xs
xsm
sm
md
lg

ความรู้คู่สุขภาพ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สาวโรงงานทอผ้าระวัง!! ฝุ่นผ้าพาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์มาให้
ใครจะคิดว่าฝุ่นผ้าตามโรงงานที่ลอยไปมาในอากาศ จะเป็นภัยเงียบที่มองไม่เห็น ทำให้เป็นโรครูมาตอยด์ได้

งานวิจัยที่ตีพิมพ์ออนไลน์ในวารสาร Annals of the Rheumatic Diseases พบว่า ฝุ่นผ้าทำให้เสี่ยงต่อโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์เพิ่มเป็นสองเท่า ทั้งยังทำให้ยีนที่มีความเสี่ยงอยู่แล้ว เกิดแอนติบอดีที่เรียกว่า Anti-citrullinated protein antibody ซึ่งบ่งบอกว่าเป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์

โดยงานวิจัยนี้ทำการศึกษาในกลุ่มสตรีชาวมาเลเซีย ที่เป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ระยะแรก และกลุ่มที่ไม่ได้เป็นโรค โดยการทำแบบสอบถาม รวมทั้งมีการตรวจเลือดด้วย

ปรากฏว่า จำนวนคนที่เคยได้รับฝุ่นผ้า มีแนวโน้มที่จะเป็นโรครูมาตอยด์มากกว่าคนที่ไม่เคยทำงานเกี่ยวกับผ้าสองเท่า ในกลุ่มคนที่มียีนเสี่ยงอยู่แล้ว ถ้าเคยได้รับฝุ่นผ้า ก็ยิ่งตรวจพบค่า ACPA มากกว่าคนที่ไม่เคยได้รับฝุ่นผ้าถึง 39 เท่า

การศึกษานี้ไม่ได้ตั้งเป้าหาสาเหตุหรือกลไกการกระตุ้นให้เกิดโรค ซึ่งเชื่อว่าขึ้นอยู่กับชนิดของเส้นด้ายและสารเคมีที่ใช้ แต่ในเบื้องต้น สิ่งที่ค้นพบนี้ก็ช่วยให้เกิดการระมัดระวัง ไม่หายใจรับฝุ่นผ้าเข้าปอดโดยเฉพาะผู้ที่มียีนเสี่ยงอยู่แล้ว

กินยาลดกรดในกระเพาะ แต่อาจได้ไตเรื้อรังเป็นของแถม

จริงอยู่ ยาบางตัวมีพิษต่อไต ทำให้ไตเสียหาย ทำงานลดลง และหากกินเป็นเวลานาน อาจทำให้ไตวายได้ แต่ถ้าเป็นยาลดกรดในกระเพาะอาหาร เห็นจะต้องระวังมากหน่อย เพราะเป็นยาสามัญประจำบ้าน และประจำตัวของคนที่มีแผลในกระเพาะอาหาร หรือเป็นโรคกรดไหลย้อน

จากการศึกษาล่าสุดโดยมหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮอปกินส์ สหรัฐอเมริกา ซึ่งตีพิมพ์ใน JAMA Internal Medicine ระบุว่า การกินยาลดกรดในกระเพาะอาหารเป็นประจำ มีส่วนเกี่ยวโยงกับโอกาสที่จะเป็นโรคไตเรื้อรัง คือเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้มากขึ้นเมื่อเทียบกับการไม่กินยานี้

ทีมผู้วิจัยทำการวิเคราะห์ข้อมูลจากกลุ่มศึกษาสองกลุ่ม โดยติดตามผล 6 ปี และ 10 ปี ปรากฏว่า คนกินยาลดกรดเป็นโรคไตเรื้อรังมากกว่าคนไม่กินยานี้

อย่างไรก็ตาม ยังต้องศึกษารายละเอียดต่อไป เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการสาธารณสุขและการระมัดระวังเรื่องการใช้ยายิ่งขึ้น

ทั้งการคิดและร่างกาย มียีนควบคุมตัวเดียวกัน?
เป็นเรื่องจริงที่ว่า ร่างกายกับจิตใจนั้นเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน งานวิจัยนี้ช่วยยืนยันได้

งานวิจัยของทีมวิจัยนานาชาติ จากประเทศสหรัฐฯ อังกฤษ และเยอรมัน ที่ตีพิมพ์ใน Molecular Psychiatry ว่า สุขภาพกับความสามารถของสมองในการรู้เรียนรู้และจดจำ (cognitive function) ของเรานั้นเกี่ยวข้องกันในระดับพันธุกรรม

การวิจัยเลือกศึกษาลักษณะทางพันธุกรรม และโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมบางโรค เพื่อดูความสัมพันธ์กับความสามารถของสมองในระดับต่างๆ พบว่า คนสมองไม่ค่อยดี มักมีปัญหาสุขภาพ เช่น เป็นโรคอัลไซเมอร์ จิตเภท และออทิซึม (ความผิดปกติในการเจริญของระบบประสาท) คนที่มียีนเสี่ยงต่อโรคเส้นเลือดหัวใจ มักมีความสามารถในการใช้เหตุผลต่ำกว่าทั่วไป หรือถ้าในช่วงต้นของชีวิต มีความสามารถในการเรียนรู้จดจำระดับต่ำ ก็คาดได้ว่า ต่อไปจะเสี่ยงต่อการมีปัญหาด้านจิตใจและร่างกาย แต่บางกรณีผลที่ได้ก็แปลกออกไป เช่น คนที่มียีนของออทิซึม กลับสามารถใช้เหตุผลได้ดีและเรียนจบสูง

การวิจัยจึงได้แค่ข้อสรุปว่ามีความสัมพันธ์กัน แต่รายละเอียดแต่ละประเด็นยังต้องรอการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป

ผลวิจัยยืนยันภาชนะพลาสติก ไม่ปลอดภัยอย่างที่คิด
สงสัยมานานแล้ว ทีนี้จะได้กระจ่างยิ่งขึ้น ว่าจริงหรือ ภาชนะพลาสติกทั้งหลาย ถ้ามีตัวหนังสือเขียนว่า "BPA-free" หรือ “ปลอดสาร BPA” จะใช้ใส่อาหารร้อนได้ปลอดภัย

ก่อนหน้านี้เคยมีผลการวิจัยมาแล้วว่า สารเคมีบิสฟีนอล เอ (BPA) ที่ใช้สำหรับทำให้พลาสติกแข็งตัว เป็นสารรบกวนการทำงานของต่อมไร้ท่อ และส่งผลต่อร่างกาย คล้ายกับการทำงานของฮอร์โมนเอสโทรเจน จึงมีการเปลี่ยนมาใช้ บิสฟีนอล เอส (BPS) แทน

ล่าสุด แนนซี เวย์น ผู้เชี่ยวชาญด้านต่อมไร้ท่อของระบบสืบพันธุ์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย-ลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา เผยแพร่งานศึกษาเปรียบเทียบผลของสาร BPA กับ BPS ในวารสาร Endocrine ว่า สารเคมีทั้งสองชนิดส่งผลกระทบต่อร่างกายไม่ต่างกัน คือ BPS เป็นตัวเร่งเซลล์สมอง ยีน และอวัยะวะที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตและภาวะเจริญพันธุ์ ทำให้ตัวอ่อนโตเร็ว และรบกวนการทำงานของระบบสืบพันธุ์ เมื่อทดลองให้ปลาอยู่ในน้ำที่มี BPS ปนเปื้อน เพียง 25 ชั่วโมง พบว่า มีเซลล์ประสาทของต่อมไร้ท่อเพิ่มขึ้นถึง 40% แสดงให้เห็นว่า BPS กระตุ้นให้ระบบสืบพันธุ์ทำงานมากขึ้น

ผลการทดลองนี้ อาจช่วยยืนยันได้ว่า พลาสติกที่ใช้กันอย่างสบายใจทุกวันนี้ ไม่ปลอดภัยจริงๆ

เล็งวิจัยตำรับยา “นวหอย” เพิ่มน้ำในเข่า รักษาเข่าเสื่อม
ยิ่งแก่..สังขารก็ยิ่งเสื่อมไปตามวัย รวมทั้งข้อเข่าที่ผ่านการใช้งานมานานด้วย

นพ.วัฒนะ พันธุ์ม่วง ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาระบบบริการด้านการแพทย์ผสมผสาน กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก บอกว่า โรคข้อเข่าเสื่อมเกิดจากกระดูกอ่อนของเข่าเสื่อมสภาพ และมีการสูญเสียน้ำหล่อเลี้ยงเข่า ที่ป้องกันการสึกของข้อเข่า ทำให้เมื่อมีการเคลื่อนไหวข้อเข่า จึงเกิดการเสียดสีระหว่างกระดูกต้นขาและกระดูกหน้าแข้ง เกิดอาการปวด เมื่อเสียดสีกันมากๆ ทำให้กระดูกกร่อนและผิดรูปได้ มีทั้งแบบแบะออกและโก่งเข้า

เมื่อสูญเสียน้ำหล่อเลี้ยงเข่าไปแล้ว ไม่สามารถสร้างชดเชยได้ แต่ในตำรับแพทย์แผนไทยมียา “นวหอย” ที่ระบุว่า มีสรรพคุณสามารถช่วยรักษาได้ แต่ยังไม่ได้มีการนำมาวิจัยพิสูจน์ทางกระบวนการวิทยาศาสตร์ที่แน่ชัด ว่าสามารถทำได้จริงหรือไม่ แต่ภายใน 2 ปีนี้จะทำการวิจัยให้แน่ชัดถึงสรรพคุณของตำรับยานี้

ตำรับยานวหอย คือ การนำหอย 9 ชนิด ประกอบด้วย หอยขม หอยนางรม หอยแครง หอยจุ๊บแจง หอยสังข์ หอยกาบ หอยมุก หอยตาวัว และหอยพิมการัง มาปรุงเป็นยา ซึ่งมีสรรพคุณช่วยขับลมในลำไส้ ขับนิ่ว ขับปัสสาวะ บำรุงกระดูก เป็นต้น

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 183 มีนาคม 2559 โดย ธาราทิพย์)
กำลังโหลดความคิดเห็น