xs
xsm
sm
md
lg

ธรรมะกับชีวิตประจำวัน : พลังจิตใต้สำนึก กับ “คำสอนเปลี่ยนโลก”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“นกชนิดเดียวกัน จะอยู่ในฝูงเดียวกัน
คนที่เสมอกัน จะถูกดึงดูดเข้ามาอยู่ใกล้กัน”


เราอยู่ในโลกของพลังงาน ทุกสิ่งทุกอย่าง(แม้แต่วัตถุที่เป็นของแข็ง) ดูเหมือนสงบนิ่ง แต่แท้จริงแล้วมันกำลังสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา หากส่องเข้าไปดูในระดับอะตอม นักวิทยาศาสตร์ได้พบความจริงข้อนี้ แล้วประกาศออกมาเป็นทฤษฎีควอนตัมฟิสิกส์ ซึ่งความจริงนั้นพระพุทธเจ้าทรงค้นพบเรื่องนี้มาเกือบสองพันหกร้อยปีแล้ว และตรัสไว้ผ่านทางหลักธรรมคำสอน ด้วยพุทธพจน์ที่ว่า ทุกสรรพสิ่งไม่เที่ยง (อนิจจัง) ต้องเปลี่ยนแปลง (ทุกขัง) และไม่มีตัวตน (อนัตตา) สามสภาวะนี้เรียกรวมกันว่า “กฎไตรลักษณ์”

กฎข้อนี้ในบางส่วน นักจิตวิทยาก็ค้นพบ เขาจึงกล่าวว่า “จิต” เป็นพลังงานชนิดหนึ่ง พลังงานจะอยู่ในรูปของคลื่นความถี่ที่สั่นสะเทือนอยู่ตลอด ซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่รับรู้และใช้ประโยชน์จากมันได้ เช่น คลื่นโทรศัพท์ คลื่นวิทยุ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นต้น

ชีวิตทางกายภาพของมนุษย์ประกอบด้วยส่วนต่างๆ อยู่ ๒ ส่วน คือ

๑. ส่วนที่เป็นกายภาพ สามารถสัมผัสจับต้องได้ มองเห็นได้ เรียกว่า “กายเนื้อ” ภาษาธรรมะเรียกว่า “รูป”

๒. ส่วนที่เป็นพลังงาน สัมผัสถูกต้องไม่ได้ เรียกว่า “กายใน” เป็นพลังงานเรืองแสง มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น กายในดังกล่าวนี้จะแทรกอยู่ในกายเนื้อ คนโบราณเรียกว่า “กายทิพย์” ทางพระเรียกว่า “นาม” ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงอธิบายละเอียดลึกซึ้งลงไปอีกว่า นามนั้นประกอบด้วย ความรู้สึก (เวทนา), ความจำ (สัญญา), ความคิด (สังขาร), การรับรู้ (วิญญาณ)

ข้อดีของสัจธรรมก็คือ เป็นกฎของธรรมชาติที่ให้ผลเป็นจริง อยู่เหนือกาลเวลา และนำมาปรับใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย

เคยสงสัยไหมว่า ทำไมในชีวิตประวัน เราต้องมาพบมาทำงานร่วมกับคนคนนี้ ซึ่งอาจเป็นเจ้านาย ลูกน้อง แฟน คู่แค้น เพื่อนร่วมงาน หรือใครก็ตาม ทั้งๆที่เราก็ไม่ได้ชอบหน้าเขาสักเท่าไหร่ นั่นก็เพราะเรายังมี “กายใน” ที่เป็นพลังงานสั่นสะเทือนอยู่ในระดับเดียวกับเขา

“คนที่มีระดับพลังงานเดียวกัน
จะถูกดึงดูดเข้ามาหากัน”


เหมือนนกที่มีสายพันธุ์เดียวกัน ก็จะอยู่ในฝูงเดียวกัน บินไปไหนพวกมันก็ไปด้วยกัน บินกันไปเป็นฝูง เราจะไม่เคยเห็นอีกาบินร่วมไปกับหงส์ หรืออีแร้งบินไปกับนกอินทรี นั่นเพราะนกชนิดเดียวกัน มันจะอยู่ในฝูงเดียวกันเท่านั้น

ฉะนั้น ตราบใดที่พลังงานในตัวเรายังไม่เปลี่ยนระดับความถี่ที่สั่นสะเทือน เราก็จะต้องพบเจอบุคคลเหล่านี้อยู่ร่ำไป และวิธีการสลัดตนให้หลุดพ้นจากคนที่เราไม่ชอบนั้น ไม่ใช่การนินทา และก็ไม่ใช่การพยายามเปลี่ยนคนอื่น แต่เราจะต้องเปลี่ยนตัวเองจากภายในคือ “ระดับพลังงาน” ต้องยกมันให้อยู่ในระดับที่สูงขึ้นไป เหนือกว่าพลังงานของคนที่เราไม่ชอบ โดยเริ่มต้นจาก “ความอยาก” เป็นความอยากที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทางที่ดีที่พัฒนาขึ้น

ลองดูความอยากของ “ทางม้าลาย” ในนิทานเรื่องนี้สักหน่อย

กาลครั้งนั้น บนถนนอันพลุกพล่านไปด้วยผู้คน วันหนึ่งมีสะพานลอยมาสร้างคร่อมทางม้าลายไว้ เป็นเหตุให้ไม่มีใครเดินข้ามทางม้าลายอีกต่อไป นานวันเข้า ทางม้าลายทนเหงาไม่ไหว ถึงกับร้องไห้เสียใจ

ร้อนไปถึงนางฟ้าบนสวรรค์ ต้องลงมาช่วยแก้ปัญหาให้ นางฟ้าเอ่ยกับทางม้าลายว่า “เอาล่ะ... เจ้าหยุดร้องไห้ได้แล้ว เราจะให้เจ้าขอพร ๓ ประการ เพื่อเป็นการตอบแทนคุณประโยชน์ที่เจ้าทำมา”

“จริงหรือ” ทางม้าลายถามเสียงตื่นเต้น พร้อมเอ่ยว่า “งั้น ขอให้ข้าหลุดพ้นจากคำสาป ที่ถูกตรึงอยู่บนถนนเส้นนี้”

นางฟ้าจึงใช้ไม้กายสิทธิ์โบกไปในอากาศ ทันใดนั้น ทางม้าลายก็กลายเป็นม้าลายที่มีชีวิตจริงๆ มันรีบกล่าวขอบคุณนางฟ้า แล้ววิ่งไปบนถนนอย่างเบิกบาน เสียงนางฟ้ากล่าวตามหลังมาว่า “เจ้ายังเหลือพรอยู่อีก ๒ ข้อ”

พักเดียว เจ้าม้าลายก็เรียกนางฟ้าเสียงหลง เพราะเสียงแตรรถยนตร์ที่บีบดังสนั่นใส่มัน ขณะกำลังวิ่งสะเปะสะปะอยู่บนถนน ไวเท่าความคิดนางฟ้าก็ปรากฏกายขึ้น พร้อมเอ่ยว่า “นึกแล้ว เรื่องมันต้องลงเอยแบบนี้ เอ้า..ว่ามา”

“ช่วยพาข้าไปอยู่ในที่ที่เหมาะกับข้าที” ม้าลายวิงวอน

นางฟ้าก็ใช้ไม้กายสิทธิ์โบกเบาๆอีกครั้ง ทันใดนั้น เมืองทั้งเมืองก็กลายเป็นป่าผืนใหญ่ มีทุ่งหญ้าและฝูงสัตว์นานาชนิด ก่อนที่นางฟ้าจะหายไป เสียงนางฟ้าเอ่ยเตือน “เจ้าเหลือพรข้อสุดท้ายแล้วนะ”

ผ่านไปนานวัน เจ้าม้าลายก็เห็นว่า สัตว์ป่าพวกนี้วันๆ เอาแต่กิน นอน ถ่าย และก็สืบพันธุ์ ชีวิตไม่เห็นมีคุณค่าอะไร สู้ตอนเป็นทางม้าลายก็ไม่ได้ คิดแล้วมันจึงเรียกหานางฟ้าอีกครั้ง นางฟ้าจึงปรากฏกายขึ้น แล้วเตือนว่า “นี่เป็นพรข้อสุดท้ายแล้วนะ”

“ข้อให้ข้าได้ทำประโยชน์ให้มนุษย์เหมือนเดิม โดยที่ข้าได้เรียนรู้เรื่องราวของพวกเขาไปด้วย แต่พวกเขาจะมาเหยียบย่ำข้าไม่ได้ ที่สำคัญ ข้าไม่ต้องการกินอาหาร”


นางฟ้าใช้ไม้กายสิทธิ์โบกเบาๆ พลัน! ผืนป่าก็กลายเป็นห้วงอวกาศ พร้อมกับเจ้าม้าลายกลายร่างเป็น “ดาวเทียม” ลอยโคจรเคว้งคว้างอยู่นอกโลก ในห้วงจักรวาลอันเวิ้งว้างนั้นไปอีกยาวนาน...

กระทั่งในที่สุด เมื่อโลกถึงคราวแตกดับสลาย ดาวเทียมผู้โดดเดี่ยวจึงเอ่ยกับตัวเองอย่างเศร้าๆ “โธ่ไม่น่าเลย! ... รู้งี้ ขออย่าให้ต้องเหงาแถมมาด้วยก็ดี”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า แค่ “ความอยาก” เปลี่ยนแปลงตัวเองเท่านั้นยังไม่พอ เพราะมันต้องมีองค์ประกอบอื่นๆ มาช่วยเสริมในการยกระดับพัฒนาตัวเองต่อไปอีกด้วย

“ความรู้”
ถ้าเราหมั่นพัฒนาตัวเอง ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ไม่ปล่อยเวลาไปเปล่าประโยชน์ คบหาผู้คนใหม่ๆ ที่ใฝ่ดีกับชีวิต แค่นี้เราก็จะเริ่มห่างจากคนกลุ่มเดิมออกมาบ้างแล้ว

“ความรู้สึก” ถ้าเราหมั่นตรวจสอบความรู้สึก รู้จักฝึกควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ให้เป็นคนที่รู้สึกดีได้มากที่สุด ยิ้มแย้มแจ่มใส จิตใจเมตตา ไม่จับกลุ่มนินทา เลิกเสพข่าวร้าย มีความสำนึกรู้คุณต่อทุกสรรพสิ่ง ไปวัด นั่งสมาธิ รักษาศีล ออกกำลังกายอยู่เสมอ ว่ายน้ำ ดูปะการัง อะไรก็ว่าไป

ในที่สุด เมื่อระดับพลังงานสูงพอ เราก็จะไม่มีทางพบเจอคนเหล่านั้นอีกเลย แต่จะเปลี่ยนไปเจอคนที่มีระดับพลังงานเดียวกันกับเรา ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ นักจิตวิทยาสมัยใหม่บอกว่า เกิดขึ้นเพราะ “พลังจิตใต้สำนึก” ปลดปล่อยพลังงานสั่นสะเทือนออกไปโดยอัตโนมัติอยู่ตลอดเวลา แบบที่เราเองก็ไม่รู้ตัว พวกเขาเรียกมันว่า “กฎแห่งแรงดึงดูด”

ดังนั้น หากอยากเปลี่ยนโลก ต้องเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อน โดยเริ่มต้นจาก “ความอยาก” “ความรู้” และ “ความรู้สึก” แล้วโลกรอบข้างเราก็จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง สมดังคำสอนเปลี่ยนโลกที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

“การไม่ทำบาปทั้งปวง
การทำกุศลให้ถึงพร้อม
การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว
นี้คือคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย”


ทาน บอกระดับความมีใจโอบอ้อมอารี ศีล บอกพฤติกรรม กิริยาท่าทางที่แสดงออก สมาธิ บอกระดับความสุขสงบเย็น ปัญญา บอกระดับความรู้ ความเข้าใจต่อโลก และสรรพสิ่ง

ขอย้ำอีกสักครั้ง “คนที่เสมอกัน จะถูกดึงดูดเข้ามาอยู่ใกล้กัน” ตามระดับคุณธรรมที่เป็นพลังงานสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 193 มกราคม 2560 โดย ทาสโพธิญาณ)
กำลังโหลดความคิดเห็น