xs
xsm
sm
md
lg

ความรู้คู่สุขภาพ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้สูงวัยระวัง “ไข่แดง” เพราะร้ายไม่แพ้บุหรี่
งานวิจัยล่าสุดจากวารสารออนไลน์ Atherosclerosis บอกว่า การกินไข่แดงเป็นประจำ จะเกิดไขมันอุดตันในหลอดเลือด ทำให้สมองและหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หากเทียบระดับความรุนแรงกับควันบุหรี่แล้ว ก็เท่ากับประมาณ2 ใน 3 ของควันบุหรี่

จากการสำรวจคนไข้ของศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพในลอนดอนจำนวน 1,200 คน ดร.เดวิด สเปนซ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยด้านหลอดเลือดแข็งและการป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด สถาบันวิจัยโรบาร์ตส์ พบว่า คนไข้ที่กินไข่แดงเป็นประจำ มีภาวะหลอดเลือดแข็ง เพราะการอุดตันแบบเดียวกับคนสูบบุหรี่ คือ เกิดสิ่งอุดตันมากขึ้นเมื่ออายุ 40 ปี และเมื่อเทียบปริมาณไข่ที่บริโภค พบว่า ถ้ากินสัปดาห์ละ 3 ฟองขึ้นไป เกิดสิ่งอุดตันมากกว่ากินสัปดาห์ละไม่ถึง 2 ฟองอย่างเห็นได้ชัด

ดังนั้น การบริโภคอาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูง เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ และไข่ก็มีโคเลสเตอรอลสูง ในผู้ป่วยเบาหวาน ไข่วันละฟองเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ 2-5 เท่า

“ที่อยากจะบอกคือ กลุ่มผู้สูงวัยที่กินไข่แดง การเกิดสิ่งอุดตันในหลอดเลือดจะเร็วขึ้นประมาณ 2 ใน 3 ของการสูบบุหรี่ คนที่เสี่ยงกับโรคหลอดเลือดหัวใจ จึงควรระวังเป็นพิเศษ” ดร.เดวิด สเปนเซอร์กล่าว

ทำไมให้อภัยกันได้ง่ายๆ สมองสั่งมาอย่างนั้นหรือ?
เวลามองเรื่องความถูกผิด เราคิดถึงเรื่องศีลธรรม แต่ทัศนะด้านประสาทวิทยาศาสตร์เห็นว่า น่าจะยังมีสาเหตุอื่นๆ ประกอบกันอย่างซับซ้อนในการตัดสินความผิดนั้น โดยเฉพาะในกรณีทำไปโดยไม่เจตนา

มีการทำวิจัยทางประสาทกายวิภาคศาสตร์ชิ้นใหม่ ศึกษากลไกการทำงานของสมองส่วนกลีบขมับส่วนบนที่อยู่ด้านหน้า (anterior superior temporal sulcus หรือ aSTS) โดยให้อาสาสมัครอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับการทำผิดต่างๆ แล้วให้คะแนนตัดสินผู้กระทำผิดตามหลักศีลธรรมว่า “ยอมรับได้” หรือ “ผิด”

ขณะกำลังให้คะแนน ทีมวิจัยใช้เครื่องมือชนิดหนึ่งสำหรับวิเคราะห์กลไกทางประสาทหรือระบบประสาท ถ่ายภาพสมองของอาสาสมัครไปพร้อมกันด้วย เพื่อดูลักษณะทางกายวิภาคของสมองแต่ละคน

ผลที่ได้ พบความเกี่ยวข้องกันระหว่างระดับความเข้มงวดในการตัดสินทางศีลธรรมต่อกรณีทำความผิดโดยไม่เจตนา กับปริมาณสมองในส่วน aSTS นั่นคือคนที่สมองส่วน aSTS พัฒนามากกว่า มีเนื้อสมองมากกว่า มีแนวโน้มว่าจะให้อภัยมากกว่า ตัดสินลงโทษคนทำผิดน้อยกว่า

โดยเฉพาะเนื้อสมองสีเทา ซึ่งภายในมีเซลล์ประสาทที่มีความสามารถในการเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น ที่เรียกว่า theory of mind (ToM) หรือเข้าใจสภาพจิตของผู้อื่น เช่น ความเชื่อ ความจงใจ และความต้องการ ทำให้สามารถอธิบายและคาดเดาพฤติกรรมของคนอื่นตามความเชื่อ ความจงใจ และความต้องการของคนนั้นได้

คนที่มีเนื้อสมองส่วนนี้มาก จึงเข้าใจธรรมชาติของการกระทำที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิด เวลาตัดสินความถูกผิดจึงสามารถพุ่งไปที่ประเด็นนี้ และให้ความสำคัญกับเจตนา ก่อนที่จะคิดถึงผลที่ไม่พึงประสงค์อันเกิดจากการกระทำนั้น คนกลุ่มนี้จึงมีแนวโน้มที่จะตัดสินลงโทษไม่รุนแรงเท่าไหร่

ขึ้นลงบันได 10 นาที ดีกว่ากินกาแฟดำ 1 ถ้วย
คนชอบกินกาแฟเพื่อให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า หันมาเดินขึ้นบันไดแทนเถอะ ไม่เสียตังค์ และได้พลังจริงๆ

เรื่องนี้มาจาก แพททริค โอคอนเนอร์ แห่งมหาวิทยาลัยจอร์เจีย ทำงานวิจัยโดยให้นักเรียนหญิงที่เรียนหนัก นอนวันหนึ่งไม่ถึง 6.5 ชั่วโมง กินคาเฟอีนแคปซูลขนาด 50 มิลลิกรัม (ประมาณกาแฟดำ 30 มล. หรือน้ำอัดลม 1 กระป๋อง) หรือยาหลอก หรือเดินขึ้นลงบันได 10 นาที (ประมาณ 30 ชั้น) แบบสบายๆ

ผลปรากฏว่า ไม่ว่าจะกินคาเฟอีนหรือกินยาหลอก ก็ออกมาเหมือนกัน คือ ไม่ได้รู้สึกดีขึ้น แต่ถ้าออกกำลังกาย จะสดชื่นกระปรี้กระเปร่ามากกว่า

รู้อย่างนี้แล้ว คนทำงานออฟฟิศ ทิ้งลิฟต์มาเดินขึ้นลงบันไดแทน ดีกว่ากันเยอะ

กินผักผลไม้วันละ 10 ส่วน ให้ผลดีสูงสุดต่อสุขภาพ
เชื่อกันว่ากินผักผลไม้ทุกวัน วันละ 5 ส่วน (1 ส่วนมีปริมาณประมาณ 1 ทัพพีเล็ก) สุขภาพก็จะดี แต่มีการศึกษาใหม่พบว่า ถ้าจะให้ได้ประโยชน์มากที่สุด ให้กินวันละ 10 ส่วน

ทีมนักวิจัยจากประเทศอังกฤษ ศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลของประชากรเกือบ 2 ล้านคน จากงานวิจัย 95 ชิ้น พบว่า เมื่อเปรียบเทียบกับคนไม่กินผักผลไม้แล้ว คนที่กินผักผลไม้เพียงวันละ 200 กรัม (ประมาณ 2.5 ส่วน) มีสุขภาพดีกว่า มีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองลดลงร้อยละ 18 โรคหัวใจลดลงร้อยละ 16 โรคหัวใจและหลอดเลือดลดลงร้อยละ 13 โรคมะเร็งลดลงร้อยละ 4 และเสี่ยงที่จะตายก่อนวัยลดลงร้อยละ 15

และเมื่อเปรียบเทียบกับคนไม่กินผักผลไม้เช่นกัน คนที่กินผักผลไม้วันละ 800 กรัม (10 ส่วน) มีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองลดลงร้อยละ 33 โรคหัวใจลดลงร้อยละ 24 โรคหัวใจและหลอดเลือดลดลงร้อยละ 28 โรคมะเร็งลดลดร้อยละ 13 และตายก่อนวัยลดลงร้อยละ 31

แล้วผักผลไม้อะไรให้ประโยชน์กับสุขภาพมากที่สุด? คำตอบคือ แอปเปิล ลูกแพร์ ผักใบเขียว และผักตระกูลกะหล่ำ เช่น กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ บรอกโคลี คะน้า ฯลฯ

“หัวหอม” แก้หัวล้านได้นะ
โดยปกติผมจะร่วงวันละ 50-100 เส้น แล้วงอกขึ้นใหม่ แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น เรามีตัวช่วย ก็น้ำหัวหอมนั่นไง

มีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ เรื่องวิธีธรรมชาติในการรักษาผมร่วง สรุปได้ว่า การกินหัวหอมและการใช้น้ำหัวหอม มีประโยชน์ในการควบคุมอาการผมร่วง และปัญหาอื่นเกี่ยวกับผม เช่น รังแค โรคติดเชื้อรา โรคติดเชื้อยีสต์ และพบว่าน้ำหัวหอมยังมีประสิทธิภาพช่วยป้องกันผมหงอกก่อนวัยได้ดีอีกด้วย

เพราะหัวหอมอุดมด้วยสารซัลเฟอร์ ช่วยให้เลือดไหลเวียนสู่หนังศีรษะ นำสารอาหารไปสู่ปุ่มรากผมใต้หนังศีรษะ หล่อเลี้ยงเส้นผม และสารซัลเฟอร์ยังช่วยให้สร้างคอลลาเจนได้ดี ซึ่งสารนี้สำคัญต่อการงอกขึ้นใหม่และยาวเร็วขึ้น เพิ่มความแข็งแรงให้เส้นผม ป้องกันผมเส้นเล็กบาง และผมแตกขาด เพิ่มน้ำหนักให้เส้นผม รวมทั้งซัลเฟอร์ยังมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียด้วย ช่วยป้องกันเชื้อราและแบคทีเรียบนหนังศีรษะ ซึ่งจะช่วยลดโอกาสผมร่วงที่เกิดจากการติดเชื้อได้

ง่ายๆ..เพียงแค่คั้นน้ำจากหัวหอม ใช้น้ำหัวหอมอย่างเดียวหรือจะใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์แก้ผมร่วงอื่นๆด้วยก็ได้ ชโลมให้ทั่วหนังศีรษะ ทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาที หรือนานกว่านั้น (ถ้าทนกลิ่นฉุนเผ็ดได้) แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดและแชมพูอ่อนๆ ทำซ้ำเช่นนี้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง เป็นเวลาอย่างน้อย 2 เดือน แล้วคุณจะเห็นผล

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 199 กรกฎาคม 2560 โดย ธาราทิพย์)
กำลังโหลดความคิดเห็น