โรคเบาหวาน เป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากตับอ่อนไม่สามารถสร้างฮอร์โมนอินซูลิน หรือร่างกายสร้างอินซูลิน แต่ไม่สามารถนำไปใช้ได้ ทำให้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น และมีความผิดปกติในการทำงานของเซลล์
ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานจะมีน้ำตาลออกมากับปัสสาวะ ผู้ป่วยจะมีอาการปัสสาวะบ่อย ดื่มน้ำมาก กินอาหารได้ แต่น้ำหนักลด การตรวจที่ทำให้ทราบว่าเป็นเบาหวาน คือ ตรวจพบมีน้ำตาลในปัสสาวะ ตรวจเลือดพบมีระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง มีค่า 126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือมากกว่า
ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานเป็นเวลานานจะมีโรคแทรกซ้อนที่สำคัญ คือ
1. จอประสาทตาผิดปกติจากโรคเบาหวาน เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดตาบอดและสายตาพิการ
2. โรคไตจากเบาหวาน โดยมีโปรตีนออกมากับปัสสาวะ มีความดันโลหิตสูง และการทำงานของไตเสื่อมลง
3. โรคหัวใจ พบว่าเป็นสาเหตุของการตายในผู้ป่วยเบาหวานถึงร้อยละ 50
4. ประสาทผิดปกติจากเบาหวาน มีการชาตามปลายมือ ปลายเท้า
5. เท้าเป็นแผลเรื้อรัง เกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือด และปลายประสาทที่เท้า ทำให้เท้าชาและเกิดแผลเรื้อรัง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องตัดขา
ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน ประมาณร้อยละ50ไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรค ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานนาน15 ปี มีร้อยละ 2 ที่เกิดตาบอดและร้อยละ 10 ที่มีสายตาเลือนราง การที่ประชากรอายุยืนยาวขึ้น ทำให้มีโอกาสพบผู้ป่วยที่มีสายตาพิการและตาบอดจากโรคเบาหวานมากขึ้น
• สาเหตุของตามัวและตาบอดในโรคเบาหวาน
อาการตามัวจากเบาหวานเกิดได้จากสาเหตุต่าง ๆ ดังนี้
1. ตามัวขณะที่มีน้ำตาลในเลือดสูง
ผู้ป่วยเบาหวานอาจมีอาการตามัวในขณะที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง เนื่องจากเลนส์ตาเกิดการบวมน้ำ เวลามองภาพไม่สามารถปรับโฟกัสภาพให้ชัดได้ อาการเหล่านี้เกิดเพียงชั่วคราว เมื่อควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ การเห็นจะกลับดีขึ้นได้
2. ตามัวจากการเกิดต้อกระจก
ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานนานๆ เลนส์ตาที่เดิมใสจะขุ่นขึ้น เรียกว่าต้อกระจก เกิดเนื่องจากน้ำตาลในเลือดมีการเปลี่ยนแปลงเป็นสารซอบิตอล และฟรุกโตส สารเหล่านี้สะสมที่เลนส์ตา ทำให้เลนส์ตาขุ่น บังแสงมิให้เข้าสู่นัยน์ตา วิธีรักษา คือ เมื่อต้อกระจกขุ่นมาก ทำการผ่าตัดเอาเลนส์ที่ขุ่นออก และใส่เลนส์เทียมเข้าไปแทน
3. ตามัวเนื่องจากมีจอประสาทตาผิดปกติ
ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานมานาน จอประสาทตาจะมีการเปลี่ยนแปลง โดยระยะแรกหลอดเลือดฝอยที่จอประสาทตามีการโป่งพอง และอาจแตกเห็นเป็นจุดเลือดออกเล็กๆ อาจพบไขมันออกมาจากผนังหลอดเลือดเหล่านี้เห็นเป็นก้อนสีเหลือง ไขมันที่รวมตัวใกล้จุดรับภาพที่จอประสาทตาร่วมกับจอประสาทตาบวม ทำให้ตามัวมองภาพไม่ชัด
ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานมานานเป็นสิบๆปี จอประสาทตาส่วนที่ขาดเลือด จะถูกกระตุ้นให้เกิดหลอดเลือดใหม่ที่ผิดปกติ หลอดเลือดเหล่านี้มีผนังเปราะแตกง่าย ทำให้มีเลือดออกภายในลูกตา ผู้ป่วยจะตามัวลงทันที
นอกจากนี้ อาจเกิดเนื้อเยื่อคล้ายพังพืด งอกตามหลอดเลือดและดึงรั้ง ทำให้จอประสาทตาลอกและตาบอดได้ ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานมานาน 15 ปี โอกาสที่จอประสาทตาผิดปกติมีร้อยละ 50-60
4. ตาบอดจากต้อหิน
ผู้ป่วยเบาหวานที่เกิดจอประสาทตาผิดปกติ อาจพบมีหลอดเลือดผิดปกติเกิดขึ้นที่บริเวณม่านตา หลอดเลือดเหล่านี้จะอุดทางเดินของน้ำภายในลูกตา ทำให้ความดันตาสูง ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตา ตามัว เมื่อเป็นนานเข้า ความดันตาที่สูงจะกดให้ประสาทตาฝ่อ และตาบอดได้
• การป้องกันมิให้สายตาเสื่อมลง
ก. ตรวจสุขภาพตาเป็นระยะๆ
ผู้ป่วยเบาหวานควรได้รับการตรวจสายตา และจอประสาทตา การเปลี่ยนแปลงของจอประสาทตาระยะแรก คือ พบการโป่งพองของหลอดเลือดฝอยที่จอประสาทตา สิ่งสำคัญที่บอกถึงการพยากรณ์โรค และอัตราเสี่ยงต่อการเกิดตาบอดในภายหลัง คือ การพบหลอดเลือดผิดปกติที่เกิดขึ้นใหม่ ซึ่งเห็นได้โดยใช้กล้องตรวจดูจอประสาทตา หรือโดยการถ่ายภาพจอประสาทตา
ข. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ระดับไขมัน และความดันโลหิต
การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ระดับไขมัน และความดันโลหิตมิให้สูงเกินไป จะช่วยลดการเปลี่ยนแปลงที่จอประสาทตา ควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในระดับ 90-130 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ระดับโคเลสเตอรอลต่ำกว่า 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ระดับไตรกลีเซอไรด์ต่ำกว่า 150 มิลลิกรัม/เดซิลิตร และคุมระดับความดันโลหิตให้ต่ำกว่า 130/80 มิลลิเมตรปรอท
ค. ทำการรักษาจอประสาทตาโดยแสงเลเซอร์
แสงเลเซอร์เป็นแสงที่มีความยาวของคลื่นแสงขนาดเดียวกัน สามารถปรับให้ลำแสงมีขนาดเล็กลงมาก แสงนี้สามารถผ่านตาดำ เลนส์ตา เข้าสู่จอประสาทตา เมื่อกระทบจอประสาทตา แสงจะเปลี่ยนจากพลังงานแสงเป็นพลังงานความร้อน ผู้ป่วยเบาหวานที่มีจอประสาทตาผิดปกติ มีหลอดเลือดโป่งพองจำนวนมาก และมีเลือดออกในจอประสาทตา การใช้แสงเลเซอร์จี้ที่ประสาทตา จะทำให้ส่วนของประสาทตาที่ขาดเลือด ต้องการออกซิเจนลดลง เป็นการป้องกันมิให้เกิดหลอดเลือดใหม่ที่ผิดปกติ นอกจากนี้ การจี้เลเซอร์ยังทำให้หลอดเลือดผิดปกติที่เกิดขึ้นแล้วฝ่อลงไปได้
สรุป ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน มีผลแทรกซ้อนที่สำคัญทางจักษุที่ทำให้ตามัวคือ ความผิดปกติในจอประสาทตา การเกิดต้อกระจกและต้อหิน การป้องกันมิให้สายตาเลวลงโดยตรวจสุขภาพตาเป็นระยะๆ เมื่อพบการเปลี่ยนแปลงที่จอประสาทตาเกิดมากขึ้น การรักษาโดยแสงเลเซอร์จะช่วยป้องกันมิให้สายตาเลวลง
(เครดิตข้อมูล : si.mahidol.ac.th)
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 194 กุมภาพันธ์ 2560 โดย ศ.คลินิก นพ.อภิชาติ สิงคาลวณิช ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล)
ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานจะมีน้ำตาลออกมากับปัสสาวะ ผู้ป่วยจะมีอาการปัสสาวะบ่อย ดื่มน้ำมาก กินอาหารได้ แต่น้ำหนักลด การตรวจที่ทำให้ทราบว่าเป็นเบาหวาน คือ ตรวจพบมีน้ำตาลในปัสสาวะ ตรวจเลือดพบมีระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง มีค่า 126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือมากกว่า
ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานเป็นเวลานานจะมีโรคแทรกซ้อนที่สำคัญ คือ
1. จอประสาทตาผิดปกติจากโรคเบาหวาน เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดตาบอดและสายตาพิการ
2. โรคไตจากเบาหวาน โดยมีโปรตีนออกมากับปัสสาวะ มีความดันโลหิตสูง และการทำงานของไตเสื่อมลง
3. โรคหัวใจ พบว่าเป็นสาเหตุของการตายในผู้ป่วยเบาหวานถึงร้อยละ 50
4. ประสาทผิดปกติจากเบาหวาน มีการชาตามปลายมือ ปลายเท้า
5. เท้าเป็นแผลเรื้อรัง เกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือด และปลายประสาทที่เท้า ทำให้เท้าชาและเกิดแผลเรื้อรัง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องตัดขา
ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน ประมาณร้อยละ50ไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรค ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานนาน15 ปี มีร้อยละ 2 ที่เกิดตาบอดและร้อยละ 10 ที่มีสายตาเลือนราง การที่ประชากรอายุยืนยาวขึ้น ทำให้มีโอกาสพบผู้ป่วยที่มีสายตาพิการและตาบอดจากโรคเบาหวานมากขึ้น
• สาเหตุของตามัวและตาบอดในโรคเบาหวาน
อาการตามัวจากเบาหวานเกิดได้จากสาเหตุต่าง ๆ ดังนี้
1. ตามัวขณะที่มีน้ำตาลในเลือดสูง
ผู้ป่วยเบาหวานอาจมีอาการตามัวในขณะที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง เนื่องจากเลนส์ตาเกิดการบวมน้ำ เวลามองภาพไม่สามารถปรับโฟกัสภาพให้ชัดได้ อาการเหล่านี้เกิดเพียงชั่วคราว เมื่อควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ การเห็นจะกลับดีขึ้นได้
2. ตามัวจากการเกิดต้อกระจก
ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานนานๆ เลนส์ตาที่เดิมใสจะขุ่นขึ้น เรียกว่าต้อกระจก เกิดเนื่องจากน้ำตาลในเลือดมีการเปลี่ยนแปลงเป็นสารซอบิตอล และฟรุกโตส สารเหล่านี้สะสมที่เลนส์ตา ทำให้เลนส์ตาขุ่น บังแสงมิให้เข้าสู่นัยน์ตา วิธีรักษา คือ เมื่อต้อกระจกขุ่นมาก ทำการผ่าตัดเอาเลนส์ที่ขุ่นออก และใส่เลนส์เทียมเข้าไปแทน
3. ตามัวเนื่องจากมีจอประสาทตาผิดปกติ
ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานมานาน จอประสาทตาจะมีการเปลี่ยนแปลง โดยระยะแรกหลอดเลือดฝอยที่จอประสาทตามีการโป่งพอง และอาจแตกเห็นเป็นจุดเลือดออกเล็กๆ อาจพบไขมันออกมาจากผนังหลอดเลือดเหล่านี้เห็นเป็นก้อนสีเหลือง ไขมันที่รวมตัวใกล้จุดรับภาพที่จอประสาทตาร่วมกับจอประสาทตาบวม ทำให้ตามัวมองภาพไม่ชัด
ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานมานานเป็นสิบๆปี จอประสาทตาส่วนที่ขาดเลือด จะถูกกระตุ้นให้เกิดหลอดเลือดใหม่ที่ผิดปกติ หลอดเลือดเหล่านี้มีผนังเปราะแตกง่าย ทำให้มีเลือดออกภายในลูกตา ผู้ป่วยจะตามัวลงทันที
นอกจากนี้ อาจเกิดเนื้อเยื่อคล้ายพังพืด งอกตามหลอดเลือดและดึงรั้ง ทำให้จอประสาทตาลอกและตาบอดได้ ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานมานาน 15 ปี โอกาสที่จอประสาทตาผิดปกติมีร้อยละ 50-60
4. ตาบอดจากต้อหิน
ผู้ป่วยเบาหวานที่เกิดจอประสาทตาผิดปกติ อาจพบมีหลอดเลือดผิดปกติเกิดขึ้นที่บริเวณม่านตา หลอดเลือดเหล่านี้จะอุดทางเดินของน้ำภายในลูกตา ทำให้ความดันตาสูง ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตา ตามัว เมื่อเป็นนานเข้า ความดันตาที่สูงจะกดให้ประสาทตาฝ่อ และตาบอดได้
• การป้องกันมิให้สายตาเสื่อมลง
ก. ตรวจสุขภาพตาเป็นระยะๆ
ผู้ป่วยเบาหวานควรได้รับการตรวจสายตา และจอประสาทตา การเปลี่ยนแปลงของจอประสาทตาระยะแรก คือ พบการโป่งพองของหลอดเลือดฝอยที่จอประสาทตา สิ่งสำคัญที่บอกถึงการพยากรณ์โรค และอัตราเสี่ยงต่อการเกิดตาบอดในภายหลัง คือ การพบหลอดเลือดผิดปกติที่เกิดขึ้นใหม่ ซึ่งเห็นได้โดยใช้กล้องตรวจดูจอประสาทตา หรือโดยการถ่ายภาพจอประสาทตา
ข. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ระดับไขมัน และความดันโลหิต
การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ระดับไขมัน และความดันโลหิตมิให้สูงเกินไป จะช่วยลดการเปลี่ยนแปลงที่จอประสาทตา ควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในระดับ 90-130 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ระดับโคเลสเตอรอลต่ำกว่า 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ระดับไตรกลีเซอไรด์ต่ำกว่า 150 มิลลิกรัม/เดซิลิตร และคุมระดับความดันโลหิตให้ต่ำกว่า 130/80 มิลลิเมตรปรอท
ค. ทำการรักษาจอประสาทตาโดยแสงเลเซอร์
แสงเลเซอร์เป็นแสงที่มีความยาวของคลื่นแสงขนาดเดียวกัน สามารถปรับให้ลำแสงมีขนาดเล็กลงมาก แสงนี้สามารถผ่านตาดำ เลนส์ตา เข้าสู่จอประสาทตา เมื่อกระทบจอประสาทตา แสงจะเปลี่ยนจากพลังงานแสงเป็นพลังงานความร้อน ผู้ป่วยเบาหวานที่มีจอประสาทตาผิดปกติ มีหลอดเลือดโป่งพองจำนวนมาก และมีเลือดออกในจอประสาทตา การใช้แสงเลเซอร์จี้ที่ประสาทตา จะทำให้ส่วนของประสาทตาที่ขาดเลือด ต้องการออกซิเจนลดลง เป็นการป้องกันมิให้เกิดหลอดเลือดใหม่ที่ผิดปกติ นอกจากนี้ การจี้เลเซอร์ยังทำให้หลอดเลือดผิดปกติที่เกิดขึ้นแล้วฝ่อลงไปได้
สรุป ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน มีผลแทรกซ้อนที่สำคัญทางจักษุที่ทำให้ตามัวคือ ความผิดปกติในจอประสาทตา การเกิดต้อกระจกและต้อหิน การป้องกันมิให้สายตาเลวลงโดยตรวจสุขภาพตาเป็นระยะๆ เมื่อพบการเปลี่ยนแปลงที่จอประสาทตาเกิดมากขึ้น การรักษาโดยแสงเลเซอร์จะช่วยป้องกันมิให้สายตาเลวลง
(เครดิตข้อมูล : si.mahidol.ac.th)
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 194 กุมภาพันธ์ 2560 โดย ศ.คลินิก นพ.อภิชาติ สิงคาลวณิช ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล)