจนน่ะมีแล้ว”
“ใคร...ทำไมพี่ไม่เห็นรู้เลย”
“ก็...ก็พี่ไง”
ใจเด็ดแปลกใจกับคำพูดและท่าทีเจนจิราตลอดทั้งวัน
เจนจิราเห็นท่าทีของใจเด็ดเลยพูดกลบเกลื่อน “อ้าว...พี่จำไม่ได้เหรอตอนที่พี่อยู่ปีสี่แล้วเจนอยู่ปีสาม...ตอนนั้นเราทำละครเพื่อช่วยไถ่ชีวิตควายไง...ตอนนั้นพี่เป็นพระเอก...ส่วนเจนก็เป็นนางเอก”
ใจเด็ดนิ่งไป รำลึกความหลัง “พูดถึงตอนนั้นทีไรก็มีความสุขทุกที” เจนจิรายิ้มอย่างดีใจ คิดว่าใจเด็ดมีใจให้แน่เลย “ดีนะที่พี่ไม่คิดอะไรกับเรา ไม่อย่างนั้นพี่คงเล่นไม่ได้แน่ๆ”
เจนจิราที่อมยิ้มอยู่ถึงกับหุบยิ้มทันทีก่อนที่เจนจิราจะลุกพรวดขึ้น
“เจนจะบอกพี่ว่า...เจนไม่อยากให้เกิดเรื่องอย่างวันนี้อีก...พี่เป็นคนที่คนในตำบลนี่นับถือ...เจนอยากบอกพี่แค่นี้แหละค่ะ”
เจนจิราพูดเสร็จก็เดินพรวดพราดออกไป ใจเด็ดมองตาม สงสัยว่าเจนจิราเป็นอะไร
“อะไรของเขาวะ”
เวลาเดียวกันสุบินกำลังวิเคราะห์เจาะลึกอีกเช่นเคย
“จะอะไรซะอีก...ฉันว่าคุณเจนต้องแอบชอบคุณใจเด็ดแน่นอน”
“ไม่จริงมั้ง..แกเป็นผู้หญิงหรือไงถึงได้รู้” อรอนงค์ไม่อยากเชื่อ
“ใช่...เพราะผู้หญิงดูไม่รู้...มันต้องให้ผู้ชายอย่างฉันดู...เชื่อฉันซิ...ถ้าคุณเจนไม่คิดอะไรแล้วทำไมถึงทนดูฉากเลิฟซีนของยัยนุชกับคุณใจเด็ดไม่ได้”
ระหว่างนั้นสรนุชเปิดประตูพรวดพราดออกมาจากห้องพร้อมกระเป๋าเดินทาง
อรอนงค์เป็นห่วงเพื่อน “นุช...แกจะไปไหน”
“วัตนอกใจฉันขนาดนี้แล้วเธอคิดว่าฉันจะไปไหน” สรนุชของขึ้นเต็มที่
“เฮ้ย!” สุบินเข้ามาขวาง “นุช...ถ้าแกจะไปฉันจะไม่ห้ามแกเลย”
อรอนงค์เห็นอย่างนั้นก็คิดว่าสุบินต้องปากหมาอีกแน่นอน “ไอ้บิน...แกไม่ต้องพูดเลย”
“แต่แกฟังฉันก่อน...ฉันแค่อยากจะบอกแกว่า...คนเรารักกันมันต้องเชื่อใจกัน”
อรอนงค์ฟังแล้วรู้สึกโล่งอก ในขณะที่สรนุชมองสุบิน เริ่มรู้สึกดีขึ้น
“แต่บางครั้ง...คนชั่วๆ ก็ใช้ความเชื่อใจของเรา...เอาไปปูยี้ปูยำคนอื่น” สุบินว่า
อรอนงค์ตกใจ “สุบิน”
“นุช...ฉันว่าแกก็รู้ว่าแกรู้สึกยังไง...แทนที่แกจะถามเรื่องนอกใจไม่นอกใจ...ฉันว่าแกน่าจะถามตัวเองมากกว่าว่าถ้านายวัตนั่นนอกใจแก...แล้วแกจะทำยังไงต่อไป” สุบินออกไอเดีย
สรนุชนิ่งไป “ฉันไม่รู้...ฉันคิดอะไรไม่ออกแล้ว”
สุบินกับอรอนงค์มองสรนุชด้วยความเห็นใจ ระหว่างนั้นสุบินนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“แต่ฉันคิดออกแล้ว”
สรนุชกับอรอนงค์หันมองสุบินด้วยความสนใจ
“ทำไมแกไม่ลองเป็นแฟนกับคุณใจเด็ดไปเลยละ”
“เฮ้ย ! คิดอะไรบ้าๆ ของแกเนี่ย” อรอนงค์เอ็ด
“เขาว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวต่างหาก...นัดแรก...นายวัตนั่นจะได้รู้ว่าการถูกนอกใจเป็นยังไง...นัดสอง...ถ้าแกทำให้คุณใจเด็ดรักแกได้...ถึงตอนนั้นถ้าแกบอกให้เขาเลิกเลี้ยงควาย...แกคิดเหรอว่าเขาจะไม่ทำเพื่อแก”
สรนุชได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป
อ่านต่อหน้า 3
กระบือบาล ตอนที่ 6 (ต่อ)
สุบินเห็นสรนุชอึ้งจึงรีบเข้ามาตะล่อมให้สรนุชเห็นด้วยกับความคิดของเขา
“ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเหรอ...?” สรนุชคิดหนัก
“ถูกต้อง...เป็นไงแผนฉันเข้าท่ามั้ย” สุบินดี๊ด๊าคิดว่าสรนุชเห็นงามตามด้วยแน่ๆ
“อืม...งั้นฉันว่าแกต้องเตรียมลูกปืนเอาไว้อีกนัดแล้วละ” สรนุชบอก
อรอนงค์สงสัย “อีกนัด..? แกจะเอาไปยิงอะไรเหรอนุช”
สรนุชพูดพร้อมกับลุกขึ้นเอาเรื่องสุบิน “ก็ยิงมันไง”
สรนุชปรี่เข้าไปหาสุบินจะเอาเรื่อง สุบินรีบวิ่งไปหลบหลังอรอนงค์
“เว้ย ! ยัยนุช...นี่ฉันช่วยแกนะ”
“ช่วยให้วุ่นมากกว่าเดิมน่ะซิ”
“ใช่...จัดการเลย...”อรอนงค์เบี่ยงตัวหลบ “ออกไปเลย”
อรอนงค์ช่วยจับตัวสุบินออกมาให้สรนุช แต่สุบินกลับวิ่งหนีออกไป สรนุชกับอรอนงค์พยายามวิ่งไล่จับกันจนวุ่นวาย
เวลาผ่านไป พระจันทร์ส่องแสงกระจ่างฟ้ายามดึก เวลานั้นสรนุชนั่งพิมพ์บันทึกอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องนอน อรอนงค์นอนหลับอุตุอยู่บนเตียง
“การถ่ายทำวันแรกเต็มไปด้วยความวุ่นวาย...ทั้งหมดนี่เป็นเพราะยัยช่อผกาคนเดียว”
สรนุชนิ่งไปใช้ความคิดก่อนจะพิมพ์ต่อ
“ไม่ใช่ซิ...ทั้งหมดเป็นเพราะนายใจเด็ดนั่นต่างหาก” สรนุชกัดฟันอย่างคั่งแค้น จนเจ็บแก้ม “อูย ! ฮึ่ยย์...ที่ฉันเป็นอย่างนี้ก็เพราะนาย...ทำไมทุกคนต้องคิดว่าฉันเป็นแฟนกับคนอย่างนั้นด้วย”
ระหว่างนั้นเสียงอรอนงค์ดังขึ้น “ก็เพราะว่าเธอสองคนเหมาะสมกันไง”
สรนุชสะดุ้งสุดตัวตกใจเพราะคิดว่าอรอนงค์หลับไปแล้ว
สรนุชระล่ำระลัก “อะไรของเธอ...เหมาะสมอะไร”
“ชิซูกะจังเธอน่ะเหมาะกับโนบิตะที่สุดแล้ว” ที่แท้อรอนงค์ละเมอ
สรนุชถึงกับอึ้งอ้าปากค้าง ทั้งโล่งอกทั้งขำ
“เฮ้อ...เพื่อนฉัน...ละเมอเป็นการ์ตูนพีเรียดซะงั้น” สรนุชฉุกคิดขึ้นมา “แล้วทำไมเราต้องตกใจด้วย...ในเมื่อเราไม่ได้คิดอะไรกับหมอนั่นซะหน่อย..” พร้อมกับปิดคอมพ์ “ไอ้สุบินบ้า...เอาคิดบ้าๆ อะไรมาใส่หัวฉันเนี่ย”
สรนุชสูดลมหายใจลึกตั้งสติ
“เราไม่เคยได้ยินว่าเราเป็นแฟนกับหมอนั่น...เราต้องไม่คิด...เราต้องไม่คิด”
รุ่งเช้าสรนุชเปิดประตูผัวะออกมาจากห้องนอนด้วยสภาพขอบตาดำคล้ำหัวกระเซิง
“ทำไมฉันเลิกคิดไม่ได้เนี่ย”
ระหว่างนั้นมีเสียงบางอย่างดังขึ้นมาจากมุมหนึ่งที่บริเวณด้านนอกเรือนรับรอง สรนุชชะงักหันขวับทันที
เป็นใจเด็ดนั่นเองซึ่งกำลังจับกาละมังผ้าที่หล่นหมุนอยู่ให้หยุดนิ่ง ก่อนจะมองไปทางเรือนรับรองให้แน่ใจว่าไม่มีใครตื่นเพราะความซุ่มซ่ามของเขา
ใจเด็ดเบาใจเมื่อไม่เห็นการเคลื่อนไหวจากภายในบ้านก่อนที่เขาจะหันมาเก็บเสื้อผ้าที่แขวนตากอยู่ที่ราว
“ตากผ้าตอนกลางคืนอย่างนี้แล้วเมื่อไหร่มันจะแห้ง”
จังหวะนั้นอีกมุม สรนุชเดินย่องออกมาจากภายในบ้าน แต่แล้วก็ตกใจเมื่อเห็นช่วงตัวของชายคนหนึ่งอยู่เสื้อผ้า เหมือนว่าใจเด็ดเก็บผ้ากันคนละฝั่งกับที่สรนุชเดินออกมาเลยทำให้สรนุชไม่เห็นว่าเป็นใจเด็ด
“ต้องเป็นพวกโรคจิตชอบขโมยกางเกงในแน่ๆ”
สรนุชหันซ้ายหันขวาหาอาวุธ แล้วจึงหยิบไม้กวาดที่วางอยู่ขึ้นมาแล้วค่อยๆย่องไปที่ราวตากผ้า
“โรคจิตใช่มั้ย...ต้องเจออย่างนี้...ย้ากก”
จังหวะที่สรนุชยกไม้ขึ้นจะตี เป็นจังหวะเดียวกับที่ใจเด็ดดึงผ้าออกพอดี ทั้งคู่เห็นกันก็ตกใจตะโกนออกมาพร้อมกัน
“ห๊า” / “เฮ้ย”
ทว่าสรนุชยั้งมือไม่ทันจึงฟาดไม้กวาดลงหัวใจเด็ดเต็มๆ โป๊ก !
“โอ๊ย ! นี่คุณเป็นบ้าอะไรเนี่ย” ใจเด็ดโวย
สรนุชรีบทิ้งไม้กวาดทันที “เอ้า...ก็ใครจะไปรู้ว่าเป็นนาย...แล้วอีกอย่างนายทำอย่างนี้แล้วฉันเข้าใจผิดก็ไม่ใช่ความผิดฉัน...เพราะนายต่างหาก”
ใจเด็ดรีบเบรกทันที “พอๆ ละ...ผมไม่อยากฟังคุณบ่นมากไปกว่านี้”
สรนุชแอบยิ้มสะใจ “ถือว่าหายกันกับที่ฉันโดนตบก็เพราะนายแล้วกัน”
ใจเด็ดได้ยินไม่ชัด “อะไรนะ”
“เปล๊า ! แล้วนายมาหาฉันแต่เช้ามีอะไร”
ใจเด็ดระบายลมหายใจสีหน้าเซ็งก่อนจะเดินไปหยิบห่อยามาส่งให้สรนุช
“เผื่อมันจะทำให้แก้มคุณดีขึ้น”
สรนุชอึ้งไปเพราะไม่คิดว่าใจเด็ดจะเป็นห่วงเธอ แต่แล้วใจเด็ดกลับพูดต่อ
“เมื่อคืนนายกโชคชัยเขาเอามาฝากไว้ให้คุณ...แต่ผมเห็นว่ามันดึกแล้ว”
สรนุชชะงักไป รู้สึกผิดหวังขึ้นมายังไงบอกไม่ถูก
สรนุชกระชากห่อยามา “ขอบใจ...” แล้วพูดประชดออกมา “คุณโชคชัยทำไมถึงได้เป็นคนดีขนาดนี้ ได้ผล...ใจเด็ดมีแอบเคือง “...ขนาดเขาไม่ได้เป็นสาเหตุยังเอายามาให้...ไม่เหมือนใครบางคน”
“ใคร...?”
“เปล่า...ฉันก็พูดไปอย่างนั้นแหละ...หมดธุระแล้วใช่มั้ย”
“ยังมีอีกเรื่อง...วันนี้ถ้าคุณจะออกไปถ่ายละครก็ให้เจนเขาพาไปแล้วกัน”
“แล้วนายละ”
“ผมมีประชุมเรื่องงานขวัญควาย...งานนี้ผู้นำชุมชนทุกคนต้องไปเพราะเป็นงานใหญ่ประจำตำบล”
“จะไปไหนก็ไปเถอะ...พวกฉันดูแลตัวเองได้”
ใจเด็ดมองหน้าสรนุชก่อนจะเดินหน้านิ่งไร้ความรู้สึกออกไป สรนุชมองตามยี้ปากหมั่นไส้
“ชิ...จะเบ่งว่าตัวเองเป็นผู้นำชุมชนก็บอกมาเถอะ” แต่แล้วสรนุชดันนึกขึ้นได้ “ผู้นำชุมชน”
สรนุชนิ่งไปเพราะความคิดบางอย่างแวบขึ้นมาในหัว
ใจเด็ดเดินมาตามทาง ระหว่างนั้นเสียงสรนุชดังขึ้น
“รอด้วย”
ใจเด็ดชะงักก่อนจะหันมาแล้วเห็นสรนุชวิ่งเข้ามา
“ฉันขอไปด้วยได้มั้ย”
ใจเด็ดมองสรนุชด้วยความสงสัย “คุณจะไปทำไม”
“เอ่อ...คือ” สรนุชรีบหาข้อแก้ตัว ก่อนจะมองเห็นถุงยาในมือตัวเองที่ใจเด็ดให้เอาไว้ “อ๋อ...งานนี้คุณโชคชัยไปด้วยใช่มั้ย”
ใจเด็ดชะงักไปนิดหนึ่ง “ใช่...มีอะไร”
“เอ้า...ก็ฉันอยากไปขอบคุณคุณโชคชัยที่เอายามาให้ฉันน่ะ”
ใจเด็ดได้ยินอย่างนั้นก็เหมือนอารมณ์ขึ้นโดยไม่รู้ตัว “ไม่ได้”
สรนุชมองด้วยความสงสัย
ใจเด็ดเริ่มรู้ตัวเอง แปลกใจตัวเองนิดนึง รีบเสพูดเรื่องอื่น “วันนี้เป็นการประชุมที่สำคัญ...ถ้าคุณจะไปพบนายกแค่นั้นก็ไม่เป็นไร...เดี๋ยวผมจะบอกนายกเขาให้เอง”
ใจเด็ดพูดจบแล้วก็เดินออกไปเลยเพื่อตัดบท แต่สรนุชยิ่งได้ยินคำว่าสำคัญก็ยิ่งอยากไป
“นี่...”
ใจเด็ดหยุดกึกหันกลับมาพูดเสียงแข็ง “ผมบอกว่าไปไม่ได้”
ใจเด็ดหันหลังเดินออกไป สรนุชเดินตาม ใจเด็ดหันมาแล้วชี้หน้า สรนุชหน้าง้ำลง
“อะไรของเขา...” สรนุชครุ่นคิด “ท่าทางลับๆล่อๆอย่างนี้...แสดงว่างานนี้ต้องสำคัญมากแน่ๆ”
สรนุชมองตามใจเด็ดที่เดินออกไปอยู่ครู่ ก่อนจะตัดสินใจค่อยๆย่องตามใจเด็ดไปติดๆทันที
ใจเด็ดเดินตรงมาที่รถกะบะ สรนุชแอบเดินตามมาติดๆ สรนุชมองไปที่ท้ายกะบะของใจเด็ดที่บรรทุกฟางอยู่เต็มก็เกิดความคิดทันที
สรนุชค่อยๆ ย่องตามใจเด็ดหวังว่าจะกระโดดขึ้นไปที่ท้ายกระบะ แต่แล้วใจเด็ดกลับหยุดก่อนจะหันมองมาทางด้านหลัง คอยมองว่าสรนุชตามมามั้ย สรนุชเบรกตัวโก่งก่อนจะรีบหลบหลังต้นไม้ได้ทันเวลา
ใจเด็ดไม่เห็นสรนุชเลยเดินไปที่รถต่อ สรนุชชะโงกหน้าออกจากต้นไม้ พอเห็นใจเด็ดเดินไปที่รถก็รีบย่องออกจากต้นไม้ทันที แต่แล้วสมหญิงวิ่งเข้ามา
“หัวหน้าคะหัวหน้า”
สรนุชถึงกับเบรกเอี้ยด...แล้วรีบหลบเข้าไปหลังต้นไม้ต่อ
“วันนี้หัวหน้าจะให้ฉีดยาเด็กๆ คอกไหนคะ” สมหญิงถาม
“ถ้ายาของหมอเขาพอก็ฉีดทุกคอก...แต่ถ้าไม่พอก็เลือกฉีดตัวที่จะเอาไปในวันงานก่อน”
“ได้ค่ะ” สมหญิงจะเดินออกไป ใจเด็ดก็จะเดินขึ้นรถ สมหญิงนึกขึ้นมาได้ “เออ...แล้วหัวหน้าจะให้ฉีดเจ้าใหญ่ก่อนหรือว่าตัวเล็กก่อนดีคะ...เพราะถ้าฉีดตัวใหญ่ก่อน...เจ้าตัวเล็กก็อาจจะไม่พอ...แต่ถ้าฉีดเจ้าตัวเล็กก่อน...ตัวใหญ่ๆ ก็ไม่พอเหมือนกัน”
ใจเด็ดพูดรีบๆ “เรื่องนี้หมอเขารู้ว่าต้องทำยังไง...เธอไม่ต้องกลัวหรอก”
ใจเด็ดเตรียมจะเดินขึ้นรถ สมหญิงนึกขึ้นได้เลยถามต่ออีก
“เออ...หัวหน้าคะ” ใจเด็ดหยุดอีก “แล้วงานปีนี้จัดเหมือนเดิมใช่มั้ยคะ”
“ใช่...”
ระหว่างนั้นสรนุชค่อยๆ ย่องออกจากต้นไม้เพราะเห็นว่าใจเด็ดถูกเบี่ยงเบนความสนใจโดยสมหญิงอยู่
“มันต้องอย่างนี้ซิ...ชุดปีที่แล้วซื้อมายังใส่ไม่ได้ถึงวันเลย...รับรองว่าปีนี้สมหญิงต้องสวยที่สุดแน่นอน”
สรนุชย่องขึ้นมาที่ท้ายกะบะ ระหว่างนั้นสมหญิงหันมาเห็นพอดี เลยจะเรียกเอาไว้
“เอ่อ...”
ใจเด็ดตัดบทเพราะรีบ “สมหญิง...ฉันรีบไปประชุม...มีเรื่องอะไรก็เก็บเอาไว้คุยตอนฉันกลับมาแล้วกัน”
สมหญิงงง เพราะกำลังจะบอกเรื่องสรนุชแอบขึ้นรถระบะแต่โดนใจเด็ดตัดบทเสียก่อน “อ้าว”
สรนุชรีบนอนหลบหลังกองฟางที่อยู่บนรถ ใจเด็ดรีบไปเลยไม่ทัน
เวลาเดียวกันนั้น เกริกไกร เจนจิราและภิรมย์กำลังช่วยกันจับลูกควายที่อยู่ภายในคอก
ระหว่างนั้นสุบินกับอรอนงค์เดินเข้ามา
“สวัสดีครับทุกคน”
ทุกคนหันมาก็เห็นสุบินกับอรอนงค์เดินเข้ามา
“อ้าว...คุณอร...คุณสุบิน...” เกริกไกรมองหาสรนุช “อ้าว...แล้วคุณนุชละครับ”
อรอนงค์งง “ไม่ได้อยู่แถวนี้เหรอคะ”
“ไม่นี่คะ..” เจนจิราบอก
สุบินแปลกใจ “ไปไหนอีกเนี่ย”
จังหวะนั้นสมหญิงเดินเข้ามาพอดี
“หมอคะ...หัวหน้าบอกว่าให้หมอจัดการเรื่องฉีดยาให้เด็กๆ ได้เลยค่ะ”
เกริกไกรพยักหน้ารับทราบ
สมหญิงเห็นอรอนงค์กับสุบินก็นึกออกรีบปรี่เข้าไปถามให้หายข้องใจ
“อุ้ย...คุณคะ...คุณนุชแกไปไหนเหรอคะ”
“ไม่รู้เหมือนกัน...พวกฉันตื่นมาก็ไม่เห็นแล้ว” อรอนงค์บอก
“แต่ฉันเห็นค่ะ” สมหญิงว่า
“อ้ะ...นังนี่ชักจะกวนๆนะ...ในเมื่อเห็นแล้วจะถามทำไมว่าคุณนุชแกไปไหน” ภิรมย์เอ็ด
“เอ้า...ก็ฉันเห็นว่าคุณนุชแกกระโดดขึ้นรถกะบะไปกับหัวหน้า...แต่ฉันไม่รู้ว่าเขาไปไหนนี่”
ทุกคนได้ยินที่สมหญิงพูดก็ทำหน้าสงสัยขึ้นมาทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...เจนจิรา
รถของใจเด็ดขับแล่นมาตามทาง ที่ท้ายรถกระบะ...สรนุชค่อยๆชะโงกหน้าขึ้นมาจากกองฟาง ขณะที่มือก็เกาหยิกๆ
“ไม่ถึงอีกเหรอเนี่ย...ฉันคันจะแย่อยู่แล้ว...อูย”
รถของใจเด็ดวิ่งมาถึงหน้าประตูวัดพอดี ทันใดนั้นใจเด็ดหักเลี้ยว เข้าประตูวัด สรนุชที่เอาแต่เกาไม่ทันระวังก็เลยเซล้มไปตามแรงเหวี่ยง และยิ่งตกใจเมื่อเห็นกองฟางที่ถูกแรงเหวี่ยงล้มใส่ตัว
“เว้ย”
ใจเด็ดไม่ได้ยิน เลี้ยวเข้ามาจอดใต้ร่มไม้ แล้วก้าวลงจากรถ ระหว่างนั้นสรนุชทนความคันจากฟางไม่ไหวก็โผล่พรวดขึ้นจากกองฟางที่สุมอยู่ท่วมตัว
“เฮ้ย”
ใจเด็ดตกใจแล้วก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นสรนุชอยู่ในกองฟาง “คุณ”
สรนุชมัวแต่เกาอยู่ เมื่อเห็นใจเด็ดก็ตกใจไม่แพ้กัน “อุ้ย..!”
“นี่คุณแอบขึ้นมาอยู่บนรถผมตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เอ่อ...ทำไม...ทีนายยังเคยแอบขึ้นรถฉันเลย...ทำไมฉันจะแอบขึ้นรถนายบ้างไม่ได้”
ใจเด็ดทำหน้าเซ็ง ก่อนจะเดินเข้าไปจับแขนสรนุชแล้วดึงมาที่รถ
“ทำอะไร...จะพาฉันไปไหน”
“กลับสถานี” ใจเด็ดบอก
“ห๊า ! ไม่...ฉันไม่กลับ”
สรนุชโวยวาย พร้อมกับยื้อสุดเกิด แล้วเสียงของโชคชัยก็ดังขึ้นพอดี
“คุณนุช”
ใจเด็ดกับสรนุชหันไปก็เห็นโชคชัยกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามา
“คุณโชคชัย”
สรนุชอาศัยจังหวะที่ใจเด็ดเผลอ เหยียบเท้าของใจเด็ดเต็มแรง จนใจเด็ดต้องปล่อยสรนุชอัตโนมัติ
สรนุชรีบวิ่งเข้าไปหาโชคชัย
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
สรนุชมองใจเด็ดที่มองมาทั้งเจ็บทั้งโกรธ “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ...คือฉันแค่อยากจะมาขอบคุณคุณโชคชัยเรื่องยาน่ะค่ะ”
โชคชัยได้ยินอย่างนั้นก็ออกอาการเขิน ใจเด็ดทำหน้าเซ็ง
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” โชคชัยมองสรนุชที่ยังอยู่ในชุดนอน “แล้วทำไมคุณนุชถึงได้เอ่อ...”
สรนุชมองตามสายตาโชคชัยที่มองมาที่ตัวเอง แล้วตกใจเมื่อเห็นว่าตัวเองอยู่ในชุดนอน
“อุ้ย...คือเมื่อเช้าไม่คิดว่าจะมาวัดเลยไม่ได้แต่งตัวมาน่ะค่ะ”
โชคชัยรีบถอดเสื้อนอกของตัวเองให้สรนุชทันที ใจเด็ดหมั่นไส้คอแข็งขึ้นมาทันควัน รู้สึกแปลกๆ
“ขอบคุณกันเสร็จแล้วใช่มั้ย...จะได้กลับสถานี
ใจเด็ดพูดพร้อมกับเดินเข้ามาหาสรนุช สรนุชรีบเข้าไปหลบหลังโชคชัย
“ได้ข่าวว่าวันนี้จะประชุมเรื่องงานทำขวัญควายเหรอคะ” สรนุชถาม
“ครับ”
“ถ้างั้นขอฉันอยู่ประชุมด้วยได้มั้ยคะ...คืออยากได้ข้อมูลไปเขียนบทน่ะค่ะ” สรนุชเอาละครมาอ้าง
โชคชัยได้ยินก็ออกอาการกระตือรือร้นขึ้นมาทันที “ได้เลยครับ...ตอนนี้ผมว่าทุกคนน่าจะมาพร้อมกันแล้ว”
สรนุชประเหลาะโชคชัยรีบชิ่งใจเด็ด “เหรอคะ...ถ้างั้นก็สายแล้วซิคะ...รีบไปกันเถอะค่ะ”
สรนุชรีบดึงแขนโชคชัยเพื่อให้เดินหนีใจเด็ด โชคชัยถึงกับชะงักเมื่อได้สัมผัสต้องมือสาว
ใจเด็ดมองตามสรนุชที่เดินไปกับโชคชัย สรนุชหันมาแลบลิ้นปลิ้นตาเยาะ ใจเด็ดกัดกรามด้วยความโกรธ ทั้งหึง โดยไม่รู้ตัวเอง
ครู่ต่อมาใจเด็ดกำลังกราบหลวงพ่อเป็นครั้งที่สามก่อนจะเงยหน้าขึ้น
“ต้องขอโทษด้วยครับที่มาช้า...พอดีเมื่อเช้ามีเรื่องวุ่นวายนิดหน่อยน่ะครับ”
ใจเด็ดปรายตามองไปที่สรนุช ให้รู้ตัวว่าเขากำลังพูดถึงเธออยู่ แต่สรนุชกลับลอยหน้าลอยตาไม่สนใจ
ชาญณรงค์สบโอกาสรีบแขวะขึ้นมาทันที “อ้าวเหรอ...ไอ้เราก็คิดว่าขี่ควายมาก็เลยช้า”
หลวงพ่อกระแอมขึ้นเพื่อตัดบท
หลวงพ่อเปลี่ยนเรื่องไปคุยกับสรนุช “แล้วโยมละ...ทำไมมากับเขาด้วย”
“คือ...ดิฉันอยากมานั่งฟังด้วยเพื่อเก็บข้อมูลไปเขียนบทน่ะค่ะ”
“โอ๊ย...อย่าเลย...ไอ้ประเพณีล้าหลังอย่างนี้...ฉันไม่ค่อยอยากให้มันออกไปให้คนข้างนอกเขาเห็นเท่าไหร่...แค่นี้ฉันเองก็ไม่อยากบอกแล้วว่าเป็นคนที่นี่” ชาญณรงค์ว่า
ทุกคนหันมองชาญณรงค์ด้วยสายตาไม่พอใจ ระหว่างนั้นครูสีดาพูดขึ้น
“แต่ฉันละอยากเป็นคนที่นี่...”
ชาญณรงค์แย้งอย่างงงๆ “เป็นทำไม...ฉันไม่เห็นว่ามันจะดีตรงไหน”
“ดีซิ...อย่างน้อยฉันก็จะได้ลงแข่งอะไรหลายๆ อย่างได้” ครูสีดาบอก
“อ๋อ...เหรอ...เป็นควายดีมั้ย” มหาเหม็นถาม
ครูสีดาเม้ง “แกซิควาย”
“อ้าว...”
เหตุการณ์ทำท่าจะวุ่นวาย หลวงพ่อลุกขึ้นทำท่าจะเดินออกไป โชคชัยรีบร้องถาม
“จะไปไหนเหรอครับหลวงพ่อ”
“ก็พวกโยมทะเลาะกันเสร็จแล้วค่อยไปเรียกอาตมานะ”
คำพูดของหลวงพ่อทำทุกคนถึงกับสงบลง ใจเด็ดกับชาญณรงค์มองหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร
ส่วนที่สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ สุบินนั่งอยู่ใต้ร่มไม้ในมือมีกระดาษปากกา กำลังคิดพล็อตละครใหม่
“นางเอกเป็นเศรษฐีพันล้านแต่ต้องหนีมาหลบซ่อนตัวอยู่ในคอกควาย...ไม่ๆ” สุบินฉีกกระดาษออก บ่นงึมงำ “เก่าๆ”
สุบินนั่งคิดพล็อตใหม่ ระหว่างที่คิดเพลินๆนั่นอยู่เจนจิราก็เดินเข้ามากรอบสายตา สุบินมองเจนจิราด้วยความสงสัย
เจนจิราชะเง้อมองไปทางประตูสถานี ท่าทางร้อนใจ สุบินลุกขึ้นก่อนจะเดินเข้ามายืนอยู่ข้างๆเจนจิราแล้วชะโงกตามเจนจิราโดยที่เจนจิราไม่รู้ตัว
เจนจิราหันมาแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นสุบินเอาหน้ามาซะชิดใกล้
“เฮ้ย ! นายมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ผมต้องถามคุณต่างหาก...ผมน่ะนั่งตรงนี้ตั้งนานแล้ว...แล้วอยู่ๆ คุณก็เดินเข้ามาบังความคิดผม...รออะไรอยู่เหรอคุณ”
เจนจิรารีบปฏิเสธ “เอ่อ...เปล่า”
เจนจิราตอบพร้อมจะเดินหนี สุบินยิ้มรู้ทันก่อนจะแซว
“กลัวว่าหัวหน้าใจเด็ดจะไปกุ๊กกิ๊กกับยัยนุชละซิ”
ถูกพูดแทงใจดำเจนจิราฉุนหันขวับกลับมา “พูดอะไรของนาย”
“เอ้า...พูดอย่างที่คุณได้ยินนั่นแหละ”
“แล้วทำไมฉันต้องกลัวหัวหน้ากับคุณนุชด้วย”
“อยากรู้จริงอ่ะ...ที่คุณกลัวก็เพราะว่าคุณแอบชอบหัวหน้าคุณไง”
สุบินบอกชัดๆ เจนจิราถึงกับสะอึก
เจนจิราพูดเสียงแข็งใส่ “ฉันไม่ได้ชอบพี่ใจเด็ด”
เจนจิราพูดจบก็เดินปึงปังออกไป สุบินมองตามยิ้มเจ้าเล่ห์
ส่วนที่วัด ทุกคนกำลังถกกันต่ออยู่บนกุฏิ
“สำหรับพิธีกรรมช่วงเช้าก็คงจะเหมือนปีที่แล้ว...มีใครอยากจะเสนออะไรเพิ่มเติมมั้ย” หลวงพ่อสรุป
สรนุชแอบกระซิบถามโชคชัยที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ทำไมทำขวัญควายด้วยคะ”
“คนที่นี่เชื่อว่าควายเองก็เหมือนคนที่จะมีเทวดาประจำตัวมาตั้งแต่เกิด การทำขวัญควายก็เหมือนการเชิญเทวดาเหล่านั้นให้มาปกปักษ์รักษาควาย จะได้ไม่เจ็บไม่ป่วย...เลี้ยงง่ายอยู่ง่าย”
“อืม...เชื่ออะไรแปลกๆนะคะ”
สรนุชเผลอปากบ่นออกมาดังไปหน่อย “เอ่อ...แปลกดีค่ะ...แล้วถ้าไม่ทำล่ะคะจะเป็นยังไง”
“ก็คุ้มดีคุ้มร้ายเหมือนใครบางคนไง”
ใจเด็ดพูดขึ้นลอยๆ แต่สรนุชรู้ว่าเจาะจงตน จึงหันมามองตาขวางใส่ทันที
ระหว่างนั้นชาญณรงค์เสนอขึ้น
“ผมว่าคนที่เอาควายมาน่าจะรับผิดชอบพวกขี้ควายด้วยนะหลวงพ่อ...ปีที่แล้วกว่าเสื้อผมจะหายเหม็นขี้ควายเป็นเดือนเลยนะหลวงพ่อ”
“อืม...เรื่องนี้ฉันก็เห็นด้วยกับผู้พันนะ...ว่าไงใจเด็ด” หลวงพ่อหันมาทางใจเด็ด
“ครับ...ปีนี้ผมให้ภิรมย์กับสมหญิงจัดตั้งพวกยุวกระบือบาลเพิ่ม...เพื่อจัดการเรื่องพวกนี้แล้วครับ”
“เฮ้อ...จะไปตั้งฝ่ายโน่นฝ่ายนี้ให้ยุ่งยากทำไม” ชาญณรงค์ท้วง
“อะไร...พอเขาจะทำก็ว่า...พอไม่ทำก็บ่น...ผู้พันจะเอาไงกันแน่คะ” ครูสีดาย้อนถาม
“ก็ไม่เอาไง...แค่อยากเสนอว่าจากทำขวัญควาย...เปลี่ยนเป็นทำขวัญให้รถไถดีมั้ย”
ทุกคนได้ยินถึงกับอึ้งไปตามๆ กัน
เวลาเดียวกันที่บริษัทสยามคาบาตี้สมพลคุยโทรศัพท์สีหน้าเครียด
“ห้าล้าน !” สมพลตะโกนใส่โทรศัพท์ “ค่าทำขวัญบ้าอะไรของมันถึงได้มากขนาดนี้...ไปบอกนังนั่นนะ...ว่าฉันให้ได้อย่างมากก็แค่ล้านเดียว”
สมพลกดวางสายอย่างหงุดหงิด “ดูซิว่าแกทำงามหน้าไว้แค่ไหน...ห๊า”
ณวัตก้มหน้าเจื่อนอยู่ที่โซฟา
“โธ่พ่อ...จะไปคิดมากทำไม...พ่อก็คิดว่าเราเสียเงินเพื่อรักษาภาพลักษณ์เราซิ”
สมพลปาของใกล้มือใส่ณวัตทันที “รักษาภาพลักษณ์เหรอ..!!!” สมพลระดมของปาไม่หยุด “นี่...นี่...รักษาไอ้โรคบ้าผู้หญิงของแกจะดีกว่า”
“พ่อ...พ่อ..!” ณวัตรีบหาที่ซ่อน
“แกรู้มั้ยว่าคราวนี้ฉันต้องเสียเงินเท่าไหร่เพื่อช่วยแก...ห๊า”
“พ่อก็...ผู้หญิงอย่างนั้นมันจะค่าเท่าไหร่กันเชียว”
“ใช่...แล้วทำไมแกไม่คิดที่จะจริงจังกับผู้หญิงที่มีค่า”
ณวัตสงสัย ไม่เข้าที่พ่อพูด
“หนูนุชไง ! แกได้คุยกับหนูนุชเขาบ้างหรือเปล่า”
ณวัตตาหลุกหลิก “เอ่อ...คุยซิพ่อ...คุยทุกวันเลย”
“ที่ฉันปิดปากพวกสื่อต่างๆ...ไม่ใช่เพราะฉันอยากช่วยแก...แต่เพราะฉันกลัวว่าหนูนุชเขาจะได้ยินเรื่องอัปยศพวกนี้ของแกต่างหาก (ณวัตหน้าเจื่อน) คราวนี้มันจะเป็นครั้งสุดท้าย...ถ้าหนูนุชกลับมากรุงเทพฯเมื่อไหร่...แกต้องแต่งกับหนูนุชทันที”
ณวัตถึงกับอ้าปากค้างเมื่อได้ยินประกาศิตจากสมพล
ณวัตกลับห้องตัวเอง แล้วทิ้งตัวลงที่เก้าอี้สีหน้าเซ็งโคตร “แต่งงาน...! ใครอยากแต่งวะ”
ระหว่างนั้นเสียงโทรศัพท์ในห้องทำงานดังขึ้น
ณวัตยกหูรับสาย “ไง...เจอหรือยัง” พอฟังแล้วยิ่งหงุดหงิด “ไม่เจอ ! อะไร...โรงงานก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรทำไมถึงหามือถือเครื่องแค่นี้ไม่เจอ...ไปบอกทุกคนเลยนะว่าถ้าฉันจับได้ว่าใครเอามือถือฉันไป...รับรองว่ามันได้นอนคุกยาวแน่”
ณวัตวางสายไปอย่างหงุดหงิด
เวลาเดียวกันครูสีดาทำหน้าสงสัยหนัก “ทำขวัญให้รถไถ...บ้าหรือเปล่าคะผู้พันขา”
“บ้าอะไร...ขนาดรถใหม่ยังต้องให้หลวงพ่อท่านเจิม...แล้วทำไมรถไถใหม่จะทำขวัญให้มันไม่ได้”
ทุกคนถึงกับนิ่งงันในเหตุผลของผู้พันชาญณรงค์ ใจเด็ดทนไม่ได้จึงค้านขึ้น
“ถ้าผู้พันจะทำอย่างที่ผู้พันว่าจริงๆก็ทำได้”
ทุกคนถึงกับหันมองใจเด็ดที่เห็นด้วยกับชาญณรงค์ โดยเฉพาะสรนุชที่รู้สึกผิดคาดอย่างแรง
ใจเด็ดรีบพูดต่อ “แต่ต้องไม่ใช่ในงานทำขวัญควาย”
ชาญณรงค์ฉุน “อย่าใจแคบนักซิ...ใจเด็ด...ไหนๆก็จัดงานแล้วทั้งที...จะให้มันเปลืองจัดงานสองสามครั้งทำไม...หรือไม่นะ...ฉันว่าเปลี่ยนจากงานทำขวัญควายเป็นงานทำหมันควายดีมั้ย”
“ผู้พัน”
ใจเด็ดลุกขึ้นอย่างไม่พอใจ ชาญณรงค์เองก็ลุกขึ้นเช่นกัน คนอื่นๆ เลยต้องลุกตามเพราะกลัวเรื่องราวบานปลายใหญ่โต
“ถ้าผู้พันไม่พอใจในการจัดงานครั้งนี้...ผู้พันจะถอนตัวไปก็ได้”
“ได้...ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะเอาที่นาที่ใช้แข่งไถนาทุกปีคืน”
โชคชัยรีบเข้ามาพูดเพื่อให้ใจเด็ดใจเย็น
“ใจเด็ดตอนนี้ที่ดินที่พอจะใช้แข่งได้ก็มีที่ของผู้พันคนเดียว...ฉันว่านายใจเย็นๆ เถอะ”
“ถูกต้องนายก...เรามาคุยกันแบบคนมีการศึกษาคุยกันดีกว่า...ถึงผมจะเป็นทหารมาก่อน...แต่ผมก็รักประชาธิปไตย...เอาอย่างนี้...ผมว่าเรามาลงคะแนนเสียงดีกว่า...ว่าใครจะเห็นด้วยที่จะให้ทำขวัญรถไถ”
ใจเด็ดมองชาญณรงค์นิ่งไป บรรยากาศมาคุเต็มไปด้วยความเครียด
ไม่นานต่อมา ผู้พันชาญณรงค์ยืนอยู่ท่ามกลางทุกคน คล้ายกับรอการลงคะแนนเสียง
“วิธีลงคะแนนเสียงก็ง่ายๆ...ถ้าใครเห็นด้วยว่างานนี้ควรที่จะทำขวัญให้รถไถด้วยก็มายืนหลังผม...แต่ถ้าใครไม่เห็นด้วย...ก็ไปยืนหลังมัน”
ทุกคนมองหน้ากันก่อนจะเห็นว่าทุกคนเริ่มแยกย้ายกันไปตามความคิดเห็นของแต่ละคน สีดาและหลวงพ่อเดินเข้ามายืนหลังใจเด็ด ส่วนมหาเหม็นเดินไปยืนกับชาญณรงค์
“ถ้างานนี้ผู้พันให้ฉันเจิม...ฉันคิดแค่คันละห้าร้อย...โอมั้ย” มหาเหม็นบอก
ชาญณรงค์ยักคิ้วตกลงกับมหาเหม็น โชคชัยยืนครุ่นคิดกับสรนุช ก่อนจะเห็นโชคชัยเดินไปยืนหลังชาญณรงค์ ใจเด็ดถึงกับอึ้งไป
“อย่าโกรธฉันเลยนะใจเด็ด...ฉันแค่เห็นว่าถ้าเราทำขวัญให้รถไถด้วย...มันอาจจะสร้างความแปลกใหม่ให้กับชุมชนของเรา”
“เอาละ...ตอนนี้ทุกคนเลือกแล้วใช่มั้ย...ถ้างั้นฉันจะนับละนะ”
ว่าแล้วชาญณรงค์ก็หันไปนับฝั่งตัวเองที่มีมหาเหม็นกับโชคชัย ส่วนใจเด็ดก็มีหลวงพ่อกับสีดา
“สาม...สาม เท่ากันอย่างนี้แล้วจะเลือกยังไง”
“ถ้างั้นอาตมาว่าเรากลับไปใช้ระบบเดิมก็ได้...ดีมั้ย” หลวงพ่อเอ่ยขึ้น
“เดี๋ยวก่อนซิหลวงพ่อ...ใครว่าเท่ากัน...ยังมีอีกคนที่ยังไม่ได้เลือก” ชาญณรงค์ท้วง
ทุกคนหันมองไปที่สรนุชที่ยืนอยู่ตรงกลาง สรนุชถึงกับอึ้งไป
“ห๊า ! ฉันเหรอคะ”
“ใช่...หนูเลือกเลย...มีหนูเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะตัดสินได้”
สรนุชชะงักไปเพราะไม่รู้ว่าจะเลือกใคร จะเลือกควายก็เหมือนเป็นการทรยศต่ออาชีพตัวเอง จะเลือกรถไถก็เดี๋ยวจะทำให้ใจเด็ดสงสัย
สรนุชแทบร้องไห้เพราะไม่รู้ว่าจะเลือกใคร...เอาไงดี...เอาไงดี...เอาไงดี แต่แล้วก็เหมือนเสียงสวรรค์ประทานมาจากฟากฟ้าเมื่อเสียงนึงดังขึ้นหน้ากุฏิ
“หลวงพ่อ...หลวงพ่ออยู่มั้ยครับ”
ทุกคนหันมองไปตามเสียงด้วยความแปลกใจ
หลวงพ่อตะโกนตอบ “อยู่ๆ...ใครละนั่น” แล้วหลวงพ่อก็เดินออกไป
ทุกคนเดินตามหลวงพ่อไปด้วย ใจเด็ดแอบมองสรนุชก่อนจะเดินตามไปเช่นกัน
สรนุชถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก ที่รอดพ้นจากสถานการณ์ฉุกเฉินไปได้อีก
ผู้จัดการสาขาสุรินทร์ของบาคาตี้นั่นเองกำลังตะโกนเรียกอยู่หน้ากุฏิ “หลวงพ่อ...หลวงพ่อ”
หลวงพ่อเดินออกมาจากกุฏิ “ได้ยินแล้ว...ได้ยินแล้ว”
ผจก.รีบยกมือไหว้ “สวัสดีครับหลวงพ่อ”
แต่แล้วผู้จัดการก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นใจเด็ดและทุกคนเดินตามหลวงพ่อออกมา
“ไอ้พวกบาคาตี้”
สรนุชเดินตามออกมา แล้วก็ต้องชะงักกึกเมื่อเห็นว่าเป็นผู้จัดการของบาคาตี้ จึงรีบฉากหลบเข้าไปยืนอยู่ด้านหลังประตูทันที
“โห...อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอย่างนี้...สงสัยกำลังจะประชุมเรื่องวันงานทำขวัญควายแน่ๆ” ผู้จัดการว่า
ใจเด็ดถามทันที “มาทำไม”
“แหม...งานใหญ่ที่นี่...บริษัทบาคาตี้ของผมก็อยากจะช่วยเหลือชาวบ้านบ้างไม่ได้หรือไง”
“ไม่ได้เพราะงานนี้เป็นเรื่องของควายไม่ใช่รถไถ”
“อ้าว...พูดอย่างนี้มันก็ไม่ถูก...บริษัทบาคาตี้เขาอุตส่าห์มีจิตศรัทธา...การไปห้ามเขาทำกุศลอย่างนี้มันบาปใช่ครับหลวงพ่อ” ชาญณรงค์แย้งขึ้น
“เอ่อ...โยมผู้พันจะถามให้อาตมางานเข้าทำไม” หลวงพ่อเหล่มองใจเด็ด “มันก็ถูกอย่างที่ผู้พันเขาว่านะใจเด็ด”
ชาญณรงค์ยิ้มแป้น “นั่นไง...เห็นมั้ย...ถ้าอย่างนั้นผมว่ามันก็เข้าล๊อคพอดี...” หันมาพูดกับผู้จัดการ “พวกเรากำลังคุยกันว่าปีนี้เราจะจัดให้มีการทำขวัญให้รถไถ...ถ้ายังไง...ผมว่าเราขอให้บาคาตี้เขาเป็นสปอนเซอร์เอารถไถมาเข้าพิธีก็ได้นะครับ...หรือทุกคนว่าไง”
ชาญณรงค์อาศัยจังหวะที่ทุกคนเสียกระบวนรีบตะล่อมทันที ระหว่างนั้นเสียงของสรนุชดังขึ้น
“ฉันไม่เห็นด้วยค่ะ”
ทุกคนหันมองไปทางด้านหลัง ก่อนจะเห็นสรนุชเดินลงมาจากกุฏิ ผู้จัดการเหล่มองไปที่สรนุชทันที สรนุชเห็นอย่างนั้นก็ก้มหน้าก้มตาแล้วรีบหาที่ยืนที่ผู้จัดการจะเห็นเธอไม่ถนัด
“เมื่อกี้หนูว่าไงนะ” ชาญณรงค์ถามคาดคั้น
“คือหนูไม่เห็นด้วยที่เราจะทำขวัญให้รถไถในวันนั้นด้วย”
ใจเด็ดอึ้งไปมองสรนุชอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“เฮ้ย...ไม่ได้นะ” ชาญณรงค์โวยวาย
“ทำไมจะไม่ได้...ก็เมื่อกี้ผู้พันให้สิทธิคุณสรนุชเขาเป็นคนตัดสินไม่ใช่เหรอ” ครูสีดาแย้ง
“เดี๋ยวๆ...ผมว่าอย่างนี้มันไม่ยุติธรรม...อยู่ๆทำไมถึงได้ให้ผู้หญิงคนนี้มาเป็นคนตัดสินใจ” ผู้จัดการมองจ้องหน้าสรนุชแล้วยิ่งคุ้นหน้า “เอ...ผมว่า...หน้าคุณนี่คุ้นหน้ามากนะ”
“เอ่อ...คือ...แหม...ใครๆ ก็ชอบบอกว่าฉันหน้าเหมือนยุ้ย...จิรนันท์น่ะคะ” สรนุชกัดฟันกรอดๆ แอบด่า “คอยดูเหอะ...กลับกรุงเทพฯเมื่อไร...โดนย้ายฟ้าผ่าแน่”
ผู้จัดการเดินรุกเข้าไปจ้องหน้า “ไม่นะ...ผมต้องเคยเจอคุณแน่ๆ”
สรนุชถอยกรูดขณะที่ผู้จัดการก็เดินรุกไล่ ระหว่างนั้นใจเด็ดเข้ามาดึงผู้จัดการออกอย่างแรง ก่อนจะเอาตัวเข้ามาปกป้องสรนุช
“กลับไปซะ”
สรนุชรีบมาแอบที่หลังใจเด็ดทันที ผู้จัดการถึงกับเซก่อนจะหันไปขอความช่วยเหลือจากชาญณรงค์
“ผู้พัน...!”
ชาญณรงค์อึกอัก “เอ่อ...”
ใจเด็ดชิงพูดขึ้น “ผู้พันเองก็เหมือนกัน...ตอนนี้คุณนุชเลือกแล้ว...หวังผู้พันคงไม่กลืนน้ำลายตัวเองให้เสียเกียรติของทหารที่ผู้พันภาคภูมิใจหรอกนะครับ”
ชาญณรงค์แค้นหนัก “แก...ไอ้...ไอ้ใจเด็ด...ฮึ่ย”
ชาญณรงค์ชี้หน้าใจเด็ด ก่อนจะเดินอย่างหงุดหงิดออกไปด้วยความอับอาย
“อ้าว...ผู้พัน...จะไปไหนครับ...รอผมด้วย”
พอผู้จัดการเห็นว่าชาญณรงค์เดินออกไปก็กลัวว่าจะไม่ปลอดภัย เลยรีบวิ่งตามชาญณรงค์ออกไป สีหน้าใจเด็ดดูออกว่าเครียดหนัก
ในขณะที่สรนุชแอบมองใจเด็ดอยู่ข้างหลัง รู้สึกได้ถึงความปลอดภัยและอบอุ่นขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
อ่านต่อหน้า 4 เวลา 17.00 น.
กระบือบาล ตอนที่ 6 (ต่อ)
ใจเด็ดเดินสีหน้าเครียดมาที่รถ โดยมีสรนุชเดินตามมาติดๆ รู้สึกหมั่นไส้ใจเด็ดที่เอาแต่เก็กหน้าเครียด สรนุชบ่นเบาๆกับตัวเอง
สรนุชยี้ปากใส่อย่างหมั่นไส้ “หึ...ขอบคุณซักคำก็ไม่มี”
ใจเด็ดเดินทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ระหว่างนั้นจู่ๆ ใจเด็ดก็เอ่ยขึ้น
“ขอบคุณ”
สรนุชชะงักไป “เมื่อกี้นายว่าอะไรนะ”
ใจเด็ดหยุดเดิน แล้วหันกลับมา “ผมขอบคุณที่คุณเลือกควายแทนที่จะเลือกรถไถ”
สรนุชอึ้งๆ ทำตัวไม่ถูก “เอ่อ...แหม...ไม่เป็นไรหรอก...เรื่องแค่นี้เอง”
ทั้งใจเด็ดกับสรนุชต่างก็เงียบกันไปท่าทางเขินๆแปลกๆด้วยกันทั้งคู่
“งั้นเดี๋ยวผมไปส่งคุณก่อนก็แล้วกัน”
สรนุชสงสัย “ส่งฉันก่อน...แล้วนายจะไปไหน”
“ผมจะไปบอกชาวบ้านที่เลี้ยงควายให้เอาควายมาทำพิธี”
ใจเด็ดพูดพร้อมกับเดินไปที่รถ สรนุชคิดตามพูดกับตัวเองเบาๆ
“ชาวบ้านที่เลี้ยงควาย...? ก็ดี...เราจะได้รู้คร่าวๆ ว่าที่นี่เขาเลี้ยงควายกันแค่ไหน”
สรนุชคิดได้ก่อนจะรีบบอกใจเด็ด “ฉันไปด้วยซิ”
ใจเด็ดมองมา อย่างสงสัย
สรนุชรีบแก้ตัว “เอ่อ...ก็ฉันไม่อยากให้นายไปๆ มาๆ...ไหนจะเสียเวลาไหนจะเปลืองน้ำมันอีก”
ยังไม่ทันที่ใจเด็ดจะพูดอะไรต่อ จังหวะนั้นเสียงโชคชัยก็ดังขึ้น
“ใจเด็ด”
ใจเด็ดกับสรนุชหันไปก็เห็นโชคชัยเดินเข้ามา
“ฉันอยากมาคุยกับนาย เรื่องที่ฉันเลือกที่จะมีการทำขวัญให้รถไถ”
ใจเด็ดตัดบท “ไม่ต้องหรอกครับ...ผมเข้าใจ”
โชคชัยนิ่งไปเมื่อใจเด็ดพูดอย่างนั้น
โชคชัยเปลี่ยนเรื่องเผื่อบรรยากาศจะดีขึ้น “แล้วนี่จะไปไหนกันเหรอครับ”
“นายนี่...เอ่อ...คุณใจเด็ดเขาจะไปบอกชาวบ้านเรื่องงานทำขวัญควายน่ะค่ะ...ฉันก็เลยว่าจะขอไปด้วย...ไปกันยัง”
ใจเด็ดพยักหน้าแล้วทำท่าจะเดินไปกับสรนุช โชคชัยรีบพูดขึ้น
“ฉันเองก็กำลังจะไปบอกชาวบ้านเรื่องนี้เหมือนกัน” ใจเด็ดกับสรนุชหันมา โชคชัยรีบพูดต่อ “ขอบใจมากที่เป็นธุระให้...แต่นายคงไม่อยากให้ฉันต้องตกงานใช่มั้ย” ใจเด็ดนิ่งไป สรนุชมองไปที่ทั้งสองหนุ่มไม่รู้ว่าจะเอาไง ในที่สุดโชคชัยก็รีบสรุป “ฉันรู้ว่าแค่งานที่สถานีนายก็ยุ่งอยู่แล้ว...เรื่องนี้ให้ฉันจัดการเองเถอะ”
ใจเด็ดนิ่งไปรู้ว่าโชคชัยต้องการอะไร
“ ก็ได้ครับ...” ใจเด็ดหันมาพูดกับสรนุช “คุณไปกับนายกเขาแล้วกัน”
ใจเด็ดพูดจบก็เดินขึ้นรถไป สรนุชอึ้งที่อยู่ๆ ใจเด็ดก็ทิ้งไปซะงั้น
“เชิญครับคุณนุช...รถผมอยู่ด้านโน่น”
โชคชัยผายมือเชื้อเชิญ สรนุชงงที่อยู่ๆ ก็ต้องไปกับโชคชัย
ครู่ต่อมาสรนุชเดินมากับโชคชัยที่มุมหนึ่งภายในวัด สรนุชยังโกรธใจเด็ดไม่หาย
“ตาบ้า...คิดอยากจะไปก็ไป...ไม่สำนึกบุญคุณกันบ้างเลยหรือไง...หึ”
โชคชัยสงสัย “คุณนุชว่าอะไรนะครับ”
“อ๋อ...เปล่าค่ะ”
สรนุชยิ้มแห้งๆ ให้ ขณะที่โชคชัยจะเดินต่อ สรนุชครุ่นคิด
“ถ้าหมอนั่นไม่ไป เราก็ไม่รู้ว่าชาวบ้านนับถือนายนั่นแค่ไหน...เอาไงดีเรา”
สรนุชเดินไปคิดไป จนทั้งสองเดินมาถึงรถโชคชัยพอดี โชคชัยรีบเปิดประตูรถให้ สรนุชตัดสินใจพูดขึ้น
“เอ่อ...คุณโชคชัยจะโกรธมั้ยคะ”
“เรื่องอะไรเหรอครับ”
“ก็...ก็ถ้าฉันจะขอกลับสถานีน่ะค่ะ” โชคชัยมองสงสัย สรนุชรีบหาข้ออ้าง “เอ่อ...ไม่ใช่ฉันไม่อยากไปกับคุณโชคชัยน่ะคะ...แต่ว่า...คุณโชคชัยก็เห็น” สรนุชมองสภาพตัวเอง “คือ...ตั้งแต่เช้าฉันยังไม่ได้อาบน้ำเลย...ฉันว่าถ้าฉันไปหาชาวบ้านด้วยสภาพนี้ต้องไม่ดีแน่ๆ”
“อืม...แต่ผมว่าคุณนุชก็ดูดีไปอีกแบบนะครับ”
“ชุดนอนเนี่ยนะคะ..! แต่ไม่เป็นไรค่ะ...ฉันรู้ว่าคุณโชคชัยคงต้องไปพบชาวบ้านอีก...เดี๋ยวฉันเรียกรถกลับเองก็ได้ค่ะ”
โชคชัยหน้าเศร้าลง “ไม่เป็นไรครับ...เดี๋ยวผมไปส่งแล้วกัน”
สรนุชยิ้มออกมาได้ “ขอบคุณค่ะ”
สรนุชรีบกระโดดขึ้นไปนั่งบนรถ โชคชัยปิดประตูให้ โชคชัยสีหน้าเศร้าลงด้วยความผิดหวังที่หมดโอกาสจะได้อยู่กับสรนุชสองต่อสอง
เหตุการณ์ที่สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ ระหว่างนั้นเจนจิราเดินมายังลานกว้างที่ใจเด็ดจอดรถประจำ เจนจิราหันมองซ้ายมองขวาเพื่อมองว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น เจนจิราสีหน้าเครียดเมื่อเห็นใจเด็ดยังไม่กลับมาอีก
“ไปไหนกันนะ...ป่านนี้ทำไมยังไม่กลับอีก”
ขณะเดียวกันที่ข้างหลังสุบินแอบย่องตามเจนจิรามาอย่างจับสังเกต
“ท่าทางอย่างนี้แล้วยังปากแข็งอีก”
สุบินไม่ทันระวัง เผลอไปเหยียบเศษกิ่งไม้แห้ง เสียงของกิ่งไม้แห้งหักทำให้เจนจิราถึงกับหันขวับ ยังดีที่สุบินรีบหลบหลังต้นไม้ได้ทัน
เจนจิรามองด้วยความแปลกใจ แต่แล้วระหว่างนั้นรถของใจเด็ดก็ขับเข้ามาพอดี เจนจิราได้ยินเสียงรถก็หันขวับไปมอง และออกอาการดีใจเมื่อเห็นใจเด็ดขับรถเข้ามา
สุบินโล่งอกเพราะเกือบโดนจับได้อยู่แล้ว
เจนจิรามองไปที่รถของใจเด็ดสีหน้าเครียด พอเห็นใจเด็ดลงจากรถเพียงคนเดียว เจนจิราก็มีสีหน้าแปลกใจ
“แล้วคุณนุชล่ะคะ”
“ไปกับนายกน่ะ...แล้วเรามาทำอะไรแถวนี้” ใจเด็ดถาม
“เอ่อ...คือ...เจนทำบัญชีแล้วมันง่วงๆ...ก็เลยออกมาเดินยืดเส้นยืดสายน่ะค่ะ”
สุบินได้ยินก็ทำหน้าเยาะ “ทำบัญชี...หึ...ยังไม่เห็นเดินเข้าไปในสำนักงานเลย”
เจนจิราถามใจเด็ดด้วยความสงสัย “แล้วคุณนุชแกไปกับนายกทำไมเหรอคะ”
“ก็คงเป็นหาข้อมูลมาเขียนบทอะไรของเขานั่นแหละ”
เจนจิรายิ้ม รู้สึกโล่งอก “ค่อยยังชั่ว”
“ว่าไงนะ”
“อ๋อ...เปล่าค่ะ...เจนบอกว่าดีค่ะ...จะได้ไม่มั่ว”
“ที่นี่ไม่มีอะไรใช่มั้ย” ใจเด็ดถาม
“ทุกอย่างเรียบร้อยค่ะหัวหน้า”
ใจเด็ดพยักหน้ารับก่อนจะเดินเข้าไป เจนจิราอมยิ้มโล่งอกที่สรนุชไม่ได้ไปกับใจเด็ด เจนจิราเดินตามใจเด็ดออกไป สุบินจึงได้โผล่หน้าออกมาจากต้นไม้ แล้วมองตามเจนจิราด้วยสีหน้ามั่นใจในสิ่งที่ตัวเองคิด
ไม่นานหลังจากนั้น ภิรมย์กับสมหญิงกำลังตอบคำถามสุบินอยู่
“คุณเจนน่ะเหรอคะ...ก็มาอยู่ที่นี่หลังจากหัวหน้าประมาณปีนึงเห็นจะได้...ใช่มั้ยอ้วน”
“ก็ประมาณนั้นแหละครับ...ไอ้ผมก็จำเวลาแน่นอนไม่ได้”
สุบินพยักหน้าเก็บข้อมูล ระหว่างนั้นสมหญิงเหมือนนึกขึ้นมาได้
“อ๋อ...ใช่ๆ...ปีนึงน่ะถูกแล้ว...เพราะคุณเจนแกเป็นรุ่นน้องหัวหน้าปีนึงไงแก”
สุบินสนใจขึ้นมาทันที “เป็นรุ่นน้องของคุณใจเด็ดเหรอครับ”
“ค่ะ...สองคนนั่นเขาเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันที่มหาลัย...แล้วคุณสุบินอยากรู้เรื่องหัวหน้ากับคุณเจนไปทำไมเหรอคะ”
สุบินนิ่งไปก่อนจะตัดสินใจบอก
“เธอสองคนว่าคุณเจนกับหัวหน้าใจเด็ดจะชอบกันมั้ย”
สมหญิงกับภิรมย์ถึงกับอึ้งตาโตมองหน้ากัน แต่แล้วทั้งสองคนก็หัวเราะออกมา
“มีอะไรขำหรือไง” สุบินงง
“โอ๊ย...เป็นไปไม่ได้หรอกคุณครับ...ถ้าสองคนนั่นชอบกันจริง ป่านนี้มีลูกออกมาช่วยเลี้ยงควายให้สถานีแล้ว” ภิรมย์บอก
สุบินรู้สึกเสียหน้าและอยากเอาชนะ
“แล้วถ้าฉันพิสูจน์ได้ว่าคุณเจนจิราแอบชอบหัวหน้าใจเด็ดได้...เธอสองคนจะให้อะไร”
สุบินบอกด้วยสายตามุ่งมั่นจริงจัง ขณะที่ท้าภิรมย์กับสมหญิง ไม่ได้จะพนันเอาชนะอะไร แต่ต้องการพิสูจน์ความคิดของตัวเอง
กลับจากวัดชาญณรงค์ลงนั่งที่โซฟาในบ้านตัวเองด้วยความหงุดหงิด สมคิดรีบเข้ามาบีบนวด
“ไอ้ใจเด็ด...เมื่อไหร่แกจะโดนควายขวิดตาย...หายไปจากชีวิตฉันซะทีวะ”
“นั่นซินาย...ตราบใดที่มันยังอยู่...ผมว่านายไม่ได้เกิดที่ตำบลนี่แน่...นายลองคิดซิครับ...ไอ้ใจเด็ดมันทั้งหนุ่มกว่า...หล่อกว่า...” สมคิดว่า
แต่สมคิดยังพูดไม่ทันจบ ชาญณรงค์ก็ยกขาที่สมคิดกำลังนวดถีบสมคิดจนกระเด็นดังป้าบ!
ระหว่างนั้นเสียงของช่อผกาดังขึ้น “พ่อพูดถึงพี่ใจเด็ดทำไม”
ช่อผกาเดินลงมาจากบนบ้าน แล้วรีบเข้ามานั่งข้างชาญณรงค์
“หรือว่าพ่อยอมให้ผกาแต่งกับพี่เด็ด..!” ช่อผกาพูดเองเออเอง แล้วก็ดีใจไปเอง “เย้...เย้...ผกาจะได้แต่งกับพี่เด็ดแล้ว”
“นังผกา ! ไอ้ที่แกพูดเมื่อกี้น่ะ...จะไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด”
“ทำไมอ่ะพ่อ”
ชาญณรงค์เหวี่ยงใส่ลูกสาว “ไม่ต้องถาม!” แล้วมองชุดช่อผกา “แล้วแกแต่งตัวอะไรของแก”
“ใช่ครับ...คุณหนูแต่งตัวง๊ามงามเน๊อะครับนาย” สมคิดรีบสอพลอทันทีหวังเอาใจ
“ทุเรศ”
ฟังที่ชาญณรงค์ว่า ช่อผกากับสมคิดต่างคนต่างผงะ
“นี่มันจะถึงวันงานแล้ว...แกยังไม่เตรียมตัวอีกหรือไง”
“พ่อ..! พ่อกำลังดูถูกผกาน่ะ...เอาผกาไปเทียบกับพวกชาวบ้านได้ยังไง...หนูน่ะ...ต่อให้ไม่ต้องทำอะไรก็ชนะไอ้พวกผู้หญิงชาวบ้านพวกนั้นอยู่แล้ว”
“ไม่ได้...แกต้องเริ่มเตรียมตัวตั้งแต่ตอนนี้...ปีนี้บ้านเราจะต้องชนะ...เข้าใจมั้ย”
ช่อผกาทำเชิดหน้าเชิดตาไม่สนใจชาญณรงค์
“ก็ได้ค่ะ...ผกาจะคว้าตำแหน่งนางงามบ้านหนองระบืออีกปี...แต่ที่ผกาทำ...ไม่ใช่เพราะพ่อน่ะคะ..” ดวงตาช่อผกาขณะพูดเป็นประกาย “ผกาจะคว้าตำแหน่งนี้เพื่อพี่เด็ด”
ว่าแล้วช่อผกาก็รีบวิ่งจู๊ดขึ้นข้างบนไป ชาญณรงค์ตะโกนว่าตามด้วยความโมโห
“นังผกา...นังทรพี !!! ฮึ่ยย์ ! ไอ้ใจเด็ด...นี่ฉันจะไม่ชนะมันจะเลยหรือไง”
ชาญณรงค์หัวเสียปาโน่นปานี่จนสมคิดต้องหลบกันจ้าละหวั่น ระหว่างนั้นสมคิดคิดบางอย่างขึ้นมาได้
“นายครับ...ผมมีวิธีที่นายจะชนะมันได้ครับ”
ชาญณรงค์สนใจ “วิธีอะไร”
“เอ้า...นายจำที่มหาเหม็นบอกไม่ได้เหรอครับ”
ชาญณรงค์คิดตามที่สมคิดบอก “หนูอรอนงค์น่ะเหรอ...หึๆ”
ชาญณรงค์หรี่ตาร้ายอย่างคนเจ้าเล่ห์
ด้านอรอนงค์เดินมากับเกริกไกรที่ถนนในหมู่บ้าน ชาวบ้านที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างยกมือไหว้เกริกไกรด้วยความนับถือ
“นี่หมอต้องฉีดวัคซีนให้ควายทุกตัวก่อนถึงวันงานทำขวัญควายเหรอคะ”
“ใช่ครับ...วันนั้นชาวบ้านจะเอาควายมาเข้าพิธี...ควายชาวบ้านกับควายที่สถานีมันไม่เหมือนกัน...ชาวบ้านเขาเลี้ยงควายแบบปล่อย...ใจเด็ดเขากลัวว่าควายของชาวบ้านจะเอาโรคมาติดกับควายที่สถานีน่ะครับ”
อรอนงค์พยักหน้ารับทราบข้อมูลอีกอย่าง
“หมองานยุ่งอย่างนี้ไม่น่าพาฉันมาเลยนะคะ...เดี๋ยวจะทำให้หมอช้าเปล่าๆ”
“ไม่หรอกครับ...ที่ผมพาคุณอรมาด้วยเพราะผมกลัวว่าคุณอรอยู่ที่สถานีมันจะไม่ปลอดภัย”
อรอนงค์แปลกใจ “ไม่ปลอดภัย...?”
“ครับ...คุณอรไม่สังเกตเหรอครับว่าพักนี้ตาผู้พันชอบมาเจอคุณอรอยู่เรื่อย...ถ้าผมไม่อยู่แล้วใครจะดูแลคุณอรละครับ”
อรอนงค์ได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกหน้าร้อนผ่าวๆขึ้นมา
“คุณอรเป็นอะไรหรือเปล่าครับ...หน้าคุณอรแดงๆ น่ะครับ”
“เอ่อ...เปล่าค่ะ...สงสัยแดดจะร้อนน่ะค่ะ”
“อืม...ใกล้ถึงบ้านตาชุกแล้ว...เดี๋ยวเราไปพักที่โน่นก็ได้...ไปครับ”
เกริกไกรเดินนำอรอนงค์ออกไป อรอนงค์รีบจับหน้าตัวเองสังเกตอาการ
“เป็นไรไปเนี่ยเรา...”
อรอนงค์จับเนื้อจับตัวดูก่อนจะรีบเดินตามเกริกไกรออกไป
อีกมุมหนึ่งไม่ไกลนัก ชาวบ้านกำลังเดินตลาดจับจ่ายกัน ระหว่างนั้นได้ยินเสียงแตรรถดังลั่นเป็นจังหวะให้หลีกทาง
ชาวบ้านค่อยๆ หลีกทางก่อนจะเห็นรถของชาญณรงค์แล่นมา มีสมคิดทำหน้าที่พลขับ
“เอ้า...หลบหน่อยๆ...เจ้าบ่าวกำลังไปหาเจ้าสาวไม่รู้หรือไง”
ชาญณรงค์ในชุดสูทสีเจ็บนั่งอยู่ข้างๆ ยิ้มแก้มปริ
“แหม...ไอ้นี่พูดถูกใจ...อย่างนี้ต้องจัดงบประมาณกลางปีให้ซะหน่อย”
สมคิดตาโตด้วยความดีใจ “ขอบคุณครับนาย”
สมคิดหันไปขับรถต่อ ทันใดนั้นสมคิดเห็นบางอย่างก็เบรกเอี๊ยด
ผู้พันชาญณรงค์ไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยทำให้หัวพุ่งไปชนกับกระจกดัง โป๊ก !!1
“เฮ้ย ! ...จะเบรกหาญาติแกทำไมเนี่ย”
“นายดูนั่นซิครับ”
ชาญณรงค์มองไปตามที่สมคิดบอกก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นเกริกไกรกับอรอนงค์เดินมาด้วยกัน
“หนูอร” ชาญณรงค์แปลกใจ “แล้วทำไมมากับไอ้หมอควายนั่น”
“นั่นซินาย...คราวที่แล้วก็เจอไอ้หมอควายอยู่ด้วย...หรือว่า...มันตั้งใจจะจีบคุณอรแข่งกับนายครับ”
ชาญณรงค์กัดกรามด้วยความโกรธปนฉุนขึ้นมาทันที
ส่วนเกริกไกรกับอรอนงค์เดินมาบ้านตาชุกที่มีเมียออกมาต้อนรับ
“หวัดดีตาชุก...ไง...ไอ้ตัวเล็กอยู่ไหน”
“ที่คอกน่ะครับ...หมอจะไม่ดื่มน้ำดื่มท่าก่อนเหรอครับ” ตาชุกบอก
“ไม่เป็นไร...ผมต้องไปอีกหลายที่” เกริกไกรหันมาพูดกับอรอนงค์ “เดี๋ยวคุณอรนั่งพักตรงนี้ก่อนก็ได้ครับ...ผมขอเวลาแป๊ปเดียว” หันไปทางตาชุก “ไป”
ตาชุกเดินนำเกริกไกรออกไป อรอนงค์ลงนั่งที่แคร่ เมียตาชุกรีบมาดูแล
“ทานน้ำกระเจี๊ยบมั้ยคุณ...อิฉันเพิ่งต้มเมื่อเช้าเอง”
“คะ...”
เมียตาชุกยิ้มให้ก่อนจะรีบเดินออกไป อรอนงค์ลุกขึ้นเดินสำรวจดูไปรอบๆ บ้าน
เห็นบรรยากาศรอบๆ บ้านที่ร่มรื่นย์ไปด้วยต้นไม้ ระหว่างนั้นได้ยินเสียงคนเดินมา อรอนงค์หันกลับมายิ้มให้
“บ้านน่าอยู่จั...” แต่แล้วก็สีหน้าเปลี่ยนเป็นตกใจ “ผู้พัน”
ชาญณรงค์กับสมคิดยืนยิ้มส่งมาให้
“เจอกันอีกแล้วนะจ้ะหนูอร”
อรอนงค์สีหน้าวิตกเพราะเพิ่งได้ยินที่เกริกไกรพูดเรื่องที่พักนี้เจอชาญณรงค์บ่อยๆ นั่นเอง
เวลาผ่านไป...เกริกไกรเดินเก็บกระเป๋าเครื่องแพทย์ออกมา
“ขอบคุณนะครับหมอ” ตาชุกบอก
“ไม่เป็นไร...หน้าที่ผมอยู่แล้ว...แต่ฉีดยาแล้วต้องพาไอ้ตัวเล็กไปงานด้วยนะ” ตาชุกยิ้มรับ เกริกไกรมองหาอรอนงค์ “อ้าว...แล้วคุณอรละครับ”
เมียตาชุกรีบบอก “ไปกับผู้พันน่ะค่ะหมอ”
เกริกไกรแปลกใจ “ผู้พัน..? ผู้พันชาญณรงค์น่ะเหรอครับ”
“จ้ะ...ฉันเอาน้ำกระเจี๊ยบมาให้ก็เห็นคุณแกเดินออกไปกับผู้พันแล้ว”
เกริกไกรมีสีหน้าวิตกขึ้นมาทันที
อ่านต่อตอนที่ 7 พรุ่งนี้