ปุจฉา - วิสัชนา

• ทำบุญให้แม่

ปุจฉา : กราบเรียนถามหลวงปู่ กรณีที่คุณแม่เสียชีวิตไปแล้ว จะทำบุญด้วยวิธีใดที่จะส่งผลบุญให้ถึงคุณแม่ได้ ให้ได้อยู่ในภพภูมิที่สูงขึ้น เพราะตอนท่านมีชีวิตอยู่ ก็ได้เลี้ยงดู และปฏิบัติต่อท่านในฐานะของลูกได้ดีที่สุดแล้วค่ะ

วิสัชนา :

ถ้าคุณได้ทำอย่างที่เล่ามา ตอนที่คุณแม่ยังมีชีวิต ก็ภาคภูมิใจได้แล้ว เพราะบางคนตอนแม่มีชีวิตอยู่ ปีหนึ่งโผล่ไปครั้งหนึ่งให้เห็นหน้า เดือนหนึ่งโทรศัพท์ไปครั้งหนึ่ง หรือไม่ก็ไม่เคยเห็นหน้าเลย แต่พอตาย ก็มาเคาะข้างโลง แม่... กินข้าว แม่...กินน้ำ ซึ่งไม่ได้ประโยชน์อะไร

ณ วันนี้ ถ้าแม่ตายขณะเรามีชีวิตอยู่ แล้วเราทำภาระและหน้าที่ของเราสมบูรณ์แบบ และแม่เราไม่ได้มีกรรมอันหนัก ซึ่งเป็นอุปฆาตกรรม และมีความภาคภูมิใจกับการที่เราเป็นลูกที่ดี ก็ทำให้แม่ไปสู่สุคติได้นะ

ถามว่า เราจะทำบุญอย่างไร จะอุทิศผลบุญให้กับแม่ได้ ตอบว่าก็ทำบุญตามกาล ตามสมัย หรือไม่ก็ใส่บาตร เวลาที่เราสามารถที่จะทำได้ตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้กับท่าน

• พระวิญญาณบริสุทธิ์

ปุจฉา : นมัสการเรียนถามหลวงปู่ว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์ในคริสตศาสนานั้น เหมือนกับพุทธิปัญญาในศาสนาพุทธหรือไม่อย่างไรครับ

วิสัชนา :

คำว่า วิญญาณบริสุทธิ์ น่าจะหมายถึง วิญญาณที่ได้รับการชำระล้างบาปไปแล้ว

ส่วนคำว่า พุทธิปัญญา หมายถึง ปัญญาเข้าใจในวิถีพุทธ หรือปัญญาที่รอบรู้ ตื่น และเบิกบาน

ทั้งสองอย่างนี้ไม่เหมือนกัน เพราะว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าอธิบายว่า สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม กรรมย่อมจำแนกสัตว์ ให้ดีชั่วเลวหยาบ สัตว์ทั้งปวงมีกรรมเป็นของตนเอง ทำกรรมอย่างไร ย่อมรับผลแห่งกรรมนั้นๆ อย่างหลีกเลี่ยงมิได้ มิมีใครจะปลดเปลื้องผลแห่งกรรมนั้นๆได้

• ขออโหสิกรรม

ปุจฉา : ถ้าเราทำบุญอุทิศบุญกุศล และขออโหสิกรรมกับคนที่เราทำไม่ดีกับเขาไว้ แต่คนที่เราขออโหสิกรรม เขาไม่ให้ มันจะมีผลอะไรหรือไม่คะ

วิสัชนา :

มันก็เหมือนเจ้าหนี้กับลูกหนี้น่ะคุณ สองคนที่เป็นคู่กรณี ถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ยอม ก็ไม่สามารถที่จะล้มเลิกการเป็นหนี้ได้ ต้องยอมกันทั้งสองฝ่ายพร้อมใจกัน

สมมติว่าเราไปตบหน้าชาวบ้าน แล้วก็ไปแอบแผ่เมตตา ขออโหสิ แต่ชาวบ้านหน้าบวมไปแล้ว อย่างนี้มันจะจบมั้ย มันไม่จบหรอก

คุณต้องไปหาเขา ยกมือไหว้เขา บอกขออภัย เมื่อสักครู่เผลอสติไป อะไรประมาณนี้ มันต้องเป็นอย่างนี้ ถึงจะจบ แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ แล้วเรามาแอบอโหสิ อย่างนี้มันไม่จบ เพราะมันเป็นกรรมไปแล้ว

การอโหสิกรรมจะเกิดขึ้นได้ ต่อเมื่อคู่กรณีของคุณยอมอโหสิ นั่นจึงจะสำเร็จประโยชน์ แต่ถ้าเขาเป็นผู้ทำกรรมกับเรา เราอโหสิให้แล้ว ก็คือจบ เพราะว่าคุณเป็นเจ้าหนี้ เป็นโจทย์ ไม่ใช่เป็นจำเลย

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 152 สิงหาคม 2556 โดย หลวงปู่พุทธะอิสระ วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม)