การทำงานมากเกินไปในแต่ละวัน หรือติดต่อกันยาวนานหลายวัน อาจส่งผลให้ร่างกายเกิดอาการเหนื่อยล้า ซึ่งหากเป็นเพียงชั่วคราว ก็ไม่เป็นปัญหา แต่หากเป็นเรื้อรังอาจส่งผลให้ความสามารถในการทำกิจกรรมแต่ละวันลดลง
ดังนั้น การเลือกไลฟสไตล์ที่เหมาะสม เช่น ทานอาหารถูกหลักโภชนาการ ออกกำลังกาย และนอนหลับให้เพียงพอ จะช่วยลดอาการอ่อนล้าในระยะยาวลงได้
10 วิธีง่ายๆต่อไปนี้ จะช่วยให้คุณเอาชนะความเหนื่อยล้าได้ แต่ถ้าทำแล้วยังไม่ดีขึ้น ควรไปปรึกษาแพทย์ เพราะอาจมีโรคภัยอื่นแอบแฝงอยู่ก็เป็นได้
1. นอนหลับให้เพียงพอ
การนอนหลับเป็นกระบวนการฟื้นฟูร่างกายตามธรรมชาติ ดังนั้น จึงควรนอนหลับให้เพียงพอในแต่ละวัน หลีกเลี่ยงการดูทีวีหรือทำงานจนดึก เพราะจะทำให้ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ ส่งผลให้รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่สดชื่น เมื่อตื่นนอนตอนเช้า
หากคุณมีปัญหานอนไม่หลับ ขอแนะให้เข้านอนและตื่นนอนเวลาเดิมทุกวัน ปรับสภาพห้องนอนให้เงียบ สงบ และจะดีกว่านี้ หากภายในห้องนอนไม่มีโทรทัศน์และโต๊ะทำงาน มีแต่เตียงนอนที่กว้าง นุ่มสบาย เพราะเมื่อคุณก้าวเข้ามาในห้อง สมองจะเชื่อมโยงไปยังการนอนหลับ มากกว่าการอ่านหนังสือหรือดูทีวี ทำให้รู้สึกอยากนอนมากขึ้น
2. กินอาหารที่มีประโยชน์
อาหารที่คุณรับประทานในแต่ละมื้อ อาจส่งผลรุนแรงต่อสภาพอารมณ์ของตัวเอง เพราะหากไม่ครบห้าหมู่ คุณจะเริ่มรู้สึกเฉื่อยชาและอิดโรย ดังนั้น จึงควรทานอาหารที่มีประโยชน์และตรงตามมื้อ ข้อสำคัญที่ควรคำนึงคือ การงดมื้อเช้าเท่ากับคุณเริ่มต้นวันอย่างผิดพลาด เพราะต้องออกแรงทำงานขณะที่ท้องว่างจนถึงมื้อกลางวัน
มีบางคนใช้วิธีกินทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง ทำให้ท้องไม่ว่างระหว่างมื้อ ซึ่งช่วยให้ไม่รู้สึกหิวและอิดโรยก่อนมื้ออาหาร รวมทั้งการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ไม่อ่อนเพลีย จึงควรทานอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตให้เพียงพอในแต่ละมื้อ
3. อย่าเครียด
ความเครียดเป็นหนึ่งในสาเหตุทั่วไปที่ทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า และยังเป็นบ่อเกิดของโรคต่างๆด้วย ฉะนั้น หากเอาชนะความเครียดได้ ก็จะช่วยบรรเทาอาการอ่อนล้าลงได้
แม้ว่ามีหลายวิธีในการรับมือกับความเครียด แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องหาสาเหตุของความเครียดให้พบและแก้ไขให้ดีขึ้น รวมถึงควรหาเวลาพักผ่อนหย่อนใจเมื่อเสร็จจากภารกิจประจำวัน เช่น ดูหนัง ฟังเพลง เดินเล่น หรือเข้าสปา เป็นต้น
4. งดคาเฟอีนในตอนเย็น
คนส่วนใหญ่ติดนิสัยดื่มกาแฟตอนเช้า ซึ่งมีสารเคเฟอีนช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าได้ทั้งวัน แต่ควรงดดื่มในตอนเย็น เพราะมันจะกระตุ้นให้ตื่นตัวจนนอนไม่หลับในตอนกลางคืน
สารคาเฟอีนที่อยู่ในชา กาแฟ ช็อคโกแลต และน้ำอัดลม มีฤทธิ์ทำให้ผู้ดื่มกระสับกระส่ายและนอนไม่หลับ ดังนั้น เมื่อตื่นนอนจึงรู้สึกอ่อนเพลีย และที่ร้ายไปกว่านั้นคือ มันทำให้เสพติด ทางที่ดีควรพยายามจำกัดการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนให้น้อยลง
5. จัดสรรเวลาให้ดี
บ่อยครั้งที่เรามักทุ่มเททำงานเกินกำลัง จนเหนื่อยอ่อน และยังต้องแบ่งเวลาให้ครอบครัว เพื่อนฝูง ฯลฯ หากจัดสรรเวลาแต่ละวันไม่ดีพอ อาจทำให้เหลือเวลานอนหลับพักผ่อนน้อย
ตรงกันข้าม ถ้าเราใช้ชีวิตอย่างสมดุล มีเวลาให้ตัวเองบ้าง รู้จักผ่อนคลาย มันจะช่วยให้เราจัดการทุกเรื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
6. ออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างพละกำลัง
การออกกำลังกายเป็นวิธีที่ดีที่ช่วยเสริมสร้างพละกำลัง ทำให้กระปรี้กระเปร่า แต่ถ้าคุณไม่ค่อยแข็งแรง และรู้สึกอ่อนเพลียอยู่ตลอดเวลา ก็ยิ่งทำให้ไม่อยากออกกำลังกาย ดังนั้น ควรหาหนทางที่จะทำให้รู้สึกเหนื่อยน้อยลงและมีกำลังมากขึ้น
วิธีก็คือ ลองหากิจกรรมที่ต้องออกแรง อาทิ จอดรถให้ไกลจากอาคารที่ทำงานสักนิด หรือลงรถประจำทาง 1 ป้ายก่อนถึงที่หมาย เพื่อจะได้เดินออกกำลังกายไปในตัว หรือเข้าฟิตเนสทุกวันหลังเลิกงาน ซึ่งจะช่วยให้ผ่อนคลายจากการทำงาน พร้อมรับวันใหม่อย่างมีพลัง
7. ดื่มน้ำให้เพียงพอ
อย่าลืมทำให้ร่างกายชุ่มชื่นตลอดทั้งวัน ด้วยการดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว (มากน้อยขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมหรือกิจกรรมที่ทำตลอดทั้งวัน) จะช่วยป้องกันอาการเหนื่อยล้าได้
เพราะสมองของคนเราประกอบด้วยน้ำถึง 80% หากร่างกายขาดน้ำ จะส่งผลกระทบต่อจิตใจและพฤติกรรมโดยรวม
8. บำบัดด้วยแพทย์ทางเลือก
การนำแพทย์ทางเลือก เช่น กลิ่นบำบัด เล่นโยคะ นวด ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นเทคนิคการผ่อนคลาย มาใช้บรรเทาอาการเหนื่อยล้า นับเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง และยิ่งรู้สึกผ่อนคลายมากเท่าไหร่ จะช่วยให้นอนหลับสนิท ร่างกายก็จะฟื้นฟูตัวเองได้ดีขึ้น
และการบำบัดด้วยวิธีการนี้ยังทำให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า คุณจึงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย
9. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
แม้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาจช่วยให้ผู้ดื่มรู้สึกผ่อนคลาย แต่ก็ส่งผลให้เกิดความอ่อนล้าได้ในระยะสั้นและระยะยาว เนื่องจากแอลกอฮอล์มีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้อารมณ์สงบ เมื่อดื่มเพียงเล็กน้อยในมื้อกลางวัน อาจทำให้รู้สึกง่วงนอนในตอนบ่าย
นอกจากนี้ แอลกอฮอล์ยังส่งผลกระทบต่อการนอนหลับ โดยเฉพาะเมื่อดื่มก่อนนอน แม้ว่ามันจะทำให้คุณหลับง่ายในตอนแรก แต่จะหลับไม่ยาว เพราะจะต้องตื่นขึ้นปัสสาวะกลางดึกบ่อยครั้ง อีกทั้งเมื่อตื่นนอนตอนเช้า ยังมีอาการเมาค้างและอิดโรยอีกด้วย
10. สูดอากาศบริสุทธิ์ภายนอก
ร่างกายมนุษย์ต้องการแสงแดด เพื่อการเจริญเติบโตเช่นเดียวกัน ฉะนั้น หากมัวแต่หลบอยู่ในที่ร่ม จะยิ่งทำให้รู้สึกอ่อนล้า ทางที่ดีควรแบ่งเวลารับแสงแดดในแต่ละวันบ้าง และจะยิ่งดีถ้าเป็นการทำกิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกาย
แค่ออกมายืนแกว่งแขนในที่โล่งสัก 10 นาที หลังอาหารกลางวัน คุณจะรู้สึกปลอดโปร่งแจ่มใสขึ้นมาทันที อ้อ..อย่าลืมสูดอากาศบริสุทธิ์ ด้วยการหายใจเข้าให้ลึกถึงช่องท้อง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เกิดพละกำลัง
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 142 ตุลาคม 2555 โดย ประกายรุ้ง)