xs
xsm
sm
md
lg

คนดังมีดี : เดอะ สตาร์ อดีตเด็กวัด “กัน” นภัทร อินทร์ใจเอื้อ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


จากเด็กต่างจังหวัด มาโด่งดังระดับประเทศ จากอดีตเด็กวัด มาสู่การชนะเลิศบนเวทีเดอะ สตาร์ ณ นาทีนี้ “กัน” นภัทร อินทร์ใจเอื้อ คือคนหนุ่มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคนหนึ่ง ทั้งงานด้านเพลงและบทบาทการแสดงในซิทคอมทางทีวี

คงไม่อาจสรุปว่า เขาเป็นคนดี เพราะเคยอยู่วัดมาก่อน แต่แน่นอน ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า ด้วยพื้นฐานความเป็นมาเช่นนี้ ย่อมมีส่วนไม่มากก็น้อยในการหล่อหลอมบ่มเพาะ และรักษาผู้ชายคนนี้ไว้ในวิถีที่ควรจะเป็น

เบื้องหลังรูปลักษณ์หน้าตาที่หล่อเหลา จนสาวๆ หลงใหล เขามีมุมมองความคิดที่สาวๆ น่าจะกรี๊ดไม่น้อยไปกว่ากัน แต่อย่าเพิ่งเชื่อ จนกว่าตัวหนังสือสุดท้ายจะผ่านสายตาคุณ...

• เกิดที่บ้าน.. โตที่วัด

ก่อนจะเป็น “กัน เดอะ สตาร์” นักล่าคว้าฝันคนที่ 6 บนเวทีเรียลลิตี้โชว์ชื่อดัง หนุ่มคนนี้เคยมีสถานะเป็น “เด็กวัด” เมื่อสมัยยังใส่ชุดนักเรียนมัธยม อาศัยอยู่ที่วัดราชบุรณราชวรวิหาร หรือวัดเลียบ ซึ่งอยู่ตรงเชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้าฝั่งกรุงเทพฯ ตรงข้ามกับโรงเรียนสวนกุหลาบ

“ผมเป็นเด็กวัดอยู่ 6 ปีครับ คือผมเป็นเด็กต่างจังหวัด สุพรรณบุรี แล้วพอสอบติดที่สวนกุหลาบ ก็เข้ามาอยู่วัดตั้งแต่ ม.1 อายุ 13 ปี จนถึง ม.6 พ่อผมเขารู้จักกับหลวงตาที่วัดเลียบ ซึ่งตามปกติ หลวงตาท่านจะไม่ค่อยรับเด็กเยอะ เพราะดูแลลำบาก แต่ว่าโชคดีที่หลวงตาท่านมีพื้นเพเป็นคนสุพรรณ และคุณแม่ของผมก็เคยเป็นลูกศิษย์หลวงตามาก่อน พ่อแม่ก็เลยฝากให้ผมอยู่กับท่านได้

หลวงตาที่ผมอาศัยอยู่กับท่าน ชื่อหลวงตามหาปรีชาครับ ตอนนี้ท่านก็ยังมีชีวิตอยู่ ผมก็ไปที่วัดบ่อยๆ อย่างวันสำคัญทางศาสนา ผมก็จะไปเวียนเทียนที่นั่น ไปกับเพื่อนสวนกุหลาบ เพราะว่าอยากกลับไปเจอบรรยากาศเก่าๆ ไปกินข้าวที่ร้านแถวนั้น ซึ่งเคยกินกันประจำสมัยวัยรุ่น”

ในเพลง “ไม้เรียวหลวงตา” ของนักร้องลูกทุ่งรุ่นเก่าอย่างเสรี รุ่งสว่าง กล่าวถึงคุณค่าไม้เรียวที่อบรมบ่มเพาะให้เติบโตเป็นคนดี แล้วอย่างนี้ กัน เดอะ สตาร์ เคยโดนไม้เรียวหลวงตาบ้างหรือเปล่า

“ไม่เคยครับ แต่ว่าก็โดนดุบ่อยเหมือนกัน (หัวเราะ) คือจริงๆ ต้องบอกว่า การได้มาอยู่วัด มันทำให้ผมได้อะไรเยอะมาก เพราะตอนที่อยู่กับคุณพ่อคุณแม่ ท่านก็ทำให้ทุกอย่าง ตั้งแต่ซักผ้า รีดผ้า ทำอาหาร คือผมถูกตามใจมาโดยตลอด แต่พอมาอยู่วัด ก็ต้องดูแลตัวเองทุกอย่าง ตั้งแต่เรื่องของการใช้ชีวิต การตื่นนอนเอง เสื้อผ้าซักเอง ล้างจานเอง หาอาหารกินเอง แบ่งเวลาในการอ่านหนังสือ แบ่งเวลาในการทำทุกอย่างเอง และพอผมโตขึ้น ก็มีวินัยในตัวเองมากขึ้น

ส่วนหน้าที่ที่ต้องทำตอนอยู่วัด ช่วงเช้า ผมอาจจะไม่ได้ตามพระไปบิณฑบาตด้วย เพราะว่าผมมีเรียนช่วงเช้า แต่ว่าช่วงบ่ายๆกลับจากโรงเรียน ผมก็จะกวาดลานวัดเป็นประจำ โดนเฉพาะตรงกุฏิที่หลวงตาท่านอยู่ ใบไม้จะเยอะ ผมก็จะกวาดทุกวัน หรือวันที่เขามีสวดมนต์กันในโบสถ์ หรือมีเวียนเทียน ผมก็จะคอยดูแลรองเท้าให้กับคนที่มาทำบุญไหว้พระ”

• โชคดีที่ได้อยู่วัด

อย่างไรก็ดี ความรู้สึกในวันแรก ก่อนจะได้เรียนรู้ถึงคุณประโยชน์ของการเป็นเด็กวัด เด็กหนุ่มที่เพิ่งผ่านพ้นห้องเรียนชั้นประถมมาหมาดๆ ก็เกิดความรู้สึกน้อยใจเหมือนกัน ว่าเพราะอะไรตัวเองถึงได้มาอยู่วัด

“ตอนแรกก็น้อยใจมากนะกับการที่พ่อแม่ส่งมาอยู่วัด เพราะผมคิดว่าการมาอยู่วัด จะทำให้ผมอายเด็กคนอื่นหรือเปล่า แต่พอมาอยู่ ได้มาเจอเพื่อนๆ ซึ่งเป็นเด็กต่างจังหวัดมาอยู่วัดเหมือนกัน ก็รู้สึกดีขึ้น หลายคนอยู่ที่หอพักใกล้โรงเรียน เขาก็อิจฉาว่าผมได้อยู่วัด เพราะนอกจากจะได้สถานที่ที่สงบแล้ว สังคมยังดีด้วย

หลายคนบ้านไกลต้องนั่งรถเมล์มาโรงเรียนแต่เช้า หรือแม้แต่คนที่อยู่หอพัก อยู่ใกล้โรงเรียนก็จริง แต่ว่ามันก็อึดอัด เพราะบางที ถ้าได้เพื่อนไม่ดีก็เสียหมดเลย ซึ่งผมโชคดีมากที่ได้อยู่วัด ได้มีเวลาสงบๆ ถึงแม้จะอยู่คนเดียว แต่ก็คิดว่า เออ.. พ่อแม่ส่งเรามาเรียนนะ เราทำทุกอย่าง ก็ต้องทำเพื่อพ่อแม่ พยายามไม่เกเร

แล้วผมโชคดีที่มีเพื่อนดี มันทำให้ผมไม่เกเรในช่วงเรียนมัธยม ซึ่งถือว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต ผลการเรียนก็ดี เพราะว่าพอผมมีเพื่อนดี มันก็ทำให้ตั้งใจเรียน แล้วก็ได้อยู่ห้องคิงมาตั้งแต่ ม.2-ม.6 เลย

พอคิดได้แบบนั้น ผมก็เลิกน้อยใจไปเลย และเข้าใจว่า เพราะอะไรพ่อแม่ถึงส่งมาอยู่วัด คือเมื่อก่อนคิดมากว่า เด็กวัดจะต้องเป็นคนที่ฐานะยากจนมาอยู่เท่านั้นหรือเปล่า แต่จริงๆแล้วพ่อแม่ผมก็เป็นข้าราชการทั้งคู่นะ ก็ไม่ได้ถือว่าจน แต่ว่าเขาอยากให้ผมเติบโตขึ้นแบบมีระเบียบวินัยแล้วดูแลตัวเองได้”

• รางวัลแห่งความภาคภูมิใจ
แทนความหมาย “คำขอบคุณ”


ไม่ใช่ “เดอะ สตาร์” เพียงเท่านั้นที่หนุ่มคนนี้ได้มา เพราะความจริง ต้องบอกว่า มีรางวัลอีกมากมายที่เขาได้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ทั้งรางวัลเรื่องการเรียน การร้องเพลง และความประพฤติดี รวมทั้งรางวัลศิลปินคุณธรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนา ซึ่งทุกๆ รางวัลก็บ่งบอกตัวตนของหนุ่มคนนี้ได้เป็นอย่างดี

“รางวัลนักเรียนพระราชทาน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี คือรางวัลที่ได้มาตั้งแต่เรียน ป.6 ครับ เป็นรางวัลที่เขาให้โรงเรียนทั่วประเทศส่งมาโรงเรียนละคน แล้วทางโรงเรียนที่ผมเรียนอยู่ เห็นว่าผมมีผลการเรียนดี ทำกิจกรรมให้โรงเรียนและเป็นตัวอย่างของน้องๆ แล้วพอสมัครเป็นประธานนักเรียน ผมก็ได้เป็น ทำกิจกรรมให้โรงเรียนเยอะ สร้างชื่อเสียงให้โรงเรียน ทางอาจารย์จึงทำประวัติส่งไปอำเภอก่อน แล้วค่อยคัดไประดับจังหวัด พอจังหวัดผ่าน ก็จะไประดับเขต จนกระทั่งถึงรอบชนะเลิศ”

แต่อีกหนึ่งรางวัลที่น่าสนใจ ก็คือ รางวัลสุภาพบุรุษสวนกุหลาบ

“เป็นรางวัลที่ได้มาตอนเรียน ม.1 ครับ หลักๆแล้วก็มาจากความประพฤติแล้วก็ผลการเรียน เพราะตอนนั้นผมเป็นเด็กที่เพิ่งมาจากต่างจังหวัด ขี้อาย เรียบร้อยมาก ตั้งใจเรียนมาก จนกระทั่งคุณครูเอ็นดู เขาเห็นผมตั้งใจเรียนและเชื่อฟังคุณครูตลอด แล้วก็ไม่เกเร เลยเลือกให้เป็นสุภาพบุรุษสวนกุหลาบ ซึ่งเป็นรางวัลที่จัดมอบมาหลายปี แต่ปีของผมรู้สึกจะเป็นปีสุดท้าย หลังจากนั้นก็ไม่มีแล้ว”

และก่อนที่จะมาเป็นสุภาพบุรุษสวนกุหลาบ หนุ่มกันยังแอบเผยเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ที่บอกว่า ตัวเขาก็เคยมีบางช่วงเวลาที่เกเรเหมือนกับเด็กๆทั่วไป

“อาจจะซนตอนเด็กๆ ตอนเรียนอนุบาล เกเร ดื้อมาก แม่ผมเป็นครู แต่ผมก็ดื้อมาก เพราะรู้ว่าแม่เป็นครู ไม่กลัวใครทั้งนั้น นักเรียน ป.6 มา ก็จะแบบว่ากร่างใส่ จนกระทั่งคุณแม่ย้ายโรงเรียน ผมก็เริ่มกลับมาเป็นคนเรียบร้อยและตั้งใจเรียน แล้วผลการเรียนก็ดีมาโดยตลอดจนถึง ป.6 ก็สร้างชื่อเสียงให้โรงเรียน ประกวดร้องเพลงก็ได้ที่หนึ่งของจังหวัด แล้วก็เป็นประธานนักเรียนด้วย”

กัน เดอะ สตาร์ บอกด้วยว่า ทุกรางวัลมีความหมายต่อชีวิตของเขาหมด เพราะนอกเหนือจากความภาคภูมิใจในตัวเองแล้ว มันยังหมายถึง “คำขอบคุณ” ที่เขาอยากมอบให้กับคนรอบข้างด้วย

“อันที่จริง ผมคิดว่ามันไม่ใช่แค่รางวัลที่ได้มาจากตัวผมเพียงคนเดียว มันมาจากบุคคลหลายคนที่เขาคอยสอนผม ปลูกฝังผมมาตั้งแต่เด็กๆ ทั้งคุณพ่อคุณแม่ที่บ่มเพาะเลี้ยงดูมาอย่างดีและเป็นแบบอย่างให้ผมมาตลอด อย่างคุณพ่อ เรื่องเหล้าบุหรี่หรืออบายมุขต่างๆ พ่อจะไม่ยุ่งเลย ผมก็เอาเป็นแบบอย่าง เหมือนกับเป็นไอดอลของผมน่ะครับ

แล้วก็อาจจะเป็นโชคดีที่มีสิ่งแวดล้อมที่ดี อบอุ่น ทำให้ผมรู้สึกว่า ผมเติบโตมาในสภาวะแวดล้อมที่ไม่ขาด แล้วก็มีกำลังใจทีดี มีครอบครัวที่ดี มีเพื่อนที่รักกันดี และช่วยเหลือกันในสถานการณ์ต่างๆ สิ่งเหล่านี้มันเลยทำให้ผมไม่เสียคน”

• รักษาตนไว้ในวิถีที่ถูกต้อง

ตามปกติวิถีคน ย่อมมีพลาดพลั้งบ้างในบางขณะ กัน เดอะ สตาร์ ก็ไม่ต่างจากนั้น แต่พลาดแล้วอย่างไร เก็บมาเรียนรู้ทำความเข้าใจได้มากน้อยแค่ไหน นั่นต่างหากที่สำคัญยิ่งสำหรับเขา

“ความรู้สึกว่า ผมผิดพลาดก็เคยมีครับ อย่างตอนเป็นเด็ก บางทีก็เถียงพ่อแม่ แล้วชอบทะเลาะกับน้อง ผมมีน้องชายคนหนึ่ง ก็ทะเลาะแย่งขนมกัน น้องจะได้มากกว่าไม่ได้ ผมจะอิจฉาและเตะต่อยน้องบ้าง แต่ทุกครั้งที่ทำ ก็จะโดนคุณพ่อตีตลอด คือคุณพ่อจะเป็นคนที่ดุมาก แต่คุณแม่ก็จะเป็นคนที่คอยตามใจเป็นส่วนใหญ่

ผมก็ชอบทั้งสองแบบ ขาดไม่ได้ มันมีทั้งสองมุม มุมหนึ่งมีความอ่อนโยน ส่วนอีกมุมหนึ่งก็คือความรักที่อยากให้ผมได้ดี ที่พ่อทำไป ก็ไม่ได้อยากจะดุผมหรอก เพียงแต่เขาอยากให้ผมได้ดีจริงๆ เขาเลยเข้มงวด”

และสิ่งดีๆที่เป็นเสมือนน้ำทิพย์ช่วยชโลมจิตใจให้หนุ่มน้อยคนนี้ มีกำลังใจในการก้าวเดินไปสู่ความสำเร็จ ก็คือ ความผูกพันกับคนที่รักและคิดถึงคนที่ห่วงใย ซึ่งเป็นปัจจัยลำดับต้นๆ ที่ทำให้เขาสามารถรักษาตนเองไว้ในวิถีที่ดีงาม

“ทุกครั้งที่ผมเหนื่อยหรือว่าหมดแรงที่จะทำอะไร พอผมนึกถึงพ่อแม่หรือว่านึกถึงคนที่อยู่ข้างหลังและรอความสำเร็จของผม ผมก็จะหายเหนื่อย แล้วก็มีแรงทำงานต่อไป เพราะว่าผมมีเป้าหมายว่าจะทำเพื่อใคร อย่างเช่นตอนเรียนหนังสือ มันก็มีบ้างที่อยากจะไปทำนู่นนี่เหมือนคนอื่น อยากไปเที่ยวบ้างอะไรบ้าง แต่ว่าพอนึกถึงพ่อแม่ ผมก็...เออ เขานั่งรอเราอยู่นะ เขาส่งเงินมาให้เราเรียนอยู่นะ เขาอยากให้เราประสบความสำเร็จนะ เขาอยากให้เราเป็นเด็กดีนะ ผมก็จะคิดตรงนี้เยอะๆ

คือตั้งแต่เรียนหนังสือ ผมเป็นคนที่คิดถึงบ้านมาก ตอนเรียนมัธยม ทุกวันศุกร์หลังเลิกเรียน จะดีใจมาก เพราะจะได้กลับบ้านที่ต่างจังหวัด ก็ไปนั่งรถตู้ที่สี่แยกคอกวัวกลับบ้าน ไปอยู่ถึงวันอาทิตย์ ทำแบบนี้จนถึง ม.6 เลย คือถ้าไม่มีเรียนพิเศษ ก็จะกลับบ้านทุกอาทิตย์

และทุกวันนี้ พอได้ทำงานแล้วก็ยังคงคิดถึงกำลังใจจากคุณพ่อคุณแม่เสมอ เวลามีอะไรเหนื่อยๆ ก็จะโทรศัพท์หาแม่ เพราะว่าพอได้ยินเสียงของแม่ ผมก็รู้สึกว่ามันหายเหนื่อยดีครับ”

• “อยู่กับปัจจุบัน” สำคัญมากกับชีวิต

เหนืออื่นใด เมื่อขยายระดับสายตามองกว้างออกไป แฟนคลับที่รออยู่ข้างหน้า ก็เหมือนเชื้อไฟชั้นดีที่ทำให้เขามีไฟในการทำงาน เพื่อสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ

“วงการนี้ หลายคนบอกว่ามันเข้ามาง่าย เพราะหน้าตาดีหน่อยก็เข้ามาได้แล้ว แต่สิ่งที่ยากกว่าก็คือ ทำอย่างไรให้มันอยู่ได้ยืนยาวที่สุด อยู่ได้แบบมั่นคง คือผมไม่อยากให้คนคิดว่าอาชีพนี้เป็นอาชีพที่ฉาบฉวย ไม่ถาวร แต่ผมอยากจะทำให้อาชีพนี้ที่ผมรักอยู่กับผมได้นานๆ

สำคัญเลยคือเราต้องซื่อสัตย์กับอาชีพของเรา เคารพอาชีพของเรา จริงใจกับงานของเรา และพัฒนาตัวเอง เพื่อคนที่รอคอยผลงานของเรา ไม่ใช่แค่ทำได้แต่สิ่งเดิมๆ เพราะถ้าอย่างนั้นมันจะทำให้เราอยู่ได้ไม่นาน ทำอะไรเดิมๆอยู่ทุกวันมันก็น่าเบื่อ แต่ว่าผมพยายามพัฒนาตัวเองเพื่อให้คนได้ลุ้นว่า ผมจะมีผลงานแบบใหม่ๆออกมา มีอะไรที่แปลกใหม่ และพอคนเขารู้สึกเซอร์ไพรส์ปุ๊บ เขาก็จะตื่นเต้นและรอคอยผลงานของผมเรื่อยๆ

อันที่จริง ผมไม่ได้คิดว่าตัวเองจะต้องดังเปรี้ยงป้างอะไรมากมายนะครับ เพียงแต่ขอให้ได้มีพื้นที่ในการทำงานในวงการนี้ และทุกคนก็มีความสุขกับผลงานของผม รอฟังผลงานใหม่ของผม รอดูละครเรื่องใหม่ของผม ไม่ใช่ว่าดังทีเดียวแล้วก็หายไป แต่เป็นการค่อยๆ ดังไปทีละก้าว แล้วเติบโตขึ้นทีละก้าว

อีกอย่างหนึ่งซึ่งสำคัญมากๆ สำหรับชีวิตของผม คือการอยู่กับปัจจุบัน ไม่พยายามคิดถึงวันข้างหน้าหรืออดีตที่ผ่านมา แต่เอาอดีตที่เคยพลาด มาเป็นบทเรียนว่า เราจะไม่ทำสิ่งที่ไม่ดี เราจะทำดีต่อไปนะ ส่วนอนาคต ถ้าไปคิดถึงมันมากก็จะเป็นทุกข์ เพราะมันยังไม่เกิดขึ้น แต่ว่าเราคิดไปก่อนแล้ว หรือถ้ามีหลายเรื่องเข้ามาในเวลาเดียวกัน เราไปคิดถึงมันทุกเรื่อง ก็จะทุกข์ และทำให้มันดีไม่ได้

เพราะฉะนั้น เราควรอยู่กับปัจจุบัน ทำให้ดีที่สุด ณ วินาทีนั้น ไม่ต้องคิดมากว่าอีกสองชั่วโมงจะทำอะไร แล้วเราจะทำได้ไหม แต่ให้คิดอยู่ว่า ถ้าเราจะทำอะไร เราก็จะทำให้ดีที่สุดครับ”

สมาธิ สงบใจ คลายทุกข์

“สำหรับผม ศาสนาคือสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจสำหรับคนเรา เวลาที่เราทุกข์ใจมากในการทำอะไรก็แล้วแต่ ซึ่งสังคมไทยทุกวันนี้ เราเจอเรื่องทุกข์กันเยอะมาก และชีวิตในสังคมปัจจุบันมัน “เร็ว” มาก วุ่นวายมาก เป็นสังคมที่แข่งขันกันตลอดเวลา จนบางทีมันทำให้เราเจอเรื่องร้ายๆ เยอะและเหนื่อยเยอะ

เพราะฉะนั้น ถ้าเรามีเวลาสักนิดหนึ่งในหนึ่งวัน แค่ 5 นาที 10 นาที เรามีโอกาสในการได้นั่งสมาธิ หรือได้คิดถึงหลักธรรมคำสอน ผมคิดว่ามันก็เป็นอะไรที่ช่วยเราได้เยอะมากจริงๆ เพื่อการที่เราจะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมนี้ได้อย่างมีความสุขและไม่หลงไปกับสังคมที่มันไม่รอช้า

สังคมมันแข่งขันกันสูงน่ะครับ ผมคิดว่า ถ้าเรามีโอกาสลองทบทวนตัวเองว่า ในแต่ละวันที่เราทำไปนี่ มันดีแล้วหรือยัง คือเราทำอะไรๆ เร็วมาก แต่น้อยคนที่จะกลับมาคิดว่า ที่เราทำทุกวันนี้ดีแล้วหรือยัง อย่างเราพูดกับเพื่อนร่วมงานไม่ดีเลย อะไรแบบนี้ ต่อไปเราจะไม่ทำอย่างนั้นอีกแล้ว คือเป็นการทบทวนตัวเองด้วยครับ

การที่เราหันมานั่งสมาธิและทำให้จิตใจสงบสักวันละ 5-10 นาที ผมว่าจะมีประโยชน์ต่อจิตใจเรามากเลยครับ”

(ขอบคุณภาพจาก : http://gossipstar.mthai/fanclub/4598/gallery/1152#2)


(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 150 มิถุนายน 2556 โดย อภินันท์ บุญเรืองพะเนา)
รับรางวัล ศิลปินคุณธรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนา








กำลังโหลดความคิดเห็น