การปฏิบัติสมาธิเพื่อให้จิตของเราตั้งมั่นหรือมีความมั่นใจ การปฏิบัติสมาธิเพื่อปลุกจิตใต้สำนึกให้ตื่นขึ้นมา เมื่อเรามาปฏิบัติสมาธิด้วยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น บริกรรมภาวนา เป็นต้น หรือการสวดมนต์ก็ดี ในเมื่อเราสวดซ้ำๆ ท่องคำใดคำหนึ่งซ้ำ ๆ อยู่ไม่ขาดสาย ด้วยความมีสติสัมปชัญญะ จะทำให้จิตใต้สำนึกของเราตื่นขึ้นมา
คนเราทุกคนมีฤทธิ์ มีอิทธิพล มีอำนาจอยู่ในตัว เพราะเราเวียนว่ายตายเกิดมาหลายชาติ ในชาติก่อนๆ เราอาจจะเคยได้เป็นฤๅษีบำเพ็ญฌานบำเพ็ญตบะมาแล้ว เราก็ไม่ทราบได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ฤทธิ์อิทธิพล และอำนาจที่เราเคยบำเพ็ญมาในภพก่อนชาติก่อน จิตใต้สำนึกของเราจะเป็นผู้เก็บบันทึกเอาไว้ แล้วจะติดไปกับจิตของเราทุกภพทุกชาติ ไม่ว่าเราจะไปเกิดในที่ใด ภพใด
เมื่อจิตใต้สำนึกตื่นขึ้นมา มันมีลักษณะอย่างไร เราจะรู้สึกว่าจิตของเรานี่ มีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ความเป็นผู้มีสติรู้ตัวตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะขยับไปทางไหน ในจิตของเราก็มีสติสำทับอยู่ทุกขณะจิต เราก้าวเดิน สติก็มาทำหน้าที่ เรานอน สติก็มาทำหน้าที่ เรารับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด สติก็จะมาเตรียมพร้อมอยู่ทุกขณะจิต ทุกลมหายใจ ในลักษณะอย่างนี้เรียกว่า “จิตใต้สำนึกตื่นขึ้นมาแล้ว”
จิตใต้สำนึกที่ตื่นขึ้นมา มีสติสัมปชัญญะรู้ เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา จิตที่มีสติ เป็นจิตที่เป็นผู้รู้ ได้ชื่อว่าเป็น “จิตพุทธะ” ถ้าสติสัมปชัญญะสมาธิเข้มแข็ง จิตก็จะเป็นผู้ตื่น คือตื่นตัวเตรียมพร้อมที่จะรับสถานการณ์ และสิ่งแวดล้อมอยู่ตลอดเวลา เมื่อเป็นเช่นนั้น จิตก็มีความแกล้วกล้าอาจหาญชื่นบาน มีความยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ภายในจิตตลอดเวลา จึงกลายเป็นจิตผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
จิตผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นักปราชญ์ท่านเรียกว่าจิตพุทธะ พุทธะที่เกิดขึ้นมากับจิตของผู้ปฏิบัติสมาธิ ก็คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มาจากคำบาลีว่า “พุทโธ” พุทโธแปลว่าผู้รู้ พุทโธแปลว่าผู้ตื่น พุทโธแปลว่าผู้เบิกบาน
เมื่อเรามีผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อยู่ในจิตของเราเป็นคุณธรรม คุณธรรมที่ทำจิตให้เป็นพุทธะ ทำจิตของเราให้เป็นพระพุทธเจ้า แต่พวกเราฟังคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เรามาปฏิบัติตาม เราจึงได้ชื่อว่าเป็นพุทธสาวก คือสาวกผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ได้ทรงไว้ซึ่งคุณธรรม คือธรรมที่ทำจิตให้เป็นพุทธะ ในเมื่อทรงไว้ซึ่งความรู้สึกเช่นนั้น ก็ได้ชื่อว่ามีคุณธรรมอยู่ในจิต ผู้ที่มีคุณธรรมอยู่ในจิต เขาย่อมจะมีความรู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดี ตั้งใจที่จะละความชั่ว ประพฤติความดี ทำจิตให้บริสุทธิ์สะอาดอยู่เสมอ นี่คือคุณสมบัติที่จะเกิดจากการฝึกสมาธิ
ที่นี้การฝึกสมาธิก็มีหลายแบบหลายอย่าง ถึงแม้ว่าจะมีแบบอย่างต่างกัน ก็ต่างกันแต่หลักและวิธีการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำบริกรรมภาวนา มีพุทโธ สัมมาอรหัง ยุบหนอพองหนอ อันนี้เป็นความแตกต่างเฉพาะคำพูด แต่ในเมื่อปฏิบัติ ผู้ปฏิบัติพุทโธ ก็พุทโธๆๆๆ ตลอดไป ผู้ปฏิบัติสัมมาอรหัง ก็สัมมาอรหังๆๆๆ ผู้ที่ยุบหนอพองหนอ ก็ยุบหนอพองหนอ จนกระทั่งจิตสงบ อันนี้เป็นวิธีการบริกรรมภาวนา
การปฏิบัติด้วยบริกรรมภาวนา เรายึดเอาคำพูดคำใดคำหนึ่ง ซึ่งเป็นคุณสมบัติของพระพุทธเจ้า ท่านผู้ใดชำนาญในการภาวนาพุทโธ ก็ว่าไป ท่านผู้ใดชำนาญในสัมมาอรหัง ก็สัมมาอรหังไป ท่านผู้ใดยุบหนอพองหนอ ก็ยุบหนอพองหนอ ทั้ง ๓ อย่างนี้ เมื่อจิตสงบเป็นสมาธิอย่างแท้จริง จะมีแนวโน้มเป็นอย่างเดียวกันหมด คือ จิตหยุดนิ่ง หยุดจนกระทั่งบริกรรมภาวนา แล้วจิตนิ่ง ว่าง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน มีปีติ มีความสุข อันนี้ผลที่จะพึงเกิดขึ้นจากการบริกรรมภาวนาทั้ง ๓ อย่างนั้นแหละ มีผลเป็นอย่างเดียวกันหมด
ทีนี้เมื่อบริกรรมภาวนาไป เมื่อจิตเกิดมีสมาธิ สงบ จะมีอาการเคลิ้มๆ เหมือนจะง่วงนอน อย่าไปฝืน ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ จะหลับก็ให้หลับ ทีนี้เมื่อเคลิ้มๆแล้วจิตจะมีอาการวูบลงไป พอหยุดวูบแล้วนิ่ง ว่าง คำบริกรรมภาวนาหายไป ในช่วงนี้จิตจะแยกออกเป็น ๒ ทาง
ทางหนึ่ง ถ้าสงบแบบฌานสมาบัติหรือสมาธิสมถะ จิตจะสงบ นิ่ง ว่างๆๆๆ แล้วก็ละเอียดลึกลงไปๆ จนกระทั่งรู้สึกว่าลมหายใจหายขาดไป ในที่สุดร่างกายก็หายไป ยังเหลือไว้แต่จิตดวงเดียว นิ่ง สว่างไสวอยู่ อันนี้เป็นสมาธิที่เป็นไปตามแนวทางแห่งฌานสมาบัติ หรือเราเรียกว่า “สมาธิสมถะ” ทางภาษาบาลีเรียกว่า “อารัมณูปนิชฌาน” คือจิตสงบแล้ว นิ่งรู้อยู่เฉพาะในจิตเพียงอย่างเดียว ความรู้อื่นไม่เกิดขึ้น เป็นสมาธิสมถะ
แล้วอีกทางหนึ่ง เมื่อจิตหยุดนิ่งว่าง พอเกิดความสว่างขึ้นมานิดหน่อย หรือไม่สว่างขึ้นมานิดหน่อย หรือไม่สว่างก็ตาม ความคิดมันจะผุดขึ้นมาๆๆ อย่างกับน้ำพุ เมื่อมีความเป็นเช่นนั้น ผู้ปฏิบัติอย่าไปเข้าใจว่าจิตฟุ้งซ่าน มันเป็นสมาธิที่มีวิตกวิจาร ความคิดเป็นตัววิตก สติที่รู้พร้อมอยู่ในขณะจิตนั้นเป็นวิจาร ตัวคิดก็คิดไป ตัวตามรู้ก็ตามรู้ไป ตัวคิดคือจิตปรุงแต่ง ตัวตามรู้ก็คือสติสัมปชัญญะ พอคิดปั๊บ รู้ปั๊บ คิดปั๊บ รู้ปั๊บ หนักๆเข้ากายเบาจิตเบา กายสงบจิตสงบ เกิดปีติ ความคิดเร็วขึ้นๆ จนรั้งไม่อยู่ แต่ไม่ควรจะไประงับความคิด หรือไปห้ามความคิด ควรจะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติของมัน
ทีนี้ถ้าเราไม่หลงเข้าใจว่าผิดว่าจิตฟุ้งซ่าน ปล่อยไปตามธรรมชาติของมัน หน้าที่ของเรามีแค่เพียงกำหนดสติตามรู้ไปๆ ในที่สุดกายเบาจิตเบา กายสงบจิตสงบ ความสว่างเริ่มเกิดขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งในที่สุดจิตหยุดนิ่งปั๊บ สว่างไสว สภาวะอันเป็นความคิดก็จะแสดงอาการเกิดดับ เกิดดับ หรือมาวนรอบจิตอยู่ตลอดเวลา แต่จิตไม่ได้ไหวต่อเหตุการณ์นั้นๆ ทรงอยู่ในสมาธิที่เที่ยง เป็นกลาง ไม่มีความยินดี ไม่มีความยินร้าย
ในช่วงนี้คล้ายๆกับ จิตกับอารมณ์แยกกันออกเป็นคนละส่วน เพราะจิตไม่มีความยึดมั่นถือมั่น อะไรเกิดขึ้นก็สักแต่ว่ารู้ เห็นอะไรก็สักแต่ว่าเห็น รู้เห็นแล้วก็ปล่อยวางไป ไม่ยึดไว้สร้างปัญหาให้ตัวเองเดือดร้อน ในลักษณะอย่างนี้เรียกว่า “สมาธิแบบลักขณูปนิชฌาน” เป็นสมาธิที่เดินตามแนวทางแห่งวิปัสสนากรรมฐาน
อันนี้ถ้าหากว่าจิตสงบเป็นสมาธิตามธรรมชาติของสมาธิ ทางเป็นไปของเขาทางใหญ่ๆ จะมีเพียง ๒ ทางเท่านั้น
และอีกประเด็นหนึ่ง ถ้าหากว่าจิตไม่เป็นไปตามทางที่กล่าวแล้ว เมื่อจิตสงบนิ่งว่างลงไปแล้ว ถ้ากระแสจิตออกนอก จะเกิดนิมิต ซึ่งเรียกว่า “มโนภาพ” บางทีอาจจะเป็นภาพคน เทวดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ภูตผีปีศาจ
ในเมื่อรู้เห็นอย่างนั้น ให้กำหนดสติรู้ที่จิตอยู่เฉยๆ พยายามระวัง อย่าให้เกิดเอะใจ หรือตกใจ ถ้าเราสามารถประคองจิตของเรา ให้อยู่ในสภาพปกติ ไม่หวั่นไหว นิมิตภาพอันนั้นจะทรงอยู่ให้เราเพ่งมองดูได้นานๆ จนกระทั่งเป็นอุคคหนิมิต ภาพนิมิตเป็นภาพนิ่งไม่ไหวติง จิตก็สงบนิ่ง ไม่ไหวติง เป็นนิมิตติดตา ถ้าออกมาจากสมาธิแล้วบางทีก็ยังมองเห็นภาพนั้นอยู่ อันนี้เรียกว่า “อุคคหนิมิต” สมาธิที่ได้อุคคหนิมิต สมาธิเป็นสมถกรรมฐาน นิมิตเป็นอุคคหนิมิต
แต่เมื่อจิตของเราเพ่งมองดูอุคคหนิมิตนานๆไป สติสัมปชัญญะแก่กล้า เป็นมหาสติ จิตสามารถที่จะขยายนิมิตให้ใหญ่โตขึ้น หรือย่อตัวให้เล็กลง หรือให้สลายตัวไป แล้วก็ตั้งขึ้นมาใหม่ ในลักษณะอย่างนี้ท่านเรียกว่า “ปฏิภาคนิมิต” สมาธิเป็นสมาธิวิปัสสนา เพราะกำหนดหมายรู้ความเปลี่ยนแปลงของอารมณ์สิ่งรู้ ส่วนนิมิตที่มีอาการเปลี่ยนแปลง เป็นอารมณ์ของวิปัสสนา
เพราะฉะนั้น สมาธิที่ได้อุคคหนิมิตเป็นสมาธิขั้นสมถะ สมาธิที่ได้ปฏิภาคนิมิตเป็นสมาธิขั้นวิปัสสนา อันนี้วิธีปฏิบัติต่อนิมิตที่บังเกิดขึ้น
ในบางครั้งเมื่อจิตสงบ นิ่ง ว่างลงไป บางทีจิตของเราอาจจะไปจับลมหายใจ แล้วก็ตามลมหายใจ ออก-เข้า อยู่อย่างนั้น จนกระทั่งบางครั้งรู้สึกว่า ลมหายใจละเอียดลง เบาลง แผ่วลงๆๆ ในตอนนี้ถ้าหากว่ากลัวมันจะเลยเถิด ถ้าลมหายใจไม่หายขาดไป จิตของเราตามลมหายใจเข้าไปสงบ นิ่ง สว่าง อยู่ในท่ามกลางของร่างกาย สามารถที่จะเปล่งรัศมีความสว่างออกมารอบกาย แล้วก็รู้เห็นอวัยวะต่างๆภายในกาย ซึ่งเรียกว่า “รู้อาการ ๓๒” รู้ ขน ผม เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก จะมองเห็นความสว่างไสวภายในกาย มองดูอวัยวะต่างๆ รู้สึกจะใสเหมือนแก้ว
ในตอนนี้จิตของเราไปอยู่ในท่ามกลางของร่างกาย แล้วก็รู้อาการ ๓๒ เมื่อลงไปตามด้วย แล้วในที่สุดจิตสงบ ละเอียด ปล่อยทิ้งอารมณ์เดิม ยังเหลือแต่จิตนิ่ง สว่างไสวอยู่ ร่างกายตัวตนหายไปหมด อารมณ์สิ่งรู้ก็หายไปหมด ถ้าหากว่าจิตของเราไปนิ่ง สว่างอยู่เฉยๆ ไม่มีเหตุการณ์อันใดเกิดขึ้นในขณะนั้นสมาธิก็เป็นสมถกรรมฐาน
แต่ในบางครั้งเมื่อร่างกายตัวตนหายไป ยังเหลือแต่จิตสว่างไสว จิตอาจจะมาลอยเด่น อยู่เหนือร่างกาย มองลงมาเห็นร่างกายนอนตาย เหยียดยาวอยู่ แล้วก็ขึ้นอืด เน่าเปื่อย ผุพัง สลายตัวไป ไม่มีอะไรเหลือ มันจะเป็นไปตามขั้นตอนของมัน พอตายแล้วก็ขึ้นอืด น้ำเหลืองไหล เนื้อหนังผุพังไป ยังเหลือแต่โครงกระดูก โครงกระดูกก็หลุดออกจากกัน หักเป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ แล้วก็แหลกละเอียดจมหายไปในผืนแผ่นดิน ยังเหลือแต่ความว่าง บางทีอาจจะเป็นย้อนไปย้อนมาอยู่หลายครั้งหลายหน ทั้งนี้แล้วแต่ความมั่นคงของสมาธิของท่านผู้ใด
ในขณะนั้นจิตจะมีความนิ่งเฉย ไม่พูดไม่จา ไม่มีความคิด จิตของคนเราแม้ไม่มีร่างกาย ก็รู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่คิดไม่เป็น ทำไมจึงคิดไม่เป็น เพราะไม่มีเครื่องมือ เพราะจิตทิ้งกายไปแล้ว ไม่มีเครื่องมือ คิดไม่เป็น
แต่เมื่อจิตถอนออกจากสมาธิ พอสัมพันธ์กับร่างกาย จิตจึงจะเกิดความรู้ขึ้นมาว่า นี้แหละคือความตาย รู้เสีย ตายแล้วมันก็ขึ้นอืด เน่าเปื่อยผุพัง เนื้อหนังพังลงไป เป็นของปฏิกูลน่าเกลียดโสโครก ยังเหลือแต่โครงกระดูก โครงกระดูกก็แหลกละเอียดหายจมไปในผืนแผ่นดิน เพราะว่าร่างกายนี้ก็เป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ในเมื่อสลายตัวไปแล้วก็กลับไปสู่ที่เดิม คือ เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ ตามเดิม ไหนเล่าสัตว์บุคคล ตัวตนเราเขา มีที่ไหน
ถ้าหากว่าจิตของท่านผู้ใดเป็นอย่างนี้ จะได้ความรู้ได้กรรมฐานหลายอย่าง
๑. มรณัสสติ คือ รู้ความตาย
๒. อสุภกรรมฐาน รู้ความปฏิกูลน่าเกลียดโสโครกของร่างกาย
๓. อัฐิกรรมฐาน
๔. ธาตุกรรมฐาน คือ รู้เห็นว่าร่างกายเป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ไหนเล่าสัตว์บุคคล ตัวตนเราเขา มีที่ไหน อันนี้เป็นความรู้เรื่อง “อนัตตานุปัสสนาญาณ” จิตของเราเป็นเพียงครั้งเดียว ได้ทั้งสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน
ในเมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว การปฏิบัติสมาธิคือการทำจิตให้มีสิ่งรู้ สติให้มีสิ่งระลึก จะเป็นอะไรก็ได้ ถ้าหากว่าท่านผู้ใดไม่นึกบริกรรมภาวนาอะไร ก็นั่งกำหนดจิต กำหนดสติรู้จิตเฉยอยู่ ไม่ต้องไปคิดไปนึกถึงอะไรทั้งสิ้น ถ้าจิตของเราอยู่ว่างๆ ก็ปล่อยให้สติของเราตามรู้ไปๆ เหมือนอย่างที่กล่าวแล้วในลักขณูปนิชฌาน
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 173 พฤษภาคม 2558 โดย พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา)