xs
xsm
sm
md
lg

ความรู้คู่สุขภาพ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ขจัดกลิ่นปากจากกระเทียมในอึดใจเดียว
กระเทียมเป็นศัตรูตัวฉกาจของกลิ่นปาก แต่นักวิทยาศาสตร์จากสหรัฐอเมริกาพบวิธีแก้ปัญหาแล้ว ด้วยการเคี้ยวแอปเปิ้ลสดหรือผักกาดหอม

โดยมีการวิจัยให้กลุ่มทดลองเคี้ยวกระเทียมนาน 25 วินาที แล้วกินอาหารต่างชนิดกันตามติดไปทันที ได้แก่ น้ำเปล่า แอปเปิ้ล ผักกาดหอม ใบมินต์ หรือชาเขียว ปรากฏว่าแอปเปิ้ลและชาเขียว มีประสิทธิภาพลดความเข้มข้นของสารประกอบในกระเทียมออกจากลมหายใจได้ดีที่สุด ภายในเวลา 30 นาที

ในกระเทียมมีสารชื่ออัลลิซิน(allicin) เมื่อถูกบดเคี้ยวจะแตกออก ปล่อยกลิ่นพิเศษเฉพาะตัวออกมาเคลือบทั่วปาก เมื่อกลืนเข้าไป มันจะเคลื่อนจากลำไส้เข้าสู่กระแสโลหิตและปอด ปักหลักอยู่ในนั้น แล้วส่งกลิ่นออกมาเรื่อยๆ การแปรงฟันช่วยได้เพียงขจัดเศษกระเทียมออกจากซอกฟัน แต่ไม่อาจหยุดยั้งกลิ่นที่โชยออกมาจากปอดพร้อมลมหายใจได้

การแก้ปัญหาอย่างได้ผล ต้องกินผักกาดหอมหรือแอปเปิ้ลพร้อมกับกระเทียม หรือกินตามไปทันที ถ้าทิ้งช่วงเพียง 2-3 นาที กระเทียมก็จะเคลื่อนไปถึงลำไส้และกระแสเลือด ถึงเวลานั้นจะส่งแอปเปิ้ลหรือผักกาดหอมไปขับไล่อย่างไร เห็นจะไม่ได้ผลแล้ว

ออกกำลังกายแบบแอโรบิก ช่วยผู้สูงอายุที่ความจำเสื่อมได้
การออกกำลังกายช่วยลดความเสี่ยงปัญหาด้านความจำ แต่คำถามคือ คนที่เกิดปัญหาแล้ว จะช่วยให้ดีขึ้นหรือหยุดความเสียหายไว้ไม่ให้แย่ลงได้หรือไม่ และคำตอบก็คือ มีการศึกษาที่ประเทศแคนาดายืนยันแล้วว่า การออกกำลังกายแบบแอโรบิกเป็นประจำช่วยได้จริงๆ

มีการศึกษาผู้สูงอายุ 70 คน อายุเฉลี่ย 74 ปี ที่มีปัญหาการสูญเสียความสามารถของสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความทรงจำ ที่เกิดจากหลอดเลือดสมองตีบตันเล็กน้อย โดยเปรียบเทียบผู้สูงอายุที่ออกกำลังกายกับไม่ออกกำลังกาย พบว่า กลุ่มออกกำลังกายมีผลการทดสอบทักษะด้านความคิดโดยรวมดีกว่าเล็กน้อย อีกทั้งมีระดับความดันโลหิตดีกว่าด้วย จึงลดความเสี่ยงที่จะการเกิดเส้นเลือดสมองตีบ และเกิดความเสียหายกับเส้นเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคสมองเสื่อม

การออกกำลังกายแบบแอโรบิก หรือ “คาร์ดิโอ” เป็นการออกกำลังกายที่ต้องมีการเคลื่อนไหวตลอดทั้งร่างกายอย่างต่อเนื่อง ร่างกายจะใช้ออกซิเจนตลอดเวลาในขณะที่ออกกำลังกาย หัวใจจะเต้นเร็วขึ้น กล้ามเนื้อจะได้รับพลังงานจากการใช้ออกซิเจนในการเผาผลาญอาหารไปสร้างพลังงาน ตัวอย่างเช่น การเต้นแอโรบิก เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เป็นต้น

ระวัง!! เอวใหญ่ขึ้น อาจทำให้เป็นมะเร็งตับ
มะเร็งตับไม่ใช่แค่การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป หรือติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเท่านั้น ยังมีเรื่องดัชนีมวลกาย (BMI) สูง รอบเอวที่เพิ่มขึ้น และโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นสามปัจจัยที่อาจทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งตับด้วย

มีการศึกษาในผู้ใหญ่ที่สหรัฐอเมริกา 1.57 ล้านคน พบว่า ดัชนีมวลกายที่สูงขึ้นทุก 5 กิโลกรัม/เมตร2 จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับ 38% ในชาย และ 25% ในหญิง รอบเอวที่เพิ่มขึ้นทุก 5 ซม. จะเพิ่มความเสี่ยง 8% และผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อาจถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งตับเพิ่มขึ้น 2.61 เท่า

ผลการศึกษานี้ตรงกับข้อมูลอื่นๆ ที่ชี้ว่า โรคอ้วนและโรคเบาหวานอาจมีส่วนสำคัญทำให้คนเป็นโรคมะเร็งตับในทศวรรษนี้กันมาก และยิ่งเป็นการเพิ่มหลักฐานสนับสนุนให้บรรจุมะเร็งตับ เข้าในบัญชีรายชื่อโรคมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับภาวะอ้วนด้วย

“ขมิ้นชัน” รักษาโรคสะเก็ดเงินได้มั้ย?
โรคสะเก็ดเงิน หรือโรคเรื้อนกวาเป็นโรคผิวหนังเรื้อรังชนิดหนึ่ง เกิดจากการอักเสบของผิวหนัง มีลักษณะเป็นผื่นปื้นแดงๆ ตุ่มหนอง มีสะเก็ดขุยๆสีขาวๆ และมีอาการคัน ถ้าอาการรุนแรงอาจจะเกิดผื่นและขุยลอกทั่วร่างกายได้ มักเกิดบริเวณที่ถูกเสียดสีบ่อยๆ หนังศีรษะและเล็บ

แพทย์แผนปัจจุบันบอกว่า โรคนี้รักษาไม่หายขาด แต่ตำรับยาไทยหลายขนานใช้ขมิ้นชันในการรักษาโรคเกี่ยวกับผิวหนังและการอักเสบ ดังนั้น จึงเกิดงานวิจัยหลายชิ้น เพื่อตรวจสอบสรรพคุณในการรักษาโรคสะเก็ดเงิน

งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารวิจัยทางเภสัชกรรมของอิหร่าน (Iranian Journal of Pharmaceutical Research) ได้เปิดเผยผลการทดลองใช้ขมิ้นชันนาน 9 สัปดาห์ พบว่า ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินมีอาการดีขึ้น ลดขนาดของผื่นลง ในงานวิจัยต่อมาบอกว่าฤทธิ์ต้านอักเสบของขมิ้นชัน อาจจะช่วยรักษาโรคสะเก็ดเงินได้

ขณะที่ในวารสารสถาบันโรคผิวหนังของอเมริกา (Journal of the American Academy of Dermatology) ได้ตีพิมพ์ผลการศึกษาเกี่ยวกับผลของขมิ้นชันกับโรคสะเก็ดเงินว่า ขมิ้นชันที่เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารให้ผลน้อย อาจเทียบเท่ากับยาหลอก

โดยสรุปก็คือ ผลการวิจัยฤทธิ์ของขมิ้นชันต่อโรคสะเก็ดเงินยังไม่แน่ชัด และยังควรระวังสำหรับคนที่เป็นโรคเกี่ยวกับไต เช่น นิ่ว และหากกินปริมาณมากเป็นเวลานาน อาจทำให้คลื่นไส้ ท้องเสีย และอาหารไม่ย่อย

เปลือกส้มดี มีประโยชน์เกินคาด
ใครๆก็รู้ว่าส้มมีประโยชน์กับสุขภาพแค่ไหน และแม้กระทั่งเปลือกส้มก็มีประโยชน์ไม่น้อย แค่ขูดผิวเปลือกส้มเป็นเส้นเล็กละเอียดใส่อาหาร จะช่วยเพิ่มรสชาติและคุณค่าทางอาหาร รวมทั้งยังมีประโยชน์มากมายหลายอย่างที่ไม่ควรมองข้าม ตัวอย่างเช่น เปลือกส้มมีทั้งโปรตีน โปแตสเซียม วิตามินเอ วิตามินบี 2 และอุดมด้วยแคลเซียมซึ่งช่วยบำรุงกระดูกและฟัน

จากการศึกษาในสหรัฐอเมริกาของภาควิชาพืชสวนและภูมิสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยเพอร์ดู เปรียบเทียบระหว่างเนื้อส้มและเปลือกส้มอย่างละ 100 กรัมเท่าๆกัน เนื้อส้มมีแคลเซียม 40 มิลลิกรัม ขณะที่เปลือกส้มมีแคลเซียมถึง 161 มิลลิกรัม และการศึกษาของมหาวิทยาลัยระบบสุขภาพมิชิแกน พบว่า เพียงต้มเปลือกส้มแห้ง 1-2 กรัม ในน้ำ 3 ถ้วย ชงดื่มเป็นชา จะแก้อาการอาหารไม่ย่อย และอาการแสบร้อนกลางอกจากกรดไหลย้อน รวมทั้งยังมีการใช้เปลือกส้มรักษาอาการนอนไม่หลับ และใช้เป็นยาระบายด้วย

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 195 มีนาคม 2560 โดย ธาราทิพย์)
กำลังโหลดความคิดเห็น