ลิขิตฟ้าชะตาดิน ตอนที่ 3
บุคลิกและท่วงท่าของดวงยิหวาขณะที่เดินนำหน้าไปในระหว่างการตรวจงาน แมนไม่แพ้ชายอกสามศอก เกียรติบดินทร์เดินตามหลังมา มองดวงยิหวาด้วยสีหน้าแววตาทึ่งเอามากๆ
“นายดวง...มีแผ่นคอนกรีตงวดใหม่มันบิ่นๆตรงขอบหลายแผ่นเลย เอาไงดีครับ” คนงานคนหนึ่งเดินเข้ามาหา
“บิ่นขนาดไหน” ดวงยิหวาถามหน้าเคร่ง
“มาดูสิครับ”
คนงานบอกแล้วเดินนำ
ดวงยิหวาหันมาสบตาเกียรติบดินทร์ ทำสีหน้าประมาณ ให้ตามมาดูด้วยกันสิ
ดวงยิหวาเข้าไปตรวจกองผนังคอนกรีตสำเร็จรูปจำนวนหนึ่ง วางซ้อนๆ กันอยู่ พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือมาถ่ายรูป ก่อนจะกดส่งเป็น mms ให้ใครบางคน แล้วหันไปถามคนงานที่พามา
“ที่บอกว่ามันบิ่นหลายแผ่น..คือกี่แผ่นกันแน่” ดวงยิหวาถามอีก
“ยังไม่ได้นับครับ แต่เท่าที่ดูๆ..ก็มากกว่า 30 แผ่น” คนงานบอก
“ไปนับมาให้แน่ จะได้บอกให้นายทิวรับผิดชอบ” ดวงยิหวาสั่งคนงาน
“ใครคือนายทิว” เกียรติบดินทร์อยากรู้เรื่องราวขึ้นมา
“คนเช็คของๆเรานี่แหละ” ดวงยิหวาหันมาตอบ
“แล้วแผ่นผนังคอนกรีตพวกนี้..พวกเธอหล่อกันอยู่ตรงไหนล่ะ” เกียรติบดินทร์มองหา “ทำไมไม่ไปดู ว่าหล่อกันยังไง ให้ของชำรุดขนาดนี้”
ดวงยิหวามองหน้าเกียรติบดินทร์สีหน้าแปลกใจ
“สมัยนี้เค้าไม่มาทำแบบ เทปูน หล่อปูนกันตรงนี้แล้วคุ้ณ..เค้าทำสำเร็จรูปมาจากโรงงาน มาถึงก็มาประกอบๆเลย ชั้นถึงจะให้นายทิวดู ว่าก่อนจะรับของมา ทำไมไม่เช็คให้ดีก่อน หรือว่าของมันเพิ่งมาชำรุดเพราะพวกเราเอง ในขั้นตอนขนส่ง หรือขั้นตอนไหน”
เกียรติบดินทร์ฟังแล้วถึงกับอึ้ง รู้สึกเก้อและเสียหน้าอย่างแรง
ช่วงเย็นวันนั้นหลังเสร็จงานดวงยิหวาเดินเข้ามาในร้านกาแฟริมทาง ถอดหมวก ถอดแว่น ถอดเสื้อแขนยาวที่คลุมตัวมิดชิดออก เกียรติบดินทร์ตามมาติดๆ เหงื่อออกพลั่กๆ ต้องเอาผ้าเช็ดหน้าเช็ด
“โอเลี้ยงแก้วนึง...” ดวงยิหวาสั่งคนขายอย่างคุ้นเคยแล้วหันมาทางเกียรติบดินทร์ “คุณเกียรติบดินทร์ดื่มอะไรดีคะ”
เกียรติบดินทร์หันไปบอกคนขาย “ผมขอโค้กกระป๋อง เอาเย็นๆที่สุด..น้ำแข็งไม่ต้อง” แล้วหันมาหาดวงยิหวา “ผมชื่อเล่นชื่อดิน ไม่ต้องเรียกเต็มยศนักหรอก”
ดวงยิหวาหันมาเห็นหน้าเกียรติบดินทร์เต็มๆ ก็หัวเราะอย่างเปิดเผยพร้อมกับสัพยอก
“คุณดิน..ไหวมั้ยเนี่ย..หน้าแดงยังกับกุ้งปิ้ง…กลับไปคุณตัวไหม้ลอกเป็นแผ่นๆ แน่ๆ”
“ผมไม่ผิวบางขนาดนั้นหรอก” เกียรติบดินทร์ว่า
จังหวะนั้นดวงยิหวาควักครีมกันแดดออกมาบีบ แล้วละเลงหน้าตัวเองพรืดๆๆ ต่อหน้าเกียรติบดินทร์และลูกค้าในร้าน
“ก็ดี งั้นคุณคงไม่ต้องการครีมกันแดด”
เกียรติบดินทร์มอง อึ้ง และทึ่งหญิงสาวอีกครั้ง
“คุณสนใจเรื่องสวยๆ งามๆ ด้วยเหรอ
“ชั้นไม่อยากเป็นมะเร็งผิวหนัง หรือกระฝ้าหรืออะไรทั้งนั้น” ดวงยิหวาบอก
เกียรติบดินทร์มองแล้วยิ้มๆ อ้อมแอ้มออกมา “งั้นขอผมบ้างสิ”
ดวงยิหวาส่งให้พลางว่า “อย่าใช้เปลืองนะ ของแพง”
เกียรติบดินทร์บีบพรืด “แล้วผมจะซื้อมาใช้ซักโหล” แล้วทาพรืดบนใบหน้า
พอดีคนขายเอาเครื่องดื่มมาวาง เกียรติบดินทร์หันไป หยิบโค้กมาดื่ม โดยยังมีครีมติดจมูกเป็นปื้น
ดวงยิหวาหยิบแก้วโอเลี้ยงมาดื่มข แล้วหันมา “ฝากคุณดินขอบพระคุณนายหัวด้วยนะคะ...ที่ส่งกระเช้าให้พ่อ” ครั้นพอมองเห็นหน้าเกียรติบดินทร์ที่ยังมีครีมเลอะอยู่ ดวงยิหวาอดขมวดคิ้วอย่างขัดใจขึ้นมาไม่ได้
เกียรติบดินทร์เห็นสายตา ก็ทำหน้างง เป็นเชิงคำถาม ว่ามีอะไร ดวงยิหวาใช้มือชี้ที่จมูกตัวเอง เป็นทำนองบอกใบ้ให้เช็ดๆ ครีมตรงนี้ เกียรติบดินทร์มองๆ แล้วเอานิ้วถูๆ แถวจมูกตน แต่เช็ดไม่หมด ดวงยิหวาไม่ทันคิด ใจร้อน และลืมตัว ยื่นมือไปเช็ดครีมเกลี่ยให้
“ขอโทษนะคะ”
เกียรติบดินทร์ชะงักนิดๆ ดวงยิหวาไม่ได้มองสายตาเกียรติบดินทร์ สนใจแค่ครีมที่เลอะอยู่
ระหว่างนั้นปรีชา เดินเข้ามา เห็นภาพนั้นพอดี ปรีชาชะงัก แล้วเดินพุ่งตรงมา
“ทำอะไรน่ะ ดวง” น้ำเสียงปรีชาไม่พอใจ
ดวงยิหวาหันมาเห็น ก็งงๆ
“อ้าว ปรีชา..ไหนว่าจะมาเย็นๆ ไง ว่างเหรอ”
ปรีชาไม่สนใจที่ดวงยิหวาถาม พยักหน้ามาที่เกียรติบดินทร์ “นี่ใคร??”
“อะไรของเธอ” ดวงยิหวาฉุน
“ชั้นถามเธอ..ว่านี่ใคร” ปรีชากระชากเสียงเหมือนจะเอาเรื่อง
เกียรติบดินทร์ลุกพรวดเอาเรื่องพอกัน “แล้วมึงอ่ะ ใคร”
ดวงยิหวาเห็นท่าไม่ดีรีบเข้าขวาง “คุณดินคะ ขอโทษนะคะ ใจเย็นๆ นะคะคือ…”
ปรีชาผลักไหล่ดวงอย่างไม่พอใจ
“ดวงทำแบบนี้หมายความว่าไง”
“ปรีชา หยุดนะ!!” ดวงยิหวาตวาดขึ้น
“ดวงก็ตอบมาสิ” ปรีชาตะคอกกลับ
“เยอะไปแล้ว ไอ้เศษสวะ”
เกียรติบดินทร์โดดชกกลางหน้าปรีชา หมัดเข้าปากครึ่งจมูกครึ่ง ดวงยิหวาร้องกรี๊ด คนในร้านตกใจร้องฮือฮา
ร่างปรีชาร่วงลงไปกองกับพื้น นิ่งสนิท
บัญชาเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ไหว ตัดสินใจเดินทางมายังศาลเจ้าแห่งนั้นด้วยตัวเอง หลังจากได้ที่อยู่มาจากนายวัง และเวลานี้รถลีมูซีนที่บัญชาจ้างมาจากสนามบินของจังหวัด กำลังแล่นมาตามถนนนอกเมืองทางเหนือ
“เดี๋ยวข้ามสะพานข้างหน้าแล้ว ต้องเลี้ยวเส้นเข้าเมืองครับ ศาลเจ้าอยู่ถนนสายเลียบแม่น้ำ” คนขับบอกบัญชา
“อีกไม่ไกลแล้วใช่ไหม”
“ครับผม” คนขับรับคำ
“ดี...ส่งผมลงที่ศาลเจ้า แล้วคุณกลับไปได้เลย” บัญชาบอก
รถกำลังจะขึ้นสะพาน ทันใด มอเตอร์ไซค์คันนึงก็ออกจากซอยพุ่งตัดหน้ามา
“เฮ้ย” คนขับตกใจ
“ระวัง” บัญชาร้องขึ้น
คนขับหักรถหลบ
ทันใดนั้น รถเสียหลัก พุ่งลงข้างทาง แล้วกลิ้งคว่ำหงายฝุ่นตลบคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ
พอควันจาง เห็นสภาพในรถ บัญชานอนนิ่ง สักพักกระพริบตา รวบรวมสติ ขยับตัว แล้วพยายามจะเปิดออก ทว่าประตูรถติดแน่นเปิดไม่ได้
บัญชากลับตัว หันมาใช้เท้าถีบประตู แต่ประตูติดแน่น ไม่ยอมขยับ ทันใดนั้น ก็มีเสียงคนขับครางเบาๆ บัญชาหันไปมอง
“ช่วยด้วยๆๆ”
“เป็นอะไร เจ็บตรงไหน” บัญชาถาม
“ขาผม..สงสัย..ขาจะหัก” คนขับรถบอกเสียงสั่น
บัญชาพยายามมุดไปที่ประตูอีกด้าน พยายามเปิด ปรากฏว่าประตูติด เปิดไม่ได้อีก
ค่ำวันนั้นดารากานต์พยายามติดต่อบัญชาทางโทรศัพท์ มือถือ แต่ก็ติดต่อไม่ได้ ในที่สุดก็กดสาย
“สงสัยโทรศัพท์นายหัวจะแบ็ตหมด เพราะปกตินายหัวไม่เคยปิดเครื่อง แล้วนายหัวไปไหนก็ไม่ทราบ ไม่สั่งอะไรใครซักอย่าง ถามที่ไหนก็ไม่มีใครตอบได้” ดารากานต์พึมพำ
“เอาไงดี ฝ่ายโน้นเค้าไม่ยอม คุณดินล่อซะลูกเขาจมูกหัก แก้มแตก สลบยังไม่ฟื้นอยู่นี่” บุรีเอ่ยอย่างกังวล
“คุณพระคุณเจ้า ทำไมคุณดินต้องรุนแรงขนาดนี้ด้วย คุณบุรี!! ทำไมไม่ดูแลคุณดินให้ดี” บัวแว้ดใส่บุรี
“ป้าบัว...คุณดินของคุณน่ะ มีเมียได้แล้วนะ บรรลุนิติภาวะแล้ว ไม่ใช่เด็ก 5 ขวบ ในเมื่อเค้ายืนยันจะไปเรียนรู้งานกิจการของครอบครัว จะให้ผมขัดขวางเหรอไง” บุรีโมโหขึ้นมา
“เอาเถอะค่ะๆ สรุปว่า น้องดินอยู่ที่สถานีตำรวจไหนคะ นายหัวไม่อยู่ ฉันก็คงจะต้องไปประกันตัวลูกเอง ฉันต้องเตรียมอะไรไปบ้างล่ะคะ คุณบุรี” น้ำเสียงของดารากานต์ร้อนรน
คนขับรถเอาแต่ร้องโอดโอยครวญครางไม่ยอมหยุดปาก
“โอย..ฮือๆๆๆ ปวดๆๆ เจ็บ..เจ็บมากๆ เลย...ผมต้องตายแน่ๆๆ”
“ใจเย็นๆ น่า..เดี๋ยวต้องมีคนมาช่วยสิ” บัญชาปลอบพยายามสงบจิตใจ
“มาช่วยหรือมาปล้นซ้ำก็ไม่รู้ พวกบ้านนอกไว้ใจได้ที่ไหน ฮือๆๆๆ”
ทันใดนั้น เสียงสัญญาหวอ ก็ดังใกล้เข้ามาๆ
“พวกกู้ชีพ...พวกมูลนิธิอะไรซักอย่างมาแล้ว ทำใจดีๆ ไว้นะ โชเฟอร์” บัญชาบอก
รถของมูลนิธิมาเบรกจอดเทียบข้าง ฟ้ากระจ่างและเพื่อนๆ กระโดดลงมาจากรถอย่างทะมัดทะแมง
บัญชารีบเคาะกระจกตะโกนขึ้นมา
“ช่วยด้วยครับ ออกไม่ได้ครับ”
ฟ้ากระจ่างรีบตรงเข้ามาดูพลางถาม “มีใครเป็นอะไรสาหัสไหมครับ”
“รีบเปิดให้หน่อยครับ คนขับ..สงสัยจะขาหัก” ครั้นพอบัญชาหันไปเห็นหน้าฟ้ากระจ่างถนัด ก็ถึงกับชะงัก
ฟ้ากระจ่างไม่ทันสังเกต เพราะจดจ่ออยู่กับช่วยคน พยายามเปิดประตูรถ พอบานแรกเปิดไม่ได้ ก็วิ่งไปเปิดรอบคัน
“ประตูเปิดไม่ได้” ฟ้ากระจ่างตะโกนบอก
เพื่อนๆ หันไปคว้าอุปกรณ์ มาส่งให้ ไวเท่าความคิดฟ้ากระจ่างตัดสินใจทุบกระจก แล้วช่วยกันง้างประตูออก บัญชา อึ้ง ตะลึง เอาแต่มองหน้าฟ้ากระจ่างตลอดเวลา
ปักเป้า หมีใหญ่ ช่วยกัน แบกคนขับวางลงเปล ฟ้ากระจ่างกับสมหมายช่วยกันประคองบัญชาออกมา
บัญชามองหน้าฟ้ากระจ่างอย่างไม่วางตา อีกฝ่ายยิ้มให้ซื่อๆ
“ยังไง คุณก็ต้องไปโรงพยาบาลก่อนครับ..เวลานี้คุณอาจจะยังไม่รู้สึกเจ็บตรงไหน แต่สักพัก อาจจะมีอาการเคล็ดยอก ช้ำบวมก็ได้ เออ..คุณอยากจะติดต่อส่งข่าวทางบ้านไหมครับ”
เกียรติบดินทร์ที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตรงหน้าโต๊ะสารวัตรร้อยเวร ลุกขึ้น เมื่อดารากานต์และบุรีเดินเข้ามา เกียรติบดินทร์มองหาบัญชา
“พ่อล่ะ”
“นายหัวไม่อยู่ครับ” บุรีตอบ
ดารากานต์ “คุณสารวัตรคะ..ดิฉันมาประกันนายเกียรติบดินทร์ค่ะ” ดารากานต์เอ่ยขึ้น
“พ่อไปไหน ทำไมอาบุรีต้องรบกวนแม่” เกียรติบดินทร์ฉุนๆ
สารวัตร“ขอเอกสารของคุณด้วยครับ” สารวัตรพูดกับดารกานต์
ดารากานต์ยื่นทั้งซอง ส่งให้ พอดีประตูห้องเปิด พวกญาติของปรีชาเข้ามา
“ไม่ยอมนะ คุณสารวัตร ผมไม่ยอม พวกคนรวยจะรังแกคนจนแล้วเอาเงินมาฟาดหัวเหรอ” ญาติที่เป็นผู้ชายโวยวายขึ้นมา
“อย่าปล่อยให้คนชั่วลอยนวลสิคะ คุณตำรวจ ปรีชามันเกือบตายนะ ลูกนายหัวพยายามฆ่าหลานชั้นชัดๆ แล้วผู้ต้องหาก็มีทั้งอิทธิพล ทั้งอำนาจ ทั้งเงิน จะให้ประกันไปง่ายๆแบบนี้เหรอ” ญาติที่เป็นผู้หญิงผสมโรง
“เอ้าๆๆ เจ๊...เลอะเทอะไปกันใหญ่แล้วเจ๊ นี่มันแค่คดีทะเลาะวิวาทเองนะ” บุรีโวยขึ้นมา
“ใช่ครับ นี่คือคดีทะเลาะวิวาท และทำร้ายร่างกายครับ” สารวัตรเจ้าของคดีบอก
“อ้าวๆๆ แบบนี้คุณตำรวจอยู่ข้างคนผิดนี่..หลานชายผมยังไม่ฟื้นเลยนะ ป่านนี้ นี่มันคดีพยายามฆ่า โดยไตร่ตรองไว้ก่อนตะหากเล่า” ญาติผู้ชายโวยวายกลับ
“ไอ้พวกสถุนนี่มันมั่วแล้ว ไอ้กระจอกนั่นมันไม่สำคัญถึงกับที่ผมจะสนใจอยากฆ่าแม้แต่น้อย ผมเพิ่งเคยเห็นมันครั้งแรก ก่อนชกหน้ามันไม่ถึง 2 นาทีด้วยซ้ำ” เกียรติบดินทร์โมโห
“ใจเย็นๆ ดิน...ลูกไม่ต้องพูดอะไรนะจ๊ะ” ดารากานต์ปรามอย่างสุภาพ
“ผมจะพูด เพราะผมไม่ผิด ก็เหมือนเราเดินๆไป แล้วอยู่ๆก็มีหมาบ้าพุ่งเข้ามาจะกัด เราก็ต้องเตะมันซะก่อนเพื่อป้องกันตัว” เกียรติบดินทร์โวยใส่
“มันด่าหลานผมเป็นหมา คุณตำรวจเห็นไหม ว่ามันอาฆาตมาดร้ายหลานผม มันไม่ได้ป้องกันตัว มันจะฆ่าหลานผมเพราะมันคิดจะแย่งแฟนหลานผม” ญาติผู้ชายบอก
“อะไรนะ..ดวงน่ะเหรอ เป็นแฟนไอ้นั่น” เกียรติบดินทร์งง
“นั่นไงๆๆ มันมาติดพันดวง...ถึงคิดจะฆ่าไอ้ปรีชา” ญาติผู้หญิงโวยลั่น
“ใส่ร้ายป้ายสีกูชัดๆ ไอ้พวกชั่ว” เกียรติบดินทร์จะโดดใส่
ดารากานติ์เข้าขวาง กอดลูกไว้ “น้องดิน หยุดเดี๋ยวนี้”
“ปล่อยผม แม่ มาจับไว้ทำไม ปล่อย” เกียรติบดินทร์โวยไม่หยุด
“น้องดิน..พอได้แล้ว เลิกเป็นเด็กเอาแต่อารมณ์ซะที” ดารากานต์สุดจะทน
“แม่ไม่รู้อะไรก็อย่ามายุ่ง แม่จะไปไหนก็ไป ไป๊” เกียรติบดินทร์ไล่ผู้เป็นแม่
“น้องดิน..ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ” บุรีเอ็ด
“พ่อไปไหน ให้พ่อมาเคลียร์ไม่ได้เหรอ ผมไม่มีวันยอมให้ไอ้พวกคนชั้นต่ำมามั่วหวังจะไถเงินเราหรอก”
เกียรติบดินทร์แปลกใจนิดๆ
ที่โรงพยาบาลตำรวจ บัญชาเดินออกมากับสมหมาย ฟ้ากระจ่าง ปักเป้า หมีใหญ่ เดินออกมาจากอีกด้าน
“คุณพงษ์โชเฟอร์ขาหัก ต้องเข้าเฝือก ภรรยาของเค้ากำลังเดินทางมาครับ เวลานี้หมอให้ยาแล้ว ก็เลยนอนหลับพักผ่อนอยู่ คุณบัญชาไม่ทราบส่งข่าวให้ทางครอบครัวทราบหรือยัง”
บัญชามองหน้าฟ้ากระจ่างรีบบอก
“ผมไม่เป็นอะไร..คงไม่จำเป็นต้องบอกใคร ไม่อยากให้ตกใจด้วย เดี๋ยวจะแตกตื่นกันไปใหญ่”
“งั้น..ถ้าไม่มีอะไร พวกผมไปก่อนนะครับ ลาเลยนะครับ...”
ฟ้ากระจ่างไหว้นำทุกคนไหว้บัญชา แล้วหันเดินออก
“ไป..หิวข้าวแล้ว ป่านนี้ป๊าแกคงทำเสร็จแล้วนะ อาจ้าง” หมีใหญ่เอ่ยชวน
“เออว่ะ หรือป๊ะจะรอเราไปทำน้ำจิ้มวะ” ฟ้ากระจ่างว่า
ปักเป้าหัวเราะก๊าก
“เออ น้ำจิ้มซีฟู้ดนี่..ป๊าบอกว่า ต้องเป็นฝีมือแกด้วยดิวะ อาจ้าง”
“งั้นรีบเหอะ ป่านนี้คนรอกินฝีมือแกคงบ่นกันอุบ” สมหมายว่า
ทั้งสี่คนหัวเราะกันคิกคัก บัญชามองตามไป
คืนนั้นบัญชาเช่าโรงแรมค้างคืน นั่งมองโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่ปิดอยู่ แล้วจึงโยนลงบนเตียง ไม่ยอมเปิดเครื่อง!
ส่วนเหตุการณ์ที่บ้านบัญชาเวลานั้น บุรีมองมือถือของตัวเอง แล้ววางลงอย่างเซ็งๆ
“นายหัวยังไม่ยอมเปิดโทรศัพท์เลยครับ” บุรีประหลาดใจ
“แปลกจริง..นายหัวหายไป..แล้วยังไม่ยอมให้ใครติดต่อได้อีก” บัวว่า
“นายหัวไม่เคยทำแบบนี้” ดารากานต์กลุ้มๆ
“จะมีเรื่องอะไรหรือเปล่า” บัวปรารภ
“ไม่หรอก..แค่นายหัวอาจจะ..มีธุระอะไร ที่ไม่อยากให้ใครกวน” ดารากานต์บอก
“แบบที่แม่ชอบทำ...เวลาไปทำบุญใช่ไหมล่ะ” เกียรติบดินทร์เดินกินบะหมี่ในถ้วยกระดาษอย่างชิลล์ๆ “ก็ดี นายหัวจะได้ไม่ต้องมาร้อนใจเรื่องของผม..ไงๆ วันนี้ทุกอย่างก็จบแล้ว แม่จ่ายไปจนพวกมันพอใจแล้ว คนอื่นก็อย่าปากดีไปเพ็จทูนนายหัวล่ะ เดี๋ยวผมจะถูกห้ามไม่ให้ไปดูงานอีก หึๆๆ” เกียรติบดินทร์ หัวเราะ แล้วซู้ดบะหมี่ต่อ
ทุกคนมองหน้ากัน อึ้งๆ
บัญชาที่สมาชิกในบ้านเป็นกังวลกำลังนอนเอามือก่ายหน้าผาก ดวงตาบัญชาเหม่อลอย นึกไปถึงการทำงานกู้ชีพ ช่วยเหลือตน และภาพใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ดูสุภาพ น่าชื่นชมของฟ้ากระจ่างที่แว่บเข้ามาในห้วงความคิด
สีหน้าบัญชาเวลานี้ ฉายแววเจ็บปวดหัวใจอย่างชัดเจน
เช้าวันใหม่ที่บรรยากาศแสนสดใส บัญชายืนแหงนหน้าเงยขึ้นมองศาลเจ้าโดยรวม แล้วมองไปรอบๆ ก่อนจะเดินเข้าไป
ทันใดนั้น รถซาเล้งที่มีฟ้ากระจ่างเป็นคนถีบ โดยมีอาหึ่งนั่งอยู่ข้างหนึ่ง สารภีนั่งอีกข้างหนึ่ง และบนรถมีเข่งอาหาร หม้อ อุปกรณ์ครัวเต็มไปหมด ก็ถีบออกมาจากปีกที่เป็นโรงอาหาร เสียงหัวเราะ 3 คนพ่อแม่ลูก ดูร่าเริงฮิฮิ้วตลอดเวลา
บัญชาหลบมุม สาลี่ เสี้ยวท้อ กู๋เหลียงวิ่งตามมาสั่งเสีย
“แล้วตามมาเร็วๆ น้า” ฟ้ากระจ่างบอก
“จ้า เดี๋ยวจะรีบตามไปช่วยนะ อาจ้าง” เสี้ยวท้อว่า
“ไปที่เต๊นท์ที่ 3 นะ อาจ้าง..พวกอาซิ้มอาซ้อเขาไปรอกันหมดแล้ว” สาลี่กำชับ
“คร้าบบผม..ไม่ต้องห่วงคร้าบ” ฟ้ากระจ่างยิ้มกว้างรับคำ
“อาหารจากศาลเจ้าเรา อร่อยที่สุดอยู่แล้ว พวกบ้านไฟไหม้ทุกคนต้องรอคอยอาหารฝีมืออั๊วแน่ๆ ว่ะฮ่ะๆๆๆ ไปที่ว่าการอำเภอกันเลย!!” อาหึ่งว่า
“ไออำเออๆ - ไปอำเภอๆๆ” จู่ๆ สารภีก็ชูมือ ตะโกนปลุกใจขึ้นมา
ฟ้ากระจ่างกับอาหึ่งขำกัน แต่ก็ชูมือขวาขึ้น แล้วตะโกนตามสารภีไปด้วย
“ไปอำเภอ! ๆๆๆๆๆ”
บัญชามองตามไป บอกไม่ถูกกับสิ่งที่เห็น
“ดูมัน..บ้ากันทั้งพ่อแม่ลูก..อ้าว..มันลืมเข่งส้มนี่หว่า..เฮ้ยๆๆ กลับมาเอาส้มไปแจกเค้าด้วย” กู๋เหลียงตะโกนบอก
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ กู๋..ซาเล้งเต็มแล้ว เดี๋ยวหนูขนไปใส่รถกระบะ รวมกับพวกเสื้อผ้าบริจาคแล้วกัน” เสี้ยวท้ออาสา
“มาๆๆๆ”
กู๋เหลียง กับเสี้ยวท้อ และสาลี่ ช่วยกันยกเข่งส้มไปใส่ท้ายรถ ที่มีลังกระดาษใส่ของบริจาคเต็มกระบะด้านหลัง ที่จอดอยู่แถวนั้น แล้วสาลี่ เสี้ยวท้อขึ้นรถ โดยมีเสี้ยวท้อขับรถออกไป กู๋เหลียวยืนมอง บัญชาแอบหลังเสามอง
นักบวชตงจัดของอยู่ที่หน้าแท่นบูชาในศาลเจ้า บัญชาเดินเข้ามากวาดสายตามองรอบๆ อย่างสำรวจตรวจตรา ในท่าทีสงบและสำรวม จังหวะนั้นกู๋เหลียงเดินเข้ามา ปากบ่นไปเรื่อย
“ไฟไหม้ทีไร เค้าก็บอกว่า..ไฟฟ้าลัดวงจรๆ แต่ก็ไม่ค่อยยอมเปลี่ยนสายไฟใหม่กัน บางบ้าน เกิน 20 ปี ก็มี”
“อย่างไฟฟ้าหลอดไส้ แบบที่พวกตลาดนิยมใช้กันมานาน มันร้อนก็ร้อน กินไฟก็กินไฟ แต่อาจ้างบอกว่า พอไปชวนให้เค้าเปลี่ยนมาใช้หลอดตะเกียบประหยัดไฟกัน เค้าก็หาว่ามันแพง จ่ายไม่ไหว” นักบวชตงเสริมอย่างรู้ใจกัน
บัญชาได้ยินชื่ออาจ้าง...ฟ้ากระจ่าง ก็ตั้งใจฟัง
“เอาอย่างนี้ไหม ปีนี้ เรามาบำเพ็ญประโยชน์แบบใหม่ ช่วยแก้ปัญหาโลกร้อน..ให้ทางสมาคมหาทุนซักก้อนนึง มาซื้อหลอดตะเกียบแบบประหยัด แล้วให้อาจ้างกะพวกไปเปลี่ยนให้ฟรีๆ ทั้งตลาดเลย” กู๋เหลียงออกไอเดีย
บัญชาขยับเดินมาใกล้
“อาจารย์ของอาจ้างก็สนิทสนมกับบริษัทอุปกรณ์ไฟฟ้าใหญ่ด้วยนี่ ลองขอให้บริษัทพวกนี้มาเป็นสปอนเซอร์ บริจาคหลอดไฟให้ชาวบ้าน แล้วขึ้นป้ายขอบคุณให้หน้าตลาด” นักบวชตงเสริม
“ดีๆๆ ตงเซียนเซิงสมเป็นตงเซียนเซิง ภูมิปัญญาทันสมัยเยี่ยมยอด ต้องให้อาจ้างมันไปคุยกับทางสปอนเซอร์ มันเกลี้ยกล่อมคนเก่ง พูดจนลิงหลับตกต้นไม้” กู๋เหลียงชมนักบวชตง
ทั้งสองหัวเราะให้กัน บัญชาฟังอยู่และอดใจไม่ไหว เอ่ยออกมา
“เด็กคนนี้...ทำอะไรได้หลายอย่างดีนะครับ...ท่าทางจะเป็นกำลังสำคัญของพวกคุณจริงๆ”
ทั้งสองหันไป เห็นบัญชาก้าวเดินออกมา ยิ้ม พร้อมกับก้มหัวให้ทั้งคู่เป็นเชิงทักทายและแสดงความเคารพ
“อาจ้างเป็นเด็กดี ใครๆ ก็ชื่นชม ผมเอง..ก็มาที่นี่เพื่อขอบคุณเด็กคนนี้เหมือนกันครับ” บัญชาบอก
นักบวชตง กับกู๋เหลียง มองหน้ากัน แล้วต่างยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ
ที่มุมนั่งเล่นแดดร่ม ลมเย็น ในบริเวณศาลเจ้า กู๋เหลียงรินน้ำชาให้บัญชาก่อนคนอื่น โดยมีนักบวชตงนั่งอยู่ด้วย
“ขอบคุณครับ” บัญชาขอบคุณ
“เรื่องช่วยคนประสบอุบัติเหตุ เป็นหน้าที่ของทุกคนในมูลนิธิอยู่แล้ว ที่ต้องทำอย่างเต็มที่ด้วยอุดมคติและจิตใจ ถ้าพวกนั้นดูแลคุณไม่ดีสิ ต้องโดนตำหนิ” นักบวชตงเอ่ยขึ้น
“แค่อาจ้างไม่เหมือนคนอื่น เค้ามีความเป็นผู้นำ บุคลิกลักษณะน่าเลื่อมใสมาก พ่อแม่ของเค้าคงภูมิใจในตัวลูกมากเลยสิครับ” บัญชาถามหยั่งเชิง
“พ่อแม่ของอาจ้างหรือครับ” กู๋เหลียงหัวเราะเบาๆ แววตาเป็นประกายเปี่ยมสุข “เป็นบุญของทั้งสองจริงๆ ที่เทพเจ้าส่งลูกชายคนนี้มาให้”
“เป็นลิขิตสวรรค์..ที่ดลใจให้มีคนมากมายมาช่วยอุปถัมภ์ค้ำชูช่วยให้ทุนรอนเรา จนเลี้ยงดูเด็กคนนี้ จนโตมาเป็นเด็กดีแบบนี้” นักบวชตงบอก
บัญชายิงคำถามเข้าเป้าทันที
“คุณพูดเหมือนว่า..อาจ้างมีพ่อยกแม่ยก..มาเป็นสปอนเซอร์”
“พูดกันตรงๆ ญาติโยมเก่าแก่ของศาลเจ้า ก็รู้กันทั้งนั้น ว่าอาจ้างเป็นเด็กกำพร้า แม่ใจร้ายเอามาทิ้งไว้ที่นี่ตั้งแต่แบเบาะเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ทุกคนก็สงสาร ให้เงินให้ทองให้ข้าวของแม้กระทั่งเสื้อผ้า นมผง ให้เรามาเพื่อเลี้ยงดูอาจ้าง” นักบวชตงว่า
“แม้แต่ลูกศิษย์เทพเจ้าที่มาจากต่างบ้านต่างเมือง พอมาเห็นอาจ้างมาช่วยทำงานนั่นนี่ในศาลเจ้าตั้งแต่ตัวมันยังเล็ก เดินเตาะแตะ เขาก็ว่ามันรู้จักกตัญญูตั้งแต่ยังไม่รู้ภาษา เขาก็เมตตา ส่งเงินมาช่วยค่าเล่าเรียน ค่าตำรับตำรามัน อย่างคุณอะไร..เศรษฐินีทางใต้..ที่มาทุกปีๆ แกอยากส่งเสียให้อาจ้างได้เรียนให้สูงกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่อาจ้างไม่เอา มันขี้เกรงใจ” กู๋เหลียงพูดพาซื่อ
บัญชาอึ้ง แอบซีด จิบชากลบเกลื่อน
ฟ้ากระจ่างใส่ผ้ากันเปื้อนยี่ห้อแถมมากับสินค้าที่รับบริจาคมา มีผ้าขนหนูสีขาวพาดคอ กำลังตักหมี่ใส่จานอย่างคล่องแคล่ว ทะมัดทะแมง ไปวางลงที่โต๊ะข้างหน้า ที่มีคนมาเข้าคิวรับอาหารภายในเต็นท์
สาลี่ตักข้าวผัด อยู่ถัดไป อาหึ่งตักต้มจืดใส่ถ้วยจากหม้ออีกใบหนึ่ง ที่วางเรียงกันอยู่
สารภีช่วยแจกส้ม เสี้ยวท้อแจกน้ำดื่มขวดพลาสติก
โต๊ะข้างๆ คือก๊วนเพื่อนของฟ้ากระจ่าง ทั้งสมหมาย ปักเป้า หมีใหญ่ และอาซิ้มอาซ้อคนอื่นๆ มายืนแจกถุงยังชีพ ติดตรามูลนิธิฯ บรรดาผู้ประสบภัย คนที่บ้านถูกไฟไหม้เข้าแถวรับของแจกกัน
ฟ้ากระจ่าง ยิ้มแย้มแจ่มใส คุยไป หัวเราะกับผู้คนไป โดยไม่รู้ว่าอีกด้านหนึ่งในเวลานั้น บัญชามาซุ่มดูอยู่ สีหน้าบัญชาดูออกว่าเขากำลังคิดหนัก
ฟ้ากระจ่างถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้ว และล้างหน้าล้างตัวด้วยน้ำก๊อกข้างที่ว่าการอำเภอ ลูบหน้า ลูบหัว สะบัดผมไปมาเหมือนหมาเปียกน้ำ แล้วเอาผ้าขนหนูที่พกติดตัวเช็ดหน้าตาเนื้อตัว แต่พอเงยหน้ามา ก็ชะงักเล็กน้อย แล้วยิ้มกว้าง ก่อนยกมือไหว้ เป็นบัญชาที่ยืนมองอยู่ และอดยิ้มตอบไม่ได้
“มาธุระแถวนี้หรือครับ เป็นไงบ้างครับ รู้สึกเคล็ดขัดยอกฟกช้ำบ้างหรือยัง” ฟ้ากระจ่างถาม
“ยัง..โชคดีที่ไม่เป็นอย่างนั้น อาจ้าง...คุณพอจะมีเวลาสักครู่ไหม”
ฟ้ากระจ่างงงๆ แต่ก็ยิ้มรับ
รถราขับแล่นสวนกันไปมาบนถนนสายนั้น ซึ่งบัญชาและฟ้ากระจ่างกำลังเดินข้ามถนนมาด้วยกัน
“คุณมีบุญคุณกับผม ผมซาบซึ้งใจมากจริงๆ อาจ้าง” บัญชาเอ่ยขึ้น
“อุย..ไม่เป็นไรครับ คือ..มันเป็นหน้าที่ของพวกผมอยู่แล้วครับ” ฟ้ากระจ่างเขินๆ
“แต่ผมอยากจะตอบแทนบุญคุณคุณ..หวังว่าคุณคงจะรับไว้ ไม่เช่นนั้น ผมคงจะเสียใจมาก”
บัญชาเดินนำไป และตรงมาที่ร้านขายมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ที่เรียกว่าบิ๊กไบค์
ฟ้ากระจ่างพอจะเข้าใจแล้ว ว่าบัญชาพามาที่นี่ทำไม
“นี่..คุณจะ..ตอบแทนผมด้วย…”
“รถดีๆ ซักคันไง มันเหมาะสมกับเด็กดีๆ อย่างคุณ...จริงไหม” บัญชาเอ่ยขึ้น
ฟ้ากระจ่างชะงัก สีหน้าแววตาตื่นตกใจ
“คุณจะ..ซื้อรถมอเตอร์ไซค์ให้ผมเหรอครับ”
“เลือกเอาไรครับ คุณจ้าง...เอาคันที่ดีที่สุด ชอบที่สุด ที่คุณอยากได้” บัญชาบอก
ฟ้ากระจ่างมองดูรถทั้งหมด หันมามองหน้าบัญชานิ่งงันไปสักครู่ แล้วในที่สุดก็ยกมือไหว้
“ขอบคุณคุณมากเลยครับ ผมดีใจ ที่คุณเห็นว่าสิ่งที่ผมทำมีประโยชน์” ฟ้ากระจ่างยิ้มขอบคุณ
“มีประโยชน์มากๆ เชียวล่ะ ผมต้องขอชื่นชมเยาวชนรุ่นใหม่อย่างคุณ...มันหายากจริงๆนะ ที่เด็กหนุ่มสาวสมัยนี้ จะชอบบำเพ็ญประโยชน์เพื่อส่วนรวม” บัญชาว่า
“เอ่อ..ที่จริง....คือว่า..การที่ผมทำงานกู้ชีพให้กับมูลนิธิฯมา ผมไม่ได้ทำเป็นการส่วนตัว แล้วที่มันสำเร็จ สามารถช่วยชีวิตคนได้ ก็เพราะเพื่อนๆพี่ๆทุกคนเค้าก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ทุกคนมีส่วนร่วมกันหมด แม้แต่วันที่พวกเราได้ช่วยคุณจากอุบัติเหตุคืนก่อนนั้น เอาอย่างนี้ดีไหมครับ..คือ..ถ้าคุณสบายใจที่จะตอบแทนอะไรให้พวกเรา..คุณตอบแทนให้กับทางมูลนิธิดีกว่าครับ รถมอเตอร์ไซค์..เป็นสิ่งจำเป็นมาก ทำให้หน่วยเฝ้าระวังของพวกเราสามารถไปถึงที่เกิดเหตุได้เร็วมากขึ้น แล้วรถที่มีอยู่ก็เก่าแล้ว พี่ๆบางคนเขาก็เอารถส่วนตัวเขามาใช้ ถ้าคุณมอบรถให้มูลนิธิเรา..ทุกคนคงจะดีใจกันมากๆเลยครับ”
รอยยิ้มใสซื่อของฟ้ากระจ่าง ทำเอาบัญชาถึงกับอึ้งไป
อ่านต่อหน้า 2 พรุ่งนี้ เสาร์ที่ 4 ก.พ. 55 เวลา 9.30 น.
ลิขิตฟ้าชะตาดิน ตอนที่ 3 (ต่อ)
วันต่อมาขณะที่ทรายทองกำลังเดินลงมาจากชั้นบน ก็เห็นบัญชาเดินเข้ามาด้วยท่าทางระโหยโรยแรง โดยมีนายวังถือกระเป๋าใบเล็กเดินตามมาห่างๆ ทรายทองรีบถลาเข้าไปหาทันที
“นายหัว!! นายหัวไปไหนมาคะ ทราบไหมคะ ว่าพี่ดินไปทำอะไรมา” ทรายทองฟ้องเรื่องเกียรติบดินทร์ขึ้นทันที
บัญชายังอยู่ในอาการเหนื่อยๆ จากการเดินทาง ถึงกับชะงัก ถามขึ้นทันที “ทำไม ดินทำอะไร”
“คุณทราย..เอ้อ ฮะแอ้มๆๆ” วังเหมือนจะพยายามปรามทรายทอง
จังหวะนั้นดารากานต์เดินออกมาพอดี “นายหัว นายหัวหายไปไหนมาตั้ง 2-3 วัน ทุกคนเป็นห่วงนะคะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“ผมเหนื่อย..คุณอย่าเพิ่งซักได้ไหม” บัญชาพูดด้วยสีหน้าเนือยๆ
“ทราย..ไปบอกป้าบัว ว่าขอกาแฟให้นายหัว” ดารากานต์สั่ง
“ทราย..ไม่ต้อง..นายวัง..ไปขอกาแฟป้าบัว ทราย..เล่ามา นายดินทำอะไร” บัญชาสั่ง
“ดิฉันเล่าเองค่ะ..ทราย..ไปช่วยป้าบัว” ดารากานต์รีบบอก
บัญชาสีหน้าเย็นชา “คุณนั่นแหละ ไปช่วยป้าบัว..ทราย..มาคุยกะลุงมา...” แล้วเดินมาโอบทรายทองเดินไป
ดารากานต์หน้าซีด นายวังมอง แล้วก้มหน้าก้มตา รีบไป
ทรายทองฟ้องบัญชาฉอดๆ เรื่องวีรกรรมของเกียรติบดินทร์ระหว่างที่นายหัวไม่อยู่
“พ่อทรายห้ามแล้วนะคะ ว่าพี่ดินอย่ามาเลย แต่พี่ดินอ้างว่าอยากจะไปเรียนรู้งานของบริษัท พี่ดินอยากช่วยนายหัวทำงานบ้าง แบบที่ลูกนายเด่นเค้ามาทำงานแทนพ่อเค้า แล้วอยู่ดีๆ พี่ดินก็ไปชกหน้าเพื่อนของลูกนายเด่น ใครๆ ก็เป็นพยานได้ ว่าคนนั้นเขาไม่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อย แค่พูดผิดหูพี่ดินคำเดียว แล้วเค้าก็ไม่ได้พูดกะพี่ดินนะคะ เค้าพูดกะเพื่อนเค้าแท้ๆ พี่ดินก็พุ่งเข้าใส่เค้าเลยค่ะ เนี่ย..คุณป้าไม่อยากให้ทรายบอกนายหัว คุณป้ารักลูกเกินไป สั่งให้ทุกคนปิดบังนายหัว กลัวนายหัวดุว่าพี่ดิน ทำแบบนี้ ทรายกลัวว่าพี่ดินจะต้องกลายเป็นโจรซักวันสิคะ”
บัญชานิ่งฟังในอาการเงียบกริบ สีหน้าเศร้าลงถนัดตา
บัญชาอาบน้ำแต่งตัวใหม่ เดินออกมาจากห้องน้ำภายในห้องนอน ส่วนดารากานต์เอาของออกจากกระเป๋าให้พลางถาม
“นายหัวไปต่างจังหวัดมาหรือคะ”
บัญชาอึ้งๆ ขณะเอาผ้าขนหนูเช็ดผมอยู่ “ใช่..แต่..ไม่มีอะไรที่น่าสนใจหรอก ก็แค่เรื่องงาน”
“ดิฉันอยากจะพูดเรื่องน้องดิน...”
“น้องดินที่น่าสงสาร” บัญชาหัวเราะขื่นๆ
“หมายความว่าอะไรคะ”
“ก็..หมายความตามนั้น แล้วลูกไปไหนล่ะ ไม่อยู่หรือ”
“หายไปแต่เที่ยงๆ ค่ะ สงสัยไปหาเพื่อน”
บัญชาหัวเราะ “ดีนะ บ้านนี้..เต็มไปด้วยความลับ เต็มไปด้วยเรื่องราว...ที่ใครทำอะไร..แล้วก็ไม่ต้องบอกใคร” บัญชาหัวเราะอีก “ก็ดีเหมือนกัน”
“ดิฉันไม่ได้ต้องการปิดบังเรื่องน้องดินมีเรื่อง..แต่อยากให้คุณหายเหนื่อยก่อน..ประการสำคัญ..น้องดินอาจจะใจร้อนไปบ้าง แต่อีกฝ่ายก็ผิดเหมือนกัน ที่อยู่ๆ ก็มาหึงหวงน้องดิน ทั้งๆ ที่น้องดินไม่ได้คิดอะไรออกนอกลู่นอกทางกับเด็กผู้หญิงคนนั้นซักหน่อย”
“อะไรนะ..นี่..ตกลงมันเป็นเรื่องชู้สาวเหรอ เด็กผู้หญิงคนนั้น..ใคร..เด็กผู้หญิงคนไหน?”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงเคาะห้องดังขึ้น ดารากานต์มองไปที่ประตูอย่างขัดใจ
“อะไรกันเนี่ย..ผัวเมียเค้าจะคุยกัน...” บัญชาเดินไปเปิดประตู
บุรียืนทำหน้าเสงี่ยมอยู่
“มีอะไร บุรี”
“มีงานด่วนครับ นายหัว มาดามพิณ..อยากจะเชิญหายหัวไปดื่มน้ำชาเย็นนี้”
“มาดามพิณ…” บัญชาคุ้นหูชื่อนี้
“ผู้รับเหมาก่อสร้างจากหาดใหญ่ไงครับ ที่ตอนนี้มาประมูลงานแข่งเราบ่อยๆ”
“อ้อ”
“ผมคิดว่า...น่าจะเป็นเรื่องสำคัญ เอ้อ...เชิญนายหญิงด้วยครับ” บุรีออกปากชวน
“จะไปพบกันเรื่องงานไม่ใช่เหรอ..ฉันขอตัว คุณสองคนพี่น้องไปด้วยกันน่าจะดีกว่า แล้วถ้าชวนน้องดินไปด้วยได้ก็น่าจะดีนะคะ เพราะลูกอยากจะเรียนงานกับนายหัวมาก นายหัวลองโทตามสิคะ ถ้าเป็นนายหัวโทตาม น้องดินคงอยากจะรับสายค่ะ” ดารากานต์บอก
บุรีแอบทำหน้าไม่ชอบใจ
ภายในห้องผู้ป่วยของโรงพยาบาลขณะนั้น นางพยาบาลกำลังเปลี่ยนน้ำเกลือให้นายเด่น ที่นอนอมปรอทรอเวลา ดวงยิหวายืนดูอยู่ จังหวะหนึ่งพยาบาลปรับน้ำเกลือเสร็จ เอาปรอทจากปากไปดู
“ไม่มีไข้แล้วนะคะ วันนี้” นางพยาบาลบอกสองพ่อลูก
“ดีจังเลย” ดวงยิหวายิ้มแย้ม
“พรุ่งนี้น่าจะดีขึ้นมากค่ะ แล้วเมื่อกี๊..รับประทานอาหารได้ดีนะคะ
“ค่ะ..ก็..รับอาหารได้มากขึ้น” ดวงยิหวาดีใจ
“ดีค่ะ..อย่าลืมรับยาหลังอาหารนะคะ” นางพยาบาลยิ้มให้แล้วออกไป
จู่ๆ เกียรติบดินทร์ก็เดินสวนเข้ามา ในมือถือกระเช้าดอกไม้เยี่ยมไข้มาด้วย
ดวงยิหวาไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง “คุณดิน...”
เด่นหันมอง ทำหน้างงๆ “คุณดิน”
เกียรติบดินทร์ไหว้นายเด่น หันมามองหน้าดวงยิหวา แล้วพูดเสียงเบาพอได้ยินกันสองคน
“ดวงยิหวา ผมตามหาคุณทั้งวันเลยนะ กว่าจะรู้ว่าคุณมาอยู่ที่นี่”
“คุณมีธุระอะไร” ดวงยิหวาถามทันที
เกียรติบดินทร์ไม่ตอบ วางกระเช้าลงที่โต๊ะข้างๆเตียง แล้วเดินไปเกาะเตียงนายเด่น วางมาดและทำหน้าดูเป็นผู้ใหญ่เต็มที่
“นายเด่น..ไม่ต้องห่วงงานนะ พักผ่อนให้เต็มที่ หายแล้วก็พักให้ร่างกายแข็งแรงดีเสียก่อน ไม่ต้องรีบไปไซด์งาน เพราะลูกสาวคุณ..ทำหน้าที่แทนคุณได้ดีมาก”
เด่น“ขอบคุณครับ คุณดิน คุณดินไม่น่าลำบาก อุตส่าห์มาถึงนี่..ผมจวนจะหายแล้ว”
“ไม่เป็นไรครับ นายหัวเป็นห่วงนายเด่น อยากจะมาเยี่ยมนายเด่นมาก แต่มีธุระต้องไปต่างจังหวัด เลยสั่งให้ผมมาดูอาการนายเด่นด้วยตาตัวเองให้ได้” เกียรติบดินทร์ว่า
“โธ่ เกรงใจคุณดินจริงๆ เลยครับ ฝากกราบนายหัวด้วย ว่าผมขอบพระคุณ” เด่นบอก
เกียรติบดินทร์ยิ้มเก๊กๆ “ไม่เป็นไรครับ นายเด่น ผมกับนายหัวยินดีมากครับ”
ดวงยิหวามองอย่างขวางๆ รู้ทัน เกียรติบดินทร์หันมาสบตา สีหน้ามีชัย
ในตอนเย็นๆ บัญชาเดินลงมา ในขณะที่ดารากานต์ยังพยายามโทรศัพท์อยู่ รีบหันมาบอก
“น้องดินไม่ยอมรับโทรศัพท์เลย ไม่ว่าเบอร์บ้าน เบอร์แม่” น้ำเสียงดารากานต์เป็นกังวล
“เบอร์พ่อก็ไม่รับ ช่างมัน ไหนว่าอยากเรียนงาน..คุณคงฝันไปละมั้งดารากานต์” บัญชาว่าลูกชาย แต่เหน็บภรรยา
ระหว่างนั้นบุรี เดินประคองทรายทอง ที่แต่งตัวสวยงาม พร้อมสำหรับไปงานค็อกเทล ลงบันไดมา
“น้องดินไม่ว่าง..พาน้องทรายไปแทนได้ไหมครับ นายหัว” บุรีบอก
บุญชายิ้มกว้างแล้วเอ่ยขึ้น “ทรายทองหลานลุง..โอ้โห แต่งตัวแบบนี้ดูเป็นสาวเต็มตัวทีเดียว ไปสิ ไปด้วยกันๆ”
“น้องทรายก็อยากเรียนรู้งานกับพ่อเหมือนกัน..ใช่ไหมลูก” บุรีหันมาทางลูกสาว
“ใช่ค่ะ ใครจะไปรู้ ทรายอาจจะเก่งกว่าพี่ดินก็ได้” ทรายทองว่า
“นั่นน่ะสิครับ ลูกๆหลานๆของพวกเรา..ต้องเก่งๆกันทั้งนั้นแหละ ไปๆๆ” บุรีพูดเอาใจพี่ชาย
บัญชา บุรี และทรายทองเดินออกไป ดารากานต์วางสายโทรศัพท์ลง มองตามอย่างปลงๆ บัวเดินเข้ามาสมทบ
“คุณบุรีคิดอะไรอยู่นะ อยากจะรู้นัก
“ฮื้อ..ป้าบัว..คุณบุรีก็คงอยากให้พี่ชายเค้าอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง..ก็เท่านั้นแหละป้า” ดารากานต์ตอบ
“เพราะคุณดินคนเดียว..ทำแต่เรื่อง..กว่าจะรู้ตัวอีกที..ตัวเองก็จะไม่เหลืออะไร” บัวทำหน้าเซ็ง
ดารากานต์มองป้าบัว สีหน้าไม่ชอบใจในคำพูดดังกล่าว
ดวงยิหวาเดินทำหน้าหนักใจมา โดยมีเกียรติบดินทร์ถือแก้วน้ำแดง 2 แก้วเดินตาม ทั้งคู่ยังอยู่ที่โรงพยาบาล
“เป็นอะไร โกรธเหรอ ไม่พอใจเหรอ ที่ผมไปตั๊นหน้าแฟนคุณสลบ” เกียรติบดินทร์ทนไม่ไหว ถามขึ้นทันที
ดวงยิหวาถอนใจยาว “ปรีชาเค้าอาจจะไม่มีมารยาท แต่ที่คุณทำกะเค้ามันเกินไป โชคดีนะ ที่นายหญิงเคลียร์ได้ ไม่งั้น..ถ้ามีการฟ้องร้อง..คุณแพ้แน่ๆ”
“ผมไม่แคร์ที่จะเป็นคดีความอะไรหรอกนะ เรื่องทั้งหมดนี้..ผมห่วงอยู่อย่างเดียว”
“อะไร”
“ห่วง..ที่คุณยังจะคิดจะเป็นแฟนกะไอ้ขี้แพ้ต่อไป ทั้งๆ ที่มันห่วยแตกขนาดนั้นได้ไง”
“อ๋อ ชั้นควรทิ้งเค้าใช่ไหม ที่เค้าโดนลูกเศรษฐีชกสลบ แถมยังยัดเงินจนพ่อแม่เค้าพูดไม่ออก” ดวงยิหวาเยาะอยู่ในที
“คุณควรทิ้งผู้ชายกระจอก โง่ งี่เง่า ที่ไม่มีอะไรคู่ควรกับคุณเลยตะหาก” เกียรติบดินทร์พูดอย่างยะโส
“แล้วคุณเกี่ยวอะไรด้วย”
“เกี่ยวสิ เกี่ยวเต็มๆ”
“อย่านึกว่าตัวเองมีเงิน แล้วอยากได้อะไรต้องได้นะคุณดิน ในโลกนี้ มีอะไรมากมายนัก ที่เงินซื้อไม่ได้” ดวงยิหวาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ผมไม่เคยนึกอย่างนั้นเลย ดวงยิหวา ในชีวิตผม..ผมไม่เคยได้..สิ่งที่ผมอยากได้เลย..เงินไม่เคยซื้อสิ่งนั้นได้จริงๆ ผมรู้ดี..รู้ดีกว่าใครๆ ด้วยซ้ำ” เกียรติบดินทร์ระบายความในใจ
ดวงยิหวามองหน้า สบตา แล้วสะบัดเมิน เพราะไม่อาจทนดูสายตาฉายแววเจ็บปวดของเกียรติบดินทร์ได้
“คุณ..อย่ามา..ทำเป็น..เด็กมีปัญหาหน่อยเลย”
“ผมไม่ได้มีปัญหา แต่ผมชอบคุณ..คุณชอบผมบ้างได้ไหมล่ะ”
คำพูดยิงตรงของเกียรติบดินทร์ ทำเอาดวงยิหวาถึงกับอึ้งไป
เย็นวันนั้น มาดามพิณ นพชัย และชิงชัย มานั่งรอบัญชาอยู่ก่อนแล้วรอบโต๊ะกลมภายในห้องส่วนตัวของร้านอาหารจีน มีบริกรชายใส่หูกระต่ายคอยรินชาให้
ครู่ต่อมาบริกรอีกคนก็เดินนำบัญชา บุรี และทรายทองเข้ามาในห้อง นพชัยเห็นก่อน รีบนำชิงชัยลุกขึ้นต้อนรับ
ทุกคนไหว้ทักทายกันไปมา
“มาดามพิณ...ไม่ได้พบกันเลย...ได้แต่เจอคุณนพชัย เวลาไปประมูลงานแข่งขันกันตลอด” บัญชาเย้าเล่น
“นั่นสิ คุณคงเบื่อหน้าผมไม่น้อย นายหัวบัญชา” นพชัยสัพยอก
“นายหัวบัญชายังดูแข็งแรงดีนะคะ ได้ข่าวว่าลูกชายเป็นหนุ่มแล้ว เสียดาย อยากเจอนายหญิงดารากานต์ ดิฉันเคยพบตอนเธอสาวๆ เป็นคนสวยที่สุดคนหนึ่งของจังหวัด” มาดามพิณถามถึงดารากานต์
“ดารากานต์ไม่เคยออกงานธุรกิจครับ ส่วนเกียรติบดินทร์ก็เอาแต่ซ้อมกีฬา ผมเลยต้องควงลูกสาวบุญธรรมมาแทน ทรายทอง..สวัสดีมาดามพิณกับสามีสิลูก..ส่วนบุรี น้องชายผม พ่อจริงๆของทรายทองเค้า พวกคุณคงคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว” บัญชาว่า
“สวยจริงๆ...หนูทรายทอง เห็นทีแรกนึกว่านายหัวพากิ๊กมาเสียอีก” มาดามพิณหัวเราะชอบใจพร้อมกับแนะนำลูกชาย “ส่วนนี่ ชิงชัย ลูกชายคนเดียวของดิฉันค่ะ”
“ต้องขอฝากเนื้อฝากตัวกับทุกๆท่านด้วยนะครับ” ชิงชัยประจบประแจงเต็มที่ และส่งสายตามองไปยังทรายทองอย่างหวานเยิ้ม
บัญชา บุรี ยิ้มรับ แต่ทรายทองกลับเมิน แถมเชิดใส่
“มาดามพิณนัดพบกันคราวนี้ ท่าทางจะมีอะไรดีๆ” บุรีว่า
“อ๋อ ค่ะ..ดิฉันอยากจะแนะนำเพื่อนใหม่ให้ทุกคนรู้จัก...เขาจะมาเป็นพาร์ทเนอร์ของพี.เอนเตอไพร้ซ์ เราจะขยายบริษัทให้ใหญ่ขึ้น เพื่อให้เป็นระดับอินเตอร์ และตั้งใจจะรับงานระดับภูมิภาคต่อไป ไม่ใช่แค่ระดับประเทศเท่านั้น” มาดามพิณบอก
“อ้อ ครับ” บัญชาพยักหน้า
“ดิฉันอยากจะให้พวกเราทุกคนที่ทำธุรกิจนี้และอยู่ในภูมิภาคเดียวกัน ได้รวมตัวกันไว้ เพื่อจะได้แข่งขันกับพวกบริษัทใหญ่จากภูมิภาคอื่น ประเทศอาเซี่ยน ควรจะใช้บริการของอาเซี่ยนด้วยกันเท่านั้น
“หมายความว่า..มาดามกำลังจะแนะนำชาวต่างชาติประเทศไหนมาให้เรารู้จักหรือครับ นี่เราคงต้องฟุดฟิดฟอไฟกันเมื่อยเลยสิ” บุรีเอ่ยถามแกมเย้า
“เขาพูดไทยได้ค่ะ เขาชอบประเทศไทยมาก..เขามาเมืองไทยกับครอบครัวทุกปีค่ะ” มาดามพิณยิ้มๆ
“ชาวมาเลย์หรือครับ” บัญชาถาม
“สิงคโปร์ครับ ชาวจีน..ที่ปัจจุบันเป็นพลเมืองสิงคโปร์” นพชัยบอก
ประตูห้องเปิดออก บริกรเดินนำเข้ามา
“เชิญครับผม” บริกรพูดเสียงสุภาพอาการนอบน้อม
ทุกคนหันไป เห็นปีเตอร์ กับเทเรซ่าเดินเข้ามา ปีเตอร์ยังหล่อเท่ และดูดี ส่วนเทเรซ่าสวยงามดุจนางฟ้าที่ดูสูงส่งเหนือจริง ทรายทอง มองความงามเทเรซ่าถึงกับหน้าซีด ชิงชัยเองก็ตะลึง
บัญชา บุรี มองปีเตอร์อย่างสนใจและทึ่งๆ
“มิสเตอร์โจว กับมิสโจว ลูกสาวค่ะ มิสเตอร์โจวคะ..นี่คุณบัญชา กับลูกสาวบุญธรรม และคุณบุรี น้องชายค่ะ” มาดามพิณแนะนำเป็นทางการ
ทุกคนจับมือกันไปมา บัญชากับปีเตอร์ บีบมือกันแรงๆ อย่างเป็นมิตร ทั้งคู่สบตากันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มสดใส และเปิดเผย
เช้าวันต่อมาเกียรติบดินทร์กำลังก้มๆ เงยๆ ดูหน้าหม้อรถสปอร์ตคันงามของตัวเอง เช็คนั่นนี่แบบเพลินๆ บัญชาเดินมาข้างหลัง ถามลูกชายขึ้น
“จะออกไปไหนอีกล่ะ ดิน”
เกียรติบดินทร์หันมายิ้มให้ “เปล่าครับ..แต่ถ้านายหัวจะไปไซด์งาน..ผมจะไปด้วย”
“ไปกับพ่อน่ะ ดินไม่มีสิทธิ์จะไปต่อยตีกะใครตามใจชอบได้หรอกนะ บอกไว้ซะก่อน” บัญชาเย้าลูกชาย
เกียรติบดินทร์ฟังแล้วทำท่าเซ็ง “ใครฟ้องอะไรนายหัวว่ายังไงล่ะ แม่เหรอ”
บัญชา“แม่หรือ..เขาจะอยากทำให้ดินโดนด่า เขามีแต่จะช่วยปิดบัง เขาตามใจดินจนดินจะกลายเป็นโจรอยู่แล้วดินยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ”
บัญชาพูดเสียงจริงจัง ทว่าเกียรติบดินทร์กลับหัวเราะเยาะๆ
“เขาไม่ได้ตามใจผมหรอก..เขาไม่อยากแตะต้องผมตังหากล่ะ”
บัญชาอึ้งไป จังหวะนั้นสองพ่อกับลูกหันมามองหน้ากัน
“ถ้าดินอยากลองเรียนรู้งาน...พ่อว่า..ดินไม่เหมาะกับการไปตรากตรำที่ไซด์งานหรอก งานพวกนั้นปล่อยอาบุรีเขาดูแลน่ะ ดีแล้ว..ดินสนใจอยากจะ...ช่วยพ่อประสานงานกับ...ชาวต่างชาติไหมล่ะ” บัญชาออกไอเดีย
“ชาวต่างชาติ..ฝรั่งหรือครับ” เกียรติบดินทร์สนใจขึ้นมา
“สิงคโปร์...พ่ออาจจะ...ลองคบกับพันธมิตร เป็นบริษัทก่อสร้างจากสิงคโปร์ ตอนนี้เรากำลังเริ่มๆ คุยกัน ว่าจะทำอะไรร่วมกันยังไงได้บ้าง” บัญชาเล่า
เกียรติบดินทร์หน้าตาสดใสขึ้น “ก็ดีสิครับ”
“ดี..งั้นคราวหน้าที่นัดเจอกัน พ่อจะพาลูกไปด้วย ขอกระซิบนิดนึงนะ..ว่าพันธมิตรคนนี้..มีลูกสาวสวยมาก…”
พ่อลูกหัวเราะให้กัน
“โธ่..นายหัวครับ..เห็นผมเป็นพวกบ้าผู้หญิงไปได้” เกียรติบดินทร์โอด
ทันใดนั้น ดารากานต์วิ่งเข้ามา มีป้าบัวเดินกึ่งวิ่งตาม หน้าตาตกใจ เสียใจ ร้อนรนเต็มที่
“นายหัวๆ น้องดิน..อากง..อากง..เสียแล้ว” ดารากานต์พยายามจะควบคุมสติ แต่แล้วก็อดไม่ไหว ร้องไห้โฮออกมา
“ดารากานต์..ใจเย็นๆ ค่อยๆพูดค่อยๆจา..อาป๊าเป็นอะไร” บัญชาปลอบ
“อาป๊า..อาป๊าหัวใจวายค่ะ..บ่นเหนื่อย ขอไปนอนพัก..แล้วก็หลับไปเลยค่ะ” ดารากานต์น้ำตาไหลพราก
“ตอนนี้อาม้าทำอะไรไม่ถูก เป็นลมแล้วเป็นลมอีกค่ะ นายหัว..ฮือๆๆ” ป้าบัวว่า
บัญชาจับมือดารากานต์มาโอบไว้ให้กำลังใจ “ทำใจดีๆ..ดารากานต์”
เกียรติบดินทร์พลอยเข้ามา กอดแม่ไว้ด้วย
ศพโกเม้งนอนคลุมผ้าถึงอก รอการบรรจุลงโลง มีกระถางธูปจุดไว้ มีพระวางเป็นประธานตามธรรมเนียมชาวพุทธ คุณนายดาวนั่งร้องไห้ โดยมีป้าบัวดูแลอยู่ไม่ห่าง ญาติๆ ช่วยกันจัดที่ทาง ช่วยกันยกโต๊ะ และตู้บางชิ้นออกไป เคลียร์พื้นที่
ดารากานต์ กำลังกระซิบหารือบัญชา
“อาม้าอยากให้เราจัดงานที่ห้องข้างหน้าค่ะ ฉันอยากให้เอาไปที่วัด แต่พูดยังไงๆ อาม้าก็ไม่ยอม นายหัวช่วยพูดที” สีหน้าดารากานต์เป็นกังวล
“ไม่เป็นไรๆ จัดที่บ้านก็ได้ ยังไง...เดี๋ยวผมจะสั่งให้คนไปเอาเต๊นท์มากางในสนาม เพราะคนคงมาเยอะจนห้องรับแขกรับไม่ไหวแน่ๆ” บัญชาว่า
“แล้วแบบนี้อาม้าก็ต้องเหนื่อยสิคะ แทนที่จะจ้างให้ทางวัดรับไป จะกลายเป็นว่า..ตัวอาม้าเองจะต้องลุกมาทำทุกอย่างทั้งวันทั้งคืน..ชั้นรู้จักอาม้าดี”
“เราก็อย่าให้แกทำ แกทำไม่ไหวหรอก เดี๋ยวเราก็เรียกพวกแคเธอริ่งมาเลย พวกมืออาชีพ แล้วคุณก็คอยควบคุม อย่าให้อาม้ามายุ่ง เดี๋ยวให้ทรายกับดินคอยประกบ ดีไหม”
“ค่ะๆ” ดารากานต์รับคำอย่างโล่งใจ
คุณนายดาวสูดยาลมพลาง มองหารอบๆ แล้วเอ่ยขึ้น “รูปล่ะ..รูป..รูปอาป๊าล่ะ ดารากานต์”
“รูป..รูป..เอารูปไหนดีคะ” ดารากานต์หันไปถามบัญชา
ทรายทองหยิบรูปถ่ายครึ่งตัวที่แขวนอยู่ข้างฝามา
“รูปนี้ไงคะนายหญิง..ดีไหมคะ อาม่า รูปอากงล่าสุด ที่ไปเที่ยวเมืองนอก”
“ไม่เอาๆ รูปนั้นแก่แล้ว เอารูปหนุ่มๆ...ดารากานต์..ไปหารูปอาป๊า...หนุ่มๆ หล่อๆ..อยู่ในห้องนั้น เอาในอัลบั้มเก่าๆ มาอัดขยายก็ได้ เดี๋ยวนี้เค้าใช้คอมพิวเตอร์ทำกันแป๊บเดียวเองไม่ใช่เหรอ” คุณนายดาวสั่ง
ดารากานต์หมุนไปหมุนมาอย่างคนวิตกจริต
“ทรายทอง...ไปหารูปอากงหนุ่มๆ ในห้องนั้นไป พวกอัลบั้มรูปถ่ายอยู่ในตู้โชว์ทั้งหมด แล้วเอามาให้อาม้าเลือกหน่อยลูก..น้องดิน..ช่วยแม่หน่อย..พาแม่ไปวัดที..แม่ต้องไปหารือกับพระที่วัดเอง...” ดารากานต์หันมาหาบัญชา “คุณช่วยดูเรื่องสถานที่สำหรับงานวันนี้ทีนะคะ ต้องจัดเตรียมอะไรสำหรับแขกเท่าไหร่ เดี๋ยวฉันมาค่ะ แล้ว...เรื่องดอกไม้..กับโลงศพ...”
“แม่..ใจเย็นๆ ครับ..ทำทีละอย่างนะแม่..เดี๋ยวนายหัวก็จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยครับ” เกียรติบดินทร์เอ่ยขึ้น
ดารากานต์มองเกียรติบดินทร์ จับมือลูกมาบีบ “ขอบใจ ดิน..ขอบใจ...”
เกียรติบดินทร์หันมายิ้มกับพ่อ ส่ายหน้าขำแม่นิดๆ บัญชาพยักหน้าให้ เป็นเชิงว่าให้ดูแลแม่ดีๆ
ดารากานต์ดึงลูกชายออกไปอย่างรีบร้อน
ภายในห้องหนังสือของบ้านคุณนายดาว มีตู้หนังสือ ตู้โชว์เก็บรูปถ่าย และอัลบั้มรูปต่างๆ มากมาย ทรายทองเลือกดูรูปโกเม้งที่ใส่กรอบไว้ วางเรียงขนาดต่างๆ ภายในห้องแล้วบ่นพึมพำ
“ว้า..ไม่เห็นมีรูปหนุ่มเลย..มีแต่รูปแก่ๆ นึกไม่ออกเลย...ว่าอากงเคยเป็นหนุ่มกะเค้าด้วย”
ทรายทองเกาหัว ตัดสินใจเปิดตู้ เอาอัลบั้มต่างๆ มาเปิดหา แต่แล้วก็อัลบั้มเล็กบรรจุภาพไซส์จัมโบ้ หล่นปุลงมา3-4 เล่ม
“โอ๊ย..บ้านนี้รูปเยอะจริงๆ เลย” ทรายลองรีบเปิดดู
เล่มแรก คือรูปดารากานต์ในชุดนักเรียน กับเพื่อนๆ รูปที่เป็นการแสดงในฐานะดาราของโรงเรียนเต็มไปหมด
“ว้าว..นายหญิงตอนสาวๆ นี่ป๊อปชะมัด”
ทรายทองเปิดอีกเล่ม แล้วชะงักอ้าปากค้าง
“ฮ้า..นี่มัน..โอ้โห..เปรี้ยวที่สุดในสามโลก” ทรายทองตื่นเต้น
ในนั้น เป็นภาพชุดการเที่ยวทะเลล่องเรือของครอบครัวปีเตอร์กับครอบครัวดารากานต์ล้วนๆ รูปภาพดารากานต์ที่ถ่ายบนเรือและอยู่ในชุดเที่ยวทะเลเก๋ไก๋อีกหลายรูป
ทรายทองพลิกดูรูปถ่ายมาถึงรูปคู่ในชุดลำลองของดารากานต์กับปีเตอร์ ทั้งแบบครึ่งตัว และแบบโคลสอัพใกล้ๆ 4-5 ภาพ ซึ่งปีเตอร์ในภาพนั้น ดูคล้ายกับฟ้ากระจ่างในเวลานี้เอามากๆ
“ผู้ชายคนนี้ใครเนี่ย..หล่อยังกะดาราหนังจีน..ไม่ใช่นายหัวซะด้วยสิ” ทรายทองงง
จังหวะนั้นบัญชาเดินเข้ามาพอดี
“ทราย..ทำไมนานจัง ไม่เจอเลยสักรูปหรือลูก..อากงตอนหนุ่มๆน่ะ อาม้าโวยวายใหญ่แล้วนะ”
ทรายทองสะดุ้ง มีพิรุธ พยายามจะปิดบังรูปพวกนั้น
“อะไรน่ะ..มีอะไร” บัญชาถามขึ้น
“เอ้อ..ไม่..ไม่มีค่ะ” ทรายทองปฏิเสธ
เห็นทรายทองปฏิเสธ บัญชายิ่งอยากรู้ “อะไร..เอาอะไรไปซ่อนน่ะ หา”
บัญชาเข้ามา แล้วดึงมือทรายทองที่เอาหลบไว้ด้านหลัง ดึงรูปพวกนั้นมาทั้งหมด บัญชาพลิกดูเหล่ารูปนั้น ทีละใบๆ แล้วนิ่งงัน สายตาของบัญชา เพ่งพินิจที่รูปพวกนั้น
ภาพปีเตอร์ปัจจุบัน ตั้งแต่แว่บแรกที่เจอกัน ตอนจับมือกัน ใบหน้าปีเตอร์ ที่ยิ้มกว้างเปิดเผย จังหวะหนึ่งบัญชาดูรูปปีเตอร์สมัยเป็นหนุ่มที่ถ่ายคู่ดารากานต์เขม็ง
ขณะที่กำลังเพ่งมอง ดวงตา และรอยยิ้มของปีเตอร์ บัญชาเบิกตากว้าง ภาพของฟ้ากระจ่าง ทั้งที่เป็นภาพนิ่ง ที่นักสืบเคยให้ดู ลอยเข้ามาในหัวของบัญชา พร้อมกับคำพูดสำทับของนักสืบ
“ฟ้ากระจ่าง แซ่ลี้ หรืออาจ้าง”
เสียงนั้น ดังซ้ำๆๆ ก้องในใจของบัญชา
บัญชาปะติดปะต่อเรื่องราว และเข้าใจทุกอย่างจนทะลุปรุโปร่ง
ใบหน้าของฟ้ากระจ่าง เมื่อครั้งที่บัญชาได้ไปเจอมาด้วยตัวเอง แจ่มชัดในห้วงคำนึงนั้นพร้อมกับเสียงของนักสืบ
“ฟ้ากระจ่าง แซ่ลี้ หรืออาจ้าง”
สีหน้าของบัญชาค่อยๆ เปลี่ยนจากเย็นชา เป็นดุดันเหี้ยมโหด!!
อ่านต่อตอนที่ 4 พรุ่งนี้ อาทิตย์ ที่ 5 ก.พ. 55 เวลา 9.30 น.