ในรอยรัก
ตอนที่ 1
บนเครื่องบินขนาดใหญ่ในชั้นบิสิเนสคลาส มีผู้โดยสารที่ส่วนใหญ่เป็นฝรั่งเกือบเต็มทุกที่นั่ง แอร์โฮสเตสเดินตรวจดูการรัดเข็มขัดนิรภัยของผู้โดยสาร แต่ผู้โดยสารดูหงุดหงิด บ้างก็ยกข้อมือดูนาฬิกา ผู้โดยสารหญิงไทยดูผู้ดี วัยกลางคนเอ่ยถามขึ้นกับแอร์โฮสเตสแบบหมดความอดทน
“นี่ผู้โดยสารคนสุดท้ายของคุณยังไม่มาอีกเหรอคะ คนทั้งลำต้องมาคอยคน ๆ เดียวเนี่ยนะ แย่จริงๆ เลย”
แอร์โฮสเตสยิ้มสวยพลางตอบอย่างใจเย็น
“มาถึงประตูเครื่องแล้วค่ะ ต้องขออภัยในความล่าช้าค่ะ”
กานนซึ่งมีหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษบังหน้า ลดหนังสือพิมพ์ที่อ่านอยู่ลงเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบตามองที่นั่งติดกันริมหน้าต่างซึ่งยังว่างอยู่ ขณะที่ผู้โดยสารหญิงไทยยังบ่นไม่เลิก
“ดีเลย์ไปเท่าไรแล้วเนี่ย จะถึงกรุงเทพฯกี่โมงคะ”
กานนละสายตากลับมาที่หนังสือพิมพ์อย่างไม่ใส่ใจนัก เจ้าหน้าที่สายการบินถือวิทยุสื่อสาร เดินนำม่านมัสลิน หรือ มัสลิน เข้ามาส่งต่อให้แอร์โฮสเตส
“Enjoy the flight Madam.”
เจ้าหน้าที่พูดกับมัสลินก่อนจะส่งบัตรที่นั่งให้แอร์โฮสเตส ผู้โดยสารหญิงไทยที่บ่นไม่เลิกมองมัสลินอย่างระอา พลางส่ายหน้า แอร์โฮสเตสก้าวนำพามัสลินไปตรงแถวที่นั่งของกานน
“เชิญทางนี้ค่ะ”
มัสลินซึ่งสวมแว่นดำ ก้าวมาหยุดรอให้กานนขยับ แต่สายตาของกานนยังอยู่ที่หนังสือพิมพ์ จึงไม่ได้สังเกตเห็น แอร์โฮสเตสค้อมตัวลงเอ่ยกับกานนอย่างสุภาพ
“ขอประทานโทษนะคะ “
กานนละสายตาขึ้นมองแอร์โฮสเตสและมัสลินตามลำดับ ก่อนจะมีอาการตกใจเล็กน้อยและรีบลุกขึ้น
“I’m sorry.”
มัสลินเอ่ยขึ้นเรียบๆ ด้วยภาษาไทย
“ไม่เป็นไรค่ะ”
กานนประหลาดใจ ปราดสายตาตามมัสลินที่ขยับเข้าไปนั่งตรงที่นั่งด้านใน ไม่คิดว่ามัสลินจะเป็นคนไทย
ผ่านเวลาไป.... เครื่องบินแล่นอยู่บนรันเวย์ มัสลินยังคงสวมแว่นดำ ศีรษะอิงอยู่กับพนัก แบบไม่ใส่ใจสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น มีเสียงแอร์โฮสเตสประกาศต้อนรับผู้โดยสาร
“...ซึ่งจะเดินทางไปกรุงเทพมหานคร โดยจะใช้เวลาบิน17ชั่วโมงโดยประมาณ กรุณาศึกษาคู่มือความปลอดภัยซึ่งอยู่ในกระเป๋าหน้าที่นั่งด้านหน้าของท่าน เพื่อความปลอดภัยของท่าน...”
กานนเก็บหนังสือพิมพ์ลงเสียบกระเป๋าหน้าที่นั่ง ชายหนุ่มขยับท่านั่งให้สบายตัว สายตาเผลอเหลือบมองมัสลิน..มัสลินยังคงนิ่งอยู่ในท่าเดิม เหมือนอยู่คนเดียวบนเครื่องบิน กานนมีแววสงสัยนิด ๆ แต่ก็ละสายตาจากมัสลินอย่างรักษามารยาท
มัสลินยังนั่งนิ่งดูเหม่อลอย จิตใจจดจ่ออยู่ที่เมืองไทย เสียงจิรดา ผู้เป็นแม่ดังก้องกังวานในความคิดมัสลิน
“หูแตกรึยังไง ฉันบอกว่าให้รีบกลับมาเมืองไทย”
มัสลินหลับตาลง เสียงจิรดายังดังอยู่ในความคิด
“รึอยากจะมาไม่ทันเผาพ่อแกก็ตามใจ!”
มัสลินน้ำตาร่วงจากกรอบแว่น เมื่อนึกย้อนไปเมื่อ 6 ปีก่อน
“เอ้าๆ ขนใส่ซะเยอะแยะอย่างนั้นเดี๋ยวมันได้ตายก่อนพอดีลูก หึๆ”
ภาษิต ผู้เป็นพ่อซึ่งกำลังหอบถุงต้นกล้าเล็กๆ ส่งเสียงแซวมัสลินที่กำลังใส่ปุ๋ยกอบัว มัสลินในวัย18 หยุดมือที่กำลังหย่อนก้อนปุ๋ยลงบ่อบัว หันมายิ้มให้ภาษิต
“มันจะได้รอดซะทีไงคะ อืม..ว่าแต่ปุ๋ยนี่ช่วยได้จริง ๆเหรอคะพ่อ รอบที่แล้วมัสก็ใส่ ...แต่บัวก็ซี้แหงแก๋อยู่ดี เอ๊ะ รึว่ามือมัสจะปลูกต้นไม้ไม่ขึ้น”
“หืมพูดซะเหมือนคนแก่เลย ตายอีกก็ปลูกอีก แค่นั้นแหละ”
ภาษิตวางต้นกล้าลง ก้าวไปโยกหัวมัสลินอย่างแสนรัก
“แต่ปีนี้เราลงบัวไปกี่ครั้งแล้วเนี่ย... นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นต้นไม้ที่พ่อชอบนะมัสถอดใจไปนานแล้ว เอ๊ะ มือพ่อเปื้อนนี่” มัสลินบอกเมื่อเหลือบมองมือพ่อบนหัว ภาษิตหงายมือดู
“เออ จริงด้วยแฮะ งั้นเอาอีกที....ฮ่ะๆๆ” ภาษิตจับหัวมัสลินโยก
“ว้ายพ่ออ่ะ ใจร้าย”
มัสลินโยกหัวหนี สองพ่อลูกหัวเราะกันอย่างสนุก จังหวะนั้นจิรดาซึ่งมีสีหน้าชิงชังก้าวฉับ ๆเข้าไปกระชากต้นบัวมาเขวี้ยงลงพื้น มัสลินหันมาเจอก็ตะลึงงัน
“ทำไมทำอย่างนั้นล่ะคะแม่ มัสกับพ่อเพิ่งจะปลูก”
ภาษิตหันมาเจอเข้าอีกคนก็โกรธมาก
“จิรดา! นี่คุณทำบ้าอะไรของคุณเนี่ย” จิรดาจ้องเขม็งที่ภาษิต พลางกระชากบัวขึ้นจากบ่ออีก ภาษิตเข้าไปคว้าข้อมือจิรดาให้หยุด “หยุดนะจิรดา! คุณก็ไม่มีสิทธิ์มาทำลายของลูกแบบนี้นะ ขอโทษลูก!”
“ฉันเกลียดดอกบัวที่สุดคุณก็รู้”
ภาษิตฟังแล้วโต้ตอบอย่างแสนระอา
“ไม่เฉพาะดอกบัวหรอก คุณเกลียดดอกไม้ทุกอย่าง!”
“แล้วมันแปลกด้วยเหรอ ฉันไม่ใช่นางเอก ที่ต้องทำดัดจริตชอบดอกโน่นดอกนี่เหมือนนังนั่น”ภาษิตสีหน้าเข้มขึ้นในทันที มัสลินฟังพ่อกับแม่เถียงกันอย่างชาชิน “อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าทำไมคุณถึงอยากปลูกไอ้ดอกบัวดอกสวรรค์นี่นัก”
ภาษิตเพ่งสายตาเข้มใส่จิรดา
“พอได้แล้วจิรดา”
“แล้วไม่แปลกใจบ้างเหรอว่าทำไมบัวกี่ต้น ๆที่คุณเพียรปลูกไว้น่ะ มันถึงไม่เคยรอด เฮอะๆๆ”
จิรดาหัวเราะหยันสะใจ ภาษิตฟังแล้วเผลอส่ายหน้าอย่างแสนระอา ที่จิรดาราวีไม่เว้นแม้กระทั่งต้นไม้ จิรดาหันขวับใส่มัสลิน
“แกก็เหมือนกัน ถ้าจะบ้าไอ้ต้นนี่ตามพ่อแกก็เชิญไสหัวไปขุดบ่อปลูกที่อื่น ที่นี่บ้านฉัน ฉันไม่อนุญาตให้ใครปลูกอะไรได้ตามอำเภอใจ!”
จิรดาขยี้เท้าที่บัวบนพื้น ก่อนจะก้าวฉับออกไป ภาษิตเสียงเกรี้ยวกราด
“หยุดเดี๋ยวนี้นะจิรดา กลับมาขอโทษลูก จิรดา! ผมบอกให้คุณกลับมา!จิรดา!”
จิรดาไม่สนภาษิต ภาษิตก้าวตามไป มัสลินลดตัวลงจับบัวบนพื้นขึ้นมาอย่างเสียดาย สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ พัด สาวใช้ที่แอบฟังอยู่นาน พอได้จังหวะปลอดจากจิรดาก็รีบเข้ามาหามัสลิน
“คุณมัส!”
“แม่ไล่มัสอีกแล้วน้าพัด”
มัสลินรำพึงโดยสายตายังจับจ้องอยู่ที่บัวในมือ พัดโอบไหล่มัสลินที่เธอเลี้ยงมากับมือด้วยความเวทนา
“คุณมัสอย่าไปฟังค่ะ...ไม่เอานะคะ”
ใบหน้ามัสลินเต็มไปด้วยคำถาม ดวงตาเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา
เสียงกานนในเวลาปัจจุบันดังเข้ามา
“คุณครับ...”
มัสลินสะดุ้งเล็กน้อยและหันเงอะงะตามเสียงเรียกของกานน
“คุณครับ...”
“คะ!”
กานนส่งถาดอาหารค้างอยู่ และพยักหน้าเป็นเชิงถาม มัสลินใช้สองมือรับถาดนั้นมาเบลอ ๆ กานนยิ้มบาง ๆ รอรับคำขอบคุณ แต่แล้วพอมัสลินวางถาดนั้นลงเสร็จก็แล้วทิ้งศีรษะลงบนพนัก เบือนหน้าออกนอกหน้าต่างไปเงียบ ๆ กานนสีหน้าเก้อ ๆ ไป
+ + + + + + + + + + + +
เมืองไทย ที่เมรุเผาศพ ในวัดแห่งหนึ่ง
ดอกไม้จันทน์ในมือจิรดาที่ส่งให้แขกนำไปวางหน้าเตาเผาศพ จิรดายื่นดอกไม้ให้แขกก็จริง แต่สายตากลับมองเหม่อ เหมือนไร้วิญญาณ ...มือขาวสวยประดับด้วยแหวนเพชรยื่นรับดอกไม้จากจิรดา จิรดาเหมือนสังหรณ์ใจอะไรบางอย่าง หันขวับตามหลังแขกที่เพิ่งรับดอกไม้นั้น
“ใครเชิญเธอไม่ทราบ!”
จิรดาถามเสียงห้วนอย่างไม่พอใจ เมื่อเห็นบัวบงกช อดีตดาราหนังชื่อดัง ซึ่งเป็นคนรักเก่าของภาษิต...บัวบงกชหันมาค้อมหัวให้จิรดา
“ให้ฉันได้ลาภาษิตเป็นครั้งสุดท้ายเถอะนะคะ”
“ลางั้นเหรอ ...ทำไมไม่ตายไปซะด้วยกันเลยล่ะ”
พลันจิรดาขยุ้มดอกไม้จันทน์ใส่หน้าบัวบงกช
“ออกไป๊!” บัวบงกชเอามือปัดป้อง แต่ไม่หนี “ไม่ไปเหรอ ไม่ไปใช่มั้ย”
จิรดาเตรียมจะเขวี้ยงพานในมือ พัดวิ่งเข้ามาจับจิรดาไว้
“คุณดา! ไม่เอาค่ะ ...จวนได้เวลาแล้วนะคะ” จิรดาดิ้นพล่าน
“อยากได้ผัวฉันจนนาทีสุดท้ายเลยใช่มั้ย ปล่อยฉันนังพัด ฉันจะส่งมันเข้าเตาเผาไปด้วยกัน”
พัดกระชับมือแน่นเกือบกลายเป็นจิกจนจิรดาเจ็บ และพูดรอดไรฟันดุ ๆ ราวกับไม่ใช่คนใช้กำลังพูดกับนาย
“คุณดาคะ! แขกตกใจใหญ่แล้วไม่เห็นเหรอคะ”
แขกเหรื่อหลบไปอยู่แถบเดียวกัน ทุกคนมองมาที่จิรดาอึ้ง ๆ จิรดาสงบลง สะบัดมือพัดออก
“ฉันกลับมาอย่าให้เห็นหน้านังนี่อีก”
จิรดาว่าแล้วก้าวลงบันไดเมรุไป พัดมีสีหน้าว้าวุ่น บ่นกับตัวเอง
“แล้วยังไงล่ะ จะให้ไล่เค้าเหรอ” ระหว่างที่พัดเกาหัวแกรก บัวบงกชก้าวฉับลงจากเมรุตามหลังจิรดาไป “อ้าวเฮ้ย คุณ!”
บัวบงกชก้าวตามไปจับแขนจิรดาไว้
“หนูมัสลินล่ะ”
จิรดาหันขวับ พอเห็นว่าเป็นบัวบงกชก็หน้าแดงก่ำขึ้นมาอีก
“นี่เธอคิดว่าฉันไม่กล้าทำอะไรเธอใช่มั้ย”
“ฉันแค่อยากเจอหน้าหนูมัสลิน เค้าต้องกลับมางานพ่อเค้าสิ ใช่มั้ยคะ แล้วเค้าอยู่ไหน”
จิรดาจ้องหน้าบัวบงกชอย่างค้นหาเรื่องราวบางอย่าง
“ทำไมฉันต้องตอบเธอด้วย แล้วมันธุระอะไรของเธอถึงต้องอยากเจอมัสลิน” จิรดาถามดักและรอฟังคำตอบ บัวบงกชอึกอัก “นอกซะจากว่ามันเป็นลูกในไส้ที่เธอไข่เรี่ยราดให้ผัวฉันเลี้ยง!” บัวบงกชนิ่งงัน
“ไม่ตอบ? งั้นฉันจะคิดว่าเธอกับมัสลิน...”
เสียงกริ่งสัญญาณได้เวลาเผาศพดังขึ้นกลบเสียงจิรดา
ขณะนั้นที่ลานจอดรถของวัดมัสลินพรวดพราดลงจากรถแท็กซี่ หันรีหันขวาง วิ่งไปตามศาลาสวดอธิธรรมต่าง ๆ
“พ่อคะ...”
มัสลินปราดมาหยุดที่หน้ารูปผู้ตายรูปหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่รูปภาษิต สีหน้ามัสลินแสนว้าวุ่น สับสน
ญาติของผู้ตายเข้ามาต้อนรับมัสลิน แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรมัสลินก็ผลุนผลันออกจากศาลานั้นไป
...อีกด้านหนึ่งบัวบงกชเดินจ้ำเท้า ก้มหน้าก้มตาร้องไห้ตรงมา ชนเข้ากับมัสลินที่พรวดพราดออกจากศาลา มัสลินล้มลงกับพื้น บัวบงกชตกใจมาก รีบเข้าไปประคองมัสลิน
“ขอโทษค่ะ!”
ทันทีที่เห็นหน้ามัสลิน บัวบงกชตะลึงงัน มัสลินเงยหน้าสบตากับบัวบงกช บัวบงกชเอ่ยออกมาจนแทบจะเป็นรำพึง
“หนูมัสใช่มั้ยจ๊ะ”
มัสลินพิศมองใบหน้าบัวบงกชอย่างมีหวัง คิดกันคนละเรื่องกับบัวบงกช
“คุณมางานพ่อดิฉันใช่มั้ย” มัสลินว่าพลางพยุงตัวขึ้น “พ่ออยู่ที่ไหนคะ” บัวบงกชอึกอัก เหลือบไปทางเมรุเผาศพ มัสลินมองตามไป “ไม่นะ...”
มัสลินวิ่งไปทันที บัวบงกชมองตาม น้ำตาร่วง
“หนูมัสลิน”
มัสลินก้าวช้า ๆ ขยับขาแทบไม่ออก นัยน์ตาแห้งผากมองค้างขึ้นไปที่ปล่องไฟเหนือเมรุ มัสลิน เห็นควันไฟที่พวยพุ่งจากปล่อง มัสลินรำพึงแผ่วเบา แทบไม่มีเสียง
“พ่อ...”
พัดกับแป้น สาวใช้อีกคนของจิรดาเห็นมัสลินก็รีบเข้าไปหา
“คุณมัส”
มัสลินหันมาคว้ามือพัด
“ไม่ใช่พ่อใช่มั้ย น้าพัด? ..แป้น?”
แป้นปาดน้ำตาป้อย มัสลินสะบัดมือออกวิ่งขึ้นบันได พัดรวบร่างมัสลินไว้ แป้นเข้าช่วยอีกแรง
“คุณมัสขึ้นไปตอนนี้ไม่ได้นะคะ”
“อย่าไปนะคะคุณมัส”
“ปล่อย ฉันบอกให้ปล่อย”
จิรดาเข้ามาหยุดยืนมองมัสลินด้วยสายตาเย็นชา
“ปล่อยมัน ให้มันขึ้นไป”
มัสลินสงบลงทันที และหันหาจิรดาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“พ่ออยู่ในนั้นจริง ๆเหรอคะ ...ทำไมแม่ไม่คอยมัส” มัสลินปราดเข้าคว้าแขนจิรดาเขย่า “ทำไมไม่ให้มัสเห็นหน้าพ่อ มัสยังไม่ได้เจอพ่อเลย ...แม่... ทำไมคะ”
จิรดามีแววสะเทือนใจอยู่แว่บหนึ่ง แต่แล้วพลันสูดหายใจลึก พูดกับมัสลินอย่างเยียบเย็น
“มันเป็นความผิดของแกเอง ฉันบอกแล้วว่าให้บินมาเลย ...ช่วยไม่ได้รอเก็บกระดูกพ่อแกพรุ่งนี้ก็แล้วกัน!”
จิรดาแกะมือมัสลินออกและเดินออกไป สวนกับคุณม่านมุก มัสลินยืนงงงัน น้ำตาร่วงพรู ร้องไห้อย่างหมดอาลัย คุณม่านมุกเข้ามาโอบไหล่มัสลิน พอมัสลินเห็นว่าเป็นคุณม่านมุกก็ร้องไห้โฮออกมา
“มัสมาไม่ทันเจอพ่อค่ะยาย ...มัสมาไม่ทัน...”
“ไม่เป็นไรลูกไม่เป็นไร พ่อเค้ารู้ว่าหนูมา หนูทำดีที่สุดแล้วนะลูกนะ”
มัสลินร้องไห้ ใบหน้าที่นองด้วยน้ำตาเหลียวขึ้นที่ปล่องไฟอีกครั้ง มัสลินเห็นควันไฟลอยจากปล่องไฟสูงขึ้น และกระจายจางหายไป
วันต่อมาที่อาคารรัตนรัช กานนกำลังสั่งงานเลขาฯ ที่ยืนรับคำสั่ง
“แฟ้มทั้งหมดของภูเก็ตคุณส่งต่อให้ฝ่ายประเมินได้เลย ส่วนปากช่องบอกเค้าว่าผมจะพิจารณาซ้ำอีกที”
เลขาฯ รับคำสั่ง และยกแฟ้มอีกตั้งหนึ่งขึ้น ทำท่าจะออกไป กานนละสายตาจากคอมพิวเตอร์ส่งเสียงเรียกไว้ขรึม ๆ
“ผมยังไม่เห็นตั๋วเครื่องบินซิดนีย์เลยนะ”
“ยังไม่ได้ออกตั๋วค่ะ คือแนนรอพาสปอร์ตจากคุณกานนน่ะค่ะ” เลขาฯ บอกอย่างเกรงๆ “เห็นคุณกานนบอกว่าจะต่ออายุวีซ่าให้เรียบร้อยก่อน”
“อ้าว...งั้นเหรอ สงสัยผมคงลืม”
กานนเปิดลิ้นชัก หยิบเอาพาสปอร์ตมากรีดดู พลันหางบัตรที่นั่งเที่ยวบินหนึ่งร่วงลงมา กานนหยิบขึ้นดูแล้วพึมพำออกมาเบาๆ
“นิวยอร์ค...แบงก์คอก...”
กานนมองดูหางบัตรที่นั่งนั้นด้วยแววตามีความสุขเมื่อนึกถึงมัสลิน เลขาฯ ที่หยุดรออยู่ เอ่ยขึ้น
“ไม่ทราบว่าคุณกานนจะให้แนนรับพาสปอร์ตไปเลยมั้ยคะ”
สีหน้าแววตากานนที่ปนยิ้มหายวับในทันที ก่อนจะเอ่ยเสียงขรึมกับเลขาฯ อีกเช่นเดิม
“ยังไม่ต้อง” ชายหนุ่มบอกเลขาฯ แล้วเหลือบมองหางบัตรที่นั่งนั้นอีกครั้ง พลางหวนนึกถึงมัสลิน...
กานนเคาะหางบัตรนั้นเบา ๆ ขณะมองออกไปไกลที่นอกหน้าต่าง ครุ่นคิดถึงมัสลินหญิงสาวแปลกหน้า แต่พอหมุนเก้าอี้กลับมาก็ต้องตกใจ
“เดียร์!”
มธุรินที่ดูสวยน่ารัก นั่งตาแป๋วอยู่ตรงหน้ากานน
“ตกใจอะไรขนาดนั้นคะกานน เดียร์ก็อยู่ตรงนี้มาสักพักแล้ว”
กานนยิ้มสุภาพให้มธุริน
“แล้วทำไมไม่เรียกผมล่ะครับ”
“ทั้งเดียร์ทั้งเลขาฯ คุณเลยละค่ะ แทบจะประสานเสียง แต่เรียกยังไงกานนก็ไม่สน”
“ผมคงไม่ได้ยิน”
“ก็แน่ละค่ะ ตาลอยซะขนาดนั้น ...คิดถึงใครอยู่เหรอคะ”
กานนไม่ตอบแต่มองหางบัตรในมือแล้ววางลงในลิ้นชักที่เปิดค้างอยู่ ก่อนจะสิ่งยิมอ่อนโยนให้มธุริน
“เดียร์มาธุระแถวนี้เหรอครับ”
มธุรินสั่นหัว
“ตั้งใจมาหากานนเลยละค่ะ” มธุรินหน้าม่อยลง “...คุณพ่อคุณแม่เดียร์ทะเลาะกันอีกแล้ว”
กานนฟังแล้วทำหน้าประหลาดใจ “ถึงขั้นทะเลาะกันเลยเหรอครับ”
“อ๋อเปล่าหรอกค่ะ เดียร์ใช้คำผิดไป ...ก็เหมือนๆ เคยน่ะละค่ะ ไม่ทะเลาะกันโครมๆ แต่ก็เหมือนมีอะไรกรุ่นๆ พร้อมระเบิด ...เดียร์อึดอัดจังค่ะ”
กานนวางมือบนหลังมือมธุรินอย่างปลอบโยน มธุรินยิ้มรับ “ผมว่าคุณว่างเกินไปแล้วละ”
มธุรินหุบยิ้มทันที “หาว่าเดียร์ฟุ้งซ่านอีกละสิ เดียร์ไปดีกว่า”
ว่าพลางมธุรินคว้ากระเป๋าสะพายลุกขึ้นทันที กานนหัวเราะ
“เดี๋ยวสิครับเดียร์ ผมไม่ได้ว่าคุณอย่างนั้นซะหน่อย ผมขอโทษก็ได้เอ้า”
มธุรินหันกลับมายิ้มแต้ให้กานน
“ล้อเล่นค่ะ เดียร์จะโกรธท่านประธานที่อุตส่าห์เสียเวลามาปลอบเด็กเมื่อวานซืนอย่างเดียร์ได้ยังไงกันคะ ขอบคุณนะคะที่หวังดีกับเดียร์”
“รอผมอีกไม่เกินชั่วโมง แล้วผมจะพาไปทานกลางวัน”
“เห็นทีเด็กเมื่อวานซืนจะต้องเชิดใส่ท่านประธานซะแล้วละค่ะ เดียร์นัดยัยกิ๊บไว้ค่ะ”
“กิ๊บ?” กานนทำหน้าแปลกใจ
“ค่ะ ยัยกิ๊บแฟนเก่าคุณกุเทพไงคะ”
“เค้าไม่ได้อยู่อเมริกาหรอกเหรอครับ”
“ก็เพิ่งตามคุณกุเทพกลับมานั่นละค่ะ”
สีหน้ากานนมีแววกังวลขึ้นมาในทันที
+ + + + + + + + + + + + +
พินสุดา หรือ กิ๊บ หันขวับหามธุรินขณะที่ทั้งสองกำลังเดินเลือกเสื้อผ้า
“อะไรนะเดียร์ แกบอกอาปลิวว่าฉันกลับมาแล้วเนี่ยนะ?”
“ฮื่อ ทำไมเหรอ”
“ทำไมงั้นเหรอ ถามได้!อาปลิวจะได้บอกกุ แล้วกุก็ไหวตัวทันน่ะสิ” มธุรินทำหน้างง เพราะไม่ได้คิดสลับซับซ้อนขนาดนั้น พินสุดาส่ายหน้าหน่าย
“ใสซื่ออย่างนี้น่ะซี้อาปลิวเค้าถึงไม่คบแกเป็นจริงเป็นจังสักที”
มธุรินสะดุดกึก มองหน้าพินสุดา
“ฉันไม่ชอบเลยนะที่แกพูดอย่างนี้”
พินสุดารีบตีหน้ายิ้ม
“ที่พูดน่ะเพราะเป็นห่วงหรอก”
“ห่วงตัวแกก่อนเหอะ ฉันไม่เห็นด้วยเลยนะที่แกจะตามจิกคุณกุเค้าเรื่องรุ่นน้องนางแบบอะไรนั่นน่ะ”
พินสุดาฟังแล้วสะดุดกึก สีหน้ากลายเป็นเคียดแค้น
“...อีมัสลิน”
มธุรินได้ยินแล้วทอดถอนใจห่วงเพื่อน
“แกกับคุณกุเลิกกันแล้วนะกิ๊บ เค้าจะคบใครก็ช่างเค้าเหอะ ไหนแกเคยบอกไม่ใช่เหรอว่าแฟนน่ะเลิกแล้วก็หาใหม่ได้”
“ใครบอกแกว่ากุเป็นแฟนฉัน”
“อ้าว...”
“ฉันกับกุอยู่ด้วยกันที่โน่นมากี่ปีแล้ว อย่างกุน่ะฉันเรียกว่าสามี!”
มธุรินฟังแล้วผงะไป พินสุดามีสีหน้าเคียดแค้นมากยิ่งขึ้น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
รถลีมูซีนคันหรูแล่นเข้ามาเทียบจอดหน้าโรงแรม พนักงานเปิดประตูหลังและผายมือให้กุเทพ ที่ประตูล็อบบี้ ...กุเทพที่ดูดีมากๆ สวมแว่นดำ หันมองซ้ายขวาแบบระแวดระวัง ตรงไปที่ลีมูซีน ทันใดนั้นเองมีรถเก๋งคันหรูแล่นเข้ามาจอดเทียบใกล้ๆ กุเทพ กุเทพหันมองอย่างประหลาดใจ
“อาปลิว...” กระจกที่นั่งหลังของรถเก๋งนั้นค่อยๆ เคลื่อนลงอย่างช้าๆ เผยให้เห็นกานน
“เออ ฉันเอง”
กุเทพยิ้มรื่น ตรงไปหากานน คนขับรถกานนลงมาเปิดประตูที่นั่งหลังอีกด้าน
“อาผมนี่ตาทิพย์จริงๆ รู้ได้ไงครับว่าผมอยู่ที่นี่”
“เพ้อเจ้อ ..ขึ้นรถ”
“เห็นทีจะไม่ได้หรอกครับ ผมกำลังจะไปธุระด่วน เสร็จธุระแล้วผมจะรีบไปหาอาเลย”
“แล้วไปรถลีมูซีนกับไปรถฉันมันต่างกันตรงไหน”
“อืม นั่นน่ะสิฮะ แต่ผมจะแน่ใจได้ไงว่าอาจะไม่บอกคุณย่าว่าผมกลับมา”
กานนมองด้วยสายตาดุๆ
“จะขึ้นรถมั้ย ถ้าไม่ขึ้นฉันจะโทรบอกคุณย่าแกเดี๋ยวนี้ละ”
“เฮ้ๆๆ อย่านะครับอา ไปแล้ว ๆ”
กุเทพก้าวเร็ว ๆอ้อมไปขึ้นทางด้านที่เปิดประตูค้าง
+ + + + + + + + + + + +
กุเทพยอมขึ้นรถไปกับกานน ส่วนที่ร้านเสื้อพินสุดากับมธุรินยังนั่งคุยกันเรื่องมัสลิน
“นังมัสลินอีนางแบบโลว์คลาสน่ะมันเหนือเมฆ ตอนมันย้ายมาเรียนยูเดียวกับกุ มันทำเป็นเชิดใส่ไม่สนใจใคร”
“ก็ดีแล้วนี่”
“สุดท้ายมันก็ฉกกุไปเนียนๆ เนี่ยนะดี กุเลิกกับฉันก็เพราะมัน”
“ทำไมแกไม่คิดบ้างว่าที่คุณกุเค้าเลิกกะแกน่ะมันอาจจะมาจากสาเหตุอื่น”
พินสุดาตอบทันควัน
“ไม่คิด แล้วก็ไม่อยากได้ยินแกพูดอย่างนี้อีกด้วย ฉันบอกแล้วไงว่าฉันกับกุอยู่กันมาดี ๆ ..มีปัญหากันบ้างแต่ก็ไม่เคยถึงกับต้องแยกกัน แต่พอมีนังมัสลินเข้ามา กุบอกเลิกฉันวันเว้นวัน” มธุรินฟังพินสุดานิ่ง รู้ดีว่าพูดไปก็เปล่าประโยชน์ “ต่อให้ใคร ๆจะคิดว่ากุเลิกกับฉันแล้วก็ช่าง ฉันไม่สน เพราะฉันยังไม่เลิก!” มธุรินฟังพินสุดาอย่างแสนห่วงเพื่อนที่เป็นเอามาก “นังมัสลินมันคงคิดว่าบินมาเสวยสุขกับกุที่เมืองไทยแล้วจะหนีฉันพ้นละมั้ง ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก...แกต้องช่วยฉันนะ”
พินสุดาหันขวับมาทางมธุริน มธุรินถึงกับสะดุ้ง
“ห..ห๊ะ? ฉันเนี่ยนะ โอโนๆๆๆๆ มัสลินอะไรนั่นเป็นใครหน้าตายังไงฉันยังไม่รู้เลย ไม่เอาด้วยหรอก”
มธุรินปฏิเสธโดยไม่รู้เลยว่าที่กำลังพูดถึงคือพี่สาวในสายเลือด
++++++++++++++++++++++ + + + + + + + + + + +
ที่บ้านมัสลิน
มัสลินตาช้ำแดงขณะวางดอกบัวหน้ารูปภาษิตตรงหัวเตียง เธอไล้นิ้วที่ใบหน้าภาษิตในรูป น้ำตาร่วงริน
“แล้วมัสจะอยู่ยังไง... พ่อบอกมัสหน่อยสิคะ... พ่อ...”
มัสลินซบหน้าลงกับท่อนแขนตัวเอง ร้องไห้สะอึกสะอื้น จังหวะนั้นมีเสียงเคาะประตูปังดังขึ้นต่อเนื่องมัสลินลุกขึ้น ปาดน้ำตาลวกๆ ก่อนจะเดินไปเปิดประตู แล้วต้องผงะ
“พวกคุณเป็นใคร”
ชายฉกรรจ์ 2 คนยืนอยู่ตรงหน้ามัสลิน มัสลินเหลือบเห็นจิรดาที่มีกลิ่นเหล้าคลุ้งเดินตามเข้ามา
“แม่คะ!” มัสลินปราดเข้าไปหาจิรดา และดึงให้ออกห่างชาย 2 คนอย่างหวาดๆ
“แกจะมากลัวอะไรพวกเค้า ปล่อยฉ้าน!” จิรดาสะบัดจากมัสลิน แล้วชี้สะเปะสะปะเข้าไปในห้องมัสลิน “เฟอร์นิเจอร์พวกนั้นน่านละไม้สักทั้งนั้น อยากได้อะไรยกไป!”
ชาย 2 คนตรงเข้าในห้องมัสลิน มัสลินตะลึงงัน
“นี่มันอะไรกันคะแม่ แม่ให้คนพวกนั้น...”
“ถามพ่อแกดูสิ ว่าสร้างหนี้ไว้เท่าไหร่” จิรดาใช้นิ้วจิ้มหน้าผากมัสลิน “หน้อย...ทำดัดจริตหวงสมบัติ... ยกไปให้หมดนะ แล้วอย่ามาทวงหนี้ให้ฉันเสียรมณ์อีก”
จิรดาเดินออกไปแล้วแทบสะดุด เมื่อได้ยินเสียงมัสลินกราดกร้าว
“ออกไปจากบ้านฉันให้หมด!” มัสลินก้าวเข้าประจันหน้า แววตาเอาเรื่องกับชายทั้งสอง “ไม่งั้นได้โดนข้อหาบุกรุกแน่”
ชาย 2 คนมองหน้ากัน คนหนึ่งหันไปโวยใส่จิรดาอย่างหงุดหงิด
“ทำไมไม่คุยกันให้รู้เรื่องก่อนวะ เสียเวลาจริง ๆ...เฮ้ยโทรบอกนายซิ”
ชายทั้งสองส่ายหน้าแล้วเดินออกไป จิรดางงงัน ทำท่าจะห้ามแต่ไม่ทัน
“อ..อ้าว นี่ เดี๋ยวสิ” จิรดาหันขวับมาที่มัสลิน
“นังมัส แกเป็นบ้าไปแล้วรึไง”
“มัสควรจะถามแม่มากกว่า ว่าอะไรเข้าสิงแม่” มัสลินถามจิรดาเสียงเครือ จิรดาตาลุกโพลง
“ปากเสีย อีลูกเนรคุณ แกสิผีเข้า”
“แม่คะ!ของทุกชิ้นในบ้านนี้ พ่อหามันมาด้วยความรัก จู่ๆ แม่ก็ให้ใครไม่รู้มาเอาของๆ พ่อไป”
“จะให้ฉันบอกอีกกี่ร้อยครั้งว่าพ่อแกน่ะสร้างหนี้ไว้”
“หนี้พนันของแม่ต่างหาก!”
จิรดาตาลุก “อีมัส!”
“ตั้งแต่มัสจำความได้ พ่อไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้ใคร ไม่ใช่นิสัยพ่อ หรือแม่จะเถียงคะ”
“แล้วไง จะหนี้ฉันหรือหนี้ใคร มันก็ต้องใช้เค้าทั้งนั้น รึแกอยากเห็นฉันโดนเจ้าหนี้ตามฆ่า...ขึ้นมาขนไปให้หมด!”
จิรดาหันประจันหน้ากับมัสลินอย่างท้าทาย มัสลินส่ายหน้าระอา
“ผีพนันมันเข้าสิงแม่จนลืมความผิดชอบชั่วดีไปแล้ว แม่รู้ตัวรึเปล่า”
จิรดาตัวชา “นี่แกด่าฉันนะอีมัส!”
จิรดาตบเพียะที่ใบหน้ามัสลิน มัสลินกุมใบหน้า น้ำตาร่วง
+ + + + + + + + + + + +
ที่บ้านมธุริน ภายในห้องทำงานของบัวบงกช
รูปเด็กหญิงวัยสองขวบในอ้อมแขนของภาษิตตอนหนุ่มๆ มีน้ำตาหยดลง บัวบงกชกำลังมองดูรูปที่ถืออยู่มือสั่นระริก พร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา
“ป่านนี้หนูจะเสียใจขนาดไหนนะลูก แม่อยากเจ็บแทนหนูเหลือเกิน ...มัสลิน”
บัวบงกชปาดน้ำตาจากรูปใบนั้นอย่างทนุถนอม ก่อนจะสลับรูปอื่นๆ ขึ้นมาดู เป็นรูปมัสลินตอนเด็ก หลายๆ วัย
“ทำไมคุณไม่ให้โอกาสฉันตอบแทนคุณบ้างนะภาษิต”
ขณะนั้นมธุรินกำลังเดินถือถุงขนมอย่างอารมณ์ดีมาที่ห้องทำงานของผู้เป็นแม่ แต่เจอเตช ผู้เป็นพ่อเดินวนไปมาอยู่ที่หน้าห้อง
“ใจตรงกับเดียร์เลย มาหาคุณแม่เหมือนกันเหรอคะคุณพ่อ”
เตชตกใจเล็กน้อยที่เห็นมธุริน
“เอ้อ...ก็...”
มธุรินเข้าเกาะแขนเตชอย่างสนิทสนม
“ไม่ต้องปิดเดียร์หรอกค่ะ เดียร์เห็นน้าที่คุณแม่งอนคุณพ่อเมื่อเช้าน่ะ”
“แม่เค้าคุยอะไรให้เดียร์ฟังรึเปล่า”
“คุยค่ะ แม่บอกให้พ่อง้อแม่เดี๋ยวนี้เลย”
มธุรินลากแขนเตชพร้อมกับเปิดประตูเข้าไป ทันทีที่เห็นบัวบงกช มธุรินก็ต้องชะงักงัน
บัวบงกชหันขวับมาในสภาพน้ำตาอาบแก้ม ในมือยังถือรูปต่างๆ อยู่ เตชปากคอสั่น กำหมัดแน่น มองรูปในมือบัวบงกชอย่างพอเดาออกว่าคือรูปภาษิต มธุรินรีบเข้าหาบัวบงกช ถามอย่างห่วงใย
“คุณแม่เป็นอะไรคะ!”
บัวบงกชรีบเก็บรูปลงลิ้นชัก ปาดน้ำตา
เตชต้องการคุยกับบัวบงกชตามลำพังจึงให้มธุรินออกจากห้องไปก่อน พอมธุรินออกไปแล้วเตชจึงพูดกับบัวบงกชอย่างตัดพ้อ
“คุณร้องไห้คร่ำครวญกับรูปของไอ้ภาษิต”
“ใช่ ฉันทำอะไรผิดเหรอคะ”
เตชพูดไม่ออก เข้าบีบไหล่ทั้งสองของบัวบงกชแรง
“ต้องให้ผมใจขาดตายคุณถึงจะสะใจรึไงบัว มีผัวคนไหนทนเห็นเมีย ตัวเองฟูมฟายอยู่กับรูปแฟนเก่าได้บ้าง”
“มันก็พอกับการต้องทนอยู่กับสามีที่หวาดระแวง ไม่เชื่อใจกันนั่นละค่ะ”
บัวบงกชประสานสายตากับเตชอย่างไม่เกรงกลัว
ขณะนั้นมธุรินยังอยู่หน้าห้อง เธอหน้าเศร้าขณะยืนแอบฟังพ่อกับแม่ มีเสียงเตชลั่นออกมา
“แล้วสิ่งที่คุณทำล่ะ มันน่าให้ผมไว้ใจนักเหรอ”
แม่บ้านที่ยืนคุมเชิงอยู่พลอยได้ยินไปด้วย จึงเอ่ยขึ้นอย่างเกรง ๆ
“เอ่อ..คุณผู้ชายให้เชิญคุณหนูที่ชั้นล่างนะคะ เชิญเถอะค่ะ เดี๋ยวคุณผู้ชายออกมาเจอคุณหนูเข้าจะไม่ดีนะคะ”
มธุรินก้าวออกไปอย่างจำใจ
“นังเด็กในรูปนี่ก็เหมือนกัน กี่ครั้งแล้วที่ผมเข้ามาเจอคุณอยู่กับรูปมัน”
มธุรินได้ยินปั๊บก็หยุดเท้า หันมองที่ประตูห้องอีกครั้ง แม่บ้านผงกหัวเชิงขอร้องให้มธุรินออกไปจากตรงนั้น มธุรินจึงต้องจำใจเดินออกไป
“รึว่ามันเป็นลูกของคุณกับไอ้ภาษิต”
เตชเสียงดังใส่บัวบงกช แต่มธุรินเดินไปจากหน้าห้องแล้วจึงไม่ได้ยิน...บัวบงกชตาลุกวาวใส่เตชด้วยความโกรธจัด
“หยุดนะคุณเตช สกปรกที่สุด! แล้วคุณจะต้องเสียใจกับสิ่งที่คุณพูด”
“ผมจะเสียใจมากกว่า ถ้าหากผมปล่อยให้คุณหมกมุ่นอยู่กับไอ้รูปบ้ๆ พวกนี้ เอามาให้ผมให้หมด!”
เตชยื่นมือไปดึงลิ้นชัก บัวบงกชดันลิ้นชักกลับ เกือบงับมือเตช
“คุณไม่มีสิทธิ์ทำอะไรแบบนี้นะ นี่มันของส่วนตัวฉัน”
“แต่ที่นี่มันบ้านของผม” เตชหลุดปาก บัวบงกชอึ้ง เตชรู้สึกผิดมาก “บัว... คือ...ผม...”
“ไม่เป็นไรค่ะ ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ฉันก็รู้สึกตัวว่าเป็นคนอื่น ฉันถึงไม่เคยอยู่ได้นานไง ...แล้วคราวนี้ฉันจะไปให้นานที่สุด เพราะที่นี่มันเป็นบ้านคุณ” บัวบงกชลุกไปที่ประตู เตชรวบตัวบัวบงกชไว้
“อย่าไปนะบัว ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดอย่างนั้น ผมขอโทษ”
“คุณสบายใจได้ ยังไงฉันก็ให้อภัยคุณค่ะ เพราะสิ่งที่คุณทำมันเล็กน้อยเหลือเกิน ถ้าเทียบกับความผิดครั้งนั้น…ที่ต่อให้ฉันตาย ฉันก็ไม่มีวันอภัยให้คุณ!”
เตชฟังแล้วหน้าร้อนผ่าว ปล่อยมือจากบัวบงกช บัวบงกชเดินออกไป ขณะที่เตชยังนิ่งงัน เจ็บปวดกับการกระทำในอดีตของตนที่เคยข่มขืนบัวบงกช
+ + + + + + ++ + + + +
ส่วนกุเทพหลังจากยอมนั่งรถมากับกานน ก็ถูกบ่นว่ามาตลอดทาง
“แกคิดจะหลบอยู่โรงแรมไปถึงเมื่อไร”
“ก็จนกว่าจะเสร็จเรื่องมัสครับ”
“แกเรียกชื่อเค้าซะยังกับฉันรู้จักคุณมัสลินอะไรของแกไปด้วยอย่างงั้นแหละ “
“อีกหน่อยก็ต้องรู้ครับ เพราะคนนี้น่ะ ผมรักจริงหวังแต่ง” กานนเอียงหน้ามองกุเทพหน่ายๆ กุเทพอายๆ
“ครับๆๆ ...ตอนผมคบกับกิ๊บผมก็เคยพูดอย่างนี้ แต่ครั้งนี้น่ะไม่เหมือนกัน เฮ้อ..พูดถึงกิ๊บแล้วผมเครียดขึ้นมาทันที เปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่าครับ”
กานนยิ้มเยาะ “แกยังไม่รู้ใช่มั้ยว่าตอนนี้ยัยกิ๊บอยู่เมืองไทยน่ะ”
“หา?”
“ที่ฉันพุ่งมาหาแกเนี่ยก็เพราะเรื่องนี้นั่นละ แล้วดูเหมือนเค้าจะรู้ด้วยว่าแกมาทำอะไรที่นี่ ทางที่ดีแกรีบทำธุระแล้วรีบกลับอเมริกาซะดีกว่า อย่าอยู่ก่อเรื่องวุ่นวายให้ถึงหูคุณก๋งคุณย่าแกเลย ฉันขี้เกียจปวดหัว” กุเทพนิ่งไป สีหน้าเครียด “อ้าวเลยพูดไม่เป็นเลย นี่แล้วจะให้ฉันไปส่งที่ไหนหืม”
กุเทพสะดุ้ง รีบมองทางแล้วถอนใจโล่งอก
“ตรงไปอีกครับ น่าจะข้ามแยกข้างหน้าไปก็ถึงแล้ว ผมก็ไม่เคยมาเหมือนกัน”
“บ้านคุณมัสลินอะไรนั่นใช่มั้ย”
“ครับ เค้าน่าสงสารนะฮะ พ่อเสียเลยต้องบินกลับมากะทันหัน”
“แต่ที่ยัยกิ๊บพูดกับคุณย่านี่คนละเรื่องเลยนะ”
“อย่างกิ๊บเค้าจะสนอะไรว่าใครจะเจ็บใครจะตาย อย่างมากก็คิดได้แค่ว่าผมกับมัสแอบบินมาเที่ยวด้วยกัน เดี๋ยวอาปลิวเจอมัสก็จะรู้ว่ามัสไม่ได้เป็นอย่างที่กิ๊บเอาไปฟ้องคุณย่าเลย”
กานนฟังเพียงผ่านๆ... กุเทพชี้บอกทางคนขับ
“เลี้ยวซอยนี้แหละ”
“ครับผม”
กุเทพหยิบกระดาษจดเลขที่บ้านของมัสลินจากกระเป๋ากางเกงขึ้นดู กานนมองออกไปนอกหน้าต่างรถ แล้วต้องประหลาดใจเมื่อเห็นมัสลินเดินเหม่ออยู่ริมถนน ท่ามกลางผู้คนสวนไปมา...กุเทพเอียงกระดาษให้กานนดู
“เลขที่บ้านมัสฮะ อาช่วยผมดูด้วยนะครับ...เป็นไรครับอา”
กานนกำลังเหลียวหลังมองมัสลิน
“เหมือนจะเห็น..เอ้อ..คนรู้จักน่ะ”
กุเทพมองตามไปเพียงแว่บหนึ่ง
“คนรู้จักอาปลิวเนี่ยนะฮะจะมาเดินอยู่ริมถนน ผมว่าอาจำคนผิดแล้วละ”
กานนสีหน้าครุ่นคิด นึกถึงใบหน้ามัสลิน...กานนครุ่นคิดถึงมัสลินจนได้ยินเสียงกุเทพเรียก
“อาปลิวครัว” กานนสะดุ้งนิดหน่อย หันมาเจอกุเทพเปิดประตูค้างรออยู่
“อาไม่ลงไปกับผมเหรอครับ”
“อ้อ..หลังนี้เหรอ” กานนขยับลงจากรถ
เสียงกริ่งที่ประตูทำให้แป้นต้องรีบเดินมาดู...แป้นเปิดประตูออกมาจึงพบกุเทพกับกานนยืนอยู่หน้าประตู กุเทพพูดพร้อมส่งยิ้มให้แป้น
“ผมเป็นเพื่อนกับคุณมัสลิน เธออยู่มั้ยครับ”
แป้นมองกุเทพกับกานนอย่างสังเกต เพราะไม่คุ้นหน้ามาก่อน พลันมีเสียงจิรดาดังแหวขึ้น
“อีแป้นนนน!!!! หูแตกรึไง เรียกเป็นร้อยครั้งแล้ว”
กุเทพกับกานนมองเข้าในบ้านแบบอึ้ง ๆ ไปทั้งคู่ แป้นเลิ่กลั่กด้วยความกลัว รีบตัดบทกับกุเทพ
“คุณมัสไม่อยู่หรอกนะคะ จะให้บอกว่าใครมาหามั้ยคะ”
กุเทพมองเข้าไปในบ้านอย่างไม่สบายใจกับเสียงจิรดาที่ดังขึ้นอีก
“อีแป๊นนนน!!!” จิรดาเดินโงนเงนออกมาที่ประตู “อีแป้น! ฉันเรียกเป็นร้อยครั้งแล้วไม่ได้ยินรึไง”
แป้นวิ่งหอบเข้ามา “ก็มาแล้วนี่ไงคะ ว้าย!”
กระถางต้นไม้ลอยเฉียดหัวแป้นไปเพียงนิดเดียว หลังจากจิรดาเขวี้ยงกระถางต้นไม้ไปหนึ่งแล้ว ก็หยิบอีกกระถางหนึ่งมาเงื้อง่า
“ปากดีนักใช่มั้ยขี้ข้าบ้านนี้”
พัดปราดเข้ามาแย่งกระถางไป “อะไรกันคะคุณดา เกิดอะไรขึ้นนังแป้น”
แป้นวิ่งหลบหลังพัด
“ก็คุณดาน่ะสิคะ อยู่ ๆก็เอากระถางเขวี้ยงใส่หนู”
“ฉันไม่ได้บ้านะ อยู่เฉย ๆฉันจะปากบาลแกทำไมถ้าแกไม่อู้งาน เรียกไปเถอะ เสียงดังไปแปดบ้าน มันก็ยังไม่มา หนอย!”
จิรดารี่เข้าตบตีแป้น “ว้ายน้าพัดช่วยหนูด้วย”
พัดปัดป้องพัลวัน
“พอเถอะค่ะคุณดา อย่าทำนังแป้นมันเลย คุณดาจะเอาอะไรคะ”
“ใครเอาเหล้าฉันไปไหนหมด”
พัดหน้าเจื่อนเพราะรู้ดีว่ามัสลินเก็บทิ้งหมดแล้ว
“เอ่อ...” พัดอึกอัก แป้นตอบแทน
“คุณมัสให้แป้นเอาไปทิ้งค่ะ”
พัดตาเหลือกที่แป้นหาเรื่องตาย จิรดานิ่งไปนิด แล้วถามแป้นต่อเสียงเย็น
“แล้วในห้องฉันล่ะ”
พัดลอบส่งสายตาปรามแป้น แต่แป้นไม่รับมุก
“คุณมัสก็ให้เก็บไปทิ้งเหมือนกันค่ะ”
จิรดาหอบหายใจแรง จ้ำเท้ากลับในบ้าน ตะโกนลั่น “อีมัส!”
พัดฟาดแขนแป้นอย่างแรง
“หาเรื่องให้คุณมัสแล้วมั้ยล่ะนังแป้น แกมันปากบอนจริงๆ นั่นละ” พัดวิ่งตามจิรดาไป “คุณมัสไม่อยู่หรอกค้าคุณดา”
+ + + + + + + + + + + +++++++++++++++++++
(อ่านต่อหน้าที่ 2)
ตอนที่ 1 (ต่อ)
ขณะนั้นมุสลินอยู่ที่บ้านม่านมุก มัสลินอิงซบตักม่านมุก นัยน์ตามีน้ำตาเอ่อคลอ
“ไม่สำคัญหรอกค่ะว่ามัสจะอยู่ที่ไหน แต่ที่มัสเสียใจคือสิ่งที่แม่ทำกับพ่อ” ม่านมุกลูบผมมัสลินเบาๆ แววตามองออกไปไกลเครียดๆ เมื่อนึกถึงจิรดา “แม่ดาเองก็เครียดไม่แพ้มัสหรอก ให้อภัยแม่เค้าเถอะนะลูกนะ”
มัสลินผุดลุกจากตักม่านมุก
“ถึงขนาดนี้แล้วยายยังขอให้มัสเข้าใจแม่อีกเหรอคะ” ม่านมุกอ้ำอึ้ง เพราะรู้ดีว่าจิรดามีปมความเจ็บปวดมากมาย แต่ก็พูดไม่ได้ “ทุกครั้งที่มัสมีปัญหากับแม่ ยายก็จะบอกให้มัสเข้าใจแม่ แต่ครั้งนี้ที่แม่ทำมันมากเกินไปค่ะ แม่ขายบ้านที่พ่อสร้าง ขายของๆ พ่อ มัสไม่เหลืออะไรเกี่ยวกับพ่ออีกแล้ว”
“แล้วใจเราล่ะ” มัสลินเหลือบมองม่านมุกอย่างไม่เข้าใจ “ที่มัสพูดมาน่ะมันของสมมติทั้งนั้นเลย ใจเราต่างหากที่เป็นของจริง ต่อให้ใครจะขายบ้านขายสมบัติพ่อเราไปเท่าไร แต่เค้าก็ไม่มีวันพรากพ่อไปจากใจมัสได้ไม่ใช่เหรอ”
มัสลินนิ่งลงบ้าง แต่แววตายังเต็มด้วยความน้อยอกน้อยใจ
“แต่มันเร็วเกินไปค่ะยาย พ่อเพิ่งจากมัสไป จะให้มัสลืมวันเก่าๆ ที่มัสเคยอยู่กับพ่อในบ้านหลังนั้นวันนี้เดี๋ยวนี้มัสทำไม่ได้หรอกค่ะ”
มัสลินปาดน้ำตาป้อย ม่านมุกดึงมือมัสลินมากำไว้แน่น อย่างกับจะถ่ายทอดความเจ็บปวดนั้นมาไว้ที่ตัวเอง
“แล้วนี่จะกลับไปโน่นเมื่อไรล่ะลูก อย่าไปสนใจคำพูดของแม่ดาเลยนะ ที่ว่าเค้าจะไม่ส่งเสียเราเรียนต่อน่ะ” มัสลินก้มหน้าฟังอย่างเสียใจ “พ่อกับยายน่ะเตรียมไว้ให้มัสแล้ว” มัสลินเงยหน้าขึ้นสบตาม่านมุกอย่างไม่เข้าใจ ม่านมุกส่งเสียงเรียกสาวรับใช้คนสนิท “ปิ่น...”
ปิ่นวางซองเอกสารให้ม่านมุก
“เอกสารค่ะคุณยาย”
ปิ่นสบตามัสลินอย่างเห็นใจแล้วออกไป ม่านมุกเปิดซองหยิบเอกสารในนั้น
“พ่อภาษิตของมัสน่ะคงเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าออก...” ม่านมุกยื่นสมุดบัญชีธนาคารเล่มหนึ่งให้มัสลิน “นี่เป็นเงินเก็บก้อนเดียวของพ่อมัสที่รอดสายตาแม่ดามาได้เพราะเอามาฝากยายไว้ก่อนเค้าจะป่วยหนัก....รับไว้นะ พ่อเค้าตั้งใจจะให้มัสเก็บไว้เรียนหนังสือ” ม่านมุกเอาสมุดบัญชีใส่มือมัสลิน มัสลินถือสมุดไว้มือสั่นระริก น้ำตาไหล “ไม่ต้องห่วงว่ามันจะไม่พอใช้ไปจนมัสเรียนจบ ที่ทางของยายก็ยังมี ยายจะส่งมัสเรียนเอง กลับไปเรียนให้จบซะนะลูกนะ”
“มัสขอบคุณยายนะคะ แต่มัสคงไม่ได้กลับไปแล้วละค่ะ ไม่เกี่ยวกับว่าจะมีหรือไม่มีเงินเรียน
ต่อ”
“มัสหมายความว่ายังไง”
“มัสจะอยู่เอาบ้านคืนจากเจ้าหนี้ของแม่”
“โธ่ยัยมัส คิดอะไรอย่างนั้นลูก ตัดใจซะเถอะ สิ่งที่มัสต้องให้ความสำคัญเวลานี้คืออนาคตของหนูนะลูก”
“แต่จะให้มัสทิ้งปัญหาไปอย่างนี้มัสไม่มีทางเรียนรู้เรื่องหรอกค่ะ มัส ตัดสินใจตั้งแต่รู้ว่าบ้านกำลังจะถูกยึดแล้วค่ะยาย มัสจะทำทุกทางให้ได้บ้านคืนมาให้พ่อ”
“แม่ดานะแม่ดา ทำลูกเดือดร้อนแท้ๆ เลย”
มัสลินมองสมุดบัญชี
“ยายจะว่าอะไรมั้ยคะ ถ้าบางทีมัสอาจจะต้องใช้เงินนี่จ่ายดอกเบี้ยเจ้าหนี้ของแม่ไปก่อน ..ซื้อเวลาไม่ให้เค้ามายึดบ้าน”
ม่านมุกไม่ปฏิเสธ แต่ก็มองมัสลินอย่างหนักใจแทน
+++++++++++++++++++++++++++++++
ทางด้านกุเทพหลังจากออกจากบ้านมัสลิน กุเทพนั่งหน้าเครียดมาตลอดทาง จนกานน
ต้องเหลือบมองหลานแล้วเอ่ยขึ้นมา
“เฮ่ย จะไม่พูดอะไรเลยเหรอวะ ตั้งแต่ออกจากบ้านนั้นมาแกไม่ส่งเสียงสักแอะ เป็นไรหืม”
“มัสลินน่าเป็นห่วงกว่าที่ผมคิด อาคิดว่าเสียงที่เราได้ยินเป็นเสียงใครครับ”
“ฉันจะรู้มั้ยล่ะ แล้วเท่าที่แกรู้จักคุณมัสลินเค้ามา เค้าเล่าให้ฟังมั้ยล่ะว่าเค้าอยู่ยังไง สมาชิกที่บ้านเป็นใครบ้าง” กุเทพสั่นหัว
“แม้แต่เรื่องคุณพ่อเค้าเสียเค้ายังไม่อยากบอกผมเลย ถ้าเค้าไม่บังเอิญให้เพื่อนผมที่ทำทัวร์วิ่งหาตั๋วเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ ให้ด่วน”
เวลาผ่านไป...รถกานนจอดเทียบริมฟุตบาทหน้าร้านเสื้อเกวลิน กุเทพเปิดประตูลงจากรถ
“เสร็จธุระเรื่องมัสลินแล้วผมจะโทรหาอาปลิวนะครับ”
“คนที่แกควรจะรีบโทรหาน่ะคือคุณย่าแก อย่ารอให้คุณย่าเป็นฝ่ายต้องตามตัว รู้ใช่มั้ยว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
กุเทพฟังแล้วยิ้มใจเย็น
“ไม่เป็นไรฮะ ผมชอบเรื่องตื่นเต้น”
“เออ แล้วฉันจะคอยดู”
+ + + + + + + + + + + +
ร้านเสื้อผ้าเกวลินดัดแปลงจากบ้านเก่า สวยคลาสสิค ตกแต่งอย่างมีรสนิยม รายล้อมไปด้วยต้นไม้ ภายในร้าน ศิธา คนรักของเกวลินสวมสร้อยข้อมือประดับเพชรเส้นเล็กๆ น่ารักให้เกวลิน เกวลินประหลาดใจมาก
“ศิธาให้เก๋เหรอ”
“ก็ใช่สิครับ ถามอย่างนี้หรือว่าเก๋ไม่ชอบ”
เกวลินยิ้มปลื้ม มองศิธาด้วยแววตาเต็มไปด้วยความรัก
“ดีใจที่สุดเลยละค่ะ ขอบคุณนะคะ”
“ผมต้องไปแล้วละ นัดสถาปนิกไว้ที่สตูฯ “ เกวลินฟังอย่างสนใจ ศิธาเข้ารวบเอวเกวลินอย่างเอาใจ “สตูดิโอของเราเป็นรูปเป็นร่างแล้วนะ เราจะเป็นค่ายหนังที่มีพร้อมทุกอย่าง ..โรงถ่าย ..ห้องตัดต่อ แล้วก็ใหญ่ที่สุดในเอเชีย”
เกวลินยิ้มภูมิใจในตัวศิธา
“เก๋อยากเข้าไปด้วยกันมั้ย”
“ไม่ล่ะค่ะ ศิธาทำงานไปเถอะ เข้าไปเก๋ก็ไม่รู้เรื่องหรอก”
“อ้อ ผมลืมบอกข่าวดีไปเลย คิวจองห้องตัดเรายาวถึงปีหน้าแล้วนะ”
“ขนาดนั้นเลยเหรอคะ การตลาดศิธานี่ทำงานรวดเร็วดีจัง”
“แต่ข้อเสียก็คือแต่เราก็ต้องเร่งให้เมืองนอกส่งอุปกรณ์มาเร็วกว่ากำหนดเดิม...”
ศิธาเปรยอย่างมีนัย สบตาเกวลิน เกวลินตกหลุม
“เก๋เข้าใจค่ะ ศิธาให้คนทำตัวเลขมาให้เก๋ก็แล้วกัน”
“คุณเป็นหุ้นส่วนที่เจ๋งที่สุด ...ผมรักคุณนะ”
ศิธาจูบปากเกวลินดูดดื่ม เป็นเวลาเดียวกับที่กุเทพเดินเข้ามา เห็นเข้าอย่างจังในมุมที่เกวลินหันหลังให้กุเทพ ศิธาเหลือบตาเจอกุเทพ
“เอ้อ...”
กุเทพยกมือเป็นเชิงขอโทษ ศิธาผละจากเกวลิน มองตามกุเทพซึ่งตรงไปหาที่นั่งคอย เกวลินหันมองตามแล้วประหลาดใจมาก
“อ้าว กุ!”
เกวลินรี่หากุเทพด้วยความดีใจ ทิ้งศิธายืนงง
“หวัดดีเจ๊”
กุเทพกับเกวลินหอมแก้มซ้ายขวาทักทายกัน ศิธาจ้องเขม็ง
“มาเมื่อไหร่ ทำไมไม่โทรบอก”
“ถ่ายหนังอยู่เหรอ” กุเทพถามแล้วกลิ้งตาไปทางศิธา
“บ้า!...” เกวลินต่อว่าเพื่อนอย่างเขินๆ แล้วหันไปหาศิธา “ศิธาคะ มารู้จักเพื่อนเก๋สิ... นี่ศิธา”
“รู้จักแล้วล่ะฮะ” กุเทพว่าพลางยิ้ม
ศิธาทำหน้างง เพราะไม่เคยรู้จักกุเทพมาก่อน กุเทพยิ้มมีนัยให้ศิธา พลางนึกถึงเหตุการณ์ใน
อดีตที่อเมริกาซึ่งวันนั้นเขานั่งทานอาหารอยู่กับพินสุดาที่ร้านอาหารไทย ระหว่างนั้นพีระพล น้องชายพินสุดากับศิธาเดินผ่านไป จะออกจากร้าน กุเทพเห็นพอดีจึงบอกพินสุดา
“น้องชายคุณนี่”
พินสุดามองตามแล้วเรียกทันที
“โก้!”
พีระพลหันมองพินสุดา ศิธาสีหน้าอึดอัด รีบเดินเลี่ยงไป
“อ้าวพี่กิ๊บ พี่กุ” กุเทพพยักหน้าให้ พีระพลดึงมือศิธามา “ศิธา มารู้จักพี่ๆ โก้สิ”
กุเทพมองลงที่มือพีระพลซึ่งกุมมือศิธาไว้แน่น ดูพิเศษเกินเพื่อน ศิธาผงกหัวเพียงนิดหนึ่ง แล้วพูดเบากับพีระพล
“คอยข้างนอกนะ พอดีมีสายเข้า”
กุเทพเหลือบสายตามองตามศิธาที่คุยโทรศัพท์มือถือออกไป พีระพลคุยหนุงหนิงกับพินสุดา
กุเทพนึกถึงเรื่องในอดีตขณะมองเกวลินที่เอาแต่ยิ้มขำ สองคนนั่งดื่มกาแฟ กินของว่างอยู่เพียงลำพัง
“นี่ถ้าเธอซักเรื่องศิธาอีกคำเดียว ฉันจะถือว่าเธอคิดอะไรกับฉันแล้วนะอีกตากุ”
“ไม่ซักแล้วจะรู้เหรอว่าพี่เก๋น่ะกำลังถูกผู้ชายหลอก”
เกวลินหุบยิ้มในทันที
“ทำไมเธอพูดอย่างนี้ล่ะ”
“ผมก็พูดตรงๆ อย่างนี้ละฮะ นายศิธาน่ะ ไม่ใช่คนที่เจ๊จะจริงจังด้วยเลยนะ คบเล่นๆ ก็โอเค”
“กุคิดว่าพี่ไม่รู้เรื่องเค้างั้นเหรอ”
“อ้าว ถ้ารู้แล้วทำไม...”
“ถามหน่อยเหอะกุ ตั้งแต่เกิดมาเธอเคยเจอใครที่ดีพร้อม ชีวิตไม่มีตำหนิเลยสักกะนิดมั้ย”
“ผมไง”
“ย่ะ เก็บไว้ให้ยัยม่านมัสลินมินตราคนเดียวเหอะ เออแล้วเป็นไงบ้างล่ะ สุดที่รักคนสวยของเธอน่ะ”
“รีบเปลี่ยนเรื่องเชียวนะ”
เกวลินยิ้มพลางจิ้มขนมส่งให้กุเทพ
“ฉันแก่แล้ว ปล่อยๆ ฉันไปเหอะ มีปัญหาเมื่อไหร่จะรีบวิ่งมายืมหัวเข่าเธอเช็ดน้ำตา”
“ให้ทำได้จริงๆ เหอะ”
เกวลินฉีกยิ้มชืด
“พูดเรื่องยัยมัสของเธอดีกว่า เป็นไงบ้าง ดังยัง”
“ที่มาหาเจ๊ก็เพราะมัสละฮะ”
“เค้าไม่รักเธอใช่มะ สมน้ำหน้า”
“เราสองคนที่ปากคอกินกันไม่ลงจริงๆ นะ”
“ถึงได้คบกันได้นานไง เอ้าว่ามายัยมัสทำไม เกิดไรขึ้น หวังว่าคงไม่ใช่เรื่องใหญ่นะ”
“คุณพ่อมัสเสียกะทันหัน เค้าก็เลยบินมากรุงเทพฯ”
“ว้ายตายแล้ว จริงเหรอ แล้วนี่ยัยมัสเป็นไงบ้าง”
“ผมบินตามมาทีหลัง นี่ยังติดต่อเค้าไม่ได้เลย ที่มานี่ก็คิดว่าเผื่อเค้าจะแวะมาหาเจ๊บ้าง”
“Never…”
เกวลิน กุเทพขมวดคิ้วมุ่น ว้าวุ่นใจด้วยความเป็นห่วงมัสลิน
+ + + + + + + + + + + +
เมื่อแยกจากเกวลิน ศิธาก็มาที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง เขาเดินเข้ามาในร้านแล้วมองหาใครสักคนภายในร้าน ...คิม หนุ่มลูกครึ่งฮ่องกง - สิงคโปร์ ซึ่งนั่งอยู่โต๊ะหนึ่งยกมือเรียก ศิธาตรงไปหาคิม สองคนแปะมือทักทายกัน
“โทรนัดฉันมีเรื่องอะไรอีกล่ะ”
ศิธากำมือคิมไว้หมับ แกล้งทำน้ำเสียงอ่อนโยน
“ขอบคุณที่มานะ”
“ฉันจะอ้วกศิธา” คิมดึงมือกลับ ศิธาแกล้งกำไว้แน่น “เฮ้ยปล่อย” ศิธายื้อมือคิมไว้อีกพัก หัวเราะสนุกก่อนจะปล่อยคิมเป็นอิสระ “เล่นบ้าๆ”
“แกล้งแกเนี่ยสนุกสุดแล้ว”
“ฉันไม่ใช่ ‘เหยื่อ’ แก” คิมพูดอย่างรู้จักรสนิยมชอบสองเพศของศิธาดี ศิธาหัวเราะ “พูดธุระของแกมาเร็วเข้า ฉันมีเวลาไม่มาก”
“สตูดิโอฉันใกล้เสร็จแล้ว”
“ก็ดีแล้วนี่ พ่อแกจะได้เลิกโทรมาบ่นเรื่องแกเอาเงินเค้ามาละลายซะที”
“แต่ฉันเปิดไม่ได้จนกว่าแม่แกจะส่งเครื่องมือในสตูฯมาให้จากฮ่องกง”
“ถ้าจะพูดเรื่องนี้ลืมไปได้เลย แม่ฉันสั่งห้ามยุ่งกับแกเรื่องบิสิเนส”
“ฉันรู้ว่าฉันเครดิตเสียกับบริษัทแม่แก แต่ตอนนี้ฉันมีเงินแล้ว บอกแม่แกได้มั้ยว่าฉันจ่ายทั้งเก่าและใหม่ ให้ดอกด้วยก็ได้ ถ้าภายในเดือนหน้าสตูฯฉันยังไม่เปิด ป๊าฆ่าฉันแน่”
“เป็นฉันฆ่าไปนานแล้ว หลอกขอเงินพ่อมาทำธุรกิจ แต่เอาไปเล่นพนันหมดตูด”
“วะ! ตั้งแต่พูดภาษาไทยได้นี่พูดมากจริง ตกลงจะช่วยไม่ช่วย”
คิมสั่นหัว
“บอกแล้วไงว่ามี๊ฉันสั่งห้ามยุ่งเรื่องเงินๆ ทองๆ กับแก หรือถ้าจะพูดจริงๆ มี๊สั่งห้ามฉันคบแกนั่นละ”
“แม่แกคงลืมไปแล้วใช่มั้ยว่าครอบครัวฉันเคยช่วยครอบครัวแกยังไง”
“มาไม้นี้อีกแล้ว ฉันไม่สนหรอกนะว่าพ่อแกแม่ฉันหรือใครๆ จะมีบุญคุณกันยังไง แต่เอาเป็นว่าฉันจะให้ลูกน้องจัดการให้ก็แล้วกัน” ศิธายิ้มออก คิมชี้หน้าศิธา “ที่ช่วยเนี่ยเพราะอยากให้มันเป็นครั้งสุดท้ายหรอกนะ”
“ครับผม”
ศิธาดึงมือคิมมาจูบดื้อๆ แล้วรีบลุกไป
“เฮ้ย ไอ้บ้า ไอ้...สกปรกเอ๊ย”
คิมเช็ดๆๆ ศิธาหัวเราะ
“ฉันเลี้ยงกาแฟแกตามสัญญา”
ศิธาหมุนตัวไปชนเข้ากับมัสลินซึ่งยกถาดกาแฟเย็นกับน้ำดื่มตรงมา ของในมือมัสลินกระจายลงพื้น มัสลินหน้าเสีย
“ขอโทษค่ะ”
ศิธาก้มมองเสื้อตัวเองที่โชกไปด้วยกาแฟเย็นค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองมัสลินอย่างโกรธจัด คิมรีบลุกขึ้นหน้าตื่น แต่พอเห็นใบหน้าสวยๆ ของมัสลินก็อึ้งไป
“ขอโทษจริงๆ ค่ะ”
มัสลินพูดด้วยสีหน้ารู้สึกผิด คว้าทิชชูใกล้ๆ ทำท่าจะซับให้ศิธา พลันศิธาปัดมือมัสลินอย่างแรง ตวาดดัง
“ตาบอดรึไงวะ!”
มัสลินผงะ คิดไม่ถึงว่าแมนๆ อย่างศิธาจะโวยใส่แบบนั้น... คิมได้สติรีบดึงศิธาไปจากมัสลิน
“ขอโทษแทนเพื่อนผมด้วย” ชายหนุ่มหันมาพูดกับมัสลิน
“อ้าวเฮ้ย ไปขอโทษมันทำไมเนี่ย”
มัสลินหน้าร้อนผ่าว กลายเป็นฝ่ายก้าวตามไปเอาเรื่อง
“ไม่สุภาพเลยนะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ แล้วฉันก็ขอโทษคุณไปแล้วด้วย คุณไม่เห็นต้องเรียกจิกกันเลย”
“ฉันจะเรียกยังไงมันก็ปากของฉัน มีปัญหามั้ย แล้วเสื้อฉันเลอะเนี่ยจะทำยังไง”
“ก็นั่นน่ะสิ คุณจะให้ฉันทำยังไง”
มัสลินประจันหน้ากลับอย่างเอาเรื่องเช่นกัน
“เอาละๆๆ...ไม่มีอะไรแล้วล่ะฮะ ไปศิธา”
คิมรวบตัวศิธาออกไป ศิธาฮึดฮัด ท่ามกลางสายตาของคนในร้าน
“ผู้ชายอะไรด่าผู้หญิงฉอดๆ”
“ผู้ชายที่ไหนเล้า... กอดกันกลมซะขนาดนั้น”
ลูกค้าในร้านคุยกัน มัสลินได้ยินเธอจึงมองตามคิมกับศิธาไปอย่างหน่าย ๆ
เวลาผ่านไป...มัสลินยกกาแฟแก้วใหม่มานั่งลงในมุมหนึ่ง มัสลินนั่งคนกาแฟ แววตาเหม่อลอย นึกถึงอนาคตที่มืดสนิทของตัวเอง
“ต่อให้มันจะกี่ล้านบาท มัสก็จะหาเงินมาไถ่บ้านคืนคุณพ่อให้ได้” มัสลินพึมพำกับตัวเอง “จะเอาปัญญาที่ไหนหืม...มัส”
มัสลินกำลังเหม่อๆ อยู่แล้วพลันเห็นคิมโผล่มานั่งฝั่งตรงข้าม มัสลินร้องตกใจ
“ว้าย!”
คิมยิ้มชืดให้มัสลิน
“ผมคิมครับ คิม ลี” คิมยื่นมือ มัสลินไม่สนใจคิมที่อยู่ตรงหน้า แต่กลับเหลียวไปรอบว่าศิธาตามมาด้วยหรือไม่ “ศิธาไม่ได้มาด้วยหรอกครับ” มัสลินมองคิมด้วยสีหน้าเรียบเฉย คว้ากระเป๋าสะพายเตรียมจะลุกหนี
“เฮ้ เดี๋ยวสิครับ ผมมาดีนะฮะ” คิมลุกดักไว้ แถมยกมือไหว้มัสลิน มัสลินตกใจ
“นี่ เลิกไหว้ฉันนะ ฉันอายเค้า” หลายคนในร้านมองคิมกับมัสลินเป็นตาเดียว คิมควักนามบัตรใส่มือมัสลิน
“ผมทำงานอยู่บริษัทนี้ คุณโทรหาผมนะ ผมอยากคุยกับคุณเรื่องงาน” มัสลินเหลือบลงมองดูนามบัตรงง ๆ “บริษัทดีมีชื่อเสียง เชื่อถือได้ ไม่มั่วครับ”
มือถือคิมดังขึ้น
“คุณรีบไปซะ ฉันไม่อยากมีเรื่องกับแฟนคุณอีก”
“แฟน?”
“ก็ใช่น่ะสิ”
“เฮ้ย เข้าใจผิดแล้ว ศิธาเป็นเพื่อนผม”
มัสลินเหยียดปาก เสียงมือถือคิมดังไม่เลิก คิมออกไปอย่างจำใจ หันกลับมาทำมือใบ้ท่าโทรศัพท์กับมัสลินจนเกือบชนเข้ากับคนอื่นที่สวนมา มัสลินขมวดคิ้ว มองความพิลึกของคิมงง ๆ
+ + + + + + + + + + + +
เกวลินสตาร์ทรถ พลางคุยกับกุเทพที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
“อยากทานอะไรว่ามา”
“มัสลิน”
“อันนั้นรู้ย่ะ ไม่ต้องบอก แต่ดูท่าจะไม่ได้แอ้มนะ ฮ่ะๆๆๆ”
“เออ ดูถูกผมไปเหอะ วันแต่งจะไม่เชิญเลยคอยดู ที่พูดว่ามัสลินน่ะ ผมหมายถึงผมอยากเจอเค้าก่อน ...เราไปหาเค้าที่บ้านอีกทีดีมั้ยฮะ”
“ไม่ดีจ้ะ เพราะขืนโผล่ไปอีกที ที่บ้านเค้าจะได้คิดว่าเราโรคจิต ฟังภาษามนุษย์ไม่รู้เรื่อง ก็เค้าเพิ่งบอกอยู่โต้ง ๆว่ายัยมัสไม่อยู่ ๆ จะไปหาลูกอมอะไรอีกจ๊ะ”
เกวลินเลี้ยวรถสู่ถนนใหญ่ พอท้ายรถเกวลินพ้นไป รถแท็กซี่แล่นเข้ามาจอด มัสลินก้าวลงจากรถ เกวลินมองกระจกหลังแล้วตกใจ
“มัสลิน”
“โอเคเจ๊ไม่ไปก็ไม่ไป พอ..เลิกสวดผมเรื่องมัสซะที”
“มัสลินอยู่หน้าร้านฉัน”
“ห้ะ” กุเทพหันขวับทันที “มัสจริงๆ ด้วย” กุเทพรุกรี้รุกรนจะลงจากรถให้ได้ “จอดเร็วเจ๊”
“จอดตรงนี้ได้โดนคันหลังด่าสิ ใจเย็นๆ เดี๋ยวฉันยูเทิร์นกลับไป”
“กว่าจะถึงร้าน มัสไม่กลับไปก่อนเพราะไม่เจอเจ๊เหรอ”
“เออว่ะ นั่นสิ เอ้างั้นจอดก็จอด”
“โธ่แล้วก็ไม่จอดตั้งแต่เมื่อกี้ นี่มันเลยมาไกลแล้วนะ”
“อ้าวแล้วจะเอาไงล่ะ จะให้จอดมั้ย”
กุเทพอึกอัก ตัดสินใจไม่ถูกเช่นกัน
“โฮ้ย!”
เกวลินตัดสินใจจอดรถให้กุเทพวิ่งกลับไปที่ร้านส่วนตัวเองขับรถไปยูเทิร์น โชคดีที่รถไม่ติดเกวลินจึงกลับมาถึงร้านก่อนกุเทพ...เกวลินอ้าแขนเข้าสวมกอดมัสลินด้วยความดีใจ
“ยัยมัส”
“หวัดดีค่ะพี่เก๋”
“เกือบไม่ได้เจอกัน ดีนะที่พี่เห็นเราเข้าน่ะ นี่นายกุก็กำลังมา”
“พี่กุกลับมาเหรอคะ”
กุเทพวิ่งมาถึงพอดีในสภาพหอบแฮ่ก เหงื่อโทรมตัว
“อ้าวเจ๊ ทำไมถึงก่อนผมล่ะ”
“ยูเทิร์นแล้วรถวิ่งฉลุย ไม่ติดเลย”
“โธ่ งั้นผมก็วิ่งมาฟรีสิเนี่ย”
มัสลินหัวเราะ
“จะไม่ทักมัสหน่อยเหรอคะพี่กุ”
“ดีใจจนทักไม่ออกน่ะจ้ะ มัสเป็นไงบ้าง”
“พี่กุนั่นละค่ะ กลับมาเมื่อไหร่”
“ก็ตามมัสมาไม่กี่วันนั่นละ ขอโทษนะที่มาไม่ทันงานคุณพ่อมัส”
รอยยิ้มมัสลินหายวับในทันที
เกวลินพามัสลิน กุเทพไปนั่งคุยในมุมส่วนตัว...
“ฟังเรื่องมัสแล้วเจ๊ก็กลุ้มแทนจริงๆ นะ จะหางานอะไรทำถึงจะพอใช้หนี้กันล่ะ”
“เรียนก็ไม่จบ ประสบการณ์ทำงานก็เป็นกับเค้าอยู่สองอย่าง เสิร์ฟอาหารกับเดินแบบ ถ้าไม่รบกวนเกินไป พี่เก๋พอจะช่วยมัสได้มั้ยคะ ที่มาเนี่ยก็จะมาคุยกับพี่เก๋เรื่องงานน่ะค่ะ”
“ได้แน่นอนอยู่แล้วจ้ะน้องรัก แต่ต้องคอลเล็กชั่นหน้าโน่นแน่ะ”
“ทำไมล่ะเจ๊”
“เสื้อผ้าแต่ละตัวมัน...” เกวลินมองหุ่นมัสลินแล้วร้องออกมา “โอโนว์..ไม่ได้อ่ะ”
“ไม่ได้ ยังไงเหรอคะ แบบไหนมัสก็ใส่ได้ มัสไม่เรื่องมากจริง ๆค่ะพี่เก๋”
“ใช่ ๆ เจ๊อ่ะใจดำ ไม่ช่วยน้องนุ่ง”
“ยูชัตอัพนายกุ มานี่เลย ถ้าเห็นเสื้อแล้วใส่ได้ฉันให้ค่าตัวสิบเท่าเลย”
เกวลินพามัสลินกับกุเทพมาที่ห้องตัดเย็บ...ชุดเดรสผ้าซีทรูใสแจ๋ว ถูกมัสลินชูขึ้นดู แล้วมองหน้ากุเทพที่เหวอไม่แพ้กัน เกวลินกอดอกมองสองคนขำ ๆ
“ไงล่ะ ยังจะว่าฉันใจดำอีกมั้ย”
“แทบจะไม่ได้ใส่อะไรเลยนะน่ะ ขี้เหนียวผ้านี่เจ๊ ทำเป็นอ้างซัมเมอร์”
“ไอ้กุบ้า รู้ทันอีก” เกวลินหัวเราะ
“แล้วผมจะดูงานที่บริษัทก๋งให้นะครับมัส”
กุเทพหันมาบอกมัสลิน มัสลินนิ่งไป หยิบเสื้อผ้าชุดใหม่ดูเงียบ ๆ
“เสื้อผ้าแนวนี้ส่วนใหญ่พี่จะใช้แบบต่างชาติเกือบทั้งหมด มีแบบไทยโนเนมไม่กี่คน แล้วงานนี้ก็ไม่ได้ใหญ่อะไร มัสรองานหน้าดีกว่านะ รับรองเจ๊จะดันให้เกิดเอง”
มัสลินแขวนชุดในมือคืนที่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ
“อะไรมัสก็ใส่ได้ค่ะ ขอมัสเดินด้วยเถอะนะคะ” เกวลินกับกุเทพมองหน้ากันอึ้ง ๆ “นะคะพี่เก๋”
+ + + + + + + + + + + +
ในงานเดินแฟชั่นโชว์ของเกวลิน มีนายแบบ นางแบบเดินอยู่บนรันเวย์ ในธีมเสื้อผ้านุ่งห่มน้อยชิ้น ใช้ผ้าบางโปร่ง มองเห็นชุดชั้นใน แต่งหน้าแบบแฟนซี มีนักข่าวหลายสำนัก ถ่ายรูปการเดินแบบอยู่เป็นระยะ กุเทพยืนปนอยู่กับผู้ชม แอบมองลุ้น ๆไปที่ต้นทางรันเวย์ตลอดเวลา เกวลินโผล่มาแซวที่ข้างหลัง
“ตื่นเต้นยิ่งกว่านางแบบอีกนะอีตากุ”
“เฮ้ย!โธ่พี่เก๋ ผมยิ่งเหวอๆ อยู่ มัสห้ามผมมาดู”
เกวลินหัวเราะ
“งั้นเหรอ ไม่ดูจะเสียดาย”
“มัสเป็นไงบ้างฮะ”
“ยัยมัสโอเค๊” เกวลินยิ้มมีเลสนัย “...อย่ากระพริบตา”
เกวลินตบไหล่กุเทพแล้วเดินหายไปทางที่เตรียมตัวของนายแบบและนางแบบ
มัสลินหลุบตาต่ำมองชุดที่ตัวเองสวมอยู่ ขณะยืนจ่อคอยขึ้นเดิน เกวลินเดินเข้ามา มองมัสลินอย่างพอใจ
“เต็มที่นะมัส”
มัสลินยิ้มมั่นใจ จีบนิ้วโอเคให้เกวลิน
“แน่นอนค่ะ”
แต่พอเกวลินคล้อยหลังไป มัสลินก็หุบยิ้ม เป่าปากสูดหายใจลึกเรียกความมั่นใจให้ตัวเอง
เสียงเพลงประกอบเพลงใหม่ดังขึ้น ออร์แกไนเซอร์ให้คิว มัสลินก้าวขึ้นบนรันเวย์...สวมวิญญาณนางแบบ เดินด้วยความมั่นใจ ในชุดเกาะอกบางเฉียบสีขาว ยาวกรอมเท้า ภายในสวมใส่เพียงกางเกงบิกินี่สีตัดกับชุดภายนอก กุเทพตกใจกับชุดมัสลิน
“พี่เก๋ให้มัสใส่ชุดอะไรเนี้ย”
มัสลินเดินต่ออย่างมั่นใจ แต่แล้วพลันเห็นกุเทพเข้า เลยหลุดคิว ยืนโพสนานจนนางแบบที่
ตามมาประชิดมาก เท้านางแบบคนนั้นเหยียบชายกระโปรงมัสลินเมื่อมัสลินก้าวต่อเกาะอกที่สวมอยู่จึงหลุดพรืด
ทุกคนเหวอสนิท เกวลิน กุเทพ และมัสลินนิ่งงันด้วยความตกใจ มือไม้ยกมาป้องหน้าอก
นักข่าวรุมกดชัตเตอร์วูบวาบ
วันต่อมาเกวลินกับกุเทพหัวเราะขำมัสลินที่นั่งหน้าตูบ เช็คข่าวตัวเองตามหน้านิตยสารก็อสซิป
“ไง ได้ดังสมใจ ดีมั้ย”
“ถามจริง มัสตั้งใจจัดซีนให้ตัวเองใช่ป่ะ เนียนนะเนี่ย”
“มีหน้ามาว่ามัสอีก มัสยังไม่ได้เฉ่งพี่กุเลยนะ ถ้าไม่ใช่เพราะพี่กุมาดูมัส มัสก็ไม่เสียสมาธิหรอก”
“ที่แอบไปดูก็เพราะเป็นห่วง”
“แล้วเป็นไงล่ะ” เกวลินหัวเราะร่วน “ขอบคุณนะมัส ยอดขายชุดนั้นพุ่งปรี๊ดเลย ฮ่ะๆ”
มือถือเกวลินดังขึ้น เกวลินกดรับ มัสลินหมุบหมิบโวยกุเทพ
“ใครค้า ...ดุสิต? ดุสิตไหนอ่ะ อ๊อ...แกเองเหรอ บอกว่า ‘อีสิต’ ซี่ ไม่งั้นไม่คุ้น ว่าไง มีไรให้รับใช้”
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
ดุสิต เจ้าของบริษัทเอเจนซี่โฆษณาเห็นข่าวการเดินแบบของมัสลินแล้วสนใจจึงโทรหาเกวลิน เพื่อติดต่อมัสลินมาเป็นพรีเซ็นเตอร์เครื่องดื่มบำรุงผิว
วันต่อมามัสลินจึงมาพบกับดุสิตที่ออฟฟิศ มัสลินมองบรรยากาศออฟฟิศที่ตกแต่งเท่ๆ ตามสไตล์โปรดักชั่นเฮาส์ชื่อดัง มีเสียงเกวลินกับกุเทพดังขึ้นมาในความคิด
“พรีเซ็นเตอร์เครื่องดื่มบำรุงผิวจ้ะ เข้าไปพบคุณดุสิตเจ้าของเฮาส์นะ ...สนิทกับพี่ เค้าเห็นมัสจากข่าวนี่ละ”
“ดังใหญ่แล้วมัส รวยๆๆ” มัสลินหัวเราะครึกครื้นไปกับเกวลินและกุเทพ
มัสลินคิดแล้วยิ้มบางๆ อย่างมีความสุข แต่แล้วพลันต้องหุบยิ้ม เพราะเห็นคิมที่เดินสวนไป...คิมซึ่งเดินเลยมัสลินไปแล้วชะงักเท้ากึกเช่นกัน มัสลินกับคิมต่างคนต่างเหลียวมองกัน แล้วชี้หน้ากัน
“คุณ!” คิมได้สติก่อน ยิ้มแต้ตรงไปหามัสลิน
“คิดว่าคุณทิ้งนามบัตรผมไปซะแล้ว ทางนี้ฮะเชิญๆ”
“ที่นี่...”
“บริษัทผมเองครับ”
“งั้นคุณก็คือ....คุณดุสิต?”
มัสลินชี้หน้าคิม ดุสิตเดินผ่านไปทางหนึ่งหยุดเท้าเพราะได้ยินชื่อตัวเอง
“คุณมัสลินรึเปล่าครับ” มัสลินพยักหน้าบางๆ คิมพลอยงงไปด้วย “ผมดุสิตครับ เพื่อนยัยเก๋”
ดุสิตพามัสลินมาที่ห้องแคสติ้ง...มัสลินเปลี่ยนชุดมาอยู่ในเสื้อผ้าโทนสีเดียวกับสินค้าเครื่องดื่มขวดเล็กๆ ในมือ กำลังเล่นกับกล้อง มือมัสลินไล้ผิวเหนืออก
“ถ้าไม่ไบรท์ไม่กล้าอวดค่ะ” มัสลินกำลังเล่นกับกล้องวิดีโอตามสคริปต์ มีคนคอยคุมแคสติ้ง และถ่ายวิดีโอ “...ไบรท์เพื่อสุขภาพผิวผู้หญิงวันนี้”
ดุสิตยืนดูมัสลินอย่างพอใจ คิมเดินมาหา ดุสิตดุใส่
“เข้ามาทำไมอีก เค้ายิ่งถามฉันอยู่ว่าแกน่ะบ้ารึเปล่า”
“เพราะอย่างนี้แหละ ฉันยิ่งถึงต้องมาปกป้องตัวเอง” คิมจ้องมัสลิน “ใช่เลย...”
ดุสิตพยักหน้าเห็นด้วย
“ฮื่อ ลูกค้าต้องซื้อแน่ๆ”
“ฉันหมายถึงแม่ฉันเว้ย ใช่เลย แบบนี้แหละที่มามี๊อยากได้เป็นลูกสะใภ้”
“คุยภาษาไทยให้รู้เรื่องซะก่อนเหอะ เวลาเค้าด่าจะได้แปลถูก”
มัสลินสวมแจ็คเก็ตของตัวเองทับชุดที่ใส่อยู่ ไหว้ทีมงานทั้งสองเสร็จก็เดินตรงมาหาดุสิต พูดกับดุสิตเหมือนไม่มีคิมอยู่ตรงนั้น
“มัสกลับได้เลยใช่มั้ยคะ”
“อ๋อครับ แล้วทีมงานผมจะติดต่อไป คุณทำได้ดีมาก”
คิมส่งสัญญาณสายตาใส่ดุสิต
“ขอบคุณมากนะคะ งั้นมัสลานะคะ”
มัสลินยกมือไหว้ดุสิต คิมทำหน้าทำตาใส่ดุสิตอีก
“เอ้อ เดี๋ยวครับคุณมัสลิน คือ...ผมลืมไปเลยว่ายังไม่ได้แนะนำเจ้าของที่นี่ให้รู้จัก... คุณคิม ลีครับ” ดุสิตผายมือไปทางคิม
“เจ้าของ”
“คือทั้งเค้าและผมเป็นเจ้าของร่วมกันน่ะฮะ”
มัสลินอึ้งไปเล็กน้อยที่รู้ว่าคิมเป็นเจ้าของที่นี่จริง ๆ
“สวัสดีค่ะ” มัสลินยกมือไหว้คิม
“สวัสดีครับ ได้รู้จักกันจริงๆ ซะทีนะฮะ”
“ยินดีค่ะ หวังว่าคุณกับแฟนคงแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกนะคะ”
“แฟนอีกแล้ว โอย ช่วยหน่อยวะไอ้สิต คุณมัสลินเค้าคิดว่าฉันกับไอ้ศิธาเป็นแฟนกัน”
“ก็จริงนี่”
“อ้าวเฮ้ย” ดุสิตหัวเราะ
“ล้อเล่น คุณคิมเค้าเป็นผู้ชายร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่วนที่คุณมัสลินถามว่าเค้าบ้ารึเปล่า” มัสลินหน้าเสีย “ตอบได้เลยว่าคุณคิม ลี สติดี ไม่ได้บ้าครับผม คุณมัสลินร่วมงานกับเราได้สบายใจครับ”
คิมยิ้มเป็นมิตรให้มัสลิน มัสลินยิ้มจางๆ ตอบ
“มัสต้องขอโทษที่เข้าใจคุณลีผิด”
“เรียกผมคิมเถอะครับ อืม...อันที่จริงตอนที่ผมให้นามบัตรคุณ ผมสนใจจะให้คุณทำงานโฆษณาอีกชิ้นนึง”
“งานใครวะ” ดุสิตถาม
“แล้วแกจะต้องเห็นดีกับฉันว่าคุณมัสลินเค้าเหมาะมาก ...คุณมัสลินช่วยหันข้างได้มั้ยครับ”
มัสลินทำตาม คิมมองอย่างพิจารณา “อืม... โอเคเลย” มัสลินยิ้มนิดๆ รอฟังคิมต่อ
“ถอดเสื้อได้มั้ยฮะ” มัสลินผงะ จ้องหน้าคิมอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “ถอดออกเลยครับ ...ถอดเสื้อ”
“หา?” มัสลินตบหน้าคิมฉาด แล้วเดินออกไปเลย
+ + + + + + + + + + + +
อุษยา เป็นอาหญิงของกานนและมีศักดิ์เป็นย่ากุเทพ อุษยาได้ข่าวว่ากุเทพกลับมาแล้วจึงมาหาที่ห้อง เห็นหลังกานนเข้าห้องกุเทพไปไวๆ จึงรีบเดินตาม
“กลับมาตายรังได้แล้วเหรอนายกุ” อุษยาเปิดประตูเข้าไปแล้วประหลาดใจ “อ้าวตาปลิวหรอกเหรอ อาคิดว่าเป็นตากุซะอีก”
“ผมก็มาหาเจ้ากุเหมือนกันละฮะ เห็นคนบอกว่ากลับมาแล้ว”
อุษยาก้าวเข้าดูข้าวของในห้อง
“อาก็รู้มาอย่างนั้น เลยรีบมาดู น่าจะกลับมาแล้วจริงๆ นั่นละ รกๆ อย่างนี้ฝีมือตากุเค้าละ” สายตาอุษยาไปหยุดอยู่ที่นิตยสารก๊อสซิปที่มีรูปมัสลินขึ้นปก “ตากุอ่านหนังสืออย่างนี้ด้วยเหรอ”
หน้าปกนิตยสาร เห็นรูปมัสลินแต่งหน้าเข้มกำลังเอามือปกปิดหน้าอก “โอยตาย อุจาดตา ดูรสนิยมหลานเราสิตาปลิว”
อุษยายื่นนิตยสารให้กานน กานนรับไปดูแล้วประหลาดใจกับใบหน้ามัสลิน แต่ก็ไม่มั่นใจนัก เพราะเครื่องสำอางที่หนาจัด
“ของแม่บ้านวางลืมไว้รึเปล่าครับ”
“ไม่ละ นี่ก็ใช่ เล่มนี้ก็อีก” อุษยาจับเล่มอื่นๆ ที่วางรวมอยู่อย่างหัวเสีย
“หรือว่านังนี่มันก็คืออีนางแบบคนนั้น?”
+ + + + + + + + + + + +
อุษยาต้องมาเฝ้าเจ้าสัวทศ พ่อของเธอที่โรงพยาบาลจึงหยิบนิตรสารที่มัสลินขึ้นปกติดมือไปด้วย เมื่อพินสุดาแวะมาเยี่ยมเจ้าสัวทศที่โรงพยาบาล อุษยาจึงหยิบนิตยสารให้พินสุดาดู พินสุดาดูนิตยสารมือสั่นระริก
“ใช่ค่ะ นี่แหละนังมัสลิน” พินสุดาโยนนิตยสารลงบนโต๊ะตรงหน้าอุษยา อุษยาสะดุ้งโหยง
“คุณย่าเจอมันอยู่ในห้องกุงั้นเหรอคะ”
“จ้ะ”
“งั้นแสดงว่ามันอาจจะยังติดต่อกันอยู่ กุนะกุ หลอกกิ๊บว่าไม่มีเบอร์ ไม่รู้ว่านังมัสลินอยู่ที่ไหน ...แล้วนี่กุกลับมาทำไมไม่มีใครบอกกิ๊บคะ”
พินสุดาเผลอตัวตวาดออกมา อุษยาผงะไป เจ้าสัวทศขโยกเขยกเข้ามา
“นี่แม่คุณ จะพูดจะจาอะไรให้มันเกรงใจกันบ้าง นี่มันห้องพักฟื้นคนป่วยนะไม่ใช่ตลาด”
“แหมเตี่ยก็ พูดอย่างนี้หนูกิ๊บก็เสียน้ำใจหมด อุตส่าห์แวะมาเยี่ยม”
“คุณก๋งหายไวๆ นะคะ”
“หลานฉันมีแค่สองคนคือนายกานนกับนายกุเทพ!”
พินสุดาหน้าแตก เจื่อนสนิท อุษยาแตะแขนปลอบๆ พินสุดา
ขณะนั้นกุเทพกับกานนกำลังมาเยี่ยมเจ้าสัวทศเหมือนกัน ทั้งคู่เดินอยู่ที่ล็อบบี้ของโรงพยาบาล
“ผมสังหรณ์ใจไม่ดี ไม่เข้าไปดีกว่าครับ”
กุเทพเอากระเช้าใส่มือกานน กานนฉวยข้อมือกุเทพไว้
“เฮ้ยอะไรวะ แค่นี้ทำปอดแหก”
“ถ้าลองคุณย่าเห็นหนังสือก็อสซิปนั่นแล้ว แสดงว่ายัยกิ๊บก็ต้องเห็น เหมือนกัน แถมป่านนี้ทั้งสองคนอาจจะอยู่ด้วยกันข้างบนก็ได้ ไม่เอาละ”
“แต่คุณอาเพิ่งโทรหาฉันว่าอยู่กับคุณปู่ ไม่เห็นพูดอะไรเกี่ยวกับยัยกิ๊บนี่ เอางี้ ฉันโทรถามตรงๆ ไปเลยดีกว่า นายอยู่ตรงนี้ก่อน ห้ามไปไหนทั้งนั้น คุณปู่อยากเจอแกแค่ไหนรู้บ้างมั้ย”
กานนชี้หน้าคาดโทษกุเทพพลางกดมือถือหาอุษยา
“ครับ อาหญิงฮะ ผมอยากรู้ว่ายัยกิ๊บอยู่กับอารึเปล่าครับ” กานนฟังแล้วสั่นหน้าให้กุเทพ
“ไม่ได้มานะฮะ โอเคครับ ผมกับนายกุกำลังจะขึ้นไป”
กานนกดวางสาย กุเทพสีหน้าหวาดระแวงไม่ไว้ใจ
“อาพูดคนเดียวรึเปล่า ทำไมรู้เรื่องไวจัง”
“เอ๊ะไอ้นี่ ฉันว่าเดี๋ยวแกได้โดนเตะกลางโรงบาล ฉันไม่บ้าพล่ามคนเดียวหรอก ไปขึ้นไปหาคุณก๋งแกได้แล้ว” กุเทพเดินตามกานนไปอย่างจำใจ
ขณะนั้นพินสุดาเดินวนเวียนอยู่ที่ประตูห้องพักเจ้าสัวทศ
“ไหนล่ะค่ะอาปลิวกับกุ”
อุษยายกแก้วน้ำออกมา เห็นพินสุดาที่ประตูก็ตกใจ
“ว้ายหนูกิ๊บมายืนดักอย่างนั้น ตากุก็รู้หมดว่าย่าโกหก มานั่งนี่จ้ะ” พินสุดาตรงไปนั่งที่โซฟางงๆ
“หนูต้องบอกว่าหนูเพิ่งมาถึงเหมือนกัน เข้าใจมั้ย นี่ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ นางแบบโป๊เปลือยอะไรนี่ย่าไม่เปลืองตัวช่วยโกหกหรอกนะ”
พินสุดาจับมืออุษยามากุมไว้อย่างเอาใจ
“คุณย่าไม่ต้องห่วงค่ะ กิ๊บจะไม่ปล่อยให้นังนี่มันคาบกุไปง่ายๆ หรอกค่ะ”
“ขอบใจนะลูก”
ประตูถูกผลักเปิดออก พินสุดารี่เข้าไป คิดว่าเป็นกุเทพ
“บังเอิญจังเลยนะคะกุ กิ๊บก็มาเยี่ยมคุณก๋งเหมือนกัน ว้าย!”
กลายเป็นเจ้าสัวทศที่เดินใช้ไม้เท้าค้ำเข้ามาพร้อมพยาบาล
“แกเห็นดีเห็นงามให้ไอ้กุมันคบแม่นี่ได้ยังไงนะนังอุษยา”
อุษยาสะดุ้ง
“เตี่ยก็โยงมาด่าหนูอีกจนได้นะ”
“เธอก็เหมือนกัน คิดเหรอว่าแม่อุษยาเค้าจะจริงใจกับเธอ อย่างมากก็หลอกใช้ให้กันสาวๆ ไปจากไอ้กุ”
“ว้ายเตี่ยพูดอย่างนี้ได้ไงคะ หนูกิ๊บอย่าไปฟังนะลูก”
กานนกับกุเทพเข้ามาพร้อมกัน เจ้าสัวยื่นแขนให้พยาบาลประคองไปที่เตียง
“แก้ตัวกับหลานแกเอาเองก็แล้วกัน เจ้ากี้เจ้าการจับแพะชนแกะดีนัก ระวังแพะมันจะขวิดเอา”
กุเทพเห็นพินสุดาก็ทำหน้าละเหี่ย ขบกรามพูดกับกานน
“ว่าแล้วไง รับผิดชอบเลยนะครับอาปลิว”
พินสุดายิ้มอ่อนหวานให้กานนกับกุเทพ
“สวัสดีค่ะอาปลิว ...ว่าไงคะกุ บังเอิญจังนะคะ”
กานนจ้องตาอุษยาอย่างจับผิด อุษยากลอกตาไปทางอื่น ทำไม่รู้ไม่ชี้ กุเทพเหลือบเห็นนิตยสารปกมัสลินบนโต๊ะแล้วยิ่งเซ็งหนัก พินสุดายิ้มเย็นให้กุเทพ
“กิ๊บได้ยินว่าคุณพ่อของมัสลินเค้าเสีย แล้วตอนนี้มัสลินเค้าเป็นยังไงบ้างคะ”
กุเทพเหลือบตาไปที่นิตยสารบนโต๊ะ
“กิ๊บน่าจะรู้ดีกว่าผมอยู่แล้วนี่”
“แต่คงไม่ดีไปกว่าได้ยินจากปากกุว่ากุยังติดต่อกับมัสลินอยู่”
“ถ้าจะเล่นสงครามประสาทแบบนี้ ผมไม่คุยนะ”
“กุทำไมไม่ตอบหนูกิ๊บเค้าไปล่ะว่าเราน่ะไม่ได้ติดต่อใครแล้ว”
“ผมไม่ชอบโกหกครับคุณย่า”
อุษยาเม้มปากอยากบีบคอกุเทพ พินสุดาฝืนยิ้ม
“ไม่เป็นไรค่ะคุณย่า กุกับกิ๊บก็อย่างนี้ละค่ะ เถียงๆ เดี๋ยวก็ดีกัน ไปกันเถอะค่ะ”
พินสุดาคล้องแขนกุเทพไปดื้อ ๆ กุเทพขืนตัวไว้
“ผมไม่ได้นัดคุณไว้นะกิ๊บ”
“ชู่ว์ เกรงใจคุณก๋งนะคะ”
พินสุดาจ้องตาขู่กุเทพถึงฤทธิ์เดชของเธอ กุเทพประสานสายตากลับโกรธๆ แต่ในที่สุดก็ยอมออกไปกับพินสุดา กานนมองตามไปอย่างหนักใจ เจ้าสัวทศเอ่ยขึ้น
“เห็นความไร้สาระของอาแกแล้วก็อย่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างนะเจ้าปลิว มีแต่เค้าจะหวงห่วงหลาน แต่นี่อะไร เสือกไสไล่ส่งให้หลานคบกับคนบ้า”
“แล้วเตี่ยจะต้องขอบคุณหนู ....อาไปดีกว่า อยู่ตรงนี้มีแต่จะโดนหาเรื่อง”
อุษยากระแทกเท้าออกไป เจ้าสัวทอดถอนใจ หนักอก
“ฉันจะไม่แก่ตายเพราะอีลูกสาวขึ้นคานคนนี้นี่แหละ”
“อาหญิงคงทำไปเพราะหวังดีกับนายกุนั่นละฮะ แต่อาจจะผิดวิธี”
“ไม่อาจละ ผิดเต็มๆ นังอุษยามันเหมือนแม่มันที่ชอบสาระแนจัดแจงเรื่องผัวเรื่องเมียเค้า ฉันต้องเสียแม่ม่านมุกไปก็เพราะแม่นังอุษยา”
“คุณย่าผม”
“เออ!ก็นั่นละ ทำไม?ฉันแตะย่าแกไม่ได้เลยรึยังไง” กานนยิ้มอารมณ์ดี ยกมือทั้งสองแบบยอมแพ้ เพราะตั้งแต่จำความได้เจ้าสัวก็พร่ำพูดถึงแต่เรื่องนี้มานับครั้งไม่ถ้วน
“ฉันคงนอนตายตาไม่หลับ ถ้าไม่รู้ว่าป่านนี้แม่ม่านมุกทำอะไรอยู่ที่ไหน”
เจ้าสัวพูดเบาแทบจะเป็นเสียงรำพึง สายตามองออกไปไกล กานนมีสีหน้าอ่อนลง มองเจ้าสัวอย่างเข้าใจ
“เจ้าปลิว...”
“ครับคุณปู่”
“ทำอะไรให้ปู่สักอย่างก่อนปู่ตายได้มั้ยวะ”
กานนรับฟังเจ้าสัวอย่างห่วงใย
พินสุดาคล้องแขนกุเทพเดินมาที่ลานจอดรถ พอมาถึงลานจอดรถกุเทพสะบัดแขนจากพินสุดา
“เลิกเล่นละครได้แล้วกิ๊บ คุณทำอย่างนี้เพื่ออะไร”
“ต้องถามด้วยเหรอคะ”
“เราเลิกกันแล้วนะกิ๊บ”
“ถ้าไม่มีอีมัสลิน กุไม่มีวันเลิกกับกิ๊บ”
“ผมไม่คุย เชิญคุณบ้าไปคนเดียวเถอะ”
กุเทพแยกไปที่รถของตัวเอง พินสุดากรีดร้องลั่น
“อ๊ายยยย คุณจะทิ้งฉันไปหามันใช่มั้ย อ๊ายยยย ฉันจะฆ่าตัวตายให้คุณดู” พินสุดาหันรีหันขวาง วิ่งเข้าขวางรถยนต์คันหนึ่งที่แล่นมา “ชนฉันสิ ชนฉันเลย ฉันอยากตาย”
คนผ่านไปมาหันมองพินสุดากับกุเทพเป็นตาเดียว กุเทพอึ้งกับสิ่งที่พินสุดาทำ วิ่งไปกระชากร่างพินสุดาออกจากรถคันนั้นที่บีบแตรด่าลั่น ...พินสุดายิ้มเย็น หัวเราะร่า กุเทพผลักพินสุดาออก
“คุณเป็นบ้าไปแล้วกิ๊บ”
“ถ้ากุยังพูดไม่รู้เรื่อง กิ๊บทำได้มากกว่านี้อีกนะคะ แล้วคนที่กิ๊บจะทำไม่ใช่ตัวกิ๊บแน่ ๆ”
กุเทพมองพินสุดาอย่างแสนระอา
+ + + + + + + + + + + +
ที่บ้านมัสลิน ขณะนั้นพัดกับแป้นนั่งล้อมวงคุยกับมัสลินขณะช่วยกันทำสวนไปด้วย
“อย่างนี้คุณมัสของแป้นเก๊าะดังใหญ่แล้วสิ ฮิๆๆ มีเจ้านายเป็นดาราเท่ชะมัดเลย”
“เสียงดังเข้าเหอะนังแป้น เดี๋ยวคุณดาได้ออกมาหาเรื่องคุณมัสอีกหรอก”
“แม่ยังไม่กลับมาเลย”
“ตั้งแต่เมื่อคืนน่ะเหรอคะ”
“ฮื่อ ถ้ามัสไม่อยู่ น้าพัดก็ช่วยดูๆ แม่แล้วคอยบอกมัสทีละกัน ถ้าแม่สร้างหนี้เพิ่มมากกว่านี้มัสคงไม่มีปัญญาหามาใช้”
เสียงกริ่งประตูดังขึ้น
“พูดถึงก็มาพอดีเลย”
“แกหมายถึงใครยะ”
“อ้าวก็คุณดาไง”
“นังโง่ คุณดาน่ะนะจะกดกริ่ง ของจริงต้องตะโกนโว้ย อีพัดดด อีแป้นนน เปิดประตู๊”
มัสลินหัวเราะ
“รีบไปดูเหอะว่าใครมากันแน่”
มัสลินพูดพร้อมกับลุกไปหยิบกรรไกรตัดหญ้า แป้นวิ่งไปตามคำสั่ง
แป้นวิ่งมาเปิดประตูแล้วต้องอ้าปากค้าง ตะลึงงันในความหล่อเหลาของใครคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“หนะ...หนีห่าวมา...ซะรังเฮโย๊”
คิมยิ้มใจดีให้แป้น
“ไม่ทราบที่นี่ใช่บ้านคุณมัสลินมั้ยครับ”
“ว้ายตายคนไทยหรอกเหรอคะ ม..มาหา ค..คุณมัสเหรอคะ”
คิมดีใจ มองเข้าไปในบ้าน
“บ้านคุณมัสลินจริงด้วย”
คิมเห็นมัสลินยืนถือกรรไกรตัดหญ้าอยู่ไกลๆ
แป้นพาคิมไปพบมัสลิน มัสลินจ้องคิมเขม็ง กระชับกรรไกรตัดหญ้าในมือ และหันดุใส่แป้น
“ทำไมไม่บอกฉันก่อนที่จะให้ใครก็ไม่รู้เข้ามาในบ้าน”
“คุณเค้าบอกว่าเป็นเพื่อนคุณมัสน่ะค่ะ “
“เชิญเค้าออกไป ถ้าไม่ไปให้น้าพัดโทรแจ้งตำรวจ”
“หยะ..อย่านะครับ ผมมาดีจริง ๆ” คิมยื่นช่อดอกไม้ให้มัสลิน “ผมมาขอโทษที่ทำให้คุณเข้าใจผิดเมื่อวันก่อน ผมไม่ได้ลามก”
“ว้ายตายแล้ว คุณมัสโดนเค้าทำอนาจารเหรอคะ ดีจังเอ้ยแย่มาก หนอยโรคจิตดีๆ นี่เอง” แป้น คว้ากรรไกรจากมัสมาชี้ขู่ “จะออกไปดีๆ หรืออยากหัวแตกออกไป”
คิมยืนนิ่ง มองมัสลินด้วยแววตาซื่อๆ มัสลินมีสีหน้าอ่อนลง
“ไหนอธิบายมาซิ”
“ที่ผมบอกให้คุณถอดเสื้อน่ะ”
“อ๊าย!”
คิมชะงักเพราะเสียงแป้น มัสลินพยักหน้าให้คิมพูดต่อ
“ผมหมายถึงให้คุณถอด...”
“กรี๊ด!”
มัสลินเหล่รำคาญแป้น
“ไปหลังบ้าน”
แป้นหน้าเจื่อน ค้อมหลังออกไป ...
มัสลินพาคิมมานั่งคุยที่เก้าอี้...
“ถอดเสื้อแจ็คเก็ต” มัสลินถามย้ำเมื่อรู้ว่าคิมให้เธอถอดอะไร
“เกือบหัวแตกกลับไปแล้วนะคะ”
“แตกก็คุ้มครับ”
มัสลินทำหน้ายี้
“บ้านคุณมัสลินน่าอยู่จังนะครับ”
“เรียกมัสก็ได้ค่ะ อืม..มัสยังไม่ได้ขอโทษคุณเลย”
“ขอโทษผม? เรื่องอะไรฮะ”
“ก็ที่มัสตบคุณไงคะ”
“เออ ลืมไปเลย”
มัสลินหัวเราะ
“คุณนี่บ้าจริงๆ เลย”
“อ้าวเป็นงั้นไป”
ทันใดนั้นเองเสียงแหวของจิรดาก็ดังขึ้น
“อีแป้นนนน อีพัดดดด ไปตายที่ไหนกันหมด”
สีหน้ามัสลินเจื่อนด้วยความอาย คิมหันหาที่มาของเสียง
“ใครเหรอครับ”
จิรดาเดินเข้ามาอีกทางหนึ่งในสภาพแต่งเนื้อแต่งตัวสวยงามแต่เมาได้ที่
“ก็แม่นังมัสไง”
“แม่มัสค่ะ” คิมรีบลุกขึ้นไหว้จิรดาพร้อมรอยยิ้ม
“แฟนแกเหรอนังมัส”
“แม่!”
“อ..อ๋อ คุณเองสินะที่ให้เงินนังมัสมันมาใช้หนี้”
มัสลินเม้มปากแน่นอย่างขื่นขม คิมพอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ มองมัสลินอย่างเห็นใจ
(จบตอนที่ 1)