xs
xsm
sm
md
lg

ลิขิตเสน่หา ตอนที่ 16

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สกู๊ปออนแอร์ ลิขิตเสน่หา

"ใยไหม" เป๊ะบท เป๊ะอารมณ์
ปล่อยโฮ!! ทำเอา "ก้อง-สหรัถ" อิน อึ้ง ทึ่ง

เป็นพระเอกมาก็หลายเรื่อง แต่ไม่เคยมีเรื่องไหนที่ทำให้พระเอกมาดอบอุ่น ก้อง - สหรัถ สังคปรีชา ต้องอึ้ง ทึ่งกับความสามารถนักแสดงตัวน้อย น้องใยไหม-ด.ญ.ชินารดี อนุพงษ์ภิชาติ ที่มารับบท “ไข่ตุ๋น” ลูกสาวมาดทอมบอยจอมทะโมนในละคร “ลิขิตเสน่หา” ทางช่อง 3 ของ บริษัท กู๊ด ฟีลลิ่ง จำกัด แค่เข้าฉากด้วยกัน 2 คน น้องใยไหมก็ส่งอารมณ์ให้พี่ก้องได้เต็มๆ
เป็นฉากที่ ไข่ตุ๋น (ใยไหม) อยากให้แม่ เอนิตา(พรทิพย์) มาร่วมงานวันแม่ที่โรงเรียน เอนิตาขับรถมาถึงโรงเรียนแล้ว แต่กลับถูกขู่จึงต้องรีบออกไป ไข่ตุ๋นวิ่งตามรถของเอนิตา ณนนท์(ก้อง สหรัถ) ส่งสารลูกจับใจ ฉากนี้ถ่ายทำกันที่โรงเรียนนานาชาติ น้องใยไหมอยู่ในชุดนักเรียนน่ารัก ก่อนเข้าฉากก็ลั้นลาประสาเด็กสดใส ร่าเริง แต่หลังจากผู้กำกับ วรวิทย์ ศรีสุภาพ เข้ามาอธิบายฉากให้ใยไหมฟัง และบอกว่าต้องเล่นอารมณ์ยังไง ใยไหมก็นิ่งฟังช่วงนั้นพระเอก ก้อง สหรัถ มอง ใยไหมและเริ่มซ้อมเหมือนจริง ใยไหมดูตั้งใจเล่น จนทำเอาผู้ใหญ่โล่งอก เพราะเป๊ะทั้งบทเป๊ะทั้งอารมณ์ที่ได้รับอธิบายมา แถมพอถ่ายจริงก็ร้องไห้ด้วยความเสียใจ ที่ เอ๋ - พรทิพย์ ซึ่งในเรื่องเป็นแม่ใยไหมขับรถมาถึงหน้าโรงเรียนแล้ว แต่กลับวกรถออกไปไม่ยอมเข้ามาในงานวันแม่ ใยไหมวิ่งตามรถ ร้องเรียกแม่อย่างสุดเสียง ทำเอา ก้อง- สหรัถ อึ้ง และอินกับอารมณ์สงสารลูกสุด ๆ เดินเข้ามากอดปลอบใจใยไหม สิ้นเสียงผู้กำกับสั่งคัทใยไหมก็ยังนิ่ง ๆ จนทุกคนต้องเข้าไปปลอบ

ติดตามชมฉากนี้ได้ ในวันพฤหัสที่ 10 พฤศจิกายน เวลา 20.30 น. ทางช่อง 3

........................................................................

ลิขิตเสน่หาตอนที่ 16

เช้าวันนั้นในโรงเรียนอนุบาลเด็กดี ยังคงเต็มไปด้วยความจ๊อกแจ๊กจอแจของเด็กนักเรียน ขณะนั้นเป็นชัวโมงวิชาศิลปะ เด็กๆ กำลังวาดรูปเล่นกันอยู่ในห้องเรียน ครูปราณีเดินคอเอียง เพราะจู่ๆ ก็มีอาการปวดคอปวดไหล่ ขณะเดินเข้ามาในห้อง

“อุ๊ย ทำไมมันปวดอย่างงี้เนี่ย” ว่าพลางเดินเข้าไปหาเด็กๆ “ไงคะเด็กๆ วาดรูปไปถึงไหนแล้ว”
เด็กนักเรียนคนหนึ่งอวดรูปให้ครูดู
“นี่ค่ะคุณครู นี่พ่อหนู นี่แม่หนู ส่วนนี่น้องหมา หนูวาดเก่งรึเปล่าคะ”
ครูปราณีหยิบรูปมาดู ยิ้มแย้มแจ่มใส
“เก่งมาก... แหม โตขึ้นลิลลี่ต้องได้เป็นจิตรกรแน่ๆ เลยลูก”
ครูปราณีหันไปพูดกับเด็กชายอีกคน
“แล้วตูมตามล่ะคะ ไหน เอามาให้ครูดูหน่อยสิคะ”
“นี่ครับ” เด็กชายตูมตามโชว์รูปวาดของตัวเองให้ดู
ครูปราณีมองเห็นเป็นรูปยึกๆ ยือๆ ทายยากมากว่าคนไหนผู้หญิงผู้ชาย แถมมีเรียงกันเป็นสิบคน
“โห...ทำไมบ้านตูมตามคนเยอะจังเลยล่ะ”
เด็กตูมตามงงๆ “ไม่เยอะหรอกครับ มีพ่อ มีแม่ แล้วก็ผม สามคนเองครับ”
ครูปราณีจึงชี้ไปที่รูป
“อ้าว แล้วใครล่ะที่ยืนอยู่นี่”
“เค้าบอกว่าเป็นคุณปู่คุณย่าผมครับ แต่ตายไปแล้ว พอผมบอกแม่ แม่กลัวซะผมตั้งโด่เลย ไม่รู้เป็นอะไรอ่ะครับ” ตูมตามอธิบายหน้าตาเฉย
“ฮ๊า!” ครูปราณีถึงกับอ้าปากหวอ เหวอไปทันทีที่มีลูกศิษย์เป็นคนเห็นผี
จังหวะนั้นเด็กชายตูมตามก็หันไปมองที่บริเวณหัวครูปราณี
“คุณย่าครับ อย่าขี่คอคุณครูสิครับ เดี๋ยวคุณครูก็คอหักกันพอดี”
ครูปราณีผงะถอย หน้าตาเลิกลัก หันไปมองรอบๆ ห้องด้วยความกลัวก่อนจะรีบจ้ำออกจากห้องไป สวนกับไข่ตุ๋นที่เดินหน้าหงิกเข้ามาในห้องพอดี

“ไข่ตุ๋น เธอวาดรูปพ่อแม่รึยัง” เพื่อนคนหนึ่งถาม พร้อมกับโชว์รูปที่ตัวเองวาดให้ดู “นี่ เราวาดแม่เราสวยมั้ย” เพื่อนคนนั้นถามความเห็น
ไข่ตุ๋นมองรูปพ่อแม่ลูกด้วยสายตาแข็งกร้าว ก่อนจะดึงรูปมาจากมือเพื่อน แล้วฉีกทิ้งทันที พวกเพื่อนๆ เห็นต่างก็ตกใจ แต่ไข่ตุ๋นไม่หยุด แถมดึงรูปจากเพื่อนคนอื่นมาฉีกทิ้งอีก ทำเอาเพื่อนๆ ร้องไห้กันลั่น
จากคนสองคน กลายเป็นร้องไห้กันระงมไปทั้งห้อง

เหตุการณ์อีกด้านของโรงเรียนก็อลหม่านไม่แพ้กัน เมื่อมีบรรดาเด็กอนุบาลจำนวนมากกำลังเข้าแถวต่อคิวกันจะเข้าห้องน้ำ แต่เข้าไม่ได้ ต่างคนต่างปวดฉี่ ปวดอึ ยืนบิดกันที่หน้าห้องน้ำเต็มไปหมด
เวลานั้นครูปราณีกำลังเคาะประตูห้องน้ำอยู่ด้วยความร้อนใจ เพราะเด็กๆ ที่รอเข้าแถวปวดมากแล้ว ครูปราณีเคาะประตู อย่างร้อนใจ
“ข้าวตูๆ นี่ครูปราณีนะลูก เปิดประตูเถอะ เพื่อนๆ จะแย่แล้วข้าวตู”
ภายในห้องน้ำ ข้าวตูปิดประตูล็อก แล้วขังตัวเองอยู่ในนั้น เอาแต่นั่งร้องไห้อยู่คนเดียวโดยไม่ยอมเปิดประตู
ส่วนที่หน้าห้องน้ำ ครูปราณีเคาะประตูยังไง ข้าวตูก็ไม่ยอมเปิด จังหวะนั้นกังฟูก็เดินบิดๆ ทั้งหนีบและจับก้นตัวเองด้วยความปวดอึ เข้ามาหาครูปราณี
กังฟูปวดอึ ทำปากจู๋ๆ บอกครูปราณี
“ครู...ครูครับ ผมจะราดแล้วครับ”
ว๊าย อย่าเพิ่งราดนะลูก ทนไว้ก่อน ทนไว้” ครูปราณีตกใจหันไปพูดกับครูผู้ช่วยอีกคน “ครูคะ รีบพาเด็กๆ ไปห้องน้ำที่ตึกสองทีนะคะ”
“แต่ห้องน้ำมันเพิ่งทาสีใหม่ ยังเหม็นกลิ่นสีอยู่เลยนะคะ” ครูผู้ช่วยบอก
“ช่างเถอะค่ะ ตอนนี้ไม่ทันแล้ว”
จังหวะนั้นครูปราณีทำมือถือที่ถืออยู่ตก จึงก้มลงไปเก็บ หน้าอยู่ที่ก้นกังฟูพอดี กังฟูสุดจะทนไหวจึงตดเสียงดังแป้ดๆ ใส่หน้า ครูปราณีแทบเป็นลม
“กลิ่นชนะเลิศเลยค่ะ กังฟูขา”
“เร็วค่ะกังฟู เดี๋ยวครูพาไปนะคะ”
ครูผู้ช่วยประคองกังฟู โดยมีเด็กคนอื่นๆ รีบกรูกันตามมา อยากเข้าห้องน้ำเหมือนกัน
“ผมไปด้วยครับ / หนูไปด้วยค่ะ”
เด็กๆ เอ่ยขึ้นพร้อมๆ กัน แถมแต่ละคนร้องกันกระจองอแง จนครูปราณีทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะช่วยคนไหนก่อนดี ทันใดนั้น ก็มีเด็กคนหนึ่งพูดเสียงดังลั่นพร้อมกับยกมือขึ้น
“ครูครับ”
“อะไรอีกล่ะจ๊ะ” ครูปราณีถามอย่างร้อนรน
“ไม่ทันแล้วครับ”
ครูปราณี มองเห็นที่กางเกงของเด็กคนนั้นเจิ่งนองไปด้วยน้ำปัสสาวะราดรดเต็มกางเกง ครูปราณีตาเหลือก อัดยาดมส้มโอมือเข้าจมูก อะไรจะซวยอย่างงี้

เวลาต่อมาครูปราณีใช้มือข้างหนึ่งอุ้มเด็ก ส่วนอีกข้างก็คุยมือถือไปด้วย โดยมีเด็กอนุบาลหลายคนตามกันมาเป็นพรวน บางคนก็เดินกุมเป้าตัวลีบด้วยความปวดฉี่ บางคนก็เดินปิดก้นเพราะปวดอึ
ครูปราณีกลุ้มใจสุดๆ)
“งานเข้าน่ะสิคะคุณพ่อ แถมจัดหนักอีกต่างหาก ไม่งั้นครูไม่โทรมารบกวนหรอกค่ะ”
ครูปราณีอุ้มเด็กมาถึงห้องน้ำสำหรับครู แต่ยังไม่ทันเปิดประตู คนงานทำความสะอาดก็เปิดประตูห้องน้ำออกมาก่อน
“เข้าไม่ได้ค่ะครู ส้วมเต็ม กำลังรอรถดูดส้วมอยู่ค่ะ” คนงานบอก
ครูปราณีเหลืออดแว๊ดออกมา “แล้วมันจะมาเต็มอะไรกันตอนนี้” เมื่อรู้ตัวก็ตกใจ รีบคุยมือถือต่อ “อุ๊ย ไม่ใช่ค่ะ ไม่ได้ว่าคุณพ่อนะคะ เอาเป็นว่า...”
ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงตดดังแพรดๆ ขึ้น ครูปราณีหันไปดุนักเรียน
“ใครตดคะเนี่ย ครูบอกแล้วใช่มั๊ย ว่าให้อดทนไว้ก่อน” กลิ่นตดเหม็นสุดๆ ครูปราณีเอานิ้วบีบจมูก “อื้อหือ กินอะไรมาคะเนี่ย”
เด็กๆ ทุกคนหันมาชี้นิ้วไปที่เด็กที่ครูอุ้มอยู่ ครูปราณีมองหน้าเด็กที่ตนอุ้มอยู่ด้วยความตกใจ เด็กคนนั้นมีท่าทีเขินอาย รีบเอามือปิดหน้า ครูปราณีตกใจสุดๆ รีบวางเด็กคนนั้นลง
ปรากฏว่ามือที่อุ้มเด็กคนนั้นของตน เลอะเทอะไปด้วยอุจจาระเต็มมือไปหมด ครูปราณีกรี๊ดลั่นโรงเรียน

ไม่นานหลังจากนั้น ครูปราณีกำลังทานยาลดกรดในกระเพาะอาหาร เพราะเครียดจนจะเป็นโรคกระเพาะอยู่แล้ว ในขณะที่ณนนท์ กับยี่หวา ที่มาถึงหลังครูปราณีโทรตาม พากันนั่งจ๋อยๆ อยู่ใกล้ๆ ครูปราณีถอนหายใจอย่างเครียดๆ
“คุณครูว่า มันไม่ไหวแล้วนะคะ”
คราวนี้ณนนท์ยิ่งจ๋อยหนัก
“ผมขอโทษจริงๆครับคุณครู ต่อไปผมจะอบรมลูกไม่ให้แกทำแบบนี้อีกแล้วครับ”
“มันไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกค่ะ แต่ที่ไม่ไหว คือสิ่งที่เด็กสองคนนี่แสดงออกต่างหาก”
“คุณครูหมายความว่าไงคะ”
ครูปราณีนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ครูก็ไม่ใช่นักจิตวิทยาหรอกนะคะ แต่จากประสบการณ์ของครู ครูว่าเด็กสองคนเนี่ย เริ่มมีพฤติกรรมต่อต้านสังคมแล้วล่ะค่ะ”
ณนนท์ได้ฟังก็มีอาการตกใจ
“ต่อต้านสังคม ข้าวตูกับไข่ตุ๋นเนี่ยนะครับ”
“ค่ะ แต่แสดงออกกันคนละแบบ ไข่ตุ๋นเค้าแสดงความก้าวร้าว แต่ข้าวตูพยายามจะปลีกตัวอยู่คนเดียวไม่อยากเจอใคร เอ่อ ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าตอนนี้คุณพ่อคุณแม่ มีปัญหาอะไรรึเปล่าคะ”
ณนนกับยี่หวาหน้าเสีย หันไปมองหน้ากันไปมา พอจะเดาออกแล้วว่าเรื่องอะไรที่ทำให้ลูกของตัวเองมีปัญหา

เวลาเดียวกันนั้น ตัวการความวุ่นวาย ไข่ตุ๋นที่นั่งหน้าหงิกงอ บึ้งตึงอยู่บนเตียงในห้องปฐมพยาบาล
ในขณะที่ข้าวตู นั่งหน้าหงิกบอกบุญไม่รับอยู่ที่เก้าอี้ ครู่ต่อมา ณนนท์ และยี่หวา ก็เดินเข้าห้องมา พอเห็นสภาพลูก ณนนท์ก็รีบหน้าปั้นยิ้มเพื่อให้บรรยากาศดีขึ้น
ณนนท์เดินเข้าไปหาข้าวตู ปั้นหน้ายิ้มให้
“ว่าไงครับข้าวตู” ณนนท์จะยื่นมือไปลูบหัว แต่ข้าวตูลุกเดินหนีทันที ไม่ยอมให้ณนนท์จับตัว
ณนนท์หน้าเสีย ยี่หวาเห็นเข้าก็หน้าเสียพอกัน
ยี่หวาปั้นหน้ายิ้มหันไปหาไข่ตุ๋นบ้าง “ไข่ตุ๋นจ๊ะ...”
พูดไม่ทันจบไข่ตุ๋นก็ตวาดแว๊ดขึ้นมา
“อย่ามายุ่งนะ ไข่ตุ๋นโป้งน้ายี่หวาแล้ว”
ยี่หวาหน้าเสียแต่ยังคงปั้นหน้ายิ้มสู้
“แล้วไข่ตุ๋นโกรธน้าเรื่องอะไรล่ะจ๊ะ ไหน เล่าให้น้าฟังหน่อยได้มั้ยคะ” ยี่หวาทำท่าจะเดินเข้าไปหาแต่ไข่ตุ๋นผลักยี่หวาออกมา “บอกว่าอย่าเข้ามาไง ไป”
ข้าวตูเห็นเหตุการณ์ก็โมโห “อย่ามาทำแม่เรานะ” แล้วเข้าไปผลักไข่ตุ๋นทันที
ไข่ตุ๋นโดนผลักเซออกมาก็โมโห จะเข้าไปเอาเรื่อง แต่ณนนท์ ยี่หวารีบจับเด็กๆ ไว้ไม่ให้ตีกัน
“อย่าไข่ตุ๋น ไม่เอานะ อย่า” ณนนท์พูดพร้อมจับตัวไข่ตุ๋นไว้ ยี่หวาก็จับตัวข้าวตูไว้ “ข้าวตู อย่าตีกัน ข้าวตู”
ไข่ตุ๋น ข้าวตูจะตีกันให้ได้ ณนนท์ และยี่หวา ต้องแยกทั้งคู่ออกจากกันได้

หลังเลิกเรียนณนนท์พา ไข่ตุ๋นมาที่ในร้านไอศกรีมแห่งหนึ่ง
“ไข่ตุ๋นรู้นะ ว่าพ่อจะเอาน้ายี่หวามาเป็นแม่ใหม่ให้ไข่ตุ๋น ไข่ตุ๋นไม่ยอม” เด็กหญิงตัวน้อยบอกพ่อ
ณนนท์ฟังแล้วมีสีหน้าเครียดขึ้นมา
“ไข่ตุ๋นรู้มาจากไหน แม่เป็นคนบอกไข่ตุ๋นใช่มั้ย”
ไข่ตุ๋นทิ้งค้อนให้ หนึ่งวง ใบหน้าบึ้งตึงไม่ยอมตอบ ณนนท์รีบเอาน้ำเย็นเข้าลูบ
“ฟังพ่อนะไข่ตุ๋น ตอนนี้ไข่ตุ๋นยังเด็ก อาจจะยังไม่เข้าใจแต่สิ่งที่พ่อทำไป พ่อทำเพื่อไข่ตุ๋นนะลูก”
ไข่ตุ๋นยังอยู่ในโหมดดื้อไม่ยอมรับฟังใดๆ
“ไม่จริง พ่อไม่รักแม่กับไข่ตุ๋นแล้ว พ่อเลยจะทิ้งไข่ตุ๋นกับแม่ไป ไข่ตุ๋นโป้งพ่อแล้ว โป้งๆๆๆ”
ไข่ตุ๋นพูดเสียงดัง จนทุกคนในร้านหันมามองณนนท์เป็นตาเดียว ณนนท์สงสารลูกเกินกว่าจะดุได้

เวลาเดียวกันนั้นเหตุการณ์ที่บ้านของยี่หวา ก็มาคุไม่แพ้กัน ข้าวตูกำลังร้องไห้ขณะคุยเปิดใจกับยี่หวาอยู่
“เพราะข้าวตูใช่ม้า คุณพ่อคุณแม่ถึงต้องเลิกกัน ข้าวตูไม่น่าเกิดมาเลย ข้าวตูขอโทษ
ยี่หวาตกใจที่ได้ยินประโยคนั้นจากปากลูกชาย
“ไม่จริงเลยนะข้าวตู ข้าวตูเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิตของแม่ แม่รักข้าวตูมากนะครับ”
ข้าวตูยังคงสะอึกสะอื้นอยู่อย่างนั้น
“แล้วทำไมคุณพ่อคุณแม่ถึงต้องเลิกกันล่ะครับ ถ้ารักข้าวตูก็ต้องอยู่ด้วยกันสิ”
ยี่หวาหน้าเครียดทันที
“แม่ไม่รู้จะพูดยังไง พ่อกับแม่ไปกันไม่ได้จริงๆ แต่พ่อกับแม่ก็ยังรักข้าวตูเหมือนเดิมนะครับ”
คราวนี้ข้าวตูปล่อยโฮลั่น
“จะเหมือนเดิมได้ยังไงอ้ะ พ่อกับแม่ไม่อยู่ด้วยกันแล้ว เป็นเพราะข้าวตู ข้าวตูทำให้พ่อกับแม่เลิกกัน”

ทางด้านณนนท์ และไข่ตุ๋น ณนนท์กำลังอธิบายความสัมพันธ์ของตัวเองกับยี่หวาให้ลูกสาวฟัง
“น้ายี่หวาเค้าไม่ดีตรงไหนล่ะลูก ไข่ตุ๋นเคยชอบน้าเค้าไม่ใช่เหรอ หรือว่าไม่ชอบแล้ว”
“ชอบ”
“งั้นไข่ตุ๋นก็ไม่โกรธน้าเค้าแล้วใช่มั้ย”
แต่ไข่ตุ๋นพูดอย่างโมโห
“โกรธ เพราะไข่ตุ๋นรักแม่มากกว่า ถ้าพ่อมีแม่ใหม่ ไข่ตุ๋นจะไม่รักพ่อ จะหนีออกจากบ้าน จะทำตัวเป็นเด็กไม่ดีด้วย”

ไม่ต่างจากยี่หวา กับข้าวตู
“ข้าวตูโกรธลุงนนท์แล้ว ข้าวตูจะไม่เตะบอลกับลุงนนท์อีกแล้ว”
ยี่หวารู้สึกสงสารลูก แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง
“ข้าวตู มันไม่ใช่ความผิดของลุงนนท์เค้าเลยนะลูกการที่พ่อกับแม่อยู่ด้วยกันไม่ได้ มันเป็นเพราะตัวพ่อกับแม่เอง ไม่ใช่ความผิดของข้าวตูหรือของใครทั้งนั้นนะครับ”
“จริงเหรอครับ”
ยี่หวาฟังลูกชายก็เริ่มมีความหวัง “จริงสิจ๊ะ แม่จะโกหกข้าวตูทำไม”
แต่แล้วข้าวตูก็ปล่อยโฮลั่นออกมา
“ไม่เชื่อ ถ้าลุงนนท์ไม่ผิด ข้าวตูก็ต้องผิด ข้าวตูผิดเอง ข้าวตูขอโทษ”
ยี่หวาเห็นลูกร้องไห้ ก็สงสารลูกจับใจ ทำอะไรไม่ถูก

ส่วนที่บ้านสวนของบุญเลื่องวันเดียวกันนั้น บุญเลื่องกำลังเปิดหน้าต่างห้องให้ลมระบาย ในขณะ
ที่เท่งยืนอยู่และมองสำรวจห้องนอนของตน
“ไงคุณเท่ง อยู่ได้มั้ย”
บุญเลื่องถาม ขณะที่เท่งมีสีหน้ายิ้มแย้มพอใจ “โอ๊ย ยิ่งกว่าอยู่ได้อีกคุณ ถ้าคุณยอมนะ เอาบ้านสวนคุณมาแลกกับบ้านผม ผมยังเอาเลย”
“ไม่ต้องมาปากหวานเลย พักให้สบายละกัน หายเบื่อเมื่อไหร่ค่อยกลับไป”
เท่งถอนหายใจอย่าง เซ็งๆ
“ถ้าลูกสะใภ้สุดประเสริฐของผมยังอยู่ ถึงกลับไป เดี๋ยวก็ต้อง กลับมาอีกน่ะแหละ”
บุญเลื่องฟังแล้วเซ็งตาม
“ก็จริง บ้านฉันก็มีไอ้เขยเดนตายอยู่เหมือนกัน จะได้กลับไปเมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้เลย”
ทั้งเท่ง และบุญเลื่อง ต่างถอนใจออกมาพร้อมกันด้วยความสุดเซ็ง
“เฮ้อ”

คืนนั้น ข้าวตู วสันต์ และวัลลภา กำลังเล่นเกมเศรษฐีกันอยู่ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส วสันต์ทอยลูกเต๋าไปตกที่ช่องต้องจ่ายเงิน วสันต์ก็แกล้งจ่ายเงินไม่ครบให้ข้าวตูทวง วัลลภาก็แกล้งแหย่หลาน หัวเราะหยอกล้อกันอย่างมีความสุข ยี่หวายืนแอบดูเหตุการณ์นั้นอยู่ ยิ่งเห็นข้าวตูหัวเราะอย่างมีความสุข ยี่หวายอมหักใจ ไม่อาจทำลายความสุขของลูกลงได้ เลยเดินหลบออกไปอย่างเงียบๆ โดยไม่รู้ว่าจังหวะนั้นวสันต์ ได้แอบชำเลืองมองมาทางยี่หวาด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
ที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผนของเขากับเอนิตา

คืนเดียวกันนั้น ณนนท์กำลังทะเลาะกับเอนิตาภายในห้องนั่งเล่นบ้านเท่ง เพราะณนนท์โมโหจัดที่เอนิตาบอกกับไข่ตุ๋นจนเกิดเรื่องขึ้น
“คุณเอาอะไรไปใส่หัวลูกนิตา รู้ตัวบ้างมั้ย”
เอนิตาโมโห “รู้ซิ ฉันรู้ว่ายี่หวามันกำลังจะแย่งคุณไปจากฉันไง ฉันถึงต้องทำ ไม่งั้นป่านนี้คุณคงขนเสื้อผ้าไปอยู่กับแม่นั่นแล้ว” เอนิตาพูดอย่างโมโห
“เรื่องของเรามันจบไปแล้ว ยอมรับความจริงซะบ้างสิ”
“ไม่จริง ถ้าไม่มีมัน คุณก็ต้องกลับมาหาฉัน ไม่ทิ้งฉันกับลูกไปอย่างงี้หรอก”
“นี่คุณไม่คิดจะโทษตัวเองบ้างเลยรึไง ที่ครอบครัวเราต้องเป็นแบบนี้ ก็เพราะความฟุ้งเฟ้อเห็นแก่ตัวของคุณ ถึงไม่มียี่หวา ผมก็ไม่มีทางกลับไปหาคุณอยู่ดีน่ะแหละ”
ขณะนั้นเอง ไข่ตุ๋นก็เปิดประตูห้องเข้ามา
“พ่อ แม่ คุยอะไรกันอยู่คะ”
ณนนท์รีบพูดกลบเกลื่อน
“เอ่อ ไม่มีอะไรลูก พ่อกับแม่คุยกันเรื่องงานน่ะ”
“ไข่ตุ๋นง่วงหรือยังลูก ไป แม่อ่านนิทานให้หนูฟัง”
เอนิตาปั้นหน้ายิ้มที่ได้โอกาส และพาไข่ตุ๋นออกจากห้อง แต่ก่อนออกไปพ้นห้องก็หันมายิ้มเย้ยณนนท์ ทำนองว่าตราบใดที่ตัวเองยังมีไข่ตุ๋นอยู่ ณนนท์ไม่มีทางชนะแน่
ณนนท์มองตามแล้วก็หนักใจ เพราะว่าหากเอนิตาเล่นไม้นี้ทีไร ตนก็แพ้ทางทุกที


ขณะนั้นวุ้นกำลังคุยมือถืออยู่ ในขณะที่ก้อยกำลังถอดไพ่ยิปซี
“เค้าก็พูดถูกนะแก คนเราถ้าไม่เชื่อใจกันแล้ว มันเป็นแฟนกันไม่ได้หรอก”
ยาหยีกำลังยืนคุยโทรศัพท์มือถือกับวุ้น อยู่ภายในห้องนอนที่บ้านสวน
“แต่ยัยเพิร์ลลี่มัน...” ยาหยียังมีท่าทีระแวง แถมยิ่งคิดยิ่งแค้น ไม่อยากพูด “เป็นแก แกจะทำใจได้เหรอ ว่าเค้าสองคนไม่มีอะไรกันจริงๆ”
“ฉันรู้ว่ามันยาก แต่ถ้าเค้าจะรีเทิร์นกันจริงๆ เค้าจะมาง้อแกทำไม อย่างงี้มันก็น่าจะชัวร์แล้วนะ” วุ้นว่า
“แกว่างั้นเหรอ เออ แล้วยัยก้อยดูดวงไปถึงไหนแล้ว”
“เดี๋ยวนะ” วุ้นบอกพลางยื่นมือถือให้ก้อยรับไป “อ้ะ”
ก้อยรับมือถือมา “ฮาโหล ฉันกำลังจะเปิดไพ่ใบสุดท้ายพอดีเลย” ก้อยเปิดไพ่ใบสุดท้ายร้องขึ้นอย่างตื่นเต้น “โอ๊ะๆๆๆๆ”
ยาหยีฟังแล้วตื่นเต้น ลุ้นสุดๆ ถามทันที “เป็นอะไรแก เค้าโกหกฉันเหรอ”
“เปล๊า” ก้อยยิ้มแย้ม “เค้าพูดจริงต่างหาก จริงใจจริงจังเลยแก”
“แล้วแกก็บิ้วท์ซะ”
ยาหยีเซ็งเพื่อนที่อวยสุดยอดออกนอกหน้า ก้อยยิ้มพร้อมกับพูดแซว
“อะไรกันจ๊ะ แม่ยอดยาหยีของฉัน เมื่อก่อนแกไม่เคยเชื่อเรื่องดวงเลยไม่ใช่เหรอ ฉันจะดูให้แกก็ไม่เอา คราวนี้ถึงกับพึ่งบริการฉันได้ แกคงแคร์เค้าเป็นพิเศษสินะ”
ยาหยีเขิน รีบชิ่งก่อนจะเข้าตัว “พูดอะไรก็ไม่รู้แกเนี่ย แค่นี้ก่อนนะ”
ยาหยีกดตัดสายทันที สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะถอนใจเฮือกใหญ่เอ่ยขึ้นกับตัวเอง
“ฉันจะให้โอกาสคุณอีกครั้งก็แล้วกัน

เวลาต่อมายาหยีเดินอย่างหงุดหงิดอยู่ที่ในสวนของบ้านสวน คอยส่องสายมองหาสุดยอดแต่ก็ไม่เจอ
“สุดยอดบ้าเอ๊ย อุตส่าห์ให้โอกาสแล้วเชียว ยังมาหายหัวไปอีก”
ยาหยียิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด เหลือบไปเห็นกระป๋องอลูมิเนียมขนาดย่อม วางอยู่ตรงก๊อกน้ำและสายยางรดน้ำต้นไม้ ยาหยีรู้สึกเจ็บใจ จึงเตะกระป๋องเต็มเหนี่ยว
“ไอ้บ้า ไปตายซะเถอะ ไป”
ยาหยีเตะกระป๋องลอยไปไกลจนลับตา แต่ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงกระป๋องอลูมิเนียมตกกระแทก พร้อมกับได้ยินเสียงใครคนหนึ่งร้องดังมาอย่างเจ็บปวด
“โอ๊ย...”
ยาหยีตกใจหน้าเหวอ ไม่รู้กระป๋องไปโดนหัวใครเข้า เลยรีบวิ่งตามเสียงไปทันที

ยาหยีวิ่งมาจนเจอกระป๋องที่เตะเมื่อครู่นี้ ล้มกลิ้งอยู่บนพื้น ใกล้ๆ กันนั้นสุดยอดนอนสลบเหมือดอยู่ ตามศีรษะ และตามร่างกายเต็มไปด้วยสีแดงฉานคล้ายเลือดไปหมดทั้งตัว ยาหยีรู้สึกตกใจมาก รีบวิ่งเข้าไปดูอาการทันที
“เลือด!!!” ยาหยีรีบเข้าไปประคองศีรษะสุดยอดขึ้นมา “คุณๆ เป็นไงมั่งอ้ะ คุณ อย่าทำฉันใจเสียซิ ฉันไม่ได้ตั้งใจ คุณ ฟื้นสิ”
ยาหยีก้มลงดูใกล้ๆ กับใบหน้าสุดยอด ที่ยังทำเป็นนอนนิ่งเหมือนสลบ จู่สุดยอดก็ลืมตา พร้อมกับดึงรั้งใบหน้ายาหยีเข้ามาจูบทันที ยาหยีไม่ทันตั้งตัว ตกใจสุดๆ ตาเบิกโพลง ไม่คิดว่าจะโดนจู่โจมกระทันหัน
สุดยอดค่อยๆ ปล่อยตัวยาหยีออก ยาหยีช็อก อึ้ง ทำอะไรไม่ถูก ทั้งคู่สบตากันนิ่ง จังหวะนั้นเองสุดยอดก็ปิดจ๊อบสวีท คว้าตัวยาหยีมาจูบซ้ำอีกที ยาหยีซ็อก และอึ้งหนักกว่าเก่า
แต่พอยาหยีก็ตั้งสติได้ รีบผลักสุดยอดออก แล้วร้องกรี๊ดเสียงดังลั่น ก่อนจะดันตัวออกแล้วตีสุดยอดไม่ยั้ง
“นี่แน่ะ ไอ้คนบ้า เลว... เห็นแก่ตัว ฉวยโอกาส”
ยาหยีทิ้งหมัดสุดท้ายที่เบ้าตาสุดยอดโดนต่อยแบบเต็มๆ
“โอ๊ย”

สุดยอดร้องลั่น ยาหยีเอามือเช็ดปากแล้ววิ่งเตลิดหนีไป สุดยอดยิ้มขำๆ เจ็บก็เจ็บ แต่ได้แสดงออกแล้วว่าตัวเองรักยาหยี สุดยอดยิ้มขณะนึกเหตุการณ์ เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้
ระหว่างนั้นสุดยอดกำลังดูดน้ำแดงเดินมาอย่างสบายอารมณ์ จู่ๆ กระป๋องอลูมิเนียมก็ลอยละลิ่วลงมาหล่นใส่หัวแบบเต็มๆ
“โอ๊ย!”
ร่างสุดยอดร่วงล้มลงกับพื้น น้ำแดงหกใส่หน้าตา เนื้อตัว เสื้อยืดสีขาวของสุดยอด แดงฉานเหมือนเลือดอาบไปทั้งร่าง
สุดยอดนึกมาถึงตอนนี้แล้วเอามือลูบปากตัวเอง แล้วนึกไปถึงรสจูบของยาหยีที่ยังหอมหวานกรุ่นๆ อยู่ที่ริมฝีปาก ก่อนลุกขึ้นเดินออกไปอย่างมีความสุข

บรรยากาศในร้านอาหารขณะนั้น ที่โต๊ะของณนนท์ เอนิตา ไข่ตุ๋น กำลังทานอาหารร่วมกันอยู่
เอนิตาตักอาหารให้ไข่ตุ๋น เอาอกเอาใจลูกน่าดู
“พ่อขา ไข่ตุ๋นคิดถึงปู่เท่งจังเลย เมื่อไหร่ปู่จะกลับบ้านคะ”
“คงอีกซักพักน่ะลูก ปู่ไม่ค่อยสบาย ต้องใช้เวลารักษาตัวนานหน่อย”
“ถ้าไข่ตุ๋นคิดถึงปู่ก็ไปหาได้นี่ลูก” เหล่ไปทางณนนท์ “พ่อเค้าคงเต็มใจพาไปแหละ เผื่อจะได้เจอใครบางคน”
ฟังเอนิตาพูด ณนนท์รีบวางช้อน แล้วดื่มน้ำทันที เซ็งสุดๆ เอนิตาทิ้งค้อนหนึ่งวง
“แม่ไปห้องน้ำก่อนนะลูก เดี๋ยวแม่มา”
เห็นเอนิตาลุกขึ้นเดินเลี่ยงไปแล้ว ณนนท์ก็คุยกับลูกต่อ
“ไข่ตุ๋น พ่อถามอะไรอย่างได้มั้ยลูก”
“ได้ค่ะ
“พ่อกับแม่อยู่ด้วยกันแบบนี้ ไข่ตุ๋นมีความสุขรึเปล่า”
“มีค่ะ ไข่ตุ๋นอยากให้พ่อกับแม่รักกัน อยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไปเลย”
“แล้วถ้าพ่อแม่ทะเลาะกันอีกล่ะ”
ไข่ตุ๋นนิ่งคิดอยู่ครู่นึง “ไม่ทะเลาะได้ก็ดีค่ะ แต่ถ้าทะเลาะกันแล้วดีกัน เหมือนไข่ตุ๋นกับข้าวตู ก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ขอให้พ่อกับแม่อยู่ด้วยกันก็พอ”
ณนนท์หน้าขรึมลง เห็นชัดว่าลูกต้องการแม่มาก จนตัวเองก็ไม่อยากทำให้ลูกเสียใจ

ยี่หวานั่งกินกาแฟอยู่กับภูมิชาย และกำลังปรึกษากันเรื่องข้าวตู
“เรื่องของข้าวตู ผมว่าทิ้งไว้อย่างงี้ไม่ดีนะครับคุณยี่หวา ถ้าไง ลองไปปรึกษาจิตแพทย์หรือไม่ก็นักจิตวิทยาสำหรับเด็กดูมั้ยครับ”
ยี่หวาฟังแล้วหน้าเสีย “ถึงขั้นต้องพบจิตแพทย์เลยเหรอคะ”
“อย่าเพิ่งทำหน้าอย่างงั้นสิครับ การไปพบจิตแพทย์ไม่ได้หมายความว่าข้าวตูกับไข่ตุ๋นเป็นโรคจิตนะครับ ในต่างประเทศเค้าถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาจะตายไป ดีกว่าปล่อยทิ้งไว้ แล้วให้เด็กสองคนนั่น โตขึ้นมาเป็นเด็กมีปัญหานะครับ”
“เอ่อ...” ยี่หวายังคงมีอาการสองจิตสองใจ
“คิดดูสิครับ ว่าเด็กคนนึงก้าวร้าวถึงขั้นทำร้ายเพื่อน ส่วนอีกคนเอาแต่โทษตัวเองที่ทำให้พ่อแม่จะหย่ากัน มันไม่ใช่เรื่องเล็กที่จะปล่อยเลยตามเลยแล้วนะครับ”
ยี่หวาพยักหน้ารับเห็นด้วย “ค่ะ คุณพูดถูก ขอบคุณมากนะคะคุณภูมิ”
“เรื่องเล็กน้อยครับ ถึงผมจะไม่ใช่คนที่คุณเลือก แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ไม่ใช่เหรอครับ”
ยี่หวายิ้มรับ รู้สึกดีๆ กับภูมิชายขึ้นมาไม่น้อยเลยทีเดียว

ยี่หวาและณนนท์ร้อนใจกับพฤติกรรมของข้าวตูกับไข่ตุ๋นมากๆ จึงรีบมาปรึกษาแพทย์แผนกจิตเวช ของโรงพยาบาลที่นัดเอาไว้ ตามคำแนะนำของภูมิชาบ และเวลาเช้าของวันนี้ ณนนท์ และยี่หวากำลังคุยกับนักจิตวิทยาอยู่ ในห้องตรวจ
“ผมกับเค้าไปกันไม่ได้จริงๆครับ เคยพยายามหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่ดีขึ้น จนผมเคยคิดว่าจะอยู่คนเดียวไม่มีใครใหม่แล้ว” พลางเหล่มองยี่หวา ยิ้มๆ “แต่พอมาเจอคุณยี่หวา ผมก็เลยเปลี่ยนใจ” สีหน้าณนนท์ขรึมลงชัดเจน “แต่ก็ไม่คิดเลย ว่าเด็กๆ เค้าจะ แอนตี้ขนาดนี้
“เมื่อก่อนก็ไม่ได้เป็นแบบนี้นะคะ พวกเราเข้ากันได้ดีมากเลย แต่พอข้าวตูไข่ตุ๋นรู้ว่าเราสองคนคบกัน ก็เลยต่อต้านขึ้นมา”
นักจิตวิทยาพยักหน้ารับทราบปัญหา
“ค่ะ ดิฉันเข้าใจ เป็นกรณีที่เกิดขึ้นได้อยู่แล้ว ถ้ายังไง ลองให้เด็กๆ แล้วก็คุณพ่อคุณแม่ มาปรับพฤติกรรมร่วมกันมั้ยคะ”
ยี่หวาฟังแล้วชักสนใจ “ปรับพฤติกรรมร่วมกัน ยังไงคะ”
“ก็เป็นการทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อให้เด็กๆเข้าใจว่าถึงพ่อแม่จะหย่ากัน หรือแต่งงานใหม่ ความรักของพ่อแม่ที่มีให้เค้าก็ยังเหมือนเดิมน่ะค่ะ ไม่ได้สูญเสียความรักไป ปฏิกิริยาต่อต้านก็จะลดลงไปด้วย เอ่อ แต่ถ้าคุณพ่อของน้องข้าวตู กับคุณแม่ของน้องไข่ตุ๋นร่วมมือด้วย ก็จะดีมากเลยนะคะ”
ณนนท์ และยี่หวาหันไปสบตากัน รู้สึกว่าวิธีนี้ก็น่าสนใจดีเหมือนกัน แต่ยี่หวาชักมีอาการลังเลเมื่อนึกถึง เอนิตา กับวสันต์
“แล้วคุณคิดว่าสองคนนั่นเค้าจะยอมเหรอ”
“แต่นี่มันเกี่ยวกับอนาคตของลูกเลยนะคุณ ถึงจะแย่ยังไง เค้าสองคนก็น่าจะคิดถึงลูกบ้าง”

ณนนท์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง สีหน้าเคร่งขรึม เพราะหนักใจไม่แพ้ยี่หวา

อ่านต่อหน้า 2 วันพรุ่งนี้
อังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554










ลิขิตเสน่หา ตอนที่ 16 (ต่อ)

ณนนท์โทรตามเอนิตามาพบที่บริษัท แต่ครั้นพอเอนิตารู้เรื่องก็วีนแหลกใส่ณนนท์ทันทีภายในห้องทำงานของเขา

“ไม่มีทาง ฉันไม่มีวันให้ยัยไข่ตุ๋นไปทำอะไรบ้าบอคอแตกแบบนั่นเด็ดขาด”
“บ้าบอที่ไหนกัน ก็แค่เข้าคอร์สปรับพฤติกรรมร่วมกันเท่านั้นเอง หรือว่าคุณอยากให้ลูกเป็นเด็กมีปัญหา”
“ลูกมีปัญหาก็เพราะคุณน่ะแหละ ถ้าคุณไม่พยายามทิ้งแม่แกไปมีเมียใหม่ ลูกก็ไม่เป็นแบบนี้หรอก”
“อ๋อ ผมเข้าใจละ คุณกลัวว่าไข่ตุ๋นจะยอมรับยี่หวาใช่มั้ยล่ะ ถึงไม่ยอมให้แกไปเข้าคอร์ส”
ณนนท์จี้ใจดำจังๆ แต่เอนิตายักไหล่ไม่แคร์
“ใช่ แล้วทำไม ลูกฉัน ฉันมีสิทธิที่จะให้ไปหรือไม่ไปไหนก็ได้”
“คุณมันเป็นแม่ที่เห็นแก่ตัวที่สุด คิดถึงแต่ตัวเองไม่เคยคิดถึงลูก” ณนนท์พูดอย่างมีโมโห
“แล้วคุณล่ะ ถ้าคุณคิดถึงลูกจริง จะมีเมียใหม่ทำไม คอยดูนะ ฉันจะบอกยัยไข่ตุ๋นทุกวัน ว่าพ่อแกไม่รักแกแล้ว จะทิ้งแกไปอยู่กับนังยี่หวา ดูซิ ว่าไอ้คอร์สบ้าบอของคุณ มันจะช่วยได้มั้ย”
เอนิตาพูดแล้วสะบัดหน้าออกจากห้องไป ณนนท์มองตามด้วยความโกรธ ไม่คิดว่าเอนิตาจะใช้แผนแบบนี้

ส่วนทางด้านยี่หวาก็กำลังคุยกับวสันต์เรื่องลูกชายอยู่ในโถงบ้าน
“ผมไม่มีปัญหาหรอก คุณจะเอาข้าวตูไปเข้าคอร์สอะไรของคุณก็ตามใจ
“จริงเหรอ ขอบใจคุณมากนะวสันต์”
ยี่หวาดีใจมาก นึกไม่ถึง วสันต์ยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะพูดต่อ
“ถ้าคุณยอมขายที่ แล้วเอาเงินมาแบ่งให้ผม อย่าว่าแต่เข้าคอร์สเล๊ยผมจะเซ็นใบหย่าแถมให้อีกใบก็ยังได้”
“ฉันนึกแล้ว ว่าคนอย่างคุณ คงไม่ทำอะไรให้ใครฟรีๆ หรอก”
“ไม่นะ ตอนมีข้าวตู ผมยังทำให้ฟรีๆ ไม่คิดเงินคุณซักบาท จำไม่ได้เหรอ”
“อุบาทว์ที่สุด คุณอย่านึกนะ ว่าจะเอาข้าวตูมาขู่ฉันได้ ฉันไม่มีวันยอมขายที่เอาเงินมาให้คุณหรอก”
ยี่หวารู้สึกโมโหมาก สะบัดหน้าเดินออกจากบ้านไป
“งั้นผมก็ไม่มีวันปล่อยคุณไปมีคนใหม่เหมือนกัน อยู่กันไปอย่างคาราคาซังยังงี้แหละ ผมชอบ”
วสันต์ตะโกนตามหลัง

วันนี้มีคิวถ่ายรายการเพิร์ลลี่เดินฉับๆ เข้ามาในสตูดิโอ โดยมีชม้อยเดินตามคุมทุกฝีก้าว
“อัดรายการเสร็จ ก็มีงานอีเว้นท์ต่ออีกสองงาน จากนั้นก็ต้องนุ่งบิกินี่โหนสลิงเล่นโฟมกลางอากาศต่อ งานเนี้ย คุณแม่ขอเม้นท์เลยนะคะ ว่าหน้าหนึ่งทุกฉบับ หวังว่าลูกคงไม่เบี้ยวให้คุณแม่ไปโหนแทนอีกนะจ๊ะ”
ชม้อยเดินไปคุยไป จนเพิร์ลลี่หงุดหงิดใส่ “นี่ใจคอคุณแม่ จะให้เพิร์ลลี่ตายคางานเลยรึไงคะ”
“ก็ยังดีกว่าอดตายเพราะไม่ทำงาน เพราะเอาแต่วิ่งไล่จับไอ้บ้าสุดยอดน่ะแหละ”
เพิร์ลลี่ถูกผู้เป็นแม่พูดแทงใจดำก็กรี๊ดลั่น “คุณแม่...”
ขณะนั้นเอง ว่าน นัท และโมนก็เดินคุยกันผ่านมา
“อ้าว มาแล้วเหรอครับน้องเพิร์ลลี่” ว่านทัก
เพิร์ลลี่ได้เหยื่อวีนใส่ระบายอารมณ์
“ก็เห็นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ มีอะไรฉลาดกว่านี้จะถามบ้างมั้ยเนี่ย”
“อุ๊ยยย แร๊งส์” สามหนุ่มพูดพร้อมกัน
“คุณแม่ไปรอที่ห้องแต่งตัวก่อนนะคะ ยังไงก็ช่วยเร็วๆ นิดนึง งานยังมีอีกแยะ”
ชม้อยพูดจบก็เดินเชิดหน้าเลี่ยงออกไป ว่าน นัท และโมน เหล่ๆ กันจะเดินเลี่ยงไปทางอื่นบ้าง เพิร์ลลี่รีบเรียกไว้
“เดี๋ยวค่ะ เพิร์ลลี่มีเรื่องอยากจะถามพวกพี่หน่อย”
“ถ้าจะถามอะไรไปถามกูเกิ้ลเลยครับ เราไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น” นัทรีบออกตัว
“ยังไม่ทันจะถามเลย พวกพี่ร้อนตัวซะแล้วเหรอ”
“แหม ก็เราไม่อยากจะยุ่งเรื่องนี้จริงๆนี่ครับ น้องเพิร์ลลี่ไปถามคนอื่นเถอะ” ว่านบอก
“ไม่อยากยุ่งหรือจะปกป้องยัยยาหยีกันแน่ เพิร์ลลี่รู้นะ ว่ายัยนั่นลางานไปบ้านที่ต่างจังหวัด แล้วจู่ๆพี่ยอดก็หายไปอีกคน แสดงว่าต้องไปด้วยกันแหงๆ พวกพี่รีบบอกมาเลยนะ ว่าบ้านยัยยาหยีอยู่ไหน”
“ไม่บอก”
สามหนุ่มพูดขึ้นพร้อมกัน และทำบีทบ๊อกซ์กวนใส่ จนเพิร์ลลี่โมโห
“นี่พี่...”
“ไม่บอกๆๆๆ”
นัท ว่าน โมน ร้องเป็นเนื้อเพลงพร้อมๆ กัน
“จริงๆไอ้ยอดกับคุณหยี เค้าก็คบกันเป็นแฟนแล้ว จะไปไหนมาไหนก็เรื่องส่วนตัวของเค้า พี่ว่าน้องเพิร์ลลี่ตัดใจซะเถอะครับ คนเค้าจะได้ไม่ด่าเอา ว่างานการไม่ทำคิดแต่จะแย่งแฟนชาวบ้าน”
นัทพูดจบ สามหนุ่ม ว่าน นัท และโมน พากันสะบัดบ๊อบใส่เพิร์ลลี่ ก่อนจะเดินเลี่ยงไป
“คิดว่าไม่บอก แล้วฉันจะรู้เองไม่ได้รึไง”
เพิร์ลลี่มองตามด้วยความเจ็บใจ

เพิร์ลลี่ เห็นชม้อยยืนเม้าท์อยู่หน้าห้องน้ำ ผ่านทางช่องประตูที่แง้มออก เพิร์ลลี่ค่อยๆ ปิดประตูด้วยความหงุดหงิด ที่ถูกแม่ตามมาคุมไม่ยอมเลิก
“จะคุมไปถึงไหนเนี่ย ลูกนะไม่ใช่นักโทษ”
ขณะกำลังหงุดหงิดกับแม่อยู่นั้น เพิร์ลลี่ก็ฉุกคิดแผนขึ้นมาได้ รีบหยิบมือถืออกมา เปลี่ยนซิมโทรศัพท์ทันที
ส่วนที่หน้าห้องน้ำชม้อยกำลังจีบปากจีบคอเม้าท์แตกอยู่ก็มีสัญญาณสายเรียกซ้อน ดูเบอร์แล้วต้อง แปลกใจเพราะไม่คุ้น “เดี๋ยวนะจ๊ะ มีเบอร์แปลกๆ เข้ามา สงสัยจะโทรมาติดต่องาน รอเดี๋ยวนะ” ชม้อยกดสลับสาย เสียงอ่อนเสียงหวาน “ฮาโหลนี่คุณแม่น้องเพิร์ลลี่นะคะ...”
เวลาเดียวกันนั้นภายในห้องน้ำ เพิร์ลลี่แกล้งดัดเสียงหลอกแม่
“คุณแม่เหรอคะ ไม่ทราบว่ารถเลขทะเบียน... เป็นรถของคุณแม่รึเปล่าคะ”
“ใช่ค่ะ ทำไมคะ...” ชม้อยตกใจ ก่อนจะตวาดแว้ด “อะไรนะ แกชนรถฉันเหรอ รออยู่นั่นเลยนะอย่าหนีไปไหนนะยะ ฉันเอาเรื่องแกแน่”
ชม้อยเดินฉับๆด้วยความแค้นไปทันที เพิร์ลลี่เปิดประตูออกมาจากห้องน้ำ แล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะรีบเดินเลี่ยงไปอีกทางทันที

ไม่นานหลังจากนั้น ที่บริเวณด้านหลังเวทีงานอีเว้นต์งานหนึ่งในห้างสรรพสินค้า เวลานั้นทีมงานคนหนึ่ง กำลังกินมาม่าไปคุยโทรศัพท์มือถือเช็คความพร้อมไป
“เฮ้ย สลิงพร้อม โฟมพร้อม เมื่อไหร่น้องเค้าจะมาซ้อมวะ”
ทีมงานอีกคนบอก
“เออๆ ข้าก็อยากเห็นน้องเพิร์ลลี่ในชุดบิกินี่โหนสลิงเหมือนกันว่ะ”
ขณะนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงชม้อยดังขึ้นที่ด้านหลัง
“นางแบบพร้อมซ้อมแล้วค่ะ”
ทีมงานคนแรกน แล้วหันกลับไปทั้งที่มาม่ายังเต็มปากอยู่ แต่พอเจอกับตาก็ยิ่งช็อกหนักกว่าเก่า เมื่อเห็นชม้อยในชุดคลุมอาบน้ำยืนอยู่
ชม้อยค่อยๆ ถอดชุดคลุมออกด้วยลีลาเซ็กซี่ เผยให้เห็นบิกินี่ข้างในนิดๆ ไม่เห็นบิกินี่เต็มตัว
ทีมงานชะตาขาดคนนั้น รีบพ่นมาม่าออกจากปากทันควัน พร้อมกับไอโขลก เพราะสำลักมาม่าที่แทบจะติดคอตาย จนไม่ทันสังเกตใบหน้าของชม้อยเวลานั้น มีน้ำตาหนึ่งหยดไหลลงมาอาบแก้ม
“เพิร์ลลี่นะเพิร์ลลี่หนีแม่ไปอีกแล้ว ลูกนะลูก” ชม้อยคร่ำครวญแล้วทำหน้าฮึดสู้ “เพื่อลูก แม่ทำได้
ทุกอย่าง”



ภายในห้างสรรพสินค้า วุ้นและนักข่าวจำนวนหนึ่ง กำลังไล่ตามสัมภาษณ์ชม้อยชนิดเอาเป็นเอาตายอยู่ หลังจากชม้อยเพิ่งทำงานแทนลูกสาวเสร็จ และเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว
“ยอดคุณแม่จริงๆเลยนะคะ น้องเพิร์ลลี่เบี้ยวทีไร คุณแม่ก็จัดแทนทุกที”
วุ้นเดินไปสัมภาษณ์ไป ในขณะที่ชม้อยเดินหนีไปพูดไป
“น้องเพิร์ลลี่ไม่ได้เบี้ยวนะคะ แต่น้องเค้าไม่สบายจริงๆ ค่ะ คุณแม่เลยต้องทำงานแทน”
“แล้วข่าวที่ว่าน้องเพิร์ลลี่กำลังไล่ตามคนรักเก่าที่ชื่อย่อ ส.เสือ โดยไม่สนว่าเค้ามีแฟนเป็นพิธีกร ย.ยักษ์แล้ว จริงรึเปล่าคะ” นักข่าวคนหนึ่งถามซัก ชม้อยหยุดเดินหันไปใส่ทันที
“ต๊าย เอามาจากไหนกันคะเนี่ย คุณแม่ขอเม้นท์เลยนะคะว่าไม่จิ๊งไม่จริง จะส.เสือ ย.ยักษ์ หรือ ก.ไก่ถึงฮ.นกฮูกยังไง ลูกสาวคุณแม่ก็ไม่เคยยุ่งทั้งนั้นล่ะค่ะ”
“งั้นเรื่องที่ตอนนี้ น้องเพิร์ลลี่อยู่กับส.เสือ คุณแม่ก็คงไม่อยากรู้สินะคะ”
ถูกวุ้นแหย่รังแตนเข้าแบบนี้ ชม้อยถึงกับลืมตัว หันมาตวาดแว้ด
“อยู่ไหนยะ” วุ้นสะใจแอบยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“ไหนคุณแม่บอกว่าน้องเพิร์ลลี่ไม่สบาย แล้วก็ไม่เกี่ยวอะไรกับส.เสือไงคะ
ชม้อยหน้าเสียที่หลงกล อึกๆ อักๆ ฉุกคิดขึ้น ชี้นิ้วไปด้านหลังนักข่าว “ต๊าย นั่นดาราหนุ่มป.ปลา กำลังควงผู้ชายอยู่นี่”
วุ้นกับบรรดานักข่าวรีบหันไปดูทันที ตามสัญชาติญาณนักข่าว ชม้อยสบโอกาส รีบตบเกียร์ห้าชิ่งหนีทันที พอนักข่าวหันกลับมา เห็นชม้อยวิ่งหนี ก็รีบวิ่งตามทันที เลยเหลือเพียงวุ้นอยู่คนเดียว
“พลิ้วจริงจิ๊ง นี่ถ้ายัยเพิร์ลลี่เชื้อไม่ทิ้งแถวล่ะก็ แกหนักแน่หยีเอ๊ย”
วุ้นมองตามชม้อยแล้วพูดพลางส่ายหน้า

ณนนท์ และยี่หวา ต่างก็ไปรับ ข้าวตู กับไข่ตุ๋น จากโรงเรียนมาที่โรงพยาบาล เพื่อมาเข้าคอร์สปรับพฤติกรรมโดยไม่ยอมบอกเอนิตา และวสันต์ เวลานั้นณนนท์กำลังนั่งรอยี่หวาอยู่ที่บริเวณล็อบบี้ของโรงพยาบาล ไข่ตุ๋นสงสัยหลังจากมองไปรอบๆ ก่อนจะหันมาถามพ่อ
“พ่อไม่สบายเป็นอะไรเหรอคะ ถึงมาหาหมอ”
ณนนท์ยิ้มอ่อนโยนให้ลูกสาว “เปล่าหรอกจ้ะ พ่อสบายดี”
“อ้าว...” ไข่ตุ๋นยิ่งแปลกใจประสาเด็ก
ขณะนั้นเอง ยี่หวาก็เดินจูงข้าวตูเข้ามา พร้อมกับภูมิชาย
“รอนานมั้ยคะ” ยี่หวายิ้มทักทาย
“ไม่หรอกครับ ผมก็เพิ่งถึง” ณนนท์พูดพลางเหล่ทางภูมิชาย
ยี่หวาเห็นสายตาณนนท์ก็รีบชิงพูดขึ้น
“คุณภูมิรู้จักผู้บริหารที่นี่น่ะค่ะ ก็เลยมาขอส่วนลดให้เป็นกรณีพิเศษ”
“ขอบคุณนะครับ” ณนนท์หันไปพูดกับภูมิชาย
“ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็อยากช่วยเด็กๆ เหมือนกัน” ภูมิชายพูดพลางหันไปพูดกับข้าวตู ไข่ตุ๋น “ว่าไงครับ พร้อมกันรึยัง”
“พร้อมอะไรคะ” ไข่ตุ๋นแปลกใจ หันไปมองยี่หวาด้วยความระแวง “แล้วทำไมน้ายี่หวาถึงมาที่นี่ด้วย” จังหวะนั้นไข่ตุ๋นก็เข้าไปกอดพ่อ ด้วยความหวง “จะมาแย่งพ่ออีกเหรอ”
“ลุงนนท์ต่างหากจะมาแย่งคุณแม่” ข้าวตูหันไปพูดกับยี่หวา “กลับบ้านกันเถอะครับคุณแม่ ข้าวตูไม่อยากเจอลุงนนท์”
คำพูดไร้เดียงสานั้น ทำให้ณนนท์ กับยี่หวา ถึงกับหน้าเสีย อึกๆอักๆ ไม่รู้จะทำยังไง
“ทั้งสองคน ฟังลุงนะ ไม่มีใครแย่งคุณพ่อคุณแม่ไปจากพวกหนูได้หรอก เค้าก็ยังรักพวกหนูเหมือนเดิม แต่คุณพ่อคุณแม่เค้ามีความจำเป็นจริงๆ ที่ต้องเลิกกัน”
ภูมิชายหันไปพูดปลอบกับสองเด็กน้อย แต่เหมือนกับไปช่วยกระตุ้น เพราะข้าวตูร้องไห้ลั่น
“ไม่เลิก ไม่เอา ข้าวตูขอโทษ คุณแม่อย่าเลิกกับคุณพ่อเลยนะครับ”
ไข่ตุ๋นเองก็ร้องกรี๊ดลั่น เข้าไปทำร้ายทุบตียี่หวาพัลวัน “ไปนะ ไปๆ อย่ามายุ่งกับพ่อนะ ไป”
ณนนท์รู้สึกตกใจมาก รีบเข้าไปดึงไข่ตุ๋นออกมา ในขณะที่ยี่หวาก็รีบอุ้มข้าวตูขึ้นมาปลอบ เหตุการณ์ยิ่งวุ่นวายกันไปหมด

ภายในห้องอาหารในโรงพยาบาล ภูมิชายกำลังคุยกับณนนท์ ยี่หวา ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ ทำไมพวกคุณถึงไม่อธิบายให้ข้าวตูไข่ตุ๋นเข้าใจก่อนล่ะครับ ว่ากำลังทำอะไรอยู่ แอบพาแกมาแบบเนี้ย ก็เหมือนกับหลอกพวกแกนะครับ” ภูมิชายังสวมบทที่ปรึกษาแสนดีต่อ
“เราก็อยากจะพูดความจริงกับลูกนะคะ แต่วสันต์กับคุณแม่ไข่ตุ๋นเค้าไม่ให้ความร่วมมือเลย แถมยังยุแหย่ลูกอีก เราก็เลยกลัวว่าถ้าพูดความจริงไป แกจะไม่ยอมมาน่ะสิคะ” ยี่หวาพูดอย่างหนักใจ
“แต่การเข้าคอร์สแบบเนี้ย มันสำคัญที่ตัวเด็กนะครับ ถ้าเค้าไม่เปิดใจมันก็ไม่มีประโยชน์” ภูมิชายว่า
“ก็คงจะเป็นอย่างงั้นล่ะครับ จนกว่าสองคนนั่นเค้าจะหยุดยุแยงข้าวตู ไข่ตุ๋น” ณนนท์เออออ
ภูมิชายถอนหายใจ ออกความเห็นด้วยสีหน้าเครียดๆ
“ถ้าอย่างงั้นพวกคุณก็ต้องเลือกแล้วล่ะครับ ว่าจะสู้ต่อโดยไม่สนว่าจะเกิดอะไรขึ้น แล้วค่อยไปแก้ไขเอาที่หลัง หรือว่าจะยอมแพ้แล้วหยุดทุกอย่างลงตรงนี้”
ณนนท์ และยี่หวาฟังแล้วคิดหนัก จะเอาลูกเข้าคอร์สปรับพฤติกรรมก็ไม่สำเร็จ จะดึงดันแต่งงานกันก็ห่วงความรู้สึกของลูกๆ จังหวะนั้นเองภูมิชายกลับมีรอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นที่มุมปาก ทั้งๆ ที่สีหน้ายังคงเรียบเฉย
ครู่ต่อมาภูมิชายกำลังล้างมืออยู่หน้าห้องน้ำ โดยในจังหวะนั้นเองเขากำลังเพ่งมองไปที่เงาของตนเองในกระจก
“อะไรที่ฉันอยากได้ ก็ต้องได้ เธอหนีฉันไม่พ้นหรอกยี่หวา”
ภูมิชายยิ้มอย่างร้ายกาจ พร้อมนึกถึงแผนการบางอย่างที่วางไว้เพื่อชิงยี่หวามาเป็นของตนให้ได้

บรรยากาศสวยสงบริมแม่น้ำแห่งนั้น ณนนท์ กับยี่หวา กำลังคุยกันอยู่ด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
“ผมไม่รู้จะพูดยังไง แต่ถ้าไข่ตุ๋นต้องมีปัญหาเพราะเรื่องของผม ผมคงทำใจไม่ได้” ณนนท์เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเศร้า
“หมายความว่า คุณจะกลับไปดีกับคุณเอนิตาใช่มั้ย”
ยี่หวาถามด้วยสีหน้าขรึม ณนนท์พยักหน้ารับ
“ผมจำเป็นต้องทำเพื่อลูก ลูกเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของผม”
“แม้ว่าจะทำให้ชีวิตที่เหลืออยู่ของคุณ ต้องทุกข์ทรมานอย่างงั้นน่ะเหรอ”
ฟังคำพูดของยี่หวา ณนนท์จึงพูดตอบด้วยความรู้สึกผิดสุดๆ
“ผมขอโทษยี่หวา ผมทำให้คุณเสียใจ แต่...แต่ผมจำเป็นจริงๆ”
ยี่หวานิ่งอยู่ครู่นึง ก่อนจะยิ้มบางๆ ออกมา
“คุณไม่ได้ทำฉันเสียใจหรอก ถ้าคุณเลือกฉันมากกว่าลูกต่างหาก ฉันถึงจะเสียใจ”
ณนนท์มองยี่หวา ด้วยสายตาแปลกใจ นึกไม่ถึง
“ฉันดีใจนะที่ดูคนไม่ผิด” ยี่หวามีสีหน้าขรึมลง “แล้วฉันเองก็ตัดสินใจแบบเดียวกับคุณเหมือนกัน”
ณนนท์สบตายี่หวานิ่ง ทั้งเศร้า รัก และภูมิใจที่คนตรงหน้าเป็นคนดีและรับผิดชอบต่อครอบครัวเหมือนตน
“ผม...ขอกอดคุณเป็นครั้งสุดท้ายได้มั๊ย”
“ค่ะ”
ณนนท์ค่อยๆ ดึงยี่หวามากอดอย่างทะนุถนอม เช่นเดียวกับยี่หวาที่กอดตอบณนนท์ ด้วยความรู้สึกแบบเดียวกัน จังหวะนั้นณนนท์เอ่ยด้วยน้ำตาคลอเบ้า
“ผมรักคุณ...ยี่หวา”
ยี่หวาก็น้ำตาคลอเบ้า “ฉันก็รักคุณค่ะ”
ทั้งคู่ยืนกอดกันเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะจากลากันด้วยความรัก เพื่อไปทำหน้าที่ของตนต่อไป

คืนนั้นเอนิตากำลังเดินหงุดหงิดอยู่ที่โถงภายในบ้าน เพราะณนนท์ไม่กลับมาซะที ยิ่งคิดก็ยิ่งร้อนเป็นไฟ
สักพัก ณนนท์ก็เลี้ยวรถเข้ามาจอด ก่อนที่จะลงจากรถเข้าโถงบ้านมา เอนิตารีบถามด้วยอาการโมโหหึง
“กลับมาได้แล้วเหรอ ไง มีความสุขมากแล้วใช่มั้ย สมใจคุณล่ะสิ”
“เลิกคิดบ้าๆ ได้แล้วน่ะนิตา ผมกับยี่หวาไม่มีอะไรกัน”
เอนิตาไม่เชื่อที่ณนนท์บอกตวาดแว้ดขึ้น
“คาหนังคาเขาขนาดนี้ ยังไม่มีอีกเหรอ หรือต้องให้ฉันเห็น...”
ณนนท์พูดสวนออกมาทันที
“ผมไปบอกเลิกกับเค้ามา คุณชนะแล้ว พอใจรึยัง”
“จริงเหรอนนท์ คุณเลิกกับนังนั่นแล้วเหรอ ฉันดีใจที่สุดเลยค่ะ”
เอนิตานึกไม่ถึง ดีใจมากๆ จะเข้าไปกอด แต่ณนนท์เดินเลี่ยงหนีไปก่อน เอนิตามองตามด้วยความเจ็บใจ แต่พอนึกถึงเรื่องที่กำจัดยี่หวาพ้นทางไปได้ ก็ยิ้มสะใจขึ้นมาทันที

คืนนั้นวสันต์กำลังคุยกับยี่หวาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ในห้องนั่งเล่น ดูเหมือนว่าเขาและเธอจะตกลงกันได้แล้วด้วยดี
“ผมสัญญานะ ว่าผมจะปรับปรุงตัว เป็นพ่อที่ดีของข้าวตูแล้วก็ เป็นสามีที่ดีของคุณด้วย”
“ค่ะ ฉันก็หวังว่าคุณจะทำได้อย่างที่พูดซะที”
ยี่หวาพูดแล้วเดินออกจากห้องนั่งเล่นไป
พอคล้อยหลังยี่หวาที่เดินออกไป วัลลภาที่แอบฟังอยู่ ก็รีบเข้ามาหาวสันต์ทันที ด้วยดีใจมาก
“เก่งมากตาสันต์ ในที่สุดแกก็จับนังยี่หวาเอาไว้จนได้”
“มันแน่อยู่แล้วแม่ ที่แล้วมาผมยังไม่เอาจริงต่างหาก” วสันต์ยิ้มเจ้าเล่ห์
“แล้วเมื่อไหร่แกจะให้นังยี่หวามันขายที่ซะทีล่ะ ฉันจะอดตายอยู่แล้วนะ”
“ใจเย็นๆสิแม่ สเต็ปแรกเพิ่งจะผ่านเองนะ รอทีละขั้นสิครับ ต่อไป ต้องหาทางกันข้าวตูออกไปห่างๆ ขืนปล่อยให้ข้าวตูติดผมแจอย่างงี้ แล้ว เมื่อไหร่ผมจะเผด็จศึกยี่หวาได้ซะทีล่ะ
ฟังวสันต์แก้ตัววัลลภาถึงกับตวาดแว๊ดขึ้น แล้วเอานิ้วจิ้มหัวลูกชาย
“วันๆ หัวแกมีแต่เรื่องพวกนี้รึไง ฉันให้แกกล่อมเมียแกขายที่ ไม่ได้ให้แกปล้ำมัน”
“มันก็ต้องปล้ำก่อนสิแม่ ไม่งั้นจะกล่อมได้เหรอ นั่งคุยกันกับนอนคุย มันไม่เหมือนกันนะครับ”
วัลลภาคิดตาม “ก็จริงแฮะ” คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา “จะยากอะไร้ วันหยุดที่จะถึง ก็ส่งข้าวตูไปหายายมันซะก็สิ้นเรื่อง”
วสันต์ฉุกคิดขึ้นได้ ยิ้มเจ้าเล่ห์ไม่ต่างจากผู้เป็นแม่

ในที่สุดณนนท์ก็ได้ตัดสินใจขับรถพาไข่ตุ๋นมาส่งที่บ้านสวนในตอนเช้า โดยที่เท่ง บุญเลื่องเดินออกมารับ พอรถจอด ไข่ตุ๋นก็รีบวิ่งเข้าไปหาปู่เท่งที่ยืนรอรับอยู่ทันทีด้วยความดีใจสุดๆ
“ปู่เท่งง...”
“ไข่ตุ๋นหลานปู่”
เท่งกางแขนออกจะกอดไข่ตุ๋น เพราะดีใจมาก แต่พอจะกอดจริงๆ ไข่ตุ๋นก็วิ่งเลยไปหาบุญเลื่องซะก่อน ทำเอาเท่งกางแขนเก้อ
ไข่ตุ๋นไหว้บุญเลื่อง “สวัสดีค่ะคุณยาย” พลางเข้าไปกอดบุญเลื่องประจบพร้อมกับอ้อนตมประสา “ไข่ตุ๋นคิดถึงราดหน้าฝีมือคุณยายที่สุดเลยค่ะ คุณยายทำให้ไข่ตุ๋นกินอีกนะคะ”
“ปากหวานนักนะเรา” บุญเลื่องปลื้มใจ หอมแก้มไข่ตุ๋น
“หนอย มันเห็นราดหน้าดีกว่าปู่มันซะแล้ว เลี้ยงได้ดีจริงจิ๊ง ไอ้หลานคนนี้”
เท่งพูดออกมาในอาการเซ็งๆ ขณะที่ณนนท์ลงจากรถหอบข้าวของใช้ของกินที่แวะซื้อที่ซุปเปอร์มาเก็ตมาให้เท่ง
“อย่าน้อยใจไปเลยครับพ่อ ไข่ตุ๋นอยู่ที่บ้าน บ่นถึงพ่อทุกวันจนผมต้องพามาส่งนี่แหละ”
ขณะนั้นเองข้าวตูก็เดินออกมาจากข้างใน ไหว้ณนนท์อย่างนอบน้อม
“ลุงนนท์ สวัสดีครับ”
ณนนท์หน้าเจื่อนไป เพราะหากข้าวตูอยู่ที่นี่ นั่นก็แปลว่ายี่หวาอาจจะอยู่ด้วย

“ยี่หวาเพิ่งกลับไปก่อนคุณมาไม่ถึงห้านาทีนี่เอง ข้าวตูคิดถึงยาย เหมือนไข่ตุ๋นน่ะแหละ เค้าก็เลยพามาส่ง” บุญเลื่องบอกให้ณนนท์รู้ ทันทีที่เขาเข้ามาหาในห้องโถงของบ้าน
“พวกเรารู้เรื่องหมดแล้วนะ แกคิดดีแล้วเหรอเจ้านนท์” เท่งมีท่าทางไม่สบายใจ

“ครับ ยี่หวาเค้าก็คิดตรงกันกับผมเหมือนกัน ไม่แน่นะครับ บางทีเราอาจจะคิดถูก สองคนนั่นเค้าอาจจะกลับตัวได้จริงๆ ก็ได้” ณนนท์ตอบด้วยสีหน้าหน้าจ๋อยๆ
“คงมีวันนั้นหรอก” เท่งบอกพลางถอนใจ “แกโตแล้ว ตัดสินใจอะไรไป พ่อก็ไม่อยากจะยุ่ง แต่แกคิดเหรอ ว่าการเสียสละของแก จะทำให้ลูกมีความสุขจริงๆ” เท่งไม่อยากให้ณนนท์ถอดใจ
“แล้วผมยังมีทางเลือกอีกเหรอครับพ่อ
“มีซิ อย่าคิดว่าเด็กๆเค้าไม่รู้อะไรนะ บางที เค้าเข้าใจอะไรมากกว่าที่เราคิดเยอะ คุณนนท์ลองอธิบายให้ข้าวตู ไข่ตุ๋นฟังรึยังล่ะ” บุญเลื่องแนะทางแทนเท่ง
“มันสายไปแล้วล่ะครับ เมื่อกี๊เห็นมั้ยครับ ว่าข้าวตูไหว้ผม ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ เค้าโกรธผมถึงขนาดไม่ยอมให้ผมจับตัวด้วยซ้ำ แต่พอพ่อแม่คืนดีกันได้ เค้าก็กลับมาเป็นเด็กดีเหมือนเดิม แค่นี้ก็คุ้มแล้วล่ะครับ กับสิ่งที่ผมต้องเสียไป”
เท่ง กับบุญเลื่องฟังแล้วหันมามองหน้ากัน ไม่รู้จะช่วยยังไง ในขณะที่ณนนท์ก็มั่นใจ ว่าตนได้เลือกสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว

เวลาต่อมายาหยีพาข้าวตู และไข่ตุ๋นเดินดูสวนรอบๆ บ้านสวน แล้วก็สอนความรู้เกี่ยวกับต้นไม้ ดอกไม้ไปด้วย โดยมีสุดยอดเดินตามมา
ยาหยีถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“เอ้าเด็กๆ มีใครบอกได้บ้างคะ ว่าดอกไม้ดอกนี้คือดอกอะไร”
พลางชี้ไปที่กระถางใส่ดอกกุหลาบ ไข่ตุ๋นรีบยกมือขึ้นตอบ
“ดอกกุหลาบค่ะ
ยาหยียิ้มแย้มแจ่มใส “เก่งมาก แล้วรู้มั๊ย ว่าดอกกุหลาบเค้าใช้แทนความหมายถึงอะไร”
ข้าวตูยกมือขึ้นขอตอบ “รู้ครับ ข้าวตูเคยดูทีวี เค้าบอกว่าใช้แทนความรักครับ”
“ถูกต้อง” สุดยอดพูดแล้วเดินไปหยิบกระถางดอกกุหลาบขึ้นมา
“แล้วถ้าเราให้ดอกกุหลาบกับใครก็หมายถึงว่าเราส่งความรักไปให้คนๆ นั้น”
ว่าแล้วสุดยอดก็ยื่นกระถางดอกกุหลาบให้ยาหยี แล้วส่งสายตากรุ้มกริ่ม ยาหยีปั้นหน้ายิ้ม รับกระถางมา
“แล้วรู้มั้ยคะ ว่าดอกกุหลาบ ยังใช้ประโยชน์ได้อีกอย่างหนึ่ง”
“อะไรคะน้าหยี” ไข่ตุ๋นถาม
“ก็เอาไว้ตีหัว ไอ้พวกชอบส่งความรักพร่ำเพรื่อเจ้าชู้น่ะสิคะ”
ยาหยีแกล้งสุดยอดด้วยการยกกระถางพร้อมทำท่าจะทุ่มใส่
“เฮ้ยๆ อย่าๆๆ”
สุดยอดผงะหนีอย่างตกใจ และไม่ทันระวังจนไปชนกับคนๆ หนึ่งเข้า พอหันกลับไปมองก็ยิ่งตกใจ เพราะคนที่ชนคือเพิร์ลลี่นั่นเอง
“พี่สุดยอด” เพิร์ลลี่ออกอาการระรื่นดีใจมากๆ โผเข้ากอดสุดยอดทันที
“นึกแล้วว่าพี่ต้องอยู่ที่นี่ เพิร์ลลี่ดีใจที่สุดเลย พี่สุดยอดขา”
สุดยอดหน้าเสียทำท่าอึกๆ อักๆ เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าเพิร์ลลี่มาได้ไง ในขณะที่ยาหยีหน้าตาบึ้งตึง ด้วยความโมโหหึง

ก่อนที่ยาหยีจะโยนกระถางกุหลาบทิ้งแล้วเดินหนีไป ปล่อยให้พวกเด็กๆ มองตามด้วยความงงๆ

จบตอน
โปรดติดตามตอนต่อไป วันพรุ่งนี้
พุธที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554









กำลังโหลดความคิดเห็น