“บ่มเพาะพันธุ์พืชเช่นใด
ย่อมได้รับผลเช่นนั้น...
จิตใจคนเสมือนเนื้อนาดิน
เจตนาเปรียบเหมือนเมล็ดพันธุ์พืช”
ในจิตใจของเรา เป็นเนื้อนาดินอันอุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งบ่มเพาะภายใน ที่สามารถบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งบุญหรือเมล็ดพันธุ์แห่งบาป ที่ให้ผลเป็นทุกข์หรือเป็นสุขลงไปได้ เหมือนที่ปราชญ์ทางพุทธธรรมกล่าวไว้ “บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น”
ความจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงก็คือ คนเรามี 24 ชั่วโมงเท่ากัน ดังนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแต่ละคนว่า จะแบ่งเวลามารดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ย ให้ต้นไม้ชนิดใดในจิตใจของเรา ได้เบ่งบานเจริญเติบโต
ตามกฎของธรรมชาติ ต้นไม้ทุกต้นมีอิสระในการพัฒนาศักยภาพของมัน ให้เจริญงอกงามได้อย่างเต็มที่ก็จริง แต่กระนั้นก็ยังมีข้อจำกัด และขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยอื่นๆอีกด้วย เช่น ถ้ามันเป็นต้นขนุน ก็คงจะออกลูกเป็นเงาะหรือมะละกอไม่ได้แน่
มนุษย์เราก็เช่นกัน ขณะที่กำลังมุ่งมั่นพัฒนาตนเองเพื่อความเจริญเติบโต ก็อาจมีเงื่อนไขทางการเมืองทางเศรษฐกิจ หรือแม้กระทั่งเงื่อนไขข้อแม้ภายในตัวเอง ซึ่งเป็นเหตุปัจจัยแง่ลบต่างๆ ที่ฝังรากลึกอยู่ในจิตใจ คอยถ่วงความเจริญ ทำให้ไม่สามารถพัฒนาหรือเติบโตได้เท่าที่ควร เรียกว่าถูกจำกัดด้วยข้อแม้ต่างๆที่เป็นปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในดังกล่าวเหล่านี้ ไม่ต่างจากต้นไม้ เฉกเช่นประวัติการปลูกต้นไม้ของอดีตประธานาธิบดีที่มีชื่อเสียงผู้หนึ่ง…
นานมาแล้ว มีเด็กชายคนหนึ่งรู้สึกว่า ตนเองเป็นเด็กเก็บกด ไม่ชอบเข้าสังคมกับเพื่อนร่วมชั้นเรียน อีกทั้งยังคิดน้อยใจว่า “พ่อแม่ไม่รัก เพราะเขาเป็นเด็กพิการขาแปมาแต่กำเนิด” ด้วยเหตุนี้ ทัศนคติของเขาจึงติดลบอยู่ภายในใจตลอดมา
อยู่มาวันหนึ่ง พ่อของเขาได้ขอกล้าไม้มาจากเพื่อนบ้าน แล้วเรียกลูกๆมาช่วยกันปลูก โดยพ่อตั้งกติกาบอกกับลูกๆว่า “ต้นไม้ของใครเติบโตได้ดีที่สุด พ่อจะมีรางวัลให้”
แล้วทุกอย่างก็เป็นไปดังที่พ่อตั้งใจ เมื่อลูกทุกคนขะมักเขม้นปลูกต้นไม้กันใหญ่ ขณะที่เด็กชายขาแปกำลังดูแลรดน้ำต้นไม้ของตนอยู่ เขาก็สังเกตเห็นว่าพวกพี่ๆ ต่างก็ตั้งใจดูแลรดน้ำต้นไม้ของตัวเองเช่นกัน
วูบหนึ่งในความคิด เด็กชายรู้สึกว่า “ถึงอย่างไร...ต้นไม้ของฉันก็คงจะเติบโตได้ไม่ดีเท่าของพี่ๆ” แล้วเขาก็เหลือบมองดูต้นไม้ของตัวเองอีกครั้ง ก่อนที่จะไม่สนใจไยดีมันอีกเลย
แต่เมื่อผ่านไปนานวัน เด็กชายก็เริ่มอยากรู้ว่า ต้นไม้ที่เขาปลูกได้ตายไปหรือยัง เขาจึงหวนกลับมาดูมันใหม่ ปรากฏว่าภาพที่เห็นตรงหน้า ทำให้เขารู้สึกแปลกใจมาก เพราะนอกจากต้นไม้จะไม่ตายอย่างที่คิดแล้ว มันกลับเติบโตงอกงามมากกว่าของพวกพี่ๆซะอีก เด็กน้อยผู้เก็บกดได้แต่เก็บงำความสงสัยเรื่องนี้ไว้ในใจเรื่อยมา
และแล้วพ่อก็ซื้อของขวัญให้ตามสัญญา พ่อพูดกับเขาว่า “ดูจากต้นไม้ที่ลูกปลูกแล้ว โตขึ้นลูกคงได้เป็นนักพฤกษศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงระดับโลกแน่ๆ”
ราตรีหนึ่งซึ่งเป็นคืนเดือนหงาย เด็กชายตัวน้อยนอนกระสับกระส่าย ไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ เขานอนมองดวงจันทร์ทางหน้าต่าง แล้วก็คิดถึงคำสอนของครูที่ว่า “ต้นไม้จะเจริญเติบโตได้ดีในตอนกลางคืน” เขาจึงอยากออกไปดูการเติบโตของต้นไม้ที่ตนปลูกไว้ ว่ามันเจริญงอกงามอย่างไร คิดแล้วจึงแอบย่องออกจากห้องนอน
เมื่อมาถึงในสวน ทันใดนั้นสายตาของเขาก็ได้พบเงาของชายคนหนึ่งซึ่งก็คือ “พ่อ” นั่นเอง พ่อกำลังตักอะไรบางอย่างลงไปในกระถางต้นไม้ของเขา ภาพที่เห็นทำให้เด็กน้อยเข้าใจและรู้ซึ้งถึงสิ่งที่พ่อทำ นาทีนั้นเขารู้เลยว่า พ่อรักเขามากแค่ไหน และพ่อนี่เองที่อยู่เบื้องหลังปริศนาความเจริญเติบโตของต้นไม้ พ่อทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกมีกำลังใจ และให้ของขวัญเป็นแรงจูงใจ เพื่อให้ลูกได้มีความหวังในการใช้ชีวิต
เด็กน้อยน้ำตาร่วงพรูอาบแก้ม หันหลังกลับวิ่งไปยังห้องนอน ด้วยความรู้สึกสุขใจอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เขาล้มตัวลงนอนทั้งน้ำตา และไม่นานก็หลับไปอย่างมีความสุข
นับแต่คืนนั้นเป็นต้นมา เด็กชายขาแปที่เคยคิดน้อยใจในชีวิตตนเอง ก็กลับปรับเปลี่ยนความคิดใหม่ เริ่มมีทัศนคติทางบวก มีความเชื่อมั่น มีความหวัง และที่สำคัญคือมีกำลังใจ ทำให้เขาสามารถฝ่าฟันปัญหาและอุปสรรคต่างๆ กระทั่งสามารถยืนหยัดเติบโตอยู่ท่ามกลางสังคมเมืองอันศิวิไลซ์ได้อย่างสง่างาม
กาลเวลาผ่านไป แม้เด็กชายคนนั้นจะไม่ได้ประสบความสำเร็จ เป็นนักพฤกษศาสตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ตามที่พ่อเคยพูดไว้ก็ตาม แต่เขาก็ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน โดยได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 32 ของประเทศสหรัฐอเมริกา นามว่า “แฟรงคลิน ดี รูสเวลต์”
แม้ว่าต้นไม้ทุกต้นมีสิทธิ์ที่จะเติบโต เหมือนต้นไม้ของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาก็ตาม แต่เราต้องไม่ลืมว่า หากไม่มีปัจจัยภายนอกคือ “พ่อ” มาผลักดันให้ปัจจัยภายในคือ “ทัศนคติที่เปลี่ยนไป” บางทีสหรัฐฯอาจไม่มีต้นไม้ของประธานาธิบดี “รูสเวลต์” เติบโตขึ้นมาก็ได้
ลองนึกภาพสวนขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ปลูกต้นไม้ที่มีอายุมากพอๆกันสองต้น ต้นหนึ่งโตขึ้นในจุดที่แสงแดดส่องถึง รวมทั้งดินและน้ำก็อุดมสมบูรณ์ ส่วนอีกต้นขึ้นในจุดที่ดินไม่ดี ไม่มีน้ำ และแสงแดด คำตอบมันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า ต้นไหนจะเติบโตได้ดีกว่ากัน
สภาพแวดล้อมแม้จะเป็นปัจจัยภายนอก แต่ก็มีส่วนผลักดันให้ชีวิตของเราเติบโตได้อย่างสมบูรณ์ สอดคล้องกับที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ใน “จักรสูตร” ว่า
“บุคคลพึงอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
ควรคบหาสมาคมอริยชนไว้เป็นมิตร
ถึงพร้อมด้วยความตั้งตนไว้ชอบ
มีบุญได้กระทำไว้แล้วในปางก่อน
ลาภยศ ทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียง
และความสุขย่อมหลั่งไหลมาสู่บุคคลนั้น”
ส่วนปัจจัยภายใน ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง เรามีสิทธิ์ที่จะเลือกเสพ เลือกบริโภค เลือกย้ายตัวเองไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมได้ ขึ้นอยู่กับว่า เราต้องการให้เมล็ดพันธุ์ชนิดใด กลายเป็นต้นไม้ที่เจริญเติบโตอยู่ในจิตใจของเรา เหมือนที่ท่าน ว.วชิรเมธี กล่าวเปรียบเทียบไว้
“บุญให้ผลเป็นสุข บาปให้ผลเป็นทุกข์ เมื่อเราหว่านเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ลงไป มันก็จะจมลงไปภายในจิตใจของเรา ที่ภาษาพระเรียกว่า “อนุสัย” คือ กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน รอเวลาที่จะผลิบานออกมา ขึ้นอยู่กับเราว่า ไปรดน้ำให้กับมันหรือเปล่า เมล็ดพันธุ์ดี เมล็ดพันธุ์ชั่ว เมล็ดพันธุ์บุญ เมล็ดพันธุ์บาป ถูกถมจมดินจมทรายอยู่ในเนื้อนาดินแห่งจิตใจของเรา
ซาตาน ยักษ์ มารก็อยู่ในใจนี้ เทวดา พระ นักบุญก็อยู่ในใจนี้ จะมีสักกี่คนที่ตระหนักรู้...เรารดน้ำให้เมล็ดพันธุ์ชนิดไหนบ่อยๆ เมล็ดพันธุ์ชนิดนั้นก็จะบานสะพรั่งขึ้นมา ถ้าเรายังไม่รู้ตัว มันก็จะกลายเป็นบุคลิกภาพส่วนหนึ่งของเรา”
อนึ่ง หว่านพืชเช่นใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น เมล็ดพันธุ์แห่งบาปให้ผลเป็นความหวาดหวั่น เสียวสยอง ปนทุกข์ ตรงกันข้ามเมล็ดพันธุ์แห่งบุญก็ให้ผลเป็นความกล้าหาญ สุขสงบ เบิกบาน ตื่นรู้
เลือกเอาก็แล้วกันว่า อยากให้เมล็ดพันธุ์ชนิดใด ออกดอกเบ่งบานส่งผลต่อชีวิตของเรา
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 171 มีนาคม 2558 โดย ทาสโพธิญาณ)