แม้ว่าร่างกายจะมีกลไกในการขจัดพิษตามธรรมชาติ แต่ถ้าหากได้รับพิษอยู่บ่อยๆ หรือมากเกินไป ร่างกายก็ไม่อาจชำระล้างได้ทัน ดังนั้น เราจึงควรหาวิธีขจัดพิษ เพื่อฟื้นฟูร่างกาย เพิ่มพละกำลัง และทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้น ชั่วโมงนี้ “หลักสูตรล้างพิษตับ”นับว่าเป็นกระแสที่มีการพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง
ผู้บุกเบิกหลักสูตร "อาจารย์ขวัญดิน สิงห์คำ" ร่วมบอกเล่าประสบการณ์เรื่อง “มหัศจรรย์ล้างพิษตับ” ในงานพระอาทิตย์แฟร์ครั้งที่ 2 ณ เวทีอาคารบ้านเจ้าพระยา ถนนพระอาทิตย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ โดยมีผู้ที่ได้รับผลดีจากการล้างพิษตับ และแพทย์แผนปัจจุบัน ร่วมให้ความรู้และแบ่งปันประสบการณ์ ดำเนินการสนทนาโดย อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
• ผู้ป่วยหลายพันดีขึ้น
เพราะล้างพิษตับ
อาจารย์ขวัญดินเล่าถึงความเป็นมาของหลักสูตรล้างพิษตับว่า ตนเคยเป็นผู้รับผิดชอบและจัดหลักสูตรครั้งแรกให้กับอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ ชาวอเมริกัน ที่เป็นโรคไขมันพอกตับ และนิ่วในถุงน้ำดี โดยหมอนัดทำการผ่าตัด แต่อาจารย์คนดังกล่าวเลือกใช้วิธีล้างพิษที่ชุมชนศีรษะอโศก จนนิ่วในถุงน้ำดีได้หายไปโดยไม่ต้องผ่าตัด ในเวลา 5 วัน นอกจากนี้โรคอื่นๆ ที่มีก็พลอยหายไปด้วย
“หลังจากนั้นเราก็เริ่มสนใจ จนในที่สุดก็ได้เข้าไปดูแลหลักสูตรแทนหลานสาวที่ชุมชนศีรษะอโศก จากวันนั้นถึงวันนี้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 8 แล้ว มีผู้ที่เข้ารับการรักษาทั้งหมด 9,000 คน ซึ่งการเติบโตของหลักสูตรล้างพิษตับคือ ทุกคนอาการดีขึ้น โดยเฉพาะผู้ป่วยไวรัสบีที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด ถัดมาที่ระดับโคเลสเตอรอลและเบาหวานลดลง
รวมไปถึงผู้ป่วยที่มีนิ่วในถุงน้ำดี ไขมันพอกตับ ตลอดจนโรคริดสีดวงทวารที่หายขาดอย่างชัดเจน หลังทำไปประมาณ 5-6 ครั้ง บางคนก็ 10 ครั้งจึงหายเป็นปกติ นอกจากนั้น ยังมีผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน และความดันโลหิตที่มีอาการดีขึ้นจากการล้างพิษตับอีกด้วย"
อาจารย์ขวัญดินอธิบายถึงหลักสูตรล้างพิษตับสำหรับผู้ที่สนใจว่า ก่อนอื่นต้องทำร่างกายให้แข็งแรงก่อน 3 วัน จากนั้นเริ่มต้นด้วยการอดอาหาร เพื่อให้ร่างกายพักผ่อน หยุดการย่อยและขับพิษ พร้อมกับการสวนล้างลำไส้ เพื่อให้ลำไส้สะอาด ระหว่างนั้นให้ดื่มน้ำด่าง หรือน้ำผลไม้ และขั้นตอนที่สำคัญคือ กินดีเกลือตอน 6 โมงเย็น และอีกครั้งตอน 2 ทุ่ม พร้อมกับดื่มน้ำมันมะกอกตอน 4 ทุ่มตามไปด้วย
"การดื่มดีเกลือมี 2 สูตร (1) สูตรไม่อดอาหาร เป็นสูตรที่ทำทั่วไป แต่จะได้เฉพาะตับ โดยกินดีเกลือตอน 6 โมงเย็น 1 ช้อนโต๊ะ ตอน 2 ทุ่ม 1 ช้อนโต๊ะ และตอน 4 ทุ่มให้ดื่มน้ำมันมะกอก จากนั้นตื่นนอนตอน 6 โมงเช้า กินดีเกลือ 1 ช้อนโต๊ะ และตอน 8 โมงอีก 1 ช้อนโต๊ะ
แต่สำหรับสูตรของอาจารย์ขวัญดินจะเป็นสูตรที่ (2) สูตรอดอาหาร คือ กินดีเกลือตอน 6 โมงเย็น 1 ช้อนชา ตอน 2 ทุ่ม 1 ช้อนชา และตอน 4 ทุ่ม ดื่มน้ำมันมะกอก จากนั้นตื่นนอน 6 โมงเช้า กินดีเกลือ 1 ช้อนชา และตอน 8 โมงอีก 1 ช้อนชา ซึ่งทั้งสองสูตรจะต่างกันตรงที่อดอาหารและลดปริมาณดีเกลือลง"
ผู้บุกเบิกหลักสูตรเสริมว่า สำหรับน้ำด่าง สามารถดื่มน้ำขี้เถ้าก็ได้ อาจจะมีรสเฝื่อน หรือน้ำผลไม้ ซึ่งน้ำผลไม้ที่มีคุณสมบัติเท่าเทียมกับแอปเปิ้ลและองุ่น คือ น้ำมะขาม การดื่มน้ำต้องค่อยๆจิบ เพราะถ้าดื่มรวดเดียวอาจจะอาเจียนได้
ทั้งนี้เหตุผลที่ต้องดื่มน้ำด่าง เพราะร่างกายของคนเรามีฤทธิ์เป็นกรด ฉะนั้น น้ำด่างจึงเข้าไปช่วยให้ร่างกายลดกรดให้น้อยลง โดยน้ำด่างที่สามารถทำได้เอง คือ การนำเปลือกมะพร้าวเผา 1 กิโลกรัม มาแช่น้ำ 5 ลิตร ทิ้งไว้ให้ตกตะกอน 7 วัน จะได้น้ำด่างที่มีค่า PH 13-14 แต่น้ำที่เหมาะแก่การปรุงอาหารคือ ค่า PH10 ดังนั้น สามารถผสมเจือจางด้วยตัวเองได้
• อดีตผู้เข้าล้างพิษตับจนหายป่วย
เปิดศูนย์ดูแลสุขภาพแบบองค์รวม
ด้วยเหตุผลนี้ “คุณชญาบุญ เพชรพรหม” อายุ 51 ปี อดีตนักธุรกิจที่เคยมุ่งทำเงินเพียงอย่างเดียว จากที่เคยเป็นเนื้องอก (ช็อกโกแลตซีส) ที่รังไข่ข้างขวายาว 4 เซนติเมตร ซึ่งต้องรักษาด้วยการผ่าตัด แต่ได้ทำการล้างพิษตับเพียง 8 ครั้ง เนื้องอกที่เคยมีก็หายไป
นอกจากนั้นจากการตรวจเลือดยังพบว่า ค่าตับยังแข็งแรงเท่ากับคนอายุ 27 ปี จึงอยากจะช่วยเหลือคนอื่นต่อๆไป จึงได้เปิด ศูนย์ดูแลสุขภาพแบบองค์รวม "ธัญสมุย" ที่เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ปัจจุบันมีคนจองคิวเข้ารับการรักษาในหลักสูตรล้างพิษตับ ยาวไปจนถึงเดือนธันวาคม 2555
"บางคนมีกำหนดการที่ต้องไปผ่าตัดกับแพทย์แผนปัจจุบันเพื่อเอานิ่วออกจากถุงน้ำดี แต่เมื่อเข้าหลักสูตรล้างพิษตับแล้ว นิ่วก็ออกมาระหว่างการล้างพิษตับได้ และเมื่อกลับไปตรวจกับแพทย์แผนปัจจุบันก็พบว่าไม่พบนิ่วในถุงน้ำดีเหล่านั้นอีก ซึ่งที่ธัญสมุยทำมาเกือบปี มีผู้เข้ารับการรักษา 1,200 กว่าคน หลักสูตรนี้ไม่ต้องอาศัยโฆษณา แต่เกิดจากการบอกต่อว่าได้รับผลที่ดีขึ้นจริง ก็จะมีคนมาทำเรื่อยๆ" คุณชญาบุญเล่า
เจ้าของศูนย์ดูแลสุขภาพแบบองค์รวม "ธัญสมุย" ยังบอกด้วยว่า อันที่จริงการล้างพิษตับสามารถทำเองที่บ้านได้ แต่ก็ไม่แนะนำสำหรับคนที่ไม่เคยเข้าหลักสูตรมาก่อน เพราะบางคนที่มีอาการป่วยอยู่แล้วอาจจะต้องการคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์
สำหรับโรคที่พบและอาการดีขึ้นอย่างเหลือเชื่อคือ โรคความดันโลหิต ผู้ป่วยไวรัสบี ส่วนผู้ป่วยที่เป็นนิ่วในถุงน้ำดี เคยล้างไป 3 ครั้ง ก็ไม่มีนิ่วเหลือแล้ว นอกจากนั้นยังมีผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายที่มีอาการดีขึ้นหลังจากล้างพิษตับ ประมาณ 60 เปอร์เซ็นอีกด้วย
• ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายยืนยัน
การล้างพิษตับ อีกหนึ่งทางเลือกที่มีประโยชน์
ขณะเดียวกัน "คุณสันห์ฉวี ภู่ไพบูลย์" ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายหรือระยะที่ 4 ที่ผ่านการรักษาด้วยการทำคีโม ปฏิบัติตามแบบหมอเขียว และเข้าร่วมหลักสูตรล้างพิษตับ จนในปัจจุบันไม่พบมะเร็งแล้ว ได้มาบอกเล่าประสบการณ์ให้ฟัง
คุณสันห์ฉวีเล่าว่าเมื่อปี 2553 ได้ตรวจพบโดยบังเอิญว่ามีไข้และระบบขับถ่ายผิดปกติ ในตอนนั้นหมอบอกว่าอายุ 50 ปีกว่าๆ แล้ว ถ้าลำไส้มีปัญหา หมอแนะนำให้เช็คเลือด 1 ตัวคือ CEA ซึ่งในตอนนั้นตนสนใจแต่เรื่องทำมาหากิน ไม่ได้ใส่ใจกับการดูแลสุขภาพมากนัก จึงยังไม่ค่อยรู้เรื่อง
"พอเอกซเรย์ปอดก็เจอฝ้าขาวๆ หมอจึงส่องกล้องดูปอด และพบชิ้นเนื้อ 2.4 เซนติเมตร และผลการวินิจฉัยเป็นมะเร็งปอดระยะที่ 2 ต้องผ่าตัดทันที ซึ่งตอนนั้นอึ้งไป ก่อนที่จะบอกข่าวร้ายกับคนในครอบครัว ทุกคนต่างก็งงและนิ่งอยู่ในภวังค์ ในตอนนั้นที่ผ่าตัดออกก็คิดว่าหายแล้ว แต่ยังต้องทำเคมีบำบัด ซึ่งมีผลข้างเคียงเยอะมาก จากนั้นก็พบหมอทุกๆ 2 เดือน จนหายดี"
คุณสันห์ฉวีเล่าเพิ่มเติมว่า หลังจากนั้นประมาณ 2 เดือน ก็แอบไปทำ CT สแกนที่เกาะสมุย และพบว่ามะเร็งกลับมาอีก แต่เพื่อความแน่ใจจึงไปตรวจอีกที่โรงพยาบาลในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ระหว่างรอฟังผลจึงเดินทางมาขอประวัติที่โรงพยาบาลประจำในกรุงเทพฯ ในตอนนั้นตัวเองรู้สึกว่าเหนื่อยมาก
จนในที่สุดมีคนแนะนำให้ไปตรวจที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพราะมีโรงพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญด้านมะเร็งปอด และหมอก็ยืนยันว่าเป็นมะเร็งปอดระยะแพร่กระจาย คือระยะที่ 4 และรักษายาก เพราะหมอเห็นว่าอาจจะไปที่สมอง และกระดูก
"ตอนนั้นเริ่มทานยาได้เดือนกว่า สภาพจิตใจก็ย่ำแย่ จึงปรึกษาเรื่องอาหารการกินแบบหมอเขียว และได้ตัดสินใจเข้าร่วมหลักสูตรล้างพิษตับกับคุณชญาบุญ ตอนที่ร่างกายขับสารพิษออกมานั้นมีกลิ่นเหม็นมาก ซึ่งคนที่เป็นมะเร็งจะเหม็นทุกคน แต่เมื่อมันออกมาทุกคนต้องดีขึ้น
เริ่มทำไป 2 ครั้ง แล้วก็ไปทำ CT สแกน ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์อีกรอบ โดยที่ไม่ได้บอกว่าไปทำอะไรมาบ้างนอกจากกินยา ซึ่งข่าวดีในตอนนั้นคือ มะเร็งที่ปอดหายไป จึงมองว่าการล้างพิษตับ อย่างน้อยก็เป็นทางเลือกอีกหนึ่งทาง ที่ให้ประโยชน์ทั้งร่างกายและจิตใจ" คุณสันห์ฉวีเล่า
• แพทย์ให้ข้อคิดการล้างพิษ
เป็นการช่วยเหลือตับ
ด้าน รศ.นพ.สำเริง รัตนระพี ภาควิชาพยาธิวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล อธิบายถึงหน้าที่ของตับว่า ตับเป็นอวัยวะภายในที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย มีน้ำหนัก 2 เปอร์เซ็นของน้ำหนักตัว โดยจะมีเลือดผ่านทั้งหมด 13 เปอร์เซ็นต์ เรียกได้ว่าชุ่มไปด้วยเลือด
สำหรับคนปกติตับจะอยู่ชายโครงด้านขวา ทำหน้าที่ในร่างกาย 40 อย่าง และมีหน้าที่ย่อย 500 อย่าง และแน่นอนว่าสารพิษ อาหารที่เป็นพิษ ไขมัน ก็สะสมอยู่ในตับจำนวนมาก ดังนั้น หากสามารถล้างพิษออกมาจากตับได้ ตับก็จะมีหน้าที่ในการดูแลหรือสะสมพิษที่ยังคงค้างในร่างกายส่วนอื่นๆได้มากขึ้นอีก
"กระบวนการล้างพิษด้วยการเริ่มต้นจากการอดอาหารนั้น สามารถอธิบายได้ว่า เพียงแค่การอดอาหารก็ถือว่าเป็นการปล่อยให้ร่างกายได้พักผ่อน และเมื่อน้ำย่อยที่มาจากส่วนต่างๆไม่มีที่เก็บ ก็จะมาที่ถุงน้ำดี เมื่อกินน้ำมันมะกอกเข้าไป ก็จะไปที่กระเพาะ และมีส่วนหนึ่งย้อนกลับมาที่ท่อน้ำดีเข้าไปในตับ พอน้ำมันมะกอกเข้าไปในถุงน้ำดี ก็จะไปดึงสิ่งต่างๆในถุงน้ำดีออกมา
ดังนั้น ส่วนที่ถูกขับถ่ายออกมาในการล้างพิษ จะไม่ใช่ของเสียที่มาจากลำไส้ เพราะก่อนหน้านั้นได้สวนล้างลำไส้ให้สะอาดไปแล้ว"
นายแพทย์สำเริงกล่าวต่อว่า สำหรับคนที่สงสัยว่าก้อนนิ่วจากการขับถ่ายออกมานั้น เป็นเพียงปฏิกิริยาจากการดื่มน้ำมันมะกอก ซึ่งไม่สามารถเป็นไปได้ เพราะก้อนนิ่วเกิดจากตะกอนในร่างกายเองและต้องใช้เวลานาน
แต่การที่ใช้น้ำมันมะกอกเข้าไปดึงก้อนนิ่วในถุงน้ำดีออกมาได้นั้น เพราะน้ำมันมะกอกจะทำหน้าที่ล้างน้ำมันในร่างกายได้เป็นอย่างดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า การดื่มน้ำมันมะกอกทุกวันจะมีประโยชน์ ควรดื่มแค่เดือนละ 1 ครั้งก็พอ
"สำหรับการล้างลำไส้บ่อยๆ ไม่มีทางที่ลำไส้จะทะลุ แต่สิ่งที่ต้องระวังคือ การสวนทวารอาจจะติดเชื้อได้ แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้น้อย ถ้าเราทำแบบถูกสุขลักษณะก็จะไม่มีปัญหา เพราะการที่ติดเชื้อได้นั้น เชื้อโรคต้องเข้าถูกที่ และจำนวนเชื้อมากพอ รุนแรงพอ ร่างกายอ่อนแอ และขาดสมดุลจึงจะติดเชื้อ
ดังนั้น โทษของการล้างลำไส้อาจจะไม่มี แต่ความจำเป็นของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกัน หลายคนถามว่าถ้าไม่ดีท็อกซ์ได้ไหม คำตอบคือ ระบบขับถ่ายของคนเรามีความแตกต่างกัน ดังนั้น สามารถทานยาระบายชดเชยแทนได้"
นายแพทย์สำเริงทิ้งท้ายว่า ทั้งนี้เพราะสารเคมีทุกอย่างที่เข้าสู่ร่างกาย ตับรับไปหมดเลย ตับของคนเราต้องทำหน้าที่อย่างหนักในแต่ละวัน ดังนั้น การล้างพิษตับก็นับเป็นการช่วยเหลือตับให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งสามารถยืนยันได้ว่า เมื่อตับแข็งแรง ทุกอย่างในร่างกายก็จะดี เพราะตับสร้างภูมิต้านทานของร่างกาย ความบกพร่องในร่างกายลดลง สุขภาพแข็งแรงขึ้น เซลล์มะเร็งถูกทำลาย เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกายเป็นวิธีที่อยากแนะนำ แต่ต้องออกอย่างต่อเนื่อง และเลือกวิธีที่เหมาะกับตัวเรา
• หลักสูตรการล้างพิษตับ (สูตรสั้น)
ของ อ.ขวัญดิน สิงห์คำ
ก่อนล้างพิษ 1 วัน ให้อดอาหารก่อนเวลาบ่าย 3
วันที่ 1
เวลา 05.00 น. ตื่นนอน ทำธุระส่วนตัว และทำดีท็อกซ์
เวลา 05.30 น. ออกกำลังกายตามที่ชอบหรือถนัด
เวลา 06.00 น. ดื่มน้ำเปล่าหรือน้ำสมุนไพร
เวลา 07.00 น. เวลาหิวให้ดื่มน้ำต่อไปนี้ (เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งหมดก็ได้)
น้ำแอปเปิ้ล 100% หรือน้ำปั่นแยกน้ำกาก
• น้ำสับปะรด ปั่นน้ำแยกกาก
• น้ำมะละกอดิบ+ห่าม หรือปั่นแยกน้ำแยกกาก
• น้ำมะขาม+ น้ำผึ้ง+น้ำผักผลไม้
• น้ำอ้อยสด + มะนาว
เวลา 15.00 น. หยุดน้ำผลไม้ทุกชนิด ยกเว้นน้ำเปล่า
เวลา 17.00 น. ดีท็อกซ์
เวลา 18.00 น. ดื่มดีเกลือ 1 ช้อนชา ต่อน้ำครึ่งแก้ว
เวลา 20.00 น. ดื่มดีเกลือ 1 ช้อนชา ต่อน้ำครึ่งแก้ว
เวลา 22.00 น. ดื่มน้ำมะนาวและน้ำมันมะกอกบีบเย็น (Extra Virgin)ในอัตราส่วนดังนี้
• น้ำมะนาว 150 ซีซี
• น้ำมันมะกอก 150 ซีซี
ผสมทั้งสองอย่างในขวดแก้ว เขย่าให้เข้ากัน ดื่มทันที ไม่ให้เกินเวลา 22.15 น.
หลังดื่มน้ำมันมะกอกและน้ำมะนาว ให้ปฏิบัติดังนี้
• นอนตะแคงขวา หรือนอนหงาย (หัวสูง)
• ถ้ากลัวอาเจียน พยายามประคับประคองให้ผ่านเลยเวลา 02.00 น. หรืออาจใช้ถุงน้ำร้อนประคบที่ท้องช่วย (เพราะถ้าผ่านไปแล้ว น้ำมันมะกอกและน้ำมะนาวจะลงถึงตับแล้ว แต่ถ้าอาเจียนก่อนอาจต้องเริ่มต้นใหม่หมด)
วันที่ 2
เวลา 06.00 น. ตื่นนอนและทำธุระส่วนตัว ทำดีท็อกซ์
เวลา 06.30 น. ออกกำลังกาย
เวลา 07.00 น. ทำงานปกติ
เวลา 10.30 น. ทำดีท็อกซ์ เก็บพิษทั้งหมดไว้ ตั้งแต่ 02.00 น.หรือถ่ายเองและรวมกับดีท็อกซ์
หมายเหตุ : สูตรสั้นนี้สามารถทำ 1 ครั้งต่อ 2 สัปดาห์ ไม่ควรเกินนี้
หากผู้สนใจต้องการฟังการสนทนาเรื่องล้างพิษตับ ทางโครงการผู้จัดการสุขภาพได้จัดทำดีวีดีชุดนี้จำหน่ายในราคาชุดละ 89 บาท สอบถามรายละเอียดโทร. 0-2629-2211 ต่อ 1117,1118 และ 1151
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 143 พฤศจิกายน 2555 โดย ภาวิณี)