ครั้งนั้นแล อนาถบิณฑิกคฤหบดี เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
“ดูกรคฤหบดี อริยสาวก ผู้ให้โภชนะ ชื่อว่าย่อมให้ฐานะ ๔ ประการแก่ปฏิคาหก
ฐานะ ๔ ประการเป็นไฉน คือ ให้อายุ วรรณะ สุขะ พละ
ครั้นให้อายุแล้วย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งอายุอันเป็นทิพย์หรือเป็นของมนุษย์
ครั้นให้วรรณะแล้ว ... ครั้นให้สุขแล้ว ... ครั้นให้พละแล้ว ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งพละอันเป็นทิพย์หรือเป็นของมนุษย์
ดูกรคฤหบดี อริยสาวก เมื่อให้โภชนะ ชื่อว่าย่อมให้ฐานะ ๔ ประการนี้แก่ปฏิคาหกฯ
ผู้ใดย่อมให้โภชนะโดยเคารพ ตามกาลอันควร แก่ท่านผู้สำรวม บริโภคโภชนะที่ผู้อื่นให้เป็นอยู่ ผู้นั้นชื่อว่าให้ฐานะทั้ง ๔ คือ อายุ วรรณะ สุขะ และพละ
นรชนผู้มีปรกติให้อายุ วรรณะ สุขะ พละ ย่อมเป็นผู้มีอายุยืน มีบริวาร ยศ ในที่ที่ตนเกิดแล้วฯ”
(จาก พระไตรปิฎกแปลไทย ฉบับหลวง พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๓
อังคุตรนิกาย จตุกกนิบาต ปุญญาภิสันทวรรคที่ ๑ สุทัตตสูตร)
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 181 มกราคม 2559 โดย กองบรรณาธิการ)
“ดูกรคฤหบดี อริยสาวก ผู้ให้โภชนะ ชื่อว่าย่อมให้ฐานะ ๔ ประการแก่ปฏิคาหก
ฐานะ ๔ ประการเป็นไฉน คือ ให้อายุ วรรณะ สุขะ พละ
ครั้นให้อายุแล้วย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งอายุอันเป็นทิพย์หรือเป็นของมนุษย์
ครั้นให้วรรณะแล้ว ... ครั้นให้สุขแล้ว ... ครั้นให้พละแล้ว ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งพละอันเป็นทิพย์หรือเป็นของมนุษย์
ดูกรคฤหบดี อริยสาวก เมื่อให้โภชนะ ชื่อว่าย่อมให้ฐานะ ๔ ประการนี้แก่ปฏิคาหกฯ
ผู้ใดย่อมให้โภชนะโดยเคารพ ตามกาลอันควร แก่ท่านผู้สำรวม บริโภคโภชนะที่ผู้อื่นให้เป็นอยู่ ผู้นั้นชื่อว่าให้ฐานะทั้ง ๔ คือ อายุ วรรณะ สุขะ และพละ
นรชนผู้มีปรกติให้อายุ วรรณะ สุขะ พละ ย่อมเป็นผู้มีอายุยืน มีบริวาร ยศ ในที่ที่ตนเกิดแล้วฯ”
(จาก พระไตรปิฎกแปลไทย ฉบับหลวง พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๓
อังคุตรนิกาย จตุกกนิบาต ปุญญาภิสันทวรรคที่ ๑ สุทัตตสูตร)
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 181 มกราคม 2559 โดย กองบรรณาธิการ)