ปางเสน่หา ตอนที่ 12
คำถามของเสียงหวานทำให้จุรีเอะใจ
“คุณหนู ...”
“ป้าลองเดินออกไปซิคะ”
“ค่ะ”
จุรีโขยกเขยกจูงจักรยานเดินผ่านออกไปอย่างง่ายดาย เสียงหวานถึงกับหน้าเสีย
“ทำไมป้าออกได้ แล้วหนูออกไม่ได้ล่ะคะ”
“ลองใหม่ซิคะ คุณหนูลองเดินออกมาใหม่”
เสียงหวานลองเดินออกมาอย่างไม่มั่นใจนัก แต่แล้วเธอก็เหมือนชนกำแพงอีก คราวนี้เสียงหวานถึงกับร้องไห้ออกมา
“ทำไมหนูออกไปไม่ได้ มีอะไรเกิดขึ้นกับหนู”
จุรีมองเสียงหวานอย่างสงสาร
“โถ คุณหนู ป้าก็ไม่ทราบค่ะ ไม่ทราบจริง”
เสียงหวานพยายามจะวิ่งออกไปทางโน้นทีทางนี้ทีให้ทั่วไปหมดอย่างน่าสงสาร
“ทำไมหนูออกไปไม่ได้ ทำไม ...”
“เดี๋ยวค่ะ ...คุณหนู...คุณหนูจำป้าได้หรือเปล่าคะ”
เสียงหวานชะงักมองจุรี
“ไม่ค่ะ แล้วป้ารู้จักหนูหรือคะ”
จุรีหน้าสลดลงด้วยความเวทนา
จุรีมาหาศรีตรังที่บ้านแล้วเล่าเรื่องเสียงหวานให้ฟัง สีหน้าศรีตรังเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ”
“ถ้าไม่ประสบกับตัวเอง ป้าก็จะไม่เชื่อเด็ดขาดเลยค่ะ”
ศรีตรังถึงกับกุมขมับ
“ไอ้เตมันบอกว่าอยู่ดีๆ คุณหนูเผือกก็หายไป หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ...เรียกเท่าไหร่ก็ไม่มา...แต่ป้าจุเห็นเธอกลับมาอยู่ที่เดิม”
“มิหนำซ้ำยังออกจากบริเวณที่เคยเป็นบ้านพักหลังนั้นไม่ได้อีกด้วยค่ะ”
“ก็แปลว่าทุกอย่างวนกลับมาที่เดิม คุณหนูเผือกกลับมาที่นี่ ...”
“แต่จำอะไรไม่ได้เลย”
“คงต้องรอให้ไอ้เตมาถึงเสียก่อน”
เจนจิราเดินเข้ามา สีหน้าแจ่มใสทันทีที่ได้ยินชื่อ “เต”
“คุณเตจะกลับมาอีกแล้วหรือคะ” ศรีตรังและจุรีสบตากันเซ็งๆ “นี่แสดงว่า คุณเตต้องคิดถึงเจน”
“ป้าจุ พาศรีไปหน่อยซิคะ”
“ไปค่ะ”
จุรีและศรีตรังเดินออกไป
“รอด้วย จะไปไหน เจนไปด้วย”
เจนจิราพูดพลางรีบตามไป
ศรีตรังมาที่บ้านพักเตชิตขณะนั้นเสียงหวานนอนขดตัวอยู่มุมหนึ่ง ศรีตรังและเจนจิราเดินตามจุรีมา
“ยังอยู่หรือเปล่าคะ”
ศรีตรังกระซิบถามจุรี จุรีกระซิบตอบ
“นอนหลับอยู่ตรงนั้นแน่ะค่ะ”
“ป้าจุชี้อะไรคะ” เจนจิราถามอย่างแปลกใจ
“จุ๊ อย่าเสียงดัง กลับกันเถอะค่ะป้าจุ อย่าไปกวนเขาเลย”
จุรีพยักหน้า แล้วค่อยๆ ย่องตามศรีตรังออกไป เจนจิราย่องตาม
“ทำไมต้องย่องต้องกระซิบกันด้วยล่ะคะ”
“เดี๋ยวคุณหนูเผือกเธอได้ยินค่ะ”
“ใครคะ คุณหนูเผือก”
“เธอเป็นเจ้าแม่อยู่แถวนี้คะ”
“หมาย ... หมายถึง ผีหรือคะ”
“ทำนองนั้นค่ะ”
เจนจิราหน้าเสีย ไม่กล้าซักอีกต่อไป
ขณะที่เตชิตกำลังขับรถมาไร่สุขศรีตรัง...เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“ว่าไง” เตชิตถามไปถามสายเมื่อเห็นเบอร์ที่โทรเข้ามา
“เกือบถึงหรือยัง”
“อีกประมาณ 45 นาทีเป็นอย่างช้า”
“แกอย่ามาที่บ้านฉันนะ ยัยเจนกำลังรอตะครุบแกอยู่ ให้เลยไปที่บ้านลุงสม ฉันกับป้ามีอะไรจะเล่าให้ฟัง”
“เออ”
เตชิตปิดโทรศัพท์...ศรีตรังชะโงกดูหน้าบ้านเห็นเจนจิรานั่งรอเตชิตอยู่
“นางจะเอาใครแน่ระหว่างอีตาพอลกับไอ้เต”
ศรีตรังค่อยๆ ย่องออกทางหลังบ้าน
ที่บ้านปรกเดือนแจ๋ววางแก้วน้ำลงบนโต๊ะแล้วเดินออกไป ปรกเดือนและพอลนั่งนิ่งกันไป โดยปรกเดือนมีน้ำตาคลอ
“ไม่รู้ซิคะ เดือนรู้สึกว่าเป็นเพราะเดือนดึงสร้อยพระออกมา”
“อย่าโทษตัวเองเลย ยังไงทางโรงพยาบาลเขาก็ต้องให้เอาออก ...ปัญหาอยู่ที่ว่าใครเป็นคนเอามาสวมให้ดาว”
ปรกเดือนนิ่งคิดครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นในที่สุด
“จะเป็นไปได้มั้ยคะที่เพื่อนโรคจิตของคุณ”
“ผมว่าจะถามมันดู”
“ถามจริงๆ เถอะ คุณคบคนอย่างนั้นเป็นเพื่อนได้ยังไง นี่ถ้าเดือนไม่เห็นแก่คุณละก็ ...”
“ไอ้เตมันไม่ใช่คนอย่างนั้น ถึงผมจะไม่ชอบขี้หน้ามัน แต่ผมก็ยืนยันได้”
“เขาเป็นตำรวจด้วยใช่ไหมคะ”
พอลพยักหน้ารับ ปรกเดือนมองพอลอย่างเพ่งพิศ
“ต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่ๆ” พอลนิ่งไม่ตอบ “พอลคะ”
“เอาไว้ผมจะเล่าให้ฟังวันหลัง ผมจะกลับละ...”
“ขอบคุณคะที่มาส่ง”
“ไม่เป็นไร” พอลลุกขึ้น ปรกเดือนลุกจะเดินออกไปส่ง “ไม่ต้องออกไปหรอก กำลังท้องกำลังไส้ เดี๋ยวเกิดหกล้มขึ้นมา เสี่ยเอาเรื่องผมตาย”
“โอ๊ย เขาคงจะขอบใจคุณด้วยซ้ำ เขาไม่ได้อยากมีสักหน่อย” ปรกเดือนประชด
“ไม่เอาน่า เขาก็พูดไปอย่างนั้นเอง ยังไงผมก็ยังยืนยันว่าเสี่ยรักคุณมาก ตั้งแต่เลิกกับเจนจิราแล้ว เขาก็ย้ายเข้ามาอยู่กับคุณเลยไม่ใช่หรือ” ปรกเดือนนิ่ง “ไปละ”
ปรกเดือนยิ้มให้ มองพอลเดินออกไป
พอลเดินกลับมาที่รถ พอขึ้นรถพอลนั่งพิงพนักแล้วภาพศรีตรังก็ซ้อนเข้ามาในห้วงความคิด พอลสตาร์ทรถสีหน้ามุ่งมั่นบางอย่าง
เตชิตขับรถมาบ้านสมตามที่ศรีตรังบอก เมื่อมาถึงเตชิตนั่งกินข้าวกับศรีตรัง สม จุรีพร้อมกับคุยกันไปด้วย
“น้ำพริกอร่อยจัง”
“ก็ป้ารู้นี่คะว่าคุณเตชอบรสนี้”
“ไหนแกว่าจะเล่าอะไรให้ฉันฟังไง ไอ้ศรี”
“ไม่เอา ยังไม่เล่า เดี๋ยวแกจะเกิดปิติจนกินข้าวไม่ได้”
“เล่าเถอะน่า”
“ด้วยความเคารพ ...คุณจุแกเจอ...” ศรีตรังขัดทันที
“ด้วยความเคารพ ลุงสมค่ะ...”
“ขอประทานโทษครับ”
“เฮ้ย ทำไมต้องทำลึกลับขนาดนี้”
“ก็เพราะมันเป็นเรื่องลึกลับน่ะซิคะ” เตชิตชะงัก
“เกี่ยวกับเสียงหวานหรือเปล่า” สีหน้าแต่ละคนเงียบกริบ “ต้องใช่แน่ๆ เสียงหวานอยู่ที่ไหน”
จุรีหันหน้ามามองศรีตรัง ศรีตรังพยักหน้าอนุญาต
“ที่เดิมค่ะ”
“ที่เดิม”
“ก็บริเวณที่เคยเป็นบ้านพักหลังที่แกมาอยู่ไง” เตชิตลุกขึ้นทันที “เฮ้ย! แกจะไปไหน”
“ไปหาเสียงหวาน”
เตชิตพูดพลางรีบเดินออกไป ศรีตรังลุกตามและรีบเดินมาดึงแขนเตชิตไว้
“เดี๋ยว ไอ้เต”
“อะไรอีกล่ะ วันนี้แกทำไมแปลกๆ” จุรีและสมตามออกมา
“แกต้องตั้งสติก่อน”
“ทำไม แกพูดเหมือนมีอะไรเกิดขึ้นกับเสียงหวาน ...หรือว่า เขากลายเป็นโครงกระดูก”
“ไม่ใช่”
“ค่อยยังชั่ว ไปละนะ”
“อย่าคาดหวังมากนะครับคุณเต ด้วยความเคารพ” สมตะโกนตาม
“ไปดูกันดีกว่าค่ะ”
จุรีบอก ศรีตรังพยักหน้า ทุกคนเดินตามเตชิตไป
เตชิตเดินเข้ามาในบ้านพักช้าๆ นัยน์ตาจับจ้องมองภาพเบื้องหน้าอย่างตื่นเต้น เมื่อเห็นเสียงหวานกำลังนั่งกอดเข่าซบหน้าลงไป ท่าทางดูว้าเหว่อย่างยิ่ง เตชิตเดินเข้ามาใกล้ๆ ช้าๆ ดวงตามองเสียงหวานอย่างอ่อนโยนรักใคร่
“เสียงหวาน ...” เสียงหวานเงยหน้าขึ้น “เสียงหวาน คุณไปอยู่ไหนมา ผมคิดถึงคุณจะแย่”
จุรี สม ศรีตรัง ตามมาแอบดู
“ด้วยความเคารพ ผมเห็นคุณเตพูดอยู่คนเดียวเหมือนเคยครับ” สมกระซิบบอก
“ศรีก็เหมือนกันค่ะ”
“แต่ป้าเห็นเธอพูดอยู่กับคุณหนูเผือกค่ะ”
เสียงหวานมองหน้าเตชิตเหมือนไม่เคยเห็นหรือรู้จักมาก่อน
“คุณ... คุณเรียกฉันเสียงหวานหรือคะ”
“ก็ใช่นะสิ ผมเรียกคุณว่าเสียงหวาน ...”
“แต่ฉันไม่เคยรู้จักคุณมาก่อนเลย” ประโยคนี้ทำให้เตชิตถึงกับชะงัก
“ผมชื่อเตชิตไง”
เสียงหวานส่ายหน้า
“ไม่เคยได้ยินค่ะ”
“เตห่างล่ะเอ้า ! รู้จักไหม”
“ไม่เคยอีกเหมือนกันค่ะ”
“ไม่เอาน่า เลิกเล่นเสียที ผมดีใจแทบตายที่ได้พบคุณ คุณหายไปไหนมา”
เสียงหวานยกมืออุดหู
“โอ๊ย! ฉันไม่รู้จักคุณ ไม่รู้เรื่องที่คุณพูดเลยสักอย่าง”
“ผมไม่เชื่อ”
“ไปให้พ้น ฉันไม่รู้จักคุณ ฉันปวดหัว”
“ไอ้เต ไปกันเถอะ”
ศรีตรังเรียก เตชิตหันไปมอง
“ไอ้ศรี แกเป็นพยานให้ฉันได้ เสียงหวานรู้จักฉัน”
“บางทีฉันก็ไม่แน่ใจ เพราะเห็นแกพูดออกท่าออกทางอยู่คนเดียว”
“ขอบใจมากเลย คุณเพื่อน ถ้าจะมีพยานอย่างแกละก็ อย่ามีเสียดีกว่า”
“เออ...เออ ขอโทษว่ะ”
เตชิตหันมามองเสียงหวาน
“ไม่เป็นไร ผมจะให้เวลาคุณคิดทบทวนเรื่องราวทั้งหมดก่อนค่อยๆ คิด ไม่ต้องรีบร้อน ถ้าคุณนึกได้แล้วเราค่อยมาคุยกัน”
เสียงหวานมองเตชิตอย่างงุนงง
คืนนั้นเตชิตมาพักที่บ้านสม ขณะที่เตชิตกำลังนอนหลับสนิทอยู่ที่ชั้นล่างของบ้าน เสียงหวานก็ปรากฎตัวขึ้น เธอเดินรอบๆ เตียงของเตชิตแล้วก้มมองเตชิตอย่างเพ่งพิศ เตชิตรู้สึกตัวลืมตาขึ้นมอง
“เสียงหวาน คุณจำผมได้แล้วใช่ไหม”
เสียงหวานส่ายหน้า
“เปล่าค่ะ แต่ฉันแปลกใจที่ฉันออกจากที่นั่นมาพบคุณได้”
“ก่อนที่ผมจะได้มาพบกับคุณ คุณก็อยู่อย่างนั้น คุณพยายามจะพูดกับคนที่มาพัก ซึ่งบางคนก็เห็นคุณ แล้วก็กระเจิดกระเจิงหนีไป ส่วนอีกหลายๆ คนก็ไม่เห็นคุณ มีผมคนเดียวที่เห็นคุณแล้วไม่หนี”
ตลอดเวลาที่เตชิตเล่า เสียงหวานทำสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิดตาม
“ไม่น่าเป็นไปได้”
“เชื่อเถอะว่ามันเป็นไปแล้ว และผมดีใจมากแค่ไหนที่ได้พบคุณ”
เสียงหวานถอนใจยาว
“แต่ฉันจำคุณไม่ได้จริงๆ”
สีหน้าเสียงหวานดูเสียใจ และยอมรับผิด
เช้าวันรุ่งขึ้นที่บ้านจุรี จุรีเดินเข้ามาในห้องอ้อย
“อ้อย”
อ้อยหันมามองแล้วร้องลั่น
“ผีหลอก”
“หน็อย นังอ้อย ผีบ้าผีบอที่ไหน”
“ก็แม่เล่นเข้ามาเงียบๆ อ้อยก็ตกใจน่ะซิ”
“ฟังมันพูด ฉันจะเข้ามาดูแกว่าหายหรือยัง”
“หายแล้ว แต่ที่ไม่หายอย่างเดียวคือเจ็บใจ มันถือว่ามันเป็นผี คิดจะหลอกใครก็ได้”
“เอ็งนี่พูดแปลกๆ”
“จริงนะแม่ ชาตินี้อ้อยกับนังเกษเห็นจะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้”
“อ้อย เอ๊ย! คุณลูกอ้อย แกกับเกษน่ะมันอยู่ร่วมโลกกันที่ไหน แกอยู่โลกมนุษย์ เกษเขาอยู่โลกวิญญาณ”
“โลกวิญญาณ อ้อยก็จะไม่ให้มันอยู่คอยดูนะแม่”
สีหน้าอ้อยเกรี้ยวกราดอย่างยิ่ง
เตชิตมาหาศรีตรังที่บ้านและนั่งกินอาหารเช้ากับศรีตรัง
“เป็นไงบ้าง ได้ปรับความเข้าใจกันหรือเปล่า”
ศรีตรังถามเตชิต
“ปรับ แต่ก็ยังไม่เข้าใจจนแล้วจนรอด”
เสียงหวานปรากฏขึ้น
“อะลัดตั๊ตต๊า มาแล้วค่ะ มาแล้ว”
จุรีบอกเมื่อเห็นเสียงหวาน จังหวะนั้นเจนจิราเดินเข้ามาพอดี
“คุณเต สวัสดีค่ะ อุ๊ย ตื่นเต้น ๆ” เจนจิราเดินมาแทรกกลางระหว่างเตชิตกับศรีตรังทันที “มาถึงเมื่อไหร่คะเนี่ย แหมน่าจะบอกเจนล่วงหน้า เจนจะได้เตรียมต้อนรับขับสู้ให้ดีกว่านี้”
ศรีตรังกระแอม
“ขอโทษค่ะ ฉันเป็นเจ้าของที่นี่ เป็นเจ้าของไร่สุขศรีตรัง”
“อุ๊ยต๊าย มีหึง”
“ไม่มีค่า เพราะเตมันเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของฉัน”
“ถ้าอย่างนั้นเจนไม่เกรงใจละนะคะ”
ตลอดเวลาเสียงหวานมองภาพเหล่านั้นเหมือนจะพยายามทบทวนความทรงจำ ทันใดนั้นเสียงหวานก็ต้องสะดุ้ง
“โอ๊ย”
“เป็นอะไร เสียงหวาน”
เตชิตถามอย่างตกใจ ทุกคนชะงักมองเตชิต ซึ่งมีจุรีคนเดียวที่เห็นเสียงหวาน เสียงหวานลุกขึ้นแล้วปลิวเหมือนถูกลมหอบพาไป เตชิตผุดลุกตาม
“เสียงหวาน คุณจะไปไหน เสียงหวาน”
เจนกจิรามองเตชิตหวาดๆ แล้วกระซิบกับศรีตรัง
“เจนว่าเจนเปลี่ยนใจดีกว่า...หล่อแต่เพี้ยนนี่ก็ไม่ไหวเหมือนกันนะคะ” ศรีตรังยิ้ม “เจนขอคืนคุณเตชิตให้คุณศรีตรังค่ะ”
“ไอ้เต คุณเจนจิราบาร์บี้เขาคืนแกให้ฉันแล้วแน่ะ”
ศรีตรังบอกเตชิตที่กลับมานั่งหน้าเศร้า
“หายไปอีกแล้ว เสียงหวานกลับมาคราวนี้ไม่เหมือนเดิมเลย”
เสียงโทรศัพท์ศรีตรังดังขึ้น ศรีตรังหยิบขึ้นมาดูแล้วเดินห่างออกไป
“มีธุระอะไร”
“ผมมาถวายสังฆทาน อยากจะมาทำบุญด้วยกันไหม” พอลถามทางโทรศัพท์
“ไม่”
“กลัวชาติหน้าจะต้องเป็นเนื้อคู่กันอีกละซิ”
“หมายความว่ายังไงที่ว่าอีกน่ะ”
“ก็หมายความว่า เราอาจจะเป็นเนื้อคู่กันทั้งชาตินี้ชาติหน้าละซิ”
“ฝันไปเถอะ”
ศรีตรังปิดโทรศัพท์ แล้วเดินกลับมา
“ใครโทรมาน่ะ” เจนจิราถาม
“นี่ คุณเจนจิราเขาให้คุณมาหลบภัยบ้านฉัน ไม่ใช่คอยมาสอดแนมฉันรู้เอาไว้ด้วย”
ศรีตรังเดินเข้าบ้านไป เจนจิรามองตามขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ถ้าไม่คิดว่าเป็นเจ้าของบ้าน แม่ตบแหลกไปแล้ว”
เสียงหวานมาปรากฎตัวที่บ้านปรกเดือน
“ที่ไหนอีกล่ะ”
เสียงหวานเหลียวมองรอบๆ ตัว จึงเห็นแจ๋วเดินเข้ามาจัดบริเวณโต๊ะรับแขกให้เข้าที่เข้าทาง
“พี่...พี่จ๊ะ...พี่” แจ๋วหันมาทางเสียงหวาน “พี่เห็นฉันแล้วใช่ไหม”
เสียงหวานถามอย่างดีใจ แจ๋วเดินตรงมาบริเวณที่เสียงหวานยืนอยู่ แล้วหยิบหนังสือวางให้เป็นระเบียบ
“ว้า! ไม่เห็นอีกตามเคย” ทันใดนั้นร่างเสียงหวานโอนเอนเหมือนถูกดูด “ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
ร่างเสียงหวานลอยหายไปจากที่นั้น
ขณะนั้นปรกเดือนและเดนนิสกำลังมีปากเสียงกันอยู่ในห้อง เสียงหวานลอยมาปรากฏตัวขึ้น
“เดือนจำหน้าได้ว่า 2 คนที่ถูกยิงตายนี่ เป็นลูกน้องคุณ...” มือปรกเดือนถือหนังสือพิมพ์ที่ลงข่าวการตายของลูกน้องเฮง “แล้วถ้าจะให้เดา อีกไม่นานเจ้าเฮงก็คงจะถูกเก็บเหมือนกัน”
“อย่ามายุ่งกับงานของฉัน”
“งานฆ่าคนเนี่ยนะคะ” เสียงหวานยกมืออุดปาก นัยน์ตาเบิกกว้างด้วยความกลัว “ทุกคนเขาก็รักชีวิตด้วยกันทั้งนั้น”
เดนนิสตบโต๊ะปังจนปรกเดือนและเสียงหวานสะดุ้ง
“บอกว่าอย่ายุ่ง เธอมีบ้านหรูอยู่สบาย มีเงินใช้ใช้ไม่ขาดมือ ฉันอำนวยความสะดวกให้ขนาดนี้แล้วจะเอายังไงอีก”
“เดือนก็เคยบอกแล้วเหมือนกันว่า เดือนไม่ต้องการ เดือนอยากมีชีวิตที่สงบ ไม่จำเป็นต้องสะดวกสบายขนาดนี้ ขอแค่เรามีกันสามคนพ่อแม่ลูก”
“พ่อแม่ลูกกับมีอะไรล่ะ” เดนนิสเดินไปที่ประตูอย่างหงุดหงิด เกือบจะชนเสียงหวาน เสียงหวานกระโดดหลบอย่างรวดเร็ว เดนนิสเปิดประตูแล้วหันกลับมา “เธอพูดถูกเรื่องไอ้เฮง เพราะฉันจะส่งมือดี
ที่สุดของฉันคือไอ้พอลคนดีของเธอไปฆ่ามัน”
เดนนิสก้าวออกไป แล้วปิดประตู ปรกเดือนเซมานั่งบนเตียง
“อย่านะ โธ่เอ๊ย...” ปรกเดือนร้องไห้สะอึกสะอื้น เสียงหวานเดินมาทรุดตัวลงตรงหน้าปรกเดือน
“คุณคะ...คุณกำลังท้อง ไม่ควรหดหู่เศร้าหมองนะคะ มันจะมีผลถึงลูกในท้องของคุณด้วย”
“พอล...ขอโทษด้วย...เพราะฉันคนเดียว”
ปรกเดือนร้องไห้สะอึกสะอื้น มือเสียงหวานค่อยๆ ยกวางทาบบนท้องของปรกเดือนอย่างแผ่วเบาบริเวณนั้นมีเสียงสว่างเรืองรองขึ้น ปรกเดือนหยุดชะงักแล้วก้มลงมอง เสียงหวานค่อยๆ ชักมือออกช้าๆ
ปรกเดือนค่อยๆ ยกมือทาบที่ท้อง ก้มลงมองแล้วกวาดสายตาไปรอบๆ ห้องด้วยความพิศวง เสียงหวานค่อยๆ เลือนหายไป
อ่านต่อหน้า 2
ปางเสน่หา ตอนที่ 12 (ต่อ)
เสียงหวานมาปรากฎตัวที่บ้านสม ขณะนั้นเตชิตกำลังเก็บข้าวของ เตชิตเหลือบมองเสียงหวานแว่บหนึ่ง แล้วเก็บของต่อเหมือนไม่สนใจ
“คุณจะไปไหนคะ” เตชิตไม่ตอบทำเหมือนเสียงหวานไม่มีตัวตน “คุณจะไปไหน” เตชิตยังไม่สนอีก เดินไปหยิบแปรงสีฟันในห้องน้ำออกมา เสียงหวานยืนขวางหน้าแล้วกางแขน “ฉันรู้ว่าคุณเห็นฉัน ได้ยินฉัน” เตชิตเดินผ่านทะลุราวกับเสียงไม่มีตัวตน “คุณเตชิต คุณใจร้ายมาก คุณเป็น 1 ใน 2 คนที่มองเห็นฉัน ได้ยินฉัน แต่คุณก็ทำเป็นไม่สนใจ”
เตชิตหันขวับมาแล้วระเบิดอารมณ์ใส่
“ผมน่ะเรอะไม่สนใจใยดี...ผมพยายามช่วยเหลือคุณ ทำทุกอย่างเพื่อคุณ แทบจะเป็นบ้าเป็นหลังเมื่ออยู่ดีๆ คุณก็หายไปแต่พอคุณกลับมา คุณแค่มองหน้าแล้วบอกว่าคุณจำผมไม่ได้”
“ก็ฉันจำไม่ได้จริงๆ”
“เสียงหวาน อ้อ...ขอโทษ คุณปรายดาว”
“ฉันชื่อปรายดาวหรือคะ”
เตชิตจ้องมองหน้าเสียงหวาน
“นี่คุณจำไม่ได้จริงๆ หรือว่ากำลังเสแสร้ง”
“ฉันไม่ได้เสแสร้ง แต่ฉันไม่รู้จักคุณ ไม่รู้จักใครในโลกนี้จริงๆ”
เสียงหวานยกมือปิดหน้าร้องไห้ แล้วเลือนหายไป เตชิตตะโกนตาม
“คุณมันก็ดีแต่เท่าเนี้ย พอจนมุมเข้าเถียงไม่ออกก็หายตัวไป” ระหว่างเตชิตพูด สมเดินเข้ามา “นึกหรือว่าผมรู้ไม่ทันผีเจ้าเล่ห์อย่างคุณ ผมจะกลับแล้วและขอสั่งว่าไม่ต้องตามผมไปไหนอีกเป็นอันขาด”
เตชิตหันมาทางสมพอดีที่จบประโยค สมสะดุ้งมองเตชิตหวาดๆ
“ด้วยความเคารพ วันนี้อากาศค่อนข้างร้อนนะครับ”
เตชิตลากกระเป๋าออกไปโดยไม่พูดไม่จา
เตชิตขับรถมาหาศรีตรังที่บ้าน ศรีตรังกับจุรีเดินมาหาเตชิต ขณะที่เจนจิรายืนหน้าหงิกกอดอกพิงประตูมองมา โดยอ้อยยืนอยู่ข้างๆ เตชิตกดกระจกรถลง
“ฉันจะกลับละ”
ศรีตรังพยักหน้าหงึกหงัก
“โกรธกับผี” เตชิตสะดุ้ง
“ใครบอกแก อ๋อ...ลุงสมละซิ ลุงสมโทรมาบอกใช่มั๊ย”
“ลุงสมไม่เกี่ยว”
เตชิตนิ่งคิดมองมาที่จุรี
“อะลั๊ด ตั๊ดต๊า คุณหนูเผือกเธอมาบอกป้าคะ โถ...เธอจำไม่ได้จริงๆ นะคะป้าละเห็นใจเธอ”
“ขี้ฟ้องอีกต่างหาก”
“ใครคะ อ๋อ คุณหนูเผือก เธอไม่ได้ขี้ฟ้องหรอกค่ะ เขาเรียกว่าปรับทุกข์”
“ คุณหนูเผือกมาคราวนี้ ป้าจุรีแกไม่กลัวแล้ว สามารถติดต่อพูดคุยได้สบาย” ศรีตรังบอก จุรีรีบบอก
“เอ่อ...แต่อย่าบ่อยนักก็ดีนะคะ”
“แล้วเมื่อไหร่จะมาอีก” ศรีตรังถามเตชิต
“ยังไม่รู้ กลับไปนี่ ฉันจะตั้งใจทำงานยิ่งขึ้น ไม่ให้มีว่อกแว่ก”
“เออ! มันงอนผี จริงๆ ด้วยป้า”
“ไปล่ะ...ผมไปก่อนนะครับป้าจุ”
“ค่ะ เดินทางปลอดภัยสวัสดีมีชัยนะคะ”
ขณะที่ทั้งหมดคุยกัน เจนจิราและอ้อยเดินกลับเข้าไปข้างใน ศรีตรังโบกมือให้เตชิตแล้วหันมาทางจุรี
“เดี๋ยว 10 โมงศรีจะไปถวายสังฆทานเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้คุณหนูเผือกกับเกษรินหน่อยนะคะป้า”
“ดีค่ะ เดี๋ยวป้าจะรีบทำกับข้าว”
“ไม่ต้องค่ะ เมื่อวานศรีโทรไปสั่งอาหารไว้แล้ว ป้าจะได้ไม่ต้องยุ่ง”
ศรีตรังเดินเข้าไปข้างใน จุรีเดินตาม
เตชิตขับรถมาตามทางเตชิต แต่แล้วเตชิตก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเสียงหวานกำลังก้มๆ เงยๆ เหมือนหาอะไรอยู่ในบริเวณที่รถชน เตชิตเลี้ยวรถเข้ามาจอด แล้วเปิดประตูรถลงไป
“นึกหรือว่า ทำอย่างนี้ แล้วผมจะเชื่อ”
เสียงหวานหันมามอง
“เชื่อว่าอะไรคะ”
“เชื่อว่า คุณจำผมไม่ได้จริงๆ น่ะซิ”
“ฉันมาหาของๆ ฉันคะ ไม่เกี่ยวกับคุณ ฉันรู้สึกว่าเคยทำอะไร อย่างหนึ่งตกอยู่แถวๆ นี้” เสียงหวานเดินหาไป พูดไป เตชิตเดินตาม “จำได้ว่ามันเป็นของรัก เป็นของสำคัญที่สุดในชีวิตฉัน”
เตชิตกอดอกแล้วบอกออกมา
“สร้อยคอแขวนพระเครื่อง”
เสียงหวานหยุดชะงักหันกลับมามอง
“คุณรู้ได้ยังไงคะ”
“มุกเดิมๆ อีกแล้ว ทำไมผมจะไม่รู้ในเมื่อคุณเป็นคนบอกผมเอง”
รถที่ขับผ่านไปมา ชะลอความเร็วมองจนเหลียวหลังเมื่อเห็นเตชิต พูดออกท่าทางอยู่คนเดียว
“ฉันน่ะหรือคะบอกคุณ! ในเมื่อฉันไม่รู้จักคุณ”
“พอที” เสียงหวานหน้าเสีย “ผมจะบอกคุณให้ก็ได้ เมื่อคุณลืมจริงๆ ว่า คุณให้ผมเก็บไว้ แต่ผมเอาไปสวมให้ร่างคุณที่นอนหายใจพะงาบๆ ที่โรงพยาบาล”
เตชิตกลับขึ้นรถขับรถออกไป ขณะที่เสียงหวานเบิกตากว้างมองตาม
“โรงพยาบาล...ร่างฉันอยู่โรงพยาบาล”
เตชิตขับรถมาเรื่อยๆ ด้วยสีหน้า แววตา เคร่งเครียด
“ผีเจ้ามารยา”
“เมื่อกี้คุณพูดจริงๆ หรือคะ” เตชิตสะดุ้ง เมื่อเสียงปรากฏตัวขึ้น “ขอโทษคะ ฉันไม่ตั้งใจ จะทำให้คุณตกใจ แต่พอนึกอยากจะถามมันก็มาอยู่ตรงนี้เลย”
“ก็เพราะคุณเป็นผีไง” เสียงหวานหน้าเสีย สีหน้าเตชิตอ่อนลง “ขอโทษ ลืมไปว่าคุณเคยบอกว่ากลัวผี”
“ฉันไม่ได้กลัวผีนะคะ... ฉันรู้ตัวว่าตายแล้วตั้งแต่พบป้าจุรี แล้วก็ไม่มีใครเห็นฉัน”
“อ้อ...มาคราวนี้นับว่าฉลาดขึ้น”
“กรุณาอย่าประชดฉันหนักเลยคะ ฉันต้องขอโทษด้วยที่ทำให้คุณหงุดหงิด ไม่สบายใจ ...ฉันไปละคะ”
เสียงหวานหายไปทันที
“นึกเรอะว่าฉันจะเชื่อ ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าตอนมีชีวิตอยู่ เธอเป็นคนยังไง”
เตชิตบอกด้วยสีหน้าแน่วแน่
เตชิตโทรศัพท์หาธากรณ์และเมื่อกลับถึงบ้าน ธากรณ์ได้พาไพลิน บรรณาธิการข่าวบันเทิงมาพบกับเตชิตที่บ้าน
“ไอ้เต...นี่พี่ไพลิน บก.ข่าวบันเทิง แกอยากรู้อะไรก็ถามเลย แต่อย่าลืมข้อแลกเปลี่ยน”
“เออน่า”
เตชิตไหว้ไพลิน ไพลินรับไหว้
“นี่ร้อยตำรวจเอกเตชิต เพื่อนผมครับ มันเรียนช้ากว่าผมสองปี” ธากรณ์แนะนำ
“ไม่ใช่เพราะผมโง่นะครับ แต่เป็นเพราะผมไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนปีนึง แล้วผมเกิดติดใจ ขอคุณพ่ออยู่ต่ออีกปีนึง ก็เลยเรียนช้ากว่ามัน ซึ่งก็เป็นประโยชน์เหมือนกันนะครับ เพราะมันกำลังตามจีบเพื่อนรุ่นผมอยู่”
“พอ พอ ไม่ต้องบรรยายมาก”
“ไอ้กรณ์คงยุให้พี่พอทราบบ้างแล้วว่าผมกำลังสืบเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งอยู่” เตชิตบอกด้วยสีหน้าจริงจังขึ้น
“ปรายดาว...พี่ทราบแล้วค่ะ แล้วก็เชื่อด้วยว่าผู้กองคงไม่ได้นำไปใช้ในทางที่เสื่อมเสียกับเธอ เพราะเธอเสียไปสองปีกว่าแล้ว”
“แน่นอนครับ”
“พี่จะพูดคร่าวๆ นะคะ คุณปรายดาวเป็นคนสวยมาก สมัยเรียนเธอเป็นดาวมหาวิทยาลัย...คุณปรกเดือน พี่สาวของเธอแต่งงานกับนักธุรกิจที่ร่ำรวยมาก เพื่อยกฐานะขึ้นมาเพราะฐานะเดิมของสองพี่น้องค่อนข้างฝืดเคือง เพราะพ่อแม่ประสบอุบัติเสียชีวิตตั้งแต่ปรกเดือนเป็นสาว” เตชิตพยักหน้าช้าๆ ฟังด้วยความสนใจ “แต่เสี่ยสงครามหรือคุณเดนนนิสก็รักเธอมากนะคะ เสียอย่างเดียวเขาค่อนข้างเจ้าชู้ เคยมีข่าวลือ พี่ขอเน้นนะคะว่าเป็นข่าวลือ ว่าเสี่ยก็ชอบน้องเมียด้วยเหมือนกัน”
“แล้วเสียง ...เอ๊ย ! คุณปรายดาวเธอเล่นด้วยหรือเปล่าครับ”
“เอ่อ....อันนี้ก็ไม่ทราบ ทราบแต่ว่าคุณปรกเดือนเธอรีบจับน้องสาวเธอหมั้นหมายกับผู้ชายคนหนึ่งเพื่อกันจากผู้ชายของเธอ”
“ผู้ชายคนนั้นชื่ออะไรครับ”
“ไม่ทราบค่ะเพราะทุกอย่างมันรวบรัดและรีบร้อน”
เตชิตมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
หลังจากไพลินกลับไปแล้ว เตชิตนึกถึงส่งที่ไพลินบอกอย่างใช้ความคิด
“นิสัยใจคอของเธอก็ตามประสาเด็กมีตังค์อ่ะค่ะ พี่สาวรวมทั้งพี่เขยของเธอต่างช่วยกันตามอกตามใจ ทางคุณปรกเดือนเธอเคยยากจน พอมีเงินก็จะชดเชยให้น้องทุกสิ่งทุกอย่าง ส่วนเสี่ยก็อย่างที่รู้ๆ กัน ไม่ว่าคุณปรายดาวอยากได้อะไร เขาก็จะหาให้หมด คุณปรายดาวก็เลยเอาแต่ใจ เจ้าอารมณ์”
“เสียงหวานเธอคงไม่ใสซื่อเหมือนอย่างที่ฉันคิดเสียแล้ว”
เตชิตบอกกับตัวเอง สีหน้าแววตาบ่งบอกถึงความเสียดาย
ทางด้านศรีตรังขณะนั้นเธอมาถวายสังฆทาน ศรีตรังกำลังก้มกราบพระพุทธรูปและพระสงฆ์ตามลำดับ
“รอเดี๋ยวนะมาอีกคนแล้ว” พระบอก
“ไม่เป็นไรค่ะ”
พอลหิ้วเครื่องสังฆทานเข้ามา
“กราบพระพุทธรูปเสียก่อนนะโยม”
“ครับ”
ศรีตรังสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นพอลจุดธูป
“ไหนบอกว่ามาตั้งแต่เมื่อวาน”
“อะไรหรือสีกา”
“เปล่าค่ะ ดิฉันรำพึงว่า บางครั้งคนเราก็มีมารตามไปก่อกวนได้ทุกที่ไม่เว้นแม้กระทั่งในวัด”
“รำพึงยาวเหมือนกันนะ” พอลบอก ศรีตรังยิ้มแห้งๆ
พอลกราบพระเสร็จ หันมาไหว้พระสงฆ์แล้วเลื่อนมาถวายสังฆทานคู่กับศรีตรัง พอลทำเป็นหันมายิ้มให้ศรีตรังอย่างสุภาพ ศรีตรังทำเป็นไม่ได้ยิน จำใจต้องว่านะโมพร้อมๆ กับพอล
หลังจากถวายสังฆทานเสร็จ ศรีตรังเดินออกมา ขณะที่พอลเดินตาม
“ศรีตรัง” ศรีตรังทำหูทวนลม เร่งฝีเท้าเพิ่มขึ้น พอลก้าวยาวๆ มาดึงมือศรีตรังไว้ “ศรีตรัง”
“ฉันเปลี่ยนชื่อแล้ว” ศรีตรังสวนขึ้น
“คุณจะเปลี่ยนจากศรีตรัง เป็นตะแบก ตะโก กระดังงา การะเวก อุดตะพิดแต่ให้คุณรู้ว่าผมพูดกับคุณ”
“คนบ้าอะไรจะชื่อ ตะแบก ตะโก กระดังงา การะเวก อุดตะพิด”
“คุณโกรธผมเรื่องอะไร”
“เปล๊า! ฉันจะไปโกรธคุณเรื่องอะไร”
“นี่คุณ ผมรุ่นนี้แล้ว มีแฟนมาไม่รู้กี่คน ทำไมจะดูไม่ออกว่าผู้หญิงโกรธเป็นยังไง หน้าตาเหมือนยักขะมูขี”
“อย่าเอาฉันไปเปรียบเทียบกับผู้หญิงของคุณนะ เพราะฉันไม่ใช่…”
“ผมถือว่าใช่” ศรีตรังโกรธจัดได้แต่จ้องมองพอลราวกับตาจะถลน “เดี๋ยวตาก็หลุดออกจากเบ้าหรอก”
“อย่า มา ยุ่ง กับ ฉัน จะ ไป ใหน ก็ ไป” ศรีตรังเน้นทีละคำ
“ผมอุตส่าห์มารอคุณนะ”
“โอ๊ยยยย...ดีใจตายล่ะ”
“คุณนี่เป็นผู้หญิงที่กวนประสาทที่สุด”
“คุณก็เป็นผู้ชายที่ทุเรศที่สุด”
“ผมทุเรศยังไง”
“ก็...”
พอลลากแขนศรี
“ ไปทะเลาะกันข้างนอกดีกว่า วัดเป็นสถานที่สงบ”
“ปล่อย ...ฉันเดินเองได้”
ศรีตรังพยายามบิดแขนออกแต่พอลไม่ยอมปล่อย พอลจับแขนศรีตรังมาส่งถึงรถแล้วเปิดประตูดันเข้าไปด้านคนขับ
“กระเถิบไป”ศรีตรังกอดอกเฉย “งั้นผมนั่งตักคุณก็ได้”
“อย่าทำอะไรบ้าๆ นะ”
“ก็กระเถิบไปสิ”
ศรีตรังทำตามอย่างกระแทกกระทั้น พอลก้าวเข้าไปนั่งแทน
“คำว่าสุภาพบุรุษสะกดเป็นมั๊ย”
“แล้วคุณละ สะกดคำว่าสุภาพสตรีเป็นหรือเปล่า”
“ฉันอาจไม่ใช่สุภาพสตรี แต่ก็ไม่เคยราวีใครก่อน”
พอลกระชากรถออกไป ศรีตรังคาดเข็มขัดแทบไม่ทัน พอลขับออกสู่ถนนใหญ่
“จะพาฉันไปไหน” ศรีตรังหันมาถาม
“ผมไม่พาไปขายหรอกน่าปูนนี้แล้ว”
“อีตาบ้า นี่ว่าฉันแก่เหรอ” พอลยิ้ม “จะพาฉันไปไหน”
“ไปหาที่คุยกันหน่อย”
ศรีตรังสะบัดหน้ามองตรง พอลชำเลืองมองยิ้มๆ
พอลขับรถมาจอดบริเวณที่ข้างทางมีดอกไม้ออกดอกบานสะพรั่ง
“ตรงนี้แหละสวยดี” ศรีตรังยังนั่งนิ่ง พอลมีสีหน้าขรึมลง “ผมอยากรู้ว่าคุณโกรธเรื่องอะไร”
ศรีตรังมีสีหน้าจริงจังขึ้นมาเช่นกัน
“ถ้าคุณตอบคำถามฉันตามความจริง ฉันก็จะตอบคุณตามความจริงเช่นกัน”
“คุณอยากรู้เรื่องอะไร”
“คุณไม่ได้ชื่อ พอล แต่เป็น เพชร หาญณรงค์”
“โอ๊ย ผมนึกว่าคุณลืมเรื่องนี้ไปแล้ว”
“คุณเป็นรุ่นพี่ของฉัน”
“นี่คุณขุดเรื่องนี้มาพูดอีกทำไม ไอ้นายเพชรมันเป็นใครมีดียังไงคุณถึงอยากให้ผมเป็นเขานัก”
“ฉันจำไม่ผิดแน่ ยิ่งมองใกล้ๆ อย่างนี้ยิ่งชัวร์”
พอลดึงศรีตรังเข้ามากอด
“แล้วถ้าใกล้ขนาดนี้ ชัวร์กว่าหรือเปล่า”
ศรีตรังตบหน้าพอลเปรี้ยง พอลผงะไปครู่หนึ่งแล้วค่อยๆ ปล่อยศรีตรัง
“อย่ามาทำปากว่ามือถึงกับฉัน ฉันไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่จะหลงใหลได้ปลื้มกับผู้ชาย ที่ข้างนอกสดใส ข้างในหนอนกินอย่างคุณ” พอลนั่งนิ่ง ดวงตามองไปข้างหน้า “ฉันจะกลับ”
พอลสตาร์ทรถขับออกไปเงียบๆ ศรีตรังชำเลืองมองแว่บหนึ่งด้วยความแปลกใจที่พอลทำตามง่ายนัก
ขณะนั้นเจนจิราเดินเหงาๆ อยู่คนเดียวบริเวณสวนหน้าบ้านศรีตรัง จนกระทั่งพอลขับรถเข้ามาจอดส่งศรีตรัง เจนจิราจำรถพอลได้นัยน์ตาเป็นประกายด้วยความดีใจ
“พอล พอเตไป พอลก็มา” รถพอลแล่นมาจอดหน้าบ้าน ศรีตรังก้าวลงรถมา “Hi พอล”
เจนจิราทักพอล
“สบายดีหรือครับ คุณเจนจิรา”
“พอล พอลช่วยเจนไปให้พ้น ความจำเจที่นี่หน่อย ได้มั้ยคะ สัก10 นาทีก็ยังดี เจนอุดอู้จะตายอยู่แล้วคะ”
“งั้นขึ้นรถ”
ศรีตรังกำลังหันหลังกลับจะเดินเข้าบ้านถึงกับชะงักหันกลับมาใหม่
“Oh...พอล ขอบคุณมากนะคะ”
เจนจิรารีบขึ้นรถ
“ผมขออนุญาตนะครับ คุณศรีตรัง”
“เชิญคะ แล้วถ้ารถคุณเกิดระเบิดทั้งคัน นอนตายเละเทะ สมองอยู่ทาง หัวอยู่ทาง ตับไตไส้พุง
ไปคนละทางละก็อย่ามาว่ากัน”
ศรีตรังเดินกลับเข้าบ้าน พอลมองตามแล้วขึ้นรถ
“พอลขา พอลคงไม่พาเจนไปส่งเสี่ยสงครามเจ้านายคุณหรอกนะคะ”
“ผมไม่ทำร้ายผู้หญิงหรอกครับ”
“งั้นเราไปกันเถอะคะ” พอลออกรถ “เจนต้องเลื่อนตัวไปซุกตัวอยู่ข้างหลังมั๊ยคะ”
“ไม่ต้องหรอกครับ เพราะผมรู้ว่าควรจะพาคุณไปไหนบ้าง”
“ต๊าย...กำกวม”
เจนจิรา หัวเราะสดใสขณะพอลขับรถออกไป
ส่วนศรีตรังเมื่อเข้ามาในบ้านศรีตรังหยิบหนังพิมพ์มาอ่านแล้วเหวี่ยงทิ้งอย่างหงุดหงิด
“อะลัดตั๊ดตา วันนี้ดูคุณหนูหงุดหงิดผิดปกติ”
“ศรีเป็นปกติค่ะ”
“ไม่ค่ะ ไม่เป็นปกติ”
“ศรีว่าศรีปกติ”
“แต่ป้าดูออกนะคร้า” ศรีตรังพ่นลมหายใจพรวดหงุดหงิดออกมา แล้วเดินไปข้างบน “อีแบบนี้ ร้อยทั้งร้อย หงุดหงิด”
ส่วนพอลหลังจากขับรถออกมาจากบ้านศรีตรัง พอลก็ขับรถมาเรื่อยๆ
“แถวนี้ไม่เห็นมีอะไรเลย” เจนจิราบอก
“ก็เพราะไม่มีอะไรเลยไงครับ ผมถึงพามาแต่ถ้าไปที่ที่มีอะไร ก็จะมีผู้คนเยอะแยะแล้วต้องมีคนจำคุณได้”
“จริงด้วยค่ะ... คุณมีอะไรกับยัยศรีตรังหรือเปล่า”
“เราเป็นแค่เพื่อนเก่า”
“งั้นก็ดี เพราะผู้ชายที่ชื่อเตชิตก็เทียวไปเทียวมาบ่อยๆ”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พอลหยิบโทรศัพท์มากดรับ
“ครับเสี่ย” เจนจิราสะดุ้งเฮือก มองพอลอย่างหวาดระแวง “...ครับ...ผมคงไปถึงประมาณ 2-3 ทุ่ม สวัสดีครับ”
เจนจิรากล้าๆ กลัวๆ ถามออกมา
“เสี่ย...เสี่ยไหนหรือคะ”
“สำหรับผมก็มีอยู่เสี่ยเดียวนั่นแหละ เสี่ยสงครามหรือเดนนิส”
“เอ่อ...เค้าพูดถึงเจนหรือเปล่าคะ”
“เปล่านี่ครับ เพียงแต่นัดให้ผมไปหาเท่านั้น”
เจนจิราค่อยๆ ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก
ศรีตรังนั่งดูทีวีแต่ตา ส่วนสมองไม่ได้รับรู้จนกระทั่งมีเสียงรถแล่นเข้ามาจอด จุรีโผล่หน้าไปดูแล้วรีบหันมารายงาน
“มากันแล้วค่ะ แหม! ไปกันแค่ครึ่งชั่วโมงได้มั้ง”
“จะไปกี่ชั่วโมงก็ช่างเขาเป็นไร ไปอยู่ด้วยกันเลยยิ่งดี”
“คุณหนูมาดูคุณนางเอกซิคะ อ้อนน่าดู”
“ศรีไม่ชอบดูละคร”
จุรีหันมามองศรีตรังอย่างเพ่งพิศ
ส่วนที่หน้าบ้าน เจนจิราลงจากรถแล้วถามพอล
“แล้วเมื่อไหร่พอลถึงจะมาอีกคะ”
“ยังไม่แน่ใจครับ ... ผมต้องรีบไปละ”
“ค่ะ... See you”
เจนจิราโบกมือส่งจูบ พอลขับรถออกไป เจนจิรากระโดดโบกมือให้หย็อยๆ แล้วจึงเดินกลับเข้าบ้าน เจนจิราเดินร้องเพลงเข้ามาอย่างอารมณ์ดี
“อยากมีคนพิเศษ... อยู่ในคืนพิเศษ....”
“อะลัดตั๊ดต๊า เพลงนี้หลายปีแล้วนะคะ”
จุรีบอก เจนจิราชะงัก
“พี่หาว่าฉันแก่เรอะ”
“เปล่าค่ะ ป้าแค่บอกว่าเพลงนี้หลายปีแล้ว”
เจนจิราหันมาทางศรีตรัง
“ตกลงเธอเอาเตชิตไป ฉันจะเอาพอล”
“อะลัดตั๊ดต๊า...แบ่งกันเป็นขนมเลยนะคะ”
“ฉันไม่รับประทานทั้ง 2 คนนั่นแหละ”
ศรีตรังพูดพลางเดินเลยไปข้างบน
“ไม่เอาก็อย่าเอา กับอีแค่สาวชาวไร่ทำตัวยังกับสวยเลือกได้แน่ะ”
“คุณหนูศรีตรัง เธอสวยเลือกได้จริงค่ะ ผู้ชายน่ะแวะเวียนมาให้เลือกไม่ได้ขาด คงเป็นเพราะเธอรู้จักวางตัวไม่เคยอ่อย ไม่เคยพยายามจับ แต่ทำตัวมีคุณค่าแค่นั้นแหล่ะค่ะ ผู้ชายก็มารุมมารักเธอจนแทบ
จะตีกันตาย”
“นี่ด่ากระทบฉันหรือเปล่า”
“เปล่านะคะ ป้าก็พูดตามเนื้อผ้า...อะลัดตั๊ดต๊า”
พอลกลับเข้ากรุงเทพมาหาเดนนิสที่บ้านปรกเดือน
“หายไปไหนมาทั้งวัน”
เดนนิสถามพอล
“ผมไปทำสังฆทานครับ”
“เฮ่ย เลิกรู้สึกผิดได้แล้ว ยัยดาวนอนเป็นผักไม่รับรู้อะไรมาตั้ง 2 ปีกว่า...ฉันว่าโอกาสฟื้นมีแค่ไม่ถึง 10 %” พอลนิ่งไป “ฉันมีงานง่ายๆ ให้ทำ” พอลเงยหน้าขึ้นฟังอย่างตั้งใจ “ฆ่าตัดตอนไอ้เฮงซะ เวลานี้ตำรวจกำลังกดดันมันอยู่ ถ้าถูกจับได้เมื่อไหร่ มันอาจจะซัดทอดมาถึงฉัน”
“ครับ”
“ฉันชอบนายตรงนี้แหละที่ไม่เรื่องมาก มันหลบอยู่แถวตะเข็บชายแดนแม่ฮ่องสอน นายก็คุ้นกับแถวนั้นดีนี่ ต้องการผู้ช่วยมั้ย”
“ผมชอบทำงานคนเดียวครับ”
“ดี”
ขณะนั้นปรกเดือนอยู่อีกมุมหนึ่งมองสองคนคุยกันด้วยความไม่สบายใจ
ค่ำวันเดียวกันนั้นเมื่อเตชิตกลับมาสบ้าน เตชิตก็ต้องชะงักสีหน้าแววตาเหมือนกำลังทบทวนความหลัง แล้วภาพเสียงหวานเมื่อครั้งมาอยู่บ้านเขาก็แว่บเข้ามาในห้วงความคิด ภาพเหล่านั้นเลือนหาย เตชิตถอนใจยาว เตชิตขยับเดินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เตชิตกดรับ
“ครับผู้กำกับ”
เสนานั่งอยู่กับพอลในห้องทำงาน
“ถึงบ้านหรือยัง”
“เพิ่งถึงเดี๋ยวนี้เองครับ”
“นายคงต้องย้อนกลับมาที่นี่อีก”
“เดี๋ยวนี้หรือครับ”
“ก็ถ้าไม่ใช่เดี๋ยวนี้แล้วฉันจะโทรมาตามทำไม”
“ผมจะไปเดี๋ยวนี้ละครับ” เตชิตปิดโทรศัพท์แล้วเปิดประตู ถอนใจเฮือก “ไม่เป็นผู้กำกับบ้างก็แล้วไป”
เตชิตกลับขึ้นรถแล้วขับรถออกไป พอรถพ้นจากประตูรั้วเตชิตขยับจะก้าวลงมาปิดประตูแต่ต้องชะงักเมื่อเห็นประตูค่อยๆ ปิดเอง เตชิตมองแล้วเบิกตากว้าง
“ฉันไม่รู้จะไปที่ไหน”
เตชิตสะดุ้งหันขวับมามอง เสียงหวานนั่งอยู่ข้างๆ นัยน์ตาละห้อย
“ประตูนั่น”
“ฉันปิดเอง”
“มาคราวนี้ก้าวหน้าขึ้นนี่”
“คุณจะไปไหนคะ ดึกป่านนี้”
“ไปราชการ”
เตชิตขับรถออกไป เสียงหวานยังคงมองหน้าเตชิต เตชิตเหลือบมองแว่บหนึ่ง
“มองอะไร”
“ฉันสงสัยว่า ทำไมไปๆ มาๆ ฉันถึงได้มาติดอยู่กับ...” เสียงหวานนิ่งคิดครู่หนึ่ง “หรือว่าเราเคยเป็นแฟนกัน”
เตชิตสะดุ้งเฮือก
“เฮ้ย ไม่เคย”
“ถ้าอย่างนั้นก็แปลกมากๆ”
อ่านต่อหน้า 3
ปางเสน่หา ตอนที่ 12 (ต่อ)
เตชิตขับรถมาเรื่อยๆ โดยมีเสียงหวานนั่งมาเงียบๆ
“ฉันอยากให้คุณช่วยเล่าเรื่องของฉันให้ฟังอีกครั้งได้มั้ยคะ”
เสียงหวานพูดขึ้นมา
“ทำไมคุณถึงจะอยากฟังขึ้นมาล่ะ”
เสียงหวานก้มหน้าลงครู่หนึ่งแล้วเงยขึ้น
“เพราะฉันไม่มีทางไปแล้วน่ะซิคะ แล้วคุณก็เป็นคนเดียวที่ฉันจะพึ่งได้”
“ตกลง แต่ต้องให้ผมไปทำธุระให้เสร็จก่อน”
“ได้ค่ะ”
เสียงหวานยิ้มออกมา เตชิตพยักหน้าสีหน้าแววตาดูปลอดโปร่งขึ้น
เตชิตขับรถมาจอดที่สถานีตำรวจ เตชิตขยับจะลงแล้วนึกได้หันมามองเสียงหวาน เตชิตมีสีหน้าพอใจเมื่อเห็นเสียงหวานยังคงนั่งอยู่ที่เดิม
“ดีกว่าครั้งก่อน”
“ยังไงคะ”
“ถ้าเป็นคราวก่อน คุณจะล่วงหน้าไปโน่นแล้ว และก็จะคอยแทรกเวลาที่ผมคุยกับคนอื่นซึ่งทำให้เขาคิดว่าผมเป็นบ้า”
เสียงหวานหน้าสลดลง
“ฉันเสียใจจริงๆ ค่ะ ถ้าอย่างนั้น ฉันจะรออยู่ที่นี่นะคะ”
“นั่นจะเป็นการดีที่สุดเลย” เตชิตเปิดประตูลงไป “เดี๋ยวผมมา”
“ค่ะ”
เตชิตเดินไป เสียงหวานชะเง้อมองตาม
พอลและเสนากำลังคุยกัน ขณะที่มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ
“เข้ามา” ประตูเปิดออก เตชิตเข้ามาแล้วทำความเคารพเสนาโดยไม่มองพอล “นั่งซิ”
“ขอบคุณครับ”
เตชิตทรุดตัวลงนั่ง
“ผู้กองพอลเขามีเรื่องให้นายช่วยหน่อย”
“เขาน่ะหรือครับจะให้ผมช่วย เก่งกล้าสามารถขนาดนั้นนะครับ”
“ฉันไม่ค่อยชำนาญพื้นที่แถวตะเข็บชายแดนทางเหนือ”
“ก็แสดงว่าจะเกี่ยงให้ฉันไปทำแทน”
“เราต้องร่วมมือกัน”
“หูฉันคงไม่ฝาด”
พอลชักฉุน
“ถ้าแกหูฝาด ฉันก็ ...”
“พอที จะทะเลาะอะไรกันนักหนานะ” พอลและเตชิตนิ่งกันไป เสนาเบือนหน้ามามองเตชิต “รู้จักสมุนเดนนิสที่ชื่อเฮงมั้ย”
“เอเย่นต์ใหญ่ทางภาคเหนือเลยครับ พอมีเรื่องทีมันก็จะหลบไปกบดานอยู่ที่นั่นที แล้วก็ถือโอกาสค้าของเถื่อนไปด้วย ผมได้ข่าวว่าเดนนิสเรียกมันมาใช้หลังจากที่ไอ้เจียงตาย”
“แต่ตอนนี้มันหลบไปอยู่ที่แถวนั้นอีกแล้ว และเดนนิสใช้ให้พอลไปฆ่าตัดตอนมัน”
เตชิตเบือนหน้ามองพอล พอลไม่ได้หันมาท่าทางยังเก๊กตามเดิม
เมื่อคุยธุระเสร็จแล้วเตชิตเดินกลับมาที่รถ แล้วเปิดประตูจะขึ้นไปนั่ง พอลเดินมาขึ้นรถใกล้ๆ
“พอล” พอลเบือนหน้ามามอง “ช่วยอะไรอย่างนึงได้ไหม”
“เอาซิ! ฉันช่วยแก แกช่วยฉัน ยุติธรรมดี”
“ฉันอยากไปเยี่ยมปรายดาว” พอลชะงัก
“แกรู้จักปรายดาว”
“ฉันไม่รู้จักหรอก แต่มีเพื่อนคนนึงเขาฝากมาเยี่ยม”
“ปรายดาวอยู่ห้องไอซียู”
เตชิตพยักหน้า พอลมองเตชิตด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
พอลขับรถนำออกไปเตชิตขับรถตาม
“เราจะตามรถคันนั้นไป”
เตชิตบอกเสียงหวานขณะขับรถตามพอล
“ไปไหนคะ”
“ผมอยากให้คุณพบกับใครคนหนึ่ง”
“ใครหรือคะ”
“คุณต้องไปเห็นเอง”
เสียงหวานมองเตชิตด้วยความแปลกใจ
เตชิตขับรถตามพอลมาที่โรงพยาบาล พอลพาเตชิตเดินตรงมาห้องไอซียูโดยมีเสียงหวานเดินตามมา
“คนที่คุณอยากให้ฉันพบอยู่ที่โรงพยาบาลนี่หรือคะ” เสียงหวานถามเตชิต
“ใช่”
เตชิตตอบรับ พอลหันมามอง เตชิตทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
ในที่สุดทั้งหมดก็มาถึงห้องไอซียู พอลยืนติดกระจก เตชิตยืนข้างๆ ตามด้วยเสียงหวาน
“นั่นไง”
พอลบอกเสียงหวานเบิกตากว้างเมื่อเห็นตัวเองนอนหลับอยู่ในห้องนั้น
“นั่น...นั่นฉันนี่คะ”
“อย่าเสียงดัง”
“ใครเสียงดัง” พอลถามอย่างแปลกใจ
“เปล่า”
“แกรู้จักปรายดาวได้ยังไง” พอลถามขึ้นมา
“ก็บอกแล้วว่าไม่ได้รู้จัก แต่เพื่อนของฉันรู้จัก”
พอลมองเตชิตอย่างแปลกใจ ขณะที่เสียงหวานมองปรายดาวอย่างพิศวง
เตชิตกลับมาที่รถทันทีที่เตชิตก้าวขึ้นมาบนรถ เสียงหวานก็ปรากฏตัวขึ้นที่เบาะข้างๆ เสียงหวานนั่งนิ่งอึ้งไม่พูดไม่จา
“เห็นแล้วใช่ไหม”
“นั่นเป็นร่างของฉันหรือคะ” เตชิตพยักหน้า “ทำไมฉันถึงได้นอนอยู่อย่างนั้น ...ฉันอยู่อย่างนั้นมานานแค่ไหนแล้วคะ”
“สองปีกว่า ระหว่างทางผมจะเล่าให้คุณฟัง”
เตชิตบอกแล้วขับรถออกไป...
คืนนั้นที่บ้านปรกดือน ขณะที่เดนนิสนอนหลับสนิทปรกเดือนกับนอนกระสับกระส่าย แล้วเธอก็ลุกขึ้นจากเตียงอย่างแผ่วเบา แล้วค่อยๆ ย่องออกไป...ปรกเดือนเดินเข้ามาในห้องปรายดาว ปิดประตูเบาๆ แล้วลงนั่งบนเตียง ปรกเดือนทอดถอนใจด้วยสีหน้าแววตากังวลเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับปรายดาว โดยเฉพาะหลังจากถอดสร้อย ปรกเดือนนิ่วหน้าเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้พร้อมกับผุดลุกขึ้นนั่งทันที
วันรุ่งขึ้นพอลมาหาปรกเดือนที่บ้านแต่เช้า ปรกเดือนเลื่อนจานของว่างให้พอล
“เดือนคิดว่า อาจจะเป็นเพราะเดือนถอดสร้อยพระนั่น”
พอลอดหัวเราะไม่ได้
“เหตุผลเดือนฟังไม่ขึ้น เป็นไปไม่ได้”
“สร้อยนั่นหายไปนาน แต่อยู่ดีๆ ก็กลับมาอยู่ที่ยัยดาว จะยังไงเป็นเรื่องแปลก” พอลนิ่งคิด “คุณอาจไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ แต่เดือนเชื่อ”
“อย่าลืมว่า พยาบาลเห็นไอ้โรคจิต... มาป้วนเปี้ยนอยู่ในโรงพยาบาล”
“ถ้าเป็นโรคจิต ทำไมเขาถึงเอามาสวมให้ล่ะคะ”
“ผมจะลองไปเค้นมันดู”
“คุณรู้จักเขาด้วยหรือคะ”
ปรกเดือนถามอย่างแปลกใจ พอลหยิบกาแฟขึ้นมาจิบสีหน้ามาดหมาย
บทมาเพิ่มเมื่อไหร่ อัพต่อเมื่อนั้น
ปางเสน่หา ตอนที่ 12 (ต่อ)
พอลมาหาเตชิตที่บ้าน เตชิตเลื่อนน้ำเปล่าไปตรงหน้าพอล
“กาแฟหมดพอดี”
ระหว่างนั้นเสียงหวานนั่งมองพอลอย่างไม่ให้คลาดสายตาทุกอิริยาบถ
“ไม่เป็นไร ที่บ้านฉันมีทั้งกาแฟทั้งน้ำเปล่า... แกเก็บไว้กินเองเถอะ” พอลเลื่อนแก้วน้ำคืน
“ดี ไม่เปลือง” เตชิตบอกแล้วมองเสียงหวานอย่างหงุดหงิด “คุณจะจ้องมองอะไรมันนักหนานะ”
เตชิตต่อว่าเสียงหวาน พอลมองเตชิตพลางส่ายหน้า
“ก็คุณบอกว่า เขารู้จักกับครอบครัวฉัน” เสียงหวานบอก
“แต่ไม่เห็นจำเป็นจะต้องนั่งจ้องมันขนาดนั้นเลย”
“เต ฉันเป็นแขกของแก แต่แกกลับไปคุยกับเก้าอี้ว่างข้างๆ ตัวฉัน” พอลขัดขึ้นมา
“เอาละ...ขอโทษ มีธุระอะไรก็ว่ามา เดี๋ยวฉันจะไปทำงานแล้ว”
“แกเป็นคนเอาสร้อยพระไปสวมให้ปรายดาวใช่ไหม”
“ใครบอกแก”
“พยาบาลเขาบอกว่า น่าจะเป็นไอ้โรคจิต” เตชิตสะดุ้ง เสียงหวานมองทางโน้นทีทางนี้ที “ใช่หรือเปล่า”
“ใช่ ...ถ้าจะถามว่าฉันเอามาจากไหน ก็ตอบได้ว่า ข้างทาง”
“ข้างทาง ...”
“แกรู้จักเจ้าของสร้อยเส้นนั้นหรือเปล่า”
“แล้วแกล่ะ...” พอลชะงักเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่ศรีตรังเข้าไปสืบในบ้านปรกเดือน “แกใช่ไหมที่ส่งศรีตรังเข้าไปสืบในบ้านปรกเดือน”
“แกก็รู้ว่าในโลกนี้มีใครบ้าง ที่สามารถสั่งศรีตรังได้”
พอลอึ้งไปนิดหนึ่ง
“กลับมาเรื่องเดิม”
“ไม่กลับ จนกว่าแกจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฉันฟังก่อน”
พอลสบตาเตชิต ทั้งสองฝ่ายมองหน้ากันเหมือนจะหยั่งความคิดของกันและกัน
เตชิตโทรศัพท์หาศรีตรังหลังจากพอลกลับไปแล้ว
“แล้วเรื่องทั้งหมดเป็นยังไง” ศรีตรังถามอย่างสนใจ
“มันไม่บอก...เดินกลับออกไปเฉยๆ”
“โธ่เอ๊ย”
“โทรมาเล่าให้ฟังแค่นี้แหละ”
“แล้วคุณหนูเผือกว่าไง”
“ฉันต้องหาวิธีให้เธอกลับเข้าร่างให้ได้ ...”
ศรีตรังนึกขึ้นมาได้
“ไปถามหลวงพ่อ ได้ความว่ายังไงแล้วฉันจะบอกแก”
ศรีตรังวางหูจากเตชิตแล้วรีบไปถามหลวงพ่อที่วัด
“อาตมาก็บอกไม่ได้หรอกโยม”
“มันไม่ใช่กิจของสงฆ์หรือเจ้าคะ”
“เปล่า...แต่อาตมาไม่รู้ มันเป็นเรื่องแปลกประหลาดก็จริง แต่ก็ใช่ว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องของกรรมทั้งนั้น”
“น่ากลัวจังเลยค่ะ เห็นอย่างนี้ไม่กล้าทำกรรมทำเวรเลย”
“โยมไม่กล้า แต่ยังมีคนอื่นกล้า โลกมันถึงได้วุ่นวายขนาดนี้”
ขณะที่ศรีตรังไปคุยกับหลวงพ่อที่วัด เจนจิราได้โทรศัพท์ไปหาปรกเดือนที่บ้าน ปรกเดือนกำโทรศัพท์แน่น ชำเลืองซ้ายขวาแล้วลดเสียงลง
“โทรมาทำไม เดี๋ยวนี้เสี่ยเขามาอยู่ที่นี่ ...”
“ไม่ต้องมาอวด”
“ไม่ได้อวด แค่ไม่อยากให้มีการฆ่าแกงกันเกิดขึ้นเท่านั้น เพราะถ้าเสี่ยถามว่าใครโทรมา ฉันก็โกหกไม่เป็นเสียด้วย”
“เฮอะ ทำเป็นคนดี ฉันไม่เชื่อหรอกว่า เดนนิสรักเธอ ผู้ชายคนนั้นมันรักตัวเองมากที่สุด อีกหน่อยมันก็จะเขี่ยเธอทิ้งเหมือนที่เขี่ยฉันยิ่งมีลูกด้วยแล้วละก็...” เจนจิราลากเสียงเยาะๆ ปรกเดือนชะงัก
“หมายความว่ายังไง”
“ลองถามตัวเองดูซิ ผัวเธอน่ะตื่นเต้นดีอกดีใจที่จะมีลูกหรือเปล่า จะบอกให้ก็ได้ว่าตอนที่มันรู้ว่าเธอท้องใหม่ๆ น่ะ มันเครียดมากฉันก็เลยรู้ว่า ไอ้การที่เธอจะมีลูกเพื่อผูกมัดผัวน่ะ... เหลวทั้งเพ” ปรกเดือนกัดปากแน่น “อ้อ เพื่อไม่ให้เสีย Concept เดิม ... ฉันขอแนะนำให้รับประทานกล้วยผลขนาดกลาง ซึ่งมีวิตามิน B6 ที่ช่วยให้สมองผลิตสารเซโรโทนิน ทำให้รู้สึกผ่อนคลายความรู้สึกเครียดและวิตกกังวลได้”
“เธอนั่นแหละควรกินเองวันละเครือ เพราะเท่าที่ฟังๆ ดูแล้ว เธอน่าจะเครียดและวิตกกังวลมากกว่าฉันเสียอีก”
ปรกเดือนวางโทรศัพท์ลง ขณะที่เจนจิราฉุนจัด
“แกน่ะซิกินกล้วยวันละเครือ”
อ้อยเดินเข้ามาพอดี
“โกรธใครคะ พี่เจน”
“โกรธนังเมียหลวง”
“สนใจเรื่องปราบผีต่อมั้ยคะ”
“ไม่ แล้วฉันก็จะไม่บ้าบอไปกับเธอแล้วด้วย”
เจนจิราเดินกระทืบเท้าออกไป อ้อยตะโกนตาม
“ปราบเมียหลวงน่ะง่ายกว่าปราบผีอีกนะคะ...ไม่เชื่อก็ตามใจ”
ที่บ้านปรกเดือนขณะนั้นเดนนิสเดินเข้ามาในบ้านพร้อมถุงผลไม้และรังนกบำรุงปรกเดือน แจ๋วเข้ามารับของ
“คุณเดือนค่ะ”
“อยู่ข้างบนค่ะ ตั้งแต่เช้ายังไม่ยอมลงมาเลยข้าวปลาก็ไม่ยอมทาน”
เดนนิสเดินขึ้นไปก่อนแจ๋วจะพูดจบ เดนนิสมาหาปรกเดือนที่ห้อง
“เดือน ...” เดนนิสชะงัก เมื่อไม่ปรากฏร่างปรกเดือนในห้อง “ไปห้องนั้นอีกแล้ว”
เดนนิสเดินออกจากห้องไปหาปรกเดือนที่ห้องปรายดาว ขณะนั้นปรกเดือนกำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับพอล
“เราก็น่าจะลองฟังเขาดูนะคะ พอล ...” เดนนิสเข้ามาได้ยินคำสุดท้ายพอดี ปรกเดือนหันมามองเดนนิสแล้วรีบตัดบท “แค่นี้ก่อนนะคะ”
“ทำไมไม่พูดให้จบล่ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“เป็นซิ เพราะฉันอยากรู้ว่าเมียฉันคุยอะไรกับลูกน้องฉัน”
“กลับมาเรื่องนี้อีกแล้ว”
“มันต้องกลับ เพราะเธอกับไอ้พอลชอบทำอะไรให้สงสัยอยู่เรื่อย” ปรกเดือนถอนใจเฮือก “อ้อ รำคาญ”
“ขอพูดเป็นครั้งสุดท้าย แล้วก็จะไม่พูดเรื่องนี้อีก เดือนไม่มีอะไรกับพอล”
“งั้นฉันก็จะคุยกับมันให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียที” ปรกเดือนทรุดตัวลงนั่ง “ถ้าเกิดดาวฟื้นขึ้นมาจริงๆ ... ฉันจะให้มันเลือกว่าจะเอายังไง ถ้ายังรักกันดีอยู่ ก็รีบแต่งงานกันเสียเลย”
“พอลไม่มีวันเปลี่ยนใจ” เดนนิสหัวเราะ
“อย่าเพิ่งมั่นใจนัก เธอจำเจ้าของไร่สุขศรีตรังได้ใช่ไหมล่ะ” ปรกเดือนอึ้งไป “เจ้าพอลมันไปที่ปากช่องบ่อยๆ ...”
“เขาไปทำสังฆทานให้ดาว”
“โธ่เอ๊ย ทำในกรุงเทพนี่ก็ได้ ไม่เห็นจำเป็นต้องถ่อไปถึงที่โน่นเลย”
“ก็ดาว...รถคว่ำที่นั่น”
“งั้นถ้าดาวไปตายที่อเมริกา มิต้องถ่อไปทำบุญที่โน่นทุกอาทิตย์เรอะ” ปรกเดือนเงียบไป “แต่เธอไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าไอ้พอลมันไม่เอาก็ยังมีหุ้นส่วนฉันอีกหลายคนที่สนใจน้องสาวเธอ “
“คุณพูดออกมาได้ยังไง คุณเป็นคนอำมหิตที่สุดในโลกเลย”
“ฉันจำเป็นต้องวางแผนทุกอย่างไว้ล่วงหน้าเพื่อความปลอดภัย”
“แผน...ความปลอดภัย ขอถามหน่อยเถอะ เพื่อความปลอดภัยของคุณใช่ไหม”
“ใช่ ... เพราะถ้าฉันปลอดภัย เธอก็จะปลอดภัย”
“ฉันไม่สน จะปลอดภัยหรือไม่ปลอดภัย ฉันไม่สนทั้งนั้น ฉันแค่อยากมีชีวิตปกติเหมือนคนอื่น ไม่ต้องหวาดระแวงกัน”
ปรกเดือนเปิดประตูเดินแกมวิ่งออกไป เดนนิสมองตามอย่างไม่สบายใจ
ปรกเดือนออกจากบ้านมาหาปรายดาวที่โรงพยาบาล แต่พอเข้ามาในห้องปรายดาวปรกเดือนก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเตชิตนั่งอยู่ เตชิตรีบลุกขึ้นยืนทันทีเมื่อเห็นปรกเดือน
“กรุณาฟังผมสักหน่อยเถอะครับ” ปรกเดือนจับลูกบิดประตู “ได้โปรด”
ปรกเดือนหันกลับมา
“ต้องการอะไร ขอบอกก่อนว่าฉันไม่มีเวลาพอ ถ้าคุณขืนพูดอะไรเหลวไหลเพ้อเจ้อละก็ ฉันจะเรียกพอลมาและคราวนี้จะไม่มีการยอมความเด็ดขาด! คุณได้ติดคุกแน่”
“ได้ครับ ก่อนอื่นเลย ผมขอบอกคุณว่า วิญญาณของปรายดาวอยู่ที่นี่”
“จริงค่ะ” เสียงหวานช่วยยืนยันแต่ปรกเดือนไม่เห็น เธอจึงจะเดินออกไป เตชิตรีบพูด “เธอบอกว่า ขอโทษที่เข้าใจคุณผิดไป”
“ฉันบอกคุณอย่างนั้นหรือคะ” เสียงหวานถามเตชิต
“เงียบน่า” ปรกเดือนหันกลับมา เตชิตถอนหายใจ “ความจริงเธอไม่ได้บอกอะไรผมเลย เพราะเธอจำไม่ได้” ปรกเดือนยังคงยืนฟัง “ผมพบเธอเมื่อตอนที่ไปพักอยู่ที่ไร่สุขศรีตรังของเพื่อนผม เธอไม่รู้ตัว ว่าเธอตายด้วยซ้ำ”
“ฉันยังไม่ตายค่ะ ยังหายใจอยู่เลย! ดูโน่นซิคะ” เสียงหวานแย้งแต่เตชิตไม่สนใจ
“เธอขอให้ผมสืบว่าเธอเป็นใคร ทำไมเธอถึงต้องติดอยู่ในบ้านหลังนั้น…”
“หลังที่เท่าไหร่”
“หลังที่ 3 จากสุดท้าย” ปรกเดือนน้ำตาซึม “สร้อยพระเส้นนั้น เราพบระหว่างทางเข้ากรุงเทพเธอจำได้ว่า มีสิ่งของที่เธอรักมากอยู่บริเวณนั้น แล้วเราก็พบพระเครื่อง”
“ตอนที่คุณพบเธอ เธอแต่งตัวยังไง...”
“เธอเกล้าผม...สวมชุดสีออกครีมๆ” เตชิตมองเสียงหวานขณะพูด “ผมก็อธิบายไม่ค่อยถูก กระโปรงยาวมีลูกไม้ตรงปลายเสื้อสั้นแค่เอว แขนคล้ายๆ เสื้อกล้าม...”
ปรกเดือนร้องไห้ออกมาทันที
“ปรายดาว”
“ดวงวิญญาณเธอติดอยู่ในบ้านหลังนั้นมา 2 ปีกว่า พยายามจะพูดจะถามใคร เขาก็กลัวจนขวัญหนีดีฝ่อเตลิดไปบ้างหรือบางคนก็มองไม่เห็นบ้าง…”
“ทำไมต้องเป็นคุณ”
“ผมก็ไม่ทราบ หลวงพ่อบอกว่า เธอกับผมเคยผูกผันกันมา”
“ฉันไม่อยากคุยกับคุณที่นี่ เพราะไม่แน่ใจว่าสามีของฉันจะมาเมื่อไหร่”
“งั้นก็ไปที่บ้านผม ถ้าไม่ไว้ใจ คุณจะชวนไอ้...เอ้ย...พอลไปด้วยก็ได้”
ปรกเดือนมองเตชิตราวกับจะค้นหาความจริง
อ่านต่อตอนที่ 13