อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 13
บรรยากาศบนท้องถนนสายนั้น รถราวิ่งไปมาขวักไขว่ ทุกคนในรถดูรีบร้อนเพื่อไปให้ถึงจุดหมายของตน ภายในรถแนนนี่ผินหน้ามามองปีเตอร์ถามขึ้นอย่างแปลกใจระคนสงสัย
“เฮ้ย...เลยร้านที่ปีเตอร์ชอบมา 3 ร้านแล้วนะ”
ปีเตอร์เหยียดยิ้มมุมปากนิดหนึ่ง
“ใจเย็น ..น...ยังไม่ถึงร้านที่ปีเตอร์ชอบจริงๆ” ปีเตอร์พูดเสียงยานคาง
“วันนี้ปีเตอร์ท่าทางแปลกๆ”
“ยังมีแปลกกว่านี้อีก” สีหน้าปีเตอร์ดูมีลับลมคมใน ขณะพูดเหลือบตามองแนนนี่
โดยที่แนนนี่ไม่เฉลียวใจสักนิด เอนหลังพิงพนักดวงตามองตรงไปข้างหน้า
ที่เมืองเวทมนตร์เวลานั้น ทาฮิร่ากำลังปรุงยาอายุวัฒนะอยู่ในครัว
“ตาตุ๊กแก 2 ถ้วยตวง ...”ทาฮิร่าเทส่วนผสมที่ว่าลงหม้อ “คนให้ละลาย แล้วใส่พิษปลาปักเป้าลงไป 2 ช้อนชา” ทาฮิร่าเทจากขวดใส่ช้อนแล้วเทลงหม้อ “...พิษงูเห่า 3 ช้อนโต๊ะ” คราวนี้เทจากขวดใส่ช้อนแล้วคน “หอมจัง...พักไว้ครู่หนึ่งแล้ว...”
ทาฮีร่าชะงัก เพราะในหม้อโอสถปรากฏใบหน้าแนนนี่แสนเศร้าหมอง
“แนนนี่”
ทาฮิร่ากังวลใจเป็นอย่างมาก วางของทุกอย่างในมือลงทันใด แล้วหายวับออกไปจากที่นั้นทันที
พริบตาเดียว คุณยายแม่มดผู้อารีย์ก็มาโผล่ในห้องนอนแนนนี่ และเวลานี้กำลังซักไซร้ชิกเก้น
“แนนนี่ติวข้อสอบอยู่กับเพื่อนข้างล่าง ไม่ได้ไปไหนซักกะหน่อย” ชิกเก้นบอก
“แล้วทำไมฉันถึงเห็นหน้าแนนนี่ปรากฏขึ้นมาในหม้อปรุงยาอายุวัฒนะ” ทาฮิร่ายังไม่คลายกังวล
“อันนี้ก็จนด้วยเกล้า คุณยายลองไปดูเองซิ” ชิกเก้นว่า
ทาฮิร่าเดินตัวปลิวไปที่ประตูจะลงไปข้างล่าง ชิกเก้นเรียกไว้
“เดี๋ยว คุณยาย คุณยายต้องเริ่มจากไปกดกริ่งหน้าประตูบ้าน”
ทาฮิร่าไม่ฟัง เปิดประตูออกไป
“ดู๊...ขอให้ดู เรื่องปาเข้าไป 3 ภาคแล้ว แต่นางก็ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง” ชิกเก้นบ่นอุบ
ทาฮิร่าเดินเข้ามากวาดสายมองไปโดยรอบ เห็นแต่หนังสือ และขนมขบเคี้ยวของโปรดแนนนี่วางอยู่ที่โต๊ะเล็กในห้องรับแขก
“แนนนี่! แนนนี่! แนนนี่!”
ไม่มีเสียงตอบรับ ขณะที่ผาดรีบเข้ามา
“คุณยายมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” ผาดถาม
“แนนนี่ล่ะ” ทาฮิร่าถาม
“อ๋อ! ออกไปทานข้าวกับคุณปีเตอร์ค่ะ!”
“ออกไปนานแล้วหรือยัง”
“สักครู่ใหญ่ๆ ได้ค่ะ” ผาดบอก
ทาฮิร่าพยักหน้า แล้วเดินขึ้นข้างบน
“คุณยายคะ” ผาดเรียกไว้
ทาฮิร่าหยุด เบือนหน้าหันกลับมามอง
“ข้างบนมีแต่คุณธานีอยู่คนเดียวค่ะ”
“รู้แล้ว!” ทาฮิร่าเดินกลับขึ้นไป
“รู้ได้ยังไง” ผาดงง
“คุณยายขา!” เสียงเรียกของพรดังขึ้น
ทาฮิร่าทำหน้าเบื่อหน่าย แล้วหันมา
“คุณปีเตอร์ค่ะ”
“อย่าไปฟังค่ะ คุณยาย พร! แกอย่าเอาเรื่องบ้าบอเหลวไหลมาเล่าให้คุณยายฟังนะ” ผาดเอ็ดพรอีก
“โธ่! พี่ผาด! ก็ฉันเห็นกับตา ฉันไม่ได้โกหก” พรพยายามบอก
“เห็นอะไร” ทาฮิร่าถาม
“พรเอ๊ย” ผาดระอาใจ
“คุณปีเตอร์ตากลับค่ะ มีแต่ตาขาว...ตาดำหายไปไหนก็ไม่รู้”
ทาฮิร่าชะงัก สะดุดคำพูดของพร
ภวัตกำลังเขียนใบสั่งยาให้คนไข้รายหนึ่ง
“ป้าเป็นอะไรมากไหมคะ คุณหมอ” คนไข้หญิงชราถาม
“ไม่มากหรอกครับ แต่ถ้าคราวนี้ ....ป้าไม่ทานยาตามที่หมอจัดให้...อาจจะเป็นหนัก !
“เหรอคะ แล้วไอ้ตรงกลางหัวป้าที่มันนิ่มๆ นี่ล่ะคะ” คนไข้จับกลางหัวตัวเอง
“ของป้ายังนิ่มน้อยกว่าหมอนะครับ”
คนไข้ดีใจได้เพื่อนอาการเหมือนกัน
“หัวคุณหมอก็นิ่มเหรอคะ ป้านึกว่าหัวป้านิ่มคนเดียว”
“ครับ” ภวัตบอกยิ้มๆ
“ค่อยยังชั่ว ป้าไปละค่ะ สบายใจหายห่วงแล้ว คุณหมอหัวนิ่ม”
คนไข้ออกไปด้วยสีหน้าแจ่มใส ผิดกันเป็นคนละคน
“นายภวิต” มีเสียงคุ้นหูเรียกขึ้นมา
ภวัตชะงักด้วยจำเสียงได้ แล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้น
ทาฮิร่ามาคราวนี้ โดยอยู่ในชุดพยาบาล
“ทำไมคุณยายถึงไม่ยอมเข้าใจเสียทีว่านี่เป็นห้องตรวจ คนไข้อีกมากมายเขามาคอยให้ผมตรว...”
ภวัตบ่นไม่ทันจบทาฮิร่ารีบขัดขึ้นทันที
“แนนนี่แย่แล้ว”
ภวัตชะงัก “เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”
“ฉันสงสัยว่าจะถูกอสูรจับตัวไป” ทาฮิร่าบอก
ภวัตถอนใจนึกว่าเป็นเรื่องล้อเล่น “คุณยายแค่สงสัย”
“ก็มันชวนให้สงสัยนี่ นายปีเตอร์มันเหลือแต่ตาขาว แล้วก็พาแนนนี่ ไปไหนก็ไม่รู้” ทาฮิร่าเล่าต่อ
“หลักฐานแค่นี้ไม่พอหรอกครับ เอาไว้ได้หลักฐานมากว่านี้ คุณยายค่อยมาบอกผม”
“เออ! กว่าจะไป ก็ตายกันพอดี”
“คุณยาย...ขอโทษนะครับ ผมมีคนไข้รออยู่อีกเยอะ”
“แสนสงสารแนนนี่...หลงจงรักภักดีต่อคนที่ไม่มีน้ำใจเล้ย”
บ่นเสร็จทาฮิร่าสะบัดบ๊อบหายไปทันที
“เดี๋ยวครับ”
ร่างทาฮิร่าหายไปแล้ว ภวัตมีสีหน้าครุ่นคิด
บรรยากาศถนนสองข้างทางเริ่มเปลี่ยวมากขึ้นๆ มีต้นไม้ใหญ่แทนที่บ้านช่อง แนนนี่ชะเง้อดูทางพลางถามปีเตอร์
อย่างแปลกใจ
“จะไปไหนฮึ ปีเตอร์”
ปีเตอร์ไม่ตอบ ขับรถไปเรื่อยๆ แนนนี่ประหลาดใจหันมามอง
“ปีเตอร์”
ปีเตอร์หันมามอง นัยน์ตากลอกกลิ้งไปมา แล้วเหลือแต่ตาขาว แนนนี่รู้ตัวทันที
“แกไม่ใช่ปีเตอร์”
อสูรในร่างปีเตอร์หัวเราะเสียงน่ากลัว แล้วหมุนตัวไปโดยรอบ
“จอดเดี๋ยวนี้” แนนนี่ตะโกนโวยวาย
ปีเตอร์ยังคงขับรถไปเรื่อยๆ ไม่สนใจ
“บอกให้จอด”
ปีเตอร์หันมา แล้วกลอกตาใส่แนนนี่อีก
“ไม่จอดเรอะ”
แนนนี่ร่ายคาถา แล้วชี้ให้รถจอด แต่รถไม่จอด
“ทำไมไม่จอดล่ะ”
แนนนี่พยายามเท่าไหร่ รถก็ไม่จอด
จังหวะหนึ่งแนนนี่ตัดสินใจเข้ามาจับพวงมาลัยเพื่อจะบังคับเอง แต่ถูกปีเตอร์สะบัดทีเดียว ร่างแนนนี่กระเด็นอย่างแรง หัวโขกข้างรถสลบไป จากนั้นรถแล่นไปทะยานอย่างรวดเร็ว
ทาฮิร่าเดินกลับไปกลับมาด้วยความกระวนกระวายใจอยู่ในห้องแนนนี่ พลางหารือกับชิกเก้น
“เราจะไปตามหาแนนนี่ได้ที่ไหน คิดซิๆๆ”
“ลูกแก้ววิเศษของท่านผู้นำไง” ชิกเก้นนึกได้
“เออ! ใช่” ทาฮิร่าดีใจ
“แล้วจะบอกท่านผู้นำว่ายังไงล่ะ...คนหาย...แม่มดหาย...หรือว่า...อสูรหาย” ตะเกียงแก้วแสดงความเห็น
“ก็....” ทาฮิร่าพูดไม่ออก อึ้งไปเลย
“ยังไง คุณยายก็มุสาท่านผู้นำไม่ได้” ตะเกียงแก้วว่า
“แถมบอกความจริงก็ไม่ได้” ชิกเก้นบอก
“หรือว่าจะไปขอความช่วยเหลือจากบาบาร่า” ทาฮิร่าว้าวุ่นสุดๆ
“เมินซะเถอะ” ชิกเก้นไม่เห็นด้วยอย่างแรง
“เดี๋ยวก่อน” เหมือนตะเกียงแก้วจะปิ๊งไอเดียบางอย่าง
ชิกเก้น และ ทาฮิร่า หันมามองเป็นตาเดียว
“อสูรมีกลิ่น ตามกลิ่นอสูรไป” ตะเกียงแก้วภูมิใจนำเสนอ
“ใช่แล้ว เจ้าฉลาดมาก! ตะเกียงแก้ว ฉลาดกว่าไอ้แมวพูดมากนี่อีก”
“อ้าว! โดนซะแล้ว” ชิกเก้นโวย
ไวเท่าความคิด ทาฮิร่าเรียกไม้กวาดมาทันควัน
“ไป! เจ้าชิกเก้น”
ทาฮิร่าขี่ไม้กวาดโดยมีชิกเก้นเกาะท้าย
“แกเริ่มได้กลิ่นเรอะยัง”
“ได้แล้ว”
ทาฮิร่าดีใจถามทันที “อยู่ทางไหน”
“ข้างหน้าชิกเก้นนี่แหละ” ชิกเก้นว่าแล้วเว้นไปนิด “กลิ่นแม่มด”
“ไอ้ชิกเก้น” ทาฮิร่าฉุนที่ชิกเก้นยังมาเล่นลิ้นในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน
“อย่าฉุนซิคุณยาย ชิกเก้นพยายามจะคลายเครียดให้”
“ยิ่งเครียดซิไม่ว่า”
จังหวะนั้นชิกเก้นได้กลิ่นบางอย่าง ทำจมูกฟุดฟิด
“ทางโน้น...คุณยาย ชิคเก้นได้กลิ่นแล้ว ใส่เกียร์ห้าเดินหน้าซิ่งเล้ย...”
ทาฮิร่าซิ่งไม้กวาดไปอย่างรวดเร็ว
บริเวณนั้นค่อนข้างรกทึบ ปีเตอร์ขับรถเข้ามาแล้วจอดรถที่มุมหนึ่ง
ปีเตอร์เขย่าแขนแนนนี่ “ตื่นได้แล้ว แนนนี่...” ลากเสียง
แนนนี่ขยับตัว นั่งตัวตรงมองไปโดยรอบ
“ที่ไหนเนี่ย”
ปีเตอร์เดินอ้อมมาเปิดประตูรถ “เชิญลงมาได้”
“ปีเตอร์ พาแนนนี่กลับบ้านเดี๋ยวนี้”
ปีเตอร์หมุนรอบตัว 1 รอบ แล้วนัยน์ตากลายเป็นสีขาว ปีเตอร์พูดด้วยเสียงแหบใหญ่
“เสียใจ! บังคับปีเตอร์ไม่ได้อีกต่อไปแล้วละแนนนี่ ลงมา!”
แนนนี่ว่าคาถา ชี้มือใส่ปีเตอร์
ปีเตอร์แกล้งร้องแล้วทำเป็นปวดแสบปวดร้อน “โอ๊ย! โอ๊ย! เจ็บจัง กลัวจังเลย ฮ่าๆๆ”
ปีเตอร์ใช้ความว่องไวกระชากแขนแนนนี่ลงมา
“โอ๊ย!”
“ไปได้แล้ว ! ข้าไม่มีเวลาล้อเล่นกับเจ้า !
“ปล่อย!” แนนนี่พยายามขืนตัวเต็มกำลังแต่ไม่เป็นผล”
ปีเตอร์ลากแนนนี่แทบจะปลิวตามด้วยพละกำลังอันมหาศาล หากใครเห็นก็จะดูไม่ออก เพราะปีเตอร์เดินอย่างสบาย แต่เป็นแนนนี่ที่ไถลลื่นตามมา ชนิดที่ไม่มีแรงขัดขืนเลย แนนนี่พยายามร้องให้ปีเตอร์ปล่อย
“ปีเตอร์ ปล่อยแนนนี่ ปีเตอร์”
เวลาเดียวกันภวัตเปิดประตูเข้ามาภายในห้องพักแพทย์ประจำโรงพยาบาล แล้วทรุดตัวลงนั่ง หยิบน้ำขึ้นมาดื่ม
เสียงแนนนี่ร้องขึ้นมา “ช่วยด้วย”
ภวัตสะดุ้งเฮือก สำลักน้ำ
“เสียงแนนนี่ ...ฮือ หูแว่วน่า!”
ภวัตหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำที่เปียกเสื้อ จู่ๆ ก็ได้เสียงแนนนี่ร้องขอความช่วยเหลือ
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย”
ภวัตชักจะตกใจ “แนนนี่”
จังหวะนั้นเสียงทาฮีร่าแว่วเข้ามาในห้วงความคิด ประโยคแล้วประโยคเล่า
“แนนนี่แย่แล้ว”
“ฉันสงสัยว่าจะถูกอสูรจับตัวไป”
“นายปีเตอร์มันเหลือแต่ตาขาว แล้วก็พาแนนนี่ไปไหนไม่รู้”
ภวัตหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด เสียงโทรศัพท์บ้านปัทมนดังครู่หนึ่ง แล้วพรรีบเดินเข้ามารับ
“สวัสดีค่ะ...บ้านคุณปัทมนค่ะ”
“พี่พร ... แนนนี่อยู่บ้านหรือเปล่า”
“คุณภวัต...คุณแนนนี่ออกไปกับคุณปีเตอร์ค่ะ...แต่คุณปีเตอร์น่ากลัวที่สุดเลย” พรเล่าเสียงตื่น
ภวัตปิดมือถือทันที แล้วร้องเรียก
“คุณยาย! คุณยายครับ คุณยาย”
ระหว่างนั้นประตูห้องพักภวัตเปิดออก บุษบาเดินยิ้มหวานเข้ามา
“ภวัตขา! ไปทานข้าวกันเถอะค่ะ เที่ยงกว่าแล้ว”
“ผมมีธุระ”
ภวัตเดินไปที่ประตู บุษบารีบมาจับแขนไว้
“บุษไปด้วย”
“คุณไปไม่ได้”
“ได้ซิคะ เดี๋ยวภวัตทำธุระเสร็จ เราก็ไปทานข้าวต่อ คุณจะได้ไม่เสียเวลาย้อนมารับบุษ”
ภวัตจับมือบุษบาออก
“คุณบุษ ผมมีธุระด่วนจริงๆ เอาไว้พรุ่งนี้ผมจะพาคุณไปทานข้าวเช้า กลางวัน เย็นเลย”
ภวัตรีบเปิดประตูออกไป
บุษบารีบวิ่งจะเข้ามาเกาะภวัตไว้ที่บริเวณหน้าห้อง จังหวะนั้นรองเท้าส้นสูงปรี๊ดพลิก บุษบาหกล้ม
“ภวัต! ว้าย!”
ภวัตหันมา แล้วรีบตรงมาทรุดตัวลงดู
“คุณบุษ”
บุษบาร้องห่มร้องไห้คร่ำครวญอย่างเจ็บปวด
ภวัตค่อยๆ จับข้อเท้า “เจ็บมั้ยครับ”
“โอ๊ย...ย เจ็บที่สุดในโลกเลยค่ะ”
ภวัตช้อนตัวบุษเดินกลับเข้ามาในห้อง บุษบาร้องซี้ดซ้าดโอดโอยตลอดเวลา จริงบ้าง แต่มารยาเสียเป็นส่วนใหญ่
ภวัตค่อยๆ วางบุษลง แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด
บุษบาเอาแต่ร้องโอดโอย
“โอ๊ย...เจ็บจังเลยค่ะ... ขาหักหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“คุณลินดา...ให้ใครเอารถเข็นขึ้นมารับคุณบุษบาที่ห้องพักผมด้วยแล้วพาไปส่ง หมอสุมทาด่วนเลย!...ขอบคุณมาก!”
ภวัตเก็บโทรศัพท์ ถอดเสื้อกาวน์พาดเก้าอี้ ซึ่งเมื่อครู่นี้รีบจนลืมถอด
“คุณรออยู่ที่นี่”
“แล้วคุณล่ะคะ”
“ผมมีธุระ”
“ไม่! บุษจะให้คุณรักษา” บุษบานอยด์สุดขีด
“ผมไม่ใช่หมอกระดูก หมอสุมทานั่นแหละเก่งมาก”
ภวัตรีบเปิดประตูออกไป
“ภวัต กลับมาก่อน ภวัต”
บุษบาพยายามจะลุกตาม แต่ลุกไม่ไหว
ปีเตอร์ลากตัวแนนนี่มาถึงหน้าบ้านร้าง สภาพภายนอกดูวังเวงน่ากลัว ประตูค่อยๆ เปิดออกเอง ความเก่าทำให้เกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าด
“เข้าไป” ปีเตอร์บอกเสียงเหี้ยม
“บ้านใครน่ะ ปีเตอร์”
ปีเตอร์ไม่ตอบ ผลักแนนเข้าไป
แนนนี่เซถลาด้วยแรงผลัก ล้มลง ประตูปิดเองสนิท แนนนี่ลุกขึ้น แล้ววิ่งไปพยายามดึงและทุบประตู
“ปีเตอร์ เปิดประตู บอกให้เปิด”
ประตูปิดสนิท เช่นเดียวกับร่องรอยของปีเตอร์ที่หายไป แต่มีเสียงเรียกของใครคนหนึ่งดังขึ้นมา
“นังเด็กน้อย”
แนนนี่สะดุ้ง แล้วหันขวับมา เห็นอสูรสดับยืนทะมึนอยู่ ดูทั้งน่ากลัวและน่าเกรงขาม
รถปีเตอร์จอดอยู่ ไม้กวาดพาทาฮิร่า และชิกเก้นร่อนดิ่งลงมา
“ฉันเคยเห็นรถคันนี้ที่ไหน”
“กลิ่นฉุนกึกเลย”
“ไอ้ชิกเก้น” ทาฮิร่าร้อนตัวนึกว่าโดนชิกเก้นเม้าท์ จึงดุใส่
“คุณยายไม่ได้กลิ่นเหรอ...กลิ่นแรงขนาดนี้ ต้องเป็นระดับผู้บริหารด้วย” ชิกเก้นเดาถูก
ทาฮิร่าทำท่าจมูกฟุดฟิดครู่หนึ่ง
“จริงซี” ทาฮิร่าชี้มือไปเบื้องหน้า “และกลิ่นมาจากทางนั้น”
ทาฮิร่าออกเดิน มือกระชับไม้กวาดแน่น ชิกเก้นเดินตาม
ด้านภวัตเข้ามาในบ้านปัทมนอย่างรีบร้อน โดยมีพรรอรับอยู่
“ไม่มีใครอยู่เลยหรือ”
“คุณธานีอยู่ค่ะ แต่พรเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมขานรับ พี่ผาดก็ไม่ยอมฟังอะไรทั้งนั้น”
“ห้องแนนนี่อยู่ที่ไหน”
ภวัตถาม พรรีบนำภวัตขึ้นไป
ไม่นานหลังจากนั้นทั้งสองเดินขึ้นชั้นบน มาถึงหน้าห้องแนนนี่
“พี่พรมีอะไรก็ไปทำเถอะ...ผมจัดการเรื่องนี้เอง” ภวัตบอก
“คุณภวัตทราบหรือคะว่า คุณแนนนี่ไปไหน” พรถาม
“ตอนนี้ยังไม่รู้”
“แล้วเข้ามาในห้องมันจะมีประโยชน์อะไรคะ” พรสงสัย
“เอาเถอะน่า”
ภวัตเดินเข้าไป แล้วปิดประตู
ภวัตกดล็อคเพื่อกันคนเข้ามาเห็น แล้วหันกลับมามองสำรวจไปทั่วห้อง พลางใช้ความคิด ในที่สุดก็นึกออก
“ห้องอสูร มันน่าจะมีอะไรสักอย่างที่บอกได้ อะแฮ้ม” ภวัตกระแอมเล็กน้อย “ขอโทษครับ ..ในห้องนี้มีอะไรที่พอจะสื่อสารกับผมได้บ้างไหมครับ”
เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นมา “ฉันเอง”
ภวัตโล่งใจ “ค่อยยังชั่ว ... คุณอยู่ที่ไหนครับ”
“อยู่บนโต๊ะ” เสียงใครคนนนั้นบอก
ภวัตมองไปที่โต๊ะ กวาดสายตาไปมาบนโต๊ะเห็นมีหนังสือ เครื่องเขียน และตะเกียงใบหนึ่ง ภวัตถอนใจเฮือกใหญ่
“ขอโทษอีกทีครับ... ผมยังมองไม่เห็นคุณเลย”
“งี่เง่า! พวกมนุษย์นี่งี่เง่าจริงๆ” ตะเกียงแก้วชักหงุดหงิด
ภวัตเดินมาหยุดที่โต๊ะ...สายตามองเลยเรื่อย มาหยุดที่ตะเกียง ภวัตตกตะลึง
“จะ...จะ...ให้ผมเข้าใจว่า ตะ....ตะ...เกียง พูดหรือครับ”
“พ่อคู้ณ พ่อคิดว่า มีแต่มนุษย์เท่านั้นหรือยะที่พูดได้ วิสัยทัศน์สั้นจิตใจคับแคบ ดูถูกผู้อื่น แม้! มันน่าสาปนัก”
“เอาละครับ ผมมาที่นี่เพื่อจะถามว่า ผมจะไปตามหาแนนนี่ได้ที่ไหน”
“อะโฮ้! ไหนว่าเก่งเลิศเลอนักไง เก่งแล้วทำไมต้องมาถามตะเกียงด้วยล่ะ”
“ถ้าคุณยังขืนโยกโย้ แนนนี่เป็นอะไรไป ทุกคนจะพากันตำหนิคุณ และคุณก็จะต้องโทษตัวเองไปจนกว่าจะถูกขายไปเป็นของเก่า ...แล้ว”
ภวัตยังไม่ทันพูดจบตะเกียงก็สวนขึ้นมา
“พอที”
ขาดคำ ก็มีควันพวยพุ่งออกมาจากตะเกียง ภวัตผงะถอยหลังออกมา พอควันจางลง ปรากฏพรมผืนเล็กๆม้วนอยู่
“พรมอะไรครับ” ภวัตงง
“พรมเปอร์เซียย่ะ....คลี่ออกซิ” ตะเกียงแก้วบอก
ภวัตคลี่พรมออก
“ขึ้นไป” ตะเกียงแก้วสั่ง
ภวัตขึ้นไปยืนบนพรม “อย่าบอกนะครับว่า ... เฮ้ย”
จู่ๆ พรมก็ลอยขึ้นไปอย่างรวดเร็ว แล้วออกนอกหน้าต่างไปทันควัน
ภวัตยังพูดไม่จบด้วย แถมยังไม่ทันตั้งตัวอีกด้วย
พรมลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ภวัตกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนพรม แล้วจังหวะหนึ่งเกือบจะพลาดตกลงมา แต่ภวัตพยายามจับรั้ง...ดึงพรมไว้แน่น ภวัตหลับตาปี๋แหกปากร้องลั่น เมื่อเกือบตกอีกครั้ง ทั้งหวาดเสียว และลุ้นระทึกตลอดเวลา
สดับร่ายคาถา ร่างแนนนี่ถลาไปที่ผนังห้อง พร้อมๆ กับที่แขน 2 ข้างเหมือนมีใครยกขึ้นไปติดผนัง แล้วปรากฏโซ่มัดไว้แขน รวมทั้งขาทั้ง 2 ข้างก็เช่นเดียวกัน
แนนนี่มองตามทุกระยะในลักษณะมึนงง และตกตะลึง แนนนี่พยายามดิ้นรน แต่โซ่รัดแน่นหนามาก
“นังแม่มด หัวใจของเจ้าคืออาหารอันโอชะของอสูรน้อย เมื่อนางมาถึงนางจะควักดวงใจของเจ้าออกมา” อสูรสดับบอก
แนนนี่ชะงัก สะดุดกับคำพูดของอสูรในร่างสดับ จนพึมพำออกมาอย่างงงๆ
“อสูรน้อย”
ทว่าร่างอสูรเลือนหายไปแล้ว
“เดี๋ยวซิ แนนนี่นี่แหละอสูร”
แนนนี่ฮึดฮัด และยังพยายามดิ้นรนเต็มที่อยู่อย่างนั้น
อ่านต่อหน้า 2
อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 13 (ต่อ)
ระหว่างทางมายังบ้านร้าง นับตั้งแต่บริเวณที่เจอรถปีเตอร์จอดทิ้งอยู่ มีกลุ่มหมอกควันจางๆ ลอยอ้อยอิ่ง คละคลุ้งเต็มไปหมด บรรยากาศทั้งดูลึกลับ วังเวง และน่ากลัวตลอดทาง
สองนายบ่าว ทาฮิร่า และชิกเก้นค่อยๆ พากันย่องมาเรื่อยๆ ทาฮิร่าเอาแต่เหลียวซ้ายแลขวา มองหน้ามองหลังในอาการระแวดระวังสุดชีวิต โดยไม่ยอมพูดยอมจา จนชิกเก้นทนไม่ไหวต้องพูดถามขึ้นในที่สุด
“จะไม่มีการพูดอะไรบ้างเลยหรือเจ๊ มันผิดคาแร็กเตอร์พิก๊ล”
“ชู้ว...เงียบ เดี๋ยวพวกอสูรมันได้ยิน” ทาฮิร่าจุ๊ปากให้เงียบ
ขณะเดินย่องๆ อยู่นั้น เท้าทาฮิร่าดันไปสะดุดเข้ากับขาใครคนหนึ่งแล้วล้มลง
“ว้าย” ทาฮิร่าร้องลั่น
“เวรก๊ำ...เวรกรรม แล้วอีแบบนี้ จะไม่มีใครได้ยินหรอกเรอะ”
ทาฮิร่าลืมตามอง แล้วอุทานออกมา “เพื่อนแนนนี่”
ชิกเก้นหันไปมองตาม “ชิกเก้นรู้จัก เค้าชื่อปีเตอร์”
“ปีเตอร์” ทาฮิร่าเขย่าตัว “ปีเตอร์ ทำไมมานอนเล่นแถวนี้”
ปีเตอร์เริ่มรู้สึกตัว ค่อยๆ ลืมตาขึ้น แต่แล้วก็ตกใจรีบผุดลุกขึ้นนั่ง เมื่อเห็นทาฮิร่าและชิกเก้นอยู่ตรงหน้าและจ้องเอาๆ
“ชิกเก้น คนแก่” ปีเตอร์อุทานออกมา
ทาฮิร่าโกรธจนหน้าเขียวหน้าเหลือง
“เมี้ยว! เมี้ยว! เมี้ยวๆๆ” ชิกเก้นรีบร้องเมี้ยวๆ ออกตัวว่าตัวเองไม่เกี่ยว
“นี่ ฉันยังไม่แก่ขนาด ให้ใครอุทานยังงั้นหรอกนะยะ” ทาฮิร่าเม้งปีเตอร์เอามากๆ
“ขอประทานโทษครับ...ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง หรือว่าคุณอาลักพาตัวผมมา” ปีเตอร์จัดให้...เปลี่ยนสรรพนามทาฮิร่ามาเป็นคุณอา
“คุณยายทวดเหมาะกว่ามั้ง” ชิกเก้นอดไม่ไหวสวนออกมา
ปีเตอร์หันขวับมามองแมวชิกเก้ร ด้วยสีหน้าระแวง
“เมี้ยว”
ชิกเก้นร้องแล้วทำเป็นล้มตัวลงนอน ทำตาปริบๆ ปีเตอร์หันมามองทาฮิร่า
“เมื่อกี้...ใครพูดครับ” ปีเตอร์ประหลาดใจไม่หาย
“จิตใต้สำนึกเธอพูดมั้ง... แนนนี่อยู่ที่ไหน ฉันเป็นคุณยายของแนนนี่”
“ก็อยู่ที่บ้านไงครับ...” ปีเตอร์ลุกขึ้นยืน “ใช่แล้ว ผมก็อยู่ที่บ้านแนนนี่ ติวหนังสือให้เธอ แล้วทำไม...” ปีเตอร์มองทาฮิร่าเขม็ง “...คุณยายจับผมมาเรียกค่าไถ่ แก่แล้วยังทำบาปทำกรรมอีก”
“น่าน ...น” ชิกเก้นเผลอหลุกปากอีก
ปีเตอร์หันขวับมามอง ชิกเก้นทำแบ๊วแกล้งหลับตาไม่รู้ไม่ชี้
“คุณยายต้องการเงินเท่าไหร่บอกมา...ป๊ากับม้าให้เงินผมไว้ใช้เล่นขำๆ 10 ล้าน แต่ถ้าคุณยายต้องการมากกว่านั้น ผมจะโทร.บอกป๊ากับม้าให้โอนมาให้อีก” ปีเตอร์ว่า
“โอ! ปิรันย่า” ทาฮิร่าอุทานก่อนจะเหน็บแรง! ตามประสา “แนนนี่มีเพื่อนโง่แบบนี้ได้ยังไง”
ปีเตอร์สะดุ้งโหยง
“ขอโทษครับ คุณยาย! ผมเป็นคนติวให้แนนนี่ก่อนสอบทุกครั้งนะครับ”
“โอ! ปิรันย่า มิน่า แนนนี่ถึงต้องเอาผลสอบไปฝังดินยังกับลายแทงทุกครั้ง”
“เวรก๊ำ...เวรกรรม” ชิกเก้นพึมพำออกมาเบาๆ
“เหมือนผมได้ยินใครพูดอีกแล้ว” ปีเตอร์สงสัยตะหงิดๆในใจ
“ถ้าจะไม่ได้เรื่องแล้ว คุณยาย” ชิกเก้นบอกทาฮิร่า
ปีเตอร์หันขวับมามอง “แกพูดแน่ๆ ชิกเก้น”
“โอม... ลับบราดูบราดู๊”
ทาฮิร่าร่ายมนตรา ปีเตอร์สิ้นสติไปอีกทันที
“ค่อยยังชั่ว” ชิกเก้นเอ่ยขึ้น
“ไปต่อ”
ทาฮิร่าออกเดินนำ ชิกเก้นตามติด ส่วนปีเตอร์ถูกสะกดให้หลับพับอยู่ที่เดิม
ทางด้านแนนนี่ซึ่งถูกพันธนาการอย่างแน่นหนาอยู่ในบ้านร้าง กำลังพยายามตะโกนร้องให้ทาฮิร่ามาช่วย
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย คุณยายขา....ช่วยแนนนี่ด้วย ช่วยด้วย”
ระหว่างนั้นทาฮิร่าซึ่งกำลังมะงุมมะงาหรามากับชิกเก้นชะงัก เสียงของแนนนี่ลอยมาเข้าหูสองบ่าวนาย
“ช่วยด้วย คุณยายขา ช่วยแนนนี่ด้วย ...ย”
“เสียงแนนนี่ ....ไปทางนี้ เร็วเข้า”
ทาฮิร่าและชิกเก้นรีบเดินแกมวิ่งไปอย่างเร็ว
“พี่ภวัต ! ช่วยแนนนี่ด้วย พี่ภวัต พี่ภวัต” แนนนี่ร้องขึ้นสุดเสียง
ในเวลาเดียวกันนั้นภวัตกำลังเกาะพรมหลับหูหลับตา
“ฝันไป ฉันต้องฝันไปแน่ๆ เครื่องบิน ...จรวดยังต้องมีเครื่องยนตร์ ถึงจะขึ้นบนฟ้าได้ นี่พรมทอมาจากผ้าล้วนๆ ไม่มีแม้แต่ล้อ ...ทำไมแล่นฉิว
“ช่วยด้วย พี่ภวัต ช่วยด้วย”
ภวัตสะดุ้งกับเสียงแนนนี่แทรกเข้ามา แล้วลืมตาทันที
“แนนนี่...พรมวิเศษ รีบไปช่วยแนนนี่”
พรมรับรู้พุ่งทะยานตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ภวัตไม่ทันตั้งตัวลื่นมาจนเกือบตกพรม
“เฮ้ย”
พรมพาภวัตลอยไปอย่างรวดเร็วจนน่าหวาดเสียว
ในขณะที่ดารกากำลังนั่งดูหนังสือกับเพื่อนอย่างขมักเขม้น สักพักหนึ่งก็มีเสียงอสูรเรียกแผ่วๆ ดูเหมือนล่องลอยมากับลม แต่ทรงอำนาจมาก
“ดารกา…”
ดารกามองตรงไปตามเสียง เห็นร่างสดับยืนอยู่ใต้ต้นไม้ ส่งเสียงเรียกมากับสายลม
“ดารกา”
ดารกามองเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ขณะที่เพื่อนๆ มองอย่างแปลกใจ
“น้องดา ... น้องดา น้องดา” เพื่อนมาเขย่าแขน
ดารกาลุกขึ้นบอกเพื่อนๆ “เดี๋ยวน้องดามา”
แล้วรีบเดินออกไป
“จะไปไหนน่ะ”
ดารกาไม่ตอบเดินต่อไป
ร่างอสูรหันหลังออกเดินนำเลี้ยวเหลี่ยมตึก ดารกายังคงเดินตามไป ในขณะที่เพื่อนๆ มองอย่างประหลาดใจ ทุกคนดารกาเดินอยู่คนเดียว ไม่มีใครเห็นอสูรสดับ
“คงลืมของไว้ที่หอมั้ง” เพื่อนคนหนึ่งว่า แล้วทั้งหมดก็ติวหนังสือกันต่อ
ดารกาเดินตามอสูรสดับมาจนถึงมุมหนึ่งซึ่งค่อนข้างเปลี่ยว จังหวะนั้นสดับหยุดเดิน ค่อยๆ หันตัวกลับมา แล้วยื่นมือมาข้างหน้า ดารกาค่อยๆ ยืนมือออกไปด้วยสีหน้าเลื่อนลอย มือของดารกาค่อยๆ เลื่อนจะแตะถึงมือสดับ แต่แล้วมือสดับชะงัก
สีหน้าอสูรสดับเหมือนจะจับคลื่นความถี่ของสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ส่งมาถึง อสูรสดับมีสีหน้าโกรธเกี้ยว แล้วเลือนหายไปทันที พร้อมกับที่ดารกาสะดุ้งรู้สึกตัว
ดารกากวาดตามองไปรอบๆ ตัวอย่างแปลกใจ “มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
ทาฮีร่าและชิกเก้นผวาเข้ามาหาแนนนี่ซึ่งถูกพันธนาการอยู่ภายในบ้านร้างหลังนั้น
“แนนนี่” สองบ่าวนายประสานเสียงด้วยความตกใจ
“คุณยายขา ชิกเก้น ช่วยแนนนี่ด้วย” แนนนี่ดีใจสุดชีวิต
“ไม่ต้องกลัวลูก คุณยายทาฮีร่าผู้เรืองเดชมาช่วยแล้ว”
ชิกเก้นหันมาป้องปากเม้าท์มอยลับหลัง “อื้อฮือ...แม่มดผู้เรืองเดช ตัวของนางเองยังเอาไม่ค่อยจะรอดเล้ย!”
“โอม...อับอัมรา อะละบาบรัมบราบารัมโบ”
ทาฮิร่าร่ายมนตรา พลางชี้นิ้วไปที่โซ่ซึ่งรัดแขนขาของแนนนี่ไว้ หวังปลดพันธนาการให้หลานรัก
ทว่าการกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะดันมีโซ่ขนาดอีกเท่าตัว ปรากฏขึ้นรัดทั้งตัวแนนนี่แน่นกว่าเดิม
“โอ๊ย...คุณยาย แนนนี่หายใจไม่ออก”
ทาฮีร่ามองอย่างตกตะลึง
“นึกแล้ว คุณย้าย....รีบทำอะไรเข้าสักอย่างซิ” ชิกเก้นตะโกนบอก
“จะ....จะ...ให้ทำอะไรล่ะ” ทาฮิร่าอาการจิตตก ลนลานเข้าไปใหญ่
“แนน ...แนนนี่ หาย ...หายใจไม่ออก”
“ใจเย็นๆ แนนนี่ คุณยายผู้เรืองเดชกำลังนึกทบทวนคาถาที่ถูกต้องอยู่” ชิกเก้นรีบปลอบแนนนี่ แต่แอบแขวะนายหญิง
“อัล ....อัม ....แกช่วยฉันคิดหน่อยซิ ชิกเก้น” ทาฮิร่าหันมาทางชิกเก้น
“คิดยังไง ชิกเก้นไม่ใช่แม่มดนี่”
“เอาคาถาแมวก็ได้ เผื่อฟลุค”
ตลอดเวลาที่บ่าวนายหารือกันนั้น แนนนี่หายใจยากและลำบากขึ้นทุกทีๆ
จังหวะนั้นเองเสียงอสูรสดับก็ดังขึ้นมา
“นึกว่าใคร”
ทาฮิร่าและชิกเก้นหันไปมอง เห็นอสูรสดับยืนเด่นเป็นสง่า
“อะ...อะ อสูร” ทาฮิร่าผงะ ตกใจ
“เมี้ยว ชิก....ชิกเก้นไม่เกี่ยวนะ”
อสูรสะบัดมือ ทั้งทาฮิร่าและชิกเก้นเหมือนกับถูกพลังจนร่างกระเด็นไปติดผนัง...สลบเหมือด
“สองแม่มด หนึ่งแมว อาหารอันโอชะของอสูร” อสูรสดับคำรามอย่างพอใจ
“อย่านะ อย่าทำอะไรคุณยายกับชิกเก้น” แนนนี่ยังคงพยายามดิ้นต่อไป
ที่ด้านนอกเวลานั้น พรมร่อนพาภวัตลงสู่พื้นดินอย่างนุ่มนวล
“ค่อยยังชั่ว”
ร่างภวัตลงจากพรมเรียบร้อย พรมค่อยๆ หดตัวลง เล็กขนาดพกพา ภวัตมองอย่างตื่นตาและพิศวง
พรมเล็กจิ๋วผืนนั้นขยับตัวไปมา พูดอู้อี้ๆ ฟังไม่รู้เรื่อง เหมือนจะบอกภวัตว่าให้เอาฉันไปด้วย
ภวัตก้มลงหยิบ แต่พอมือจะแตะ พรมกลับลอยขึ้น แล้วออกนำลิ่วไปในทันที ภวัตถอนหายใจอย่างปลงๆ
“จะพาไปไหนก็ไป” แล้วเดินตามไป
พรมลอยนำและพาภวัตมาหยุดหน้าบ้านร้าง อยู่ในระยะมองเห็น ภวัตหยุดตามพรม แล้วค่อยๆ ลัดเลาะไปด้านข้าง แล้วแอบมองเข้าไป ภวัตเห็นทาฮีร่าและชิกเก้นสลบอยู่ ขณะที่แนนนี่ถูกมัดอยู่ โดยมีอสูรยืนอยู่เบื้องหน้าแนนนี่
ภวัตตกใจอุทานออกมา “แนนนี่”
ภวัตขยับจะเข้าไปทางหน้าต่าง แต่พรมกระแทกขาภวัตจนล้ม
“ทำไม ไม่เห็นเรอะว่าทุกคนกำลังแย่”
พรมส่ายตัวไปมา เหมือนคนกำลังส่ายหน้า
ขณะนั้นเองอสูรสดับเหมือนจะรู้สึกถึงความผิดปกติ ค่อยๆ หันกลับมา ภวัตรีบผลุบหัวลงทันที
อสูรสดับเดินมาที่หน้าต่างกวาดตามอง ภวัตและพรมรีบหลบไปอีกทาง อสูรกวาดสายตามองไปมา เห็นทุกอย่างเป็นปกติ
ทว่าอสูรสูดจมูก ฟุดฟิด เหมือนได้กลิ่นมนุษย์!!
ภวัตแอบหลบอยู่หลังพุ่มไม้ใหญ่ อสูรร้ายเดินเข้ามาในบริเวณนั้น พลางสูดกลิ่น แล้วมองหาทิศที่มาของกลิ่น
ภวัตจ้องเขม็ง แล้วพึมพำ “อย่านะ”
สายตาอสูรสดับค่อยๆ เบือนหน้ามาหยุดตรงที่ภวัตซ่อนอยู่ ภวัตแนบหัวลงไปเกือบติดพื้น อสูรร้ายกำลังเดินตรงมาช้าๆ
ภวัตกระซิบเบาๆ กับพรม “จะทำอะไรก็ทำซักอย่างซิ..เป็นพรมวิเศษไม่ใช่เรอะ”
แต่พรมยังสงบนิ่ง
อสูรสดับเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“เฮ้ ฉันถูกจับอีกคนก็จบเลยนะ” ภวัตบอกพรม
อสูรเข้ามาเรื่อยๆ นัยน์ตาจ้องเขม็งมา แต่จู่ๆ ร่างภวัตก็หายไป เช่นเดียวกับพรม และเป็นผลงานของพรมที่กำบังให้ ภวัตล่องหนในพริบตา ในจังหวะที่อสูรเดินมาถึงพอดี บริเวณนั้นจึงว่างเปล่า
อสูรจ้องมองอย่างไม่วางใจ กวาดสายตามองไปโดยรอบบริเวณนั้นด้วยสีหน้าครุ่นคิด บรรยากาศดูเงียบและวังเวงจนน่าอึดอัด และในที่สุด อสูรก็เดินผละไป
พรมค่อยๆเคลื่อนออก เช่นเดียวกับร่างภวัตปรากฏขึ้น ด้วยสีหน้าแววตาตระหนกสุดๆ ลักษณะเหมือนถูกแช่แข็ง
ภวัตอยู่ในท่านั้นครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆขยับตัว หันมามองพรม “ขอบใจนะ”
พรมขยับไปมาเสียงอู้อี้ๆ ตามเคยเหมือนจะรับคำนั้น
“ทีนี้จะทำยังไงต่อไป”
ภวัตถอนใจกลุ้มสุดๆ
เหตุการณ์ที่บ้านปัทมนในเวลาเดียวกัน ธานีนอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียงภายในห้อง รอบตัวชายหนุ่มมีแฟ้มงานเต็มไปหมด พร้อมทั้ง Notebook ที่เปิดไว้
ประตูเปิดออก ปัทมน พร และผาดรีบเดินเข้ามา
“คุณธานีไม่น่าขี้เซาขนาดนี้นะคะ พรมาทุบประตูเรียกตั้งหลายครั้งแล้ว”
ปัทมนเดินเข้าไปเขย่าตัวลูกชาย “ธานี...ธานี”
“หลับเป็นตายเลยละค่ะ” ผาดบอก
“หรือว่าจะถูกสะกด” ปัทมนเผลอหลุดปาก
“ถูกสะกด” พรและผาดประสานเสียงกัน
ปัทมนชะงัก เมื่อเห็นสายตาทั้งสองคนมองมาอย่างประหลาดใจ จึงรีบพูดกลบเกลื่อน
“แบบในพวกนิยายมหัศจรรย์พันลึกไง”
ผาดผินหน้ามามองพรด้วยความลังเลใจ “แต่มันก็มีเค้าเหมือนกันนะคะ”
“ฮื่อ! ฉันก็พูดไปอย่างนั้นเอง...ธานีเพิ่งจะฟื้นตัวแล้วก็หักโหมงานเลยเหนื่อยมาก ผาดกับพรจะไปทำอะไรก็ไปเถอะ” ....
ทั้งสองคนยังลังเลใจอยู่อย่างนั้น
“ไปซิ”
“ค่ะ” ผาดกับพรรับคำพร้อมกัน แล้วเดินออกไป
ปัทมนเอาหูแนบ จนได้ยินเสียงฝีเท้าห่างไป จึงรีบกดล๊อคแล้วเดินมากลางห้อง ปัทมนกวาดตามองไปโดยรอบ
“คุณยายคะ...คุณยาย...อยู่แถวนี้หรือเปล่าคะ”
ทุกอย่างเงียบงัน
“คุณยาย! หนูชักจะเริ่มกลัวแล้วนะคะ”
ทุกอย่างยังคงเงียบกริบเหมือนเดิม
ปัทมนน้ำตาคลอ “คุณยาย!”
ปัทมนรีบเดินมาที่โต๊ะทำงานของธานี หยิบมือถือมากดโทร.ออก
“บางทีอาจจะอยู่กับแนนนี่”
ทว่าไม่มีสัญญาณตอบรับใดๆ ทุกอย่างเงียบสนิท ปัทมนน้ำตาไหลด้วยความตระหนก และหวาดหวั่นเป็นห่วงลูก
ในที่สุดปัทมนก็เดินมาที่ประตู แล้วเปิดออกไป
ปัทมนเดินออกมา แล้วเดินตรงไปยังห้องพระ ด้วยจิตใจว้าวุ่น จังหวะนั้นเองมีแสงสีเขียวเรืองๆ ลอยพุ่งออกจากตามขอบประตูห้องดารกาตรงมาที่ปัทมนเหมือนประสงค์จะขัดขวาง ในขณะเดียวกันนั้นกลุ่มควันสีสว่างนวลตาจากที่ใดที่หนึ่ง ก็โอบกระจายเข้ามา แสงสีเขียวเรืองพุ่งเข้าใกล้ปัทมนทุกขณะๆ เมื่อใกล้จะถึงตัวกลุ่มควันสีสว่างนวล ได้กลายเป็นเกลียวเข้ารัดแสงสีเขียวไว้ ปัทมนเปิดประตูเข้าห้องพระไป โดยไม่รู้ว่าเกิดการห้ำหั่นระหว่างควันสองกลุ่มที่นอกห้อง
เกลียวควันสีเทานวลรัดจนแสงสีเขียวต้องถอยร่นกลับเข้าห้องดารกาทางขอบประตูเหมือนเดิม
ควันสีเขียวนั้นลอยอ้อยอิ่งกลับเข้าไปในเทวรูป ดวงตาเทวรูปกลายเป็นสีแดงก่ำ ควันสีดำพวยพุ่งออกจากหูด้วยความโกรธจัด เทวรูปแสยะปากออก เผยให้เห็นเขี้ยวเล็กๆ ขาววาววับโผล่ออกมาจากมุมปาก คล้ายพวกแววไพร์
ปัทมนอยู่ในห้องพระ และเวลานี้กำลังปักธูป 3 ดอกลงในกระถางธูป จากนั้นก็นั่งพับเพียบพนมมือ สองมือนั้นสั่นเทา สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและวิตกกังวล ปัทมนรวบรวมสติพยายามตั้งสมาธิแน่วแน่
“ด้วยอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์แห่งคุณพระศรีรัตนตรัย ขอจงปกป้องและคุ้มครองรักษาลูกๆ ทุกคนของลูกให้แคล้วคลาดจากอันตรายใดๆ ด้วยเถิด...”
ปัทมนก้มลงกราบพระด้วยสีหน้ามั่นคงแน่วแน่
ทั่วทั้งบ้านร้างหลังนั้นบรรยากาศวังเวง เต็มไปด้วยหมอกควัน
ทาฮิร่า และชิกเก้นค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น
“คุณยายขา ...ช่วยแนนนี่ด้วย” แนนนี่ร้องขึ้น
“โธ่เอ๋ย แนนนี่ ตัวของนางยังเอาไม่รอดเล้ย” ชิกเก้นอนาจใจ
“พูดมาก ไอ้ชิกเก้น...อสูรมันหายไปไหนแล้ว” ทาฮิร่าหน้าตื่น มองไปรอบๆ ห้อง
ระหว่างนั้นประตูค่อยๆเปิดออก (เสียงเอี๊ยด)
สองแม่มด กับอีก หนึ่งแมว หันไปมองอย่างหวาดหวั่น สีหน้าแต่ละลุ้นระทึก
เป็นภวัตที่ค่อยๆ เดินเข้ามา แนนนี่เบิกตากว้างด้วยความดีใจ
“พี่ภวัต มาได้ไงเนี่ย”
ภวัตยกนิ้วแตะปากให้ทุกคนเงียบ
“หยุดอยู่ตรงนั้น...ฉันไม่เชื่อว่าจะเป็นนายภวิตตัวจริง” ทาฮิร่านอกจากไม่ฟัง ยังมาตั้งแง่สงสัยอีก
“ผมชื่อภวัตครับ ไม่ใช่ภวิต”
“จะชื่ออะไรก็แล้วแต่ เธอเป็นมนุษย์ เธอไม่สามารถมาถึงที่นี่ได้ภายในพริบตา”
“แล้วที่แม่มดผู้เก่งกล้าสามารถ อาจหาญชาญสนามอย่างคุณยายถึงได้ถูกจับมัดหมดท่าอย่างนี้ได้ล่ะ”
ถูก “นายภวิต” ย้อนเข้าให้ทาฮิร่าถึงกับเถียงไม่ออก
“เงียบไปเลยเรอะ คุณยาย” ชิกเก้นว่า
“พี่ภวัต ช่วยแก้มัดพวกเราก่อนเถอะค่ะ...เดี๋ยวอสูรมันกลับมาคราวนี้ถูกจับจับยกเข่งเลย” แนนนี่บอก
ภวัตมองโซ่ที่มัดแต่ละคน แล้วส่ายหน้าเซ็งๆ
“แนนนี่พูดยังกับถูกมัดด้วยเชือกฟาง ไม่ใช่โซ่”
“อันนี้ฉันเห็นด้วย” ทาฮิร่าเออออ
“แต่ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้” ภวัตฮึดฮัด ทาทีจริงจัง
“ไม่ต้องลอง ฉันก็รู้แล้วว่าไม่รอด” ทาฮิร่าหยัน
ภวัตเดินมาที่แนนนี่นี่ถูกพันธนาการอยู่ ใช้มือจับโซ่ ลองขยับไปมา
ช่างน่าอัศจรรย์ เมื่อกลุ่มควันสีสว่างนวลตา เหมือนกับที่คุ้มครองปัทมน ลอยอ้อยอิ่งเข้ามา แล้วเหมือนซึมเข้าไปในอุ้งมือทั้งสองของภวัต โซ่เส้นนั้นขาดออกทันที ท่ามกลางความประหลาดใจของทุกคน รวมทั้งภวัตเอง
“เฮ้ย!”
“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ” ชิกเก้นตลึง ตาโต
“ทำได้ไง” ทาฮิร่าประหลาดใจสุดๆ
แนนนี่โผเข้ากอดภวัตแน่นด้วยความดีใจ “พี่ภวัต”
“อย่าเพิ่งซึ้ง ยังเหลืออีก 2 เร็วๆ เข้าหมอภวัต” ชิกเก้นเร่งภวัต
ภวัตปล่อยแนนนี่ แล้วรีบมาที่โซ่ของทั้ง สองเส้นที่รัดสองบ่าวนาย ทันทีที่มือภวัตแตะ ก็มีควันจางสีนวลลอยออกมา และโซ่ขาดทันใด
“ไป! เราต้องรีบหนีแล้ว”
ภวัตพาทั้งหมดออกไป
ทั้งหมดเดินออกมาถึงด้านนอก แล้วต่างก็สะดุ้ง เมื่อเห็นอสูรสดับยืนตระหง่านอยู่ อสูรร้ายคำรามลั่นด้วยความโกรธจัด แล้วยกแขนขึ้น เตรียมทำร้ายทั้งหมด
“หนีเร็ว” ภวัตได้สติก่อนรีบบอกทุกคนทุกตัว
ภวัตดันให้ทุกคนหนี ตัวเองอยู่หลังสุด อสูรร้ายปล่อยแสงสีแดงจากดวงตาแดงก่ำใส่ ทั้งหมดล้มระเนระนาด
อสูรสดับย่ามใจก้าวย่างสามขุมเข้าหา
จังหวะนั้นเองพรมผืนเล็กจิ๋วก็ลอยมา แล้วกลายเป็นผืนใหญ่ปกคลุมทุกคน ทั้งคน ทั้งแมว และพรม หายไปในพริบตา
อสูรคำรามลั่นด้วยความโกรธจัด
ครู่ต่อมาพรมก็พาทุกคนลอยมาบนท้องฟ้า ท่าทางของแต่ละคน แต่ละตัวทั้งเหนื่อยล้า และอ่อนเพลีย ทันใดนั้นแนนนี่เบิกตาโตเหมือนเพิ่งนึกได้
“ปีเตอร์! เราต้องกลับไปช่วยปีเตอร์”
“ไอ้เจ้านั่นมันเป็นคนพาหลานมาให้อสูรนะ” ทาฮิร่าไม่เห็นด้วย
“เขาไม่รู้ตัวนี่คะ ปีเตอร์คงถูกอสูรสะกด....พี่ภวัต เราต้องกลับไปช่วยเขาค่ะ” แนนนี่หันมาทางภวัต
ภวัตสีหน้าขรึมลงทันตา พูดประชดขึ้น “เป็นห่วงเขามากนักหรือ”
“แน่นอน! ปีเตอร์เป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของแนนนี่ ถ้าพี่ภวัตไม่ไป แนนนี่จะขี่ไม้กวาดไปช่วยเขาเอง” แนนนี่บอก
“แนนนี่...นายเปอร์ตี้เขาเคยถูกอสูรสิงแล้ว ย่อมถูกสิงได้อีกนะลูก” ทาฮิร่าเจ้าเก่าผู้ชอบเปลี่ยนชื่อชาวบ้านค้านขึ้น
“โอ๊ย...คุณยาย คนเขาชื่อปีเตอร์ไม่ใช่เปอร์ตี้” ชิกเก้นเซ็งแทน
“ก็ได้ เราจะย้อนกลับไปช่วยปีเตอร์ ... พรมวิเศษ ได้ยินแล้วใช่ไหม”
พรมวิเศษส่งเสียงอู้อี้ๆ ราวกับบ่น แล้วลอยย้อนกลับไป
พริบตาเดียวพรมก็พาทุกคนลงร่อนมาตรงที่พบปีเตอร์
“ตรงนี้แหละ” ทาฮิร่าบอก
“แล้วหายไปไหนล่ะคะ” แนนนี่กังวลใจอยู่ไม่หาย
“ไปดูที่เขาจอดรถไว้ดีกว่า ถ้าไม่มีก็แสดงว่ากลับไปแล้ว” ทาฮิร่าว่า
“อยู่ไกลไหม” ภวัตกังวลเรื่องความปลอดภัยทุกคน
“จะว่าไกลก็ไกล จะว่าใกล้ก็ใกล้” ชิกเก้นแทรกขึ้นมา
“เล่นสำนวนดีนัก ตามฉันมา”
พูดจบทาฮิร่าก็ออกเดินนำ ทุกคนตาม
ทั้งหมดเดินมาเรื่อยๆ จนถึงบริเวณที่รถปีเตอร์เคยจอดอยู่
“ไม่มี” แนนนี่ยิ่งกังวล
ภวัตทรุดตัวลงมอง “มีรอยล้อย้อนกลับไปทางเดิม”
“ก็แสดงว่า นายเปอร์ตี้กลับไปแล้ว” ทาฮิร่าออกความเห็น
“จะกลับไปได้ยังไง” แนนนี่ไม่เชื่อ
เห็นแนนนี่ที่ห่วงใยปีเตอร์เกิ๊น..ภวัตเริ่มรำคาญพูดประชดอีก เพราะหึงโดยไม่รู้ตัว
“ก็ขับรถกลับไปน่ะซี เอาละ....สบายใจแล้วก็กลับกันได้”
“ใครว่าแนนนี่สบายใจ! แนนนี่ยังเป็นห่วงปีเตอร์” แนนนี่ไม่วางใจ
“แนนนี่หลานรัก...นายเปอร์ตี้เขาก็คงเป็นห่วงแนนนี่เหมือนกันเพราะฉะนั้น เรารีบกลับก่อนที่อสูรมันจะมาดีกว่านะจ๊ะ”
ทาฮิร่าปลอบประโลม แต่แนนนี่ยังมีท่าทีลังเลใจ ทาฮิร่าจูงแนนนี่ขึ้นพรม “อย่าดื้อเลยนะคะคนดีของยาย”
แนนนี่ชำเลืองค้อนภวัต แล้วลงนั่งหันหลังให้ ทาฮิร่าทำสัญญาณให้ภวัตและชิกเก้นขึ้นพรม
แล้วพรมก็พาทุกคนลอยขึ้นฟ้าไป
ปีเตอร์ที่แนนนี่ออกอาการเป็นห่วงจนภวัตโกรธเป็นหย่อมๆ เวลานี้อยู่ที่คอนโด กำลังกดโทรศัพท์หาพ่อและแม่ที่ไม่เคยมีใครเห็นหน้า
“ปะป๊า...ปีเตอร์เบื่อรถคันเดิมแล้ว” ปีเตอร์
“หา! ลื้อเพิ่งเปลี่ยนเมื่อ 2 เดือนก่อนเองนะ” เสียงปะป๊าจากปลายสายว่า
เสียงแม่แทรกเข้ามา “ก็อาตี๋มันเบื่อ ไม่เหมือนลื้อนี่ ใช้คันนึงตั้งเกือบ 10 ปี เอามานี่” แย่งโทรศัพท์มาพูดกับปีเตอร์ซะเอง “ลื้อจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนไปต้องการเงินเท่าไหร่ก็บอกมา!”
“งั้นปีเตอร์จะไปสั่งจองวันนี้เลยนะ”
“โอเค แค่นี้ใช่มั้ย ม้ากับป๊าจะได้ไปทำมาหากินให้ลื้อผลาญต่อ” แม่ปีเตอร์พูดเสียงระรื่นแต่จริงจัง เปล่าประชดลูกชาย
“ขอบคุณครับ!”
ปีเตอร์ปิดโทรศัพท์ กลอกตาไปมา แล้วตาดำหายไป ที่แท้ปีเตอร์ถูกอสูรสะกดและเข้าสิงตามที่ทาฮิร่าตั้งข้อสังเกตกับแนนนี่ไว้นั่นเอง
“พ่อแม่ตัวอย่าง” อสูรร้ายในร่างปีเตอร์พึมพำ
เวรกรรมของอิงอรที่ต้องพบเจอเรื่องประหลาดล้ำยังไม่จบไม่สิ้น ขณะนั้นอิงอรแต่งตัวสวย สวมหมวกปีกกว้าง และเสื้อแขนยาว กำลังลั้นลาอยู่กับตัดแต่งกิ่งไม้
“ออกดอกดกๆ สวยๆ นะลูก...แม่จะได้”
จังหวะหนึ่งอิงอรชะงักกึก เมื่อมีเงาพรมทอดลงมาเหนือหัวของเธอ อิงอรแปลกใจและสงสัยตามนิสัยสอดรู้สอดเห็น จึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นดู แล้วก็เบิกตากว้าง เมื่อมองเห็นพรมวิเศษกำลังลอยผ่านไปในระยใกล้ เพื่อเตรียมจะร่อนลงจอด ที่บริเวณหลังบ้านภวัต
ภวัตมองเห็น ชายหนุ่มทำสีหน้าอธิบายยากขณะมองมาสบตาอิงอร ส่วนสองแม่มดกับหนึ่งแมว ทาฮิร่า แนนนี่ และชิกเก้น ต่างโบกไม้โบกมือพร้อมกับยิ้มแย้มพยักเพยิดไปให้
อิงอรค่อยๆ ปล่อยมือจากกรรไกรตัดกิ่งไม้ แล้วเดินตัวแข็งทื่อเหมือนถูกสะกดเข้าบ้านไป
อิงอรเดินเข้ามาในห้องรับแขก ทรุดตัวลงนั่ง เอนศรีษะพิงพนัก พูดพึมพำอยู่กับตัวเอง
“คะ....คะ....คะ...คราวนี้ มีหมอภวัตร่วม...ร่วมขบวนมาด้วย”
พรมร่อนลงถึงพื้นโดยละม่อม
“Landing นิ่มกว่าไม้กวาดอีก” แนนนี่เอ่ยขึ้น
พรมทำเสียงพออกพอใจ
“ป่านนี้ยัยคุณอิงเป็นบ้าไปแล้ว” ทาฮิร่าสงสารอิงอรจับจิต
ระหว่างนั้นโป่งก็บังเอิญเดินเข้ามา ขณะที่ทุกคนยังนั่งอยู่บนพรม
“โห! มากันพร้อมหน้าเลย” โป่งเอ่ยขึ้นแล้วหัวเราะขำพลางชี้ไปที่พรม “อย่าบอกนะครับว่านั่งพรมนั่นมา!”
สีหน้าโป่งค่อยๆ เจื่อนจืดลงไป เมื่อทุกคนซึ่งหันมองมาเป็นตาเดียว ไม่ได้ขบขันไปด้วย
“มะ...มะ....หมาย ....หมายความว่า”
“เรานั่งพรมเหาะมา” ทาฮิร่าพูดหน้าตาเฉย
ทั้งหมดลุกขึ้น แล้วก้าวลงจากพรม พรมลอยขึ้นแล้วค่อยๆ ย่อส่วนเหลือเป็นพรมผืนเล็กๆ ลอยไป
โป่งเงยหน้ามองตามพรมไปจนลับตา แล้วหันมามองทุกคน พยายามจะพูด แต่พูดไม่ออก ได้แต่ชี้มือขึ้นไปบนฟ้า
“แนนนี่ไปบ้านก่อนนะคะ” แนนนี่พูดจบก็หายแว้บไป
“รอชิกเก้นด้วย” ชิกเก้นกระโจนหายไป
โป่งมองตาม แล้วหันกลับมา เห็นทาฮิร่ากำลังว่าคาถา หายแว้บไปอีกคน โป่งทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แล้วผินหน้ากลับมามองทางภวัต
“กรุณา หยะ...อย่า...อย่า....หายตัวไปอีกคนนะครับ คุณภวัต”
โป่งพูดยังไม่ทันขาดคำ ร่างภวัตก็หายไปต่อหน้าต่อตา
“ทำไมไม่เชื่อกันบ้างเลย”
โป่งคร่ำครวญออกมาอย่างน่าสงสาร
อ่านต่อหน้า 3
อสูรน้อยในตะเกียงแก้ว ตอนที่ 13 (ต่อ)
เวลาเดียวกันนั้นไชยกำลังเปิดประตูจะออกไป ในขณะที่ภวัตปรากฏตัวขึ้นข้างหลัง ภวัตสะดุ้ง แล้วตั้งท่าจะรีบหลบแอบใต้โต๊ะ แต่เท้าดันไปเตะเข้ากับเก้าอี้โครมใหญ่ นิ่วหน้าร้องลั่นด้วยความเจ็บ
“โอ๊ย”
ไชยหันขวับมา อ้าปากค้างประหลาดใจสุดๆ
“หมอภวัต”
ภวัตยิ้มแห้งๆ ขณะค่อยๆ ลุกขึ้น ภวัตรีบไหว้อย่างไม่รู้จะทำอะไรดีกว่านั้น “สวัสดีครับหมอ”
“คุณหายไปไหนมา แล้วมาได้ยังไง”
“ก็....ก็ มาได้ยังงี้แหละครับ” ภวัตบอกหน้าตาเฉย
“มีคำอธิบายที่ชัดกว่านี้มั้ย” ไชยยังคาใจ
“คง ... คงไม่มีครับ”
“ไม่มี”
“ครับ...ไม่มี”
ไชยกุมขมับเปิดประตูเดินออกไป ภวัตกวาดตามองไปรอบห้อง สัมผัสและรับรู้ถึงพลังบางอย่างภายในห้อง
“คุณยาย! ผมรู้นะว่าคุณยายอยู่ในนี้”
ทางด้านไชย พอเดินไปได้ 2-3 ก้าวแล้วก็หยุดชะงัก
“หรือเมื่อกี้จะตาฝาด”
ไชยตัดสินใจเปิดประตูห้องภวัตเข้าไปใหม่
ภวัตกำลังเล็งหาทาฮิร่า ต้องชะงักเมื่อหันมาเจอไชยพอดี ไชยมองภวัตอึ้งๆ ภวัตพยายามอธิบาย
“คือ...อยู่ดีๆ ผมเกิดคิดถึงคุณยายขึ้นมาน่ะครับ...ก็...ก็เลยลองเรียกท่านดู”
ไชยมองภวัตแปลกๆ แล้วตัดสินใจเอ่ยขึ้น “หมอ....ผมว่า เราคงต้องคุยกันเสียแล้ว”
“ได้....ได้ครับ”
“การเอาใจใส่คนไข้เป็นเรื่องที่ดี...แต่ไม่ควรหมกมุ่นจนเกินไป ไม่อย่างนั้นหมออาจต้องเปลี่ยนสถานะเป็นคนไข้แทน”
“ครับ” ภวัตรับคำ
ไชยเดินออกไป แล้วหันขวับมาใหม่ ภวัตรู้แกวรีบยิ้มสดชื่นให้ ไชยมองอย่างไม่ค่อยไว้วางใจ แล้วก้าวออกไป ปิดประตู
ภวัตรีบตามไปล็อค แล้วหันกลับมา สะดุ้งเฮือก เพราะทาฮิร่านั่งไขว่ห้างวางท่าเก๋อยู่บนโต๊ะทำงานภวัตเรียบร้อย
“เธอเรียกฉันทำไม นายภวิต”
ไชยเดินตรงไปที่ลิฟท์ บ่นงุบงิบอยู่คนเดียว
“ยัยบุษจะรักคนผิดเสียก็ไม่รู้”
“คุณยายทำให้หมอไชยเข้าใจผมผิด”
“ฉันช่วยไม่ให้เธอต้องผจญกับรถติดยังไม่ดีอีกเรอะ” ที่แท้เป็นทาฮิร่าที่พาภวัตหายตัวมาที่นี่
“ได้โปรดเก็บความหวังดีของคุณยายไว้ในตู้เหล็กแล้วใส่กุญแจให้แน่นหนาด้วย จะเป็นการดีที่สุดสำหรับผมเลยครับ”
“ฉันเป็นแม่มดใจบุญ”
“แต่คุณยายทำให้ผมเหมือนคนบ้าในสายตาของคนอื่น” ภวัตบ่นอุบ
“นั่นเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้”
ทาฮิร่าพูดจบ แล้วหายแว้บไป
“มันน่าให้ลืมเวทมนตร์บ่อยๆ นัก” ภวัตบ่นอยู่คนเดียว
ส่วนไชยเดินตรงมาที่ห้องทำงานบุษบาเพื่อบอกเรื่องภวัต บุษบานั่งอยู่ มีผ้าพันข้อเท้าที่แพลงเมื่อวันก่อนอยู่
“พี่ไชยจะให้บุษเข้าใจว่า ภวัตเป็นโรคจิตหรือคะ”
“เฮ่ย! ใช้คำนั้นมันแรงไป เอาแค่ว่าเริ่มจะเพี้ยนๆ ดีกว่า” ไชยว่า
“แต่บุษไม่เคยเห็นเขาเพี้ยนเลย! ภวัตเป็นผู้ชายที่ เพอร์เฟ็คท์ทุกอย่าง”
“คนที่แอบอยู่ในห้องไม่ให้ใครเห็น...คนที่อยู่ดีๆ ก็ตะโกนเรียกญาติผู้ใหญ่ขึ้นมาเนี่ยนะเพอร์เฟ็คท์”
“พี่ไชยอาจเข้าใจอะไรผิด”
“พี่ก็ภาวนาขออย่าให้เป็นอย่างนั้น เสียดายหมอดีๆ”
บุษบาเม้มปาก มองหน้าไชยอย่างไม่พอใจ
แนนนี่นอนซึมอยู่บนเตียง หลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย มีเสียงเคาะประตูเบาๆ แล้วปัทมนก็เดินเข้ามาพร้อมถาดวางชามบะหมี่น้ำร้อนๆ พร้อมชาใส่นมเย็น
ปัทมนวางของลงบนโต๊ะ “แนนนี่...ลุกขึ้นมาทานบะหมี่น้ำหน่อยลูก แล้วค่อยนอนต่อ”
“แนนนี่ไม่หิวค่ะ...” แนนนี่ ลุกขึ้นนั่ง
“ไม่หิวก็ทานสักนิดนะลูกนะ จะ 5 โมงอยู่แล้ว...กลางวันลูกก็ยังไม่ได้ทานอะไรเลย”
แนนนี่นิ่งไปครู่หนึ่ง “คุณแม่”
ปัทมนลงนั่งใกล้ๆ “ว่ายังไงลูก”
“ตกลงแนนนี่เป็นอะไรกันแน่ค่ะ...จะบอกว่าเป็นแม่มด...แต่ก็ถูกพวกแม่มดตามล่า...ครั้นจะบอกว่าเป็นอสูร...อสูรก็จับตัวไปจะฆ่าเหมือนกัน...แนนนี่คงเป็นตัวประหลาดที่ไม่มีใครต้องการ!”
ปัทมนไม่ใส่ใจคำพูดพร่ำแกมน้อยใจนั้น กอดแนนนี่ไว้แน่น “แนนนี่เป็นลูกรักของแม่ไงจ๊ะ”
“แนนนี่อยากรู้ว่าตัวเองเป็นใคร...พ่อแม่อยู่ที่ไหน”
ปัทมนจับหน้าแนนนี่ให้หันมองมา “ฟังแม่ให้ดีนะ แนนนี่..แม่เคยทำอะไรให้หนูรู้สึกน้อยอกน้อยใจ หรือเปล่า”
แนนนี่ส่ายหน้าน้ำตาคลอด้วยความตื้นตันใจ
“แม่เคยแสดงสักนิดว่าไม่รักหนู หรือว่า รักหนูน้อยกว่าคนอื่นไหม!”
แนนนี่กอดแม่ร้องไห้ “ไม่เลยค่ะ!”
“แค่นี้ไม่พอหรือลูกที่จะพิสูจน์ว่าหนูเป็นลูกแม่”
แนนนี่ส่ายหน้าร้องไห้กับอกแม่
“งั้นก็สัญญากับแม่ซีว่า หนูจะไม่คิดมากอีกแล้ว เพราะหนูเป็นลูกของแม่”
แนนนี่ยังคงร้องไห้ ปัทดึงทิชชูมาเช็ดน้ำตาให้
“จะสอบอยู่วันสองวันนี้แล้ว ตั้งใจดูหนังสือดีกว่า...อย่าเอาเวลาไปคิดเรื่องไร้สาระเลยนะจ๊ะ”
แนนนี่พยักหน้า
“ทานบะหมี่ก่อน แล้วจะนอนพักสักหน่อยก็ได้...ตื่นมาค่อยดูหนังสือต่อ”
“ค่ะ”
แนนนี่ลุกจากเตียงไปนั่งโต๊ะหนังสือ ซึ่งแม่วางถาดอาหารไว้ให้ ปัทมองตามสีหน้าเป็นกังวล
จู่ๆ ชิกเก้นก็ร้องเรียกหานายหญิง “คุณยาย!” ทั้งคู่อยู่ที่บ้านทาฮิร่าในเมืองมนุษย์ ทาฮิร่าหันกลับมามอง
“เหตุการณ์วันนี้อาจจะเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า แนนนี่ไม่ใช่อสูร!”
“แกก็รู้ว่า ฉันอยากให้เป็นอย่างนั้นใจจะขาด! แต่มันก็มีข้อขัดแย้งตลอด!” ทาฮิร่ายังไม่แน่ใจ
“งั้นคุณยายก็ยังคงเชื่อว่า แนนนี่เป็นอสูร!”
“แล้วแกจะอธิบายยังไง ถึง เหตุอาเพศต่างๆและคำทำนายของท่านผู้นำในวันนั้น!...วันที่ 9 เดือน 9 น่ะ!”
“นั้นซินะ…” ชิกเก้นเว้นไปนิดหนึ่ง “นอกจากว่าจะมีเด็กมาเกิดขึ้นอีกคน...และเด็กคนนี้คือทายาทอสูรตัวจริง!” ชิกเก้นว่า
“งั้นแนนนี่ละเป็นใคร มาจากไหน ที่สำคัญเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ทำไมถึงต้องเอามาทิ้งไว้หน้าบ้านฉัน!”
“ปวดหัว” ชิกเก้นบ่น
ทาฮิร่านิ่งไปครู่หนึ่ง “แต่ถ้าแนนนี่เป็นอสูร ทำไมจึงถูกอสูรจับไป”
“คุณยายคิดไปคนเดียวเถอะ ชิกเก้นไปละ”
ชิคกระโดดแผล็วออกไป
เวลาเดียวกันบาบาร่าตื่นนอน บิดตัวเล็กน้อย บาบาร่าก้าวลงจากเตียง เกือบเหยียบไทเกอร์
“เฮ้! ระวังหน่อยซิ คุณยายบา”
“แล้วใครใช้ให้แกมานอนตรงนี้ล่ะ นี่ฉันหลับไปนานมั้ยเนี่ย”
“ก็ตั้งแต่เจ้าของบ้านไปทำงานนั่นแหละ”
“ฮ้า! นานขนาดนั้นเชียวเรอะ” บาบาร่าประหลาดใจ
“ไม่รู้สึกตัวเสียด้วย” ไทเกอร์ย้ำ
“ต้องออกไปเสนอหน้าเสียหน่อย เดี๋ยวจะหาว่าขี้เกียจ”
บาบาร่าผลักประตูเดินออกไป
บาบาร่าเดินออกมา แล้วหยุดชะงักมอง เห็นโป่งนั่งแหงนมองฟ้าพูดอยู่คนเดียว
บาบาร่าเดินเข้ามาใกล้ “โป่ง เจ้าโป่ง”
โป่งสะดุ้ง หันมาถาม “คุณแม่บ้านบานเย็น...คุณแม่บ้านบานเย็นมาทางไหนครับ”
“ก็มาทางนี้แหละ ถามทำไม”
“วันนี้ผมเห็นแต่คนมาจากบนโน้น” โป่งชี้มือขึ้นไปบนฟ้าประกอบ “ก็เลยนึกว่าคุณแม่บ้านอาจจะมาจากทางเดียวกัน”
“คนที่ว่าน่ะใคร”
“คุณภวัต คุณแนนนี่ คุณยายคุณแนนนี่ แล้วก็คุณชิกเก้นครับ”
บาบาร่าพยักหน้าช้าๆ สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
“เท่านั้นยังไม่พอนะครับ แต่ละคนยังหายวับไปต่อหน้าต่อตาผมด้วย”
บาบาร่าตบไหล่โป่งเหมือนจะปลอบใจ “อย่าคิดมาก แกฝันไปเท่านั้นแหละ”
“ฝันหรือครับ”
“ใช่! ฝันกลางวันไง ใครๆ ก็ฝันกลางวันได้”
โป่งฟังแล้วสีหน้าดีขึ้น
ทาฮีร่ากำลังดื่มอายุวัฒนะ
“เดี๋ยวนี้ทำไมมันเหนื่อยง่ายจัง เผลอๆ ยาอายุวัฒนะยังเอาไม่อยู่”
“เขาเรียกว่าแก่ไง”
เสียงคุ้นหูเมื่อครู่ ทำเอาทาฮีร่าสำลักยา แล้วหันขวับไปมอง เห็นบาบาร่านั่งไขว่ห้างอยู่บนขอบหน้าต่าง
“ซัดเข้าไปกี่พันปีแล้วล่ะ ปีนี้”
“อ๊อ! มันก็ใกล้เคียงกับเธอนั่นแหละ บาบาร่า”
บาบาร่าหายแวบมาอยู่อีกมุมห้อง เริ่มต้นการซักฟอก สิ่งที่ได้ยินจากโป่งทันที
“วันนี้หอบกันไปไหนมา”
ทาฮิร่าดื่มยาทำเป็นงง “ไม่เข้าใจ”
บาบาร่าแวบมาอยู่ใกล้ๆ “มีคนตาดีเห็นเธอกับมนุษย์ภวัต แมวชิกเก้น และอสูรแนนนี่นั่งพรมมาด้วยกัน”
“แล้วไง”
บาบาร่าชักฉุน “ก็ถามอยู่นี่ไงว่าไปไหนกันมา”
“ไม่รู้ จำไม่ได้”
“มุสา” บาบาร่าโวยลั่น
ทาฮิร่าทำใจเย็น “เธอก็รู้นี่ว่าระยะหลังๆ มานี้ ฉันขี้ลืมจะตายไป...แม้แต่เวทมนตร์คาถาขั้นเบสิค บางทียังลืมเลย”
“แต่เหตุการณ์มันเพิ่งเกิดขึ้น เธอคงไม่ลืมแน่”
“ก็มันลืมไปแล้ว”
“ฉันจะไปรายงานท่านผู้นำว่าเธอให้ความช่วยเหลืออสูร”
“ฉันคงห้ามเธอไม่ได้...แต่ ....อย่าลืมนะว่า...ถ้าแม่มดทุกคนรู้เรื่องกันหมด โอกาสที่จะได้ความดี ความชอบของเธอก็จะน้อยนิด..จนถึงขนาดหมดโอกาสไปเลย”
บาบาร่าชะงักนิ่งคิด ทาฮิร่ารีบสำทับลงไปอีก
“คิดให้ดีน้า...บาบาร่าเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด”
บาบาร่าหรี่ตามอง “เธอกำลังยอมรับว่าแนนนี่เป็นอสูรใช่มั้ย”
“ฉันไม่ได้พูดหรือยอมรับอะไรทั้งนั้น”
บาบาร่าพยักหน้าน้อยๆ กับตัวเองอย่างหมายมาด
“ระวังน้าว่าจะ ถูกคุณยายทาฮิร่าหลอก” ไทเกอร์เตือนหลังบาบาร่าโผล่มาที่ห้องในบ้านจักรวาล
“ไม่มีทาง ฉันเจ้าเล่ห์กว่าทาฮิร่ามากมายนัก”
“อย่าประมาทเพื่อนรักหักเลี่ยมโหดทีเดียว”
บาบาร่าเชิดหน้าอย่างมั่นอกมั่นใจ
ค่ำแล้วทั่งทั้งบ้านปัทมนตกอยู่ท่ามกลางความมืด ภายในห้องธานีที่ชั้นบนของบ้าน ธานีกำลังเดินกลับไปกลับมา อย่างใคร่ครวญครุ่นคิด สักพักหนึ่ง แล้วธานีหยิบโทรศัพท์มากดหาใครบางคน รัดเกล้ากำลังนั่งเล่นเกมอยู่ หยิบโทรศัพท์มารับสาย
“ฮัลโหล! โทร.มาทำไม เกล้าง่วงนอนจะแย่อยู่แล้ว”
“เว่อร์! พี่เห็นไฟยังเปิดสว่าง แล้วจะง่วงได้ยังไง”
“ก็กำลังจะดับไฟอยู่นี่ไง”
“พี่มีเรื่องแปลกๆ จะเล่าให้ฟัง” ธานีจริงจัง
“พี่ธานีไปผ่าตัดแปลงเพศมาเหรอ” รัดเกล้าประชดขำๆ
“บ้า ...เฮ้ย นี่พี่พูดจริงนะ....ออกมาพบพี่หน่อยได้ไหม ..อย่าบอกนะว่าง่วง นี่เพิ่งจะ 2 ทุ่มครึ่งเอง”
“จะจีบเค้าละซี” รัดเกล้าเย้า
“เฮ้ย เกล้าไม่ใช่สเป๊คพี่”
“ไอ้พี่ธานี”
“เออน่า! พี่จะออกไปรับนะ”
ธานีปิดโทรศัพท์ แล้วเดินออกไป
ธานีกับรัดเกล้าออกมาที่ร้านไอศกรีมละแวกบ้าน ทั้งคู่นั่งอยู่ที่โต๊ะในมุมหนึ่ง รัดเกล้าตักไอศครีมใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อยหลังฟังธานีเล่าเรื่องแปลกๆ จบ
“นี่เกล้าไม่แปลกใจเลยเรอะ ที่พี่เล่ามาทั้งหมดนี่น่ะ”
รัดเกล้าส่ายหน้า “ไม่ ... พี่ธานีขี้เซา”
“จะขี้เซายังไงก็คงไม่หลับโดยไม่รู้เรื่องราวขนาดนั้นหรอก” ธานีแย้ง
รัดเกล้านิ่งคิดครู่หนึ่ง “แล้วคุณอาปัทไม่ได้เล่ารายละเอียดให้ฟังหรอกหรือคะ”
“ไม่” สีหน้าธานีเหมือนจะทบทวนความทรงจำกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
ภาพเหตุการณ์ในขณะนั้นธานีนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ระหว่างนั้นมีเสียงเหมือนระฆังในวัดดังแว่วเข้ามา ธานีขยับตัวน้อยๆ เมื่อมีเสียงปัทมนสวดคาถาชินบัญชรดังเหมือนแทรกอยู่ในสายลม
ในที่สุดธานีก็ลืมตาตื่นขึ้น ชายหนุ่มนอนนิ่งๆ เหมือนงงๆ อยู่ครู่หนึ่ง แล้วผุดลุกขึ้น เสียงสวดหายไป ทุกอย่างเข้าสู่ภาวะปกติ
“หลับไปได้ไงเนี่ย” ธานีมองนาฬิกา แล้วเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
ประตูเปิดออก ธานีรีบก้าวออกมาด้วยสีหน้าเดิมผสมงุนงง
ปัทมนเดินตรงมาจากห้องพระ โล่งใจที่เห็นลูกชายอยู่ตรงหน้าอย่างปลอดภัย จนน้ำตาคลอหน่วย
“ธานี”
ปัทมนเดินมากอดลูกแน่น
“ไม่เป็นอะไรแล้วนะลูกนะ”
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ คุณแม่”
ปัทมนไม่ตอบ ดูอ้ำอึ้งกึ่งโล่งใจ
ภายในร้านไอศกรีม มีลูกค้าวัยรุ่นคนทำงานเดินเข้าออกไม่ขาดสาย และเวลานั้นรัดเกล้าจ้องหน้าธานีเขม็ง โดยที่ในมือถือช้อนไอศกรีมค้างอยู่
“อะไร! จ้องหน้าพี่ทำไม”
“แน่ใจนะว่าหูไม่ฝาด” รัดเกล้าซัก
“โธ่!”
“อืม...ม..จะว่าผีก็ไม่ใช่ เพราะเป็นเสียงอาปัทสวดมนตร์” รัดเกล้าบอก
“ทำไมพี่ถามอะไรคุณแม่ถึงไม่ยอมตอบ”
“เกล้าจะบอกให้คุณพ่อถามให้ บางทีผู้ใหญ่เขาก็ไม่อยากเล่าอะไรให้เราฟังแต่ชอบจะคุยกันเองมากกว่า”
พูดจบรัดเกล้าก็หันไปกินไอศกรีมต่ออย่างเอร็ดอร่อย
“อร่อยจัง เดี๋ยวขออีกถ้วยได้ไหม”
“ตะกละ”
รัดเกล้ายักไหล่ “อยากหลวมตัวมาเลี้ยงเองนี่ ช่วยไม่ได้”
รัดเกล้าเรียกบริกรมาสั่งไอศกรีมเพิ่ม วินาทีนั้นธานีเผลอมองรัดเกล้าอย่างเอ็นดู แต่พอรัดเกล้าหันกลับมาก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
ดึกสงัดคืนนั้น ดวงจันทร์เคลื่อนคล้อยลอยผ่านเข้าไปในก้อนเมฆสีขาว ท้องฟ้าสว่างใสเมื่อครู่ดูครึ้มไปด้วยเมฆฝน ราวกับฝนจะตกหนัก
ภายในห้องแนนนี่ ชิกเก้นนอนขดตัวหลับอยู่ในมุมประจำ จังหวะนั้นก็มีเสียงกุกกักๆ ดังขึ้นที่หน้าต่าง ชิกเก้นลืมตาขึ้นเพ่งมอง แล้วขนก็ตั้งชัน ชิกเก้นได้กลิ่นบางอย่าง มันทำจมูกฟุดฟิดขณะชะเง้อมอง
มือสองข้างเอื้อมขึ้นมาจับขอบหน้าต่าง ชิกเก้นเบิกตากว้าง ด้วยความตกใจ ไม่นานนักเจ้าของมือนั้นโผล่ขึ้นมาทั้งตัว
ชิกเก้น อึ้ง ตะลึง อย่างไม่เชื่อสายตา อุทานตะกุกตะกักอยู่ในลำคอ “ปะ...ปะ...เปอ ...เปอร์ตี้ ..ปีเตอร์
ไวเท่าความคิด ชิกเก้นขดตัวเข้าไปซุกอยู่ในมุมมืดใต้โต๊ะ ขณะที่ปีเตอร์จับกระจกหน้าต่างเขย่า 2-3 ที แล้วเปิดออกด้วยพละกำลังศาล
ปีเตอร์ก้าวเข้ามาในห้อง หันใบหน้ามารับมุมกับแสงฟ้าที่แลบแปลบปลาบเห็นดวงตาสีขาวน่ากลัว ชิกเก้นมองภาพนั้นรีบยกมืออุดปาก ไม่ให้มีเสียงร้องเล็ดรอดออกมา
ปีเตอร์เดินมาที่เตียง แล้วคำรามอย่างโกรธจัดผสมกับเสียงฟ้าร้องครืนครัน เมื่อไม่เห็นแนนนี่ ปีเตอร์กวาดสายตาเหลียวมองหา ชิกเก้นค่อยๆ ย่องออกมาแล้วกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะ ตั้งใจจะหยิบตะเกียงแก้ว
ทว่าชิกเก้นดันพลาด ตะเกียงตกลงมาจากโต๊ะ แล้วกลิ้งมาหยุดใกล้เท้าปีเตอร์
“ตายแล้ว” ชิกเก้นตกใจ
ปีเตอร์แสยะยิ้ม แล้วก้มลงจะหยิบตะเกียงแก้ว ชิกเก้นฉวยจังหวะกระโดดแผล็วเข้าที่ซ่อน จังหวะที่มือของปีเตอร์แตะที่ตะเกียง แต่แล้วต้องสะดุ้ง สะบัดเร่าๆ เพราะมีเปลวไฟร้อน ลุกขึ้นมาโดยรอบ
ชิกเก้นมองด้วยความพิศวง
ปีเตอร์มองไปที่ตะเกียงแก้ว ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ “หน็อยแน่ เล่นกับใครไม่เล่น”
ปีเตอร์ก้มลงจะหยิบอีกครั้ง แต่เปลวไฟก็เปล่งออกมาอีก ปีเตอร์ปล่อยตะเกียงทิ้งลง
ปีเตอร์ชูมือทั้งสองข้างขึ้น คำรามลั่นด้วยความโกรธจัด แล้วกระโดดออกจากหน้าต่างไป
ชิกเก้นรีบกระโจนตามมาดูที่ขอบหน้าต่าง
อสูรในร่างปีเตอร์หายไปในความมืด
ชิกเก้นรีบกระโจนมาที่ตะเกียง แล้วร้องเรียกเบาๆ
“แนนนี่ แนนนี่ แนนนี่”
ระหว่างที่ปีเตอร์เข้ามา ก็ร้องคำราม แต่ถูกเสียงครืนครันคำรามของฟ้า และเสียงลมอื้ออึง ดังกลบตลอดเวลา แต่พอปีเตอร์กระโดดออกไป ทุกอย่างก็เงียบเป็นปกติ
แนนนี่ซึ่งตกลงมาจากเตียงค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้น
“อูย...เสียศูนย์เหรอพี่ตะเกียง”
“มีผู้บุกรุก” ตะเกียงแก้วร้องขึ้น
“หา!”
ขาดคำแนนนี่ ก็มีเสียงชิกเก้นดังลอดเข้ามา “แนนนี่...ฮัลโหลๆๆๆ...แน้นนี”
“เสียงชิกเก้น” ตะเกียงแก้วเอ่ยขึ้น
แนนนี่ว่าคาถาแล้วลอยหายออกไป ตะเกียงแก้วตะโกนตามหลัง
“ระวังตัวนะ แนนนี่”
แนนนี่ปรากฏตัวขึ้นมาหลังกลุ่มควันจาง
“เกิดอะไนขึ้น....ชิกเก้น” แนนนี่ถามอย่างร้อนใจ
“ก็เพื่อนแนนนี่น่ะซิ อีตาเปอร์ตี้...ปีเตอร์น่ะ ปีนเข้ามาในห้องนี้” ชิกเก้นเริ่มเล่า
“ปีนได้ไง” แนนนี่ประหลาดใจเดินไปชะโงกดู จากบริเวณพื้นดินขึ้นมาถึงบนห้องค่อนข้างสูงเอาการ คนธรรมดาขึ้นมาไม่ได้แน่ นอกจากใช้บันไดเป็นตัวช่วย!
“แถมขากลับยังกระโดดออกไปอีก” ชิกเก้นเสริม
แนนนี่หันกลับมาช้าๆ สีหน้าครุ่นคิด
“ไม่ใช่ปีเตอร์ตัวจริงหรอก...ชิกเก้น”
ภวัตนั่งหาวเพราะถูกแนนนี่ปลุกขึ้นมาตอนตีหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นเวลาที่เขาควรนอนหลับพักผ่อน
“อย่าหาวซิคะ” แนนนี่ว่า
“เอ๊ะ...ก็เราเข้ามาปลุกพี่ตอนตีหนึ่ง...มันก็ต้องมีหาวบ้างซิ” ภวัตโวยเล็กๆ
“อสูรมันเข้ามาจะจับตัวแนนนี่ถึงในห้องนะคะ”
ภวัตซึ่งกำลังหาวอยู่ หาวค้างทันทีด้วยความตกใจ
“เคราะห์ดีที่แนนนี่อยู่ในตะเกียงแก้ว ก็เลยไม่เป็นอะไร” แนนนี่บอก
ภวัตลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมาอย่างกังวล
“แนนนี่น่ะไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ ห่วงแต่ปีเตอร์”
ได้ยินชื่อปีเตอร์ ภวัตชะงัก หันมามองแนนนี่
“อสูรมันใช้ร่างปีเตอร์เพื่อทำร้ายแนนนี่..พี่ตะเกียงบอกว่า ถ้าเป็นอย่างนี้นานเข้า...ปีเตอร์จะถูกกลืนเป็นอสูรไปเลย ...แนนนี่” แนนนี่น้ำตาคลอ “แนนนี่คงไม่ให้อภัยตัวเองเลย”
ภวัตรีบเข้ามาขวางไว้ แต่ปากกลับพูดประชดขึ้นด้วยอารมณ์หึงโดยไม่รู้ตัว
“ก็ไม่ดีเรอะ...เธอเป็นอสูร ปีเตอร์ก็เป็นอสูร”
แนนนี่มองภวัตอย่างผิดหวัง น้อยใจและเสียใจ
“ใจร้าย...พี่ภวัตใจร้าย แนนนี่เกลียดพี่ภวัต”
แนนนี่ร่ายคาถา เตรียมจะหายตัวไป
ภวัตรีบคว้าแขนไว้ “เดี๋ยว”
ร่างของทั้งสองหายวับไปด้วยกัน
อ่านต่อตอนที่ 14 พรุ่งนี้ (7 ก.พ. 55) เวลา 9.30 น.