xs
xsm
sm
md
lg

กระบือบาล ตอนที่ 5

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


กระบือบาล  ตอนที่ 5

ค่ำคืนนั้นที่บ้านผู้พันชาญณรงค์ สองพ่อลูก ชาญณรงค์ และช่อผกา กำลังซ้อมแอ็คติ้งอย่างเอาเป็นเอาตาย ช่อผกาเป็นคนคอยสั่งพ่อให้เล่นบทต่างๆ

“พร้อม!” ชาญณรงค์เอ่ยขึ้นด้วยหน้าตาขึงขังจริงจัง
ช่อผกาเองก็จริงจังเช่นกัน “ผู้ร้าย”
ชาญณรงค์ทำเสียงแบบผู้ร้าย “เฮ้ย! พูดอย่างนี้อยากมีเรื่องหรือไงไอ้น้อง”
ช่อผกาบอกอีก “พระเอก”
ชาญณรงค์ทำเสียงแบบพระเอก) ข้าจะผดุงไว้ซึ่งความยุติธรรม
ช่อผกาบอก “นางอิจฉา”
ชาญณรงค์กรี๊ดใส่อารมณ์แบบจัดเต็ม “อ๊าย...ไม่จริง..!” แล้วนึกได้ “เว้ย...นังผกา...พ่อเป็นผู้ชายแล้วจะให้เล่นเป็นนางอิจฉาได้ไง”
“โธ่พ่อ...คนเป็นนักแสดงมันต้องเล่นได้ทุกบทบาทซิ”
“พอเลย...พ่อเป็นชายชาติทหาร...ให้เล่นบทแบบนั้นได้ยังไง”
“อยากรู้จริงๆ ว่าผกาจะได้บทอะไรน้า”
ระหว่างที่ชาญณรงค์พูดเรื่องทหารก็ทำให้นึกบางอย่างขึ้นได้
“พ่อรู้แล้วว่าพรุ่งนี้พ่อจะเล่นบทอะไร”
ว่าแล้วชาญณรงค์ก็วิ่งออกไป ช่อผกามองตามงงๆ ไม่นานชาญณรงค์ก็วิ่งถือชุดทหารออกมากลีบนี้โง้งแข็งปั้ก
“พ่อเอาชุดออกมาทำไม”
“เอ้า...ก็นี่แหละเว้ย...พ่อเป็นทหารจะให้พ่อเป็นอย่างอื่นได้ยังไงจริงมั้ย...คอยดูนะ...พรุ่งนี้พวกกองถ่ายจะต้องตะลึงในความสง่างามของชุดทหารของพ่อ”
ชาญณรงค์มองชุดทหารในมืออย่างภาคภูมิใจ


เช้าวันต่อมา สรนุชวิ่งลงมาจากเรือนรับรองอย่างเร่งรีบ ปากก็เร่งสุบินและอรอนงค์ยิกๆ
“เร็วๆ ซิ...เหลืออีกยี่สิบเก้าวันเดี๋ยวก็ไม่ทันหรอก”
สุบินกับอรอนงค์เดินหาวหวอดๆ ขณะเดินลงบันไดมาจากบ้าน สรนุชจะตรงไปที่รถแล้วก็ต้องชะงักกึก เมื่อเห็นใจเด็ดนอนอยู่บนเปลญวนเอาหมวกปิดหน้าไว้อยู่
สรนุชงงปนแปลกใจ “หือ”
สรนุชค่อยๆย่องเข้ามาที่ใจเด็ด ทันใดนั้นใจเด็ดก็พูดขึ้น
“ก็ดีที่ตื่นเช้ากว่าคราวที่แล้ว”
สรนุชตกใจ กระโดดผึงถอยห่างทันที! “เฮ้ย!”
ใจเด็ดลุกขึ้นขณะเอาหมวกออกจากหน้า “ผมนึกว่าจะต้องนอนรอถึงแปดโมงซะแล้ว”
อรอนงค์เดินเข้ามาถามด้วยความสงสัยเช่นกัน “เอ่อ...คุณใจเด็ดมาแต่เช้ามีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ก็วันนี้พวกคุณจะไปพบชาวบ้านไม่ใช่เหรอ”
“ใช่...แล้วไง” สรนุชย้อน
“ก็ไม่แล้วไง...วันนี้ผมจะพาพวกคุณไปหาพวกชาวบ้านเอง”
ทั้งสามต่างมองหน้ากันงงๆ
“เดี๋ยวนะ...ฉันได้ยินอะไรผิดหรือเปล่า...นี่นายกำลังจะบอกว่านายจะช่วยพวกเราเหรอ”
“ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่ชอบพูดซ้ำ...คุณได้ยินยังไงก็อย่างนั้นแหละ” ใจเด็ดว่า
สุบินตะโกนใส่หูสรนุช “ฉันได้ยินว่าคุณใจเด็ดจะพาเราไปคุยกับชาวบ้าน...ได้ยินชัดแล้วใช่มั้ย”
“เฮ้ย ! มาตะโกนใส่หูฉันทำไมเนี่ย”
สรนุชเหล่มองใจเด็ดไม่แน่ใจ
“นี่นายจะช่วยฉันเพื่อเอาบุญคุณอะไรหรือเปล่าเนี่ย”
ใจเด็ดเหนื่อยใจ “ฟังผมนะ...ที่ผมช่วยคุณก็เพราะว่าคุณมาดีมาช่วยชาวบ้าน...แล้วที่ผมช่วยคุณก็เพราะว่าอยากช่วย...ไง...ไปกันได้หรือยัง”
ระหว่างนั้นเจนจิราเดินเข้ามาพอดี “หัวหน้าคะ”
ทุกคนหันไปเห็นเจนจิรายืนอยู่ เจนจิรามองใจเด็ดกับสรนุชยืนอยู่ด้วยกันรู้สึกตะหงิดๆ ในใจ
“เจนมาก็ดีแล้ว...” ใจเด็ดเข้าไปหา “วันนี้ผมดูแลฝากสถานีด้วยนะ”
“หัวหน้าจะไปไหนเหรอคะ”
“ผมจะพาพวกเขาไปคุยกับชาวบ้านหน่อย”
“แล้วหมอล่ะคะ” เจนจิราหมายถึงเกริกไกร
“วันนี้หมอเขาต้องรีดน้ำเชื้อ...คงไปกับผมไม่ได้หรอก” ใจเด็ดบอก
สรนุชได้ยินอย่างนั้นก็หูผึ่งรีบเข้ากระซิบอรอนงค์ “อรวันนี้แกไม่ต้องไป”
อรอนงค์งง “อ้าว...ไมอ่ะ”
“ไม่ได้ยินหรือไง...วันนี้พวกนั้นจะรีดน้ำเชื้อ...ดีไม่ดีเราจะได้รู้ซะทีว่าไอ้น้ำเชื้อพิเศษนั่นมาจากควายตัวไหน”
สุบินหาวหวอด “ฉันก็ไม่ต้องไปใช่มั้ย”
“นายไม่ไปแล้วใครจะถ่ายเล่า” สรนุชบ่น
“มีอะไรรึเปล่า” เสียงใจเด็ดถามขึ้นมา
สรนุชสะดุ้งโหยงเมื่ออยู่ๆ ใจเด็ดก็เข้ามายืนข้างหลัง
“เอ่อ...ไม่มีอะไร...พอดีอรเขารู้สึกไม่ค่อยสบายน่ะ...สงสัยจะนั่งรถมานานก็เลยเหนื่อย...” สรนุชหันไปทำตาเข้มใส่อรอนงค์ “ใช่มั้ยอร”
“เอ่อ...ค่ะ..พวกคุณไปเถอะค่ะ” อรอนงค์รีบรับไม้
“ได้ยินแล้วใช่มั้ยคะ...ไปกันหรือยังคะ”
ใจเด็ดทำหน้าเซ็งก่อนจะเดินนำออกไป สรนุชรีบดึงสุบินให้เดินตาม เจนจิรามองตามด้วยความรู้สึกแปลกที่ก่อตัวขึ้นชัดเจนภายในใจ


ในขณะที่สรนุชกับสุบินกำลังขนกล้องและอุปกรณ์กองถ่ายออกจากท้ายรถ เห็นใจเด็ดยืนกอดอกยืนดูอยู่ข้างๆ
“ไม่คิดจะช่วยหรือไง”
“ตามสบาย...อุปกรณ์พวกนั้นราคาเท่าไหร่ก็ไม่รู้...เงินเดือนข้าราชการอย่างผมคงรับผิดชอบไม่ไหว”
สรนุชยี้ปากอย่างหมั่นไส้
“แล้วทำไมคุณต้องเจาะจงมาหามหาเหม็นด้วย”
สรนุชอึกอัก “เอ่อ...”
สุบินเห็นสรนุชอึ้งไปเลยรีบตอบแทน “ก็คนที่ขึ้นชื่อว่ามหาก็น่าจะเป็นคนที่ชาวบ้านให้การนับหน้าถือตาไงครับ”
ใจเด็ดพยักหน้าเข้าใจ “ที่จริงแล้วพวกคุณไม่ต้องให้ผมพามาก็ได้...พวกคุณเองก็รู้จักมหาเหม็นอยู่แล้ว”
ฟังแล้วสรนุชกับสุบินหันมองหน้ากันด้วยความสงสัย
ใจเด็ดเดินนำมาที่หน้าบ้านของมหาเหม็น สรนุชกับสุบินเดินแบกอุปกรณ์ตามมาข้างหลัง สรนุชมองไปรอบๆ รู้สึกคุ้นตาขึ้นมาตะหงิดๆ
“ฉันว่าแถวนี้มันคุ้นๆนะ...นายว่ามั้ย”
สุบินมองไปรอบๆ พยักหน้าเห็นด้วย
ระหว่างนั้นใจเด็ดเดินมาหยุดที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง
“จำได้หรือยัง”
สรนุชกับสุบินมองไปที่บ้านที่ใจเด็ดหยุด แล้วความหลังครั้งก่อน ตอนโดนไล่ผีก็ผุดขึ้นมาในหัวสรนุชทันที
“ห๊า ! นี่มันบ้านหมอผีคนนั้นนี่”
“ใช่...หมอผีคนนั้นชื่อว่ามหาเหม็น...เอ...แต่ตอนนั้นคุณถูกผีเข้าไม่น่าจะจำได้นี่”
“เอ่อ...คือ”
“อ๋อ...ผมเล่าให้นุชเขาฟังเองแหละครับ” สุบินรีบพูดแทรกช่วยสรนุช
ใจเด็ดไม่ติดใจอะไร มองขึ้นไปบนบ้านของมหาเหม็น “เงียบกันอย่างนี้...สงสัยมหาเหม็นคงกำลังนั่งสมาธิอยู่”
สรนุชกับสุบินมองขึ้นไปบนบ้านมหาเหม็นอย่างหวั่นใจ


เวลาเดียวกันที่บนเรือน มหาเหม็นกำลังก้มหน้าก้มตาอย่างตั้งใจ เหมือนออกอาการเชียร์การแข่งขันอะไรสักอย่าง
“เออ...อย่างนั้น...น่าน...เอาอีก”
ชาวบ้านโวยวาย “มหา...เชียร์อย่างนี้มันไม่ค่อยได้อารมณ์เลย...พวกเราเสียงดังไม่ได้หรือไง”
ที่แท้มหาเหม็น กำลังชาวบ้านและลูกศิษย์กำลังเชียร์กัดปลากันอยู่
“ดังหวอ...หวอ...หวอ...จะเอามั้ย”
ทันใดนั้นใจเด็ดเปิดประตูบ้านเข้ามาอย่างเคยชิน ชาวบ้านที่โดนมหาเหม็นขู่เอาไว้เมื่อครู่ก็สะดุ้งโหยง ตกใจตะโกนลั่น
“เฮ้ย ! ตำรวจ”
แล้วความวุ่นวายก็เกิดขึ้น ชาวบ้านต่างวงแตกวิ่งหนีกันกระเจิงบ้างก็โดดหน้าต่าง บ้างก็วิ่งสวนใจเด็ดลงตำหนักไป
มหาเหม็นรีบหันหน้าเข้าโต๊ะหมู่ที่มีเทพต่างๆ วางตั้งอยู่แล้วทำตัวสั่นเป็นผีเข้า
“โอม...ฮือ.....”
สรนุชกับสุบินงงกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ใจเด็ดเดินเข้ามาด้านหลังของมหาเหม็น แล้วจับไหล่
มหาเหม็นยิ่งตกใจ และยิ่งสั่นมากขึ้น “ฮือ...ข้าคือเทพไชยา”
ใจเด็ดหลุดขำ “แต่ผมคือใจเด็ด”
มหาเหม็นเคลิ้มสั่นมากขึ้นก่อนจะนึกได้ “ใจเด็ด” หันมองหน้าใจเด็ด “อ้าวเฮ้ย”
มหาเหม็นยิ้มแห้งให้ใจเด็ดที่จ้องหน้าเอาเรื่องอยู่

ครู่ต่อมามหาเหม็นพูดได้ไม่เต็มปากเต็มคำถูกซักเรื่องกัดปลา “แหม...ข้าก็คลายเครียดนิดหน่อย”
“แต่การกัดปลามันเป็นการทารุณสัตว์นะมหา” ใจเด็ดบอก
“เออ...ข้าขอโทษ” มหาเหม็นเหล่มองสรนุชกับสุบินที่อยู่ด้านหลัง แล้วกระซิบถามใจเด็ด “คราวนี้ผีอะไรอีกวะ”
แม้มหาเหม็นจะกระซิบแต่สรนุชก็ได้ยินจึงรีบออกตัวก่อน
“เปล่าค่ะ...คือพวกเราจะมาถ่ายละครค่ะมหา”
มหาเหม็นงง
“คุณสรนุชกับคุณสุบินเขาอยากจะมาถ่ายละครที่หนองระบือของเรา...ก็เลยอยากจะพึ่งความกว้างขวางของมหาช่วยประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านเขาหน่อย” ใจเด็ดอธิบาย
“ใช่ครับ...คือพวกเราต้องการให้ชาวบ้านทุกคนร่วมเล่นละครเรื่องนี้...แล้วพวกเราก็มาคิดว่า...ใครน้าที่จะสามารถพูดให้ชาวบ้านยอมเล่นละครกับเราได้...แล้วคำตอบก็คือมหาครับ” สุบินบิ้วท์อีกแรง
พอมหาเหม็นได้ยินอย่างนั้นก็ตัวแทบลอย
“ไม่มีปัญหา...ชาวบ้านชาวช่องแถวนี้นับถือฉันอย่างกับเทพเจ้า...พวกเจ้ามาหาถูกคนแล้ว” สรนุชกับสุบินยิ้มดีใจ “แล้วจะเริ่มถ่ายกันเลยมั้ย”


ไม่นานหลังจากนั้น ภาพในกล้องวิดิโอเห็นมหาเหม็นกำลังแนะนำตัวเอง โดยมีสุบินเป็นตากล้อง
“ผมชื่อเหม็น...อายุ 52 ปี...เกิดที่หนองระบือ”
สรนุชยืนห่างออกไปคอยควบคุมคิวชาวบ้านที่ยืนรออยู่โดยมีใจเด็ดยืนอยู่ด้วย
“ทำไมต้องให้แนะนำตัวด้วย” ใจเด็ดสงสัย
“พวกเราจะได้รู้ไงว่าใครชื่ออะไรอาชีพอะไร...เวลาคัดเลือกบทจะได้หาบทที่เหมาะกับตัวเขาให้”
“แล้วอย่างมหานี่ต้องเล่นบทอะไร” ใจเด็ดซักอีก
“เดี๋ยวรอดูสุบินก็แล้วกัน”
สุบินกำลังดูมหาเหม็นผ่านกล้องวิดีโอ
“ถ้ามหาเหม็นสามารถเป็นคนอื่นได้...มหาเหม็นอยากเป็นใคร”
“ผมน่ะเหรอ..” มหาเหม็นนิ่งคิด “อืม...” แต่อายที่จะบอก “จะดีเหรอครับ” สุบินพยักหน้าให้พูดไปเลย “ผมอยากเป็น...เป็น...เอ่อ...เป็นองค์ตั๊กครับ”
ทุกคนอึ้งเมื่อได้ยินมหาเหม็นพูดออกมาอย่างนั้น สุบินถึงกับต้องกลั้นหัวเราะเอาไว้
“อ๋อ...องค์ตั๊กเรื่องตุ๊กตาทองน่ะเหรอ...ไหนมหาลองทำให้ดูหน่อยซิครับ”
“จะดีเหรอคุณ”
“เอาซิ...เป็นนักแสดงมันต้องทำลายกำแพงความอายก่อน...แอ๊คชั่น”
มหาเหม็นนิ่งไปก่อนจะตัดสินใจทำท่าร่ายมนต์ยึกยือเป็นองค์ตั๊ก
พอมหาเหม็นเริ่มร่ายมนต์ก็หมดอาย ทำท่าองค์ตั๊กจนชาวบ้านต่างตกตะลึง สรนุชกับใจเด็ดหน้าเจื่อนไม่คิดว่าคนที่ชาวบ้านนับถือจะเป็นแบบนี้

จากนั้นถึงคิวชาวบ้านต่างแนะนำตัวต่อหน้ากล้อง แต่ละคนงัดลีลาที่ใฝ่ฝันออกมาอวด
“ผมทองก้อน...อายุ 45 ...ฝันอยากเป็นไอ้คล้าวครับ...โธ่...ทองกวาว...ตอนนี้เจ้าอยู่บางกอก...คงลืมสิ้นถึงรักเรา”
“อิฉันชื่อบัวผัน อายุ 38 ...อยากเป็นอาภาพรคะ...เชพบ้ะๆๆๆ” หญิงชาวบ้านแนะนำตัวหน้าระรื่น
มาที่ชาวบ้าน 3 ซึ่งเป็นคนติดอ่าง “ผะผะผะผม...ชะชะชื่อ...ดะดะเดช...ยะยะอยากปะปะเป็น...คะคนพากษ์บอลคะครับ...บะบะบางกอกกลาสละละเลี้ยงปะไป”
สุบินกับสรนุชสีหน้าเหนื่อย

เวลาเดียวกันช่อผกากำลังแต่งหน้าเติมสวยเตรียมเป็นดาราหน้ากล้อง ช่อผกาติดขนตายาวราวกับกันสาด แก้มก็ชมพูแป๊ด ปากแดงแจ๋
“หนูสวยหรือยังพ่อ”
ช่อผกาหันมาถามชาญณรงค์ก่อนจะถอนหายใจ
ช่อผกาพ่อ...หนูว่าพ่อถอดก่อนดีมั้ย
เวลานั้นสมคิดกำลังช่วยชาญณรงค์ใส่ชุดทหารเต็มยศรัดติ้ว เพราะไม่ได้ใส่มานาน
ชาญณรงค์สูดหายใจสั้นๆ เพราะหายใจยาวไม่ได้ “ไม่...พ่อจะรอจนกว่าพวกนั้นจะมา...” แล้วหันไปว่าสมคิด “เร็วๆ ซิวะไอ้นี่...อยากวิดพื้นหรือไง”
“โห...ผมว่าตัดชุดใหม่ยังจะง่ายกว่านะนาย” สมคิดแนะ
“เถียงเหรอไอ้คิด...วิดพื้นสามสิบครั้ง...ปฏิบัติ” ชาญณรงค์สั่งขึงขัง
“อ้าว...” สมคิดอึ้ง
ชาญณรงค์ย้ำ “ปฏิบัติ”
สมคิดรีบวิดพื้นเสียงดังฟังชัด
“พวกนั้นจะมากี่โมงก็ไม่รู้...เดี๋ยวได้เป็นลมก่อนหรอกพ่อ”
ชาญณรงค์ฉุนที่ถูกปรามาส “เป็นลม...? หึ...ไม่มีทาง...สมัยก่อนพ่อถือปืนยืนยามถึงเช้ายังไม่เป็นไรเลย..” น้ำเสียงมุ่งมั่นมากๆ “ชายชาติทหารต้องมีวินัยและอดทน”
ชาญณรงค์ยืนตัวตรงคอตั้งบ่า ช่อผกามองแล้วส่ายหน้าแล้วหันไปแต่งหน้า ที่เข้มอยู่แล้วต่อ

เหตุการณ์ที่สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ อรอนงค์เดินมาเมียงมองอยู่ที่คอกพ่อพันธุ์ อรอนงค์มองซ้ายมองขวาพอไม่เห็นใครก็ค่อยๆเดินเข้าไปในคอก
อรอนงค์ค่อยๆ เดินถอยหลังเข้ามาในคอก ในขณะที่เกริกไกรกำลังนั่งคุกเข่าตรวจดูมูลของพ่อพันธุ์อยู่ อรอนงค์ที่มัวแต่มองไปที่หน้าประตูคอกอย่างระแวดระวังทำให้ไม่เห็นเกริกไกรที่กำลังนั่งอยู่
ทันใดนั้นอรอนงค์ก็ชนเข้ากับเกริกไกรจนเสียหลัก “ว้าย”
“ระวังครับคุณอร”
เกริกไกรพยุงร่างของอรอนงค์ไว้ได้ทันก่อนที่อรอนงค์จะล้ม อรอนงค์ตกใจเมื่อเห็นเกริกไกร
“หมอ..! หมอมาทำอะไรที่นี่คะ”
“ผมมาตรวจดูมูลของเจ้าพวกนี้ดูว่ามีตัวไหนไม่สบายหรือเปล่าน่ะครับ...” เกริกไกรนึกได้ “จริงซิ...เห็นเจนบอกว่าคุณอรไม่ค่อยสบายเหรอครับ”
“เอ่อ...ค่ะ...อรแค่รู้สึกปวดหัวนิดหน่อย...แต่ตอนนี้ค่อยยังชัวร์ขึ้นแล้วค่ะ”
“แล้วมีไข้หรือเปล่าครับ...ขอผมดูหน่อย”
ว่าแล้วเกริกไกรก็เอามือที่จับมูลควายมาอังที่หน้าผากของอรอนงค์ แต่อรอนงค์ห้ามเอาไว้ทัน
“เอ่อ..หมอเพิ่งจับ...” อรอนงค์ชี้ไปที่กองมูลควาย “...มาไม่ใช่เหรอคะ”
เกริกไกรนึกขึ้นได้ “อุ้ย...จริงด้วย...ขอโทษครับ...แหม...ผมเกือบทำให้หน้าคุณอรเลอะซะแล้ว...แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ..ถึงจะเลอะยังไง...คุณอรก็ยังสวยอยู่ดี”
อรอนงค์ยิ้มหน้าเจื่อนๆ “เอ่อค่ะ”
“แล้วนี่คุณอรเข้ามาในนี้ทำไมครับ...นี่ถ้าไอ้เด็ดมันรู้ว่าคุณอรเข้ามามันต้องโกรธแน่ๆ เลย”
“คือ...ฉันจำได้ว่าก่อนที่พวกเราจะกลับ...เจ้าเพชรฉายไม่สบาย...ฉันก็เลยอยากรู้ว่ามันหายหรือยัง” อรอนงค์พูดปดอีก
“แหม..จิตใจคุณอรช่างดีเหมือนหน้าตาจริงๆครับ...ถ้าผมไม่สบายบ้าง...คุณอรจะเป็นห่วงผมเหมือนที่ห่วงไอ้เพชรฉายหรือเปล่าครับ”
“เอ่อ...ก็..ก็คงห่วงแหละค่ะ...แล้วตกลงเพชรฉายเป็นยังไงบ้างคะ”
“โอ๊ย...แข็งแรงพร้อมทำหน้าที่ของมันแล้วครับ”
อรอนงค์อึ้งปนงง “หน้าที่..?”
“ก็รีดน้ำเชื้อไงครับ...” เกริกไกรมองไปรอบๆ แล้วทำท่ากระซิบ “ตอนนี้ไอ้เด็ดไม่อยู่...คุณอรอยากเห็นการรีดน้ำเชื้อควายมั้ยครับ”
อรอนงค์ดีใจ “จริงเหรอคะ”
เกริกไกรยิ้มให้แทนคำตอบ

ด้านเจนจิรานั่งทำงานอยู่ในห้องคนเดียว เจนจิราออกอาการหงุดหงิดโดยไม่รู้ตัว
“ทำไมหัวหน้าต้องพาไปด้วย...หึ”
ระหว่างนั้นสมหญิงเปิดประตูเข้ามาในห้องพอดี “คุณเจนคะ”
เจนจิรารีบปรับสีหน้าและอารมณ์ “ว่าไงสมหญิง”
“คือ...ขนมควายมันใกล้หมดแล้วค่ะ...สมหญิงจะมาขอเบิกเงินไปซื้อมาตุนเอาไว้น่ะค่ะ”
เจนจิรานิ่งไปก่อนจะตัดสินใจปิดแล้วลุกขึ้น
“งั้นเดี๋ยวฉันออกไปซื้อเอง”
“จะดีเหรอคะ...ให้สมหญิงไปซื้อให้ก็ได้ค่ะ”
“ไม่เป็นไร...ฝากดูทางนี้ด้วยแล้วกัน”
ว่าแล้วเจนจิราก็หันไปหยิบกุญแจมอเตอร์ไซค์ก่อนจะรีบเดินออกไป สมหญิงมองตามอย่างแปลกใจ
“ทุกทีก็ไม่เห็นจะออกไปซื้อนี่...?”

เวลาผ่านไปเกริกไกรกับอรอนงค์ยืนอยู่ที่ลานกว้าง ข้างหน้าเห็นอุปกรณ์ชนิดหนึ่งคล้ายขาหยั่งแต่ใหญ่กว่ามาก ไม่นานภิรมย์กับสมหญิงก็จูงเจ้าเพชรฉายออกมา ก่อนจะจูงมันไปที่แท่งเหล็ก
“พร้อมแล้วหมอ” ภิรมย์ร้องบอก
อรอนงค์ที่ยืนอยู่กับเกริกไกรทำหน้าปูเลี่ยนด้วยความเขิน
เกริกไกรหันมาถาม “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“เอ่อ...มันน่ากลัวหรือเปล่าคะ”
“ไม่น่ากลัวหรอกครับ...ก็เหมือน” เกริกไกรกระดากปากที่จะพูดออกมา “เอ่อ...ผมว่าเดี๋ยวคุณอรดูเองดีกว่า...แป๊ปเดียวครับ”
ว่าแล้วเกริกไกรก็หันไปหยิบอุปกรณ์ ในขณะที่อรอนงค์ทำหน้าไม่ถูก ระหว่างนั้นสมหญิงเดินเข้ามาบอก
“หมอคะ...วันนี้เพชรฉายมันดูแปลกๆ นะคะ...ดูมันไม่มีอารมณ์ยังไงไม่รู้”
เกริกไกรมองไปที่ภิรมย์พยายามจูงควายตัวเมียเดินวนอยู่หน้าเจ้าเพชรฉาย แต่เห็นเพชรฉายไม่ได้อาการอะไรเลย
“นั่นซิ”
อรอนงค์สงสัย “มีอะไรเหรอคะ”
“เพชรฉายมันไม่มีอารมณ์น่ะครับ...” เกริกไกรมองหน้าอรอนงค์แล้วนึกขึ้นได้ “คุณอรครับ...งานนี้ผมต้องพึ่งคุณอรแล้วละครับ”

ไม่นานหลังจากนั้น อรอนงค์กำลังทำหน้าเซ็กซี่สุดฤทธิ์
“แค่นี้พอหรือยังคะ”
เกริกไกร ภิรมย์ และสมหญิงที่ยืนอยู่ตรงแท่นกำลังลูบไล้เจ้าเพชรฉาย
เกริกไกรเห็นอรอนงค์ทำท่าเซ็กซี่ก็ถึงกับตะลึงค้างจนสมหญิงต้องร้องเตือน
“หมอคะ...คุณอรแกทำให้ควายดูค่ะ”
เกริกไกรสะดุ้งรู้สึกตัว “เอ่อ...รู้แล้วน่า...คุณอรลองหันอีกข้างแล้วลองขบฟันนิดๆ ซิครับ”
อรอนงค์ทำตามที่เกริกไกรบอก ทุกคนเห็นเจ้าเพชรฉายเริ่มออกอาการกระฟัดกระเฟียด
ภิรมย์ร้องออกมา “ได้ผลแล้วหมอ...มันมาแล้ว”
เกริกไกรดีใจ “เยี่ยมมากเลยครับคุณอร...พร้อมนะ”
อรอนงค์เห็นว่าทุกอย่างพร้อมก็ไม่ลืมหน้าที่ของตัวเองที่สรนุชมอบหมาย
“เดี๋ยวก่อนค่ะ”
อรอนงค์รีบหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นเปิด กว่าจะเสร็จหน้ากล้องกว่าจะเลือกโหมด พออรอนงค์ยกกล้องขึ้นก็เห็นเกริกไกร ภิรมย์ สมหญิงพาเจ้าเพชรฉายลงจากแท่นแล้ว
อรอนงค์งง “อ้าว...จะพาเพชรฉายไปไหนคะ”
เกริกไกรเดินถือแท่งแก้วภายในมีของเหลวสีขาวขุ่นเดินเข้ามา
“ให้มันไปพักผ่อนน่ะครับ”
“พักผ่อน..? เสร็จแล้วเหรอคะ”
“ใช่ครับ...บอกแล้วไงครับว่าแป๊ปเดียว...ทำไมเหรอครับ”
“เอ่อ...เปล่าค่ะ”
อรอนงค์ทำหน้าไม่ถูกทั้งดีใจที่ไม่ได้เห็นภาพอุจาด แต่อีกใจก็เสียดายที่ไม่ได้เก็บภาพตอนสำคัญ

ส่วนเจนจิราขับมอเตอร์ไซค์มาตามทาง โดยหอบหิ้วเอาขนมควายมาด้วย
ระหว่างนั้นเจนจิราเหลือบไปเห็นรถของสรนุชที่จอดอยู่ เจนจิราจอดรถมองรถของสรนุชด้วยความสงสัย
“มาทำอะไรแถวนี้”
เจนจิรามองไปรอบๆ ด้วยความสงสัย

พอเสร็จงานมหาเหม็นก็เลี้ยงข้าวใจเด็ด สรนุช และสุบิน
“แหม...ไม่คิดว่าการแสดงมันจะสนุกอย่างนี้เนอะ” มหาเหม็นว่า
“เห็นมั้ยละคะว่าไม่มีอะไรยากเลย...แล้วอีกอย่างถ้ามหาอยากเอาดีเรื่องการแสดงรับรองว่าต้องรุ่งแน่นอน”
สุบินพยายามสะกิดสรนุช
“แกจะบ้าเหรอไปพูดให้ความหวังอย่างนั้นเดี๋ยวก็ยุ่งหรอก”
“ไม่ต้องห่วงน้า...ฉันจัดการได้...เอ่อ...ได้ข่าวว่ามหาเหม็นชอบเลี้ยงควายเหรอคะ”
ใจเด็ดได้ยินที่สรนุชถามก็รู้สึกสะดุดหูทันที
“ใช่...หนูรู้ได้ยังไง”
“เดี๋ยวๆ...เรื่องมหาเขาเลี้ยงควายมันเกี่ยวอะไรกับละครที่คุณมาถ่าย”
“ทำไม...ฉันถามเป็นข้อมูลไม่ได้หรือไง..” สรนุชหันไปถามมหาเหม็นต่อ “แล้ว...”
ใจเด็ดวางช้อนก่อนจะลุกขึ้นแล้วดึงสรนุชให้ลุกตาม
“มานี่”
“เดี๋ยวก่อนซิ...จะทำอะไรน่ะ”
“มาคุยกับผมหน่อย” ใจเด็ดพูดกับมหาเหม็นและสุบิน “โทษนะครับ...คุณนุชเขาลืมของไว้ที่รถน่ะครับ” แล้วดึงสรนุชไป “มานี่”
ใจเด็ดดึงสรนุชลุกจากวงข้าว สรนุชโวยวาย สุบินกับมหาเหม็นมองตามอย่างงงๆ


ใจเด็ดดึงสรนุชลงมาที่บันไดหน้าบ้าน สรนุชสะบัดมือใจเด็ดออก
“นี่...ฉันเจ็บนะ...นายเป็นบ้าอะไรของนาย”
“คุณกำลังทำอะไร...ไหนบอกว่าจะมาถ่ายละครไหงวกเข้าเรื่องควายได้”
สรนุชอึกอักคิดหาเหตุผลไม่ทัน แล้วสรนุชก็แสร้งทำเป็นโมโหกลบเกลื่อน
“ทำไม...ทุกอย่างที่เกี่ยวกับควายฉันจะพูดบ้างไม่ได้หรือไง...หรือว่านายสงวนลิขสิทธิ์พูดได้คนเดียว...ควายๆๆๆๆ”
สรนุชทำเป็นโมโหแล้วทำเป็นหันหลังจะเดินขึ้นบนบ้าน ใจเด็ดคว้าข้อมือเอาไว้
“นี่คุณ...ผมยังไม่ได้ว่าอะไรคุณเลย”
แต่แล้วด้วยแรงกระชากของใจเด็ดทำให้สรนุชเสียหลัก ร่างของสรนุชค่อยๆ เซจะตกบันได
“ว้าย” สรนุชร้องลั่น
ใจเด็ดตกใจ “เฮ้ย”
ใจเด็ดรีบใช้ตัวเองขวางร่างของสรนุชและรับร่างของเธอไว้ได้ทัน
เมื่อทุกอย่างสงบนิ่ง สรนุชและใจเด็ดต่างก็นิ่งงันไปเมื่อทั้งสองกอดกัน ใบหน้าห่างกันไม่เกินคืบ
“เอ่อ...คุณไม่เป็นไรนะ”
“คิดว่าฉันเป็นไร...ปล่อย”
สรนุชผลักอกใจเด็ดออกก่อนจะรีบเดินขึ้นบ้านมหาเหม็นไป ใจเด็ดมองตามความรู้สึกบางอย่างเริ่มก่อตัวภายในใจ ก่อนจะเดินตามสรนุชขึ้นไป ทั้งคู่ไม่รู้ว่าระหว่างนั้นเจนจิรานั่งอยู่บนมอเตอร์ไซค์ เห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมด
เจนจิราสีหน้าเครียดลงทันที

สรนุชเดินเข้ามานั่งที่วงข้าวตามเดิม ก่อนจะเห็นใจเด็ดเดินตามเข้ามา
“แหม...ผมกำลังคุยติดลมกับคุณสุบินอยู่เลย...เออ...เมื่อกี้หนูถามเรื่องควายใช่มั้ย”
สรนุชเหล่มองใจเด็ดนิดหนึ่ง ใจเด็ดนิ่งไม่อยากขัด “ค่ะ...ได้ข่าวว่ามหาเลี้ยงควายไว้เยอะเหรอคะ”
“ใช่...ตอนนี้ก็เป็นร้อยตัวได้แล้วมั้ง”
สรนุชกับสุบินตะลึงอุทานขึ้นพร้อมกัน “เป็นร้อย”
“เอ่อ...แล้วมหาเลี้ยงไว้ที่ไหนคะ...เยอะขนาดนั้นต้องใช้พื้นที่เยอะแน่ๆ”
“เยอะอะไร...ผมเลี้ยงไว้ห้องโน่นน่ะ”
สรนุชกับสุบินถึงกับงงว่าควายเป็นร้อยอัดเข้าไปอยู่ในห้องได้ยังไง

มหาเหม็นเดินนำสรนุช และสุบินเข้ามาในห้อง ใจเด็ดเดินตามเข้ามาทีหลัง สรนุชมองไปรอบๆแล้วสงสัย
“ไหนควายละคะไม่เห็นมีซักตัว”
“อยู่นี่”
ว่าแล้วมหาเหม็นก็เดินเข้ามาที่มุมห้องที่มีผ้าคลุมปิดเอาไว้อยู่ ก่อนจะเห็นมหาเหม็นเปิดผ้าคลุมออก
สรนุชกับสุบินมองด้วยความตกใจก่อนจะอุทานออกมาพร้อมกัน
“ควายธนู”
มีควายธนูเป็นร้อยวางอยู่ที่มุมห้อง
“ใช่...แล้วพวกคุณคิดว่าควายอะไร”
สรนุชกับสุบินยิ้มเจื่อน


เจนจิราเดินถือถุงขนมความซึ่งก็คือเกลือแร่ก้อนเข้ามา ภิรมย์กับสมหญิงวิ่งเข้ามาช่วยเจนจิราถือ
สมหญิงยกขนมควายขึ้นดู “มาแล้ว...รับรองว่าคราวนี้เพชรฉายได้กลับมาคึกเหมือนเดิมแน่”
“มีอะไร...เพชรฉายทำไม”
“คุณเจนไม่เห็นเจ้าเพชรฉายวันนี้...ปกติมันนี่จะระริกระรี้เวลา...ฮึซๆ ใช่มั้ยครับ...แต่วันนี้แปลก...ไม่กระดิกซักแอะ...” ภิรมย์ว่า
“แต่พอมันเห็นคุณอรเท่านั้นแหละ...คึกยิ่งกว่าวัวกระทิงอีก...ชิ...ผู้ชายมันก็อย่างนี้แหละ...พอเห็นของใหม่ก็ลืมของเก่า”
คำพูดของสมหญิง ทำเอาเจนจิราสะดุดกึก พ่วงไปเกี่ยวเรื่องใจเด็ดกับสรนุช
“แน่นอน...เพิ่งรู้หรือไง”
เจนจิราปล่อยถุงเกลือแร่หล่นใส่เท้าภิรมย์ก่อนจะเดินหน้าบึ้งออกไป
“โอ๊ย...คุณเจนไหงปล่อยมาได้ครับ”
“สมน้ำหน้า...ไอ้ผู้ชายมักมาก” สมหญิงด่า


ที่บ้านผู้พันชาญณรงค์ ช่อผกาเตรียมพร้อมอยู่ในชุดเซ็กซี่เต็มยศยืนชะเง้อชะแง้อยู่ที่หน้าประตูบ้าน
“เมื่อไหร่จะมาเนี่ย”
ช่อผกาหงุดหงิดก่อนจะหันไปถามชาญณรงค์ที่ยืนอยู่
“พวกนั้นบอกว่าจะมาวันนี้แน่นะพ่อ”
ชาญณรงค์ในชุดทหารรัดติ้วยังยืนอยู่ที่เดิม ชาญณรงค์หน้านิ่งไม่ตอบช่อผกา
“พ่อ...เลิกเก๊กได้แล้ว...ถ้าพวกนั้นยังไม่มาหนูขึ้นไปเปลี่ยนชุดแล้วนะพ่อ”
ชาญณรงค์นิ่งไม่พูดไม่จา
ช่อผกาเข้าไปเขย่าตัว “พ่อ”
ทันทีที่ช่อผกาโดนตัวชาญณรงค์ ชาญณรงค์ก็หงายหลังล้มตึงทันที
“ว้าย..! พ่อ..!”
ชาญณรงค์นอนพะงาบๆ อยู่ที่พื้น “ถอดเสื้อให้พ่อที...พ่อหายใจไม่ออก”
“นายหายใจไม่ออก...งั้นปล่อยเป็นหน้าที่ผมครับ”
สมคิดจับปากผู้พันชาญณรงค์อ้าออก ชาญณรงค์ตาโตตกใจ ทันใดนั้นสมคิดก็ก้มลงผายปอดให้กับชาญณรงค์แบบเม้าท์ทูเม้าท์
ชาญณรงค์ร้องอู้อี้ๆ “อู้ๆๆๆ”

ช่อผกาเองก็ตกใจ เมื่อเห็นชาญณรงค์ดิ้นพล่าน ไม่รู้ว่าพ่อหายใจไม่ออกหรือว่าเหม็นปากสมคิดกันแน่

อ่านต่อหน้า 2 เวลา 17.00 น.




กระบือบาล  ตอนที่ 5 (ต่อ)

เห็นสรนุชกับสุบินออกไปนาน อรอนงค์อยู่บนเรือนรับรองคนเดียว มองไปยังหน้าบ้านรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ

“เมื่อไหร่จะกลับเนี่ย...ฉันหิวจะตายแล้ว”
อรอนงค์หิวจนท้องกิ่วเดินงุ่นง่านไปมา ระหว่างนั้นอรอนงค์เหลือบไปเห็นกล้วยเป็นหวีวางอยู่ อรอนงค์ตรงรี่เข้าไปที่กล้วยแล้วเด็ดขั้วจะกิน แต่แล้วอรอนงค์ก็นึกถึงภาพเมื่อตอนกลางวัน เลยรีบปล่อยกล้วยไว้ที่เดิม
“อี๋...ไม่น่าไปดูเลยเรา...ติดตาเลย”
ระหว่างนั้นเสียงของสรนุชดังขึ้น “คนบ้าอะไรกลัวกล้วย”
อรอนงค์ได้ยินหันมาเห็นสรนุชกับสุบินก็ดีใจ
“ไปถึงไหนกันมา...”
“ถึงไหนละ...ก็ถึงบ้านมหาเหม็นที่เธอบอกว่ามีควายเยอะไง”
“เหรอ...แล้วควายเยอะอย่างที่ข้อมูลที่ฉันให้ไปหรือเปล่า”
“เยอะ...แต่ควายธนูนะ”
“ควายธนู”
“เออ...” สรนุชเอานิ้วจิ้มหัวอรอนงค์ “ทีหลังน่ะหาข้อมูลให้มันแน่หน่อย”
“เอ้า...ก็คราวที่แล้วที่ฉันถามพวกชาวบ้านเขาว่าอย่างนั้นนี่...ใครจะไปรู้เล่า”
ระหว่างนั้นสุบินทิ้งตัวลงนั่งอย่างเมื่อยขบ
“แต่ก็ถือว่าไม่เสียเที่ยวหรอกน่า...ยังไงการที่เราเข้าไปทำความรู้จักกับมหาเหม็นก็น่าจะช่วยเราเข้ากับชาวบ้านได้...แกเองนั่นแหละนุชที่ไม่ระวัง”
“ไม่ระวังอะไร” สรนุชงง
“เอ้า...ก็อยู่ๆไปถามเรื่องควายมหาเหม็นซะงั้น...เห็นมั้ย...ดีนะที่คุณใจเด็ดเขาไม่ติดใจอะไร...ว่าแต่ที่เขาดึงแกออกไปคุยน่ะ...คุยอะไรกัน”
สรนุชนิ่งงันไปนึกถึงภาพเมื่อตอนกลางวันตอนที่ใจเด็ดช่วยเธอเอาไว้ไม่ให้ตกบันได
สรนุชรีบเสพูดกลบเกลื่อน “ไม่มีอะไร...เอ่อ...เขาก็แค่...แค่” สรนุชนึกข้ออ้างไม่ออก “แค่บอกฉันว่าบทที่ให้มหาเหม็นเล่นน่ะเขาขอเล่นได้มั้ย”
“คุณใจเด็ดเนี่ยนะขอเล่น..?” สุบินไม่ค่อยเชื่อนัก
สรนุชหลบตาสองเพื่อนซี้ “เออ...เลิกคุยเรื่องนี้ซะที...ฉันไปอาบน้ำก่อนจะได้ไปกินข้าวกัน”
สรนุชทำหงุดหงิดเดินออกไป สุบินกับอรอนงค์มองตามอย่างงงๆ


ค่ำคืนนั้นทุกคนนั่งล้อมวงกันภายในโต๊ะอาหารที่ลานอเนกประสงค์เช่นเดิม เจนจิราแอบมองใจเด็ดที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม ใจเด็ดเหลือบตาขึ้นมาพอดี ทำให้เจนจิรารีบหลบตา
ระหว่างนั้นสรนุช อรอนงค์และสุบินเดินเข้ามาที่โต๊ะอาหาร ใจเด็ดเหล่มองสรนุช สรนุชทำเชิดหน้านิ่ง
“มาแล้ว...เชิญเลยครับคุณอร”
เกริกไกรลุกขึ้นเลื่อนเก้าอี้ให้อรอนงค์ พออรอนงค์ลงนั่ง เกริกไกรก็ลงนั่งข้างๆตาม สรนุชเลยถูกบังคับให้ไปนั่งใกล้ใจเด็ดที่เก่าของเกริกไกร
“นุชเล่าให้ฟังว่าคุณใจเด็ดอยากเล่นละครเหรอคะ”
สรนุชตกใจเพราะไม่คิดว่าอรอนงค์จะถาม “อร ! เวลาทานข้าวเขาห้ามคุยไม่รู้หรือไง”
ใจเด็ดชะงักมือที่กำลังจะตักอาหาร
“ใครบอกนะครับ”
“นุชไงคะ...นุชบอกว่าคุณใจเด็ดขอบทที่จะให้มหาเหม็นเล่น”
“เอ่อ...คือว่า”
ใจเด็ดเหลือบมองสรนุชแล้วก็คิดว่าสรนุชคงไม่อยากบอกเรื่องเมื่อตอนกลางวัน ก็เลยสมอ้างตามน้ำ
“ครับ...ถ้ามีโอกาสผมก็อยากลองดู”
“ไม่ต้องลองเลยครับ...ผมว่าอย่างคุณใจเด็ดเนี่ยเป็นพระเอกได้เลย...แต่ติดตรงที่หานางเอกอยากซะหน่อย...แต่ถ้าเป็นนางร้ายนุชเขาคงได้อยู่” สุบินสัพยอก
“กินข้าวไปเลยแกน่ะ”
ใจเด็ดเหลือบมองสรนุช สรนุชทำหน้านิ่งไม่แสดงความรู้สึก ในขณะที่เจนจิราจับจ้องไปที่อาการของใจเด็ดกับสรนุชไม่วางตา
สรนุชแก้เกี้ยวด้วยการเอื้อมมือไปตักอาหาร โดยไม่ทันคาดคิดใจเด็ดก็เอื้อมมือมาตักอาหารที่จานเดียวกันทำให้ช้อนกระทบ ทั้งสองคนชะงักมือ
สรนุชดึงมือออกก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายเป็นจานอื่น แต่แล้วก็ชนเข้ากับช้อนของใจเด็ดอีก
“เชิญคุณก่อนดีกว่า”
สรนุชทำเชิดหน้าไม่ทำตามที่ใจเด็ดบอก ใจเด็ดเลยตักอาหารที่สรนุชจะตักแล้วตักให้สรนุช
“โห...นี่คุณนุชกับแกญาติดีกันตั้งแต่เมื่อไหร่” เกริกไกรแซวออกมา
“ญาติดีอะไรของแก”
“เอ้า...ตั้งแต่ฉันเป็นเพื่อนกับแกมา...ฉันยังไม่เคยเห็นแกตักอะไรให้ใครเลยนะเนี่ย”
ใจเด็ดอึกอัก ระหว่างนั้นเจนจิรากระแทกช้อนลุกขึ้น
“อ้าว...อิ่มแล้วเหรอครับ” สุบินถาม
“ค่ะ...ขอตัวก่อนนะคะ”
เจนจิราค่อมศรีษะให้กับทุกคนก่อนจะเดินหน้าบึ้งออกไป ใจเด็ดมองตาม รู้สึกว่าวันนี้เจนจิราแปลกๆ ไป

เจนจิราเดินหงุดหงิดมาตามทาง ระหว่างนั้นเสียงใจเด็ดดังขึ้นจากด้านหลัง
“เจน”
เจนจิราหยุดกึกก่อนจะหันมาเห็นใจเด็ดเดินเข้ามา เจนจิราอึ้งไม่คิดไม่ฝัน “หัวหน้า”
“พี่ยังไม่เห็นเธอทานอะไรจะอิ่มได้ยังไง”
“เอ่อ...เจนรู้สึกหนาวๆร้อนๆทานอะไรไม่ค่อยลงน่ะค่ะ”
เจนจิราก็ต้องอึ้งไปเมื่อใจเด็ดเอามือมาอังหน้าผาก
“ไม่สบายหรือเปล่า...ตัวอุ่นๆ นะ...ทานยายัง”
เจนจิรากระเถิบตัวออก อย่างงอนๆ “อย่าค่ะ...เจนไม่ใช่เด็ก...หัวหน้าไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ”
“ไม่ได้...มันเป็นหน้าที่ของพี่รหัสที่จะต้องดูแลน้องรหัสอย่างเรา”
“แต่เราจบมานานแล้วนะคะ”
“อ๋อ...พี่เพิ่งรู้ว่าความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องเราก็จบไปด้วย”
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ...คือเจนไม่เป็นไรจริงๆ...แค่กลับไปนอนก็คงดีขึ้น”
ใจเด็ดไม่เซ้าซี้ “ถ้างั้นก็พักผ่อนเยอะๆ...ถ้าสถานีนี่ขาดเธอไปคนคงยุ่งน่าดู”
“เอ่อ...งั้น...เจนไปนอนก่อนนะคะ”
“จ้ะ..”
เจนจิราก็รีบหันหลังเดินจากไป ใจเด็ดมองตามด้วยความเป็นห่วงก่อนจะเดินจากไปเช่นกัน

เจนจิราหยุดก่อนจะหันกลับมามองใจเด็ดด้วยสายตาของคนที่แอบรักอย่างเต็มหัวใจ

เวลาต่อมาสรนุช สุบิน และอรอนงค์เดินขึ้นมาบนเรือนรับรอง
“ฉันว่าคุณใจเด็ดกับคุณเจนจิราต้องมีความสัมพันธ์มากกว่าเพื่อนร่วมงาน”
สรนุชได้ยินก็ชะงักฟัง
“อีกละ...วิเคราะห์อีกละ” อรอนงค์หน่าย
“อ้าว...หรือไม่จริง...ไม่งั้นไม่ตามออกขนาดนั้นหรอก...หรือแกว่าไงนุช”
สรนุชฟังด้วยความรู้สึกตะหงิดๆ ในใจ สุบินเห็นสรนุชนิ่งไป
“นุช...”
สรนุชรีบตัดเรื่องใจเด็ดออกก่อนจะวกเข้าเรื่องงาน “อะไร...ฉันกำลังคิดว่าพรุ่งนี้เรื่องพรุ่งนี้อยู่”
พูดจบสรนุชก็เดินเข้าไปหยิบแผ่นชาร์ทขึ้นมาก่อนจะหยิบปากกาขีดชื่อมหาเหม็นทิ้ง
“ตอนนี้...คนที่เรายังไม่รู้จักว่าเขาเป็นใครก็คือ...”
สรนุชวงกลมไปที่ชื่อ...ครูสีดา
“ครูสีดาเป็นครูอาสาที่หลงรักหนองระบือจนมาลงหลักปักฐานที่นี่”
อรอนงค์กำลังจะบอกข้อมูลต่อ “ครูสีดามีอีกชื่อนึงว่า...”
“พอเลยคุณอร...เดี๋ยวจะเหมือนเรื่องมหาเหม็นอีก...พูดเรื่องไก่แต่ไปออกเรื่องไข่...พรุ่งนี้...เป้าหมายของเราคือ...ครูสีดา”
แววตาของสรนุชมุ่งมั่นยิ่งนัก

สรนุชเก็บเอาเรื่องครูสีดามาคิด จนฝันถึงเป็นตุเป็นตะ โดยในเวลาตอนกลางวันครูสีดาอยู่ที่โรงเรียนกำลังหันมาทางสรนุช ด้วยคาแรคเตอร์คล้ายกับอาจารย์แม่ และกำลังคาดคั้นสรนุช
“เธอกำลังหลอกใช้ครูใช่มั้ย”
สรนุชอยู่ในชุดนักเรียนยืนกอดอกอยู่หน้าชั้นเรียน โดยมีครูสีดาถือไม้เรียวยืนคาดคั้นอยู่
“ไม่ใช่นะคะครูสีดา...คือหนูเห็นว่าชาวบ้านเขาให้ความนับถือครู...หนูก็เลย” สรนุชแก้ตัว
สรนุชพูดไม่ทันจบ ครูสีดาก็หวดไม้เรียวลงไปที่ก้นสรนุช...ป้าป !
“โอ๊ย...! ฟังหนูก่อนค่ะครู”
“ไม่ต้องมาโกหกฉัน...จะบอกไม่บอกว่าเธอมีแผนอะไร” ครูสีดาถาม
สรนุชกอดอก ตัวสั่น “ไม่มีค่ะ...หนูไม่มีแผนอะไรเลย”
“นักเรียนปากแข็งอย่างเธอต้องเจอนี่...”
ว่าแล้วครูสีดาก็โยนไม้เรียวทิ้ง ก่อนจะหันไปหยิบไม้หน้าสามขึ้นมาแทน สรนุชตาโตตกใจ
“อ้าก...”

ถึงตรงนี้สรนุชสะดุ้งตื่นที่โต๊ะทำงานที่เธอเผลอหลับไป สรนุชหอบเหนื่อยเพราะฝันร้าย หันไปมองรอบๆ เห็นอรอนงค์หลับสบายอยู่บนที่นอน ก็รู้สึกโล่งอกที่ทุกอย่างเป็นแค่ฝันไป
สรนุชนั่งนึกทบทวนถึงความฝัน “ไม่มั้ง...ครูสีดาทิ้งทุกอย่างมาอยู่ที่นี่ต้องเป็นคนที่จิตใจดีซิ”
สรนุชเริ่มสงบลงหลังจากที่พูดปลอบใจตัวเองเรียบร้อย
สรนุชกังวลขึ้นมาอีก “หน้าตาครูสีดาเป็นไงก็ไม่รู้...” นิ่งคิด “จริงซิ..!”
สรนุชคิดแผนบางอย่างขึ้นมาได้

รุ่งเช้าวันต่อมาใจเด็ดเดินออกมาจากบ้านพักสูดอากาศยามเช้าด้วยความสดชื่น
ระหว่างนั้นใจเด็ดทำจมูกฟุดฟิดได้กลิ่นเหม็นไหม้
“กลิ่นไหม้..?”
ใจเด็ดมองไปรอบๆ แล้วใจเด็ดก็เห็นควันบางๆ ลอยกรุ่นขึ้นมาจากโรงครัวสถานีนั่นเอง

เวลานั้นภิรมย์กับสมหญิงกำลังช่วยกันดับไฟในห้องครัว
“เอาน้ำมาเร็ว...เร็วซิไอ้อ้วน” สมหญิงเร่ง
ภิรมย์หิ้วถังน้ำเข้ามา
สมหญิงสั่ง “สาดเลย..”
เสียงสาดน้ำดังตูม! ภิรมย์สาดน้ำสุดแรงเกิด แต่ไม่โดนกลุ่มควัน คนที่โดนคือสมหญิงที่ยืนขวางทางน้ำ สมหญิงจึงรับน้ำไปเต็มๆ
ระหว่างนั้นใจเด็ดวิ่งเข้ามา “เกิดอะไรขึ้น”
“ไม่รู้เหมือนกันครับ...พวกเราตื่นมาเพราะได้กลิ่นไหม้...พอเข้ามาที่ครัวก็เห็นควันโขมงอย่างนี้แหละครับหัวหน้า”
ใจเด็ดเดินฝ่ากลุ่มควันเข้ามาที่เตาถ่าน เห็นร่องรอยการทำกับข้าวและหุงข้าวเอาไว้
ด้วยสมมุติฐานที่เห็นใจเด็ดเอ่ยขึ้น “มีคนเข้ามาจุดเตา”
“จุดเตา..?” สมหญิงประหลาดใจ เช่นเดียวกับภิรมย์

ข้อสงสัยของใจเด็ดถูกต้อง และเวลานี้ข้าวไข่เจียวอยู่ในมือของสรนุชก็เป็นหลักฐานว่าเธอนั่นเองที่เป็นคนจุดเตาทำอาหาร แต่เห็นชัดว่าไข่เจียวของสรนุชไหม้ดำปิ๊ดปี๋!
เนื้อตัวของสรนุชยังมีเขม่าดำ ร่องรอยควันไฟติดทั่วใบหน้า ขณะชะเง้อมองไปทางทุ่งนาแล้วหาวหวอดเพราะตื่นเช้า ระหว่างนั้นเสียงหลวงพ่อดังขึ้น
“ใส่บาตรหรือเปล่าโยม”
“เอ๊ย”
สรนุชหันมาแล้วตกใจเมื่อเห็นหลวงพ่อยืนอุ้มบาตรอยู่
“หลวงพ่อมาเมื่อไหร่คะ”
“อาตมาเดินมาจากทางโน้น” หลวงพ่อหันไปทางที่สรนุชไม่ได้มอง
แต่แล้วหลวงพ่อก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นข้าวไข่เจียวดำปึ้ดที่สรนุชถืออยู่
“นั่นคงไม่ได้เอามาใส่บาตรใช่มั้ยโยม”
สรนุชรีบอวด “ทำไมเหรอคะ...นี่ข้าวไข่เจียวสูตรกรุงเทพฯเลยนะคะ”
สรนุชลงนั่งคุกเข่าก่อนจะลุกขึ้น หลวงพ่อเปิดบาตรทำหน้าปะเลี่ยน...คิดในใจมื้อนี้ต้องฉันไข่เจียวไหม้ใช่มั้ยเนี่ย
“อายุ...วัณโณ...สุขขัง..พะลัง”
หลวงพ่อปิดบาตรกำลังจะเดินออก สรนุชเรียกเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนค่ะหลวงพ่อ”
หลวงพ่อใจหาย “อย่าบอกว่ามีกับข้าวสูตรกรุงเทพฯอีกนะโยม”
“เอ่อ...ไม่ใช่คือ...คือ...หนูขอถามอะไรหลวงพ่อหน่อยได้มั้ยคะ”
“เจริญพร ได้ซิ”
“หลวงพ่อรู้จักครูสีดาใช่มั้ยคะ”
“รู้จักซิ...ครูสีดาแกเป็นคนดี...แล้วโยมถามถึงครูสีดาทำไม”
“พอดีหนูได้ยินมาอย่างที่หลวงพ่อแหละคะว่าครูแกเป็นคนดี...หนูก็เลยอยากไปไหว้ครูแกหน่อย...ไม่ทราบว่าหลวงพ่อพอจะทราบมั้ยคะว่าครูสีดาอยู่ไหน”
สรนุชสมใจผุดยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาขณะรอฟังคำตอบจากปากหลวงพ่อ

เวลาเดียวกันในครัวของสถานียังคงวุ่นวายอยู่ เพราะจู่ๆ มีไฟลุกพรึ่บขึ้นในถังขยะข้างเตาอีก ทำเอาใจเด็ด ภิรมย์ สมหญิงที่กำลังปัดไล่ควันในโรงครัวตกใจ
“ว้ายๆๆ ไฟลุกอีกแล้ว”
ภิรมย์เงื้อผ้าในมือ
ใจเด็ดร้องห้ามไว้ “อย่าภิรมย์”
ใจเด็ดห้าม แต่ไม่ทัน ภิรมย์ใช้ผ้าในมือตบไปที่ถังขยะ ทำเอาถังขยะล้มกลิ้งลง พร้อมกับผ้าในมือภิรมย์ดันติดไฟลุกพรึ่บขึ้นด้วย
“เหว๋อ”
ภิรมย์ทิ้งผ้าลงพื้น กระโดดกระทืบๆ ดับไฟวุ่นไปหมด ใจเด็ดถอนใจอย่างอ่อนใจ
ขณะที่ถังขยะก็กลิ้งไปมาพร้อมไฟที่ลุกสูงโหมแรงขึ้น สมหญิงหันไปคว้าถังน้ำสาด แต่ไฟไม่ดับ
“อ๊ายๆ...มันไม่ยอมดับอ่ะ”
ใจเด็ดขัดขึ้น “หลบไปสมหญิง ฉันจัดการเอง”
ว่าแล้วใจเด็ดใช้เท้ายันให้ถังขยะหยุดกลิ้ง เตะพลิกให้ถังตั้งขึ้นมาดเท่สุดๆ แล้วคว้าฝาหม้อใหญ่มาปิดไปที่ปากถังขยะ ถูกไฟลวกถากๆ มือ จนใจเด็ดต้องสะบัดมือเร่าๆ กว่าจะดับไฟได้สำเร็จ
ทั้ง 3 หยุด ยืนมองในอาการหง่อม หอบ ไอโขลกกับควันที่คละคลุ้ง หน้าตาติดเขม่าดำมอมแมมไปหมด
“เกือบวอดทั้งหลังแล้วไหม๊ล่ะ อยู่ๆถังขยะติดไฟขึ้นมาได้ยังไงเนี่ยะ” สมหญิงสงสัยไม่หาย
“คนที่แอบเข้ามาจุดเตา คงทิ้งก้านไม้ขีดที่ยังดับไม่สนิท ลงไปในถังขยะน่ะสิ” ใจเด็ดว่า
“นี่หัวหน้าหมายความว่ามีคนคิดจะวางเพลิงสถานีเราเหรอครับ” ภิรมย์ตกใจ
สมหญิงผสมโรงออกมา “ว้าย...อกอีแป้นจะแตก มันเป็นใคร ช่างทำได้ลงคอ”
“นี่ๆ อย่าเพิ่งตื่นตูมได้มั้ย ฉันยังไม่ได้สรุปว่าอย่างนั้นสักหน่อย แค่สงสัยว่ามีมือมืดที่ไหนแอบเข้ามาใช้ครัวของเรา”
สมหญิงซักสีหน้าสงสัยสุดๆ “มือมืด! ใครล่ะคะ”
ใจเด็ดยืนถอนใจ เพราะมืดแปดด้าน ไม่รู้เหมือนกัน

มือมืดที่ 3 คน ถามหาเดินยิ้มร่าถือถาดกลับขึ้นเรือนมา ในขณะที่อรอนงค์กับสุบินเพิ่งตื่น อยู่ในชุดนอนกำลังนั่งซดกาแฟยามเช้าอยู่
“ฮะฮ่า...ไม่มีอะไรยากเกินสมองสรนุช”
“หายไปไหนมาแต่เช้าห๊ะยัยนุช? ฉันตื่นมาไม่เจอแก” อรอนงค์ถามออกมา
“ฉันก็ไปทำกับข้าวใส่บาตรน่ะสิ” สีหน้าสรนุชภาคภูมิใจมาก
“ทำกับข้าว! กร๊าก...สงสารพระว่ะ ท่านจะฉันได้มั้ยหนอ ฮ่ะๆ” สุบินขำก๊าก
สรนุชเงื้อถาดจะตีหัวสุบิน สุบินร้องลั่นลุกหนี สรนุชวางถาดโครม
“ฉันไม่มีเวลามาเถียงกับแกแล้ว ฉันต้องรีบไปแล้ว”
สรนุชพูดพลางหันไปหยิบกระกระเป๋าขึ้นสะพายพร้อมกล้องถ่ายรูป
“เดี๋ยวๆๆๆ จะไปไหนอ่ะนุช?” อรอนงค์สงสัย
“บ้านครูสีดาน่ะดิ เมื่อกี้ฉันถามเอาจากหลวงพ่อ ท่านบอกว่าครูสีดาอยู่ที่กระท่อมเชิงเขาโน่น”
“นั่นไง แกถึงได้ลงทุนตื่นใส่บาตรแต่เช้า ที่แท้จะหลอกถามพระนี่เอง”
อรอนงค์หน้าจ๋อย “โธ่ ยัยนุช ทำไมทำงี้ล่ะ มันบาปนะตัวเอง”
“ฉันหลอกพระที่ไหนเล่า ฉันก็ถามท่านตรงๆ ท่านก็ตอบตรงๆ ไปล่ะ”
อรอนงค์กับสุบินพูดขึ้นพร้อมกัน “เดี๋ยว!” พร้อมกับฉุดดึงสรนุชไว้
“อะไรอีกล่ะ ฉันจะรีบไป” สรนุชหงุดหงิด
“แกจะลุยเดี่ยวเลยเหรอ แล้วฉัน 2 คนล่ะ?” อรอนงค์งง
“แก 2 คนก็ทำเป็นถ่ายละครอยู่ที่สถานีนี่แหละ ช่วยรั้งๆ นายใจเด็ดไว้ อย่าให้ตามไปเกะกะฉัน ฉันจะได้ตีสนิทกับครูสีดาได้สะดวกโยธิน ฮิๆ”

อรอนงค์กับสุบินยังไม่วางใจ รีบตามสรนุชลงมาจากบ้าน
“เดี๋ยวยัยนุช...แล้วฉันจะบอกพวกนั้นยังไง...ว่าแกไปไหน?”
“แกสองคนมีตั้งสองหัวก็ช่วยกันคิดซี”
“เออ...ถ้าฉันคิดไม่ออก ฉันจะบอกว่าแกไปไถนา”
“ไอ้สุบิน...ไอ้ปากเน่า...ฉันไม่ใช่ควาย”
สรนุชหันมาใช้กระเป๋าฟาดสุบิน ขณะที่อรอนงค์เหลือบหันไปเห็นเกริกไกรกำลังเดินเปิดแฟ้มคุยเรื่องงานมากับเจนจิรา
“หมอมา หลบเร็วแก!”
สรนุชรีบวิ่งไปหลบที่พุ่มไม้ เฉียดฉิวกับเกริกไกรกับเจนจิราที่เดินเข้ามาพอดี
“อ้าวคุณอร สวัสดีเช้าวันใหม่คร๊าบ”
อรอนงค์ฉีกยิ้มหวาน “กู้ดมอร์นิ่งค่ะ”
เกริกไกรมองสำรวจอรอนงค์หัวจรดเท้า “อู้...ว้าว...คุณอรในชุดนอน...น่ารักมากเลยครับ”
อรอนงค์ยิ้มเขิน ระหว่างนั้นสรนุชค่อยๆ ย่องออกจากพุ่มไม้วิ่งไป สุบินแอบมองชะเง้อตาม
เจนจิราจับอาการได้ “มีอะไรรึปล่าวคะ?”
สุบินรีบมายืนบังเจนจิรา ทำเป็นยืดแขน
“อ๋อ...ปล๊าว...ไม่มีอะไรครับ เห็นอากาศเช้าๆมันเย็นสบายดีน่ะครับผมเลยชวนยัยอรออกมายืดเส้นยืดสายด้วยโยคะ อึ้บบ”
ว่าแล้วสุบินก็ทำเป็นประกบมือพนมยืนด้วยขาเดียวในท่าโยคะสุดฮิต อรอนงค์มองตาค้าง
“หื๊อ?”
“คุณอรชอบออกกำลังด้วยโยคะเหรอคะ” เจนจิราถาม
“เอ่อ...ค่ะๆ...อยู่กรุงเทพ อรเล่นโยคะเป็นประจำเลย แฮ่...”
อรอนงค์เลยต้องทำท่าตามสุบิน แต่ดูทุลักทุเล
“ผมได้ยินมานานแล้วครับ ไอ้โยคะอะไรเนี่ยะ อยากลองอยู่เหมือนกันขอเล่นด้วยคนนะครับ”
เกริกไกรก็ประกบมือไหว้ยืนขาเดียวไปด้วย ทำเอาอรอนงค์ขาสั่นพับๆ เพราะไม่เคยเล่น
ขณะที่เจนจิรามองจ้องจับผิดสุบินที่ยืนอยู่ท่าเดียวนานแล้ว
“โยคะเค้าเล่นอยู่ท่าเดียวนี่เองเหรอคะ”
“อ๋อ...ไม่ครับ...มีหลายท่าครับ นี่เค้าเรียกว่าท่าควายเหลียวหลัง”
สุบินเปลี่ยนมาเป็นท่าบิดตัว อรอนงค์ทำตาม เล่นเอาหลังแทบหัก
“ท่าอะไรของมันเนี่ยะ หลังจะหัก”
อรอนงค์แอบบ่น

ด้านสรนุชรีบวิ่งหลบๆ จนหลุดออกมาจากประตูทางเข้าเขตสถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ได้มาหยุดยืนแอบโล่งใจ พลางหันไปพูดส่งใจไปให้สุบินกับอรอนงค์
“โชคดีนะเพื่อน!”
สรนุชเริ่มออกเดินไปตามถนนดินแดงที่ขนาบด้วยท้องทุ่ง
“เดี๋ยวมีชาวบ้านผ่านมา ค่อยติดรถเค้าไป คงไม่มีใครที่หนองระบือนี่ ไม่รู้จักครูสีดาหรอก ฮิๆ”
สรนุชเดินเริงร่าอารมณ์ดีไปตามทาง

ด้านสุบินกับอรอนงค์ยังคงทำท่าโยคะมั่วๆ ด้วยการนำของสุบิน เหงื่อแตกซ่ก ปวดเมื่อย ขาสั่นไปหมด ขณะที่เกริกไกรกลับสนุกอยู่คนเดียว
“ซี๊ด....ท่านี้โดนเส้นหลังที่เมื่อยเดี๊ยะ แหม...เล่นโยคะมันดีอย่างงี้นี่เองมีท่าที่มันยากกว่านี้มั้ยครับ จัดมาเลย ไม่ต้องเกรงใจ”
“หา...จะเอายากกว่านี้อีกเหรอ” สุบินเหวอ
“พอแล้ว ฉันไม่ไหวแล้ว” อรอนงค์ไม่ไหวขอหยุด
“อ้าว...ไหนว่าเล่นโยคะเป็นประจำไงคะ นี่ทำไม่ถึง 5 นาที ก็ไม่ไหวแล้ว” เจนจิราดักคอ
“เอ่อ...คือ...” อนอนงค์อึกอัก
“คือ ยัยอรเจ็บหลังอยู่น่ะครับ เมื่อวานก้มๆ เงยๆ ดูควายมากไปหน่อย” สุบินออกตัวให้
“เอ่อ...ค่า”
“งั้นก็เลิกเล่นเถอะครับ ถ้าคุณอรเป็นอะไรไป ผมคงมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ถ้าขาดเธอ”
อรอนงค์ขนลุก “อี๋ย์...”
ระหว่างนั้นใจเด็ดเดินหน้าตาเนื้อตัวมอมแมมด้วยเขม่าควันเดินเข้ามา
“หัวหน้า! ไปทำไรมา ทำไมหน้าถึงได้” เจนจิราถาม
“ดับไฟในครัวมาน่ะสิ ไม่รู้ใครแอบเข้าไปจุดเตา ไฟเกือบไหม้ทั้งสถานี”
สุบินหลุดขำก๊าก อย่างลืมตัว “ฮ่ะๆๆ จะใครซะอีก ก็ยัยนุชน่ะสิ”
อรอนงค์เอ็ดเสียงดัง “สุบิน”
สุบินรู้ตัวเบรกหัวเราะแทบไม่ทัน อรอนงค์เห็นหน้าใจเด็ดเม้งๆ เลยรีบอธิบาย
“เอ่อ...คือยัยนุชเข้าไปทำกับข้าวใส่บาตรน่ะค่ะ ไม่ได้ตั้งใจจะเผาครัว”
“ใส่บาตร! แล้วทำไมไม่บอกให้สมหญิงทำให้ล่ะ” ใจเด็ดอึ้ง
“นั่นสิคะ ดูท่าทางคุณสรนุช ไม่น่าจะทำกับข้าวเป็นกับเค้าเลย”
“หึ ต้องคุยกันหน่อยแล้ว”
พูดจบใจเด็ดก็หันตัวจะเดินขึ้นเรือนรับรอง
“ยัยนุชไม่อยู่ข้างบนหรอกค่ะ ออกไปข้างนอกแล้ว”
“ห๊ะ...ออกไปข้างนอกเหรอ...ไปไหนครับ” ใจเด็ดสงสัย
สุบินกับอรอนงค์พร้อมใจกันทำหน้าซื่อส่ายหน้าไม่รู้
“อื้อ...”

เวลาเดียวกันสรนุชเดินมาไกลจนเริ่มเหนื่อย แต่ระหว่างทางไม่เจอชาวบ้านเลยสักคน
“นี่มันวันอะไรเนี่ยะ ชาวบ้งชาวบ้านหายไปไหนกันหมด ทุกทีเห็นผ่านไปผ่านมากันให้ควั่ก”
และแล้วสรนุชก็เห็นใครคนหนึ่งมาแต่ไกล สรนุชออกอาการดีใจ “มีคนผ่านมาแล้ว”
แต่พอเข้ามาใกล้กลับกลายเป็นโทน เด็กชายชาวบ้านวัย 10 ขวบปั่นจักรยานถือเบ็ดตกปลาผ่านมา
“นี่หนูๆ...จอดๆๆๆ Stop”
“คนกำลังรีบ จะไปไหนเพ่?” โทนเซ็ง
“แหม...ถามถูกใจจริงๆ จะไปบ้านครูสีดาจ้ะ ไปส่งพี่หน่อยได้มั้ย พี่ไปไม่ถูก แถวนี้รถมงรถเมล์ก็ไม่มี”
“อูย...ไกลจะตาย ต้องขึ้นเขาไปปู้น แล้วพี่ก็ตัวหนัก ผมไปส่งไม่ไหวหร๊อก” โทนบ่นอุบ
ว่าแล้วโทนก็ปั่นจักรยานไปเฉยเลย
“อ้าว...เดี๋ยวไอ้หนู! อี่ย์....ไอ้เด็กไม่มีน้ำใจ โธ่เอ้ย...แล้วนี่จะไปไงเนี่ยะจะมีเจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วยบ้างมั้ยเนี่ยะ”
ไม่ทันขาดคำ อบต.โชคชัยก็ขี่มอเตอร์ไซค์โผล่มาแต่ไกล สรนุชหันมามองไป ยิ้มออก
“เหยื่อคนนี้แหละ”

ฟากใจเด็ดกำลังเปิดก๊อกน้ำล้างหน้าล้างตา โดยมีเจนจิราส่งผ้าให้เช็ดหน้าเช็ดตา
“ปล่อยให้ออกไปคนเดียวได้ยังไง จะไปไหนทำไมไม่บอกผมก่อน”
อรอนงค์กับสุบินได้แต่ยืนทำตาปริบๆ
เกริกไกรเอ่ยขึ้น “คุณสรนุชไม่ใช่เด็ก 3 ขวบ ไม่ต้องกลัวว่าเธอจะหลงทางกลับมาไม่ถูกหรอกน่าใจเด็ด”
“นั่นสิคะ ทำไมหัวหน้าต้องเป็นห่วงเธอขนาดนี้ด้วย” เจนจิราว่า
ใจเด็ดมองสายตาจับจ้องของเจนจิราแล้วต้องรีบแก้ตัว
“ปล๊าว ฉันไม่ได้เป็นห่วงคุณสรนุช ฉันเป็นห่วงชาวบ้านต่างหาก”
อรอนงค์งง “อ้าว ทำไมเป็นงั้นล่ะคะ”
สุบินขำ “ฮ่ะๆ ไม่น่าถาม ก็เพื่อนเรามันแสบจะตาย”
อรอนงค์เอ็ดเอาอีก “สุบิน”
“เอ่อ...ฉันหมายถึง ยัยนุชน่ะโก๊ะๆแล้วก็ชอบเอะอะโวยวาย อาจทำให้ชาวบ้านไม่รู้ อิโหน่อิเหน่ ตกอกตกใจได้”
ใจเด็ดรีบผสมโรง “ใช่ๆ นั่นแหละที่ผมห่วง! ว่าแต่...ทำไมคุณสรนุชถึงไปคนเดียวไม่ชวนคุณ 2 คนไปด้วยล่ะครับ?”
ใจเด็ดหันขวับมาที่อรอนงค์กับสุบิน ทำเอาสองคนใจคอไม่ดี
“คือว่า...วันนี้เราสองคนตั้งใจว่าจะถ่ายทำละครอยู่ภายในสถานีนี้น่ะค่ะ” อรอนงค์ว่า
“หมายความว่า...ได้เวลาถึงคิวของผมซะที งานนี้ผมขอบทพระเอกที่หลงรักสาวเมืองกรุงได้มั้ยคร๊าบ”
เกริกไกรส่งตามองอรอนงค์อย่างหยาดเยิ้ม พลางหันไปจุ๊บแก้มควายที่ผูกอยู่ข้างๆ อรอนงค์ทำหน้าแหย
“งั้นหมอกับเจนช่วยอำนวยความสะดวกการถ่ายทำด้วยนะ ฉันจะตามไปดูคุณสรนุชเอง” ใจเด็ดว่า
อรอนงค์กับสุบินอึ้ง พูดขึ้นพร้อมๆ กัน “เอ่อ...”
อรอนงค์กับสุบินจะรั้งไว้ แต่ใจเด็ดรีบเดินไปแล้ว เจนจิรามองตามอย่างขัดใจ
เกริกไกรพูดเก๊กด้วยเสียงพระเอก “ฮะแฮ้ม...คุณอรอนงค์ครับ รีบไปอาบน้ำแต่งตัวเถอะครับ จะได้มาถ่ายละครกัน ผมอยากจะแสดงเต็มแก่แล้วล่ะครับ”
“เอ่อ...ค่ะ ไปสุบิน”
อรอนงค์ชวนสุบินหันเดินกลับขึ้นเรือน เกริกไกรยืนตะโกน
“เร็วๆ นะครับคุณอร รอนานแล้วผมจะขาดใจ”
อรอนงค์ถอนใจอย่างระอา “เฮ่ย ตานี่...จริงๆ เล๊ย”

ไม่นานหลังจากนั้นใจเด็ดขับรถกะบะมาตามทางพลางมองหาสรนุช
“อยู่ไหนน๊า...ออกมาคนเดียว...คิดจะไปไหนของเค้า”

แต่ไม่เห็นแม้แต่วี่แวว ใจเด็ดขับมาถึงทางแยก ตัดสินใจเลี้ยวเข้าไปทางหมู่บ้าน

อ่านต่อหน้า 3 พรุ่งนี้ เวลา 9.00 น.




กระบือบาล  ตอนที่ 5 (ต่อ)

สรนุชที่ใจเด็ดกำลังเป็นห่วงเป็นใย กลับนั่งยิ้มแป้นซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์โชคชัยไปตามทางเลียบเชิงเขา

“ฉันไม่ได้รบกวนเวลาทำงานคุณอบต.แน่นะคะ”
“อ๋อ ไม่หรอกครับ งานบริการประชาชนเป็นหน้าที่ของข้าราชการอย่างผมอีกอย่างหนึ่ง ผมก็มีธุระจะไปคุยกับครูสีดาพอดี” โชคชัยบอก
“แหม...โชคช่างเข้าข้างฉันจริงๆ เล๊ย” สรนุชว่า
“แล้วคุณสรนุชรู้จักกับครูสีดาด้วยเหรอครับ”
“ก็กำลังจะไปรู้จักนี่แหละค่ะ”
“อ้าว! ผมก็นึกว่าคุณรู้จัก”
สรนุชรีบเปลี่ยนเรื่อง ชี้ไปที่วิว
“โฮ้ว...ดูโน่นซีคะ...สวยจังเลย”
สรนุชยกกล้องขึ้นถ่ายรูป เสียงกดชัตเตอร์ดัง แชะ!

ในที่สุดโชคชัยก็ขี่มอเตอร์ไซค์ พาสรนุชมาจอดที่หน้าบ้านไม้หลังหนึ่งที่ปลูกอยู่บนเนิน แวดล้อมด้วยต้นไม้และธรรมชาติอันร่มรื่น สบายตา
“นี่แหละครับ บ้านครูสีดา”
สรนุชลงจากรถ กวาดสายตามองไปรอบๆ
“ทำไมครูสีดามาอยู่ซะไกลผู้ไกลคนอย่างงี้คะ แถวนี้ไม่เห็นมีบ้านใครเลยนอกจากบ้านแกบ้านเดียว” สรนุชสงสัย
“แกอยากอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติน่ะครับ” โชคชัยหันไปตะโกนเรียก “ครูสีดาครับ ครูสีดา!” ทุกอย่างเงียบ “เอ้ ไม่รู้แกอยู่รึปล่าว ผมจะเข้าไปดูข้างในนะครับ”
“เชิญค่ะ ฉันจะเดินดูอะไรอยู่แถวๆ นี้ก่อน”
โชคชัยเดินตรงไปที่บ้าน ขณะที่สรนุชเดินดูโน่นดูนี่ไปข้างๆ บ้าน ต้องแปลกใจเมื่อเห็นผ้ามัดย้อมสีสันลวดลายต่างๆ ถูกตากไว้ที่ราวเต็มไปหมด ดูสวยละลานตา
“ผ้าอะไรน่ะเยอะแยะไปหมด”
สรนุชเดินปรี่เข้าไปที่ราวตาก เดินดูผ้าอย่างตื่นตา พลางหมุนตัวมือลูบไปตามผ้าที่ถูกลมพัดโบกพลิ้ว
“ผืนนี้ก็สวย...ผืนนี้ก็สวย....สวยไปหมด...วู้”
อยู่ๆ ก็มีชายผิวดำหมุนตัวโผล่มาท่ามกลางผ้าที่โบกพลิ้ว ชี้มาที่สรนุช พูดไม่ชัดแบบฝรั่ง
“คนนี้ก็สวย”
สรนุชเบิกตาโพลง ตกใจแทบช็อก “อ๊าย”
สรนุชหันไปวิ่งหนีไป ชนกับโชคชัยที่เดินเข้ามาพอดี
“เป็นอะไรครับคุณสรนุช...ตกใจอะไรครับ”
สรนุชหลบเข้าหลังโชคชัย ชี้ไปที่ครูสีดา
“คนบ้าค่ะ มันโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้”
ครูสีดาวิ่งตามมา “นี่ไม่ใช่คนบ้าคร๊าบ แต่เป็นคนรูปหล่อ” ยักคิ้วทำท่าทำทาง
“อ๊าย!อย่าเข้ามานะ ไอ้โรคจิต ไอ้ดำดูด” สรนุชด่าเป็นชุด
“อู๊ย! แรงอ่ะ รับไม่ด้าย” ครูสีดาว่า
โชคชัยขำกลิ้ง “ฮ่ะๆๆๆๆ”
“ยังจะมีอารมณ์หัวเราะอีก ไล่มันไปซีคะ ไล่มันไป” สรนุชบอกโชคชัย
“จะให้ไล่ไปไหนล่ะครับคุณสรนุช คุณอยากจะมาหาครูสีดาไม่ใช่เหรอครับก็คนนี้แหละครับ ครูสีดา”
“หา...นี่น่ะเหรอคะครูสีดา” สรนุชทั้งตกใจ ทั้งประหลาดใจ
“แม่นแล่ว เฮานี่แหละ ครูสีดาล่ะเด้อ”
ครูสีดาฉีกยิ้มฟันขาว

ใจเด็ดขับรถเข้ามาในหมู่บ้าน และจอดรถลงไปถามกับชาวบ้าน 5 คนที่นั่งจับกลุ่มกันอยู่ที่แคร่หน้าบ้านหลังหนึ่ง
“คุณสรนุช...ทีมถ่ายสารคดีจากกรุงเทพฯน่ะ เห็นบ้างมั้ยครับ”
ชาวบ้านทั้ง 5 คนยิ้ม ส่ายหน้าบอกออกมาพร้อมกัน “ไม่เห็นเลยจ้ะ”
“ไม่มีใครเห็นสักคนเลยเหรอครับเนี่ยะ?”
ชาวบ้านทั้ง5คนส่ายหน้าพร้อมกัน ใจเด็ดยืนคิด
“เอ้...แล้วเธอไปไหน?”
ชาวบ้านทั้ง5คนส่ายหน้าพร้อมกันอีก
“จะหลงทางรึปล่าว?”
ชาวบ้านทั้ง5คนส่ายหน้าพร้อมกัน
“หรือว่าเธอเอ่อ....”
ใจเด็ดไม่ทันจะพูดจบ ชาวบ้านทั้ง 5 คนก็ชิงส่ายหน้าพร้อมกันเสียก่อน
ใจเด็ดยิ้มแหยๆ เห็นอย่างนั้นเลยคิดว่าไปดีกว่า
“เอ่อ...ผมเข้าใจแล้วครับ ว่าไม่มีใครที่นี่เห็นจริงๆ ขอบคุณมากครับงั้นไปก่อนนะครับ”
ใจเด็ดเดินกลับออกมาที่รถ ก็เจอโทนจอดจักรยานสะพายเบ็ดที่ตกได้กบมาตัวหนึ่งมองอยู่
“ผมรู้ครับว่าพี่คนนั้นไปไหน?”
“ห๊ะ เรารู้เหรอโทน เค้าไปที่ไหน?”
โทนชี้ไปที่ภูเขา “โน่น”
“โน่นน่ะที่ไหน”
“บ้านครูสีดา”
“หา...ไปทำไมบ้านครูสีดา”
ใจเด็ดยืนงง สงสัยว่าสรนุชจะไปบ้านครูสีดาทำไม

ส่วนสรนุชกำลังโชคชัยเดินตามครูสีดาเข้าบ้านไปยังหลังบ้านที่ร่มรื่นไปด้วยป่าธรรมชาติ สรนุชยิ้มแก้เก้อ แก้ต่างให้ตัวเองไปตลอดทาง
“ฉันก็นึกว่าครูสีดา เป็นครูแก่ๆ ใจดีซะอีก ไม่คิดไม่ฝันว่าจะเป็น เอ่อ...ต่างชาติ แฮ่... ต้องขอประทานโทษจริงๆ ค่ะครู”
ครูสีดาแกล้งทำเป็นโกรธ “ผมไม่ยกโทษให้หรอก...”
สรนุชค้างเลย “อ่า...”
“เพราะผมไม่ได้โกรธคูณ...คนสวย”
“อ๋อ...” สรนุชฝืนยิ้ม “ฮ่ะๆๆ ครูสีดานี่ขี้เล่นจังเลยนะคะ”
“ใช่คร๊าบ ผมขี้เล่น แต่ไม่เล่น...แอ๊ะ! ฮ่ะๆ”
โชคชัยยิ้มขำ แล้วเริ่มเล่า “ครูสีดาแกเป็นต่างชาติที่หลงรักเมืองไทยน่ะครับแกรักธรรมชาติมาก เลยมาตั้งรกรากห่างไกลเมืองอยู่ที่นี่”
“ก้อนหิน กอดต้นไม้ กอดผืนฟ้า กอดอากาศ กอด...”
ครูสีดาหันมาจะกอดสรนุช สรนุชตกใจหยุดยืนคาที่ แทบจะหยุดหายใจ
“อึ๋ย!”
แต่ครูสีดาหยุดยืนส่ายมือยิ้ม
“แต่คนนี้กอดม่ายด้ายยย หึๆ”
ครูสีดาหันกลับไปเดินโยก ฮัมเพลงต่อไป สรนุชเลยแอบหันไปป้องปากกระซิบถามโชคชัย
“ครูแกเป็นซะอย่างงี้ เอ่อคือ...ฉันหมายถึงเป็นคนตลกน่ะค่ะแล้วทำไมถึงได้เป็นที่นับถือของชาวบ้านได้ล่ะค่ะ”
“ก็เพราะสิ่งที่แกทำให้กับชุมชนโน่นไงครับ”
โชคชัยชี้ไปยังลานกว้างใต้ร่มไม้ตรงหน้า สรนุชมองไป เห็นครูสีดาเดินเข้าไปหากลุ่มเด็กๆ ชาวบ้านนับสิบคนที่กำลังจับกลุ่มง่วนอยู่กับการทำผ้ามัดย้อม
“เด็กๆกำลังทำอะไรคะนั่น”
“ทำผ้ามัดย้อมอย่างที่คุณเห็นตากอยู่ข้างนอกนั่นแหละครับครูสีดาแกเป็นคนสอนให้เด็กๆทำ เพื่อหารายได้เสริมให้กับครอบครัวของเด็กๆ ครับ”
สรนุชก้าวเข้าไปหยุดยืนมอง ด้วยความทึ่ง ขณะที่ครูสีดาหันมากวักมือเรียก
“เฮโล่ๆ...เร่เข้ามา...เรียนฟรีไม่คิดตังค์”

เวลาเดียวกันเจ้าหน้าที่สถานีฯ กำลังต้อนควายขึ้นจากปลักเทียมเดินเข้าคอกเมื่อแดดเริ่มร้อน ขณะที่สุบินกับอรอนงค์กำลังเตรียมกล้องถ่ายทำละคร แอบหลบมุมยืนซุบซิบกันอยู่
“ยัยนุชเป็นไงบ้างก็ไม่รู้ แกว่านายใจเด็ดจะตามหายัยนุชเจอมั้ยสุบิน?”
“ถ้าเป็นเนื้อคู่กันแล้วก็ไม่แคล้วกัน”
“แกพูดอะไรของแกเนี่ยะ ฉันถามเพราะเป็นห่วงยัยนุช ไม่ใช่ให้แกมาดูดวง”
“แกถามฉันแล้วฉันจะไปถามใครวะ ก็ติดแหง็กอยู่ที่นี่ด้วยกัน!”
ระหว่างนั้นเกริกไกรโผล่เข้ามาเงียบๆ ทางข้างหลัง “แอบมาเตี๊ยมอะไรกันอยู่ครับ?”
อรอนงค์กับสุบินสะดุ้งโหยง
“เอ่อ...ปล่าวค่ะ!”
“คุณอย่ามาหลอกผมนะ”
อรอนงค์ยิ่งตื่นใหญ่ “หลอกอะไรคะ?”
“หลอกให้รักน่ะสิคร๊าบ”
เกริกไกรยิ้มหวานใส่ อรอนงค์อ่อนใจ
ในขณะที่สุบินขำ “ฉันว่าเราเริ่มถ่ายกันเถอะอร ดูท่าพระเอกจะพร้อมเล่นเลิฟซีนแล้ว”
สุบินเดินไปหาเจนจิรา “แล้วคุณเจนล่ะครับ พร้อมจะเข้ากล้องหรือยัง?”
เจนจิราที่กำลังยืนชะเง้อรอใจเด็ด หันมาตอบอย่างไม่มีอารมณ์
“ฉันเล่นละครไม่เป็นหรอกค่ะ ให้คนอื่นเล่นแทนก็แล้วกัน”
“ใครครับ?”
“สมหญิงเองค่า”
สุบินหันไป ต้องผงะเมื่อสมหญิงทาปากแดงแจ๋ทัดดอกไม้ที่หูเดินเข้ามา ตามมาด้วยภิรมย์
“ถ้าต้องการผู้ช่วยพระเอก ทางนี้ครับ ว๊าก จ๊าก ย๊าก”
ภิรมย์ขี่ควายควงขวานออกมา สุบินถูกใจ
“ฮ่ะๆๆ วันนี้ได้สนุกกันแน่ๆ เอาล่ะ...ถ้าทุกคนพร้อมแล้ว เราก็มาเริ่มถ่ายทำกันเลย”
แต่แล้วทุกคนต้องชะงักเมื่อมีเสียงแตรรถดังขึ้น ทุกคนมองไป เห็นรถของผู้พันชาญณรงค์แล่นเข้ามาจอด...สมคิดรีบลงจากรถวิ่งลงมาเปิดประตู
“เชิญผู้พัน...ครับพ้ม”
ผู้พันและช่อผกาลงจากรถด้วยสีหน้าเอาเรื่อง
“หวัดดีครับผู้พัน ให้เกียรติมาเยี่ยมเยียนสถานีเราอีกแระ ผู้พันมาทีไร ไม่ธรรมดาทุกที วันนี้มีธุระอะไรอีกเหรอคร๊าบ” เกริกไกรเอ่ยขึ้น
“ฮึ่ม ธุระนะไม่มี มีแต่จะมาเอาเรื่อง” ชาญณรงค์พูดอย่างเอาเรื่อง
“อ้าว พวกเราอยู่ดีๆ ผู้พันจะมาเอาเรื่องใครอีกล่ะ” เจนจิราสงสัย
ช่อผกาชี้ไปที่อรอนงค์กับสุบิน
“ก็เอาเรื่องไอ้พวกกองถ่ายนี่น่ะสิ เมื่อวานโกหก หลอกลวงว่าจะไปถ่ายละครพวกฉัน แล้วทำไมไม่ไป ปล่อยให้ฉันกับพ่อแต่งตัวรอเก้อทั้งคืน”
จำเลยอรอนงค์กับสุบินอึ้ง อุทานออกมาพร้อมๆ กัน “อึ๋ย”
จากนั้นอรอนงค์กับสุบินยืนเกาะกันหน้าซีด

ครูสีดาสาธิตการทำลวดลายบนผ้า ด้วยการขยำอย่างเมามันแล้วมัด ซึ่งผ้าจะออกมามีลวดลายเป็นอิสระ ก่อนจะมัดพร้อมที่จะนำไปย้อมให้สรนุชกับโชคชัยดู ครู่ต่อมาผ้ามัดพร้อมจะย้อมแล้ว
“หลังจากที่เราทำลวดลายบนผ้าเสร็จแล้ว ก็เอามามัดๆๆ แล้วก็เอาไปย้อมด้วยแม่สีธรรมชาติ” ครูสีดาสาธิต
“แม่สีธรรมชาติ?” สรนุชสงสัย
“เป็นสีที่ได้จากส่วนต่างๆของต้นไม้น่ะครับ ไม่ว่าจะเป็นราก เปลือก ผล ดอก ครูสีดาแกจะไม่ใช้สีจากสารเคมีเลย” โชคชัยอธิบาย
“อย่างสีแดง เราก็ได้มาจากรากยอ หรือไม่ก็ลูกคำแสด รู้จักมั้ย?” ครูสีดาถามสรนุช
สรนุชส่ายหน้า “ฮึ...”
“แล้วลูกตาคำล่ะ รู้จักรึปล่าว?”
สรนุชส่ายหน้า “ฮึ...ไม่รู้จัก”
ครูสีดาชี้ที่ตัวเอง “นี่ก็ไม่รู้จักเหมือนกัน”
สรนุชทำหน้าเหว๋อ โชคชัยขำ ครูสีดาหันไปชี้ไหใส่วัตถุดิบที่ใช้ทำสี อธิบายต่อ
“สีเหลืองก็ได้มาจากดอกดาวเรือง สีดำก็ผลมะเกลือ สีครามก็ได้มาจากต้นคราม สีม่วงก็จากลูกหว้า สีน้ำตาลก็มาจากเปลือกมังคุด แล้วรู้จักมั้ยมังกือน่ะ?”
สรนุชงง “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับมังคุดคะ”
“ไม่เกี่ยวอ่ะ ถามไปงั้น”
สรนุชอ้าปากค้างอีก โชคชัยกลั้นขำ
“ธรรมชาติก็มีของดี แล้วทำไมเราต้องไปพึ่งสารเคมีให้เป็นพิษต่อโลก จริงมะๆ ทีนี้ก็มาดูวิธีย้อมสีกัน เอาล่ะ...เด็กๆ แสดงฝีมือสิ”
เด็กๆ ลูกศิษย์ครูสีดา เอาผ้าลงไปต้มในกะละมังสีที่ต้มตั้งเตาไว้อย่างคล่องแคล่ว

เหตุการณ์ที่สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ อรอนงค์กำลังพูดจาอ่อนหวานยกมือไหว้ขอโทษขอโพยผู้พันเป็นการใหญ่
“ต้องกราบขออภัยท่านนายพลด้วยนะคะ ที่พวกเราเสียมารยาททำให้ท่านต้องรอเก้อ”
“อ้าวคุณ นายพงนายพลอะไรกัน เจ้านายผมยศผู้พันนะครับ คุณนี่ยังไงนะ ไปลดยศท่าน” สมคิดท้วง
ผู้พันดีดขาเตะสมคิด “ไอ้ไม่รู้จักคิด...นายพลยศสูงกว่าผู้พันเว้ย”
“แต่สง่าราศีของท่านเทียบชั้นนายพลเลยนะคะ รูปงามแถมดูอบอุ่น”
คำอวยของอรอนงค์ทำเอาผู้พันถึงกับหัวเราะลืมโกรธ
“ฮี่ๆ...หนูนี่ตาถึงจริงๆ ปรกติฉันไม่ชอบให้ใครมาชมกันต่อหน้าแบบนี้หรอกนะ เอาๆเรื่องที่เบี้ยวฉันเมื่อวาน ถือว่ามันแล้วก็แล้วไปนะหนู ฉันยกโทษให้”
สุบินสุดแสนดีใจ รีบตะเบ๊ะ “แฮ่ ขอบพระคุณมากครับผม ผู้พัน”
“พ่ออ่ะ! ทำไมยกโทษกันง่ายๆอย่างงี้ล่ะ ก็ไหนพ่อบอกว่าจะมาเฉดหัว...” ช่อผกาสวนขึ้นมาอย่างขัดใจ
ผู้พันรีบขัด
“พอเถอะผกา จะมานั่งรื้อฟื้นกันทำไมอีก ในเมื่อเรากำลังจะได้ถ่ายละครกันเดี๋ยวนี้แล้ว ใช่มั้ย”
สุบินกับอรอนงค์รีบรับคำพร้อมกัน “เอ่อ...ใช่ครับ” / “ใช่ค่ะ”
เกริกไกร เจนจิรา สมหญิง และภิรมย์มองหน้ากัน เซ็งไปเลย
“แล้วตกลงพวกผมจะได้แสดงมั้ยครับเนี่ยะ”
“ได้สิครับ แสดงด้วยกันหมดนี่แหละ หลายๆ คนสนุกดี” สุบินบอก
ช่อผกานึกขึ้นมาได้ “เดี๋ยวๆ แล้วหัวหน้าใจเด็ดของฉันล่ะ อยู่ไหน” ตะโกนเรียก “คุณใจเด็ดขาคุณใจเด็ดอยู่ไหน มาเร้ว...มาเล่นละครคู่กับช่อผกา คุณใจเด็ด!”
เจนจิราหงุดหงิด รีบบอก “ไม่ต้องเรียกให้คอแห้งหรอกช่อผกา หัวหน้าไม่อยู่ ออกไปตามคุณสรนุช”
“อ้าว...แล้วทำไมคุณใจเด็ดต้องไปตามผู้หญิงคนนั้นด้วยล่ะ อี่ย์...มันชักยังไงๆ แล้วเนี่ย”
ช่อผกาโวยลั่น

ส่วนที่บ้านครูสีดาซึ่งเดินถือผ้ามัดย้อมที่ทำเสร็จแล้วมาที่ราวตาก โดยมีสรนุชกับโชคชัยเดินตามมา
“หลังจากย้อมสีเสร็จแล้วก็เอาผ้าลงขยี้ล้างเบาๆ ในน้ำปูนใสหรือสารส้มขั้นตอนสุดท้าย ก็คือเอามาตากให้แห้งแบบนี้”
จังหวะนั้นครูสีดาสะบัดผ้าออกพรื่ด จนน้ำกระเด็นใส่หน้าสรนุชเต็มๆ
“อึ๋ย!”
สรนุชยืนมองสภาพตัว หน้าแหย โชคชัยกลั้นขำ
“ผมเช็ดให้ครับ”
โชคชัยควักผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดหน้าให้สรนุช
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเช็ดเองดีกว่า”
สรนุชคว้าผ้า แต่มือดันไปกำมือโชคชัยเต็มๆ อบต.หนุ่มบ้านนอกหน้าแดง รีบปล่อยผ้าให้
สรนุชใช้ผ้าเช็ดหน้าซับๆ น้ำที่กระเซ็นใส่จนหน้าเปียกไปหมด
ในขณะที่โชคชัยแก้เขินด้วยการหันไปคุยกับครูสีดาที่กำลังตากผ้าอยู่
“เอ่อ...ครูสีดาครับ เรื่องร้านรับซื้อผ้ามัดย้อมของครู ผมหาให้ได้อีกร้านแล้วนะครับ”
“ฮัดช่าข่าวดี! ถ้ามีร้านรับซื้อผ้าไปขายเพิ่ม เด็กๆ ก็จะมีรายได้ไปช่วยเหลือพ่อแม่เพิ่มขึ้นอีก โอ้ว..ขอบคุณมากนะคุณโชคชัย คุณเป็นคนดีจริงๆ”
ว่าพลางครูสีดาจับไม้จับมือโชคชัยอย่างซึ้งใจ สรนุชมองโชคชัยด้วยสายตาชื่นชม
“อย่าขอบคุณเลยครับครู มันเป็นภาระหน้าที่ของอบต.อย่างผมอยู่แล้วที่จะต้องช่วยให้ชาวบ้านในพื้นที่อยู่ดีกินดี มีรายได้”
“แหม...อยากให้ข้าราชการทุกคนเป็นอย่างคุณจัง ตั้งใจทำงานแล้วก็จริงใจกับประชาชน”
เจอสรนุชชมโชคชัยยิ้มเขิน “ไม่ถึงขนาดนั้นมังครับ คุณสรนุชชมผมเกินไปแล้ว”
“ไม่เกินไปหรอกค่ะ คุณเป็นคนหนุ่มอนาคตไกล สู้งาน ฉันทำนายได้เลยว่าต่อไปคุณต้องได้เป็นใหญ่เป็นโตแน่ๆ ค่ะ”
โชคชัยยิ้มมองสบตาสรนุช ชักปิ๊งปั๊งขึ้นมา
จังหวะนั้นมีเสียงใจเด็ดดังขึ้นมา
“นึกว่าหายไปไหน ที่แท้ก็มาทำตัวเป็นแม่หมอดูอยู่ที่นี่เอง”
ทุกคนมองไป เห็นเป็นใจเด็ดยืนกอดอกมองสรนุชกับโชคชัยอยู่ สรนุชตกใจไม่คิดว่าใจเด็ดจะตามมาถูก
สรนุชสุดเซ็ง “ตานี่ ตามมาจนได้”
“หัวหน้าใจเด็ด! ว้าวๆๆไม่เจอกันตั้งหลายวัน คิดถึงผมบ้างมั้ย”
ครูสีดาดีใจ ปรี่เข้าไปโอบไหล่ใจเด็ดอย่างสนิทสนม ใจเด็ดส่ายหน้าหน้าตาย
“ไม่คิดถึงอ่ะ”
“โอ้ว...คนหล่อใจร้าย”
ใจเด็ดหลุดยิ้มขำออกมา “ปัดโธ่...คิดถึงอะไรกัน เจอกันอยู่บ่อยๆ”
ครูสีดากอดคอใจเด็ดแล้วหันมาบอกสรนุช
“เอ่อ...คือว่า...เราสองคนรักกาน เคยนอนด้วยกาน” ครูสีดาว่า
“หา!” สรนุชหูผึ่ง
ครูสีดาพูดต่อ “นอนห้องเดียวกาน ต่างคนต่างหลับ ไม่มีอะไร ฮ่ะๆๆ”
ใจเด็ดขำไปกับครูสีดา สรนุชหน้าเสียรู้สึกเสียหน้าที่โดนอำต่อหน้าใจเด็ด
“ฉันมารบกวนเวลาครูสีดานานแล้ว ฉันต้องขอตัวกลับก่อนนะคะ” สรนุช หันไปถามโชคชัย “คุณโชคชัยจะกลับหรือยังคะ”
“เอ่อ...ผมยังไม่ได้คุยรายละเอียดเรื่องร้านรับซื้อผ้ากับครูสีดาเลยครับ หัวหน้าใจเด็ดมาก็ดีแล้ว งั้นผมฝากคุณสรนุชกลับสถานีด้วยนะครับ”
สรนุชเซ็งขึ้นมาเลยทันที หันมามองหน้าใจเด็ด ใจเด็ดมองยิ้มๆ กวนใส่

ครู่ต่อมารถกะบะใจเด็ดกำลังขับมาตามทางที่ทั้งสองข้างขนาบด้วยป่าเขียวขจี ภายในรถ...สรนุชนั่งเฉยทำไม่รู้ไม่ชี้ ใจเด็ดขับรถไปเหล่มองสรนุชไป
“คราวหน้าคราวหลังนะ ถ้าคุณจะออกไปไหน ช่วยบอกผมก่อน”
“อ๋อ นี่ฉันติดทัณฑ์บนอยู่เหรอ หรือว่าติดคุก ตายจริง จะไปไหนมาไหน ถึงต้องบอกผู้คุมก่อนเหรอ”
“ถ้าผมเป็นผู้คุม กลับไป ผมจะเฆี่ยนคุณให้หลังลาย แล้วขังลืมคุณเลย”
“นี่...ฉันไม่ใช่กระบือของคุณนะ เอะอะจะมาเฆี่ยนจะมาขังกันง่ายๆ”
“ผมเลี้ยงควาย ผมไม่เคยเฆี่ยนไม่เคยตี เพราะมันพูดรู้เรื่อง ไม่เหมือนคุณ”
สรนุชโดนด่าเปรียบกับความแทบจะกรี๊ด “มันจะมากไปแล้วนะ มาเปรียบเทียบฉันกับควายได้ไงเนี่ยะ”
“ก็คุณเอาแต่เถียงข้างๆ คูๆ ไม่มีเหตุผล คิดบ้างมั้ย คุณหายตัวมาแบบนี้ทุกคนที่สถานีจะเป็นห่วงแค่ไหน”
“ฉันไม่ใช่เด็กอมมือ ฉันเอาตัวรอดได้ คุณไปห่วงควายคุณเถอะไป ไม่ต้องมาห่วงฉัน”
สรนุชหันมาโวยใส่หน้า ใจเด็ดฉุนขาด เบรกรถเอี๊ยด ทำเอาสรนุชที่ไม่ทันระวังตัวหัวคะมำ
“ว้าย! อยู่ๆ ก็เบรก จะบ้าหรือไง”
“ลงไป”
สรนุชอ้าปากค้าง “ว่าไงนะ?”
“คุณไม่ใช่เด็กอมมือ เอาตัวรอดได้ เก่งนักก็หาทางกลับไปเองก็แล้วกัน”
ใจเด็ดยื่นตัวไปผลักประตูรถข้างที่สรนุชนั่งเปิดออก “เชิญ!”
สรนุชกัดปากแน่น แต่ไม่ยอมแพ้ คว้าเป้ สะบัดหน้าลงจากรถ ปิดประตูปัง
แล้วใจเด็ดก็ขับรถเอี๊ยดออกไป สรนุชยืนโวย
“อี่ย์ นึกว่าฉันจะง้อเหรอนายกระบือบาล ฝันไปเถอะ!”
ใจเด็ดขับลับตาไปแล้ว สรนุชหันมองไปรอบๆ ทุกอย่างเงียบ มีแต่ป่ากับป่า
สรนุชสูดลมหายใจเข้า เรียกฮึด พูดปลอบใจตัวเอง
“ไม่ต้องกลัว แถวนี้มีรถผ่านมาให้โบกเยอะแยะไป นายกระบือบาลเอ้ยแค่นี้ขู่ผู้หญิงอย่างสรนุชไม่ได้หรอก ชิ เฮ่ย...อากาศสดชื่นจังเล๊ย”
สรนุชสะพายเป้ ทำเป็นเดินยืดแขนเบิกบานเริงร่ากับธรรมชาติ

เวลาเดียวกันนั้นผู้พันชาญณรงค์กำลังยืนอยู่หน้ากล้อง โดยมีสมคิดคอยจัดเสื้อผ้าหน้าผมให้
“เร็วเว้ยไอ้คิด...ฉันหล่อหรือยังวะ”
สมคิด ยกสองหัวแม่โป้งให้ “เลี่ยมแล้มากครับผม”
ชาญณรงค์หัวเราะลั่น อ้าปากกว้าง ชอบอกชอบใจ “ฮ่ะๆๆๆๆ”
สุบินตะโกนลั่น “คัท”
ชาญณรงค์ถึงกับสำลักหัวเราะตัวเอง “แค่กๆๆ อะไรวะ! ยังไม่ทันเล่นเลย คัทซะแล้ว”
“เมื่อกี้แหละครับ เห็นตัวตนของผู้พันชัดแจ๋ว ไม่ต้องแสดง ไม่ต้องพึ่งตัวแสตนด์อิน สมจริงมั่กๆ”
ชาญณรงค์เกาหัวแกรกๆ “เฮ้ย...อะไรวะ”
เกริกไกรพูดสวนออกมา “จะเหมาแสดงคนเดียวทั้งเรื่องเหรอคร๊าบผู้พัน ให้คนอื่นได้แสดงมั่งดิ”
สมคิดกับภิรมย์พูดประสานเสียง “ใช่”
ทั้งสาม ยืนรอพร้อมเข้ากล้องเต็มที่
“ถ้าหมอพร้อมแล้ว ก็เชิญเลยครับ ผมจะนับ...” สุบินเอ่ยขึ้น ตั้งท่าจะนับ
เกริกไกรตะโกนลั่น “เดี๊ยว”
ชาญณรงค์ชักหมั้นไส้ “ลวดลายจริงไอ้นี่ อะไรอีกล่ะ”
“ผมต้องถามก่อนว่านางเอกของผมพร้อมที่จะแสดงคู่กับผมหรือยัง”
สมคิดหันไปทางช่อผกาที่ยื่นชะเง้อรอแต่ใจเด็ด
“คุณช่อผกาคร๊าบ...พระเอกเรียกเข้ากล้องแล้วครับ”
เกริกไกรยิ้มแหยๆ “เฮ้ยมั่วแล้ว นางเอกของผม คือคุณอรอนงค์ต่างหาก”
“แฮ่...อรเป็นทีมงาน ให้คุณช่อผกาเป็นนางเอกน่ะดีแล้ว เชิญค่ะคุณ..”
อรอนงค์เข้ามาดึงแขนช่อผกาเข้ากล้อง แต่ถูกช่อผกาสะบัดแขนแผลงฤทธิ์ เหวี่ยงใส่
“อย่ามายุ่งกับฉัน! ฉันไม่มีอารมณ์จะแสดงอะไรทั้งนั้น”
“ยัยช่อ...แกอย่าทำเสียเรื่องได้มั้ย เดี๋ยวเค้าก็ตัดละครตอนที่ถ่ายฉันไว้ออกซะหรอก”
“จะตัดก็เชิญเลย ฉันมาสนหรอก คุณใจเด็ดไปตามเพื่อนคุณถึงไหนห่ะ ถึงได้หายไปนานขนาดนี้ ไม่ห่วงกันบ้างหรือไง ยังมีอารมณ์ถ่ายกันอยู่อีก”
เจนจิราฟังแล้วมีสีหน้าเจื่อนไปทันที เธอเองก็รู้สึกไม่ต่างจากช่อผกา
“ไม่เห็นมีอะไรที่พวกเราต้องห่วงนี่ครับ ว่าแต่คุณเถอะ...ห่วงหรือหึงครับ?” เกริกไกรเยาะ
“เออ...ฉันหึง หึงผู้หญิงทุกคนที่เข้าใกล้คุณใจเด็ดของฉัน” ช่อผกาว่า
“ถ้างั้นคุณก็ต้องหึงควายด้วยซีครับ เพราะกว่าครึ่งในสถานีนี้ที่ใจเด็ดมันกินนอนด้วยก็เป็นตัวเมีย”
“ไอ้บ้าควาย...ไอ้โรคจิต!”
ชาญณรงค์หงุดหงิดแกมฉุน “กลับบ้านๆ ยัยช่อ เร็วสิไอ้คิด ลากไปขึ้นรถ”
สมคิดเข้าไปดึงตัวช่อผากไปขึ้นรถ
“ฉันไม่กลับ ฉันจะรอคุณใจเด็ด ปล่อยฉันนะไอ้คิด”
“เอ่อ...ฉันกลับก่อนนะ ถ้าต้องการให้ฉันแสดงอีกก็บอก ฉันว่างตลอดเลย” ชาญณรงค์บอก
“อ๋อค่ะ แล้วเราจะติดต่อไป ขอบพระคุณมากนะคะท่านนายพล” อรอนงค์บอกหน้ายิ้มแย้ม
“จ้าหนู แล้วจะติดต่อไปนะ แล้วพี่จะรอ”
ชาญณรงค์เดินกลับไปขึ้นรถที่มีช่อผกานั่งหน้าบูดอยู่...รถแล่นออกไป
“พึ่งรู้นะเนี่ยะ ว่าตาผู้พันบ้ายอ”
สมหญิงหันไปนินทากับภิรมย์ ภิรมย์เบ้ปากเออออห่อหมก
ขณะที่เจนจิราเข้ามาพูดกับเกริกไกร
“ที่จริงช่อผกาพูดก็น่าคิดนะหมอ หัวหน้าไปตามคุณสรนุชนานผิดปรกติ”
“ไม่มีอะไรหรอกเจน ใจเด็ดมันคงเจอคุณสรนุช แล้วพากันไปไหนต่อก็ได้”
เจนจิรายิ่งตกใจ “ไปไหน?”
“ ก็ไปหาข้อมูลถ่ายทำละครไง เธอคิดว่าจะไปไหนต่อเหรอ?” เกริกไกรชักสงสัยท่าทีเจนจิรา
“เอ่อ...เปล่า”
เจนจิราเก็บซ่อนความกังวลใจไว้ ในขณะที่เกริกไกรเดินยิ้มแป้นเข้าไปหาอรอนงค์
“คุณอร นางเอกของผมครับ พระเอกพร้อมแล้ว”

อรอนงค์พูดไม่ออกบอกไม่ถูก รู้สึกอ่อนอกอ่อนใจเหลือกำลัง

 อ่านต่อหน้า 4 เวลา 12.00 น. 




กระบือบาล  ตอนที่ 5 (ต่อ)

ทางด้านสรนุชเดินมาตามถนนที่เป็นเนินเขา เริ่มหมดแรง ปวดเมื่อยขา ล้าไปทั้งกาย เหงื่อท่วมตัวและคอแห้งผากด้วยความหิวกระหายน้ำ

“เมื่อไหร่จะมีรถผ่านมาสักคันนะ เดินมาเป็นกิโลแล้วเนี่ยะเมื่อยขาจะเดินไม่ไหวอยู่แล้ว น้ำก็ไม่ได้ติดมาสักขวด”
แล้วสรนุชก็ต้องชะงัก เมื่อมองลงไปยังถนนที่ลาดชันเบื้องล่าง เห็นรถคันหนึ่งจอดอยู่ข้างทางสรนุชดีใจมาก
“เจอรถแล้ว”
สรนุชออกวิ่งไปทันที พร้อมกับโบกมือตะโกนเรียกลั่นทุ่ง เพราะกลัวรถจะแล่นออกไปเสียก่อน
“รอด้วยค่ะ...รอด้วย...อย่าเพิ่งไป”

สรนุชวิ่งกระหืดกระหอบอย่างดีใจมาเกาะที่ประตูรถ
“ขอติดรถไปด้วยคนนะคะ อุ้ย”
สรนุชต้องหุบยิ้ม เมื่อมองเข้าไปในรถ พบใจเด็ดนอนเอาหมวกปิดหน้ารออยู่ในรถ
“คุณ!”
ใจเด็ดหยิบหมวกออกจากหน้า หันมายิ้มมุมปาก “ก็ผมน่ะซี!นี่เดินเหนื่อยจนตาลายจำไม่ได้เลยเหรอว่านี่รถผม”
“คุณไล่ฉันลงจากรถแล้ว ทำไมไม่ไป ยังจะอยู่ทำอะไรอีกห๊ะ”
“ก็อยู่รอดูคุณน่ะซี ว่าจะหาทางกลับไปเองได้มั้ย”
“ได้ ฉันกลับเองได้”
“แต่นี่มันก็ใกล้จะเย็นแล้วนะคุณ ถ้าคุณจะเดินกลับ ก็คงจะมืดระหว่างทาง แต่ถ้าคุณจะรอโบกรถ ผมก็ขออวยพรให้คุณโชคดี ไปละ”
ใจเด็ดทำท่าสตาร์ทรถ สรนุชรีบเปิดประตูรถขึ้นมานั่งทันที
“อะอ้าว...ไม่กลับเองแล้วเหรอคุณ?”
“ป่านนี้ยัยอรกับสุบินคงเป็นห่วงฉันแย่แล้ว ฉันไม่อยากทำให้เพื่อนไม่สบายใจ คุณเข้าใจมั้ย”
ใจเด็ดยิ้มขำออกมา
“ไม่เห็นจะขำตรงไหนเลย อยู่ใกล้คุณแล้วฉันอยากจะร้องไห้ รีบไปซี”
ใจเด็ดส่ายหน้า ประมาณ นึกในใจนึกว่าจะแน่สักแค่ไหน หันไปบิดกุญแจสตาร์ทรถ...แต่ไม่ติด
“เฮ้ย...ทำไมสตาร์ทไม่ติด?”
สรนุชถอนหายใจอย่างสุดเซ็ง
“มุกนี้เก่าแล้วคุณ ฉันไม่ตลกกับคุณด้วยหรอก”
“ผมไม่ได้เล่นมุก รถสตาร์ทไม่ติดจริงๆ”
ใจเด็ดพูดพลางพยายามบิดกุญแจสตาร์ทรถอีกหลายครั้ง แต่ไม่ติด สรนุชเริ่มหน้าเสีย
“มันจะไม่ติดได้ไง ก็เมื่อกี้คุณยังขับอยู่เลย”
“ผมก็ไม่รู้ อยู่ๆมันเป็นอะไรขึ้นมา ผมจะลงไปดูเครื่อง คุณมาช่วยสตาร์ทที”
ใจเด็ดกดเปิดฝากระโปรงรถ แล้วลงจากรถไป สรนุชข้ามเบาะมานั่งที่คนขับแทน

ใจเด็ดก้มเช็คดูเครื่องยนต์ แล้วตะโกนบอกสรนุช “คุณลองสตาร์ทสิ”
สรนุชบิดกุญแจสตาร์ท แต่ก็ไม่ติด “ไม่ติดอ่ะ”
ใจเด็ดก้มลงไปขยับๆ “เอ๊า...ลองสตาร์ทอีกทีสิคุณ”
สรนุชลองสตาร์ทอีก แต่เครื่องก็ไม่ติดอีกเหมือนเดิม “ติดซี...ติดๆๆๆๆ ทำไมติดอ่ะ”
ใจเด็ดถอนหายใจ “พอเถอะคุณ สตาร์ทไปก็เหนื่อยเปล่า มันไม่ติดหรอก”
“อ้าว ไม่ติดแล้วไงอ่ะ?” สรนุชหงุดหงิด
ใจเด็ดไม่ตอบปิดฝากระโปรงรถ เดินกลับมาหยิบข้าวของในรถใส่กระเป๋าเป้ลายพรางทหาร สรนุชมองด้วยสีหน้างงๆ
“ฉันถามว่าคุณจะเอายังไง?”
ใจเด็ดสะพายเป้ขึ้นหลัง “เราจะทิ้งรถไว้ที่นี่ พรุ่งนี้ค่อยเอารถมาลากไปซ่อม”
“หา” สรนุชตกใจ “ทิ้งรถไว้ แล้วเราจะกลับกันยังไง?”
“เดินกลับ!” ใจเด็ดบอก
“เดิน”
สรนุชตะโกนเสียงสูง ใจเด็ดถอนหายใจ พลางใช้สองมือจับเอวสรนุชอุ้มลงจากรถ
“อ๊ายๆๆ คุณจะทำอะไรฉันน่ะ”
ใจเด็ดวางสรนุชลงยืนกับพื้น
“อย่าเอะอะโวยวายได้มั้ย เดี๋ยวเสือมันก็ออกมาคาบคุณไปกินหรอก” ใจเด็ดเอ็ดเอา
สรนุชหยุดทันที หันมองรอบตัวอย่างระแวดระแวง “แถวนี้มีเสือด้วยเหรอ?”
“ยิ่งกว่าเสือก็มี ถ้าคุณไม่กลัวก็ยืนรอมันอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน ผมไปล่ะ”
ใจเด็ดล็อกรถเสร็จ ใส่หมวก แล้วออกก้าวเดินทันที สรนุชเห็นท่าไม่ดีรีบตามมา
“เดี๋ยวๆ ก็ไหนคุณบอกฉันว่า ถ้าเดินกลับ มันจะมืดระหว่างทางไง”
“อ๋อ...ผมลืมบอกคุณไป ว่าผมรู้ทางลัด หึๆ”
ใจเด็ดยิ้มกวนๆ แล้วเดินนำเข้าป่าข้างทางไป สรนุชยืนกัดฟันกำหมัดมองตามใจเด็ดราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“นายกระบือบาลตัวแสบ วันนี้เป็นทีของนาย รอให้เป็นทีของฉันก่อนเถอะแล้วนายจะจำฉันไปตลอดชีวิต หึ!”
สรนุชก้าวตามไปติดๆ

ใจเด็ดพาสรนุชเดินลุยป่าทั้งที่เป็นที่ลาดเชิงเขาลงไปเบื้องล่างอย่างชำนาญและทะมัดทะแมง โดยมีสรนุชเดินตามหลังมา
จนเมื่อทั้งคู่ผ่านป่าลึกเข้ามาในป่าอีกมุมหนึ่ง...สรนุชเริ่มออกอาการเหนื่อยล้า เดินตามมาใจเด็ดมาข้างหลังอย่างทุลักทุเล เพราะในชีวิตไม่เคยเดินลุยป่า แถมทางที่เดินผ่านเทลาดตลอดทาง จนสรนุชต้องเดินเกาะต้นไม้พยุงตัวมาตลอดทาง
“นี่คุณ รู้แล้วน่าว่าเดินป่าเก่ง แต่ช่วยรอผู้หญิงหน่อยได้มั้ย”สรนุชโวยแกมบ่น
ใจเด็ดหยุดยืนเท้าเอว ยิ้มๆ กับคำพูดของสรนุชที่ยิงมาเป็นชุดๆ
“รู้งี้ ฉันรอกลับกับคุณอบต.โชคชัยเสียก็ดี จะได้ไม่ต้องมาประสบเคราะห์กรรมอยู่กับคุณแบบนี้ ว้าย!”
ขณะกำลังพ่นไฟ สรนุชดันคว้ากิ่งไม้พลาด ทำให้ตัวเลื่อนไถลลงมา ใจเด็ดหันไปคว้าและตะครุบตัวไว้ได้ก่อนที่จะไหลลงไปไกล ทำให้ทั้งคู่อยู่ในท่าที่สรนุชนอนเถือกไถลโดยมีใจเด็ดก้มคร่อมอยู่บนตัว
ใจเด็ดค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองหน้าสรนุชที่อยู่แค่คืบ สีหน้าสรนุชอึ้งมองใจเด็ดแทบลืมหายใจ
“รู้อะไรมั้ยครับคุณสรนุช”
ใจเด็ดพูดด้วยน้ำเสียงเบาและนุ่มหู แทบจะเป็นกระซิบกระซาบ ทำเอาใจสรนุชใจเต้นระส่ำ
“เอ่อ...อะ...อะไรคะ”
“เวลาเดินป่า คุณอย่าพูดมากสิครับ เพราะมันจะเหนื่อย” ใจเด็ดเปลี่ยนเป็นเสียงเข้มขึ้น “สงบปากสงบคำ เก็บแรงไว้เดินดีกว่า”
นึกว่าจะยินคำหวานแต่กลายเป็นถูกด่าสรนุชหน้าเม้งขึ้นมา ใจเด็ดลุกขึ้นยืน พร้อมกับยื่นมือให้สรนุช แต่สรนุชงอนใส่
“ไม่ต้อง...ฉันลุกเองไหว”
ใจเด็ดส่ายหน้าหันเดินต่อ ขณะที่สรนุชลุกขึ้นยืนปัดไม้ปัดมือ ปัดกางเกง ยังไม่วายบ่นออกมาอีก
“ดูดิ...มือถลอกปอกเปิกหมดเลย ฉันว่าเรากลับขึ้นไปรอโบกรถดีกว่ามาเสี่ยงตายเดินลุยป่าแบบนี้”
สรนุชเงยหน้ามองไปอีกที ใจเด็ดหายไปแล้ว
“หา...หายไปไหนแล้วล่ะ”
สรนุชหน้าเสีย หันมองไปทั่วแต่ไม่เห็นแม้แต่เงาใจเด็ด
“นี่คุณ...อย่ามาเล่นบ้าๆอย่างงี้นะ ออกมาเดี๋ยวนี้นะ”
สรนุชเดินไป เรียกไป ใจคอไม่ดี
“นายใจเด็ด ได้ยินไหม๊ คุณอยู่ไหน ออกมาเดี๋ยวนี้นะ นายใจเด็ด”
สรนุชยกมือป้องปากเรียกก้องป่า
มีเสียงใจเด็ดดังตอบมาจากมุมหนึ่ง “วู้…ทางนี้!”
สรนุชหันขวับไปทางที่ได้ยินเสียงใจเด็ดตอบกลับมาไกลๆ แล้วออกวิ่งตามไปทันควัน

สรนุชวิ่งมาแบบไม่คิดชีวิต อยู่ๆ ก็มีมือมาคว้าตัวจับเธอไว้ สรนุชร้องกรี๊ด
“ผมเองคุณ!”
สรนุชมอง เห็นเป็นใจเด็ดก็เงื้อหมัดทุบไม่ยั้ง
“นี่ๆแกล้งฉันสนุกนักเหรอ”
“โอ๊ะๆ...ผมไปแกล้งอะไรคุณ” ใจเด็ดจับมือสรนุชไว้ “หยุดโวยวาย แล้วดูโน่น”
“ดูอะไรของคุณ!”
สรนุชหันมองไปแล้วต้องตกตะลึง...เมื่อเห็นลำธารใสกลางป่า มีสะพานเชือกเชื่อมผ่าน
“มีลำธารกลางป่าด้วยเหรอ?”
สรนุชก้าวเดินไปยืนอยู่บนสะพาน หันมองไปรอบๆ ถูกใจกับวิวทิวทัศน์รอบลำธารที่โอบล้อมด้วยป่าไม้ธรรมชาติอันงดงาม
สรนุชหันมาโบกมือบอกกับใจเด็ด
“ว้าว...สวยมากเลยค่ะ”
ใจเด็ดยิ้ม ยืนมองภาพสรนุชที่เพลิดเพลินลืมเหนื่อยไปแล้ว เปลี่ยนเป็นสดใสร่าเริงผิดจากเมื่อครู่ไปเป็นคนละคน ใจเด็ดเดินตามไปที่สะพาน

บนสะพาน สรนุชหยิบกล้องถ่ายรูปดิจิตัลจากเป้ออกมาหันถ่ายรูปไปรอบๆ อย่างตื่นตาตื่นใจ
กำลังเล็งมุม...หันกล้องไป เห็นใจเด็ดก้าวเดินขึ้นมาบนสะพานอยู่ในกรอบเลนส์กล้องพอดี...สุดจะเท่...
สรนุชชะงักไปนิดนึง ก่อนจะกดชัตตเตอร์รัวถ่ายรูปเก็บอิริยาบถยามเผลอของเขาไว้
พอใจเด็ดหันมามอง สรนุชก็ทำเป็นหันกล้องไปถ่ายมุมอื่น ใจเด็ดเดินเข้ามาถึง ก็ยื่นมือขอกล้อง
“มา...ผมถ่ายรูปคุณให้”
สรนุชหันมามองอย่างชั่งใจ แต่ใจเด็ดก็คว้ากล้องไปแล้วยืนจับภาพมาที่เธอ กดแชะ
“เดี๋ยวซี ฉันยังไม่ทันเตรียมตัวเลย”
สรนุชยืนยิ้มยก 2 นิ้วขึ้นตั้งท่าให้ใจเด็ดถ่าย แล้วใจเด็ดก็เดินเข้ามายืนคู่สรนุช
“จะทำอะไรอีก?”
“ขอถ่ายคู่กับดาราหน่อย”
“เอ่อ...”
สรนุชจะค้านแต่ใจเด็ดหันกล้องมาถ่ายเสียแล้ว
เสียงชัตเตอร์ดัง แชะ! ใจเด็ดยิ้มแป้นถ่ายรูปคู่กับสรนุช

ทางด้านอบต.โชคชัยขี่มอเตอร์ไซค์ลงจากเขามา หลังจากคุยธุระกับครูสีดาเสร็จแล้ว พอขี่พ้นโค้งหักศอกก็มองเห็นรถของใจเด็ดจอดอยู่ริมถนนข้างล่าง โชคชัยเขม้นมองเห็นหลังรถติดสติกเกอร์ของสถานียิ่งแน่ใจ
“นั่นรถหัวหน้าใจเด็ดนี่ เอ้...มาจอดอะไรอยู่ตรงนี้”
โชคชัยรีบขี่รถเข้าไปจอดอยู่ที่ด้านหลังรถ แล้วเดินลงไปชะโงกดูที่รถ แต่ไม่พบใคร
“เอ้...หายไปไหนกันหมด”
โชคชัยลองเปิดประตูรถดู ปรากฏว่าล็อก โชคชัยยืนหันมองหาไปทั่ว...แต่ไม่เห็นใคร
“หัวหน้าใจเด็ด! คุณสรนุชครับ! อยู่แถวนี้รึเปล่า?”
โชคชัยลองตะโกนเรียกอีก แต่เงียบ ไม่มีเสียงตอบ
“หรือว่ารถจะเสีย คงโบกรถใครไปแล้วมั้ง”
โชคชัยหันมองดูรอบๆ แน่ใจว่าทั้ง 2 ไม่อยู่แถวนี้แน่ โชคชัยเดินกลับขึ้นมอเตอร์ไซค์ ขี่ออกไป

สรนุชยืนอยู่ในลำธารกำลังใช้ 2 มือ วักน้ำขึ้นมาดื่มอย่างกระหาย
“เฮ่ย...ชื่นใจจังเลย”
“เฮ้ยคุณ...กินน้ำเข้าไปได้ยังไง” ใจเด็ดอึ้ง
สรนุชตกใจ “ทำไม...น้ำนี้กินไม่ได้เหรอ อ้วก”
สรนุชหันไปพยายามจะอ้วกน้ำออกหน้าดำหน้าแดง
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก ผมแค่ถามดู ไม่คิดว่าคนอย่างคุณจะกล้ากินน้ำในป่าแบบนี้ได้”
สรนุชหยุดกึก หันมามองอย่างฉุน ใจเด็ดชี้หน้าขำ
“ฮ่ะๆๆ ดูคนสวยซี หน้าดูไม่จืดเลย อ้วกจนหน้าเขียวหน้าแดง”
“กวนประสาท! ทำฉันตกใจแทบตาย นี่แน่ะ!”
สรนุชวักน้ำสาดใส่ใจเด็ดอย่างเจ็บใจ
“โอ๊ย...จะเล่นกันอย่างงี้เหรอ นี่แน่ะๆ”
ใจเด็ดวักน้ำใส่สรนุชคืนบ้าง
“อ๊าย...เปียกหมดแล้ว ไม่เล่นแล้ว ฮิๆ บอกว่าไม่เล่น”
สรนุชหัวเราะพลางวิ่งหนีใจเด็ดที่ตามไล่กวักน้ำใส่...เสียงทั้ง 2 หัวเราะสนุกสนานก้องป่า เห็นภาพน้ำกระเซ็นเป็นละอองสวยๆ

ครู่ต่อมาสรนุชในสภาพผมเผ้าเสื้อค่อนข้างเปียก หิ้วรองเท้าผ้าใบ เดินเล่นก้าวข้ามลำธารไปตามโขดหิน โดยมีใจเด็ดก้าวเดินตามหลังมา
“อีกไกลมั้ยอ่ะ กว่าเราจะกลับถึงสถานี?” สรนุชถามขึ้นมา
“กว่าจะไปถึงโน่น ก็คงจะมืด” ใจเด็ดบอก
“หา...ถึงมืดเลยเหรอ! งั้นรีบไปเหอะ ฉันไม่อยากอยู่ในป่าตอนกลางคืน” สรนุชตกใจ
“ทำไม กลัวผมหรือกลัวเสือ”
สรนุชหันมาทำย่นจมูกใส่ “กลัวนายนั่นแหละ”
สรนุชหันตัวไป รีบก้าวเดิน ใจเด็ดตะโกนบอก
“ระวังนะคุณ ไม่ต้องรีบ ก้อนหินมันลื่น”
แต่ใจเด็ดพูดไม่ทันขาดคำ สรนุชก็ก้าวพลาด จะล้มหงายหลัง
“อ๊ายๆๆๆ”
ใจเด็ดตกใจรีบก้าวกระโดดข้ามก้อนหินไปยืนประชิดรับตัวสรนุชไว้ได้ทางด้านหลัง
“อุ๊บ! เกือบไปแล้วคุณ”
สรนุชโล่งอก แต่แล้ว...ทั้ง 2 ก็พบว่า เวลานี้ใจเด็ดกำลังโอบกอดสรนุชไว้อย่างแนบแน่น มือของใจเด็ดประสานอยู่ที่เอวของสรนุช บรรยากาศโรแมนติกกลางสายธาร ดูเหมือนจะเป็นใจทำให้ทั้งสอง รู้สึกแปลกๆ ในหัวใจอีกครั้ง ใจเด็ดค่อยๆ คลายมือออกจากตัวสรนุช แล้วถามแก้เก้อขึ้นมา
“เอ่อ...พร้อมจะลุยป่ากันต่อหรือยังครับ”
“เอ่อ...พร้อมแล้วค่ะ”
“งั้นคุณตามผม”
ใจเด็ดก้าวข้ามก้อนหินไปก่อน แล้วหันมายื่นมือให้สรนุช สรนุชมองมือใจเด็ด...ลังเล...ถ้าเธอตอบรับไมตรีของเขาครั้งนี้ นั่นหมายถึงเธอได้นำตัวเองถลำลึกเข้าไปอีก แต่แล้วสรนุชก็ยื่นมือไปจับมือเค้า ให้เขาพาเธอเดินข้ามก้อนหินไป

เวลาผ่านไปจนใกล้ค่ำ ขณะนั้นพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าแล้ว สถานีบำรุงพันธุ์สัตว์ โชคชัยขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาในสถานี เป็นเวลาเดียวกับที่การถ่ายทำเสร็จแล้ว ทุกคนกำลังจะแยกย้ายสลายตัวกัน
“อ้าวคุณโชคชัย มาซะเย็นเลยวันนี้” เจนจิรายิ้มทัก
“หวัดดีครับทุกคน หัวหน้าใจเด็ดกับคุณสรนุชมาถึงสถานีแล้วใช่มั้ยครับ”
คำถามของโชคชัยทำเอาทุกคนชะงักหันมามองโชคชัยด้วยความแปลกใจเป็นตาเดียว
“คุณโชคชัยไปเจอ 2 คนนั้นมาเหรอคะ”
“อ๋อครับ เจอกันที่บ้านครูสีดาน่ะ แล้วคุณสรนุชก็กลับมากับคุณใจเด็ด”
สุบินกับอรอนงค์หันมามองหน้ากันแล้วยิ้มแหยๆ
“ยังเลยครับ 2 คนนั่นยังไม่เห็นกลับมาเลย” เกริกไกรบอก
“แย่ล่ะสิ!” โชคชัยเริ่มกังวล
“ทำไมเหรอคะคุณโชคชัย เกิดอะไรขึ้น” เจนจิราซักไซ้
“ผมเจอรอคุณใจเด็ดจอดเสียอยู่ข้างทางบนเขาน่ะสิครับ แต่คุณใจเด็ดกับคุณสรนุชไม่อยู่ที่รถ ผมก็คิดว่า 2 คนนั่นโบกรถใครสักคนกลับมาแล้ว”
สีหน้าทุกคนตกใจ ภิรมย์ออกความเห็น
“บ้านครูสีดาอยู่ไกลหลังเขาแบบนั้น ไม่ค่อยมีรถผ่านไปหรอกครับ”
“ถ้างั้น...แล้วหัวหน้ากับคุณสรนุชหายไปไหนล่ะ ทำไมไม่อยู่ที่รถ หรือว่า...ถูกสิงสาราสัตว์มันลากตัวไป หรือไม่ก็ถูกลักพาตัว” สมหญิงคิดไปโน่น
นิสัยวิตกจริตกำเริบ อรอนงค์ยิ่งตกใจมากขึ้น “คุณพระช่วยยัยนุช”
“เอาเข้าไป! อย่าเพิ่งตื่นตูมซีครับ แค่รถเสียกลางทาง ไม่ตายหรอกครับยังไงใจเด็ดก็ต้องพาคุณสรนุชกลับมาจนได้” เกริกไกรปลอบ
“แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะหมอ” เจนจิรายิ่งกังวลกว่าใคร
“ไม่เห็นต้องทำอะไรเลย ก็แค่รอ เดี๋ยว 2 คนนั่นก็กลับมา”
เกริกไกรบอก แต่ทุกคนยังดูกังวลไม่หาย

เวลาเดียวกันใจเด็ดเดินนำสรนุชมาตามทางในป่า ท้องฟ้าเริ่มมืดลง บรรยากาศภายในป่าเริ่มมืดสลัว มีหมอกลงบางๆ อากาศเย็นลงเรื่อยๆ
เสื้อผ้าที่เปียกปอนของสรนุช ทำให้สรนุชเริ่มหนาว จนเดินกอดอกมือถูแขนไปตลอดทาง
ใจเด็ดหันมาเห็น...ถอดเสื้อแจ๊กเก็ตตัวนอกออก หันเดินเข้ามาคลุมตัวให้สรนุช
สรนุชหยุดมองหน้า “ขอบคุณค่ะ”
“อุ่นขึ้นมั้ยครับ”
“เอ่อ...ค่ะ”
“เดินพ้นต้นไทรใหญ่ข้างหน้านั่น ก็พ้นแนวป่า เจอถนนเข้าหมูบ้านแล้วครับ”
สรนุชยิ้มออก “เหรอคะ! เฮ่อ... โล่งอก นึกว่าต้องนอนค้างในป่าซะแล้ว”
“ถึงนอนค้างในป่าก็ไม่อันตรายหรอกครับ ป่าแถวนี้ไม่มีเสือ”
“อ๋อเหรอ...แปลว่าคุณหลอกฉันมาตลอดว่ามีเสือ”
ใจเด็ดหลุดขำ “ก็ผมนึกว่ามีแต่เด็ก 5 ขวบเท่านั้นที่กลัวเสือ “
สรนุชกัดปากกระทุ้งศอกใส่ใจเด็ด ยิ้มค้อนใส่ ใจเด็ดยิ้ม แล้วทั้ง 2 ก็เดินเคียงคู่กันไป มิตรภาพได้ก่อตัวขึ้นในใจสองดวงแล้ว ภายในป่าแห่งนี้

ความมืดได้แผ่ตัวปกคลุมไปทั่วสถานีแล้ว ทำเอาทุกคนร้อนใจ โดยเฉพาะเจนจิรา อรอนงค์ สุบิน
เจนจิราลุกขึ้นทำท่าจะเดินไป “ฉันไม่รอแล้ว”
เกริกไกรเห็นรีบถามทันที “จะไปไหนเจน”
“ฉันจะขึ้นเขาไปตาม 2 คนนั่น หมอใจเย็นจะนั่งรอต่อไปก็ตามใจ”
อรอนงค์เอาด้วยเพราะห่วงสรนุช “อรไปด้วยค่ะ”
ในขณะที่อรอนงค์กับสุบินลุกจะเดินตามเจนจิราไป แต่ระหว่างนั้นภิรมย์มองไปที่ประตูทางเข้าสถานี แล้วเอ่ยขึ้น
“ไม่ต้องไปตามหรอกครับ มาโน่นแล้ว”
ทั้งหมดหันมองไป....เห็นใจเด็ดกับสรนุชเดินเข้ามาในสถานี
ทุกคนลุก รีบเดินเข้าไปหา โดยมีอรอนงค์วิ่งนำไปก่อนอย่างร้อนใจ
“ยัยนุช” อรอนงค์วิ่งเข้ามากอดสรนุช
สรนุชอึ้ง “เป็นอะไรยัยอร”
“เป็นอะไรล่ะ ก็เป็นห่วงเพื่อนน่ะสิ แกหายไปไหนมา”
“เปล่านี่ ก็แค่รถเสียอยู่บนเชิงเขาโน่น คุณใจเด็ดก็เลยพาฉันเดินลัดป่าออกมา” สรนุชอธิบาย
“อ๋อนี่...เรา 2 คนทำให้ทุกคนเป็นห่วงเหรอเนี่ยะ?” ใจเด็ดอึ้ง
“ก็ใช่น่ะสิ เล่นหายกันไปแบบนี้ ใครจะไม่เป็นห่วง”
เจนจิราลืมตัวพูดกระชากเสียง แสดงความฉุนเฉียวออกมาโดยไม่รู้ตัว
“เอ๊า...เค้าแกล้งหรือไง ก็รถมันเสีย เธอจะโกรธอะไรห๊ะเจน” เกริกไกรงง
เจนจิรานึกขึ้นได้ “เอ่อ...ขอโทษค่ะ ก็เจนเป็นห่วง”
“ผมต้องขอโทษทุกคนด้วยที่ทำให้เป็นห่วง อยู่ๆ รถมันก็สตาร์ทไม่ติดผมกลัวว่าขืนรอใครผ่านมา จะต้องยืนรอจนมืด ก็เลยพาคุณสรนุชเดินมาตามทางลัดป่า” ใจเด็ดสรุป
“คุณ 2 คนกลับมาโดยปลอดภัยก็ดีแล้วครับ งั้นผมกลับก่อนกลับก่อนนะครับคุณสรนุช”
โชคชัยล่ำลาสรนุชด้วยสายตาที่อ่อนโยนเปลี่ยนไปจากเดิม
“ค่ะ” สรนุชยิ้มให้
โชคชัยขึ้นมอเตอร์ไซค์ขี่ออกไป สรนุชถอดเสื้อแจ๊กเก็ตส่งคืนใจเด็ด
“เอ่อ...นี่เสื้อของคุณค่ะ ขอบคุณนะคะ”
ใจเด็ดยิ้มรับ “เดินลุยป่ามาทุลักทุเล คุณไปพักผ่อนเถอะครับ”
เจนจิราจับจ้องทั้งสอง รับรู้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่ทั้งสองมีให้ต่อกัน เจนจิราใจหายวูบ
สรนุชหันตัวเดินไป อรอนงค์กับสุบินตามไป
“ฉันก็ต้องขอตัวนะ เดินลุยป่าจนเมื่อย ไปละ”
ใจเด็ดเดินไป เจนจิราแอบมองตามตาละห้อย
“เห็นมะ บอกแล้วว่าไม่ต้องเป็นห่วง” เกริกไกรตบไหล่ภิรมย์ “เราไปหาอะไรกระแทกปากสู้ภัยหนาวกันดีกว่า”
ภิรมย์ตกลงทันที “โอเช...”

กลางดึกคืนนั้นผู้คนภายในสถานีต่างหลับใหลไปหมดแล้ว ในห้องนอนของสรนุชที่เรือนรับรอง อรอนงค์นอนหลับไปแล้วด้วยความเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย เช่นเดียวกับสุบินในห้องข้างๆ
ทว่าสรนุชกลับนอนไม่หลับถึงแม้จะหาวหวอดๆ ภายในใจปั่นป่วนหวนคิดเรื่องเมื่อตอนบ่าย และความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นกับใจเด็ด
สรนุชนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่ตนก้าวข้ามโขดหินพลาด จะล้มหงายหลัง แล้วใจเด็ดตกใจรีบก้าวข้ามก้อนหินไปยืนประชิดรับตัวสรนุชไว้ได้ทางด้านหลัง เขาโอบกอดเธอสรนุชไว้อย่างแนบแน่นท่ามกลาง บรรยากาศโรแมนติกกลางสายธาร
นึกถึงตรงนี้สรนุชลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง ยืนมองไปที่พระจันทร์เต็มดวง...ภายในใจของสาวแกร่งเริ่มหวั่นไหว

ส่วนใจเด็ดเองก็กำลังนั่งมองพระจันทร์ดวงเดียวกันกับสรนุช พร้อมกับนึกไปถึงอิริยาบทสดใสต่างๆของสรนุชยามเมื่ออยู่ที่ลำธารกลางป่า ภาพเหตุการณ์ที่ใจเด็ดก้าวข้ามก้อนหินไปก่อน แล้วหันมายื่นมือให้สรนุช สรนุชมอง มือใจเด็ดอย่างลังเล...ก่อนจะยื่นมือไปจับมือ ให้เขาพาเธอเดินไป
มือเรียวสวยของสรนุชที่ยื่นให้เขา มันเหมือนสะพานเชื่อมใจทำให้ใจเด็ดพบว่าได้หลงรักสรนุชเข้าแล้ว โดยไม่รู้ตัว

ใจเด็ดยิ้มบางๆออกมา ใบหน้าเปี่ยมสุขล้น

อ่านต่อตอนที่ 6



กำลังโหลดความคิดเห็น