“วาสนานั้นเป็นไปตามอัธยาศัย
คนที่มีวาสนาในทางที่ดีมาแล้ว
แต่คบคนพาล วาสนาก็อาจเป็นคนพาลได้
บางคนวาสนายังอ่อน เมื่อคบบัณฑิต
วาสนาก็เลื่อนขึ้นเป็นบัณฑิต ฉะนั้น
บุคคลควรพยายามคบแต่บัณฑิต
เพื่อเลื่อนภูมิวาสนาของตนให้สูงขึ้น”
(หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)
ต้องเข้าใจว่า เรามีชีวิตอยู่ในโลกของพลังงาน นักจิตวิทยาค้นพบแล้วว่า ความคิด ความเชื่อ และความรู้สึกของเรา มีแรงดึงดูด และมันจะดึงดูดทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามาสู่ชีวิต อย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่าเราจะคิดดี คิดร้าย รู้สึกบวก หรือรู้สึกลบ สิ่งต่างๆที่เราคิด เชื่อ และรู้สึก จะถูกดึงดูดเข้ามาสู่ชีวิต
ดังนั้น การเลือกคบคน จึงต้องใช้ศิลปะในการพิจารณาว่า จะคบหรือไม่คบ เพราะผู้คนที่เราคบหาสมาคมด้วย ต่างมีผลต่อระดับพลังงานความคิด ความเชื่อ และความรู้สึกของเรา
หากวันนี้ชีวิตยังเต็มไปด้วยเรื่องแย่ๆ คนห่วยๆ เหตุการณ์ร้ายๆ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เราเป็นผู้ดึงดูดภาวะ เหล่านี้เข้ามาสู่ตัวเอง เพราะเราอยู่ในระดับพลังงานเดียวกับคนแบบนี้ เหตุการณ์เช่นนี้ สภาพแวดล้อมแบบนี้ พลังงานมันก็เลยเกิดการแลกเปลี่ยน และชนกันไปมา
มีนิทานอยู่เรื่องหนึ่ง อยากเล่าประกอบเป็นตัวอย่างให้ฟัง
มีชายคนหนึ่งกำลังเดินอยู่ริมถนน ทันใดนั้น เขาก็เจอไข่ฟองหนึ่ง มันเป็นไข่ของนกอินทรี เขาได้นำไข่ฟองนั้นกลับบ้าน และนำไปวางไว้ในรังไข่ไก่หลังบ้าน รวมกับไข่ไก่ฟองอื่นๆ
ต่อมาไม่นาน ลูกนกอินทรีก็ฟักออกมาจากไข่ พร้อมกับลูกไก่ตัวอื่นๆในรัง ทั้งชีวิตของนกอินทรีตัวนั้น ใช้ชีวิตเยี่ยงไก่ตัวหนึ่ง มันคุ้ยเขี่ยดินหาหนอนหาแมลงกินแบบไก่ ร้องกุ๊กๆ เหมือนไก่ และบินได้ไม่สูง
เมื่อเวลาผ่านไป อินทรีตัวนั้นเริ่มแก่ลง อยู่มาวันหนึ่ง มันเห็นอะไรบางอย่างบินอยู่เหนือท้องฟ้า และบินเข้าไปในกลีบเมฆอย่างสง่างาม
“เจ้านั่น คืออะไร...?” นกอินทรีแก่อุทานขึ้น
“อ้อ...! มันคือนกอินทรีไง” ไก่ตัวหนึ่งตอบ “เขาคือราชาแห่งนกทั้งปวง เจ้าแห่งท้องฟ้า แต่พวกเราอยู่ได้แค่บนพื้นดิน เพราะพวกเราเป็นไก่... อย่าไปสนใจเขาเลย นายไม่มีทางเป็นได้แบบเขาแน่”
และสุดท้าย นกอินทรีแก่ตัวนั้นก็ตายลงเยี่ยงไก่ตัวหนึ่ง!
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จงบินไปกับนกอินทรี หากวันนี้คุณยังคงคุ้ยเขี่ยดินกินแบบไก่ นั่นก็เพราะว่า คุณยังไม่ยอมออกบิน คุณก็จะไม่มีทางรู้เลยว่า ตัวเองนั้นบินได้สูงเพียงใด ที่สำคัญ แม้คุณจะเป็นอินทรีก็จริง แต่ถ้าไม่บิน คุณจะต้องวนเวียนหากินแบบไก่ไปตลอดชีวิต สมดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ใน “จักกสูตร” ว่า
“บุคคลพึงอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
ควรคบหาสมาคมอริยชนไว้เป็นมิตร
ถึงพร้อมด้วยความตั้งตนไว้ชอบ
มีบุญได้กระทำไว้แล้วในปางก่อน
ลาภยศ ทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียง
และความสุขย่อมหลั่งไหลมาสู่บุคคลนั้น”
หากเปรียบระดับพลังงานชีวิตเป็นเสมือนการพายเรือ ในระดับพลังงานต่ำนั้นก็เหมือนกับเรากำลังพายเรืออยู่ในคลองน้ำเน่า แน่นอนว่า พวกเศษสวะต่างๆ ต้องลอยเข้ามาติดเรือเราอย่างเลี่ยงไม่ได้เป็นธรรมดา
ในขณะที่ หากเป็นระดับพลังงานที่เหนือกว่า ภาพที่ออกมาก็คือ เรากำลังพายเรืออยู่ในคลองน้ำดี สีฟ้าคราม ใสสะอาด ปราศจากเศษสวะ เห็นแล้วชื่นตาเบิกบานใจ สองฟากฝั่งเต็มไปด้วยทัศนียภาพที่น่าหลงใหล เราจึงต้องยกระดับพลังงานของเราให้มาอยู่ตรงจุดนี้ จุดที่น่ารื่นรมย์ยินดี เพราะเป็นจุดที่พลังงานของเรา จะลอยอยู่เหนือพวกเศษสวะต่างๆ ที่น่าสะอิดสะเอียน
พลังงานดีๆ ในระดับนี้ หาได้จาก “กัลยาณมิตร” ย้ำอีกครั้งว่า ต้องเป็นกัลยาณมิตรเท่านั้น!! เพราะเรามีชีวิตอยู่ในโลกของพลังงาน และจิตของเราก็เป็นพลังงานชนิดหนึ่ง ซึ่งการคบมิตรนั้นจะส่งผลต่อระดับพลังงานชีวิตของเรา
มีเรื่องที่น่าแปลกแต่จริงก็คือ...
มนุษย์เรานั้น เมื่อไหร่ที่เราพบเจอใครแล้ว เราต่างฝากพลังงานไว้ในกันและกันเสมอ เคยสังเกตไหม เมื่อเราได้พบกับบางคน แม้ว่าเขาจะจากไปแล้ว แต่เราก็ยังนั่งอมยิ้มอยู่ ตรงกันข้ามกับบางคนที่ได้พบ ยามเขาจากไป ความหดหู่ก็เกิดขึ้น และเรายังสลัดไม่หลุด ยังซึมเศร้าต่ออีกหลายวัน นี่คือผลของระดับพลังงาน ซึ่งส่งมาจากการเลือกคบคน
เหตุนี้เองพระพุทธองค์จึงตรัสให้ระวังเรื่องการคบมิตร เป็นมงคลชีวิตในข้อที่ ๑ คือ ไม่คบคนพาล คบแต่บัณฑิต คือคบคนที่เป็นกัลยาณมิตร เพราะพลังงานดีๆ จากกัลยาณมิตร จะไหลถ่ายเทฝากเป็นพลังงานให้กับชีวิตของเรา เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีมีมงคล และสร้างสรรค์ เฉกเช่นเรื่องเล่าสุดคลาสสิก
ในยุคต้นพุทธกาล ชายคนหนึ่งนามว่า อหิงสกะ ไปเรียนวิชากับอาจารย์ที่สำนักอันเลื่องชื่อในสมัยนั้น จะด้วยอะไรก็แล้วแต่ ศิษย์ร่วมสำนักเดียวกันเกิดหมั่นไส้ นึกริษยาขึ้นในใจ จึงยุยงอาจารย์ว่าอหิงสกะคิดจะทำร้าย พอโดนกระทุ้งบ่อยๆ เข้า ปรากฏว่าอาจารย์เชื่อ จึงคิดออกอุบายกำจัดอหิงสกะ โดยบอกว่า ถ้าจะสำเร็จวิชาสุดยอดแห่งมนต์นี้ ต้องฆ่าคนให้ได้หนึ่งพันคน อหิงสกะเชื่ออาจารย์ จึงออกเดินทางฆ่าคน และเพื่อกันลืมจำนวนศพที่ฆ่าแล้ว จึงใช้วิธีตัดนิ้วหัวแม่มือมาร้อยเป็นพวงมาลัยคล้องคอ นี่เองคือที่มาของนาม “องคุลีมาล” ชื่อเสียงในความเหี้ยมโหดดังกระหึ่มไปทั่วเมือง ผู้คนต่างหวาดกลัวในความดุร้ายของฆาตกรฆ่าตัดนิ้วคน ว่ากันว่า เหลืออยู่เพียงศพเดียวก็จะครบหนึ่งพันนิ้ว
แต่ทว่าวันนั้น องคุลีมาลได้พบพระพุทธเจ้า ขณะที่พระองค์ก็เดินธรรมดาๆ แต่องคุลีมาลถึงกับวิ่งเหงื่อแตกพลักก็ยังตามไม่ทัน ในที่สุดหมดปัญญาไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลยร้องเรียก “สมณะ... หยุดก่อนๆ” พระพุทธองค์ตรัสตอบอย่างเมตตาว่า “เราหยุดแล้ว ท่านซิยังไม่หยุด”
“หยุดอะไร ทำไมยังเดินอยู่” องคุลีมาลแย้ง
“เราหยุดฆ่า หยุดเบียดเบียนชีวิตผู้อื่นแล้ว แต่ท่านต่างหากที่ยังไม่หยุด” พระพุทธองค์สะกิดด้วยธรรมะ แค่นี้แหละองคุลีมาลได้สติ ทิ้งดาบนั่งก้มกราบสำนึกผิด เกิดความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า จึงขอบวชเป็นพุทธสาวก ต่อมาท่านก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ที่สำคัญองค์หนึ่งในพระพุทธศาสนา
จับคติจากสตอรี่ขององคุลีมาล หากคบคนพาล (อาจารย์) เป็นมิตร ชีวิตพลิกผันกลายเป็นมหาโจร ในทางกลับกัน หากคบกัลยาณมิตร (พระพุทธเจ้า) ชีวิตเปลี่ยนยกระดับกลายเป็นพระอรหันต์
คล้ายกับ “ริชาร์ด เกียร์” ดาราดังฮอลลีวู้ด ผู้ได้สมญานามว่า “อเมริกันโพธิสัตว์” จากคนที่ความสุขหายไปจากชีวิต เมื่อได้พบกัลยาณมิตรอย่างองค์ทะไลลามะที่ ๑๔ เขากล่าวว่า“มันเหมือนรักแรกพบ ผมรู้สึกได้ถึงความเชื่อมั่นและความสงบทันที มันยากมากที่คุณจะพบคนที่มีความต้องการเพียงสิ่งเดียว คือ ให้คุณมีความสุข และท่านรู้หนทางนำไปสู่สุข เมื่อคุณปฏิบัติตามด้วยความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว คุณจะพบความสุขในที่สุด” นี่คืออิทธิพลของกัลยาณมิตร
ดังนั้น...ถ้าวันนี้เรายังลอยเรืออยู่ในคลองน้ำเน่า
ก็อย่าหวังว่าจะเจอเรื่องดี
ลอยขึ้นมาเป็นเรือเหาะ
เกาะไว้แต่คนที่คิดดี พูดดี ทำดี
ยกระดับพลังงานตัวเองขึ้นมาให้สูงอยู่เหนือพวกคนพาล
แล้วเราจะไม่มีวันพบเศษสวะอีกต่อไป
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 195 มีนาคม 2560 โดย ทาสโพธิญาณ)
คนที่มีวาสนาในทางที่ดีมาแล้ว
แต่คบคนพาล วาสนาก็อาจเป็นคนพาลได้
บางคนวาสนายังอ่อน เมื่อคบบัณฑิต
วาสนาก็เลื่อนขึ้นเป็นบัณฑิต ฉะนั้น
บุคคลควรพยายามคบแต่บัณฑิต
เพื่อเลื่อนภูมิวาสนาของตนให้สูงขึ้น”
(หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)
ต้องเข้าใจว่า เรามีชีวิตอยู่ในโลกของพลังงาน นักจิตวิทยาค้นพบแล้วว่า ความคิด ความเชื่อ และความรู้สึกของเรา มีแรงดึงดูด และมันจะดึงดูดทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามาสู่ชีวิต อย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่าเราจะคิดดี คิดร้าย รู้สึกบวก หรือรู้สึกลบ สิ่งต่างๆที่เราคิด เชื่อ และรู้สึก จะถูกดึงดูดเข้ามาสู่ชีวิต
ดังนั้น การเลือกคบคน จึงต้องใช้ศิลปะในการพิจารณาว่า จะคบหรือไม่คบ เพราะผู้คนที่เราคบหาสมาคมด้วย ต่างมีผลต่อระดับพลังงานความคิด ความเชื่อ และความรู้สึกของเรา
หากวันนี้ชีวิตยังเต็มไปด้วยเรื่องแย่ๆ คนห่วยๆ เหตุการณ์ร้ายๆ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เราเป็นผู้ดึงดูดภาวะ เหล่านี้เข้ามาสู่ตัวเอง เพราะเราอยู่ในระดับพลังงานเดียวกับคนแบบนี้ เหตุการณ์เช่นนี้ สภาพแวดล้อมแบบนี้ พลังงานมันก็เลยเกิดการแลกเปลี่ยน และชนกันไปมา
มีนิทานอยู่เรื่องหนึ่ง อยากเล่าประกอบเป็นตัวอย่างให้ฟัง
มีชายคนหนึ่งกำลังเดินอยู่ริมถนน ทันใดนั้น เขาก็เจอไข่ฟองหนึ่ง มันเป็นไข่ของนกอินทรี เขาได้นำไข่ฟองนั้นกลับบ้าน และนำไปวางไว้ในรังไข่ไก่หลังบ้าน รวมกับไข่ไก่ฟองอื่นๆ
ต่อมาไม่นาน ลูกนกอินทรีก็ฟักออกมาจากไข่ พร้อมกับลูกไก่ตัวอื่นๆในรัง ทั้งชีวิตของนกอินทรีตัวนั้น ใช้ชีวิตเยี่ยงไก่ตัวหนึ่ง มันคุ้ยเขี่ยดินหาหนอนหาแมลงกินแบบไก่ ร้องกุ๊กๆ เหมือนไก่ และบินได้ไม่สูง
เมื่อเวลาผ่านไป อินทรีตัวนั้นเริ่มแก่ลง อยู่มาวันหนึ่ง มันเห็นอะไรบางอย่างบินอยู่เหนือท้องฟ้า และบินเข้าไปในกลีบเมฆอย่างสง่างาม
“เจ้านั่น คืออะไร...?” นกอินทรีแก่อุทานขึ้น
“อ้อ...! มันคือนกอินทรีไง” ไก่ตัวหนึ่งตอบ “เขาคือราชาแห่งนกทั้งปวง เจ้าแห่งท้องฟ้า แต่พวกเราอยู่ได้แค่บนพื้นดิน เพราะพวกเราเป็นไก่... อย่าไปสนใจเขาเลย นายไม่มีทางเป็นได้แบบเขาแน่”
และสุดท้าย นกอินทรีแก่ตัวนั้นก็ตายลงเยี่ยงไก่ตัวหนึ่ง!
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จงบินไปกับนกอินทรี หากวันนี้คุณยังคงคุ้ยเขี่ยดินกินแบบไก่ นั่นก็เพราะว่า คุณยังไม่ยอมออกบิน คุณก็จะไม่มีทางรู้เลยว่า ตัวเองนั้นบินได้สูงเพียงใด ที่สำคัญ แม้คุณจะเป็นอินทรีก็จริง แต่ถ้าไม่บิน คุณจะต้องวนเวียนหากินแบบไก่ไปตลอดชีวิต สมดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ใน “จักกสูตร” ว่า
“บุคคลพึงอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
ควรคบหาสมาคมอริยชนไว้เป็นมิตร
ถึงพร้อมด้วยความตั้งตนไว้ชอบ
มีบุญได้กระทำไว้แล้วในปางก่อน
ลาภยศ ทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียง
และความสุขย่อมหลั่งไหลมาสู่บุคคลนั้น”
หากเปรียบระดับพลังงานชีวิตเป็นเสมือนการพายเรือ ในระดับพลังงานต่ำนั้นก็เหมือนกับเรากำลังพายเรืออยู่ในคลองน้ำเน่า แน่นอนว่า พวกเศษสวะต่างๆ ต้องลอยเข้ามาติดเรือเราอย่างเลี่ยงไม่ได้เป็นธรรมดา
ในขณะที่ หากเป็นระดับพลังงานที่เหนือกว่า ภาพที่ออกมาก็คือ เรากำลังพายเรืออยู่ในคลองน้ำดี สีฟ้าคราม ใสสะอาด ปราศจากเศษสวะ เห็นแล้วชื่นตาเบิกบานใจ สองฟากฝั่งเต็มไปด้วยทัศนียภาพที่น่าหลงใหล เราจึงต้องยกระดับพลังงานของเราให้มาอยู่ตรงจุดนี้ จุดที่น่ารื่นรมย์ยินดี เพราะเป็นจุดที่พลังงานของเรา จะลอยอยู่เหนือพวกเศษสวะต่างๆ ที่น่าสะอิดสะเอียน
พลังงานดีๆ ในระดับนี้ หาได้จาก “กัลยาณมิตร” ย้ำอีกครั้งว่า ต้องเป็นกัลยาณมิตรเท่านั้น!! เพราะเรามีชีวิตอยู่ในโลกของพลังงาน และจิตของเราก็เป็นพลังงานชนิดหนึ่ง ซึ่งการคบมิตรนั้นจะส่งผลต่อระดับพลังงานชีวิตของเรา
มีเรื่องที่น่าแปลกแต่จริงก็คือ...
มนุษย์เรานั้น เมื่อไหร่ที่เราพบเจอใครแล้ว เราต่างฝากพลังงานไว้ในกันและกันเสมอ เคยสังเกตไหม เมื่อเราได้พบกับบางคน แม้ว่าเขาจะจากไปแล้ว แต่เราก็ยังนั่งอมยิ้มอยู่ ตรงกันข้ามกับบางคนที่ได้พบ ยามเขาจากไป ความหดหู่ก็เกิดขึ้น และเรายังสลัดไม่หลุด ยังซึมเศร้าต่ออีกหลายวัน นี่คือผลของระดับพลังงาน ซึ่งส่งมาจากการเลือกคบคน
เหตุนี้เองพระพุทธองค์จึงตรัสให้ระวังเรื่องการคบมิตร เป็นมงคลชีวิตในข้อที่ ๑ คือ ไม่คบคนพาล คบแต่บัณฑิต คือคบคนที่เป็นกัลยาณมิตร เพราะพลังงานดีๆ จากกัลยาณมิตร จะไหลถ่ายเทฝากเป็นพลังงานให้กับชีวิตของเรา เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีมีมงคล และสร้างสรรค์ เฉกเช่นเรื่องเล่าสุดคลาสสิก
ในยุคต้นพุทธกาล ชายคนหนึ่งนามว่า อหิงสกะ ไปเรียนวิชากับอาจารย์ที่สำนักอันเลื่องชื่อในสมัยนั้น จะด้วยอะไรก็แล้วแต่ ศิษย์ร่วมสำนักเดียวกันเกิดหมั่นไส้ นึกริษยาขึ้นในใจ จึงยุยงอาจารย์ว่าอหิงสกะคิดจะทำร้าย พอโดนกระทุ้งบ่อยๆ เข้า ปรากฏว่าอาจารย์เชื่อ จึงคิดออกอุบายกำจัดอหิงสกะ โดยบอกว่า ถ้าจะสำเร็จวิชาสุดยอดแห่งมนต์นี้ ต้องฆ่าคนให้ได้หนึ่งพันคน อหิงสกะเชื่ออาจารย์ จึงออกเดินทางฆ่าคน และเพื่อกันลืมจำนวนศพที่ฆ่าแล้ว จึงใช้วิธีตัดนิ้วหัวแม่มือมาร้อยเป็นพวงมาลัยคล้องคอ นี่เองคือที่มาของนาม “องคุลีมาล” ชื่อเสียงในความเหี้ยมโหดดังกระหึ่มไปทั่วเมือง ผู้คนต่างหวาดกลัวในความดุร้ายของฆาตกรฆ่าตัดนิ้วคน ว่ากันว่า เหลืออยู่เพียงศพเดียวก็จะครบหนึ่งพันนิ้ว
แต่ทว่าวันนั้น องคุลีมาลได้พบพระพุทธเจ้า ขณะที่พระองค์ก็เดินธรรมดาๆ แต่องคุลีมาลถึงกับวิ่งเหงื่อแตกพลักก็ยังตามไม่ทัน ในที่สุดหมดปัญญาไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลยร้องเรียก “สมณะ... หยุดก่อนๆ” พระพุทธองค์ตรัสตอบอย่างเมตตาว่า “เราหยุดแล้ว ท่านซิยังไม่หยุด”
“หยุดอะไร ทำไมยังเดินอยู่” องคุลีมาลแย้ง
“เราหยุดฆ่า หยุดเบียดเบียนชีวิตผู้อื่นแล้ว แต่ท่านต่างหากที่ยังไม่หยุด” พระพุทธองค์สะกิดด้วยธรรมะ แค่นี้แหละองคุลีมาลได้สติ ทิ้งดาบนั่งก้มกราบสำนึกผิด เกิดความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า จึงขอบวชเป็นพุทธสาวก ต่อมาท่านก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ที่สำคัญองค์หนึ่งในพระพุทธศาสนา
จับคติจากสตอรี่ขององคุลีมาล หากคบคนพาล (อาจารย์) เป็นมิตร ชีวิตพลิกผันกลายเป็นมหาโจร ในทางกลับกัน หากคบกัลยาณมิตร (พระพุทธเจ้า) ชีวิตเปลี่ยนยกระดับกลายเป็นพระอรหันต์
คล้ายกับ “ริชาร์ด เกียร์” ดาราดังฮอลลีวู้ด ผู้ได้สมญานามว่า “อเมริกันโพธิสัตว์” จากคนที่ความสุขหายไปจากชีวิต เมื่อได้พบกัลยาณมิตรอย่างองค์ทะไลลามะที่ ๑๔ เขากล่าวว่า“มันเหมือนรักแรกพบ ผมรู้สึกได้ถึงความเชื่อมั่นและความสงบทันที มันยากมากที่คุณจะพบคนที่มีความต้องการเพียงสิ่งเดียว คือ ให้คุณมีความสุข และท่านรู้หนทางนำไปสู่สุข เมื่อคุณปฏิบัติตามด้วยความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว คุณจะพบความสุขในที่สุด” นี่คืออิทธิพลของกัลยาณมิตร
ดังนั้น...ถ้าวันนี้เรายังลอยเรืออยู่ในคลองน้ำเน่า
ก็อย่าหวังว่าจะเจอเรื่องดี
ลอยขึ้นมาเป็นเรือเหาะ
เกาะไว้แต่คนที่คิดดี พูดดี ทำดี
ยกระดับพลังงานตัวเองขึ้นมาให้สูงอยู่เหนือพวกคนพาล
แล้วเราจะไม่มีวันพบเศษสวะอีกต่อไป
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 195 มีนาคม 2560 โดย ทาสโพธิญาณ)