อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถโก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตนนาถํ ลภติ ทุลลภํ
ตนแลเป็นที่พึ่งของตนคนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
ก็บุคคลมีตนฝึกฝนแล้วย่อมได้ที่พึ่งที่ได้ยาก
“อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ-ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน” เป็นพุทธศาสนสุภาษิตที่เราได้ยินได้ฟังกันอยู่เสมอๆ มีคำอธิบายพุทธภาษิตนี้ไว้ว่า
คำว่า “ตน” นั้นคือ “กาย” กับ “ใจ” พุทธศาสนาสอนว่า ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน เพราะใจเป็นความรู้สึกนึกคิด ขณะที่กายเป็นผู้กระทำตาม ดังคำกล่าวที่ว่า “ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว” พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้เราทั้งหลายพากันฝึกจิตอบรมใจให้ตั้งมั่นอยู่แต่ในกุศลธรรมความดี
พระพุทธองค์ตรัสว่า “ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอก ส่วนการปฏิบัติตามหรือไม่เป็นเรื่องของพวกเธอ” พระพุทธดำรัสนี้ชี้ให้เห็นว่า ตนเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งของตนได้ เฉกเช่นการรับประทานอาหาร เมื่อตนรับประทานเอง ก็ย่อมอิ่มเอง จะอิ่มแทนผู้อื่นไม่ได้ และผู้อื่นจะรับประทานแล้วอิ่มแทนเราก็ไม่ได้
การสร้างบุญกุศลด้วยการประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนขององค์พระศาสดา อาทิ ทาน ศีล ภาวนา ย่อมทำให้ได้ที่พึ่งที่ได้ยาก เช่น บุญกุศล ตลอดจนมรรคผลนิพพาน ซึ่งไม่มีใครสามารถจะดลบันดาลให้ได้นอกจากตัวเราเอง
ขอนำความบางตอนในพระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก จากหนังสือแสงส่องใจ มาเป็นข้อคิดเพิ่มเติมดังนี้
“...อันที่พึ่งที่ดีนั้น ผู้ใดไม่ยอมรับว่าคือตัวของตัวเองที่ดี ผู้นั้นจักยังต้องพยายามแสวงหาอยู่ กล่าวได้ว่าทุกคนปรารถนาจะมีที่พึ่งโดยเฉพาะที่พึ่งที่ดี แต่โดยมากพากันไปคิดว่า จะพึ่งคนนั้นคนนี้ที่มีบุญมีวาสนา มีอำนาจราชศักดิ์ยิ่งใหญ่ในวงการนั้นวงการนี้ เพื่อว่าตนจะได้มีความสวัสดี มีความปลอดโปร่งเมื่อต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง พัวพันกับวงการหนึ่งดังกล่าว
ความคิดนี้ทำให้คนเป็นอันมาก พากันเข้าไปห้อมล้อมผู้มีอำนาจวาสนา เกิดการกีดกันแก่งแย่งกันขึ้นอยู่เนืองๆ และบางทีเข้าไปห้อมล้อมก็เป็นการเข้าไปผิดคนผิดที่ คิดนึกว่าเป็นคนที่ดีเป็นที่ที่ดี แต่ก็หาได้เป็นจริงเช่นนั้นไม่ กลับกลายเป็นไปห้อมล้อมคนไม่ดีไปสู่ที่ไม่ดี ก่อให้เกิดความวุ่นวายยุ่งยากตามมาได้ต่างๆ นี่ก็เป็นเพราะแสวงหาที่พึ่งภายนอก
จึงเป็นอันแน่นอนว่าที่พึ่งภายนอกนั้น ไม่ใช่ว่าจะเหมาะสมกับตนเสมอไป ไม่ใช่ว่าจะช่วยตนจะเป็นที่พึ่งพิงของตนได้จริงเสมอไป ที่พึ่งที่สำคัญที่ให้คุณแน่แท้คือตนเองของทุกคนที่ฝึกดีแล้วนั่นแล…”
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 179 พฤศจิกายน 2558)
อตฺตนา หิ สุทนฺเตนนาถํ ลภติ ทุลลภํ
ตนแลเป็นที่พึ่งของตนคนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
ก็บุคคลมีตนฝึกฝนแล้วย่อมได้ที่พึ่งที่ได้ยาก
“อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ-ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน” เป็นพุทธศาสนสุภาษิตที่เราได้ยินได้ฟังกันอยู่เสมอๆ มีคำอธิบายพุทธภาษิตนี้ไว้ว่า
คำว่า “ตน” นั้นคือ “กาย” กับ “ใจ” พุทธศาสนาสอนว่า ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน เพราะใจเป็นความรู้สึกนึกคิด ขณะที่กายเป็นผู้กระทำตาม ดังคำกล่าวที่ว่า “ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว” พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้เราทั้งหลายพากันฝึกจิตอบรมใจให้ตั้งมั่นอยู่แต่ในกุศลธรรมความดี
พระพุทธองค์ตรัสว่า “ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอก ส่วนการปฏิบัติตามหรือไม่เป็นเรื่องของพวกเธอ” พระพุทธดำรัสนี้ชี้ให้เห็นว่า ตนเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งของตนได้ เฉกเช่นการรับประทานอาหาร เมื่อตนรับประทานเอง ก็ย่อมอิ่มเอง จะอิ่มแทนผู้อื่นไม่ได้ และผู้อื่นจะรับประทานแล้วอิ่มแทนเราก็ไม่ได้
การสร้างบุญกุศลด้วยการประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนขององค์พระศาสดา อาทิ ทาน ศีล ภาวนา ย่อมทำให้ได้ที่พึ่งที่ได้ยาก เช่น บุญกุศล ตลอดจนมรรคผลนิพพาน ซึ่งไม่มีใครสามารถจะดลบันดาลให้ได้นอกจากตัวเราเอง
ขอนำความบางตอนในพระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก จากหนังสือแสงส่องใจ มาเป็นข้อคิดเพิ่มเติมดังนี้
“...อันที่พึ่งที่ดีนั้น ผู้ใดไม่ยอมรับว่าคือตัวของตัวเองที่ดี ผู้นั้นจักยังต้องพยายามแสวงหาอยู่ กล่าวได้ว่าทุกคนปรารถนาจะมีที่พึ่งโดยเฉพาะที่พึ่งที่ดี แต่โดยมากพากันไปคิดว่า จะพึ่งคนนั้นคนนี้ที่มีบุญมีวาสนา มีอำนาจราชศักดิ์ยิ่งใหญ่ในวงการนั้นวงการนี้ เพื่อว่าตนจะได้มีความสวัสดี มีความปลอดโปร่งเมื่อต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง พัวพันกับวงการหนึ่งดังกล่าว
ความคิดนี้ทำให้คนเป็นอันมาก พากันเข้าไปห้อมล้อมผู้มีอำนาจวาสนา เกิดการกีดกันแก่งแย่งกันขึ้นอยู่เนืองๆ และบางทีเข้าไปห้อมล้อมก็เป็นการเข้าไปผิดคนผิดที่ คิดนึกว่าเป็นคนที่ดีเป็นที่ที่ดี แต่ก็หาได้เป็นจริงเช่นนั้นไม่ กลับกลายเป็นไปห้อมล้อมคนไม่ดีไปสู่ที่ไม่ดี ก่อให้เกิดความวุ่นวายยุ่งยากตามมาได้ต่างๆ นี่ก็เป็นเพราะแสวงหาที่พึ่งภายนอก
จึงเป็นอันแน่นอนว่าที่พึ่งภายนอกนั้น ไม่ใช่ว่าจะเหมาะสมกับตนเสมอไป ไม่ใช่ว่าจะช่วยตนจะเป็นที่พึ่งพิงของตนได้จริงเสมอไป ที่พึ่งที่สำคัญที่ให้คุณแน่แท้คือตนเองของทุกคนที่ฝึกดีแล้วนั่นแล…”
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 179 พฤศจิกายน 2558)