หากเอ่ยถึงเซ็กซ์บอมเมืองไทยในช่วง 10 กว่าปีที่แล้ว คงไม่มีใครไม่รู้จัก ‘อุ้ยอ้าย’ อัครนี แดงใส ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น ‘ชฎาธร แดงใส’ เพราะเธอจัดเป็นนางแบบนู้ดสุดฮอต มีผลงานทั้งถ่ายแบบขึ้นปกหนังสือ ถ่ายปฏิทิน เป็นนางเอกมิวสิควีดีโอ และแสดงภาพยนตร์ ยามนั้นทั้งงานการชื่อเสียงเงินทองหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย เรียกว่า ‘เงินแสน’ สำหรับเธอนั้นหาง่ายยิ่งกว่าหาตั๋วรถเมล์ในกระเป๋าสตางค์
แต่แล้ววันหนึ่งชีวิตก็พลิกผัน เธอมีอันต้องร้างลาจากวงการ งานถ่ายแบบโชว์ตัวหดหาย ปัญหาชีวิตรุมเร้ารอบด้าน ความรักที่เคยหวานชื่นก็กลับกลายเป็นขื่นขม และเนื่องจากมีความรู้น้อยและไม่มีญาติผู้ใหญ่คอยให้คำปรึกษา เธอจึงตัดสินใจประชดชีวิตด้วยการเป็นสาวไซด์ไลน์ จนสุดท้ายถลำลึกเดินเข้าสู่ตู้กระจกในสถานอาบอบนวด !!
อุ้ยอ้ายบอกว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ชีวิตเธอเหมือน ‘ตกนรกทั้งเป็น’ แต่วันนี้เธอเลือกที่จะเดินขึ้นมาจากขุมนรกนั้น และหันมาทำงานเป็นแม่บ้านทำความสะอาดที่ศูนย์การค้าแห่งหนึ่ง แม้งานจะหนักเงินจะน้อย แต่ก็ทำให้เธอภาคภูมิใจกับชีวิตใหม่
อะไรที่ทำให้ชีวิตของนางแบบสุดฮอตพลิกผันไปได้มากมายขนาดนี้ ‘อุ้ยอาย’ เปิดใจบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของเธอให้ฟังด้วยรอยยิ้มละไม ด้วยหวังว่าเรื่องของเธอจะเป็นเครื่องเตือนใจให้กับผู้หญิงอีกหลายคนที่กำลังจะเดินผิดทาง
• เด็กยากจน ที่มี ’ปม’ในใจ
อุ้ยอ้ายย้อนความถึงชีวิตวัยเยาว์ว่า เธอเติบโตมาแบบเด็กที่ขาดความอบอุ่น เนื่องจากพ่อแม่จากไปตั้งแต่ยังเด็ก คุณอาซึ่งรับเธอมาอุปการะก็ไม่สามารถดูแลได้เต็มที่เพราะมีฐานะยากจน เลยต้องพาเธอไปฝากไว้กับคนรู้จัก เพื่อจะได้มีเวลาไปทำงานหาเงินส่งเสียให้หลานได้เรียนหนังสือ
แต่ด้วยความเป็นเด็ก อุ้ยอ้ายจึงไม่เข้าใจ และเกิดเป็น ‘ปม’ ในใจที่ทำให้เธอไขว่คว้าหาความรักมาตลอด ขณะเดียวกันความยากจนที่เผชิญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ก็เป็นแรงผลักดันให้เด็กสาวในวันนั้น มุ่งที่จะทำงานหาเงินมากกว่าให้ความสำคัญกับการศึกษา
อุ้ยอ้ายเริ่มมีงานแสดงเล็กๆน้อยๆตั้งแต่อยู่ ม.3 และหลังจากขึ้น ปวช.ปี 2 และได้งานทำเป็นฝ่ายขายของบริษัทเรียลเอสเตทแห่งหนึ่ง เธอก็ตัดสินใจไม่เรียนต่อ คิดว่าทำงานหาเงินดีกว่า เพราะรายได้เดือนละ 5 พันบาทในสมัยนั้นถือว่าสูงมากสำหรับเด็กอย่างเธอ
ช่วงนั้นเองที่เป็นจุดพลิกผันของชีวิต เพราะนกน้อยเพิ่งหัดบินอย่างเธอเลือกที่จะออกจากบ้านที่เคยอาศัย มาใช้ชีวิตเพียงลำพัง มีเพื่อนวัยเดียวกันเป็นที่ปรึกษา
“ตอนเด็กๆรู้สึกว่าเราขาดนะ ขาดทั้งเงิน ขาดทั้งความรัก เป็นเด็กเก็บกด คือพ่อแม่เสียก็มาอยู่กับคุณอา คุณอาก็ฐานะไม่ดี ซึ่งตอนนั้นเราไม่เข้าใจไง จะขอเงินแต่ละทีลำบากมาก แค่ขอเงินห่อปกหนังสือเป็นปกพลาสติก คุณอาก็ยังไม่ให้เลย ให้เอาหนังสือพิมพ์มาห่อ มันก็เกิดความอยากมีอยากได้ขึ้น แล้วก็ไม่มีที่ปรึกษา ขาดความอบอุ่น เพราะอยู่กับคนโน้นทีคนนี้ที ถ้าใครมีเงินคุณอาก็ให้ไปอยู่บ้านนี้ เพราะคุณอาต้องทำงานเพื่อที่จะส่งเราเรียนสูงๆ
ด้วยความอยากมีเงิน อะไรที่เป็นเงินเราก็ทำหมด มีคนจ้างไปแสดงกับสโมสรหนูจุกที่สวนสนุกแฮปปี้แลนด์ เราก็ไป ตอน ม.3 ก็ได้เล่นมิวสิควีดีโอกับวงสาว สาว สาว แต่สมัยนั้นเขาไม่สนับสนุนเรื่องพวกนี้ อาจารย์ฝ่ายปกครองก็เรียกไปตักเตือน เราก็คิดว่าเอ๊ะ..ทำไมทำอะไรก็ผิดไปหมด
บวกกับมาเจอรักครั้งแรก (หัวเราะ) เขาดูแลเราดี ก็เลยติดแฟน เตลิดเปิดเปิง พออยู่ ปวช.ก็เลยเรียนไม่จบ ช่วงนั้นได้งานเป็นเซลของเรียลเอทเตสแห่งหนึ่งด้วย เลยไม่เรียนต่อทั้งที่อยู่ ปวช.ปี 2 แล้วนะ
แล้วตอนที่เป็นเซล ถือว่าเราได้โอกาสจากผู้ใหญ่อย่างมาก เพราะตอนนั้นอายุยังน้อย การศึกษาก็ไม่สูง แต่เขาให้โอกาส เป็นคนได้โอกาสแต่ไม่รักดี หลงระเริง ด้วยความที่ไม่มองการณ์ไกลก็เลยไม่เรียนต่อ มุมมองเราเหมือนกบในกะลา เราก็คิดว่าตัวเองปีกกล้าขาแข็ง ขอย้ายออกมาอยู่ข้างนอก ซึ่งคุณน้ากับคุณป้าที่เราไปอาศัยอยู่โกรธมาก ทีนี้พอมาอยู่ข้างนอกก็ยิ่งเตลิดไปใหญ่ ติดเพื่อน ติดเที่ยว เปลี่ยนแฟนไปเรื่อยๆ มันก็เป๋ตั้งแต่นั้นมา” อุ้ยอ้ายเล่าถึงช่วงหนึ่งของชีวิตที่ตัดสินใจผิดพลาด
• ก้าวสู่ ‘ซุปตาร์ เซ็กซ์บอม’
และแล้ววันหนึ่งเส้นทางสู่ดวงดาวก็เริ่มทอแสง เมื่ออุ้ยอ้ายได้มีโอกาสเป็นเมคอัพพรีเซนเตอร์ให้กับเมคอัพอาร์ตทิสชื่อดังอย่าง ‘ม้า’ อรนภา กฤษฎี ภาพของเธอเริ่มปรากฏผ่านสื่อ โดยเฉพาะภาพลักษณ์ด้านความเซ็กซี่ที่เรียกเสียงฮือฮาถึงความใจกล้าในการโพสท่าถ่ายแบบภายใต้เสื้อผ้าน้อยชิ้น งานไหลมาไม่ขาดสาย ทั้งงานถ่ายแบบ ถ่ายปฏิทิน งานแสดง ไปจนถึงงานโชว์ตัวตามต่างจังหวัด เงินทองนั้นหาง่ายเพียงแค่กระดิกปลายนิ้ว
แต่นอกจากทั้งงานและเงินที่วิ่งเข้ามาหาแล้ว สิ่งหนึ่งที่ตามมาพร้อมกับโลกมายาก็คือสังคมที่ฟุ้งเฟ้อ การดื่มเหล้า เที่ยวกลางคืน กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของอุ้ยอ้าย ผู้คนหลากหลายเดินเข้ามาหาเพียงเพราะหวังฉกฉวยผลประโยชน์จากตัวเธอ อุ้ยอ้ายก็หลงไปกับภาพมายาเหล่านั้น
“เราถือว่าแจ้งเกิดในวงการได้เพราะพี่ม้าเลยนะ คือช่วงแรกที่เข้าวงการ ได้ถ่ายแบบเป็นเมคอัพพรีเซนเตอร์ให้กับเครื่องสำอางยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งพี่ม้าเป็นคนดูแล เป็นงานบอดี้เพนท์ โนบรา ใส่จีสติง เพนท์ตัวเป็นนางเสือ กล้ามาก(หัวเราะ) ซึ่งคนฮือฮากัน จากนั้นก็มีคนมาติดต่อให้ถ่ายแบบ แล้วก็มาทำโฟโต้อัลบั้ม คืออัลบั้มที่ออกแนวเซ็กซี่ๆ แล้วก็ถ่ายมิวสิควีดีโอ แล้วก็ขยับมาเล่นหนัง ได้เล่นกับค่ายใหญ่เลยนะ ค่ายไฟว์สตาร์ ชื่อเรื่องเพื่อนกันเฉพาะวันหยุด แล้วก็มีพวกละครทีวี ซึ่งตอนแสดงหนังแสดงละครเนี่ยคนจำไม่ค่อยได้หรอก จำได้ตอนถ่ายแบบวับๆแวมๆ (หัวเราะ)
ช่วงนั้นมีงานเข้ามาเยอะ เงินทองหาง่ายมาก ไม่ต้องวิ่งหางาน มีเงินในแบงก์เป็นล้านนะ เราก็ใช้ชีวิตอย่างฟุ้งเฟ้อ อยากได้อะไรก็ซื้อ เที่ยวทุกคืน ไม่เคยคิดจะเก็บเงิน มีคนเข้ามาชอบเยอะ จริงๆเราก็มีแฟนอยู่แล้วนะ เขาทำงานอยู่เบื้องหลัง เป็นคนดีมาก ดูแลเราทุกอย่าง
แต่ด้วยความไม่รักดี มีพระเอกมาจีบ ก็เลยเลิกกับแฟนไปคบกับพระเอก อยู่กินกันพักใหญ่ เขาเป็นคนปากหวาน เราก็หลง อยากแต่งรถเราก็ออกเงินให้ ขอยืมเงินทีละเยอะๆเราก็ให้ คือเรารักตัวเองไม่เป็นไง” อุ้ยอ้ายเล่าถึงช่วงชีวิตที่รุ่งโรจน์ของเธอ
• เส้นทาง ‘นางตู้’
เหมือนโชคชะตาเล่นตลก เมื่อวันหนึ่งเธอตกเป็นข่าวพัวพันกับยาเสพติด ซึ่งถือเป็นเรื่องเสื่อมเสียร้ายแรงสำหรับอาชีพนักแสดง การงานที่เคยรุ่งโรจน์จึงหดหายลงในพริบตา ไม่มีใครกล้าจ้างไปถ่ายแบบ ไม่มีใครเชิญไปออกงาน เงินทองขาดมือ เคราะห์ซ้ำกรรมซัดความรักที่เคยหวานก็พานเป็นขม มีอันต้องเลิกรากับพระเอกนักรัก หลังจากจับได้ว่าเขาไปมีสัมพันธ์กับหญิงอื่น หนำซ้ำยังถูกเพื่อนรักที่เป็นสาวประเภทสองยกเค้าไปจนเกลี้ยง
เมื่อปัญหาชีวิตรุมเร้าทั้งการงาน การเงิน และความรัก อุ้ยอ้ายจึงเริ่มดื่มหนักเพื่อให้ลืมความทุกข์ ร่างกายจึงทรุดโทรมลงเรื่อยๆ และเนื่องจากความรู้ที่มีแค่ ม.3 ไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่มีใครรับ
ทางออกทางเดียวที่พอจะนึกได้ก็คือ ทำงานไซด์ไลน์ขายบริการเป็นครั้งเป็นคราว และด้วยความที่มีเครดิตเป็นดารานางแบบ ทำให้เธอได้ค่าตอบแทนในช่วงแรกๆค่อนข้างสูง ในระดับหลักแสน
แต่เมื่อนานวันร่างกายเริ่มหย่อนยาน ค่าตัวก็ตกลงไปเรื่อยๆ หาได้ไม่พอใช้เพราะไม่มีลูกค้าเรียกใช้บริการ กระทั่งหมดหนทาง อุ้ยอายจึงต้องจำใจไปเป็นนางงามตู้กระจก
“เราเป็นนางแบบใช่ไหม ก็ต้องรักษาหุ่น เลยต้องกินยาความอ้วนตลอด ทีนี้มีเพื่อนมาแนะนำว่ากินยาบ้าสิ ผอมเร็วกว่ากันเยอะ มีอยู่วันหนึ่งได้ยามาก็ใส่ไว้ในกระเป๋าถือ แล้วออกไปเที่ยว ปรากฏว่าแจ็คพ็อต มีตำรวจมาตรวจผับ ค้นเจอยาในกระเป๋า เลยกลายเป็นข่าวใหญ่ ซึ่งผลกระทบที่ตามมามันแรงมาก งานการต่างๆถูกยกเลิกหมด
หนำซ้ำยังมีนักการเมืองมาขู่ว่าถ้าอยากพ้นคดีต้องไปนอนกับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่นะ เราก็เครียด เป็นโรคประสาทเลย ช่วงนั้นเพิ่งเลิกกับแฟนด้วย ปัญหามันประเดประดังเข้ามาหมด เราความรู้น้อยจะไปทำงานที่ไหนก็ไม่มีใครรับ ไปขายประกัน ลูกค้าก็จะพาเข้าโรงแรมอีก
เลยตัดสินใจ เอาวะ..แอบทำไซด์ไลน์ เงินดี นานๆครั้งไม่มีใครรู้หรอก แต่พอเราอายุมากขึ้นลูกค้าก็ไม่เรียก ก็มีคนแนะนำให้ไปทำงานอาบอบนวด ช่วงแรกก็นั่งหลบๆ อาย กลัวคนจำได้ พอดีมาเจออุบัติเหตุ หน้าอกเป็นแผล ต้องหยุดงานเป็นเดือน เงินก็ไม่มี ก็มีคนแนะนำให้มาทำอาบอบนวดที่ใหม่ แต่ว่าต้องลงไปนั่งในตู้ เราก็จำใจทำ ทำๆหยุดๆ ทำงานได้เงินแล้วก็หยุด พอเงินหมดก็ทำใหม่
ตอนนั้นเหมือนตกนรก ช่วงทำงานอาบอบนวดนี่ต้องกินเหล้าวันละแบนนะ ให้มันมึน ให้มันลืม แล้วพออายุเริ่มมาก ค่าตัวก็น้อยลงเรื่อยๆ ลูกค้าก็ไม่ค่อยเรียก เจ้าของหักโน่นหักนี่ เหลือแค่วันละ 300-400 บาท บางวันก็ไม่ได้เลย ไหนจะค่าเช่าบ้าน ค่าอยู่ค่ากิน เครียดมากจนเป็นกรดไหลย้อนลงกล่องเสียง นั่งอยู่ในตู้ก็ไอเป็นเลือด เพื่อนก็รังเกียจเพราะคิดว่าเราเป็นโรคร้าย ทำงานแบบนี้ก็มีแต่คนดูถูก เราก็อยากจะหลุดพ้นจากอาชีพนี้แต่ไม่รู้จะทำยังไง” อุ้ยอ้ายย้อนความให้ฟังถึงคืนวันอันเลวร้าย
• ได้ชีวิตใหม่ ในอาชีพแม่บ้าน
ในที่สุดวันที่เธอรอคอยก็มาถึง อุ้ยอ้ายได้พบกับอดีตนางแบบเซ็กซี่ ‘เปิ้ล’ วีนัส ซึ่งเมื่อรู้ว่าอุ้ยอ้ายอยากจะพ้นจากสภาพอันเลวร้ายในอาชีพนางงามตู้กระจก วีนัสจึงชวนให้อุ้ยอ้ายไปเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ ‘ร้านตำแหลก’ ร้านส้มตำซึ่งวีนัสเป็นเจ้าของ
จากนั้นก็ย้ายไปเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ก่อนที่จะมาสมัครเป็นแม่บ้านที่ห้างสรรพสินค้าเปิดใหม่ย่านพระรามเก้า ซึ่งแม้งานเหล่านี้จะไม่มีค่าตอบแทนมากมาย แต่อุ้ยอ้ายก็สุขใจที่ได้มีชีวิตใหม่และได้เรียกศักดิ์ศรีของตัวเองกลับคืนมาอีกครั้ง
ถึงจะเหน็ดเหนื่อยจากงานหนัก ต้องเจอกับคำพูดและสายตาที่เหยียดหยามนางแบบตกอับอย่างเธอ แต่อุ้ยอ้ายก็ไม่เคยเก็บมาเป็นอารมณ์ ทุกวันนี้เธอนอนหลับเต็มตาได้ทุกคืน และตื่นขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใส เพราะเธอภูมิใจที่ครั้งนี้ตัดสินใจเลือกเส้นทางที่ถูกต้องให้กับตนเอง
“เห็นคนอื่นเขาทำได้ คิดว่าเราก็ทำได้ ไม่เห็นยากอะไร เราอดทน สู้งาน ใช้แรงอย่างเดียว ไม่ต้องใช้สมองอะไรเลย ตั้งใจทำงานไป มันก็อยู่ได้ วันนี้พอใจในจุดที่ตัวเองอยู่แล้ว มีกินมีใช้ ที่สำคัญมันสบายใจ เพราะเราไม่ต้องฝืนใจทำอะไรที่ไม่อยากทำ
ก็มีบ้างเหมือนกันนะเวลาที่เจอลูกค้ามาพูดถึงเรื่องอดีตที่ผ่านมาของเรา บางทีเรากำลังทำความสะอาดอยู่ เขาเดินเข้ามาบอกว่า...คุณอุ้ยอ้ายครับ ผมเคยขึ้นกับคุณด้วยนะ แล้วก็หัวเราะ โห....เราโกรธนะ แต่ก็พยายามปลง แล้วไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปตอบโต้ เพราะยังไงเขาก็เป็นลูกค้า
เราก็มานั่งคิดว่าจะให้ใครเขามาเข้าใจเราทุกอย่างคงเป็นไปไม่ได้ เชื่อไหมตอนที่เป็นหมอนวดเนี่ยเข้าวัดบ่อยมาก เพราะมันทุกข์ไง จะไปภาวนาร้องขอกับใครก็ไม่มีใครช่วยเราได้ ก็เลยภาวนา สวดมนต์ อธิษฐานจิต อ่านหนังสือธรรมะ อ่านไปก็อืม...มันก็ใช่นะ สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม ก็ปล่อยวางได้ว่าถ้าเราไม่ยึดติดกับอดีต ไม่เพ้อฝันกับอนาคต แต่อยู่กับปัจจุบัน มันก็มีความสุขได้
บางคนบอกว่าชีวิตเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่พระท่านบอกว่า...ทำไมจะเลือกไม่ได้ เราเลือกได้ในภพหน้า ณ ปัจจุบันถ้าคุณทำอะไร คุณก็ได้ในภพหน้า อย่างน้อยตอนนี้เราก็ทำสิ่งดีๆสะสมบุญไว้ เผื่อชาติมีจริงชีวิตเราจะได้มีแต่สิ่งดีๆ สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราตอนนี้ เราไม่โทษใครนะ เพราะเราทำตัวเอง เราคิดไม่เป็น รักตัวเองไม่เป็น เมื่อตอนนี้เรารู้แล้ว เราก็เลือกทำแต่สิ่งดีๆ เพื่อที่ชีวิตเราจะได้ดี มันเป็นความภูมิใจที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้นะ” อุ้ยอ้ายกล่าวตบท้ายด้วยความภาคภูมิใจ
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 145 มกราคม 2556 โดย กฤตสอร)